แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นักศึกษาผู้มีความสนใจในธรรม ถึงกับออกบวชเพื่อความสะดวกในการนี้ ตามโอกาส ในการบรรยายชุด ธรรมะ สำหรับเยาวชน และนักศึกษาในปัจจุบัน เป็นครั้งที่ ๖ นี้ ยังคงกล่าวโดยหัวข้อ พระสุญญตาแก้ปัญหาแม้ของสังคม ต่อไปตามเดิม เพราะว่ายังไม่จบ ฟังดูก็เป็นเรื่องยืดยาว น่ารำคาญ แต่ตามความจริงนั้นมันมีเรื่องมากอย่างนี้เอง คือคำว่าปัญหาของสังคม ก็มีอะไรมาก หลายซับ หลายซ้อน และคำว่าสุญญตา ก็มีความหมายมาก คือกว้าง จนเกือบเป็นสิ่งที่แก้ปัญหาได้สารพัดนึกเอาทีเดียว เลยทำให้ต้องพูดกันมากหน่อย ในครั้งที่แล้วมาก็ได้พูดถึง สุญญตา ในลักษณะนั้น ลักษณะนี้ ที่จะชี้ให้เห็น ว่าจะแก้ปัญหาของสังคมได้อย่างไร ซึ่งพอจะสรุปความได้ว่า เรามุ่งจะแก้ปัญหาของสังคม โดยวิธีการ ตามหลักของพระศาสนา ซึ่งเรียกว่า จะถือดอกบัวสีเหลือง ไม่ใช้การถือดอกบัวสีแดง ซึ่งเป็นการ แก้ปัญหาของ ผู้มีความคิดอีกสาขาหนึ่งต่างหาก ต่างไปจากศาสนา ใจความสั้นๆ ของมันก็คือว่า ถ้าถือดอกบัวสีแดงก็คือ เอาการล้างด้วยโลหิต มันก็มาเป็นการแก้ปัญหา ถ้าถือดอกบัวสีเหลืองก็คือ การทำความเข้าใจกัน โดยไม่ต้องเสียโลหิต นี่สุญญตาจะเป็นเครื่องมือแก้ปัญหา ประเภทที่ถือดอกบัวสีเหลือง
การแก้ปัญหาด้วยการถือดอกบัวสีแดงนี่ ก็ต้องทำด้วยการบังคับ ซึ่งเป็นการ กระทำให้เป็นทาส ทับลงไปอีกชั้นหนึ่ง หมายความว่า การกระทำผิดจนเกิดปัญหาสังคมขึ้นมานั้น ก็เพราะประชาชนเหล่านั้น เป็นทาสของวัตถุนิยมอย่างไม่ค่อยจะลืมหูลืมตาอยู่แล้ว แม้ที่สุดแต่การเป็นทาสของอบายมุขทั้งหลาย นี่ก็เรียกว่าเป็นทาสของวัตถุนิยม นี่ก็แก้กันด้วยการบังคับ ให้เป็นทาส การบังคับมันก็แก้ได้ชั่วการบังคับ เมื่อจิตใจมันไม่เปลี่ยนแปลง เผลอเมื่อไรมันก็ไปเป็นทาสของวัตถุนิยมอีก เพราะการบังคับนั้น ไม่อาจจะป้องกัน หรือว่าจะเลิกล้าง ไอ้ความรู้สึกเป็นทาสของวัตถุนิยมเสียได้ เราจึงคิดว่า การใช้ดอกบัวสีแดง คงไม่สำเร็จ ใช้ไม่ได้กับประเทศไทย ซึ่งมีวัฒนธรรมอย่างนี้ มีสายโลหิตที่สืบกันมาด้วยเชื้อของศาสนาอย่างนี้
เราจึงคิดว่าจะใช้ ดอกบัวสีเหลือง หมายถึงหลักของธรรมะ ที่สามารถจะแก้การเป็นทาสต่อวัตถุนิยม หรือทุกอย่างที่จะไปเป็นทาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ เป็นทาสของกิเลส ถ้าเราทำลายไอ้ความเป็นทาสนี้ไปได้ แล้วก็ไม่จับคนเหล่านั้นมาเป็นทาส ของการบังคับ อะไรกันอีกใหม่ มันก็จะต้องแก้ปัญหาได้ เลิกล้างความเป็นทาสเสีย โดยประการทั้งปวง
นี่การที่จะถือดอกบัวสีเหลืองแก้ปัญหา ทำความเข้าใจเสียใหม่ให้ถูกต้อง เลิกความเป็นทาส ทั้งในแง่ของวัตถุธรรม และนามธรรมนี่ มันไม่มีความรู้ เรื่องอะไรดีไปกว่าเรื่อง สุญญตา จึงได้พูดกันมาเรื่อยๆ ค่อนข้างจะยืดยาว ฉะนั้นขอให้ทนฟังสักหน่อย เอาไปคิด ไปนึก ไปพิจารณา ใคร่ครวญดู
ขอเสนอว่าไอ้ทางอื่นไม่ดีเท่าทางนี้ ทีนี้ดูกันต่อไป ถึงประโยชน์ของสุญญตา การรู้เรื่องสุญญตา และการปฏิบัติตามหลักของสุญญตา ว่าจะมีว่าอย่างไรบ้าง ในการที่จะแก้ปัญหาของสังคม เรื่องอื่นๆก็ได้กล่าวมาแล้วตามลำดับ
ทีนี้ก็มาถึงตอนที่เราจะต้องรู้ว่าสุญญตาจะให้สิ่งที่เราต้องการ ในการแก้ปัญหาชนชั้นแห่งยุคปัจจุบันนี้ได้อย่างไร ปัญหาชนชั้นนี้เข้าใจว่า รู้จักดีแล้วว่าหมายถึงอะไร คือความที่คนในโลกมัน มันต่างกันเหลือประมาณ พวกหนึ่งมีอำนาจเงิน มีกำลัง มีความเป็นอยู่ ต่างจากพวกหนึ่ง อย่างที่เรียกว่า ฟ้ากับดิน มันก็หาความสงบสุขไม่ได้ คือไม่มีความสมดุล เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในโลก ตามธรรมชาติ ของการที่คนเหล่านั้น ดำเนินชีวิตการเป็นอยู่ หรือการสังคม ต่อกันและกัน โดยปราศจากความรู้ที่ถูกต้อง หรือการไม่รู้เท่าถึงการ ก็ปล่อยให้เกิด อาการชนิดที่จะทำให้ แยกห่างกันออกไปทุกที ทุกที
จุดแรกก็อยู่ที่ ชนพวกที่จัดการเป็นคนกลาง เพื่อผู้ผลิตทั้งหลายจะได้มอบสินค้าของตน ให้ไปทำการซื้อขาย พวกที่เป็นคนกลางมีโอกาสที่จะเอาเปรียบ ส่วนผู้ผลิตเองไม่มีทางที่จะเอาเปรียบ กิเลสมันทำให้ทนอยู่ไม่ได้ เมื่อมีโอกาสจะเอาเปรียบ ผู้ที่อาจจะเอาเปรียบ ก็เอาเปรียบ ผู้ที่ไม่อาจจะเอาเปรียบ ก็คงไม่เอาเปรียบ เราต้องนึกถึงสมัยที่ว่ามนุษย์ ยังไม่มีการค้า ใครผลิตอะไรได้ ก็เก็บไว้เป็นทรัพย์สมบัติ เป็นหลักทรัพย์ ต่างคนต่างผลิต ไปคนละอย่างสองอย่าง ตามถนัดของตัว การแลกเปลี่ยนกันทำโดยตรงไม่ได้ จึงเกิดแหล่งกลางที่ทุกคนจะเอาของ ของตนไปรวมไว้ที่นั่น แล้วก็แลกเปลี่ยนกันได้ โดยสะดวกระหว่าง คนที่อยู่กัน คนละบ้าน คนละเมือง คนละมุมโลก
ทีนี้คนผลิต ตีราคาข้าวของ ของตนได้เพียงพอสมกันกับหยาดเหงื่อ หรือแรงงาน ตามที่เขาใช้กัน คนทำนามีข้าวมา ทำสวนมีผักผลไม้มา เลี้ยงสัตว์มีสัตว์มา มันขายไปพอสมกับ หยาดเหงื่อแรงงาน ส่วนคนกลางที่รับซื้อไว้ สำหรับแลกเปลี่ยนต่อ ค้าขายต่อนั้น เขาคิดเอาประโยชน์ จากกิจการของเขานั้น ไม่ ไม่ ไม่ใช่พอคุ้มๆ กับความเหน็ดเหนื่อย หยาดเหงื่อ หรือแรงงาน ทั้งที่เขาไม่ต้องเสียหยาดเหงื่อ หรือแรงงาน อะไรนัก เขาควรจะคิดค่าหยาดเหงื่อแรงงานของเขา อย่างเดียวกับที่ชาวนาที่ผลิตข้าว เขาคิด คือเอากำไรแต่น้อย พอคุ้มกับหยาดเหงื่อแรงงานที่เสียไปในการทำการค้า แต่นี่คนกลาง หรือผู้ทำการสื่อสารการค้าเหล่านั้น ไม่คิดอย่างนั้น เขามีทางที่จะกอบโกย เอากำไรได้เท่าไร เขาเอาเต็มที่ เอาอย่างไม่มีขอบเขต เขาก็ได้กำไรมาก เกิดพวกที่มีการได้กำไรมาก มีโอกาสที่จะเอากำไรมาก เป็นพวกพ่อค้าขึ้นมา ซึ่งต่อไปก็จะจับกลุ่มกันไปเป็นผู้มีอำนาจ มีอิทธิพลสูงขึ้นไป จนเป็นพวกที่เรียกว่า นายทุน พ่อค้าหรือคนกลางนี้ เสียแรงงานความเหน็ดเหนื่อย อะไรไปเท่าไร เขาคิดเอาค่าตอบแทน คือกำไรนั้น มากหลายเท่าของพวกผู้ผลิต ซึ่งมันเหน็ดเหนื่อยจริงๆ เช่นการทำนา นี่มันเหน็ดเหนื่อยจริงๆ แล้วคนผลิตก็ถูกตีราคาพอคุ้มๆ กันเท่านั้น ประชาชนพวกนี้จะได้ค่าหยาดเหงื่อแรงงาน พอคุ้มๆ กันเท่านั้น ส่วนพวกคนกลาง ก็ได้มากขึ้นไป มากขึ้นไป ก็ยิ่งมีอำนาจมากขึ้น จับกลุ่มกันเป็นกลุ่มนายทุนก็ยิ่งมีอำนาจมากขึ้น ในการจะผูกขาดกำไร
