แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านนักศึกษา ผู้สนใจในธรรมถึงกับบวชระหว่างปิดภาคเรียน ทั้งหลาย การบรรยายในครั้งที่แล้วมาของเรายังไม่จบ วันนี้จึงเป็นการพูดต่อจากที่ได้พูดค้างไว้ คือพูดเพื่อเป็นการตอบคำถามที่ว่า “สุญญตาแก้ปัญหาของสังคมได้อย่างไร”
ได้พูดกันมาแล้วในบางแง่บางประการ ในส่วนที่ยังเหลืออยู่ก็จะได้พูดต่อไป ก็อยากจะขอปรับความเข้าใจแก่บางคนที่ยังเพิ่งมาใหม่ ไม่ได้ฟังมาตั้งแต่ต้น โดยจะสรุปความให้ว่า การถามว่า สุญญตาในพุทธศาสนาแก้ปัญหาได้อย่างไร นี่ถ้าหากผู้นั้นเข้าใจคำว่าสุญญตาก็จะเข้าใจได้ว่าหัวใจของพระพุทธศาสนาจะแก้ปัญหาสังคมได้หรือไม่ มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทีนี้อีกทางหนึ่งเป็นไปได้ทำนองที่ว่า เป็นคำถามที่เยาะเย้ย คือพวกที่ไม่เห็นหรือไม่ยอมรับว่าเรื่องธรรมะ เรื่องศาสนาจะแก้ปัญหาของสังคมได้อย่างไร คำถามนี้ก็กลายเป็นคำถามที่เยาะเย้ย ลองฟังดูให้ดีว่า สุญญตาจะแก้ปัญหาของสังคมได้อย่างไร นี่มันคล้ายๆ อย่างนั้น จะพูดภาษาหยาบคายก็จะพูดว่า ไอ้น้ำหน้าสุญญตาจะแก้ปัญหาของสังคมได้อย่างไร ทีนี่มันเป็นคำท้าทายอย่างยิ่งตรงผู้ที่ไม่ยอมเชื่อ แต่ถ้าเชื่อมันก็อยากรู้จริงๆ ว่าจะแก้ปัญหาได้อย่างไร นี่เราก็จะได้พูดกันต่อไปเดี๋ยวนี้เอาเป็นว่า เราพูดกับคนที่ยอมเชื่อ แต่ยังไม่ทราบไม่เข้าใจ ก็ยังต้องพูดกันจนกว่าจะเข้าใจ
การแก้ปัญหาทางสังคม นี่ก็ได้พูดมาแล้ว สรุปความได้ว่าสังคมในครอบครัวก็ดี สังคมในประเทศชาติก็ดี สังคมทั้งโลกก็ดี ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้น ก็เรียกว่าปัญหาสังคม จะแก้ปัญหาสังคมเพื่อให้คน ให้คนน่ะ มันมีสันติสุขหรือสันติภาพ จะแก้ปัญหาของโลกได้ ในโลกก็มีสันติภาพ ของประเทศได้ประเทศก็มีสันติภาพของครอบครัวได้ มันก็มีสันติภาพในครอบครัว นี่เป็นหลักใหญ่ๆ ที่เรามุ่งหมาย
ทีนี่ขอให้รู้ต่อไปว่า แม้เรื่องศาสนาแท้ๆ ก็มุ่งจะแก้ปัญหาทางสังคม ถ้าไม่มุ่งแก้ปัญหาทางสังคม ศาสนานั้นมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ข้อนี้มันมีทางกล่าวได้สองอย่าง ตัวศาสนาก็มีคำตอบ มีการวางระเบียบปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาเป็นส่วนรวม อย่างที่เรามีสำนวนพูดว่า เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุข เกื้อกูลทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ นี่หมายถึงหมดเลย การแก้ปัญหาของคนทุกระดับ เทวดาก็พวกที่สบาย มนุษย์ก็พวกที่ทุกข์ยากลำบากอยู่ ธรรมะนี้จะขจัดปัญหาทั้งสองฝ่าย
วิธีหนึ่งถ้าเราจะมอง เราจะมองเห็นได้ ว่าถ้าแต่ละบุคคลมันดี แล้วสังคมมันก็ดีเอง เพราะว่าสังคมมันมาจากบุคคลหลายๆ คนประกอบกันเข้า ถ้าบุคคลแต่ละคนมันดี มันก็ไม่ต้องมีปัญหาว่าสังคมมันจะไม่ดี เพราะว่าถ้าบุคคลดี คือดีตามแบบพระศาสนา ก็จะเห็นแก่ประโยชน์ ทั้งแก่ประโยชน์ตนเอง และแก่ประโยชน์ผู้อื่น นี่บุคคลที่ดีที่ถูกต้องตามหลักของพระศาสนา ซึ่งเราจะพบพระพุทธภาษิตที่สำนึกถึงประโยชน์ทั้งสองฝ่าย อย่างนี้ทั่วไปหมดในพระคัมภีร์ ถ้าว่าคนแต่ละคนดีแบบนี้แล้วสังคมมันจะดี แล้วปัญหาสังคมมันจะเกิดขึ้นอย่างไร ก็เกิดขึ้นเพราะคนไม่ดี ที่จะหาว่าไอ้คนดีๆ แต่ละคนนั้นมันไม่คิดถึงผู้อื่น สังคมทั้งหมดจึงไม่ดี อย่างนี้มันก็เป็นไปไม่ได้ ในเมื่อทุกคนมันดี มันก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่สำหรับจะชั่ว แม้จะยกเอาหน้าที่ที่รวมกันเป็นส่วนรวมมาพูด มันก็ยังดีได้ เพราะว่าคนที่ดีตามหลักของศาสนานั้น ไม่ดูดาย แล้วก็พร้อมที่จะประพฤติประโยชน์ สังคมแม้ว่ามันจะแปลกออกไปจากประโยชน์ของตัว ทีนี่เราจะมองทีหนึ่งก็จะเห็นว่าถ้าทุกคนนั้นมันไม่มีปัญหา แล้วมันจะมีปัญหาอะไรกันอีก สังคมจะมีปัญหาอะไรอีก ทุกๆ คนมันสบาย แก้ปัญหาของตัวได้เรียบร้อยไปหมด ปัญหาของสังคมมันก็ไม่มีอย่างนี้
เดี๋ยวนี้เป็นอันว่า โลกนี้มันอยู่ในระยะกาลที่กิเลสครองโลก ทุกคนเห็นแก่ตัวจัด ปัญหาเต็มไปหมด ในทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเรื่องชนชั้น ผู้ถามปัญหานี้ก็เล็งถึงปัญหาชนชั้นมากกว่าปัญหาอื่น แต่ด้วยเหตุที่เมื่อต้องตอบก็ตอบให้มันหมดเลย จะมีปัญหาอะไรบ้าง ฉันจึงได้ตอบแล้วแต่วันก่อนถึงปัญหาทุกชนิด นี่ปัญหาชนชั้นซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ นั่นนะมันมาจากการที่ไม่มีศีลธรรมของมนุษย์ นี่เป็นข้อแรก แล้วต่อมามันก็เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบขึ้นโดยอัตโนมัติ อย่างที่มันไม่เคยมีมาแต่ก่อน ก็มองดูเหตุการณ์ปัจจุบันมันแสดงให้ชัดแล้วว่า ชนกรรมมาชีพทั้งหลายที่หากินด้วยหยาดเหงื่อแรงงานนี้ โดยเฉพาะเช่นชาวนาที่เป็นพื้นฐานของสังคมเมืองไทย เขาผลิตอะไรกันได้มา เขาก็ขายได้ในอัตราที่พอคุ้มๆ ค่าหยาดเหงื่อแรงงาน เช่น กรรมกรก็ได้รับค่าจ้างพอกินพอใช้หมดไปวันๆ หนึ่ง เรียกว่าพอคุ้มกับหยาดเหงื่อแรงงาน เพราะคนผลิตทั้งหลายเหล่านี้ หรือเกือบจะเป็นส่วนใหญ่ของประเทศนี้ เขาได้ประโยชน์เพียงเท่านี้ คือผลิตผลของเขา ชดใช้ค่าแรงงานให้เขาพอกินพอใช้ไปวันๆ หนึ่ง หรือหวุดหวิดจะไม่พอใช้
ทีนี้มาถึงชนอีกพวกหนึ่งในสังคมก็คือ พ่อค้า พ่อค้านี้มองดูให้ดีว่าเขาทำอะไร ถ้าเขาทำหน้าที่เพียงว่าเพื่อความสะดวกของสังคม มีอะไรมาไว้ค้า ไว้ขาย ให้เกิดความสะดวกแก่สังคม เป็นผู้วิ่งเต้นให้เกิดความสะดวกแก่สังคม ถ้าอย่างนี้เขาก็ควรจะรับเอาไอ้ค่าเหน็ดเหนื่อยน่ะ พอคุ้มๆ กันเหมือนกัน พอคุ้มกับค่าเหน็ดเหนื่อยที่เขาเป็นผู้วิ่งเต้นให้เกิดความสะดวกแก่สังคม ก็เลยรับเอาประโยชน์แต่น้อย คือเอากำไรแต่น้อย เอากำไรแต่พอคุ้มๆ กับค่าเหน็ดเหนื่อย อย่างนี้จะเอาหรือไม่ จะใช่หรือไม่ ก็ลอง ก็ลองคิดดู ทีนี้พ่อค้าในปัจจุบันนี้ไม่เป็นอย่างนั้น เพราะต้องการจะเอาประโยชน์จะเอากำไรให้มากที่สุดโดยทุกวิถีทาง ยิ่งกำไรมากไม่มีจำกัดก็ยิ่งดี เขาก็เลยเอามากเกินค่าของหยาดเหงื่อแรงงานที่เขาวิ่งเต้นเพื่อทำการค้าขายให้สะดวกแก่สังคม ลองคิดดูมีพ่อค้าไหน คิดกำไรน้อย แต่พอคุ้มค่าเหน็ดเหนื่อยที่เขาไปหาเอาของมาขายให้สะดวกแก่สังคม มันมีแต่พ่อค้าที่เอากำไรมาก หลายเท่าหลายสิบเท่าหรือหลายร้อยเท่าหลายพันเท่า ถ้าเขาอาจจะเอาได้เขาก็เอา ก็เลยเกิดหลายคนที่ได้เปรียบอย่างยิ่งขึ้นมา นี้ซึ่งจะเป็นไอ้รกรากของปัญหาที่มาจากนายทุนหรือคนมั่งมี ที่เราก็เห็นได้แล้วว่า พ่อค้าเหล่านี้ในที่สุดก็ไปเป็นนายทุนตามที่เขาประสงค์ ก็แปลว่าเอากำไร หรือกำไรส่วนเกินที่มาจากหยาดเหงื่อแรงงานของผู้อื่นนั่นน่ะไปไว้มากเข้าๆๆๆๆ ส่วนทางชนกรรมมาชีพ เช่น ชาวนา เป็นต้น แม้ไม่ใช่ลูกจ้างก็ยังคงรับเท่าเดิม รับเอาพอคุ้มๆ ค่าหยาดเหงื่อแรงงานจริงๆ ก็หล่อเลี้ยงชีวิตให้เกิดขึ้นได้
นี่ปัญหามันจึงตั้งต้นขึ้น เป็นปัญหาที่เรียกว่าปัญหาระหว่างชนชั้น ซึ่งมันไม่มีในครั้งโบราณพุทธกาล หรือ ก่อนพุทธกาล หรือว่านานไปทางโน้น มันมีศีลธรรมพอที่จะคิดถึงผู้อื่น หรือว่าครั้งแรกทีเดียว มันก็ไม่ได้คิดที่จะค้ากำไรทำนองนี้ มันเป็นเรื่องแลกเปลี่ยนไปมาระหว่างกันและกัน ไม่ต้องมีพ่อค้าคนกลาง อย่างนี้ก็มี หรือถ้ามีพ่อค้าคนกลางมันก็ยังมีศีลธรรมพอที่จะไม่ใช้อุบายเลวทรามสกปรก สูบหรือดูดเอากำไรส่วนเกินของคนอื่นมา มันจึงไม่เกิดปัญหาชนชั้นอย่างที่กำลังรุนแรงอยู่ในโลกปัจจุบันนี้ ในสมัยโน้นมันก็ไม่มีปัญหาชนชั้นอย่างนี้ ก็ลองคิดดูว่า ปัญหาของสังคมมันได้เกิดขึ้นแล้ว เพราะเหตุอะไร เราได้เน้นแล้วไม่รู้กี่ร้อยครั้งแล้วว่า เพราะความเห็นแก่ตัว จึงเป็นเหตุให้ทำไปอย่างไม่มีศีลธรรม ฉะนั้นความไม่มีศีลธรรม จึงเป็นเหตุให้เกิดปัญหา อะไรที่จะเป็นเหตุให้เกิดศีลธรรมได้ อันนั้นมันก็จะแก้ปัญหาได้
เดี๋ยวนี้เราถือกันว่า เรื่องสุญญตาเป็นเรื่องที่ทำลายความเห็นแก่ตัวหมดสิ้น ก็เลยแก้ปัญหาได้หมดสิ้น แต่พอดีมันมีปัญหาอย่างอื่นเกิดขึ้นว่าเราจะเอาธรรมะชนิดนี้มาใช้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร เดี๋ยวนี้มันมีแต่ผู้ที่มุ่งแต่จะเอาประโยชน์ เอาส่วนเกินของผู้อื่นมาเป็นประโยชน์ของตัวอย่างหมายมั่นปั้นมือ ไม่มีใครสังเวชมนุษย์ที่กำลังมีปัญหา หรือว่ามองเห็นสังคม ไม่มีใครเกิดมาเพื่อจะแก้ปัญหาสังคม เพราะเขาเกิดมาเพื่อจะแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว พวกคุณรับรองได้ หรือยืนยันได้ว่าเป็นผู้ตั้งใจจะแก้ปัญหาสังคม ที่อุตส่าห์เล่าเรียนมาชั้นประถม มัธยม วิทยาลัย มหาวิทยาลัย นี่พยายามเล่าเรียนมาเพื่อจะแก้ปัญหาสังคม ถ้ายืนยันอย่างนั้น มันพอจะพูดกันได้ทุกคนแล้วว่า มันเพื่อประโยชน์ของตนเป็นเบื้องหน้า ก็มีความรู้สึกไปตามสัญชาตญาณที่ความเห็นแก่ประโยชน์ของตน แล้วการศึกษาที่ให้กันอยู่ในเวลานี้ การศึกษาทุกแขนงมันล้วนแต่เพิ่มความรู้สึกชนิดที่เห็นแก่ตน แล้วก็ไม่มีอะไรมากกว่าอาชีพ ก็ยังวนเวียน เวียนไป เวียนไป ก็เพื่อมีอาชีพอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นวิชาชีพไปซะทั้งนั้น เราจึงไม่มีจิตใจอันบริสุทธิ์ ที่จะปักลงไปว่า ตลอดชีวิตนี้เราจะอุทิศให้แก่สังคม หรือ เพื่อแก้ปัญหาสังคม ที่มีคนบางคนอ้างตัวเป็นนักศึกษา หรือไม่นักศึกษาก็สุดแท้ ว่าเขาจะแก้ปัญหาของสังคม ฉะนั้นก็ดูให้ดี ถ้าเขาอุทิศอย่างจริงอย่างนั้น มันเป็นโพธิสัตว์ มันจะสูงเกินไปมั้ง ที่เขาว่าจะแก้ปัญหาสังคมนี้ มันจะเป็นแต่เพียงว่า ยกขึ้นเป็นข้ออ้าง เพื่อให้ได้ชื่อเสียงได้เกียรติ หรือได้ประโยชน์ด้วยซ้ำไป มันกลายเป็นว่าเสนอตัวเป็นผู้แก้ปัญหาสังคม ก็เพื่อเอาประโยชน์ให้แก่ตัวเป็นส่วนตัวกันอีกแหละ ประโยชน์ก็ได้ ชื่อเสียงก็ได้ อะไรก็ได้ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ตัว กลายเป็นการแก้ปัญหาสังคมเพื่อประโยชน์แก่ตัว อย่างนี้มันขัดกันโดยสิ้นเชิง เป็นไปไม่ได้
เอาเป็นว่า มันยากนะที่จะหาพบปะผู้ที่อุทิศชีวิตเพื่อแก้ปัญหาสังคม ตามหลักของพระศาสนา เราถือกันว่ามีแต่พวกที่เรียกกันว่า โพธิสัตว์ ซึ่งเดี๋ยวนี้จะหาทำยาหยอดตาก็ไม่ได้มั้ง แต่ผู้ที่ร้องตะโกนว่า ข้าพเจ้าจะแก้ปัญหาสังคม สังคมนี้มีเกลื่อนไปหมด ดังลั่นเอ็ดตะโรไปหมด แต่ว่าในจิตใจของเขาจะดูไม่พบ หาไม่พบความเป็นโพธิสัตว์ที่จะมุ่งช่วยสังคมโดยแท้จริง ขอให้มองเห็นว่าศาสนาแท้ๆ นะมันแก้ปัญหาทางสังคมด้วยเหมือนกัน จะแก้มาอย่างซ่อนเร้นอย่างที่ว่า หรือว่ามุ่งทำปัจเจกชนแต่ละคนให้ดีซะก่อน แล้วปัญหาสังคมมันก็หมดไปตั้งครึ่ง ตั้งค่อน หรือ ตั้งเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ นี่ปรับปรุงกันนิดหน่อย สังคมมันก็ถูกต้องและดี
ตอนนี้อยากจะพูดซะเลยว่า ถ้าคุณยังมองไม่เห็นก็อยากจะบอกว่า ในสังคมนิยมนั่นแหละคือหัวใจของศาสนาทุกศาสนา แต่แล้วมันก็มีปัญหาตรงที่ไอ้คำพูดที่เอามาใช้ นี้เราจะถือเอาตามตัวหนังสือ สังคมนิยมคือถือเอาประโยชน์ของสังคมเป็นส่วนใหญ่ ไม่ถือประโยชน์บุคคลแต่ละคนเป็นส่วนใหญ่ นี่คือหัวใจของศาสนาทุกศาสนาเป็นสังคมนิยม แต่เดี๋ยวนี้คำว่าสังคมนิยมน่ะเขาไม่ได้ใช้กันในความหมายกว้างอย่างนั้น กลายเป็นว่าไอ้คนหมู่หนึ่งโดยเฉพาะคือกรรมกร ทวงสิทธิบ้าง ยื้อแย่งต่อต้านบ้าง เพื่อให้ประโยชน์ของนายทุน หรือของปัจเจกชนต่างๆ กระจายลงมาถึงคนยากจนเหล่านี้ นี่เป็นเพียงวิธีการขั้นตอนอันหนึ่งเท่านั้น สังคมนิยม มันจะโทษใครก็ไม่ได้ คำพูดนี้มันบัญญติเสียแล้วอย่างนี้ จะใช้เพื่อการกระทำในวงจำกัดเท่านี้ ก็ไม่ผิดน่ะ แต่คำๆนี้ มันมีความหมายสูงหรือกว้าง จนกระทั่งไปอยู่ในความมุ่งหมายของในสิ่งที่เรียกว่าศาสนา ซึ่งมีขึ้นมาสำหรับทำให้สังคมไม่มีปัญหา อย่างทุกศาสนาจะสอนให้รักผู้อื่นอย่างน้อยก็เท่าตัวเอง บางศาสนาจะไปไกลถึงกับว่า ให้รักผู้อื่นยิ่งกว่าตัวซะอีก แล้วปัญหาทางสังคมมันจะเกิดขึ้นอย่างไร ก็เคยเป็นอย่างนั้น ก็เป็นสุขกันมาพักนึง เดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนเสียแล้ว มีคนหัวเราะเยาะศาสนาในทำนองนั้น หรือ จับศาสนาทำนองนั้นใส่ตะกร้าเอาไปเผาไฟเสียแล้ว มันหาไม่พบในเวลานี้ ปัญหาทางสังคมแน่นอนที่สุดที่ต้องแก้ด้วยสังคมนิยมอย่างอื่นไม่มีทาง มันเหลืออยู่แต่ว่าจะเป็นสังคมนิยมในรูปไหน ถ้าสังคมนิยมในรูปของศาสนาก็แก้ปัญหาได้อย่างที่ว่ามาแล้ว แต่ถ้าสังคมนิยมของคนบางพวก แล้วก็มีกิเลสจัดทำไปด้วยความมุทะลุดุดัน ทวงความยุติธรรมด้วยเลือด ไอ้ตรงนี้มันก็ไม่ใช่อย่างเดียวกันกับสังคมนิยมของพระศาสนา
เดี๋ยวนี้อยากจะพูดให้เข้าใจให้มองเห็นว่า เพราะสังคมนิยมนั้นน่ะมันไม่ใช่สิ่งที่โหดร้ายทารุณเหมือนกับที่บางคนเขากลัว ที่แท้มันเป็นความมุ่งหมายของธรรมชาติ บริสุทธิ์ ให้เราอยู่กันด้วยความเห็นแก่กันและกันในรูปของสังคม แล้วก็มาอยู่ในรูปของศาสนา จนกว่าคนละทิ้งศาสนา เพราะมาหลงในทางวัตถุ คือมาถึงยุคที่นิยมวัตถุ ไปทางรอยเนื้อหนังทางวัตถุ คนก็ทิ้งศาสนา นั่นถึงทิ้งระบบสังคมนิยม ตามแบบทางศาสนาเสีย มาแข่งขันแย่งชิงกันหาประโยชน์ทางวัตถุ แม้เขาจะผูกพันกันเป็นพวก เป็นหมู่ เป็นสังคม ก็เหมือนกันหมด คือแย่งชิงวัตถุกันทั้งนั้น เป็นสังคมที่มีขึ้นหลายสังคมแล้วก็แย่งชิงกันทางวัตถุ มันก็หาความสงบสุขไม่ได้ มันเห็นแก่ตัว ไม่ได้รวมกันหลายๆ ตัว มันก็ยังเป็นตัว หรือ ความเห็นแก่ตัว ที่รุนแรงยิ่งขึ้นทุกที สังคมนิยมชนิดนี้แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ มีแต่เพิ่มความยุ่งยากลำบาก
ทีนี้สังคมนิยมเป็นคำที่ดีแน่ แต่จะให้มีความหมายไปทางไหนนั่นก็ดูเอาเอง ให้มันจำกัดความให้ชัด ที่ว่าดีแน่นั้นหมายความว่าให้เห็นแก่สังคม อย่าเห็นแก่ตัว ตัวกูของกูคนเดียว เป็นคนๆ ไป ทว่าสังคมนิยมทำอย่างไรเสียมันก็ไม่ผิด มันอาจจะถูกน้อย จนกว่าจะถูกมาก หรือ ถูกถึงที่สุด ตามความมุ่งหมายของศาสนาที่ให้ถือว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น มันเป็นสูงสุดอยู่ที่นั้น
เดี๋ยวนี้ เอาเป็นว่า ฝ่ายซ้ายก็ดี ฝ่ายขวาก็ดี พอมองเห็นข้อเท็จจริงอันนี้กันแล้วทั้งนั้น ถ้าปัญหาของสังคมมีอยู่ที่ความไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม เกิดช่องว่างระหว่างชนชั้น นี้จะแก้กันอย่างไร แต่ละพวกก็มีวิธีแก้ไปตามแบบของตัว ควรจะแบ่งเป็นสองฝ่ายได้เลย พวกหนึ่งจะแก้ทางวัตถุเพราะว่าหลงในวัตถุ ก็จะใช้การแก้ทางวัตถุ คือ ทางเศรษฐกิจ ทางการเมือง ทางอะไรก็ตาม กระทั่งใช้วิธีเผด็จการ อย่างคอมมิวนิสต์นี้ เขาถือว่าเผด็จการ เผด็จการเพื่อแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ ทางการเมือง ให้สังคมของเขาเป็นปกติสุข มันก็เป็นสังคมนิยมไปแบบหนึ่ง นี่พวกอื่นไม่มีปัญหาอย่างนั้น ไม่จำเป็นจะต้องแก้ด้วยวิธีนั้นก็ได้ จะแก้ทางศีลธรรม ทางจิตใจในทางศีลธรรม แล้วก็ใช้วิธีเผด็จการด้วยเหมือนกัน เพราะว่าจะมัวโอ้เอ้อยู่นี่ มันช้ามันไม่ทันกับเวลา ก็ต้องใช้วิธีเผด็จการ แต่เผด็จการโดยศีลธรรม มันก็เกิดเป็นเรื่องที่ต่างกันขึ้นมาเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายที่จะเอาวัตถุมาเป็นหลัก แล้วแก้ไปด้วยกำลัง ถ้ามีอุปสรรคก็จะใช้เลือดเป็นเครื่องล้าง นี่ก็ไปกันอีกแบบหนึ่ง อีกทางหนึ่งเอาศีลธรรมเป็นหลัก จะมีข้อขัดแย้งอย่างไรก็ไม่ประสงค์จะใช้เลือดเป็นเครื่องล้าง จะใช้ศีลธรรมหรือว่าการพูดกันจนให้รู้เรื่อง เป็นเครื่องล้างอย่างนี้ก็ได้ แล้วก็เป็นสังคมนิยมด้วยกันทั้งสองฝ่าย แล้วก็จะใช้เผด็จการด้วยกันทั้งสองฝ่าย แม้ฝ่ายใช้ศีลธรรมนี้ก็มีทางที่จะเผด็จการได้
คำว่าเผด็จการนั้นเป็นที่ตั้งของความเข้าใจผิด คนมันกลัว อันที่จริงแล้ว เผด็จการนั้นเป็นเพียงวิธีการไม่ใช่ลัทธิไม่ใช่ตัวลัทธิ เป็นเพียงวิธีการให้ลัทธินั้นสำเร็จ เขาเผด็จการในทางผิดมันก็ผิด ถ้าเขาเผด็จการในทางถูกมันก็ถูก ฉะนั้นอย่ากลัวคำว่าเผด็จการอย่างโง่เขลาเหมือนอย่างที่คนบางคนกลัว เมื่อมีหลักศีลธรรมอย่างนี้ ต้องแก้ให้ทันเวลา ต้องใช้เผด็จการไปตามแบบของศีลธรรม นั้นไม่ใช่การทำให้เกิดการหลั่งเลือดด้วยความอาฆาตโกรธแค้น เหมือนที่พวกชนกรรมาชีพเขาต้องการจะฆ่านายทุน เป็นต้น
เดี๋ยวนี้เรามีปัญหาอยู่ในประเทศไทย ก็คือไอ้สิ่งที่เรียกว่า กฎหมู่ซึ่งทำให้กฎหมายไม่เป็นกฎหมายมันลำบากสักเท่าไร ถ้ามันมีเผด็จการแห่งศีลธรรม กฎหมู่มันก็อยู่ไม่ได้ ต้องหนีไปให้หมดเลย แล้วกฎหมายอันถูกต้อง หรือศีลธรรมอันถูกต้อง มันก็จะเข้ามา ก็ทำให้มีความสงบสุขหรือแก้ปัญหาได้ ฉะนั้นเราต้องใช้เผด็จการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในบางคราวบางกรณีบางยุคบางสมัย แล้วก็พยายามที่จะใช้แต่น้อยที่สุด ในกรณีที่จำเป็น ก็เลยได้สังคมนิยมขึ้นมาสองแบบ สังคมแบบที่จะเผด็จการด้วยวัตถุด้วยเศรษฐกิจด้วยการเมืองด้วยอาวุธ แล้วก็สังคมนิยมที่จะเผด็จการด้วยศีลธรรม หรือถ้าจะพูดอีกทีหนึ่งว่า เราใช้ศีลธรรมเหนือเรื่องเศรษฐกิจ และการเมือง ในเมื่อฝ่ายโน้นเขาใช้เรื่องเศรษฐกิจกับการเมืองเหนือสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรม หรือถึงกับไม่มีศีลธรรมกันเสียเลย เพราะฉะนั้นเข้าใจคำว่า สังคมนิยมให้ดีๆ เพราะมันจะเป็นเครื่องแก้ปัญหาของสังคม ปัญหาของสังคมไม่มีทางแก้อย่างอื่น นอกจากแก้ด้วยสังคมนิยมที่ถูกต้อง
ในวันก่อนได้พูดถึง ดอกบัวสีแดง คือสังคมนิยมหลั่งเลือด แล้วก็ดอกบัวสีเหลือง สังคมนิยมที่ไม่ต้องหลั่งเลือด สังคมนิยมทางศาสนา ก็ขอให้จำไว้เป็นหลัก แล้วถ้าเรื่องสุญญตาแล้วมันกลายเป็นขาว เหนือแดงเหนือเหลืองแล้วจะเป็นขาว ผู้ที่ได้ฟังการบรรยายครั้งที่แล้วมาก็ไปทบทวนดูเอง ที่หมายความว่า ไอ้สีขาวจะแก้ปัญหาทุกอย่างหมดเลย เดี๋ยวนี้ไม่มีใครที่จะอุทิศชีวิตเพื่อแก้ปัญหาสังคม ล้วนแต่มุ่งหมายแต่จะทำประโยชน์ส่วนตน เพราะใช้ เพราะใช้ยี่ห้อของสังคมนิยมมาตบตาคนอื่น แล้วทำไปอย่างเพื่อประโยชน์ของตัว ถ้ามองอีกทางหนึ่งก็แปลว่าไอ้โลกเราปัจจุบันนี้มันไม่ได้คิดถึงข้อนี้ คิดถึงแต่เนื้อหนังทั้งนั้นแหละ คือประโยชน์สุขสนุกสนานสำเริงสำราญกันไปตามเรื่อง ไม่ได้คำนึงถึงสังคม คำนึงถึงประโยชน์ของตัว นั่นก็จึงมีสิ่งที่ทำลายสังคมเต็มไปหมด สิ่งลามกอนาจารทั้งหลาย สิ่งเสพติดทั้งหลาย อาชญากรรมทั้งหลาย นี่มันหนาแน่นขึ้นมาในโลกนี้มันเต็มไปหมด แล้วมุ่งผลเพียง เพียงการที่จิตได้รับการบำรุงบำเรอ เป็นสิ่งประเล้าประโลมใจ ที่เรียกว่า เอนเตอร์เทรนเม้นท์ ยิ่งวิปริตนอกรีตนอกรอยกันทุกที
อย่างเดี๋ยวนี้เหรอ มวยหญิงก้าวหน้าไปถึงมวยหญิงระหว่างชาติแล้วนะคุณก็รู้ เพราะคุณอ่านหนังสือพิมพ์มากกว่าผมเสียอีก มันมีอะไรอีกมากมาย ที่มันทำไปเพื่อไม่รู้ประโยชน์อะไร ก็ไม่มีประโยชน์ นอกจากความเพลิดเพลิน อะไรก็หมุนไปหาความเพลินเพลิด สิ่งที่มีไว้หรือประดิษฐ์ขึ้นมาสำหรับสร้างสันติภาพ หรืออะไรก็ตาม มันเอาไปใช้เพื่อความเพลินเพลินหมดล่ะ วิทยุก็ดี ทีวีก็ดี รถยนต์ก็ดี เรือบินก็ดี อะไรก็ตาม กระทั่งของประดิษฐ์ใหม่ๆ พวกอิเล็กทรอนิคส์ทั้งหลายนี้ มันก็ใช้เป็นเครื่องมือแสวงหาความเพลิดเพลินหมด ไม่ได้ใช่แม้แต่เพื่อการศึกษา พูดอย่างนี้ก็หาว่าโกหก หรือว่าพูดเอาข้างเดียว หมายความว่าไอ้ที่เราจะใช้เพื่อประโยชน์แก่การศึกษาหรือแก่เพื่อนมนุษย์น่ะ มันนิดเดียว มันไม่ถึงครึ่งเปอร์เซ็นต์ ไอ้เก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ ครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งด้วย มันก็ใช้เพื่อความเพลินเพลิด อุตสาห์นั่งทนฟังวิทยุบางสถานีสามชั่วโมงเต็ม ไม่พบสิ่งที่เป็นสาระแม้แต่นิดเดียว มีเพลงบ้าๆ บอๆ มีโฆษณาสินค้า ด้วยสำนวนโวหารที่ประหลาด ประหลาด อย่างนั้นเรื่อยไป ก็ร้องเพลงบ้าๆ บอๆ สามชั่วโมงไม่มีสาระอะไรเลย ก็แปลว่าไอ้เครื่องส่งวิทยุมันใช้เพื่ออย่างนี้ ก็เลยเป็นว่า เราใช้ไอ้เครื่องมือวิเศษแห่งยุคปัจจุบันอีกหลายๆ อย่าง หลายๆสิบอย่างเพื่อความเพลิดเพลิน ถึงจะขึ้นชื่อว่าความเพลินเพลิดและสร้างความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น ไม่ต้องพูดกัน มันก็เลยไม่ได้แก้ปัญหา ไม่มีใครที่จะแก้ปัญหา นี่เรียกว่า เราเป็นผู้เข้าใจผิด สำคัญผิด หลงใหลกลับไปกลับมาในทางหนึ่งว่าต้องการสันติภาพ แล้วตัวก็แปลความหมายผิด เอาความเพลิดเพลินน่ะ เป็นสันติภาพ ไม่รู้ว่าไอ้ความเพลินเพลิดสร้างความเห็นแก่ตัว และความเห็นแก่ตัวก็ข้าศึกกับสันติภาพ
ก็ขอฝากไว้ให้พวกท่านทั้งหลาย เอาไปพิจารณาดูให้ดี ให้พบข้อเท็จจริงที่มีอยู่จริงในปัญหาของสังคม คือมนุษย์เรา เดี๋ยวนี้ทั้งโลกก็ว่าได้ มีปัญหาอย่างนี้ นี่คือใจความสำคัญของคำบรรยายในตอนที่ได้พูดมาแล้ว ในครั้งที่แล้วมา ซึ่งยุติลงที่ว่าเราจะต้องแก้ปัญหาโดยเฉพาะปัญหาของประเทศไทยเรานี้ด้วยดอกบัวสีเหลือง คือแก้ปัญหาสังคมด้วยสติปัญญาที่ได้รับมาจากพระศาสนา เป็นสติปัญญาสีเหลือง ไม่ใช่สติปัญญาสีแดง ที่รื้อเป็นดอกบัวสีแดง ที่รู้แต่จะทำให้หลั่งเลือด
เอ้า, ที่นี้ที่จะพูดต่อไปตามความตั้งใจนี้ ก็จะขอต่อลำดับไปว่า เราไม่สามารถจะแก้ปัญหานี้ได้ด้วยการพัฒนาทางวัตถุ เมื่อพูดถึงการพัฒนาวัตถุกันอย่างตรงไปตรงมาโดยยุติธรรมแล้ว ก็ไม่เรียกว่าขวาหรือซ้ายก็ได้ เพราะมันเป็นคำกลางๆ แล้วแต่จะใช้ไปในทางฝ่ายไหนก็ได้ นั่นมันเป็นคำพูด ส่วนข้อเท็จจริงนั้นมันมีอีกอย่างหนึ่งที่ทางหนึ่งซึ่งเราจะต้องพิจารณาต่อไปว่า การพัฒนาทางวัตถุนั่น มันจะทำให้อะไรเกิดขึ้น เดี๋ยวนี้ในโลกเรานี้มันก็มีพิษร้าย พิษร้ายซึ่งเกิดมาจากโรคระบาดของความนิยมวัตถุ มาทำลายศีลธรรม แล้วเราก็เป็นทาสของวัตถุ เราไปยื้อแย่งกันทางวัตถุ เพราะวัตถุมันครอบงำมากเกินไปจนเฟ้อ แต่ข้อนี้ยกไว้ ไม่ได้มุ่งหมายจะเอามาเป็นเรื่องสำคัญอะไร แต่จะชี้ให้เห็นข้อที่ว่า มันไม่ใช่ วัตถุนี้ไม่ใช่เป็นที่ตั้งความเห็นแก่ตัวอย่างเดียว มันเป็นทางให้เกิดปัญหาอย่างอื่นอีกมาก
ยกตัวอย่างว่า เรามีเครื่องทุ่นแรง เกิดสติปัญญาสร้างเครื่องทุ่นแรงขึ้นมากันมากมายมหาศาล แล้วมันแก้ปัญหาได้อย่างไร เมื่อคนร่ำรวยมีเครื่องทุ่นแรงมากเท่าไร คนยากจนก็มีแรงงานเหลือ ก็แรงงานของเขาก็จะถูกลดค่าลงไป ลดค่าลงไป เพราะแรงงานทางเครื่องจักรมันถูกกว่า แล้วค่าแรงค่าหยาดเหงื่อของคนจนมันจะแพงขึ้นได้อย่างไร หรือถ้ามองอีกทางหนึ่ง มันก็เป็นเหตุในแรงงานในโลกนี้มันเหลือ พอแรงงานมันเหลือ คือคนจนไม่ได้ทำอะไร ความเดือดร้อนมันก็เกิดขึ้นอย่างรุนแรง ก็อยากเข้าใจว่า ยิ่งก้าวหน้าทางเครื่องจักรเครื่องทุ่นแรง แล้วจะทำให้โลกมีสันติภาพ มันสร้างปัญหาเรื่องแรงงานเหลือขึ้นมา คือปัญหาปัจจุบัน นี่มันเป็นของบริสุทธิ์ จะเป็นพิษเป็นภัยโดยไม่รู้ตัว สติปัญญาก้าวหน้าทางวัตถุ มันสร้างปัญหาอย่างนี้ขึ้นมาเป็นตัวอย่าง ถ้าต่างคนต่างต้องใช้แรง เครื่องจักรเครื่องทุ่นแรงทั้งหลายไม่มี ทุกคนก็ต้องทำงานเสมอกันหมด หรือว่าทำสองคนกินหนึ่งคนก็ได้แล้วแต่ว่ามันจะกินได้กี่คน ทุกคนก็ทำงานเสมอกันหมด ไม่ต้องมาเป็นคนมั่งมีหรือคนยากจน ปัญหาก็ไปอีกรูปหนึ่ง แต่คนก็ไม่ชอบ คนจนก็ไม่อยากทำงาน อยากไปเล่นหัวสนุกสนาน คนมั่งมีก็ไม่อยากทำงาน อยากอยู่กันสุขสำราญอยู่บนวัตถุ ฉะนั้นจึงหาทางที่จะไม่ต้องทำงาน แล้วก็เห็นว่าการทำงานนี้เป็นของต่ำ ทีนี้ก็เหยียดหยาม มันก็ต้องมีปัญหาอื่นมาแทนที่
เดี๋ยวนี้มีปัญหาที่ว่าเครื่องจักรก้าวหน้า มันทำได้ดีเท่าไรมันก็สร้างปัญหาในโลกขึ้นมากเท่านั้นแหละ นี่เราไม่อาจจะแก้ไขปัญหาของสังคมในโลก ได้ด้วยการพัฒนาทางวัตถุและจากที่เป็นเครื่องจักร นี่การพัฒนาทางวัตถุนั้นขอให้ดูให้ดีเถอะ ยิ่งพัฒนาก็ยิ่งเหลือ ยิ่งพัฒนามันยิ่งเฟ้อ คือเกินจำเป็น และถ้าที่ต้องการหรือจำเป็น มันก็ไม่มีอะไรนัก เดี๋ยวมันก็ไม่ต้องพัฒนาไม่ต้องทำอะไร เครื่องจักรก็หยุดหมด ทีนี้เมื่อไม่ยอมหยุดมันก็ต้องพัฒนาสิ่งที่เฟ้อที่เหลือความจำเป็นขึ้นมา นี้ทางหนึ่ง อีกทางหนึ่งทุกคนชอบสิ่งเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนังทางวัตถุซึ่งเป็นปัจจัยแห่งกามารมณ์ทุกรูปแบบ เอ้า, คุณก็ชอบซื้อนี่ อุตส่าห์หาเงินมาด้วยหยาดเหงื่อ เอาตังค์มาซื้อวัตถุปัจจัยแห่งกามารมณ์ คนยากจนที่สุดมันก็ยังเป็นอย่างนั้น ก็แปลว่าเราก็มีปัญหาเพิ่มขึ้น พัฒนาวัตถุให้เป็นเหมือนกับปาฏิหาริย์เป็นของทิพย์เป็นของสวรรค์ มันก็แก้ปัญหาไม่ได้ มันกลายเป็นเฟ้อ ทำให้มนุษย์ยุ่งยากมากขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้าใครศึกษาเล่าเรียนมาโดยหวังว่าเสร็จแล้วจะหาอาชีพที่มีรายได้มาก แล้วจะมีชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยนี้ ผมขอให้คิดดู เอาไปคิดดูล่วงหน้าก่อนจะที่จะทำมันลงไป เพราะมันจะขวาง ขัดขวางกันกับอุดมคติที่ว่าจะแก้ปัญหาของสังคม ไอ้เรานั่นแหละจะไปทำให้ปัญหาเกิดปัญหาทางสังคม เกิดความสูงต่ำกันมากขึ้น ถ้าเราประสบความสำเร็จ เราก็จะรวมหัวกันไปฝ่ายผู้ที่ได้เปรียบ ให้ความเสียเปรียบตกอยู่แก่ชนชั้นกรรมาชีพ กรรมกรทั้งชาวไร่ชาวนา ซึ่งที่แท้ก็อาจจะเป็นบิดามารดาของเรานั่นเอง ที่ส่งเราให้ไปเล่าไปเรียนได้เรียนได้รู้ มีชีวิตอยู่อย่างฟุ่มเฟือย ก็พัฒนาทางวัตถุมันแก้ปัญหาไม่ได้ แล้วมันก็จะหลอกลวงให้เป็นทาสของวัตถุยิ่งขึ้นไปอีก ยิ่งไปกว่าที่แล้วมา
วันก่อนอ่านหนังสือพิมพ์ว่าพวกนักศึกษาที่ต่อต้านแอนตี้สินค้าญี่ปุ่น มันนั่งรถยนต์ญี่ปุ่น คุณก็คงจะเคยอ่านเคยรู้ มันนั่งรถยนต์ญี่ปุ่นออกไล่แอนตี้สินค้าญี่ปุ่น เพราะมันเป็นทาสของเนื้อหนังของวัตถุของค่าจ้างที่ทำไปได้ ในที่สุดก็ไปยุ่งมากขึ้นกว่าเดิม สมมุติว่าเรามีไฟฟ้าใช้ ทุกหัวระแหงในการพัฒนาทางวัตถุแก้ปัญหาคนจนได้อย่างไร เดี๋ยวนี้ก็มีไฟฟ้าพัฒนาขึ้นมากอย่างน้อยสามสิบ สี่สิบเปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด คนจนก็ไม่ได้ดีขึ้น แล้วปัญหาคนจนก็ยังมีมากขึ้นด้วยซ้ำไป ไม่กล้าจะคาดคะเนว่ามีไฟฟ้าใช้ทุกหัวระแหงคนจนก็ไม่ได้ดีขึ้น ถ้าหากว่ามิได้มีการแก้ไขทางศีลธรรม มัวแก้ไขกันอยู่แต่การเพิ่มวัตถุ หรือพัฒนาวัตถุ และขอพูดอย่างท้าทายและฝากไว้ให้พวกคุณทั้งหลายจำไว้ บางทีเขาจะ ในโลกนี้ ไม่ใช่ว่าจะเฉพาะประเทศไทย แต่ถ้าไม่มีไฟฟ้าใช้ทุกหัวระแหง คนจนจะดีขึ้นอย่างไร ในเมื่อมันไม่มีการแก้ไขทางศีลธรรม แต่ว่าชาวนามีรถแทรกเตอร์ใช้ ไม่มีก็ใช้เช่าเขา แล้วมันก็ไม่ดีไม่มีอะไรดีขึ้น มีปัญหาเพิ่มขึ้น คือต้นทุนแพง ต้นทุนข้าวแพงยิ่งกว่ามาใช้ควาย ก็มาใช้รถแทรกเตอร์แทน หรือว่าไปเช่าเขามา ปัญหาก็ยิ่งกว่าเดิมอีก ชาวนาขายผลิตผลของตนได้ไม่ดีไม่คุ้มทุน นี้หมายถึงชาวนาแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ที่เป็นกระดูกสันหลังของประเทศชาติ รถแทรกเตอร์เข้ามาแทนจนควายไม่มี จนหาควายดูยาก แล้วดินก็เลวลง เพราะเพียงแต่ไม่มีขี้ควายเท่านั้นที่จะใส่ลงไปในดิน แล้วใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ไม่เท่าไร ดินนั้นก็เป็นดินกระด้างเสียหมด ยุ่งยากลำบากที่จะต้องใช้เครื่องจักรมากขึ้น ใช้ปุ๋ยเคมีมากขึ้น มันก็ยิ่งตายเร็วเข้าเท่านั้นเอง มันก็จะมีต้นทุนผลิตข้าวเปลือกสูงขึ้นไปอีก แล้วมันจะขายได้อย่างไรที่จะเป็นกำไรบ้าง มันก็ยิ่งหวุดหวิดๆ หรือไม่คุ้มทุนอย่างนี้เรื่อยไปนี่
