แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อบรมแพทย์มหิดลที่โรงเรียนเขาพุดทอง ๑๘ มีนาคม ๒๕๑๙ มีท่านผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย การพูดกันครั้งสุดท้ายนี้จะพูดเรื่องประโยชน์ 3 ประการ พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่า อัตตัตถังวาภิกขเวสัม- ปสมาเนนะ อัปมาเถนะสัมปาเทสัททัง (01:21) เป็นต้น คือมีใจความว่าภิกษุทั้งหลายเมื่อเธอเห็นอยู่ ซึ่งประโยชน์ของตน จงยังประโยชน์ของตนให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด เมื่อเห็นอยู่ซึ่งประโยชน์ของบุคคลอื่น จงยังประโยชน์ของบุคคลอื่นให้สำเร็จประโยชน์เถิด ด้วยความไม่ประมาทเถิด เมื่อเห็นอยู่ซึ่งประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ซึ่งยังประโยชน์ของบุคคลทั้งสองฝ่ายให้สำเร็จด้วยความไม่ประมาทเถิด เลยได้ประโยชน์ทั้งสามอย่าง ประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น ประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย ครั้นจะเข้าใจความหมายหรือความมุ่งหมายที่ลึกลงไปของข้อความอันนี้ซึ่งเขาถือเป็นหลักกันอยู่ทั่วไปว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พุทธบริษัทในพระพุทธศาสนาจะถืออย่างนี้ จะนึกถึงอยู่แต่อย่างนี้ “สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น” ซึ่งคนที่มีการศึกษาอย่างเดี๋ยวนี้จะพากันหัวเราะเยาะ และเป็นความโง่ของใครก็ลองคิดดู เดี๋ยวนี้ก็เหตุที่ไม่มีความคิดอย่างนี้ โลกมันจึงเป็นอย่างนี้ เกินกว่าที่จะเรียกว่าสมน้ำหน้ามัน มันมีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวาย ระสำระสายไม่มีที่สิ้นสุดก็เมื่อมีความคิดว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น พุทธศาสนาใช้คำว่าเพื่อน ศาสนาอื่น อย่างคริสเตียน อิสลาม จึงมีต้นตอคัมภีร์ร่วมกันอีกหลายศาสนา จะถือว่ามนุษย์ ทุกคนนี้เกิดมาจากพ่อแม่คู่เดียว คู่แรก ที่เรียกในคัมภีร์ของคริสเตียนว่า “อาดัมกับอีฟ” ทุกคนออกมาจาก พ่อแม่คู่นี้ หรือก็เรียกกันได้ว่าเป็นบุตรเป็นหลานร่วมบรรพบุรุษกัน ยิ่งกว่าที่จะเรียกว่าเพื่อน แล้วทำไม พวกที่ถือศาสนาเหล่านั้นยังฆ่าฟันกัน เหมือนกับว่าฆ่าเนื้อฆ่าปลา แต่ถ้ามันลืมความข้อนี้เหมือนกัน ทุกศาสนายืนยันในความเป็นอย่างนี้ แต่คนก็ยิ่งไม่เอาใจใส่ แม้แต่ประกาศตนเองว่านับถือศาสนาอะไร ขอให้คิดดูให้ดี ถ้าถือกันอย่างนี้มันก็จะไม่มีปัญหาในโลกนี้ ก็เบียดเบียนกันไม่ได้ การกระทำอย่างป่าเถื่อนเช่นการทำลายล้างกันระหว่างชนกรรมาชีพกับพวกนายทุน นี้มันก็เกิดขึ้นในโลกนี้ไม่ได้ แต่ความเลวของมนุษย์ที่กำลังมีอยู่ในโลกนี้คือไม่เชื่อคำสั่งสอนของพระศาสดาก็ได้ ล้วนเป็นลูกเป็นหลานที่เกิดออกมาแล้วมันมีประโยชน์ขัดแย้งกัน มันก็ฆ่าฟันกัน แม้แต่พี่น้องคลานตามกันมา เหมือนกับที่เขียนไว้ในคัมภีร์ คริสเตียนที่เคร่ง (06:09) มันถูกพี่มันฆ่า ประโยชน์นั่นแหละเป็นสิ่งที่ต้องระวังให้ดี ถ้าเห็นแก่ประโยชน์ มันก็ฆ่ากันได้ แม้พี่น้องหรือฆ่าพ่อแม่ของมันก็ได้ หรือถ้าเห็นแก่ประโยชน์ในทางที่ถูกต้องก็คือ ประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย นั้นมันก็ฆ่ากันไม่ลงเหมือนกัน เมื่อมีแต่จะช่วยกัน นี้ขอให้นึกถึงข้อนี้ไว้ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องสุดท้ายที่เราจะพูดกันคราวนี้ ขอให้นึกทบทวนถึงหลักโอวาทะปาติ-โมกข จงไม่พูดร้ายแก่ใครไม่ทำร้ายใคร นี้ก็สำรวมเป็นอย่างดีในเรื่องที่เป็นระเบียบ นี่เพียงเท่านี้แล้วทำอะไรที่เป็นการทำร้ายแก่กันไปได้ ถ้าสำรวมดีในเรื่องของระเบียบ ในเรื่องกฎหมู่เหนือกฎหมายมันก็ไม่มี เดี๋ยวนี้ก็ไม่ยึดถือข้อนี้มันก็มีการกระทำบ้า ๆ บอ ๆ อะไรขึ้นมา ที่เราเรียกกันว่ากฎหมู่เหนือกฎหมาย เป็นต้น นี้การกินอยู่แบบพอประมาณหรือพอดีก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะขี้เกียจ นอนเสียหาเป็นนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วก็กินน้อย ๆ มันเริ่มเข้าใจผิด มันป้ายร้ายให้แก่คำพูดที่กล่าวไว้ดีแล้ว มันก็เคยป้ายร้ายพระพุทธศาสนาเรื่องสันโดษที่รู้จักยินดีในสิ่งที่ได้มาหรือมีอยู่ มิได้หมายความว่าอย่าหามันมาให้ หรือว่าอย่าหามันมา ให้เต็มที่เต็มกำลังความสามารถ แล้วถ้าเรามีมากมาย เมื่อกินอยู่แต่พอดีหรือเหล่านั้นเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยอัตโนมัติ มันจะเอาไปไหนคิดดู แต่ถ้ากินอยู่เกินพอดี มันก็จะสุรุ่ยสุหร่ายจนหมด จนไม่มีที่จะช่วยผู้อื่น ก็มีความขาดแคลนมากขึ้น เพื่อแย่งชิงกันหามาก ๆ แล้วมากินเองอย่างสุรุ่ยสุร่ายจนเป็นทุกข์เป็นโทษ แล้วผู้อื่นก็ไม่ได้ช่วย ไม่ใช่ว่าอยู่ในที่อันสงัดนี้เราต้องการความสงัดก็จะต้องไม่มีการเบียดเบียนกัน เมื่อคิดอะไรได้ดีให้แปลคำว่าสงัดนั้นเป็นสันติภาพอันถาวรเสียก็แล้วกัน ในโลกนี้เรากำลังต้องการสันติภาพเข้าใจคำว่าอันถาวรก็จะยิ่งประเสริฐ แต่เดี๋ยวนี้สันติภาพ ธรรมดาสามัญสักครู่หนึ่งก็ยังไม่มี จะมีสันติภาพ อันถาวรได้อย่างไร ฉะนั้นสงัดก็คือสันติภาพ ไม่มีการเป็นอยู่กันทั่วไปทั้งโลกด้วยความสงบสงัดหรือสันติภาพ นี้ข้อสุดท้ายที่ว่าพากเพียรทำจิตให้ยิ่งให้สูงจะเป็นส่วนแก้ปัญหาได้ จิตต่ำมันก็โง่ มันโง่แล้วมันก็ต้องเห็นแก่ตัวตามสัญชาตญาณ ยิ่งโง่อย่างมนุษย์มันยิ่งเห็นแก่ตัวมาก ยิ่งมีปัญญาอย่างมนุษย์ธรรมดา ยิ่งเห็นแก่ตัวมาก คือปัญญาที่ตั้งต้นมาจากความเห็นแก่ตัว ไม่ใช่ปัญญาที่ตั้งต้นมาจากความรู้สึกว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ดังนั้น ข้อนี้ย่อมหมายความว่าทำจิตให้ยิ่งในทางที่ถูกต้อง ไม่ใช่ยิ่งขึ้นไปในทางที่เห็นแก่ตัวแล้วก็เอาเปรียบผู้อื่น ถ้าจิตมันยิ่งในทางสมาธิคือมีกำลังจิตสูง มีสมรรถภาพทางจิตสูง แล้วจิตมันยิ่งในทางปัญญาคือรู้สิ่งที่ควรรู้ที่มนุษย์ควรจะรู้ถึงที่สุด มันก็ยิ่งรู้ว่าควรจะทำอะไร เกิดมาทำไม ก็ทำได้ตามนั้นจริง ๆ ด้วยกำลังจิตที่เข้มแข็งมีสมรรถภาพนั่นเอง ฉะนั้นทำจิตให้ยิ่งจะแก้ปัญหาในโลกปัจจุบันนี้ได้ เดี๋ยวนี้มันมีจิตทราม จิตต่ำ จิตเลว ลุ่มหลงในความอร่อยทางเนื้อหนังนี้ ไม่มีจิตทรามชนิดไหนจะทรามเท่ากับความลุ่มหลงในความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง ซึ่งกำลังเป็นอยู่ในเวลานี้ แรงขึ้นแรงขึ้นในโลกนี้ จิตทรามอย่างนี้มันเพิ่มในความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเห็นแก่ตัว จนไม่มีอะไรเหลือสำหรับจะเห็นแก่ผู้อื่น จะรักผู้อื่นว่าเราเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น นี่มันเป็นไม่ได้ มันก็ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม รู้สึกแต่จะกิน จะดื่ม จะร่าเริงเต็มที่ เพราะว่าพรุ่งนี้เราอาจจะตาย เสียก็ได้ ประโยคนี้เป็นที่บูชาของคนบูชาเนื้อหนัง แต่ว่าเป็นคำด่าสมควรที่เขารู้เมื่อเกิดมาทำไม เขาจึงเล่าให้คนชนิดนั้นว่ามันเกิดมาเพียงเพื่อเท่านั้นเอง นี่ขอให้เราทบทวนถึงโอวาทปาติโมกข์ทั้งหกข้ออยู่เสมอ จะทำให้เราทำถูกต่อไปจนกระทั่งทำประโยชน์ทั้งสามได้โดยครบถ้วนและสมบูรณ์ ขอให้นึกถึงประโยชน์ทั้งสามต่อไป ที่จริงมันก็จะพูดว่าประโยชน์หนึ่งก็ได้ ประโยชน์ตนเองก็เพื่อจะพ้นจากความทุกข์ ประโยชน์ผู้อื่น ก็เพื่อจะพ้นจากความทุกข์ ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายก็ยิ่งเพื่อจะพ้นจากความทุกข์ ไอ้ตัวประโยชน์นั้นมันเหมือนกัน เป็นอย่างเดียวกัน แต่เมื่อเล็งถึงผู้ที่จะรับประโยชน์ก็เลยแยกออกกันเป็นสามฝ่าย เรา ผู้อื่นแล้วก็ร่วมกันในบางกรณี ถ้ารู้จักประโยชน์ในการทำประโยชน์ก็คือผู้ที่รู้ว่าเกิดมาทำไม เดี๋ยวนี้มันมีปัญหาที่ว่า เกิดมาทำไม เมื่อปล่อยไปตามความรู้สึกแล้วมันก็เพื่อทำตามความต้องการของเราที่ต้องการในอำนาจของกิเลสก็ทำแบบผู้มีกิเลส ทำโลกนี้ให้วุ่นวาย จะมีแต่ความเข้าใจถูกต้องความถูกต้องตามทางของสติปัญญาไม่ให้กิเลสขึ้นมาบัญชาการ ในโลกนี้มันก็มีสันติภาพ เพราะประโยชน์ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ถ้าจะให้ง่ายก็ให้ นึกถึงความมุ่งหมายของศาสนานั้นเอง คือมุ่งหมายกันไปตรง ๆ ว่าให้ทุกคนถือว่าเราเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ก็เป็นเพื่อนกันที่จะต้องช่วยเหลือกัน พระเยซูคริสต์อาจจะสอนมากไปกว่าพุทธศาสนาก็ได้ ในข้อที่ว่าให้รักผู้อื่น รักเพื่อนบ้านยิ่งกว่าตนเอง รับใช้ผู้อื่นคือรับใช้พระเจ้า รับใช้ตัวเอง รับใช้กิเลสคือมาร มันก็ลืมตัวเองเสียก็ได้ รับใช้ผู้อื่น ทำประโยชน์ผู้อื่น อย่างนี้มันก็ตรงกันได้กับ พุทธศาสนาโดยอัตโนมัติ แม้คำพูดจะไม่เหมือนกัน ถ้าเรารับใช้ผู้อื่นเราก็ทำลายความเห็นแก่ตัว การทำลายความเห็นแก่ตัวเป็นประโยชน์แก่เรามากกว่าแก่ผู้อื่น แต่ละคนละคนทำลายความเห็นแก่ตัวของตนในการ รับใช้ผู้อื่น ตัวเองกลับได้รับประโยชน์มากที่สุด เพราะหมดความเห็นแก่ตัวลงไปทุกที ความโลภ ความโกรธ ความหลงก็บรรเทาลงไปลงไปมันเป็นประโยชน์แก่ตัวเองอย่างสูงสุดพร้อมกันนไปกับการทำประโยชน์กับผู้อื่น ขอให้เห็นว่าทุกศาสนาที่ถูกต้องที่ถือกันอยู่เป็นศาสนาแท้จริงในโลกนี้มันไม่มีอะไรขัดกัน ทุกศาสนาจะสอนอย่างนี้ เพื่อให้เกิดมิตรภาพอันใหญ่หลวงขึ้นในหมู่มนุษย์ มิฉะนั้นขอถือโอกาสนี้ชี้ให้เห็นเสียเลยว่าทุกศาสนานั้นเป็นสังคมนิยม ควรจะเรียกว่าเป็นสังคมนิยมเมื่อถูกต้องตามความหมายของคำว่าสังคมนิยมที่สุด ไม่เหมือนกับสังคมนิยมสัตว์ป่าที่กำลังมีอยู่ในโลกนี้ เพื่อการกัดกันระหว่างนายทุนกับชนกรรมาชีพ เพราะให้ความหมายของคำว่าสังคมนิยมไปอีกแบบหนึ่งต่างหาก มันเกิดการแบ่งเป็นพวก แล้วก็ต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตน ก็ต้องต่อสู้กันแล้วก็เรียกว่าสังคมนิยม เพราะคำ ๆ นี้มันมีความหมายกำกวมได้ สังคม สังคมเท่าไร หรือสังคมทั้งหมดในโลก ถ้าพูดอย่างภาษาบาลีกันตรง ๆ เมื่อสมัครจะใช้คำนี้ต้องถือว่าเป็นสังคมใหญ่ของโลกคือทั้งโลก ถ้าเราเห็นแก่สังคมใหญ่อย่างนี้แล้วปัญหาก็ไม่เกิด คือไม่อาจจะแบ่งแยก คือมันต้องรักใคร่กันเสียทุกคน นายทุนก็เกิดไม่ได้ ชนกรรมาชีพก็มีไม่ได้ เพราะมันช่วยแก่กัน และกันทุกคน เมื่อมันจะอาศัยข้อที่ว่ากินอยู่แต่พอดีนั่นและเป็นเครื่องแก้ปัญหาอันนี้ ถ้าทุกคนกินอยู่แต่พอดีมันก็เหลือสิ เหลือมันก็จะเฉลี่ยกันไปเองตามธรรมชาติ อย่างนก หนูทั้งหลายกินผลไม้กินอะไรที่เกิดอยู่ในป่านี่มันกินทั่วท้อง มันจะใส่ได้ มันไม่มียุ้งฉาง แล้วมันก็เหลือไปถึงบุคคลอื่น ถึงผู้อื่นจะมีกินเหมือนกันได้ แต่ถ้ากินอยู่ไม่มีขอบเขต ด้วยความตะกละแล้ว มันก็กินจนไม่รู้จะกินอย่างไรแล้วก็มียุ้งฉางสะสมไว้กิน