เมื่อคนเหล่านี้ ร่ำรวยขึ้น เขาก็ไปสร้างสิ่งที่ไม่จำเป็นขึ้นมาในโลก คือสิ่งฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ สวยงาม สนุกสนาน ไปขยายไอ้โลกนี้ให้เต็มไปด้วยสิ่งที่แพงมาก การก่อสร้างตึกรามก็ตาม สิ่งสำเริงสำราญทั้งหลายก็ตาม ที่มันเกิดขึ้นได้ แม้ที่สุดแต่สถานที่ตากอากาศ ที่สำนักรื่นเริงทางกามารมณ์ นี้มันเกิดขึ้นมาก และแพงที่สุด มันเอาเงินมาจากไหน ก็เอาเงินมาจาก ไอ้คนกลางที่ว่าสามารถจะบีบบังคับเอากำไรได้มากมาย จากคนที่ต้องเสียหยาดเหงื่อแรงงาน ได้ผลค่าตอบแทนพอคุ้มๆ กัน พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันๆ เท่านั้นเอง
ฉะนั้น ถ้าเราเห็นตึกร้อยชั้น หรือว่าสิ่งซึ่งฟุ่มเฟือยแพงมากนี่ แล้วเราลองนึกดูว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร มันเอาเงินมาจากไหน ซึ่งเมื่อก่อนนี้ก็ไม่เคยมีในโลกนี้ ก็มาจาก อย่างที่ว่า นั่นล่ะคือความแยกกัน จนเกิดช่องว่าง ระหว่างชั้น ทางหนึ่งไปไกลลิบ อีกทางหนึ่งยังอยู่อย่างเดิม คล้ายๆ กับว่ากี่พันปีมาแล้วก็ยังอยู่อย่างนั้น พวกที่ได้ชดเชย ได้ค่าชดเชยแรงงานพอเลี้ยงชีวิตไปวันหนึ่ง พวกคนกลาง พวกพ่อค้านั้นก็จะได้ค่าแรงงานของเขา เพียงแค่ทำงานเบา แล้วมันยังจะได้ค่าชดเชยมาก แล้วก็ไปสร้างโลก ให้เป็น โลกเทวดา
ที่พูดนี้ไม่ใช่จะว่า คัดค้านใคร หรืออะไร ก็ไม่ใช่ บอกให้เพื่อเป็นทางคิดว่า แม้แต่ธรรมชาติ มันก็ควบคุมไม่อยู่ มันยังเป็นถึงอย่างนี้ และปัญหาก็เกิดขึ้นแก่มนุษย์ อย่างที่เรากำลังเห็น แล้วก็ถึงกับต่อต้านกันอยู่ คือปัญหาชนชั้น ที่เกิดมาจากความไม่ยุติธรรม ไม่เป็นธรรม
นี่ก็มองดูที่จุดนี้อีกเหมือนกัน คือจุดตั้งต้นของปัญหาอยู่ที่ตรงนี้ เพราะการที่ทำอย่างนั้นมันไม่เป็นธรรม มันไร้ศีลธรรมอยู่ โดยไม่รู้สึกตัว แล้วมันก็จะไร้ศีลธรรมยิ่งขึ้น คือทางฝ่ายหนึ่ง ยิ่งมีกำไรมาก ยิ่งโลภมาก ยิ่งไม่มีศีลธรรมมาก ยิ่งมีอะไรเกิน เกินความเป็นธรรม หรือเกินความยุติธรรมมาก จนไม่มีศีลธรรมเหลือ นี่ฝ่ายร่ำรวย
ทีนี้ฝ่ายยากจนโกรธแค้นขึ้นมาก็ไม่คิดถึงศีลธรรม ไม่แก้โดยศีลธรรม ไม่แก้โดยวิธีที่เป็นสันติ ไปแก้ด้วยการใช้อำนาจ ยื้อแย้ง โดยถือว่านี่คือความเป็นธรรม มันก็ถูกอยู่เหมือนกัน ถ้าพูดอย่างภาษาของกิเลส หรือภาษาสามัญธรรมดา แต่ถ้าพูดตามภาษาธรรมะ หรือศาสนาแล้วก็ ยังไม่ถูก เพราะการฆ่า หรือการทำลายล้างกันนั้น มันไม่ถูก ต้องหาวิธีอื่น เพราะว่าเมื่อไปฆ่ากันเข้าแล้ว มันก็จะเกิดการอาฆาต จองเวร ฆ่าไป ฆ่ามา ไม่รู้สิ้นสุด ฉะนั้นจึงเชื่อว่าการแก้ปัญหาด้วยการฆ่ากันนี้ คงจะไม่สิ้นสุด กรรมกรจะชนะได้สักยุค สักสมัยหนึ่ง แล้วก็มีความเป็นนายทุนเสียเองอีก ก็มีอีกพวกอื่นมาแก้ไข ลบล้าง ต่อต้านอีก มีแต่จะกลับไป กลับมา กลับไปกลับมา เพราะมันเป็นการแก้ไขแต่เพียงกำลังกาย กำลังวัตถุ ไม่ใช่เรื่องของศีลธรรม
ทีนี้จะแก้เรื่อง ศีลธรรม ต้องแก้อย่างไร ก็ต้องชักจูงกันให้มีศีลธรรม ซึ่งมีรากฐานอันลึกซึ้งอยู่ ที่เรื่อง สุญญตา อย่างที่ว่ามาแล้ว เกิดมีธรรมะขึ้นในจิตใจของฝ่ายนายทุน ก็ทำไม่ลง สำหรับการเอาเปรียบที่ไร้ศีลธรรม และก็จะเกิดความรู้สึก เมตตากรุณา อย่างที่เราได้พูดกันแล้ว ในการบรรยายครั้งหลังสุดนี้ ว่าสุญญตา ทำให้เกิดเมตตา กรุณา ลึกสุดเกิดความเสียสละที่ไม่หวังผลตอบแทน โดยไม่เห็นแก่ตัว จิตของนายทุนก็เปลี่ยนเป็นเศรษฐีใจบุญ ไม่ใช่นายทุนโหดร้าย แต่เป็นเศรษฐีใจบุญ ที่จะทำตนเป็นเหมือนที่พึ่งของคนยากจน หนักเข้าก็จะกลายเป็น บิดามารดาไป ที่มีเมตตากรุณาต่อลูก คือคนยากจน ทางคนยากจนนี่ก็เหมือนกัน พอได้อาศัยความรู้เรื่องสุญญตา ก็จะบังคับตัวเองได้ ไม่ทำความผิดพลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ อบายมุข ที่จะทำให้ยากจนต่อไป มีธรรมะอย่างอื่น เกิดขึ้นอีกด้วย ก็ทำตัวเป็นผู้ที่ร่วมมือกันได้ กับพวกเศรษฐีใจบุญ ชนกรรมาชีพทั้งหลายเหล่านั้นก็กลายเป็นลูกเป็นหลานไป ไม่มีคำว่า ชนกรรมาชีพผู้โหดร้าย หรือผู้ดุร้าย เกิดขึ้นมาได้อีก
สรุปความว่า ฝ่ายนายทุนที่ประกอบด้วยธรรมะนั้น ก็กลายเป็นบิดามารดา ที่มีเมตตากรุณาไป ฝ่ายชนกรรมาชีพที่ยากจน ที่มีธรรมะนี้ ก็กลายเป็นลูกหลานที่ดีไป ช่องว่างเลยเต็มเอง ปัญหาชนชั้นก็ไม่มี ทั้งสองฝ่ายก็จะต้องเปลี่ยนไปตามกรรม ไม่ใช่คนเราจะรวยได้ตลอดไป เดี๋ยวก็เปลี่ยนเป็นคนจนได้ คนจนก็ไม่ใช่จะจนเสียตลอดไป เดี๋ยวก็เปลี่ยนเป็นคนรวยได้ ขอไว้ให้คงที่เสียอย่างหนึ่งก็คือว่า ให้มีธรรมะ ให้ตั้งอยู่ในธรรมะ ให้มีศีลธรรม เท่านั้น แล้วมันก็จะแก้ปัญหาได้
นี่คือข้อที่ว่า ไอ้สุญญตา จะช่วยแก้ปัญหาแม้แก่สังคม คือจะอำนวยให้สิ่งซึ่งเป็น ให้สิ่งซึ่งจะอำนวยให้ซึ่งสิ่งที่เป็นปัจจัย ในการที่จะแก้ปัญหาสังคม ซึ่งกำลังมีอยู่ในปัจจุบัน ที่เราเรียกกันว่า ปัญหาชนชั้น
ทีนี้จะดูกันให้ละเอียด ลงไปถึงไอ้ตัวปัญหา และจะแก้ปัญหาของชนชั้นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก่ฝ่ายที่มีปัญหามาก ส่วนใหญ่ของสังคมมนุษย์ คือคนจนนั่นเอง ใครๆ ก็พอจะมองเห็นได้ เข้าใจได้ว่า ในโลกนี้มันมีคนจนมากมาย แม้แต่ในประเทศไทยเรานี่ มันก็มีคนจนมากมายตั้ง ๙๐, ๙๕% เลยของคนทั้งหมดก็ได้ ปัญหาใหญ่ มีรากฐานอยู่ที่คนเหล่านี้ เพราะฉะนั้นก็จะพูดถึงคนเหล่านี้เป็นหลัก ว่าความรู้เรื่อง สุญญตา จะช่วยแก้ปัญหาของคนเหล่านี้ได้อย่างไร
เมื่อจะพูดกันโดย คร่าวๆ เป็นทีก่อน พอให้รู้เค้าเงื่อน ก็จะพูดว่า ทุกคนจะต้องมีความอดทน เพียงพอ ทุกคนจะต้องมีการปรองดองกันได้ อย่าต้องทะเลาะวิวาทกัน จะต้องละสิ่งซึ่งควรจะละ เสียได้ ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็ไม่ยอมละ จะต้องมีคุณธรรม หลายอย่างที่จำเป็นแก่การที่จะอยู่ร่วมกันได้ หรือว่าจะทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้อง เจริญรุ่งเรือง ไม่ผิดพลาด ในที่สุดก็คือความสามัคคี ชนิดที่เห็นแก่สังคม ไม่ใช่เห็นแก่ตัว ตัวคนแต่ละคน
คำว่าสามัคคีนี้ ดูให้ดีๆ ถ้าสามัคคีแท้เป็นธรรมะบริสุทธิ์แล้ว มันต้องทำไปเพราะเห็นแก่สังคม ถ้าเป็นสามัคคีที่เห็นแก่บุคคลคนหนึ่ง เพื่อประโยชน์ของตัวแล้ว มันเป็นสามัคคีเก๊ เป็นการสุมหัว กันอย่างพร้อมเพรียงที่สุด จะไปกอบโกยเอาประโยชน์อะไรมาเพื่อประโยชน์ของตน แต่ละคน ละคน อย่างนี้มันเป็นสามัคคีของคนพาล ไม่ใช่สามัคคีของบัณฑิต ไม่เรียกว่าสามัคคี ใครๆ ก็มีได้ ถ้าว่าจะให้ได้ประโยชน์ ใครชักชวนทีเดียวก็เอา แล้วก็รวมหัวกันอย่างเหนียวแน่น แล้วก็ไปปล้นประโยชน์อะไรมา ไม่เรียกว่าสามัคคี เพราะไม่แก้ปัญหาของสังคม กลับเพิ่มปัญหาของสังคมเสียด้วย