เราไม่อาจจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ด้วยความก้าวหน้าทางวัตถุ ฉะนั้นบูชาควายเหมือนอย่างเดิมจะดีกว่า จะมีความเป็นธรรมชาติมากกว่า ทำให้ดินยังดีกว่า ก็ยังจะไปกินนมวัวนมควายบ้าง จะไปกินน้ำมัน เครื่องเสียๆ จากรถแทรกเตอร์ มันกินไม่ได้แน่ นี่เป็นตัวอย่างเท่านั้น ที่เอามาพูดนี้ เพื่อให้ไปคิดดูว่าเราไม่อาจจะแก้ปัญหานี้ได้ด้วยการพัฒนาทางวัตถุ วัตถุยิ่งก้าวหน้าปัญหายิ่งมีมาก จึงหมายถึงหัวข้อที่ว่า เราจะ ต้องแก้ปัญหานี้ทางศีลธรรมด้วยการแก้ทางด้านจิตใจ ก็มีเรื่องมากเพราะว่าเรื่องศีลธรรมนี้มันมีความหมาย กว้างอย่างที่ได้พูดมาแล้วในวันก่อนโน้น
แต่สรุปความแล้วก็คือว่าศีลธรรมที่ทำให้ไม่เห็นแก่ตัว แต่ให้เห็นแก่ของจริง หรือจะเรียกว่าพระเจ้าก็ได้ เห็นแก่พระธรรมก็ได้ เห็นแก่พระเจ้าก็ได้ อย่าเห็นแก่ตัวก็แล้วกัน พอเห็นแก่พระเจ้า หรือพระธรรมนี้ เลยหยุดเป็นทาสของปัจจัยกามารมณ์ทันทีเลย ถ้าคุณกำลังเตรียมตัวไปเป็นทาสของปัจจัยกามารมณ์แล้วก็ชะงักดูบ้าง ยั้งคิดดูบ้าง เตรียมด้วยชะงักการจะไปเป็นทาสของปัจจัยกามารมณ์ แล้วก็จะมี เอ่อ ความเห็นแก่ตัวลดลง หรือไม่อาจจะเกิด แล้วแต่ว่ากรณีนั้นมันเป็นอย่างไร นี่ถ้าเรายิ่งไปเป็นทาสของวัตถุ ยิ่งไม่ได้เห็นแก่พระเจ้า โลกก็ยิ่งเห็นแก่ตัว หน้ามืดถึงขนาดประกอบอาชญากรรมได้ รุนแรงยิ่งขึ้น รุนแรงยิ่งขึ้นขนาดที่ว่า ลูกฆ่าพ่อแม่ตามที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์มันน่าจะมีมากขึ้นมากขึ้น และถี่ขึ้นถี่ขึ้น แต่พูดถึงว่าถ้าเพื่อนมนุษย์ล่ะ ฆ่าพ่อแม่หรือว่าฆ่าลูกเต้า ผัวฆ่าเมียอะไรก็ตาม ซึ่งมันมีมากขึ้นๆ ซึ่งคนสมัยโน้นเขาไม่ทำหรอก ก็มันเป็นเรื่องบ้าบอที่ผัวเกิดขึ้นมาฆ่าเมียฆ่าลูกหมด หรือเมียเกิดขึ้นมาฆ่าผัวอย่างนี้ฆ่าลูกนี่ ซึ่งมันหนาขึ้นทุกทีในหนังสือพิมพ์แห่งยุคปัจจุบัน เพราะมันบ้ามากเกินไปซะแล้ว คือความไม่มีศีลธรรมมันแสดงฤทธิ์เดชเกินหน้ามืดซะอีก ก็ต้องเรียกว่าหน้ามืดอยู่ดี
นี่พอเห็นแก่ธรรม เห็นแก่พระเจ้า ก็บรรเทาความเห็นแก่ตัว ในเมื่อทำไปตามบทบัญญัติของพระธรรม หรือ ของพระเจ้า มันก็เป็นศีลธรรม ทั้งที่ก็จะต้องอดกลั้นอดทนถึงขนาดน้ำตาไหลด้วยเหมือนกันนะ เพราะจิตมันอยากไปทำเลว พระเจ้าดึงเอาไว้ไม่ยอมให้ไปทำเลว แต่ว่ารักการทำเลวมาก ก็ต้องน้ำตาไหล เด็กเล็กๆ พ่อแม่ไม่ให้ไปดูหนัง มันเล็กเกินกว่าที่จะดื้อดึงได้ มันก็ร้องไห้ นี่เรียกว่าต้องน้ำตาไหล เพราะจะคงไว้ซึ่งศีลธรรม แต่ว่าเด็กๆ สมัยนี้คงจะมีอะไรทะลึ่งตึงตังแก้ปัญหาของเขาได้ ไม่ใช่เด็กโง่ๆ สมัยผม ที่ว่าแม่ไม่ให้ไปดูหนังก็ต้องนั่งร้องไห้ ไม่มีหนี ไม่มีดื้อ ไม่มีไปไหน แต่สมัยนี้ดูๆ จะไม่ได้เป็นอย่างนั้น แม้แต่เด็กหญิงแม้แต่หญิงสาว พ่อแม่ห้ามไม่ให้ออกไปค่ำคืน มันก็เกิดเรื่อง ไอ้ความตกเป็นทาสของเนื้อหนังมันมากเกินไปอย่างนี้ ปัญหามันก็เพิ่มขึ้น
ที่อยากจะพูดถึงคำว่าศีลธรรม บางคนยังไม่เคยฟัง ตรงที่ขอบอกว่า ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ศีลธรรม ถ้ามันเป็นความถูกต้องที่จะแก้ปัญหาได้แล้ว ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ศีลธรรม เรื่องเศรษฐกิจก็เป็นเรื่องศีลธรรม คือเขามีสติปัญญาที่จะแก้ปัญหาที่มันเนื่องมาจากความไม่เป็นไปอย่างถูกต้องตามทางเศรษฐกิจ นักเศรษฐกิจนั่นเป็นนักศีลธรรมอย่างยิ่งเพื่อจะแก้ปัญหาของสังคม อย่าให้เดือดร้อนขึ้นเพราะเรื่องเศรษฐกิจ แต่นี่นักเศรษฐกิจเขาไม่เป็นอย่างนั้น เขาไม่เป็นนักศีลธรรม เขาก็เป็นผู้ฉวยโอกาส กอบโกย เข้าหาตัวหรือพวกของตัว แต่ถ้าพูดตามธรรมชาติจริงๆ ตามธรรมชาติต้องการจริงๆ หรือตามที่ไอ้ระบบงานอันนี้ มันได้เกิดขึ้นมาในโลกตามที่ธรรมชาติบังคับ เพราะมันมีความเดือดร้อนในแง่นั้นในมุมนั้น คือมุมที่เราเรียกกันว่าเศรษฐกิจ ถ้าคุณมีปัญญาก็แก้ไขได้ มันก็เป็นนักศีลธรรม เรื่องการเมืองก็มีความวุ่นวาย ไม่ปรารถนาก็ต้องแก้ไข ถ้าแก้ไขได้มันก็เป็นการทำประโยชน์กับสังคม ต้องมีจิตใจประกอบด้วยศีลธรรม จึงจะเป็นนักการเมืองที่แก้ไขปัญหาของบ้านเมืองได้ ถ้านักการเมืองไม่มีศีลธรรม มันก็กอบโกย หลอกลวง ไปตามเรื่องของคนไม่มีศีลธรรม เพราะการเมืองเป็นเรื่องศีลธรรม จะสร้างสันติภาพ นี้มันไม่มีนักการเมืองชนิดนั้น ความประสงค์ของธรรมชาติ ต้องการให้มีสติปัญญาขึ้นมาในรูปแบบใหม่รูปหนึ่งเพื่อจะแก้ปัญหาอย่างที่เรียกว่า การเมือง นักการเมืองที่แท้จริงต้องเป็นนักศีลธรรม ควรกราบไหว้บูชาเขาอย่างยิ่ง เพราะเขามีสติปัญญาแก้ปัญหาทางการเมืองของสังคม ให้สังคมอยู่เป็นสุข เดี๋ยวนี้เรากราบไหว้นักการเมืองไม่ลง เพราะไม่เชื่อนักการเมือง แต่มันผิดเจตนารมณ์ของธรรมชาติ คือไม่มีศีลธรรม ไม่มีการเมืองแบบศีลธรรม เพราะว่าเห็นเป็นเรื่องสกปรก เป็นคนสกปรกไป
ทีนี้มาดูถึงการอาชีพ การครองชีพให้ถูกต้อง นี่ก็เป็นเรื่องศีลธรรมอย่างยิ่ง ถ้าเราไม่รู้ว่าถูกต้องอย่างไร ก็ต้องการจะเอร็ดอร่อย สนุกสนานให้ยิ่งๆ ขึ้นไป เราไม่พูดถึงคำว่าถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง นี่เราครองชีพอย่างไม่มีศีลธรรม ขอให้พวกคุณระวังให้ดีๆ คุณจะสึกออกไปครองชีพอย่างไม่มีศีลธรรม แล้วก็ต้องประกอบอาชีพอย่างไม่มีศีลธรรม เป็นธรรมดา
ที่เคยพูดแล้วไม่มีใครเชื่ออีกข้อหนึ่ง ก็คือว่าแม้แต่กิจการสงครามหรือกิจการทหารนั่นนะ แล้วธรรมชาติก็ต้องการจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมเหมือนกัน ถ้าสงครามมันทำไปเพื่อความยุติธรรมเพื่อรักษาความยุติธรรม ไอ้สงครามนั่นก็เป็นศีลธรรม แต่ถ้าเป็นสงครามเพื่อตัวกู เพื่อประเทศของกู เพื่ออะไรของกูแล้วนั้นไม่ใช่ศีลธรรม จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ไอ้สิ่งที่เรียกว่าสงคราม ก็คือการปล้นจี้อย่างมหาศาลสูงสุดนั่นเอง ไอ้สิ่งที่เรียกว่าสงครามนั่นมันไม่มีรายละเอียด เครื่องมือของการกอบโกยเอาประโยชน์ผู้อื่นมาเป็นของตัว ที่แท้ไอ้ศีลธรรมนี้ธรรมชาติมีไว้ ที่แท้สงครามน่ะ หรือ การทหารก็ตาม ธรรมชาติมันมีให้เพื่อการแก้ปัญหาของสังคม ในแง่หนึ่งมุมหนึ่งที่มันไม่มีทางอื่นจะแก้ได้ เช่นว่าเกิดคนกลุ่มหนึ่งมันทำลายความยุติธรรมในโลก สร้างความอยุติธรรมขึ้นมา เมื่อทำอย่างอื่นไม่ได้ก็ใช้ทหาร หรือการสงคราม เพื่อผดุงความเป็นธรรมในกรณีนั้นไว้ แล้วก็ต้องเรียกว่าเป็นศีลธรรมอยู่ดี กิจกรรมทั้งหลายของมนุษย์เป็นพวกๆ ไป ถ้าจะยกมาเป็นตัวอย่างนี้เป็นเรื่องของศีลธรรมหมด ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ศีลธรรม เพราะว่าธรรมชาติ ต้องการให้ใช้สิ่งนี้เพื่อแก้ไขปัญหาวุ่นวายให้กลายเป็นความสงบ ความสงบนั้นนะคือศีลธรรมหรือผลของศีลธรรม
นี่มาดูให้ดี ไอ้เรื่องที่มองข้าม ทุกอย่างต้องประกอบไปด้วยศีลธรรมหมด นับตั้งแต่ว่าจะไปหาอาหารมากินแล้วกินอาหารเข้าไป จะถ่ายอุจจาระถ่ายปัสสาวะ จะอาบน้ำจะทำอะไรทุกอย่างที่เป็นเรื่องส่วนตัวประจำวันนี้ก็ต้องเป็นไปอย่างถูกต้อง มันจึงจะได้ผลเป็นความสงบสุข กินข้าวไม่เป็น ก็ไม่ได้ผลการกินอาหาร อาบน้ำไม่เป็น ก็ไม่ได้ผลของการอาบน้ำ ถ่ายอุจจาระปัสสาวะไม่เป็น ก็ไม่ได้ผลของการถ่ายอุจจาระปัสสาวะ นี่เรื่องมันต่ำที่สุดแล้ว มันก็ยังต้องเป็นเรื่องของศีลธรรม คือทำไปเพื่อให้ได้รับความปกติสุขสงบของร่างกาย แล้วก็สูงขึ้นไปจนถึงเรื่องทางจิตใจ หรือไกลออกไปจนถึงก็เป็นเรื่องของสังคม
ถ้าเข้าใจคำว่าศีลธรรมอย่างถูกต้องและครบถ้วนอย่างนี้แล้ว คุณก็จะเข้าใจเรื่องของพระศาสนาได้ถูกต้องและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น แล้วจะเข้าใจคำว่าสุญญตาที่จะแก้ปัญหาของสังคมได้อย่างไรนี้มากขึ้นด้วยเหมือนกัน เพราะว่าสุญญตานี้จะเป็นรากฐานอันแท้จริงประเสริฐที่สุดในการมีศีลธรรม ศีลธรรมสูงสุดมาจากสุญญตาคือความรู้ที่ทำให้ไม่เห็นแก่ตัว เมื่อได้พูดถึงศีลธรรม สุญญตา อนัตตา กันอีกสักหน่อย ฟังดูแล้วมันยังเป็นของแปลกน่ะ ซึ่งคุณอาจจะยังไม่เคยได้ยินก็ได้ แต่จริงมันมีอยู่จริง แต่เขาไปเรียกมันอย่างอื่น เดี๋ยวนี้ผมจะเรียกตรงๆ ตามความเป็นจริงของธรรมดา เลยเรียกมันว่าศีลธรรมสุญญตา หรือ ศีลธรรมอนัตตา หมายความว่าศีลธรรมสูงสุดเป็นที่ผุดผ่องที่มาจากความรู้เรื่องสุญญตา มาจากความรู้เรื่องอนัตตา ถ้ามันยังไม่ได้มาจากความรู้ในระดับนี้ แล้วมันยังเป็นศีลธรรมมันสูงสุดไม่ได้ มันเป็นศีลธรรมขอไปที ศีลธรรมตามขนบธรรมเนียมประเพณีบางขั้นบางตอนที่แก้ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ของเด็กอมมือได้ ถ้าจะแก้ปัญหาแท้จริงแล้ว มันต้องเป็นศีลธรรมที่มาจากความรู้อันถูกต้องของธรรมชาติ ซึ่งจะไม่มีอะไรยิ่งไปกว่าสุญญตา หรือจะเรียกว่าอนัตตาก็ได้เหมือนกัน