เพื่อตนเพื่อพวกของตน เรามีปัญญามากมีกำลังมากมันก็หาได้มาก คนมีกำลังน้อยมีปัญญาน้อยมันก็ไม่มีปัญญาจะหา มันก็ขาดแคลนลงไป ถ้าเกิดการแบ่งแยก อยู่กันเหมือนกับฟ้าและดินได้ นี้มันก็จะต้องต่อสู้กันเป็นธรรมดา หาความสงบสุขไม่ได้ พุทธศาสนาหรือศาสนาไหนก็ตาม มันมีหลักที่ว่าจะต้องนึกถึงผู้อื่น ในลักษณะอย่างนั้นแล้วกินอยู่แต่พอดี ศาสนาคริสต์ตังก็มีหลักอย่างนี้ ถ้าหามาหรือสะสมไว้หรือใช้บริโภคเกินความจำเป็นก็เรียกว่าเป็นบาป แต่ถ้าหามาสะสมไว้เพื่อผู้อื่นมันก็ไม่บาป มันกลายเป็นบุญ เหมือนคนร่ำรวยระบบหนึ่งในสมัยพุทธกาลที่เรียกว่าพวกเศรษฐีที่ถูกต้องตามความหมายของคำว่าเศรษฐี และโดยเฉพาะที่ถือว่าพระพุทธศาสนา คนร่ำรวยเหล่านั้น มันมีอยู่เพื่อคนยากจน คือมันมีโรงทาน ถ้าไม่มีโรงทาน ไม่มีใครเรียกว่าเศรษฐี ยิ่งเป็นเศรษฐีใหญ่มันก็ยิ่งมีโรงทานมาก มากโรง ร่วมมือร่วมแรงกันกับบริวาร จะเรียกว่าข้าทาสก็ได้ แต่มันก็ไม่มีความหมายอย่างข้าทาสสมัยนี้แหละ คำว่าเศรษฐีหรือคนร่ำรวยนั้นมันก็ไม่ได้มีความหมายอย่างกับคนร่ำรวยสมัยนี้ เศรษฐีถ้าดูตามตัวหนังสือแล้วมันแปลว่าผู้ประเสริฐ มันประเสริฐตรงไหนก็ดูเอง คือมีทานทำเพื่อผู้อื่น มีโรงทานเพื่อผู้อื่น ฝังทรัพย์ฝังอะไรไว้เป็นทุนสำรอง เพื่อเลี้ยงโรงทาน ก็เพื่อว่าลูกหลานจะมีเงินเลี้ยงโรงทานต่อไปด้วย ข้าทาสกรรมกรนี้ทำงานกันเหนื่อย ตัวเป็นเกลียวพร้อมทั้งตัวเศรษฐีด้วย ทรัพย์นั้นได้มากกลายเป็นเพื่อโรงทานและมันเหมือนกับคนรวยสมัยนี้ แม้แต่คนจนและข้าทาสบริวารก็ไม่เหมือนกับสมัยนี้ สมัยนู้นมันอยู่กับนายอย่างกับพ่อแม่ มีแต่ความเมตตาปราณี ฉะนั้นอย่ารู้แต่เพียงเท่าที่คนสมัยนี้รู้ หรือว่าคนบางคนมันเขียนให้อ่านว่าทาสนั้นถูกจับไปเตรียมแอกแล้วไถนาแทนวัวแทนควายนี้ มันไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไปทุกยุคทุกสมัย มันมีทาสสมัยหนึ่งหรือว่าแบบหนึ่งซึ่งไม่อยากจะจากไปจากนาย เพราะได้รับการเลี้ยงดูอย่างลูกหลานเขาเป็นคนหมดเนื้อประดาตัวอยู่กับนายดีกว่าเป็นเศรษฐีอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของคนที่ขาดแคลน พอมาถึงคนสมัยนี้คนมีเงินมากไม่ได้ทำอย่างนี้ เขาซูบเลือดคนอื่นมาร่ำรวย และใช้ความร่ำรวยนั้นเป็นทุนเพื่อจะร่ำรวยต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด ไม่เคยคิดที่จะมีโรงทานหรือทำบุญกุศลอย่างบริสุทธิ์ใจ มีแต่ทำบุญกุศลเอาหน้าบ้าง ประดับเกียรติยศบ้าง แต่เป็นการลงทุนเสียมากกว่า จะทำบุญให้ได้ชื่อเสียง ก็มีโอกาสสำหรับจะขูดรีดคนอื่นได้สะดวกมากขึ้น ฉะนั้นคนมั่งมีสมัยนี้ จึงไม่ใช่อย่างเดียวกับคนมั่งมีสมัยนู้น จะยกตัวอย่างให้ฟัง ซึ่งสรุปความได้ว่าตามหลักพระศาสนา ซึ่งคน มั่งมีสมัยนู้นปฏิบัติกันมันเป็นสังคมนิยมร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่วนสมัยนี้มันเป็นการต่อสู้ระหว่างคนที่มีประโยชน์ขัดกัน ไม่ได้ทำด้วยความรู้สึกที่บริสุทธิ์ใจ ลัทธินั้นก็เพื่อตัวกูทั้งนั้นแหละทั้งสองฝ่ายไม่ใช่เพื่อสังคมอะไรเลย ขอให้รู้จักคำว่าสังคมนิยมไว้บ้าง เพราะถ้าถูกต้องตามความหมายแล้วมันก็จะต้องเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้พวกผู้รู้การเมืองก็ยังยอมรับหรือเขียนให้ชัดว่าสังคมนิยมแห่งปัจจุบันยุคปัจจุบันนี้มันมีมาก แยกออกได้เป็นหลายสาขา เป็นหลายสิบสาขาโดยรายละเอียดแจกมันออกไป แต่ทุกสาขามันรวมกันแล้วมันก็ ไม่เหมือนกันเลย สังคมนิยมตามหลักของพระศาสนาที่มันถอดแบบออกมาจากธรรมชาติ ในข้อที่ว่าเราอยู่คนเดียวไม่ได้ เรามีอะไรเหมือนกันมีปัญหาเหมือนกัน ก็เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน เป็นสังคมนิยมจริง และก็หล่อเลี้ยงลัทธิอุดมคติอันนี้ได้ มาได้เรื่อย ๆโดยบุคคลทุกคนแม้จะเป็นพระราชามหากษัตริย์หมายถึงพระราชามหากษัตริย์ที่ถูกต้อง เป็นธรรมดาที่จะต้องมีพระราชามหากษัตริย์แหวกแนวนอกคอก เป็นภูรราช (24:24) เป็นอะไรมาแล้วตั้งแต่ครั้งพุทธกาลหรือก่อนพุทธกาลนู้น แต่ถ้าพระราชาที่ถูกต้องประกอบไปด้วย ทศพิธราชธรรมแล้วเป็นสังคมนิยมเต็มตัว ทำตัวเหมือนกับเป็นบิดาของคนทุกคน ปัญหามันก็ไม่เกิดหรือบางประเทศครั้งโบราณนั้นใช้ระบบประชาธิปไตย อนาธิปไตยอะไรก็มี แต่แล้วล้วนเป็นสังคมนิยมทั้งนั้น จะเป็นระบบกษัตริย์ เป็นระบบคณาธิปไตย เป็นพวกลิจฉวี เป็นประชาธิปไตยอย่างในชาดกก่อนหน้านั้น ไปอีก เช่น พระเวชสันดรนี้ก็เกิดในประเทศที่มีระบบประชาธิปไตย พระเจ้าแผ่นดินทำไปตามเสียงของราษฎร เป็นต้น รวมคำว่าจะระบบไหนก็ได้ เมื่อประกอบไปด้วยธัมมะ ตามหลักของพระศาสนาแล้วเป็นสังคมนิยมทั้งนั้น ปัญหาก็ไม่มี ทีนี้ถ้ามันเปลี่ยนอย่างนั้นระบบไหนก็ได้ มันเป็นเผด็จการหรือเป็นทูรราช (25:44) เป็นอะไรได้ทั้งนั้น อย่าไปเห่อ ไปโง่ ไปหลงว่าเสรีประชาธิปไตยมันจะแก้ปัญหาได้ ถ้ามันไม่ประกอบด้วยธรรม มันก็เห็นแก่ตัว เสรีประชาธิปไตยนั่นน่ะยิ่งร้ายที่สุด มือใครยาวก็สาวเอา เพราะมันนิยมเสรีประชาธิปไตย ไม่ต้องเห็นแก่คนอื่นก็ได้เพราะมันมีเสรีประชาธิปไตย ถ้าประชาธิปไตยที่เป็นสังคมนิยมมันก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ มันต้องนึกถึงคนอื่นเสมอไป จึงใช้คำว่าสังคมนิยมตามแบบของพระศาสนาก็แล้วกันจะถูกต้อง