ทีนี้จะดู เป็นข้อๆ เป็นพวกๆ ไป ทีละพวก ถึงคุณธรรมที่ความรู้เรื่องสุญญตา จะอำนวยให้ในการแก้ปัญหาสังคมนั้น จะแบ่งคุณค่าของธรรมะนี้ ที่เกี่ยวกับปัญหาที่แก้ปัญหานั้น เป็นปัญหาภายนอก เป็นปัญหาภายใน ให้เป็น ๒ พวกเสียก่อน จะเข้าใจง่าย เราเอาชนะเรื่องภายนอกไม่ได้ มีปัญหาอยู่นี่ก็เรียกว่า ปัญหาภายนอก เราบังคับตัวเอง บังคับจิตใจเป็นภายในไม่ได้ นี่เรียกว่าเป็นปัญหาภายใน
ในการที่จะร่วมมือกันแก้ปัญหานี่ ที่เป็นภายนอก ก็อดทน ทีนี้ความอดทนนั้น แยก แยกดูว่ามันมีอดทนต่ออะไรบ้าง อดทนโดยทั่วไปตามธรรมชาติ มันก็คืออดทนต่อปรากฏการณ์อันวิปริตของธรรมชาตินั่นเอง โดยตามธรรมชาติ จะต้องมีน้ำท่วม แผ่นดินถล่ม หรือ พายุอันร้ายกาจ มีมากมาย วิกฤตการณ์ตามธรรมชาติ หรือว่าปรากฏการณ์อันวิปริตของธรรมชาติ อย่างนี้เราก็ต้องมีอะไรที่ทำให้ จิตใจ มันไม่ท้อถอย เรียกว่า ทนได้ เห็นเป็นของธรรมดา และตั้งหน้าต่อสู้แก้ไขต่อไป
เรารู้เรื่องสุญญตา ทำให้เห็นเป็นของธรรมดา แล้วก็หัวเราะเยาะ ได้ประโยชน์ชั้นแรกก็คือ ไม่มีความทุกข์ และต่อไปก็เข้มแข็งสำหรับจะดำเนินชีวิตต่อไป เช่นสมมติว่า เราไปไหนมา กลับมาถึงบ้าน น้ำท่วมพัดพาไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรเหลือเลย เราจะมีจิตใจอย่างไร จึงจะไม่เป็นทุกข์ หรือจะทนได้ต่อวิกฤตการณ์อันนี้ ไม่เป็นโรคประสาท ไม่เป็นบ้า ไม่เป็นอะไรไปเสีย นี่เรียกว่าเป็นธรรมชาติ เป็นปัญหาตามธรรมชาติ นั้นอาจจะมีได้ทั่วๆ ไป
ทีนี้อดทนต่อความวิปริต ที่มันเป็นผลทางการเมือง รวมถึงเศรษฐกิจ หรืออะไรด้วยในโลกนี้ นี่มันไม่ใช่ธรรมชาติ เพราะมนุษย์มันทำขึ้น และมันก็มีผลออกมาเป็นความวิปริต ที่ทำให้เกิดปัญหา เกิดความยุ่งยากลำบากแก่คนส่วนใหญ่ เกือบทั้งหมด คนน้อยคนที่ได้รับประโยชน์ คือผู้ทำที่ทำเพื่อประโยชน์ของตน ผลที่มันแผ่ไพศาลออกไปถึงคนอื่นนั้น ทำให้เขาลำบาก แล้วเราจะทำอย่างไร ก็ต้องมีความอดทนได้เหมือนกัน หัวเราะเยาะได้ แล้วแก้ปัญหาต่อไป
จึงอยากให้เลย ให้มองเลยไปถึงว่า ไอ้ความวิปริตที่มันเกิดจากสงคราม เป็นผลมาจากสงคราม และที่สุดเป็นผลมาจากอุบัติเหตุ ที่มันเกิดขึ้น โดยไม่มีใครเจตนา นี่ก็ต้องหัวเราะเยาะได้ ต้องทนได้ พุทธบริษัท หัวเราะเยาะได้ และทนได้ ไม่โวยวาย ถ้าไม่ทน จิตใจผิดปรกติ จะเป็นทุกข์ และจะแก้ปัญหานั้น อย่างที่ไม่เป็นธรรม มันก็เลย เพิ่มปัญหาขึ้น จนวินาศกันไปทั้งหมด
นี่ความอดทน มันมีอย่างนี้ แต่ไม่มีใครมองมันอย่างนี้ มองไปใน ใน ในทางที่จะไม่อดทน หรือไม่เห็นว่าการอดทนนี้ จะมีประโยชน์อะไร อยากให้มองต่อไปอีกว่า อดทน ต่อการเยาะเย้ย การแข่งขัน การกลั่นแกล้ง นี่คนทั่วไปก็ไม่อดทน ปัญหาอาชญากรรมกลางถนนหนทางในเมืองหลวง ก็เกิดมาจากไอ้สิ่งเหล่านี้ ไม่อดทนในเรื่องเยาะเย้ยแข่งขัน กลั่นแกล้ง เรื่องนิดเดียวก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ และก็ไปฆ่ากัน บานปลายออกไป เพราะมันไม่อดทน ปัญหาสังคมก็มีมาก เพราะการไม่อดทนของคนเหล่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ของคนยากจน อย่าเข้าใจไปว่า เมื่อเขาไม่อดทน ก็มีปฏิกิริยาสวนไปอย่างสาสม แล้วมันจะแก้ปัญหาได้ อย่าไปคิดอย่างนั้น มันจะเพิ่มปัญหามากขึ้นไปอีก
ทีนี้ก็ดูต่อไปถึง ไอ้ความอดทน ที่เกิดมาจากความเหน็ดเหนื่อย ความลำบาก ในการประกอบอาชีพ หรือการงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งของคนยากจน เขาจะต้องเหน็ดเหนื่อยมาก ลำบากมาก แล้วก็ได้ผลตอบแทนเพียงประทังชีวิต ฉะนั้นจึงต้องมีทุนสำรองที่ดีไว้ก่อน คือความอดทน ไม่สร้างไอ้สิ่งที่มันเป็นการทำลายขึ้นมา ก็หมายความว่าอดทนไปกว่าจะรอดมาได้ จะยกตัวขึ้นพ้นจาก ไอ้ความตกต่ำนั้นได้ นี่คือความอดทนที่ยังขาดอยู่ ซึ่งมีปัญหาทางสังคม หรือปัญหาทางชนชั้นเกิดขึ้น เพราะความไม่อดทนทั้งหลายเหล่านี้
ทีนี้จะดูปัญหา หมวดที่ ๒ คือปัญหาการปรองดอง พอปรองดองกันไม่ได้ ระหว่างชนชั้นนั่นเอง คือชนชั้นนายทุน กับชนชั้นกรรมาชีพทุกชนิด ปรองดองกันไม่ได้ เพราะอะไร เพราะเหตุว่ามันขาดอะไร จิตใจมันเป็นอย่างไร มันจึงปรองดองกันไม่ได้ เพราะไม่ประกอบด้วยธรรมะ ชนิดที่ทำให้ปรองดองได้ ก็คือความเห็นแก่ตัว มีธรรมะหลายอย่างที่จะแก้ไข ไอ้ความรู้สึกที่ทำให้ปรองดองกันไม่ได้ แต่ว่าไม่มีธรรมะไหนจะดี จะเลิศไปกว่า ไอ้ธรรมะประเภท สุญญตา ถ้ายังจำได้อยู่ถึงการ บรรยายในครั้งที่แล้วมาว่า สุญญตา ทำให้เกิดความรู้สึกอย่างไรบ้าง จะตอบปัญหานี้ได้ดี ถ้านายทุนและชนกรรมาชีพ มีธรรมะชนิดที่ทำให้ไม่เห็นแก่ตัว ความปรองดองจะง่ายที่สุด
นี่ความปรองดองระหว่าง รัฐบาลกับกรรมกร อย่างที่กำลังมีอยู่เรื่อง รถเมล์ เรื่องข้าวสาร เรื่องแรงงาน พูดกันไม่ได้ ไม่รู้เรื่อง ระหว่างรัฐบาลกับคนยากจน เพราะมันขาดอะไร มันขาดอะไรๆ อยู่หลายอย่าง แต่ว่าส่วนใหญ่มันขาดไอ้ความรู้ ที่ทำลายความเห็นแก่ตัว รัฐบาลไหน ประเทศไหน ชาติไหน ก็เหมือนกันนั่นแหละ ดูให้ดีเถิด มันเป็นเพียงคนกลุ่มหนึ่งซึ่งเสนอตัวเข้ามาเพื่อจัดประเทศ เมื่อเสนอตัวกันมากๆ เข้า มันก็มีการแย่งกันเข้ามาเป็นรัฐบาล ด้วยวิธีการซึ่งสกปรก เหนือสกปรกก็มี ไอ้คนที่แย่งเข้ามา เสนอตัวเพื่อเป็นรัฐบาลนั้น ก็ดูเอาเองเถอะว่า มันจะประกอบอยู่ด้วยธรรมะกี่มากน้อย หรือในลักษณะอย่างไร แล้วเป็นรัฐบาลที่มุ่งหมายจะฟาดฟันรัฐบาลคู่แข่งขัน จึงได้แย่งชิงกัน ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาเป็นรัฐบาล ไม่กี่วันก็มี ไม่กี่เดือนก็มี พอล้มรัฐบาลนี้ลงได้ มีรัฐบาลนั้นเข้ามา รัฐบาลโน้นออกไป รัฐบาลนี้เข้ามา นี่เรียกว่า มันเป็นไอ้ ฝ่ายที่มีอะไร เต็มอัดอยู่ด้วยความหมายมั่น เพื่อตัวหรือพวกของตัว
ทีนี้กรรมกรทั้งหลาย ที่จะปรองดองกับรัฐบาลนี้ ก็เป็นฝ่ายที่มีความเห็นแก่ตัว อย่างยิ่งที่สุด อยู่ด้วยเหมือนกัน เมื่อขาดธรรมะแล้ว ก็เห็นแก่ตัวด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย การปรองดองระหว่าง รัฐบาลกับกรรมกรก็มีไม่ได้