ดังนั้นขอเตือนให้ระลึกนึกถึงอีกทีหนึ่ง ถึงข้อที่เอามาบอกให้ฟังว่าพระพุทธเจ้า ท่านตรัสว่า ความรู้เรื่องสุญญตาจะเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ฆราวาสทั้งหลายตลอดกาลนาน ได้ยินไหมว่าแก่ฆราวาสทั้งหลาย ไม่ได้พูดถึงเรื่องพระเรื่องบรรพชิตที่จะไปนิพพาน พวกฆราวาสที่ครองเรือน รูปลักษณ์ของหอม นอนแออัดอยู่กับบุตรภรรยาน่ะเขาเรียกฆราวาส พระพุทธเจ้าก็จะใช้คำอย่างนั้น สุญญตัปปฏิสังยุตตา สุตัญตา ระบบความรู้ที่มันเนื่องด้วยเรื่องสุญญตา มันจะแก้ปัญหาของฆราวาส แล้วฆราวาสนั่น และจะเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ฆราวาสทั้งหลายตลอดกาลนานด้วย
ศีลธรรมสุญญตา คือศีลธรรมที่เกิดมาจากความรู้เรื่องสุญญตามีรากลึกซึ้งหนาแน่นมั่นคงแข็งแรง นี่ได้พูดมากแล้วว่า สุญญตาหรืออนัตตาเนี่ย ทำลายความเห็นแก่ตัว ใครเข้าถึงสุญญตาหรืออนัตตาคนนั้นจะหมดความเห็นแก่ตัว เพราะมันเหลืออยู่แต่ความเห็นแก่ความถูกต้อง แล้วก็ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่นไปได้ โดยที่ไม่ต้องเห็นแก่ตัว ตรงนี้ ขอเตือนสักหน่อยว่า ยังเข้าใจคำว่าเห็นแก่ตัวนี้ไม่ค่อยจะถูกต้อง คือมีคนถามว่า ถ้าไม่ให้เห็นแก่ตัวแล้วให้เห็นแก่ใครอย่างนี้ก็มี คือบอกคนจะถามว่า ถ้าไม่เห็นแก่ตัวแล้วเอาอะไรมาเป็นรางวัล ดลใจ หรือ กระตุ้นให้กระทำการงาน เพื่อความเข้าใจถูกต้องจะขอย้ำ แยกเป็นสองคำ ว่าเห็นแก่ชีวิต กับ เห็นแก่ตัว นี้ไม่ใช่อย่างเดียวกัน เห็นแก่ตัวมันคือเห็นแก่ตัวกู เห็นแก่ของกู ด้วยอำนาจของกิเลส ความเห็นแก่ชีวิตตามธรรมชาติ ตามความหมายที่ถูกต้องก็ได้ ความเห็นแก่ชีวิตนี้ไม่ได้เป็นกิเลส เหมือนกับความเห็นแก่ตัว เช่นเราเห็นแก่ชีวิต เราจะต้องทำการงาน หาอาหารเลี้ยงชีวิต หิวขึ้นมาก็ต้องกิน อย่างนี้มันเรียกว่าเห็นแก่ชีวิต ยังไม่เจือด้วยกิเลส แต่พอเห็นแก่ตัวกูของกูนั่นแหละ เป็นกิเลสเต็มอัตราร้อยเปอร์เซ็นต์ จำคำว่าเห็นแก่ตัวไว้ในความหมายอย่างนี้ อันที่เป็นปัญหานั้นเพราะเข้าใจผิดเอาไปปนกันเสียว่าความเห็นแก่ชีวิต หรือ ความเห็นแก่ความรอดอยู่ได้อย่างนี้ นั่นไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว ทุกคนจะต้องพยายามให้ชีวิตรอดอยู่ได้ รอดอยู่ได้แล้วจะทำอะไรต่อไปก็ทำ ก็อย่าทำให้ผิดโดยความเห็นแก่ตัว ให้เห็นแก่ชีวิตเฉยๆ ก็ได้ ถ้าสูงไปกว่านั้นก็เห็นแก่พระธรรม หรือ ธรรมะ ที่เป็นกฎของชีวิตที่ถูกต้องที่จะทำให้ชีวิตทั้งหลายไม่เกิดเป็นปัญหาขึ้นมา
ขอให้จำคำว่าเห็นแก่ชีวิตไว้ก็ได้ แล้วพยายามให้เห็นชัดว่ามันต่างหากจากความเห็นแก่ตัวไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เดี๋ยวนี้ถ้าต้องการให้กำจัดความเห็นแก่ตัว ไม่มีความรู้ไหนที่จะกำจัดความเห็นแก่ตัวได้ดีเท่ากับความรู้ในระดับสุญญตา หรือ อนัตตา ศีลธรรมระดับสูงสุดก็คือศีลธรรมที่มาจากความรู้เรื่องสุญญตา อนัตตา แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีใครเรียกซะอีก ที่จะไม่ยอมเรียกว่าสุญญตาอนัตตา นี้เป็นศีลธรรม หรือเป็นรากฐานของศีลธรรม แล้วคำว่าอนัตตานี่เป็นที่รังเกียจของคนสมัยใหม่ปัจจุบันนี้
ขอให้ทุกคนที่นั่งฟังอยู่ที่นี้ระลึกนึกถึงจิตใจของตัวเอง ความรู้สึกของตัวเองว่ารังเกียจคำว่าอนัตตาหรือเปล่า ที่นั่งอยู่ที่นี้ทั้งฆราวาสทั้งบรรพชิตนี้ ใครรู้สึกรังเกียจคำว่า อนัตตา หรือ ใครรักคำว่า อนัตตา จะเป็นเพราะถูกสอนมาผิดๆ หรือฟังตามๆ กันมาอย่างผิดๆ สรุปใจความเอาเองหรือเดาเอาเองอะไรก็ตาม แล้วก็รังเกียจไอ้อนัตตา อนิจจัง ทุกขัง ที่เรียกว่าเป็นของครึคระ พ้นสมัยล้าสมัย แล้วขัดขวางความเจริญ เหมือนที่เขาพูดกันอยู่โดยมาก โดยเฉพาะที่กรุงเทพ ซึ่งเป็นเมืองที่ ซึ่งเป็นถิ่นเป็นแดนที่ลุ่มหลงวัตถุมากที่สุด ยิ่งในเมืองหลวงยิ่งเมืองที่เจริญแล้วก็จะยิ่งลุ่มหลงวัตถุมากที่สุด ยิ่งลุ่มหลงวัตถุมากที่สุดเท่าไร ก็ยิ่งเกลียดอนัตตาสุญญตา มากเท่านั้นแหละ ไปสังเกตดู แล้วคุณน่ะเคยมีไหม เคยนึกรังเกียจไอ้เรื่องอนัตตา สุญญตาไหมหรือว่ารักมันในฐานะที่ว่ามันจะทำความปลอดภัยให้แก่โลก รวมทั้งตัวเราด้วย เดี๋ยวนี้เท่าที่รู้สึกสังเกตเห็นรู้สึกว่ามันเป็นที่รังเกียจของคนในโลก ซึ่งเป็นทาสแห่งวัตถุ โลกปัจจุบันนี้เป็นโลกที่เป็นทาสของวัตถุ บูชาวัตถุ เพราะมันมากมายหลายสิบเปอร์เซ็นต์ จึงเหมาว่าทั้งโลก เหลือที่ไม่เป็นทาสของวัตถุนั่นนะมันน้อยก็เลยเรียกว่า โลกสมัยที่เป็นทาสของวัตถุเสียเลยก็ไม่ผิด ในโลกชนิดนี้ก็รังเกียจคำว่าอนัตตา ทั้งที่เขาไม่รู้ว่าอะไรแน่ เราไปบอกเขาว่า อนัตตานี้คือรากฐานแท้จริงของศีลธรรม ที่จะแก้ปัญหาของสังคม หรือทำโลกนี้ให้มีสันติ เขาก็ไม่เข้าใจ เมื่อไม่เข้าใจก็ไม่เชื่อ อย่างดีก็เชื่อครึ่งหนึ่ง เอาไว้ไปคิดดูก่อนว่า อะไรมันเป็นอะไร
เอ้า, ที่นี้เรา ก็หมดปัญญาแล้ว ที่จะทำให้คนทั้งโลกไม่ยอมรับมติอันนี้ ที่ว่าเราจะแก้ปัญหาของโลกทั้งหมดได้ด้วยความรู้เรื่องอนัตตา เราก็ต้องหันมามองดูกันแต่ในพวกพุทธบริษัท บรรดาพวกที่เป็นพุทธบริษัท ส่วนพุทธบริษัทนี้เป็นอย่างไร พวกนี้รู้จักอนัตตาหรือสุญญตาอย่างดีมากน้อย ผมคิดว่าถ้าเขารู้จักกันดี ผมก็ไม่ ผมก็คงจะไม่ถูกด่าในข้อที่เอาเรื่องสุญญตามาเผยแพร่ ถูกด่าในหลายแง่หลายมุม เอามิจฉาทิฐิมาพูดบ้าง หรือมหายานซึ่งไม่ใช่พุทธศาสนาที่ถูกต้องบ้าง หรือ อย่างที่มีความหมายที่สุดก็คือ เอาเรื่องที่ไม่มีประโยชน์แก่ยุคสมัยนี้มาพูดบ้าง แต่เราเองก็ยืนยันว่า อันนี้จำเป็นอันนี้ถูกต้อง แม้ในโลกยุคปัจจุบันนี้ ก็ยืนยันว่าสุญญตานี้ซึ่งเป็นของประเสริฐสุดในพระพุทธศาสนาของพุทธบริษัทนั่นแหละ จะแก้ปัญหาได้หมด ถ้าเรื่องปัญหาสังคมรวมหมดของทุกปัญหาก็แก้ปัญหาสังคมก็ได้ แต่ถ้ามันมีอะไรเหลือออกไปนอกจากปัญหาของสังคมก็ยังแก้ได้ด้วย สุญญตาหรืออนัตตาอยู่นี่เอง ปัญหาทุกรูปแบบ ไม่ว่ารูปแบบไหนระดับไหนแก้ได้ด้วยความรู้เรื่องสุญญตา หรือที่เนื่องอยู่ด้วยสุญญตาก็ได้
นี่ต้องฟังให้ดีๆ น่ะ สุญญตาก็อย่างหนึ่ง ที่เนื่องอยู่กับสุญญตาอันนี้ก็อย่างหนึ่ง ที่แท้ความมุ่งหมายเดียวกัน สุญญตาโดยตรงก็เรียกว่าสุญญตา แต่บางทีไม่ได้พูดไว้โดยตรงมันเนื่องอยู่กับสุญญตาโดยอ้อมมองไม่เห็นคำว่าสุญญตา ไม่ได้ยินคำว่าสุญญตา แต่ก็เป็นเรื่องสุญญตานั่นแหละ อย่างนี้ก็เรียกว่ามันเนื่องอยู่กับสุญญตา ดังนั้นปัญหาเรื่องต่างๆ แก้ได้ด้วยสุญญตาและเรื่องที่เนื่องด้วยสุญญตา ที่พูดทีหนึ่งว่า มันแก้ได้ด้วยสุญญตา หรือ เรื่องที่เนื่องด้วยสุญญตา จะและ หรือ หรือก็ได้ ถ้ามันต้องการทั้งสองอย่างก็และ ถ้ามันต้องการอย่างใดอย่างหนึ่งก็ว่าหรือ คือแก้ด้วยสุญญตาโดยตรงก็มี แก้ด้วยความรู้ที่เป็นสุญญตาโดยอ้อมอย่างนี้ก็มี ถ้าเป็นพุทธบริษัทจริงจะมองเห็นอย่างนี้ แล้วอย่าหาว่าผมด่าพวกคุณว่าไม่เป็นพุทธบริษัทจริง ตอนนี้มันก็เป็นธรรมดานั่นแหล่ะ เมื่อยังไม่รู้มันก็ยังไม่รู้ ถึงจะประกาศตัวเองว่าเป็นพุทธบริษัทอยู่หยกๆ เป็นพระเป็นเณรแท้ๆ มันก็ยังไม่รู้จักพระพุทธเจ้าอย่างนี้ก็มี มันถึงขนาดนั้น ฉะนั้นอย่าไปหาว่าเป็นเรื่องสบประมาทหรือด่าตะกี้ ให้มองเห็นว่าเป็นเรื่องปรับทุกข์ เอาปัญหาแท้จริงมาพูดเพื่อปรับทุกข์ เพื่อแก้หน้าของพุทธบริษัทเอง ก็แก้ไขความบกพร่องของพุทธบริษัท แก้ไขความเสื่อมเสียของพุทธบริษัทที่กำลังเป็นอยู่ ทั้งพระทั้งเณรทั้งอุบาสกอุบาสิกาอย่าบ้าหลัง เดี๋ยวเรื่องอื่นๆ ซึ่งไม่มีสาระ จงมามองดูไอ้เรื่องนี้ที่มันจะแก้ปัญหาของมนุษย์ได้จริง
เราสร้างวัดนี้ขึ้นมาเพื่อจะเป็นอุปกรณ์แก้ปัญหานี้ ไม่ใช่สร้างขึ้นเพื่อโก้หรู หรูๆ หราๆ แปลกเหมือนกับที่คนบางคนเขาเข้าใจ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะลงทุนลงแรงมากมายเพื่อดูในเรื่องแปลกๆ แต่เพื่อจะเป็นไอ้ที่มั่นเป็นป้อมค่ายเป็นปราคารอะไรที่มันลงรกลงรากมั่นคง สำหรับจะตั้งอยู่เพื่อการแก้ไขปัญหาของมนุษย์ โดยเฉพาะที่เป็นพุทธบริษัท พุทธบริษัทจะต้องแก้ปัญหาทุกรูปแบบด้วยสุญญตา มีสำนักงานที่ศึกษาเรื่องสุญญตาโดยสะดวก
ทีนี้ก็มาดูเรื่องหน้าเพื่อให้เกิดความสนใจและพอใจ แก้ปัญหาด้วยสุญญตานั่นคือเรามองเห็นผลของสุญญตา หรือปฏิกิริยาที่ออกมาจากสุญญตา ก็ได้แล้วแต่จะเรียก ถ้าให้เรามีความรู้เรื่องสุญญตา แล้วมีอะไรออกมาจากความรู้นั้น เราเรียกว่าผลของมันก็ได้ หรือว่าจะเรียกปฏิกิริยาก็ได้ มันออกมาจากความรู้เรื่องสุญญตา แล้วมันจะทำให้เราแก้ปัญหาได้อย่างไร พูดเป็นข้อๆ บางทีจะได้จำง่าย