ส่วนวิธีการนั้นจะใช้อย่างเผด็จการก็ได้มันยิ่งเร็ว มันยิ่งทันแก่เวลา มันไม่ใช่คนเผด็จการหรือไม่ใช่กิเลสเผด็จการ มันเป็นธัมมะที่ถูกต้องที่เรายกขึ้นมาถือไว้ให้สิ่งนั้นเผด็จการ อย่างว่าสมัยนี้ชวนกันออกกฎหมายที่ถูกต้องขึ้นมาและก็รักษาระเบียบกฎหมายนี้อย่างเผด็จการคือเฉียบขาด ปัญหานั้นก็ไม่มี ทำอะไรก็ได้โดยสะดวก นี่คือประโยชน์ของการยอมรับตามหลักของพระศาสนาว่าทุกคนเป็นพี่น้องกันก็ได้ เป็นเพื่อนกันก็ได้ ไม่แยกใครออกไปจากหมู่จากสังคมเลย ทีนี้มาแยกเป็นคนมีคนจน อย่าเป็นข้าศึกของกันและกัน แม้แต่ผิวดำผิวขาวมันก็รวมอะไรกันไม่ได้ เป็นคนละพวกกัน มีประโยชน์ขัดกัน จะฆ่าฟันกันเสมอไป ไม่มีมิตรภาพตามหลักแห่งพระศาสนา ฉะนั้นขอให้เข้าใจพุทธศาสนาโดยเฉพาะมีหลักสำหรับความเป็นสังคมนิยมที่ประกอบด้วยธรรม ถอดแบบออกมาจากธรรมชาติ นึกถึงธรรมชาติที่ต่ำลงไปกว่ามนุษย์ เป็น สัตว์เดรัจฉาน ต่ำกว่าสัตว์เดรัจฉานก็เป็นพืชพรรณพฤษาชาติทั้งหลายเหล่านี้ เป็นต้น สังเกตดูให้ดี มันมีวิญญาณของสังคมนิยม จะโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็อย่าไปคิดมันก็ได้ จะเห็นได้ว่ามันอยู่โดยลักษณะของสังคมนิยมคือต้องอาศัยกันทีเดียว ต้นไม้ต้นหนึ่งจะอยู่เพียงต้นเดียวในโลกนี้มันอยู่ไม่ได้ มันต้องมีอะไร เพื่อนเป็นเพื่อนกันก็ต้นไม้ด้วยกันมันถึงจะอยู่ได้ นี่มันยังเข้าสังคมกับพวกสัตว์ นก หนู แมลงอะไรต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยคุ้มครองต้นไม้หรือทำให้มีพืชพรรณอยู่ได้ เราไม่มีนกพวกกินหนอนอย่างเดียว ต้นไม้จะเกลี้ยงไปจากโลกนี้เหลืออยู่ไม่ได้ เพราะว่าหนอนมันกินยอดอ่อน แล้วมันทวีพันธุ์มาก เพราะกินจนต้นไม้งอกไม่ทัน มันก็ต้องตาย มันไม่มีใบมันก็อยู่ไม่ได้มันต้องตาย มันจะต้องร่วมกันในทางเป็นอยู่ ไม่มีต้นไม้ มนุษย์ก็อยู่ไม่ได้ อย่าอวดดีไปนักเลย ไม่มีสิ่งใดที่มีชีวิตอยู่ได้โดยลำพังตน อย่างสังคมนิยมของพระเจ้า ของ พระเป็นเจ้าวางไว้ให้ ถ้าเราไม่ชอบคำว่าพระเจ้า เราก็ใช้คำว่าธรรมชาติก็ได้ ธรรมชาติที่เฉียบขาด มีกฎของตัวมันเองนั่นแหละคือพระเจ้า ถ้าชอบพระเจ้าก็เรียกพระเจ้า ไม่ชอบพระเจ้าก็เรียกธรรมชาติ มันกำหนดไว้ให้ ถ้าผิดกฎของธรรมชาติล่ะก้อ วินาศไปทีละน้อยละน้อยจนหมดสิ้น ทุกศาสนา ทุกศาสนามันเกิดขึ้นตามที่กฎของธรรมชาติมันก็บังคับให้มีขึ้น แม้โดยไม่รู้สึกตัว จนเกิดปัญหาขึ้นก็มีผู้คิดค้นแก้ปัญหา แก้ปัญหาได้ถูกต้องตามธรรมชาตินั่นเอง เรื่องสังคมนิยมนี้ก็เป็นปัญหาอันหนึ่ง ศาสนาทุกศาสนาต้องการจะแก้ปัญหา ถ้ามันไม่เป็นสังคมนิยม คือมันเห็นแก่ตัว ฉะนั้นเราอย่าเข้าใจผิดในเรื่องนี้มือที่โดยมากเข้าใจกันว่าไอ้เรื่องของศาสนาเป็นพัน