ทีนี้คู่ต่อไปอีก คือประชาชนกับไอ้บริการทั้งหลาย ประชาชนทั่วไป ต้องการใช้บริการนั่นนี่ บริการรถเมล์ บริการอะไรก็แล้วแต่ มันมีมากมาย หลายสิบหลายร้อยบริการ มันทำความเข้าใจกันไม่ได้ มันทำความรักใคร่กันไม่ได้ มันแบ่งเป็นฝักฝ่าย เป็นเขาเป็นเรา กันอย่างเคร่งเครียด แล้วจะปรองดองกันได้อย่างไร ฝ่ายผู้จัดบริการ ก็จะเอาประโยชน์เอากำไรกันให้มากที่สุด ฝ่ายผู้ใช้บริการก็จะเอาประโยชน์ฝ่ายตนให้มากที่สุด ไม่มีธรรมะสำหรับปรองดอง ถ้าไม่มีธรรมะ มันก็ไม่มีทางจะปรองดอง ธรรมะที่ดีที่สุดคือ ธรรมะประเภทที่ ทำให้ไม่เห็นแก่ตัว
ความเห็นแก่ตัวนี้ มันเป็นความรู้สึกที่ผิดๆ หรือ ไม่เป็นธรรมะ เป็นความรู้สึกของกิเลส ดึงไปตามทางของกิเลส จึงรั้น กระด้าง กระด้างต่อกัน อย่างไม่มีทางที่จะปรองดองกันได้ นี่ปัญหาสังคมเป็นอย่างนี้ ถ้าเป็นปัญหาชนชั้นโดยตรงก็เป็นอย่างนี้ ตัวผู้ให้บริการ อาจจะเป็นชนชั้น ชั้นหนึ่ง ต่างหาก ผู้ให้บริการอาจจะเป็นชนชั้น ชั้น อีกชั้นหนึ่งต่างหาก มันก็ยิ่งปรองดองกันไม่ได้ ระหว่างชนชั้น
เอ้า, คู่ต่อไป ก็อยากจะพูด ถึงว่า พวกคุณนั่นแหละ เป็นนักศึกษา ก็ปรองดองอะไรกันไม่ได้กับรัฐบาล ก็มีอยู่บ่อยๆ ข้อเรียกร้องอะไรต่างๆ รับไม่ได้ หรือว่า ไอ้การกระทำที่ไม่ถูกใจ ก็คัดค้าน แล้วก็ปรองดองกันไม่ได้ เดี๋ยวนี้ก็มีอยู่ทั่วๆ ไป ไม่ว่าในประเทศไหน แล้วประเทศไทยก็มี ข้อขัดแย้งระหว่างนักศึกษากับรัฐบาล มีอยู่ตลอดกาล ประเทศไทยเรามีเรื่องอะไรที่ไหนบ้าง ก็อ่านดูหนังสือพิมพ์ก็แล้วกัน ทำไมปรองดองกันไม่ได้ เพราะต่างคนต่างก็มองกันไปคนละทาง ฮึดฮัดกันไปคนละทาง เหยียดหยามกันไปคนละทาง ไม่มีธรรมะที่จะทำให้จิตว่าง มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เข้ามาทำการปรองดอง
คู่ต่อไป นักศึกษากับนายทุน เดี๋ยวนี้นักศึกษาอยู่ฝ่ายคนจน ก็เลยเกิดคู่ต่อสู้คือนายทุนขึ้นมา ไม่มีทางจะปรองดองกันได้ ก็เพราะเหตุอย่างเดียวกัน
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมด ทุกเรื่องเป็นเพียงตัวอย่างที่เอามาให้ดู ให้มองดู ให้คิดดู ให้สอดส่องดูว่า ความปรองดองมีไม่ได้ ทั้งที่ความปรองดองนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่สุด สำหรับจะแก้ปัญหาชนชั้น หรือปัญหาสังคม
นี่เรื่องของความปรองดองทั้งหลายจะมีได้ ก็เพราะว่ามีธรรมะที่ทำความไม่เห็นแก่ตัวครั้งเดียว เข้ามาเป็นเครื่องช่วยแก้ปัญหา ๒ หมวดนี้เราเรียกว่า มันเป็นปัจจัยภายนอก ที่ต้องอดทน คือต้องจัดการกับคนภายนอก
ทีนี้อีกส่วนหนึ่ง ก็เป็นปัญหาภายใน คือต้องจัดกับตัวเอง นี่เราเรียกว่าปัญหาภายใน ถ้าต้องจัดกับคนอื่น หรือภายนอก เรียกว่า ปัญหาภายนอก ปัญหาภายในก็มีอยู่หลายหมวด ปัญหาพวกปัญหาภายในนี้ ก็ยังต้องมีเรื่องของความอดทนอีกนั่นแหละ นึกออกหรือไม่นึกออก ก็ลองนึกดูพลาง ไอ้ความอดทนในภายใน ไม่ต้องมีบุคคลที่ ๒ เข้ามา คืออดทนต่อการบีบคั้นของกิเลส
ใครบ้างที่ไม่มีกิเลส ถ้าไม่มีกิเลสก็แล้วไป ในเมื่อมีกิเลส แล้วก็ดูต่อไปว่า กิเลสมันบีบคั้นอย่างไร มันบีบคั้นไปในทางไหน คือกิเลสจะชักจูงไปในทางไหน ถ้าเป็นกิเลส ก็ต้องชักจูงไปในทางต่ำ หรือทางปิด ก็ตามใจกิเลสนั้นเอง ถ้าเราทนต่อการบีบคั้น ชักจูงต่อกิเลสไม่ได้ ก็ทำไปตามกิเลส อย่างนี้แล้ว ไม่มีทางที่จะแก้ไขปัญหาอะไรได้ มีแต่สร้างปัญหา เพิ่มปัญหา แล้วก็จะต้องวิวาททำลายล้างซึ่งกันและกัน ก็ต้องอดทน เมื่อมันยังทำอย่างอื่นไม่ได้ อย่าลุอำนาจแก่กิเลส จะต้องอดทน เพื่อไม่ให้ลุอำนาจแก่กิเลส ให้ดำรงตนอยู่ในความถูกต้อง แล้วก็แก้ปัญหาต่อไป จนกว่าจะหมดการบีบคั้นของกิเลส
ถ้าฝ่ายคนจนจะแก้ปัญหานี้ ก็ต้องมีความอดทนอย่างนี้ ถึงแม้คนร่ำรวย คนมั่งมี ที่ประกอบไปด้วยธรรม เขาก็ต้องแก้ปัญหาอย่างนี้ได้ อดทนต่อการบีบคั้นของกิเลส ของคนมั่งมีได้ จึงจะผ่อนผัน สั้นยาว ให้แก่คนยากจนได้ ทุกคนที่จะแก้ปัญหาได้ต้องเข้มแข็ง คืออดทนต่อการบีบคั้นของกิเลส ที่ดึงไปแต่ในทางเห็นแก่ตัว เมื่อไม่ได้ตามใจตัวก็ ก็เรียกว่ามีอาการเจ็บปวด หรือทนทุกข์ ถ้าไม่อดทนได้ ก็ต้องทำตามอำนาจของกิเลส นี่เป็นหลักทั่วไป ขอให้มองดู แม้ไม่ได้เกี่ยวกับปัญหาชนชั้น หรืออะไรก็เถอะ ทุกคนจะมีปัญหา ธรรมชาติอันนี้ คือการบีบคั้นของกิเลส แล้วทนมันไม่ได้ สู้มันไม่ได้ ก็พ่ายแพ้แก่กิเลส แล้วก็ล้มเหลว ในการศึกษาก็ดี ในการประกอบอาชีพก็ดี ถ้าอดทนต่อความชักจูง ยั่วยวนบีบคั้นของกิเลสไม่ได้ เรื่องต่างๆ เหลว ศีลธรรมก็เหลว อะไรก็เหลว
ความอดทนต่อไป ก็คือ อดทนตามสภาพของสังขาร ที่มันจะต้องมี ความทุกข์ เพราะความเปลี่ยนแปลงของสังขารนั่นแหละ คือ ของร่างกาย ก็จะต้องอดทน ไม่มีใครมาทำให้ ต้องทำเอง ต้องแก้ไขเอง ตั้งต้นด้วยการอดทน อย่าเป็นทุกข์ให้มันเป็นคนวิกลจริตไปเสีย เราก็แก้ไขไปตามเรื่องของความทุกข์ชนิดนั้น
ทีนี้ดูว่า ดูต่อไปว่าจะอดทนต่อการบีบคั้นของความยากจน หรือปัญหา เฉพาะหน้า เนื่องมาจากความยากจน ข้อนี้ เป็นปัญหาใหญ่ เป็นปัญหาจริง เป็นปัญหาที่มีอยู่มาก ที่ไม่อดทนแล้วก็ไปสร้างหนี้ สร้างหนี้เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น ไม่เท่าไหร่ก็ล้มละลาย คนยากจน จะเป็นชาวนา หรือเป็นอะไรก็ตาม เพราะไม่อดทน ในคราวที่ควรอดทน ในสถานะที่ต้องอดทนอย่างคนยากจน เขาก็ไปทำอย่างคนมั่งมี เขาไม่มีเงิน เขาก็ไปกู้หนี้ พอหนี้เพิ่มมากเข้าก็ เปลื้องหนี้ไม่ไหว เขาก็เป็นคนล้มละลาย ทรัพย์สมบัติทั้งหลาย ที่ดิน ก็เป็นของคนอื่นหมด มีเหลืออยู่เท่าฝ่ามือ ถ้าเขาอดทนได้ และแก้ไขต่อสู้ไปเรื่อยๆ ไม่เท่าไหร่ ก็จะค่อยพ้นจากความยากจน
นี่เป็นความเขลาของคนยากจน อยากจะทำอะไรอย่างคนไม่ยากจน แล้วบางทีก็พาดพิงมาถึงศาสนา เอาศาสนาไปเป็นเครื่องแก้ตัว ด้วยความโง่ของตัว ทำให้เห็นสิ่งที่มิใช่ศาสนา กลายเป็นศาสนาไป
เอ้า, จะยกตัวอย่างให้มันตรงเลยว่าเช่น บวชนาค อย่างนี้ บวชลูก บวชหลาน ให้เป็นพระขึ้นมา การใช้จ่ายอย่างมากมาย ในการบวชนาคนั้น ไม่ใช่เรื่องของศาสนา เขาก็ยังโง่ เอามาเป็นเรื่องของศาสนา ถ้าเป็นการบวชแท้จริงตามแบบพระศาสนา ไม่ต้องเสียสักสตางค์หนึ่ง คือออกไปหาสำนักที่จะรับเข้าไว้ ฝึกฝนอบรมอยู่จนสามารถที่จะบวชได้ และทางสำนัก ครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ ก็จะให้ผ้าไตร ให้บาตร มีคนช่วยให้ผ้าไตร ให้บาตรแล้ว เขาก็บวชได้ พ่อแม่ไม่ต้องเสียสักสตางค์หนึ่ง ฉะนั้นพวกคุณคุณที่บวชกันคราวนี้ ถ้ามีเสียสตางค์มากๆ แล้วก็ขอให้รู้เถิดว่า ไม่ใช่เรื่องของศาสนา เป็นเรื่องบ้าบออะไรอย่างหนึ่งแน่