ข้อแรก ความไม่อาจจะเห็นแก่ตัว หรือคำพูดที่แปลกๆ อยู่ แต่ความที่ไม่อาจจะเห็นแก่ตัว ช่วยจำไว้ด้วย เพราะเป็นผลหรือปฏิกิริยาออกมาจากความรู้เรื่องสุญญตา เดี๋ยวนี้เราเห็นแก่ตัว เป็นนิสัยดั้งเดิมมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก เกิดมาก็ถูกสอนให้เห็นแก่ตัว ตั้งแต่นอนแบเบาะ จนบัดนี้ ไม่มีความรู้เรื่อง เจโตวุฒิ ปัญญาวุฒิ ไม่มีความรู้เรื่องสุญญตาเรื่อยๆ มาจนบัดนี้ มาประสบปัญหาอย่างนี้ ถูกปัญหานี้ ความทุกข์นี้บีบคั้นทนอยู่ไม่ได้ ก็ไปหาพุทธศาสนา แล้วก็เข้าใจเรื่องสุญญตา ถ้าเข้าใจสุญญตาจริง ก็จะเกิดความรู้สึกใหม่ขึ้นมาในใจ คือความที่ไม่อาจจะเห็นแก่ตัวเพราะว่าสุญญตาทำให้แสดงให้เห็นว่าไม่มีตัวที่จะเห็น เมื่อเราไม่ควรจะโง่ถึงขนาดไปหลงเห็นว่าเป็นตัวในสิ่งที่มิใช่ตัว จึงเป็นเรื่องที่ลึกหน่อยยากหน่อย เข้าใจได้ยากหน่อยเพราะมันเรื่องหัวใจพุทธศาสนา แต่ถ้ามันง่าย ทุกคนก็เข้าถึงพุทธศาสนาเป็นพระอรหันต์กันหมด เดี๋ยวนี้มันยากสักหน่อยก็ทนเอา ก็พยายามที่จะเข้าใจให้เข้าถึงสุญญตาหรืออนัตตาก็แล้วแต่จะเรียก ซึ่งเมื่อเข้าถึงแล้วมันจะเกิดความไม่อาจจะเห็นแก่ตัว ไม่สามารถจะเห็นแก่ตัวอีกต่อไปได้ ทีนี้มันจะเห็นแก่อะไรเห็นแก่พระธรรม เห็นแก่พระเจ้า เห็นแก่มนุษยชาติ ความคงอยู่แห่งมนุษย์ หรือว่าจะเห็นแก่ผู้อื่นดีกว่า ถ้าไม่เห็นแก่ตัวก็ขอให้เห็นแก่ผู้อื่น ผู้อื่นและคนทั้งโลก จะได้อยู่กันอย่างผาสุกทั้งโลก นี่ข้อหนึ่งแล้ว
ข้อสอง ไอ้ความเข้าถึงสุญญตานั่นจะทำให้เกิดความเสียสละที่ไม่หวังผลตอบแทน ความเสียสละหรือการลงทุนที่ไม่หวังผลตอบแทน คุณหาพบที่ไหน ในความรู้เรื่องอดุมคติทางการเมืองในอะไรในโลกที่เขาเขียนให้คุณเรียนกันน่ะตั้งมากมาย ลัทธิการเมืองไหน อุดมคติการเมืองไหน ที่มันพูดถึงการเสียสละที่ไม่หวังผลตอบแทน กระทั่งลัทธิการเมืองที่คุณบูชาอยู่อย่างยิ่งในเวลานี้ สมมุติว่าบางคนบูชาคอมมิวนิสต์ บางคนบูชาประชาธิปไตย แล้วแต่จะบูชาการเมืองไหน ลัทธิการเมืองไหนบ้างที่มีหลักว่าสละไปโดยไม่หวังตอบแทน ผมเชื่อว่าคงไม่มีแน่
ทีนี้แต่มันมามีในพุทธบริษัทที่เข้าถึงสุญญตา มันไม่หวังผลตอบแทนด้วยเหตุที่มันไม่มีตัวหรือมันไม่มีที่เห็นแก่ตัว แต่สติปัญญามันยังมีอยู่ มันก็ทำหน้าที่เป็นเครื่องจับผลิตประโยชน์ หรือว่า ผลิตประโยชน์เหมือนกับเครื่องจักรน่ะ ทำไปอย่างนั้นแหละ นั่นแหละความไม่เห็นแก่ตัว มันจะมีอะไรแปลกๆ อย่างนี้ เรียกว่ารู้หน้าที่โดยบริสุทธิ์แล้วก็ทำไป หรืออีกด้านหนึ่งก็คือว่า ไอ้ร่างกายหรือจิตใจก็ตามมันอยู่นิ่งไม่ได้ ขอให้สังเกตกันทุกคนๆ ไปสังเกตเถอะ มันอยู่นิ่งไม่ได้ อยู่นิ่งแล้วมันต้องตาย ร่างกายนี้ถ้าอยู่นิ่งมันต้องตาย จิตใจนี้ถ้าอยู่นิ่งมันจะบ้า ฉะนั้นเราต้องเคลื่อนไหว เคลื่อนไหวตามที่ธรรมชาติต้องการให้เคลื่อนไหว ต้องเคลื่อนไหว ยืน เดิน นั่ง นอน ทำการงานหรือไปทุกอย่างอยู่ตลอดเวลา ร่างกายมันจึงจะปกติ แล้วมันสมองก็เหมือนกัน ต้องคิด ต้องนึก ต้องทำงานทางสมองอยู่เรื่อยๆ ไป จิตมันจึงจะปกติ แล้วความที่มันอยู่นิ่งไม่ได้นั่นแหละ มันเป็นเหตุให้ทำ ทีนี้เมื่อไม่มีตัวไม่มีความเห็นแก่ตัว มันก็ใครเอาไปก็ได้ นี่ลองคิดดูถ้าถือลัทธินี้กันทั้งโลก แล้วโลกนี้จะเป็นอย่างไร เหมือนเครื่องจักรผลิตประโยชน์ออกมา แล้วใครเอาไปก็ได้ มันจะยิ่งกว่าศาสนาของพระศรีอาริย์ด้วยซ้ำไป
ทีนี้ข้อที่สาม อยากจะพูดว่า ให้เข้าถึงสุญญตาหรืออนัตตาแล้วแต่จะเรียก เราจะได้ความรู้ที่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติอันแท้จริง ความรู้ที่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติอันแท้จริง ความรู้อื่นสาขาอื่นแขนงอื่นไม่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติที่แท้จริง ตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติที่แท้จริงทุกอย่างเป็นอนัตตาหรือสุญญตา คือว่างจากความหมาย หรือคุณค่า หรือ อะไรๆ ก็ตาม ที่ควรจะไปหมายมั่นว่าเป็นตัวกูหรือเป็นของกู ความรู้อื่นๆ มันทำให้เกิดความหมายมั่นไม่มากก็น้อยว่าเป็นตัวกูของกู แต่ความรู้เรื่องสุญญตานี้จะถูกต้องตามกฎของธรรมชาติแท้จริงหรือไม่ ไม่เป็นตัวกู ไม่เป็นของกู ความรู้อย่างนี้น่ะคือความรู้ถูกต้องและถึงที่สุด ในพระพุทธศาสนาเรียกว่า ยถาภูตสัมมัปปัญญา บ้าง เรียกว่า สัมมาทิฐิสูงสุดบ้าง ซึ่งไม่ค่อยมีใครอ่าค่อยจะสนใจหรือไปเอามาพูดมาปรึกษาหารือกัน ขอให้รับฟังไปก่อนก็ได้ ว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าความทุกข์ทั้งหลายจะแก้ได้เพราะมีสัมมาทิฐิ ความทุกข์ทั้งปวง สัพพังทุกขังอุปัจุภูมิ ความทุกข์ทั้งปวงร่วงจะได้เพราะสัมมาทิฐิ ถ้ามีสัมมาทิฐิแล้วความทุกข์ทั้งปวงทุกชนิดจะหมดไป นั่นความทุกข์ก็คือปัญหานั่นเอง คำว่าปัญหา คำว่าความทุกข์นี้ เป็นคำที่แทนกันได้ เป็นอันว่าสัมมาทิฐิแก้ปัญหาทั้งปวงได้ สัมมาแปลว่าถูกต้อง ทิฐิแปลว่าความเห็น ความมองเห็นจริงๆ นะ แล้วความเห็นที่ถูกต้องเรียกว่า สัมมาทิฐิ ยถาภูตสัมมัปปัญญา ถูกต้อง ยถาภูต ตามที่เป็นจริง ตามที่เป็นจริงของอะไร ของธรรมชาติ ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ทีนี้มันไม่มีอะไรที่อยู่นอกกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เมื่อเรารู้ถึงที่สุดแล้วในกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เราก็แก้ปัญหาของธรรมชาติทุกอย่างได้
ทีนี้บางคนก็จะพูดไปเสียอีกทางหนึ่งว่า เดี๋ยวนี่ไม่ใช่ปัญหาของธรรมชาติ เป็นปัญหาที่มนุษย์ผลิตสร้างทำขึ้นมาใหม่ๆ ทั้งนั้นเต็มไปทั้งโลก นี่ไม่ใช่ของธรรมชาติ นั่นคือว่าคนที่ไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติ มันไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรมชาติ ธรรมชาติคือสิ่งที่มันเป็นอยู่เองอย่างศักดิ์สิทธิ์ สูงสุด เด็ดขาด เฉียบขาด มีกฎของมันอยู่เอง
พูดสรุปสั้นๆ รวบรัดหน่อย เช่นว่าที่เขากระโดดออกไปนอกโลกไปโลกพระจันทร์ได้ไปอะไรได้ เพราะเขาทำถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติในส่วนนั้นๆ ขอให้มองอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าฝืนธรรมชาติ ผิดธรรมชาติ เอาชนะธรรมชาติ เป็นนายของธรรมชาติ พูดอย่างโง่ๆ ว่าเดี๋ยวนี้ชนะธรรมชาติ เอาชนะธรรมชาติได้ ไปยืนบนดวงจันทร์ได้ เอาชนะดวงจันทร์ได้ นี่มันคนโง่พูด มันเป็นไปตามกฎของธรรมชาติอย่างถูกต้อง เขาจึงสามารถไปยืนอยู่บนดวงจันทร์ได้
ทีนี้เรื่องผลิตของเล็กๆน้อยๆ ในโลกนี้มีปัญหามันต้องไปตามกฎของธรรมชาติ เช่น เรามีเครื่องวิทยุ หรืออิเล็กทรอนิคส์ ประเสริฐที่สุด หลังสุดที่ใช้ก็เพราะความถูกต้องตามกฎของธรรมชาตินั้นๆ จึงมีอันนี้ขึ้นมา ทุกอย่างต้องเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ มันจึงจะเป็นไปได้
ทีนี้เมื่อเราต้องการฝ่ายที่จะให้เกิดสันติ และก็ให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติในฝ่ายสันติ ถ้าเราต้องการฝ่ายวิกฤตการณ์ ก็เอาสิ ก็ทำให้ถูกต้องตามธรรมชาติของฝ่ายวิกฤตการณ์ มันก็เต็มไปด้วยวิกฤตการณ์ เดี๋ยวนี้คนโง่ในโลกนี้ มันทำให้ถูกต้องตามธรรมชาติฝ่ายวิกฤตการณ์ โลกมันจึงเต็มไปด้วยวิกฤตการณ์ ทั้งที่มันพูดว่ามันจะทำเพื่อสันติภาพ บางทีมันโง่ไม่รู้จริงก็ได้ มันพูดไปตามจริงๆ มันจะทำเพื่อสันติภาพแต่มันทำผิด มันไปถูกฝ่ายธรรมชาติฝ่ายวิกฤตการณ์ ก็สร้างวิกฤตการณ์ขึ้นมาเต็มโลก เดี๋ยวนี้เราอยากจะพูดและเชื่อว่ามันรู้มันหลอกมันตบตาเชื่อว่ามันจะทำเพื่อสันติภาพ ขวนขวายเพื่อสันติภาพ ที่แท้มันทำเพื่อเห็นแก่ตัว วิกฤตการณ์มันก็ต้องเกิดขึ้นจริง เป็นประเทศมหาอำนาจ ประเทศไหนพูดว่าทำเพื่อสันติภาพ แต่ที่แท้ทำเพื่อประโยชน์ของตัว วิกฤตการณ์ก็เกิดขึ้นเต็มโลก อย่างนี้เป็นต้น ไปตามกฎของธรรมชาติโดยถูกต้อง แล้วเราจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องมีความรู้อันถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ นั่นแหละเราจึงเอาประโยชน์จากธรรมชาติได้ ก็อย่าไปกล้าพูดว่าเราชนะธรรมชาติ เราไม่มีทางชนะ มันจะชนะเรา เพราะว่าเราต้องไปทำให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของมัน ถ้าเราต้องการบรรลุนิพพาน เราต้องทำให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ส่วนที่เป็นนิพพานหรือเกี่ยวกับนิพพาน ทีนี้จะแก้ปัญหาสังคมในโลกนี้ ซึ่งเดินมาผิดๆ เพราะเข้าใจธรรมชาติผิด เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นสิ่งที่จะทำลายล้างโลกให้เป็นอะไร เป็นประโยชน์เป็นคุณไปเสีย เพราะมีความเห็นผิด ความเห็นผิดนี้จะหายไปทันที ถ้าเรารู้ความจริงของธรรมชาติโดยถูกต้องและไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องสุญญตา กับ อนัตตาที่ทำให้ไม่เห็นแก่ตัว สรุปความว่า สุญญตา อนัตตา นี้ทำให้เราได้รับความรู้ที่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติอันแท้จริง