ทีนี้คนจนแท้ๆ น่ะ ก็อยากจะบวชลูกอย่างมีหน้า ไปกู้เงินเขามา อย่างบางรายเขาเล่าให้ฟัง บวชลูกคนหนึ่ง ใช้เงิน ๑ หมื่นบาท แล้วส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่อง เลี้ยงดูสนุกสนาน สีแสง อะไรต่างๆ พอบวชลูก บวชลูกหมดทั้ง ๓ คน เป็นหนี้ เกินค่าของที่นาที่มีอยู่ ที่นานั้นก็หลุดไปเป็นของนายทุน เพราะว่าบวชลูก ๓ คน การที่คนจน อยากจะเอาหน้า อยากจะทำตามคนมั่งมี ไม่เจียมตัว ว่าเป็นคนจน ไม่อดกลั้น อดทนต่อความเป็นคนจน แล้วบวชนาคลูกสักคนหนึ่ง เสียเพียงค่าบาตรจีวรก็พอ นี่ไม่เอา
นี่เรียกว่าความจน ที่มันเดินหน้าไกลออกไปเป็นเรื่องของความ เข้าใจผิด เป็นมิจฉาทิฐิ นี่แม้ความยากจนตามธรรมดา ขอให้อดทนไปก่อนเถิด ไม่เท่าไหร่ มันก็จะผ่านพ้นไปได้
นิทานที่ไม่ขี้เกียจเล่า คนบางคนเคยฟังจนเบื่อแล้ว ก็ยังอยากจะเล่า ว่าเจ๊กคนหนึ่ง เขามาจากเมืองจีน เป็นลูกจ้างเขา มีเงินนิดหน่อย ซื้อเป็ด ซื้อไก่ขาย จนกระทั่งตั้งร้านชำเล็กๆ ได้ ที่บ้านนอกเขากินข้าวกับใบมะขามต้มเกลือ ตลอดเวลาเป็นปีๆ เขาอดทนได้ เดี๋ยวนี้มีคนไทยคนไหนที่ทำอย่างนี้บ้าง ในประวัติที่มันเคยรู้กันจริงนี้ นี่เป็นเรื่องจริง ถ้าเขาถามว่า ทำไมลื้อทำอย่างนี้ เขาก็บอกว่า ป่วยเป็นโรคชนิดหนึ่ง หมอห้ามไม่ให้กินหมูกินปลา กินเนื้อกินไก่ หมอห้าม แล้วคนไทยคนไหนบ้าง มันทำอย่างนี้ มันไม่มีล่ะ แม้ว่าสูบบุหรี่อยู่ จะบอกว่าหมอห้าม แล้วเลิกสูบนี่ก็ไม่ได้ เราขอร้องอย่างนี้ มันก็ยังไม่ได้ ต่อมาเขาก็มีเงินมาก มีบ้าน มีบุตร ภรรยา เขาก็กินเนื้อกินปลา กินหมูกินไก่ ได้เหมือนคนอื่น มีคนถามว่า ทำไมล่ะ เดี๋ยวนี้เป็นยังไง จึงกินของอย่างนี้ เขาว่า เดี๋ยวนี้มันก็หายแล้ว ไอ้โรคนั้นมันหายแล้ว นี่มันแสดงลักษณะของความอดทน เป็นเวลา ๑๐ปี ๑๕ ปี กินข้าวกับใบมะขามต้มเกลือ พวกคุณคงทำไม่ได้ ขอท้า ประณามว่าพวกคุณที่นั่งอยู่นี้ คงทำไม่ได้ เหมือนกับเจ๊กคนนี้ สักครึ่งของเจ๊กคนนี้ ก็ทำไม่ได้ สักเสี้ยวของเจ๊กคนนี้ ก็คงจะทำไม่ได้ ไม่มีความอดทน ถ้ามีความรู้ทางธรรมะดี ความอดทนจะเป็นของสนุก ถ้าไม่มีความรู้เลย พอจะต้องอดทนอะไรสักนิด ก็กลายเป็นนรก เป็นอะไรขึ้นมาทีเดียว มันไม่ยอมอดทน
ความอดทนต่อไปที่จำเป็นจะต้องมีอีกก็คือว่า อดทนต่อการถูกสบประมาท นั่นเอง ใครมาประมาทเรา สบประมาทเราเป็นคนจน เป็นลูกคนจน เป็นอะไรจน เราก็โกรธ ไปชกไปต่อย ไปตี ไปด่าเขาก็มี เกิดเรื่องพินาศหมดก็มี ทีนี้เอาแต่เพียงว่า เมื่อใครเขามาสบประมาทว่าไอ้ลูกคนจน มันก็อยากจะแต่งเนื้อแต่งตัวดีขึ้นมาทันที หาอะไรมากลบปมด้อยของไอ้ความถูกหาว่าเป็นลูกคนจนขึ้นมาทันที นี่คือความไม่อดทน
ความรู้ทางธรรมะ ถ้ามีจริง จะทำให้ความอดทนกลายเป็นของสนุกสนาน น้อยคนที่จะเชื่อ แต่ผมก็ขอยืนยันอย่างนี้ ให้พวกคุณจำไปด้วยว่า ถ้ามีธรรมะแล้ว ความอดทนจะกลายเป็นของสนุกสนาน ไม่มีธรรมะแล้ว ความอดทนนี่จะกลายเป็นสิ่งที่ โอ๊ย, เลวร้ายที่สุด แล้วก็ไม่ยอมอดทน
นี่ หมวดของความอดทนที่เป็นภายใน ต่อไปนี้ ก็จะพูดถึงหมวดของการเสียสละ สิ่งที่ต้องเสียสละ ซึ่งคนส่วนมากไม่ยอมเสียสละ แล้วก็แก้ปัญหาไม่ได้ ปัญหาชนชั้นในเวลานี้ ตามความรู้สึกของผม ทางฝ่ายคนจน ผมมองเห็นแล้วก็พูดออกไปในทำนองว่า เขาไม่ยอมเสียสละสิ่งซึ่งควรเสียสละ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อบายมุขทั้งหลาย แล้วก็มีคนค้านว่า ผมนี่ กล่าวอย่างนี้ นี่เป็นการประณามคนยากจน มากเกินไป ผมก็ยืนยันว่า ไม่ได้มีการประณาม หรือแกล้งประณามคนยากจน เพราะคนยากจนนั้นยังบูชา อบายมุขมากเกินไป จนไม่รู้จักว่านี่เป็นอบายมุข แล้วเขาก็กระเตื้องขึ้นไม่ได้ แล้วเขาก็จะคิดเป็น ทำนองที่ว่า เป็นของเล็กน้อย
อบายมุขทั้ง ๖ นี้ คนหนุ่มๆ ควรจะท่องอย่างขึ้นใจ แล้วก็นึกได้ทันที ที่มันเอียงไปในอบายมุข อย่างใดย่างหนึ่งเหล่านั้น ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการละเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน คนยากจนยังมีอยู่อย่างสมบูรณ์ แล้วไม่รู้สึกว่าเป็นอบายมุข แล้วไม่เห็นว่าเป็นของใหญ่โต คือเป็นอันตรายที่ใหญ่หลวง เขาไม่รู้ ไม่รู้สึก คบค้ากับอบายมุขนี้อย่างสนิทสนมอยู่ตลอดเวลา
ถ้าจะรู้จักอบายมุขดี พวกคุณๆ ที่นั่งอยู่นี่ ลองสอบสวนตัวเองดูว่ามันมีอบายมุขหรือไม่ ไอ้ดื่มน้ำเมานี่ หมายความว่าอะไรก็ได้ ที่ดื่มแล้ว กินแล้ว สูบแล้ว ทาแล้ว เกิดความครึ้มในใจ เป็นความสุขสนุกอย่างหลอกลวง แล้วไม่เท่าไรก็จะต้องเสพติด เช่น ดื่มสุราก็จะติดสุรา ดื่มอะไรก็จะติดสิ่งนั้น สูบเฮโรอิน ก็จะติดเฮโรอิน สูบฝิ่นก็จะติดฝิ่น โดยที่มันมีเสน่ห์ยั่วยวน นักศึกษาทั้งหลายก็กินเหล้า มีนักศึกษา ติดเฮโรอิน ก็มี
ทีนี้อยากจะพูดถึงว่า ไอ้ความเมานี้ มันยังมีความเมา ในทางวิญญาณ คือทางฝ่ายนามธรรม เมาเกียรติ เมายศ เมาหน้าเมาตา เมานี้ก็ยังเมา มีอะไรมากระตุ้นให้มันเมา ก็ต้องจัดไว้ในของเมา ด้วยเหมือนกัน เป็นนามธรรม จึงทำอะไรได้แปลกๆ อย่างไม่น่าเชื่อหรือไม่น่าทำได้ ก็ทำได้ เมายศ เมาเกียรติ เมากาม เมาอะไรก็ตาม เที่ยวกลางคืน นี่ก็ไม่เห็นมีใครกลัว เพราะไม่เคยรู้เรื่องอบายมุข ในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัย ไม่ได้สอนเรื่องนี้ เขาจึงมีการเที่ยวกลางคืน เป็นผลเสียหายแก่การเล่าเรียน เสียการดำรงชีวิตอยู่อย่างถูกต้อง
ดูการละเล่นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ก็เล่นกันมากเกินไป สิ่งลามกอนาจาร เอามาปลอมเป็นศิลปะไปหมด สิ่งเหล่านั้นล้วนแต่ทำให้มีจิตใจวิปริตผิดปกติ เนื่องจากมันเป็นมาทีละนิด ทีละนิด ทีละนิด จึงไม่รู้สึก ถ้าอยากจะรู้สึกง่ายๆ ก็ต้องเปรียบเทียบ สิ่งที่เรียกว่า การละเล่น นั่นดูการละเล่น หรือที่เรียนว่า การละเล่น ต้องเปรียบเทียบความต่างกันในระหว่าง ๕๐ ปี หรือ ๑๐๐ ปี เมื่อร้อยปีมาแล้วก็มีการเล่น การละเล่น อย่างไร คือจะพูดได้ว่าไม่มีลามกอนาจารเหมือนสมัยนี้ สมัยนี้มีการละเล่น ที่ลามกอนาจาร จะเป็นภาพยนตร์ เป็นละคร เป็นอะไร ก็เอียงไปทางลามกอนาจาร จนไม่ถือว่าเป็นลามกอนาจาร เพราะมันชอบเหมือนๆ กันไปเสียทุกคน และคนที่เขามีอิทธิพล ที่จะมอมเมาประชาชนด้วยสิ่งเหล่านี้ เขาก็ทำให้ประชาชนเหล่านี้ ไม่รู้สึก ฉะนั้นจึงติดสิ่งลามกอนาจาร ตั้งแต่ลูกเล็กๆ การ์ตูนเลวทราม เอาความเป็น ลามกอนาจาร มาซ่อนไว้เป็นศิลปะ ให้เด็กนักเรียนชั้นอนุบาลดูการ์ตูนเลวร้ายอย่างนี้ ก็ยังมี นี่เขาว่าดู การละเล่น สมัยนี้นั้น เป็นอันตรายลึกซึ้ง อย่างใหญ่หลวง
ที่เล่นการพนัน เราจะไม่เล็งถึง ถั่วโป อะไรทำนองนั้น เราเล็งถึงการพนันชนิดที่เป็นของสมัยใหม่ จะไปซื้อของ ก็มีไอ้ รางวัล หรือว่า ซื้อลอตเตอรี่ หรือซื้ออะไร ก็ต้องมีเบอร์ที่จะได้รับรางวัล นี่ก็เป็นการพนัน เดี๋ยวนี้ที่มันร้ายกาจมาก แม้แต่กีฬาก็กลายเป็นการพนัน หากีฬาบริสุทธิ์ไม่ได้ คนสมัยใหม่นี้ เกิดกิเลสครอบงำมาก จนไม่มีกีฬา พอเล่นกีฬา ก็เพิ่มความเห็นแก่ตัว ไม่ได้เล่นกีฬาเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว กีฬานั้นก็กลายเป็นการพนันในรูป ของไอ้แพ้หรือชนะ อย่างแพ้พนัน หรือ ชนะพนัน ไม่ได้แพ้ชนะเพราะว่ามีความเป็นนักกีฬาน้อย หรือมีความเป็นนักกีฬามาก เพราะว่าคนเหล่านี้มันเขลาไป เล่นกีฬาเพื่อแพ้ชนะอย่างไม่มีศีลธรรม ในวงกีฬา ถ้าเล่นกีฬาจริง ก็ต้องมีกฎเกณฑ์ที่ว่า อย่างนี้ มีความเป็นนักกีฬาไหม แล้วก็ให้คะแนน เมื่อมีความเป็นนักกีฬา ก็ชนะคะแนน เพราะเขาแสดงความเป็นนักกีฬา ออกมามาก ส่วนลูกบอล หรืออะไรจะเข้าประตู หรือไม่เข้าประตูไม่ใช่สำคัญ ไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ มันฟลุคก็ได้ ทำอย่างโง่ๆ มันก็เข้าประตูได้ ทำอย่างไม่เป็นนักกีฬามันก็เข้าประตูได้ การกีฬาที่แท้จริง มันจะต้องมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนลงไปว่า อย่างนี้เป็นนักกีฬาไหม ถ้าเป็นให้คะแนน ถ้าไม่เป็นตัดคะแนน รวมคะแนนแล้วก็ให้คนที่มีความเป็นนักกีฬามาก ชนะไป อย่างนี้ไม่ใช่ชนะการพนัน ถ้าจะทำกันอย่างที่เล่นฟุตบอล เรียกว่าฟาดแข้ง แก้แค้น ป่าเถื่อน นี่ นี่ เป็นกีฬา กลายเป็นการพนันไป อย่างพวกคุณในมหาวิทยาลัย ก็มีการเล่นการพนันกัน ชนิดนี้อยู่ ส่วนการพนันชนิดธรรมดา ก็ยังจะต้องมีอีก
ถัดไป คบคนชั่วเป็นมิตร เรื่องนี้ก็จะต้องพูดอย่างกำปั้นทุบดินว่า ถ้าคบคนดีเป็นมิตรแล้ว คงไม่สอบไล่ตกมากอย่างนี้ ไม่ต้องพิสูจน์เจาะจงโดยรายละเอียดอะไร เหมาเลยว่า มีการสอบไล่ตกมากอย่างนี้ ไปดูเปอร์เซ็นต์การสอบตกครั้งนี้ เมื่อไม่กี่วันนี้ มันก็มีตกมาก พิสูจน์ว่ามีการคบคนเหลวไหลเป็นมิตร ชวนกันเหลวไหล ชวนกันอะไรก็ได้ ยิ่งถ้าไปคบอันธพาล ตามถนนแล้วด้วยนั่นน่ะ มันสุดเหวี่ยง นี่ในขอบเขตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยนี่แหละ มันมีการคบคนชั่วเป็นมิตร อย่างไม่รู้สึกตัวเลย มันก็มีการเสียไป ทางการศึกษาเล่าเรียน การประพฤตินี้ ทุกอย่างล่ะ ที่มันไม่ควรจะเสีย
ทีนี้ เกียจคร้านทำการงาน ข้อสุดท้าย ใครๆ ใครบ้างในพวกคุณ คนไหนที่ว่า ยืนยันว่าผมไม่ได้ขี้เกียจ ไม่อยากจะเชื่อ เพราะว่าทำเท่าที่จำเป็นจะต้องทำ เท่านั้นแหละ เรียนแต่เท่าที่จำเป็นจะต้องเรียน ที่มันบังคับ ให้เรียนเท่านั้นแหละ มันไม่เรียนเกิน เกินนั้นเลย มันอยากให้เลิกเรียนเร็วๆ มันอยากจะไปทำอะไร ที่ไม่ใช่หน้าที่ ที่ควรจะทำ ที่มองดูไป ไกลออกไปจากนั้น ที่ไม่ใช่เป็นนักเรียน ประชาชนทั่วไป ก็เหมือนกัน เขาไม่ชอบทำอะไรให้เหน็ดเหนื่อย เขาชอบที่จะไม่ต้องทำ จึงเกิดการ ลัดทาง คือ
เสียงหาย 1.07.12 ถึง 1.07.43
ไอ้เรื่องรวยลัด หรือเรียนลัด ซื้อประกาศนียบัตร นี่มันเป็นเรื่องเกียจคร้านทำการงาน เป็นนิสัย ของสัตว์ที่ไม่เจริญ ของคนที่ไม่เจริญ ไม่ชอบทำการงาน แม้เพื่อตัวเอง ถ้าจะพูดให้การทำการงานเพื่อคนอื่น เพื่อผู้อื่น เพื่อประโยชน์แก่คนอื่น
นี่เราว่ากันทั่วๆ ไปนะ อบายมุข ๖ แม้ในระดับนักศึกษาอย่างพวกคุณก็ยังมี แล้วทำไมจะไม่มีในระดับคนยากจน ชาวไร่ชาวนา ที่ว่าเขาไม่ค่อยจะคิดนึกอะไรได้ มักจะปล่อยไปตามอารมณ์ การดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการละเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร นี่มันก็มีมาก คนจนเหล่านี้ก็ไม่กระเตื้องขึ้น แต่จมลงไปในอบาย คือความเสื่อม สิ่งทั้ง ๖ นี้ เป็นประตูอบาย เขาก็ก้าวลงไป ก้าวเข้าไป ก็เลยได้อบาย นี่เรียกว่า อบายมุข ถ้ามีธรรมะแล้ว มันปิดประตูอบาย ถ้าธรรมะถึงขนาดสุญญตาแล้วยิ่ง ปิดสนิท ยิ่งเกลียดชัง ในอบายมุขทั้งหลายเหล่านี้ เขาจะต้องละ สิ่งที่ควรละ ในระดับแรกที่สุด คือ ประตูอบาย ที่เรียกว่า อบายมุขทั้ง ๖ จะแก้ปัญหาสังคมได้โดยอัตโนมัติ พร้อมเพรียงกันแก้ปัญหาของส่วนรวมได้ หรือ เขาจะช่วยตัวเอง เขาก็ช่วยได้ด้วยการละไอ้สิ่งเหล่านี้เสีย
เดี๋ยวนี้มีแต่มึนเมาในอบายมุข แล้วฝ่ายคนร่ำรวย หรือฝ่ายนายทุนน่ะ เป็นผู้ใช้อบายมุขทั้งหลาย เป็นเครื่องมอมเมาไอ้คนยากจน ให้มันตกหลุมลึกของอบายมุข เขาก็ยิ่งร่ำรวย ขึ้นไป คนจนก็ยิ่งทรุดลงไป ทั้งที่มันทรุดลงอยู่ในเหตุอื่นๆ ตามปกติมากมายอยู่แล้ว ถ้าไม่แก้ปัญหาทางศีลธรรมข้อนี้ได้ ก็ไม่มีทางที่จะยกคนจนขึ้นมาได้ ก็ไม่มีรัฐบาลไหน จะมองดูในแง่นี้ด้วย ฉะนั้นก็ยังหวังไม่ได้ไปอีกนาน
ทีนี้มาถึงในสิ่งที่ต้องละ ถัดไปอีก จะเรียกว่า นิสัยสุรุ่ยสุร่าย พวกคุณทุกคนนี้ ใครยืนยันว่าผมไม่มีนิสัยสุรุ่ยสุร่าย เพราะไอ้ความสุรุ่ยสุร่ายนี้มันมีหลายประเภท แล้วก็มีประเภทที่ละเอียด สุขุม จนไม่เห็นว่าเป็นสุรุ่ยสุร่าย นี่ขอให้กำหนดมาตรฐานกันเสียใหม่ สิ่งใดไม่จำเป็นจะต้องมี จะต้องใช้ แล้วก็อย่าไปมีไปใช้ อย่าไปจ่ายมันเข้าเพราะเหตุนั้น ถ้าไปจ่ายมันเข้าเพราะเหตุนั้น จะเรียกว่า สุรุ่ยสุร่าย อบายมุขทั้งหลายก็เรียกว่า สุรุ่ยสุร่าย แต่นั่นมันเกินไป มันเลวทรามเกินไป ไอ้สุรุ่ยสุร่ายที่ละเอียดกว่านี้ ที่สุขุมไปดูเถอะ เรายังมีอะไรอยู่ในบ้านเรือน ในห้องเรียนในอะไรอีกหลายๆ อย่าง ความประหยัด การซ่อมแซมเครื่องใช้ไม้สอย ให้คืนสภาพนี่ มันไม่มี มีแต่ขว้างทิ้ง แล้วซื้อใหม่
ถ้าไม่ไปตั้งอกตั้งใจ กำหนดให้ละเอียด แล้วก็ดูคล้ายๆ กับว่าเรา ไม่ได้สุรุ่ยสุร่าย แต่ถ้าไปพิถีพิถันสังเกตดู แล้วจะพบว่าเราก็สุรุ่ยสุร่ายอยู่หลายอย่างทีเดียว การปล่อยให้สิ่งที่ไม่ ไม่ควรจะเสียนั้น เสียไป ก็เรียกว่าสุรุ่ยสุร่าย เสียแล้วก็ไม่ซ่อมแซม ก็เรียกว่าสุรุ่ยสุร่าย ไม่ทันจะควรเปลี่ยนก็เปลี่ยนแล้ว เพราะเครื่องใหม่มาแล้ว ก็สุรุ่ยสุร่าย ยิ่งมีเงินใช้ ก็ยิ่งสุรุ่ยสุร่าย ฉะนั้นคนที่มีเงินจึงไม่ค่อยรู้จัก ไอ้สิ่ง ไม่รู้จักความหมายของคำว่า สุรุ่ยสุร่าย ทีนี้คนจนก็ยังไม่รู้จักอีก เอาอย่างคนมั่งมีเข้า มันก็เลย ได้แต่ตกหนักไปอีก ในอบาย ของคนจน คนยากจน เราไปพูดว่าคนจนสุรุ่ยสุร่ายนี้มันไม่ค่อยมีใครเชื่อ แล้วคนจนก็จะด่าเอาด้วย ก็ไม่ค่อยกล้าพูดนัก แต่ไปดูแล้วมันมี ยังมีสุรุ่ยสุร่าย ตามไอ้คนมั่งมี อยากจะซื้อรถยนต์ อยากจะซื้ออะไรชนิดที่ว่า คนขนาดนั้นไม่ควรจะซื้อ นี่มันก็ยังมีอยู่ทั่วไปในกรุงเทพฯ