เอ้า, ทีนี้ ข้อที่สี่ จะทำให้เกิดเมตตาที่มาจากความไม่เห็นแก่ตัวอันแท้จริง เดี๋ยวนี้เราไม่มีเมตตาซะเลยก็ว่าได้ ที่เรารักผู้อื่นเพราะเราต้องการจะจับเขามากกว่าไม่ใช่เมตตา หรือ บางทีเราลงทุนซื้อเขามา พวกเราลงทุนทำความดีต่อเขาอะไรต่อเขา อย่างนี้ไม่เรียกว่าเมตตา ที่เรามีความรู้สึกเอ็นดู สงสารบ้างมันก็เป็นผลของไอ้วัฒนธรรมทางศาสนาซึ่งฝังอยู่ในสายเลือดมาแต่บิดามารดาปู่ย่าตายายสอนกันมาจนติดในสายเลือดให้รู้จักเมตตากรุณา แต่มันยังไม่สูงสุดได้ มันยังทำกันต่อไป แต่ถ้าหากมันสูงสุดได้ มันก็มาจากความรู้อนัตตา ดังนั้นท่านจึงสอนให้ยึดเป็นหลักซะเลยว่า ให้มองเห็นจนกระทั่งทำความรู้สึกได้ว่า สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น คือประโยคที่พวกคุณจะหัวเราะเยาะเพราะไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไร จะเห็นเป็นความโง่เง่าของคนวัด มันก็สอนกันอย่างหลอกๆ สอนให้ฝืนความรู้สึก คือให้ไปยึดถือว่าสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น โดยที่จิตใจมันไม่มองเห็นอย่างนั้น ก็เลยกลายเป็นสอนให้หลอกตัวเอง อย่าเข้าใจไปอย่างนั้น มันอาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้สำหรับคนที่ไม่รู้ แต่ตามความจริงแล้วเขาไม่ได้ต้องการอย่างนั้น ต้องการว่าชีวิตทั้งหลายทุกๆ ชีวิต คนก็ดี สัตว์ก็ดี แม้ชีวิตต่ำกว่าสัตว์ก็ดี มันเป็นชีวิตแล้วเขาก็ขอให้ถือว่าเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ถ้าสิ่งใดมีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย แม้แต่ต้นไม้ก็เถอะ ก็ถือว่าเป็นเพื่อนของเรา เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของเรา นี่เมตตาที่แท้จริง มันจะต้องมาจากความไม่มีตัวเราที่จะเห็นแก่ตัวเรา กลับไปเห็นเหมือนกันหมด ชีวิตทั้งหลายเหมือนกันหมด ในชีวิตทั้งชีวิตเป็นชีวิตเดียวกันหมด มันก็จะมองเห็นว่า ชีวิตทั้งหลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ดังนั้นจึงเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน ทั้งหมดทั้งสิ้นอย่างนี้
ดูผลของมันสักหน่อยว่า ถ้าเรามีเมตตากันในระดับนี้ แล้วปัญหาสังคมจะเกิดขึ้นได้อย่างไร เดี๋ยวนี้ปัญหาสังคมมันก็เกิดขึ้นจากการมีกูมีมึง แล้วก็รวมกลุ่มกันเป็นพวกๆ พวกคนจน พวกคนมั่งมี พวกคนแข็งแรง พวกคนอ่อนแอ พวกคนโง่ พวกคนฉลาด แล้วกิเลสก็บังคับให้คนต่างใช้ความสามารถของตนของตนนั่นนะ ฝ่ายหนึ่งก็เอาเปรียบ ฝ่ายหนึ่งก็ต่อสู้ สงครามระหว่างชั้นมีอยู่เรื่อยไป ไม่มีช่องตรงไหนที่จะเมตตาอันแท้จริงจะเข้ามาได้ ถ้าเมตตาแท้จริงเข้ามาได้ อันนี้ก็จะหายวับไปทันที พวกนายทุนคนมั่งมีทั้งหลายก็จะตายจากความเป็นนายทุน มาเป็นบิดามารดาที่ดีของคนยากจน คนยากจนก็จะกลาย ตายจากชนกรรมมาชีพที่ยื้อแย่ง มาเป็นบุตรหลานที่ดีของพ่อแม่ที่เมตตากรุณา หรือทั้งสองฝ่ายมันจะกลายเป็นผู้มีเมตตากรุณารักใคร่ต่อกันและกันได้ โดยอาศัยที่ว่า สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เดี๋ยวนี้เรามีแต่คนมั่งมี หรือ นายทุนที่ยิ่งเห็นแก่ตน ก็สูบเลือดคนจน เอ้า, คนจนเราก็มีแต่คนจนชนิดที่โกรธแค้นพวกนายทุน อยากจะฆ่าอย่างล้างโคตรมันทีเดียว แล้วโลกนี้มันจะมีสันติสุขหรือสันติภาพได้อย่างไร ถ้าเมตตาอันแท้จริงเข้ามามันก็หมดสภาพอย่างนั้น มันกลายเป็นเพื่อนมนุษย์ที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วมันก็จะชิงกันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน นั้นพูดแล้วมันไม่น่าเชื่อนะ ที่จะพูดว่าต่างฝ่ายต่างชิงกันช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้วยความเมตตา ให้ความรักใคร่ อะไรจะมาบันดาลให้ได้อย่างนี้ ไม่ใช่พระเจ้าอย่างที่เขารู้จักกันหรอก มันเป็นพระเจ้าที่เมตตา ความเมตตาที่มาจากสุญญตา เมตตาที่มาจากสุญญตาจะเป็นพระเจ้าที่บันดาลโลกให้เป็นอย่างนี้ บันดาลให้ทุกคนอยู่ในฐานะที่เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ทั้งนายทุนทั้งชนกรรมมาชีพก็ตาย ตายหมดจากโลกนี้ เกิดใหม่เป็นมนุษย์ที่เอื้ออารีซึ่งกันและกัน ถ้าใครฉลาดกว่า แข็งแรงกว่า รวยกว่าก็เป็นพ่อแม่ .. ทีนี้ใครมันอ่อนแอ ยากจน ก็ได้เป็นลูก เป็นหลานไป นี้ก็มีแต่ความรัก ทีนี้ก็มารดารักบุตร บุตรรักมารดาบิดาทำนองนั้น อานิสงส์หรือปฏิกิริยาที่ออกมาจากสุญญตา คือ เมตตาที่มาจากความมืดเห็นแก่ตน เพราะว่ามันไม่มีตน
เอ้า, ขอยกมาอีกข้อ เป็นข้อที่ห้า ถ้าเราเกิด ถ้าขอ ถ้าให้ยกมาทั้งหมดแล้ว ที่มันก็จะเกิด ไม่ใช่ว่าที่ๆมันจะเป็นหัวข้อสำคัญๆ หัวข้อที่ห้านี่อยากจะระบุไปยังจิตที่ไม่ตกไปเป็นทาสของอะไร หรืออย่างน้อยก็สามารถบังคับจิต จิตที่ไม่ตกไปเป็นทาสของอะไร สภาพอย่างนี้เป็นสภาพประโยชน์สูงสุดตามหลักพระศาสนา แต่ว่าเดี๋ยวนี้มันเป็นที่ต้องการของโลกหรือในโลก โลกกำลังต้องการจิตที่มีสภาพอย่างนี้ แก้ปัญหาของโลกได้ จะแก้ปัญหาของโลกได้ในเมื่อจิตมันอยู่สภาพอย่างนี้ ถ้าพูดกันนิดหน่อยว่า จิตตกเป็นทาสของอะไรในยุคนี้ ก็ทบทวนคำพูดข้างต้นมาแล้ว มันเป็นทาสของวัตถุปัจจัยแห่งกามารมณ์ มันเป็น ถ้าพูดตรงๆมันเป็นทาสของกามารมณ์ อารมณ์ที่แปล เอ่อๆ วัตถุปัจจัย กามอารมณ์ ก็ กาม . กามะก็กาม อารมณ์ ก็คืออารมณ์แห่งกาม กามคือวัตถุปัจจัยของกาม ที่เป็นที่มุ่งหมายแห่งกาม ที่เราตกเป็นทาสของวัตถุปัจจัยแห่งกามเพราะว่าเราเป็นทาสกาม กามคือความใคร่ ไปตามความอยาก ด้วยอำนาจของกิเลสบีบให้อย่างยิ่งคืออวิชชา ถ้าพูดให้ถูกที่สุดถึงต้นตอก็เป็นทาสของอวิชชา เมื่อเป็นทาสของอวิชชา เราจึงเป็นทาสของจิตที่อวิชชาต้องการคือ กาม เราต้องเป็นทาสของกาม ก็เลยเป็นทาสของวัตถุปัจจัยที่จะให้ได้กาม
เดี๋ยวนี้วัตถุปัจจัยอะไรบนโลกนี้ที่จะให้ได้กาม เราก็เป็นทาสของสิ่งเหล่านั้นหมด ไปคิดดูว่าตัวเราเป็นอย่างไร ตัวเราเองเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ทางที่จะคิดได้ดีที่ถูกต้องนั้น มันต้องรู้ว่าอะไรเป็นกาม อะไรมิใช่กาม ความอยากตามธรรมดาก็ไม่เป็นกาม ความอยากด้วยสติปัญญาก็มิใช่กาม จะความอยากหรือความโลภด้วยอำนาจอวิชชาเท่านั้นแหละที่จะเป็นกาม อันเนื่องด้วยเพศเป็นส่วนใหญ่ ที่จริงคำว่ากามนี้ไม่ต้องเนื่องด้วยเพศก็ได้ แต่โดยเหตุที่ว่า เรื่องส่วนใหญ่เป็นเรื่องของเพศ ความรู้สึกทางเพศ เราก็มารวมใช้ที่เรื่องของเพศ นี่ความใคร่ตามนิสัยจากความรู้สึกทางเพศ แต่เป็นไปตามอำนาจของอวิชชา จึงจะเรียกว่ากามที่เป็นอันตราย ความรู้สึกทางเพศที่เป็นไปตามธรรมชาติล้วนๆ อันบริสุทธิ์ ไม่เรียกว่ากามก็ได้ แต่มันยากที่จะเป็นอย่างนั้น มันตกเป็นทาสของอวิชชา อยู่ใต้อำนาจของอวิชชา รุนแรงไปในทางความรู้สึกทางเพศ เพศรสไปเสียหมด ถ้าใครมีจิตใจสูงพอ ในความรู้สึกต้องการทางเพศ เหมือนอย่างที่ต้องการอาหารเป็นประจำวัน มันก็ไม่มีปัญหาอะไร พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ตรัสตำหนิติเตียนเรื่องนี้โดยเฉพาะสำหรับฆราวาส สำหรับพระที่ต้องการสำหรับบรรพชิตที่ต้องการจะไปไกลไปเลยนั้น ก็เป็นบทบัญญัติอีกระดับหนึ่งต่างหาก แต่ถ้าสำหรับฆราวาส จึงมีการบัญญัติเฉพาะฆราวาส เพราะเกี่ยวข้องความรู้สึกทางเพศหรือทางกามได้ ตามลักษณะที่ถูกต้อง เพราะมันเป็นเรื่องของธรรมชาติอันบริสุทธิ์มีความรู้สึกทางเพศตามธรรมชาติ ที่ร่างกายเจริญวัยขึ้นมาตามแปลงสำหรับกิจกรรมนี้มันขยายตัวออกมามันก็มีความรู้สึก มันก็เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ได้ปรับว่าเป็นเรื่องบาปเรื่องเลวเรื่องผิดอะไร ถ้าเขาไม่ได้ไปทำให้มันผิด ไม่ไปทำให้ผิดจากกฎเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ เราจะเห็นได้ว่า อริยมรรคมีองค์แปด สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว เรื่อยไปจนถึง สัมมาสมาธิ สัมมากัมมันโต ไม่ได้บัญญัติว่าเว้นจากกิจกรรมทางเพศ เมื่อไม่พลาด ไม่ทำปานาติปาต ไม่ทำอทินนาทาน ไม่ทำกาเมสุมิจฉาจา ไม่ได้ห้ามไว้ ห้ามกิจกรรมทางเพศ ประพฤติกิจกรรมทางเพศอย่างถูกต้อง อย่าประพฤติผิดในทางกาม นั่นรู้จักคำว่ากามให้ดี ก็จะทำถูกต้องในเรื่องนี้ แล้วก็จะไม่เป็นทาสกาม เหมือนคนที่ไม่เข้าใจเรื่องนี้ แล้วเป็นทาสกามอยู่ ที่ว่าคนที่ไม่รู้เรื่องนี้ ก็เหมาหมด ถ้าเป็นเรื่องเพศ แล้วก็เป็นเรื่องบ้าเรื่องอะไรก็เลวสิ้นตัว ไปตามความเอร็ดอร่อยทางเพศ นี้มันก็ทำให้จะจมลงไปในนรก ปวดหัวปวดหู แล้วมันไปเข้าใจผิดเรื่องนี้