ทีนี้สิ่งที่ต้องละ ต่อไปอีกคือความสะเพร่า เป็นคนสะเพร่า ชอบทำอะไรหวัดๆ อันนี้ละยาก เพราะว่าไอ้ตัวผู้นั้นจะไม่รู้ว่า เรากำลังเป็นอย่างนั้น เพราะว่าเขามีนิสัยหยาบ สังเกตหยาบ ดูหยาบ คิดหยาบ มีเลือดร้อน ความสะเพร่าก็มี จนเป็นนิสัย แล้วก็ไม่รู้ว่านี่เป็นสิ่งที่ต้องเอาใจใส่ พออายุมากเข้า มันก็กินตัว เพราะมันละได้ยาก ในการสะเพร่า คิดก็คิดอย่างสะเพร่า พูดก็พูดอย่างสะเพร่า พอทำก็ทำอย่างสะเพร่า เป็นนิสัยไปเลย
นี่เป็นสิ่งที่มันเห็นยาก เห็นโทษยาก แต่มันมีโทษลึกซึ้งเหนือประมาณ พูดตรงๆก็ว่า ไอ้คนชนิดนี้ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นผู้นำในกิจการอะไรได้ ถ้าคนชนิดนี้เป็นผู้นำ ก็มีแต่ความชะงัก ตกต่ำ เสื่อมทราม เป็นคนสะเพร่า ควรจะเปลืองน้อย มันก็เปลืองมาก ควรจะเสียเวลาน้อย มันก็เสียเวลามาก ไม่ควรจะทำหลายครั้งหลายหน ก็ทำหลายครั้งหลายหน มันล้วนแต่ทำให้เปลืองมาก นี่ทางหนึ่ง แล้วข้อจะผิดพลาดนั้นมันมีมาก มันยิ่งมีมากสำหรับจะผิดพลาด แล้วก็จะไม่ตรงตามความเป็นจริง เมื่อหนักเข้า มันก็จะต้องถึงกับเสียทรัพย์ เสียชีวิต เสียอะไรก็ได้ คนยากจนก็ยังมีนิสัย สะเพร่า ยังชอบทำอะไรหวัดๆ มันไม่คิดให้ละเอียด ไม่แก้ไขให้ถูกต้องยิ่งขึ้นไป นี่เราจึงเรียกว่า มันเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งอย่างหนึ่งเหมือนกันในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ นักเศรษฐกิจคนไหนสะเพร่า คนนั้นฉิบหายแน่ แม้จะเอาส่วนที่โกงเขามา มาชดเชย ก็คงไม่ทันแล้ว ไอ้ความสะเพร่านี่ ทำลายหมด อันนี้ตัวอย่างพอแล้ว สำหรับว่าจะต้องละ มีอีกมาก เดี๋ยวเวลาหมด มันมีอีกมากที่จะต้องละ
ทีนี้ก็จะพูดถึง คุณธรรม ที่ต้องมี ยกตัวอย่างเช่น มีสติสัมปชัญญะ มีปัญญาใคร่ครวญ มีกำลังจิตสูง มีความมานะพยายามขยันขันแข็ง นี่เป็นตัวอย่าง สติสัมปชัญญะ เป็นธรรมะสูงสุดในการระวังรักษากระทั่งไอ้การแก้ไข สติสัมปชัญญะป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาด ไม่มีอะไรจะป้องกันได้ดีเท่า สติสัมปชัญญะ เรามักจะพบกันเข้ากับความฉลาดที่ไม่ทันเวลาอยู่บ่อยๆ แม้แต่พวกชาวนา ก็พบกับความฉลาดที่ไม่ทันเวลา กระทั่งคนทั่วไป กระทั่งนักศึกษาอย่างพวกคุณนี่ ก็ฉลาดไม่ทันเวลาอยู่บ่อยๆ เขาเรียกว่ามันไม่มีสติสัมปชัญญะพอการระลึกได้ ไม่ทันแก่อุบัติเหตุที่เกิดขึ้น
ถ้ามีจิตปกติ มีธรรมะชนิดที่ทำจิตปกติ โดยเฉพาะระดับที่ว่าเป็นเรื่องของสุญญตา นี่คนจะมี สติสัมปชัญญะมากที่สุด เพราะใจมันปรกติ ใจมันไม่ฟุ้งซ่าน เคลิบเคลิ้ม เลื่อนลอย ไปตามไอ้สิ่งที่กระทบ บางทีเราคิดว่าเราจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง หรือจะฝากอะไรสักอย่างหนึ่ง เมื่อคนนั้นคนนี้มา แต่แล้วหาได้ฝากไม่ คือลืมไป เพราะมันไปตื่นเต้นกับการมา การอะไรของคนนั่นเอง นี่เป็นตัวอย่างที่ว่า สติสัมปชัญญะนี้ มันจะมีไม่ได้แก่จิตใจที่มันเลื่อนลอย ไม่มั่นคง คือไม่มีธรรมะนั่นแหละ มันถึงขนาดที่ว่าตั้งใจจะฝากของกับคนนั้น ไปให้ใครก็ตามใจล่ะ พอคนนั้นมาก็จริง มันมีเรื่องอะไรที่มาทำให้จิตใจฟุ้งซ่านเลื่อนลอย มันก็ลืมไป มันเป็นเอามากถึงอย่างนี้ อย่างไม่น่าเชื่อนะ นี่ส่วนธรรมดาสามัญก็ยังเป็นอยู่ อีกหลายระดับ เรียกว่าไอ้ความฉลาด ความรู้มัน มันไม่ทันแก่เวลา ไม่มีสติสัมปชัญญะ
ทีนี้ความมีปัญญา ก็เหมือนกันแหละ ปัญญาที่จะใคร่ครวญโดยละเอียด ถ้าจิตไม่ปกติแล้วก็มีไม่ได้ ธรรมะที่ทำให้จิตปกติ ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่า ไอ้ธรรมะที่เนื่องด้วย สุญญตา อย่าเข้าใจผิดว่าไอ้สุญญตาเข้ามาแล้วก็ ก็ว่าง เป็นอากาศไปเลย นั่นมันพูดอย่างคนไม่รู้ ความว่างจากกิเลส จากสิ่งรบกวนจิต จิตก็สามารถมีสมรรถภาพ จะคิดจะนึก จะตัดสินใจ อะไรก็ตาม มันจะดี
ทีนี้ความมีกำลังใจสูง กำลังจิตสูง ไม่อ่อนแอ ไม่ท้อแท้ หรือว่าสูงกว่าธรรมดา สูงกว่าคนธรรมดา จึงจะมีกำลังจิตออกไปบังคับผู้อื่นได้ นี่ก็เนื่องด้วยให้จิตมันปกติอย่างยิ่งสูงสุดตามธรรมชาติของจิตที่จะเป็นได้ถึงอย่างนั้น คือขอให้รู้ไว้ว่า ไม่มีอะไรที่จะเป็นไปได้เกินธรรมชาติ เกินขนาดของธรรมชาติ ทีนี้จิตมันไม่ได้รับการอบรบให้สูงขึ้นไปได้ถึงขนาดนั้น เราจึงมีกำลังจิตอย่างคนธรรมดาสามัญ ลอยลำอยู่ตามธรรมชาติ ที่แวดล้อมอย่างธรรมดาสามัญ ไม่มีการอบรมจิตเป็นพิเศษ ตามแบบของการอบรมจิต ทีนี้ธรรมะที่จะทำให้จิตมีกำลังจะได้มาโดยวิธีใดก็ตาม จะอบรมเป็นพิเศษก็ตามหรือว่าเราทำไปตามสติปัญญาที่เราจะมีได้ก็ตาม ธรรมะนั้นต้องเนื่องด้วย สุญญตา คือไม่มีการรบกวนของกิเลส ว่างจากกิเลสประเภทตัวกูของกู มีกำลังจิตสูง ในการคิดนึก นี่จะคิดนึกได้ทะลุแผ่นดินแผ่นฟ้าไปเลย กำลังจิตสูง แม้พวกนักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์ค้นคว้า สมัยปัจจุบันนี้เขาก็ต้องมีกำลังจิตสูงขนาดนั้น แม้ว่าจะเป็นเฉพาะคราว เฉพาะชั่วโมงที่เขาทำงานก็ได้เหมือนกัน แต่ว่าพอลงมือทำงานแล้วต้องมีกำลังจิตสูง ให้มันทะลุแผ่นดิน ฉะนั้นคนหายตัวได้เพราะสุญญตา ความรู้เรื่องสุญญตาทำให้หายตัวได้ มีกำลังจิตสูง
ความมานะพยายามแข็งขัน นี่ก็อีกแหละ ไม่ใช่ว่าเมื่อจิตว่าง มีความว่าง จากตัวกูของกู แล้วมันจะอ่อนแอ มันมีกำลังโดยธรรมชาติ ตามแบบของธรรมชาติ ซึ่งเป็นของแข็ง จิตนี้เป็นของมีกำลังเข้มแข็ง แต่เดี๋ยวนี้มันเป็นอย่างนั้นไม่ได้ เพราะมันถูกสิ่งอื่น มายั่วมาหลอก มายียวน พาไปเสียในทางที่ไม่ให้เข้มแข็ง ถ้าเอาสิ่งเหล่านั้นออกไปเสีย อย่าอยู่ใต้อำนาจของสิ่งมายั่วยวน แล้วจิตนี้จะมีสภาพเดิมของมัน อย่างน้อยก็เข้มแข็ง กว่าที่ว่า ถูกทำให้หลงใหล
นี่ถ้าเราต้องการจะมีคุณธรรมเหล่านี้ เป็นคุณธรรมทั่วไปก็ได้ เป็นคุณธรรมที่แก้ปัญหาความยากจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งของคนยากจน ของชนกรรมาชีพ ก็จะยิ่งจำเป็น หรือว่าใครก็ตามที่ต้องการให้ประสบสำเร็จ ความสำเร็จในหน้าที่การงาน ก็ต้องมีคุณธรรมเหล่านี้ จากที่ได้ยกมาเป็นตัวอย่าง
ทีนี้ข้อสุดท้าย อยากจะพูดถึง ความสามัคคี เดี๋ยวนี้ตะโกนกันแต่ความสามัคคี แล้วไม่เห็นได้ ที่ไหนที่ไหนก็ตะโกนกันแต่ความสามัคคี แล้วก็มีการตีกันในมหาวิทยาลัยอย่างนี้ แม้ในหมู่สังคมอะไรก็ตามเถอะ มันก็จะโกนกันแต่สามัคคี แต่ก็มีไม่ได้ เพราะมันขาดไอ้เหตุปัจจัยของความสามัคคี จะทำอย่างไร มันไปเรียกร้องสิ่งนั้น แล้วก็ไม่มีเหตุปัจจัยเพื่อสิ่งนั้น มันก็เป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นจิตที่ประกอบด้วยธรรมะ ที่จะนำมาซึ่งความสามัคคี สูงสุดอยู่ที่ธรรมะที่ประกอบด้วยสุญญตา คือความไม่เห็นแก่ตัว พอไม่มีตัวที่จะเห็นแก่ตัว มันก็ไปสามัคคีได้ทันที มันบริจาคทันที มันเสียสละทันที มันยอมไปร่วมด้วยทันที เพราะมันไม่มีตัวของตัว ที่จะเห็นแก่ตัว ที่จะดึงไว้ที่นี่
พุทธธรรมดาสามัญ ก็ว่าความไม่เห็นแก่ตัวนั้น เป็นเหตุให้สามัคคี แล้วธรรมะไหนจะทำลายความเห็นแก่ตัว ก็คือธรรมะสูงสุดที่เราเรียกกันว่า เนื่องอยู่ด้วยสุญญตา ว่างจากตัว ก็ไม่เห็นแก่ตัว
ผู้ไม่เห็นแก่ตัวน่ะสามัคคีกันได้ง่าย ถ้าเห็นแก่ตัว ต่างคนต่างจะไปหมกอยู่กับประโยชน์ของตัวแล้วจะสามัคคีกันได้อย่างไร ถ้าสามัคคีไปหาประโยชน์อย่างทุจริต อย่างนี้เราไม่เรียกว่า สามัคคี มันเป็นสามัคคีเพื่อทุจริต หรือสามัคคีเพื่อจะเอาประโยชน์มาใส่ตัว อย่างนี้ไม่มีใครเรียกว่าสามัคคี ความสามัคคี ต้องเสียสละ ต้องบริจาค
เดี๋ยวนี้เรามีแต่ความเห็นแก่ตัว เราสามัคคีกันไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกนายทุน กับพวกชนกรรมาชีพ สามัคคีกันไม่ได้ ทีนี้ ในที่สุด แม้แต่ในพวกนายทุนด้วยกัน มันก็สามัคคีกันไม่ได้ ชนกรรมาชีพด้วยกัน มันก็สามัคคีกันไม่ได้ กระทั่งนักศึกษาด้วยกันก็สามัคคีกันอย่างบริสุทธิ์ไม่ได้ นอกจาก เฮโล สารพา กันไปทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เพื่อเกียรติ เพื่อกู เพื่ออะไร จะสามัคคี นั่นไม่ใช่สามัคคี เพราะไม่ประกอบไปด้วยธรรม ฉะนั้นต้องไปชำระสะสาง ไอ้สิ่งที่เรากระทำนั้น ให้มันถูกต้อง ไม่เห็นแก่ตัว แล้วอะไรเชื้อเชิญไปให้ทำ นั่นก็คือ คุณธรรมข้อนี้
สามัคคีนั้นต้องทำไปเพื่อธรรม เพื่อธรรมะ เพื่อความเห็นแก่ความถูกต้องของมนุษย์ หรือเห็นแก่มนุษยชาติ เห็นแก่ความจริง สามัคคีกันสร้างวัด สักวัดหนึ่ง มันก็ยังมีข้อที่ต้องมองว่า เขาสร้างวัดเพื่อคนทั้งหมดหรือเปล่า แต่ถ้าเขาสร้างวัดเพื่อตัวเอง พวกของตัวเอง มันก็เป็นสามัคคีที่มีความหมายน้อยลงมา แต่ถ้าเพื่อศาสนาส่วนรวม ล่ะก็สามัคคีเต็มที่ กิจกรรมที่ทำเพื่อส่วนรวมนี้ก็ยังมีว่าบริสุทธิ์ หรือไม่บริสุทธิ์
ปัญหาทางการเมืองแก้ไม่ได้ เพราะมันไม่สามัคคีกันในระหว่างนักการเมือง แม้คณะรัฐบาลคณะเดียวกัน ชุดเดียวกัน มันก็ยังไม่สามัคคีกัน นักการเมืองทั้งหลายก็ไม่ได้ สามัคคีกัน ถ้าไม่เช่นนั้นมันก็จะไม่มีการแตกแยกในรัฐสภา หรือคณะรัฐบาล หรือในคณะอะไรก็ตาม ซึ่งเป็นผู้คุมปัญหา หรือกุมอำนาจ กุมกำลัง อะไรของประเทศชาติ
ทำสหกรณ์ไม่สำเร็จ เพราะขาดคุณธรรมข้อนี้ เพราะไม่สามัคคี หรือไม่ซื่อสัตย์ ต่างคนต่างจะเอาเปรียบเห็นแก่ตัว สหกรณ์ก็เลยเป็นเครื่องมือของคนบางคน จะร่ำรวยไปเสียอีก เราก็ไม่มีสหกรณ์ที่จะแก้ปัญหานี้ได้ เราเลยไม่เป็นคอมมิวนิสต์ที่เก่งกว่าคอมมิวนิสต์ ถ้าเราอยากจะชนะคอมมิวนิสต์ เราต้องเป็นคอมมิวนิสต์ที่เก่งกว่าคอมมิวนิสต์ ที่เหนือกว่าคอมมิวนิสต์ ที่สูงกว่าคอมมิวนิสต์ ทำปัญหาสหกรณ์ได้ ปฎิรูปที่ดินได้ อะไรได้ แล้วก็ดียิ่งเหนือกว่าคอมมิวนิสต์ นั่นน่ะจึงจะชนะ คอมมิวนิสต์ เดี๋ยวนี้ก็ทำไม่ได้ เพราะเราไม่สามัคคี เพราะเราไม่มีคุณธรรมข้อนี้ พวกคอมมิวนิสต์ก็ยังทำได้มากเสียกว่า ดีเสียกว่า เราก็เลยแพ้
ต้องหวังว่า หวังไว้ว่าเราจะเป็นสังคมนิยม ที่เหนือกว่าสังคมนิยม จึงจะเป็นผู้ชนะสังคมนิยม ได้ คอมมิวนิสต์ที่เหนือกว่าคอมมิวนิสต์ จึงจะชนะคอมมิวนิสต์ได้ หรือแม้แต่ประชาธิปไตยจะเป็นประชาธิปไตยที่ดี ที่จริง ที่ถูกต้อง เหนือกว่าประชาธิปไตยบ้าๆ บอๆ ที่กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้ เดี๋ยวนี้เราสามัคคีกันไม่ได้ เราก็เป็นอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าเอาตัวออกเสีย เรื่อยๆ ไป เอาตัวกู ตัวกูนี่ ออกเสียเรื่อยไป เรื่อยไป ให้มันว่างจากตัวกู เครื่องมือที่ดีก็คือความรู้เรื่องสุญญตา เพราะตัวกูออกไปจนเบาบาง แล้วสามัคคีก็จะมีมา จะแก้ปัญหาต่างๆ อย่างเป็นธรรม และถูกต้อง นี่เรียกว่าความสามัคคีที่เราได้มา จากไอ้ความรู้ประเภทสุญญตา หรือธรรมะประเภทสุญญตา
เท่านั้นล่ะพอกันทีสำหรับวันนี้ จะสรุปความให้ฟังว่า สุญญตา ให้อะไรแก่เรา สุญญตาให้สิ่งที่จำเป็นในการแก้ปัญหาชนชั้นให้แก่เรา ที่เป็นภายนอก เช่นว่าจะมีความอดทนในสิ่งที่ควรอดทน ภายนอกทุกอย่าง ทุกทาง ชนกรรมาชีพจะแก้ปัญหาได้โดยค่อยๆ กระเตื้องขึ้น ด้วยความอดทน หรือว่าโลกในส่วนรวมทั้งหมดนี้ ถ้ามันอดทนได้ ก็จะไม่ต้องทำอะไรที่ไม่ต้องทำมากเหมือนอย่างเดี๋ยวนี้ ทีนี้ความปรองดองกันระหว่างฝ่าย จะมีขึ้นได้โดยง่าย การทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน การอยู่ร่วมกันโดยสันติ จะมีได้โดยง่าย กับการรู้อันนี้
ทีนี้มาถึงเรื่องภายใน ความอดทนภายใน โดยเฉพาะอดทนต่อการบีบคั้น ยั่วยวนของกิเลส เราจะได้ เราจะมี เพราะความรู้อันนี้ เราสามารถจะละ สิ่งที่ละได้แสนยาก คืออบายมุขที่ยั่วยวนทั้งหลาย ก็จะละได้ เป็นต้น แล้วก็มีคุณธรรมทุกอย่างที่จะทำให้ ประกอบการงานสำเร็จ ทั้งส่วนตนเอง และส่วนบุคคลอื่น หรือว่ารวมกันทั้ง ๒ ฝ่าย
ข้อสุดท้ายเราก็จะสามัคคีกันได้ ถึงขนาดที่เรียกว่า เต็มตามความมุ่งหมาย ของศาสนา ซึ่งมีอยู่ว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่มีมึง ไม่มีกู อย่ามีมึงมีกู แก่กันและกันเลย เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น นั่นน่ะคือยอดสุดของสิ่งที่เรียกว่าสามัคคี ความรู้ที่เนื่องด้วยสุญญตา จะให้สิ่งเหล่านี้ไปครบถ้วน จึงยืนยันสำหรับวันนี้อีกครั้งหนึ่งว่า ความรู้เรื่องสุญญตาจะแก้ปัญหาแม้ของสังคม
ขอยุติการบรรยายในวันนี้ ไว้เพียงเท่านี้