เดี๋ยวนี้ในภาษาไทยเรามันยุ่ง มันมีความกำกวมระหว่างคำพูดเหล่านี้ แต่อย่าลืมว่าเขามีคำบัญญัติไว้ดีแล้ว ว่าประพฤติถูกต้องในทางกาม ประพฤติผิดในทางกาม ฆราวาสทั้งหลายก็ต้องประพฤติถูกต้องในทางกาม แล้วจะไม่เรียกว่าเป็นทาสของกามเพราะเหตุว่ามีกิจกรรมทางเพศ ตามระเบียบบัญญติ เรียกอริยบุคคลที่เป็นฆราวาสก็เกี่ยวข้องที่กิจกรรมทางเพศ เพราะไม่เหมือนกับปุถุชนที่โง่เง่าลุ่มหลงด้วยกิเลสตัณหา เพราะทำผิดในกิจกรรมทางเพศเป็นเรื่องเหลวไหล เป็นเรื่องเลวทรามไปเสีย เดี๋ยวนี้เราเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางเพศอย่างถูกต้องได้ตามประสาของฆราวาส แล้วก็ไม่เรียกว่าเป็นทาสของกาม เมื่อไม่เป็นทาสของกามก็ไม่เป็นทาสของวัตถุยึดเป็นปัจจัยแห่งกาม เมื่อมีสติสัมปัชญะรู้ดีอะไรเป็นอะไร ไม่ให้ไอ้อวิชชาทางกามมันหลอกลวงได้ ก็ไม่ได้ลุ่มหลงในกามเหมือนคนโดยมากในปัจจุบันนี้ ในโลกนี้และในประเทศไทยนี้ คนส่วนมากส่วนใหญ่เป็นทาสของกาม ลุ่มหลงในกาม ไม่ได้มีความรู้สึกทางเพศอย่างถูกต้องและปกติตามธรรมชาติ ไม่ได้มุ่งหมายการสืบพันธุ์ตามธรรมชาติอันบริสุทธิ์ แต่มันมุ่งหมายจะดื่มด่ำลงไปในกามอย่างเป็นบ้าหลัง ต้องการตามอารมณ์ทางเพศ ไม่ได้ต้องการการสืบพันธุ์บริสุทธิ์หรือว่า ความเป็นปกติตามทางกาม ซึ่งเป็นเหมือนกับอาหารชนิดหนึ่ง ถ้าหิวก็กินเสียด้วยวิธีที่ถูกต้อง และก็ไม่เป็นโทษอะไร เหมือนเราหิวข้าวก็กินอาหารประจำวัน แต่ต้องด้วยวิธีที่ถูกต้อง ถ้าผิดจากวิธีที่ถูกต้อง มันเป็นเรื่องกามแบบหนึ่งไปอีกเหมือนกัน หรือว่าต้องหามาอย่างถูกต้อง กินโดยวิธีที่ถูกต้องจึงจะไม่เกิดโทษขึ้นมา
อาหารทางวิญญาณ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกี่ยวกับความรู้สึกทางเพศนี้ ต้องเข้าใจมันให้ดี และก็ไม่เป็นทาสมันโดยประการทั้งปวง ความรู้ที่เพียงพอถึงที่สุดต่อเมื่อเข้าถึงความรู้ในระดับสุญญตา หรือ อนัตตา เรียกว่า ไอ้ความรู้ที่สมบูรณ์ คือถ้าไม่ถึงขีดสมบูรณ์ ก็ไปตามสัดส่วนที่มันจะเป็นได้ หรือที่มันควรจะเป็นที่เรียกว่า อย่างน้อยก็สามารถบังคับจิตได้ ไม่ถึงกับไม่เป็นทาสของอะไรนะ แต่ว่าจะเป็นไปในลักษณะที่ว่าบังคับจิตได้ ไม่ให้เป็นทาสของอะไรมากเกินไป ก็ถอยหลังออกมา ถอยหลังออกมาจนไม่เป็นทาสเลย จึงใช้คำว่า จิตจะไม่ตกเป็นทาสของ หรืออย่างน้อยก็สามารถบังคับจิตได้
นี่คือผลหรือปฏิกิริยาที่ออกมาจากความรู้อย่างถูกต้องเรื่องสุญญตา หรือ อนัตตา ก็ลองคิดดู สุญญตา หรือ อนัตตา มันให้อะไรแก่เราบ้าง จะว่าอย่างนี้มันจะมากมายมหาศาลยิ่งกว่าภูเขาเหล่ากาเสียแล้ว ไม่อยากพูดถึงข้ออื่นก็ได้ เราพูดแต่หน้าที่เพียงแต่พูด หรือที่มันจะแก้ปัญหาได้ พุทธบริษัทที่แท้จริงจะต้องเข้าถึงหัวใจของพุทธศาสนาคือ สุญญตา เมื่อเข้าถึงสุญญตาแล้วจะมีปฏิกิริยาออกมาจากสุญญตานั่นนะเป็นเครื่องมือที่ล้วนจะแก้ปัญหาของสังคมได้ ขณะไม่อาจจะเห็นแก่ตัวอีกต่อไป ก็เลยไม่สร้างปัญหาสังคม ถึงจะช่วยแก้ปัญหาของผู้อื่นได้ มีความเสียสละที่ไม่หวังผลตอบแทน อย่างนี้มันก็ไม่สร้างปัญหาสังคม แล้วมันก็จะแก้ปัญหาสังคมของผู้อื่นได้ ช่วยแก้ให้ผู้อื่นได้ มีความรู้ที่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติแท้จริงมันก็ไม่ได้ทำอะไรผิดเรื่องนี้ มีเมตตาที่ไม่มีประมาณ เห็นชีวิตทั้งหมดเป็นชีวิตเดียวกันไปเสียหมด ทำอะไรใครไม่ได้ คือทำผิดแต่ใช้ไม่ได้ เอาเปรียบใครไม่ได้ อะไรใครไม่ได้
เมตตาคือความเป็นมิตร เป็นที่ที่ว่าคนเราจะเป็นมิตรกันได้อย่างไร และข้อที่ว่า จิตไม่ตกเป็นทาสของอะไรนี้แก้ปัญหาได้หมด เดี๋ยวนี้คนในโลกปัจจุบันนี้นะ รวมทั้งพวกคุณด้วย ก็กำลังมีจิตที่เป็น ตกเป็นทาสของอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ไม่มากก็น้อย ไปสำรวจดูเอาเองว่าเรากำลังตกเป็นทาสของอะไร หมายมั่นในเรื่องอะไร เป็นทาสของสิ่งนั่น และสร้างความยุ่งยากลำบากให้แก่เราอย่างไร เราก็ปลดเปลื้องออกไปเสีย นี่ก็เรียกว่าความไม่เป็นทาสในทางวิญญาณ แต่เป็นทาสทางร่างกายนั้นไปซื้อเอามา ล่ามโซ่เอามา มาเป็นทาส นั่นไม่ค่อยไม่ใช่มีความหมายอย่างนี้ เดี๋ยวนี้เป็นทาสด้วยความสมัครใจ เพราะว่าความโง่ของเราเอง โดยที่ไปลุ่มหลงในรสอร่อย อันจะพึงได้จากสิ่งนั้น นั่นจึงเป็นทาสของความรัก เป็นทาสของอะไรอย่างที่รู้กันดีอยู่แล้ว ผิดขอบเขตมันก็เป็นบ้าเลยไม่ต้องสงสัย แม้ไม่เกินขอบเขต มันก็ยังเป็นทุกข์อยู่ในระดับหนึ่งนะ ฉะนั้นอย่าเป็นทาสดีกว่า แม้จะมีคู่รัก มีสามีภรรยา อะไรก็อย่าเป็นทาสของความรักที่มาจากความโง่ ก็จะเป็นความเมตตาที่มาจากธรรมะที่ถูกต้องที่เรียกว่า ไม่เป็นทาสของอะไร
ในห้าข้อนี้ เราก็อยากจะถือเอาข้อสุดท้ายนี้ ความไม่เป็นทาสของอะไร จะแก้ปัญหาของสังคมได้อย่างลึกซึ้งถึงที่สุด แต่มันก็เข้าใจยาก แล้วมันจะเป็นได้จริงก็ต่อเมื่อเข้าถึงสุญญตาหรืออนัตตาดังที่กล่าวแล้ว เดี๋ยวนี้เรามามัวรังเกียจว่าสุญญตา อนัตตา เป็นของคนบ้า เป็นของคือครึคระ เป็นของพ้นสมัย เป็นอุปสรรคแห่งความก้าวหน้า ความเจริญแห่งต่างๆ ไปเสีย นี่เราพูดกันไม่รู้เรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะไปพูดกับพวกฝรั่งที่ลุ่มหลงในวัตถุนิยม ไม่รู้เรื่องแน่ ผมเคยพยายามมาแล้วไม่สำเร็จ แต่พวกฝรั่งนี้ไม่ใช่ว่าจะลุ่มหลงอย่างนั้นไปเสียหมด มันมีเหมือนกัน ฝรั่งที่ศึกษาพุทธศาสนาถ้าจะเอาธรรมะมาเห็นสุญญตา อนัตตานี้ก็มีอยู่ไม่น้อย เรารีบรู้กันไว้เสียบ้าง ถ้าเรามัวโง่อยู่ เมื่อไรฝรั่งชนิดนั้นจะมาสอนพุทธศาสนากับคนไทย มันก็จะแย่นะ เป็นอันว่า สุญญตา อนัตตานี้ มันให้เครื่องมือที่เรียกว่าสมรรถภาพเพียงพอในการที่จะแก้ปัญหาของสังคม หากจะว่าเป็นในขั้นลึกในขั้นรากฐานที่เราไม่ควรจะรังเกียจ คำที่ว่าขั้นลึก ขั้นรากฐาน เพราะถ้าไม่แก้ถึงขั้นรากฐาน ขั้นลึก ขั้นรากฐานมันก็แก้ไม่ได้จริง มันแก้ขั้นผิวๆ เผินๆ กินยา หากินยาแอสไพรินนี้ มันไม่ได้แก้โรคได้นิด ได้เพียงอาการนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้แก้ข้างใน ถ้ากินยาภายในก็ต้องผ่าตัดให้สิ้นรากสิ้นเชื้อจึงจะแก้ได้ ความรู้เรื่องอนัตตา สุญญตามันจึงเป็นไอ้เครื่องมือในระดับที่แก้ที่รากฐานที่ต้นตอทีเดียว
เอ้า, ทีนี้อีกนิดหนึ่งก็คือว่า จิตที่เข้าถึงสุญญตานี้เป็นอย่างไร เน้นจุดหมายว่าเป็นบ้าๆ บอๆ หรือว่าไม่เป็นไปได้ คนพวกหนึ่ง ผมขอพูดจากความรู้สึกของเขา พวกจิตที่เข้าถึงสุญญตาหรืออนัตตานั้น จะเป็นจิตที่หมดแรง เรียก ................ (นาทีที่ 1.58.17) จิตที่เข้าถึงธรรมะ สุญญตา จิตตัวนั้นจะหมดแรงหมดกำลังหมดสมรรถภาพ คุณอยู่ในพวกนั้นรึเปล่า หรือกำลังสงสัยอยู่ว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่มีคนเป็นอันมากที่เป็นทาสของวัตถุนิยม คิดว่าอย่างนั้น คิดว่าจิตที่เข้าถึงสุญญตาแล้วจะหมดแรง จริง มันอาจจะหมดแรง สำหรับจะไปบ้า หรือสำหรับจะไปเป็นบ้า หมดๆ แต่มันไม่หมดแรงที่จะแก้ไขปัญหาหรืออาจจะเป็นอยู่อย่างถูกต้อง เมื่อได้สร้างความเจริญแท้จริงขึ้นในหมู่มนุษย์ นี้พาให้ไปคิดเท่านี้ก่อนว่าจิตที่เข้าถึงสุญญตาจะเป็นจิตที่หมดแรงหมดสมรรถภาพ หรือว่าจะเป็นจิตที่สูงสุดด้วยกำลัง ด้วยพลัง ในฐานะที่เป็นพุทธบริษัท ที่เราบอกว่าเป็นจิตที่สูงสุดด้วยพลัง พลังของจิต คือ ทำอะไรก็ได้ จะคิดนึกค้นคว้าศึกษาอะไรก็ได้ จะควบคุมอะไรก็ได้ จะต้องการอะไรก็ได้ แม้แต่จิตที่คิดปรมาณูได้ ไปอวกาศได้ นั่นแหละเพราะจิตที่เข้าถึงสูญญตาเป็นอย่างน้อยชั่วขณะนั้น นั่นเป็นโอกาสที่จะคิด เพราะจิตที่เข้าถึงสูญญตาในความหมายอันหนึ่ง คือแยกจากความไปติดพันสิ่งใดๆ ในโลก เป็นจิตที่เป็นสมาธิบริสุทธิ์สะอาด ตั้งมั่นว่องไวต่อหน้าที่การงาน แล้วมันก็คิดเรื่องปรมาณูเรื่องอวกาศได้อย่างนี้ เป็นต้น ผมถือว่าจิตที่เข้าถึงสูญญตาอนัตตานั้นไม่ใช่หมดแรง แต่จะมีพลังอย่างสูงที่เราจะทำอะไรก็ได้ พูดถึงพลังกายก็มีมาก จิตที่เข้าถึงสูญญตาก็ไม่เป็นทาสของกิเลส พลังทางวัตถุ พลังทางแรงงานอะไรก็มีมาก พลังทางจิตก็มีมาก พลังทางสติปัญญาก็มีมาก ก็เรามีอยู่สามพลังเท่านั้น พลังทางกายด้วยวัตถุ พลังอันหนึ่ง พลังทางจิต พลังของจิต เข้มแข็ง รุนแรงลึกซึ้งเหลือประมาณ จิตเป็นสมาธิ จิตอันหนึ่งคือ พลังแห่งสติปัญญา ความรอบรู้เป็นพลังสูงสุดยิ่งกว่าพลังทั้งหลาย สุญญตาให้พลังสูงสุดยิ่งกว่าพลังทั้งหลายคือพลังทางสติปัญญา แล้วทำไมมันจะไม่ให้พลังทางจิต หรือ ทางกายเป็นของเล็กน้อยเด็กอมมือ ก็อย่าได้รังเกียจในสิ่งที่เรียกว่าสูญญตา เพราะมันจะให้เครื่องมือที่แก้ปัญหา โดยเฉพาะปัญหาเฉพาะหน้าของพวกเราคือปัญหาชนชั้นที่เราจะแก้ไปตามแบบของพุทธบริษัท ถือดอกบัวสีเหลืองโดยไม่ต้องหลั่งเลือด หรือว่าถือดอกบัวสีขาว คือสูญญตา ซึ่งไม่มีปัญหาอะไรจะมาต่อต้านได้
ทีนี้เวลาก็หมดแล้ว เรื่องยังไม่จบไว้พูดกันวันหลังต่อไปอีกถ้ามีโอกาส ยังมีอีกหลายหัวข้อที่แสดงให้เห็นว่าสูญญตาแก้ปัญหาของสังคมได้อย่างไร วันนี้ขอยุติไว้แต่เพียงนี้