ๆ ปีมาแล้ว เอามาใช้เป็นหลักในเวลานี้ไม่ได้ อย่างที่เขาถือกันอยู่โดยมากในโลกนี้ ในหมู่คนที่อ้างตัวเองว่าเจริญก้าวหน้าในทางวิทยาศาสตร์ ในทางเทคโนโลยี เป็นต้น พวกที่ก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เขามีความคิดว่าเขาจะแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องอาศัยศีลธรรมหรือศาสนา เขาก็มุลองหลับหูหลับตาแก้ปัญหาโดยวิธีของวัตถุ พวกเทคนิเชียน (Technician) เทคโนโลยีอะไรต่าง ๆ มันเป็นเรื่องของวัตถุทั้งนั้น จนคนสมัยนี้ คนรุ่นหนุ่มสมัยนี้มันลืมตัว ถึงกับคิดว่าเราไม่มีความทุกข์ ฉะนั้นเราไม่ต้องการไอ้สิ่งที่จะดับทุกข์ ทว่าศาสนาเป็นสิ่งมีไว้สำหรับทุกข์ อย่างอื่นก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับเรา เพราะเราไม่มี ความทุกข์ หรือถ้ามีเราแก้ด้วยสิ่งอื่น ศาสนาไม่อาจจะแก้ได้ ฉะนั้นเขาก็เลยไม่ถือศาสนา กล้าพูดกล้าทำไม่มีศาสนามากขึ้นมากขึ้น ยังกล้าพูดว่าเดี๋ยวนี้พระเจ้าตายแล้ว แล้วเราก็ไม่ต้องกลัวพระเจ้าอีกต่อไป เราทำอะไรตามความรู้สึกของเราดีกว่า บางคนไปมากถึงกับว่าเดี๋ยวนี้โลกมันเจริญแล้ว หลักเกณฑ์อย่างแต่ก่อนใช้ไม่ได้ บางคนพูดว่าประเทศอินเดียโดยเฉพาะในครั้งพุทธกาลที่เกิดพุทธศาสนานั้น คนยังล้าหลัง ยังโง่ ยังป่าเถื่อน ยังยากจน ยังอะไรต่าง ๆ เหมือนกับทวีปแอฟริกาในปัจจุบันบางตอนที่ยังป่าเถื่อน คิดดู น่าเศร้าหรือว่า น่าสังเวช หรือว่าน่าอะไร พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นสำหรับหมู่คนที่ยังล้าหลังป่าเถื่อนเหมือนคนในทวีปแอฟริกาบางส่วนสมัยนี้ มันก็เลยพูดกันไม่รู้เรื่องแน่ ที่จริงพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นสำหรับแก้ปัญหาของคนที่มีกินมีใช้แล้ว พวกคนที่มีกินมีใช้ มีเงินเหลือ แล้วมันยังมีความทุกข์เหลืออยู่ในทางด้านวิญญาณ ปัญหาเกิดจากความเกิดแก่เจ็บตายในการที่ธรรมชาติบางส่วนมันไม่ได้เป็นไปตาม ความต้องการของมนุษย์ แล้วเราก็จะมีปัญหาอันนี้ เช่นว่าเราจะต้องเป็นทุกข์ เพราะความเกิดแก่เจ็บตาย หรือจะเป็นทุกข์เพราะความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติที่ไม่เป็นไปตามที่ปรารถนา จะเป็นแผ่นดินไหวหรือ แผ่นดินถล่มหรือว่าน้ำท่วมอะไรก็ตาม มันก็ต้องมีความทุกข์ เรามีจิตใจอย่างไรจึงจะไม่เป็นทุกข์ มีเงินใช้มากแล้ว เหลือเฟือแล้วมันก็ยังมีปัญหาอย่างนี้อยู่ ฉะนั้นศาสนา อย่างพุทธศาสนามันเกิดมาเพื่อจะแก้ปัญหา คนรวย หรือแก้ปัญหาของพวกเทวดาที่มันเป็นเทวดาแล้วมันก็ยังมีความทุกข์นั่นแหละ ถ้ามีศาสนาขึ้นก็จะแก้ปัญหาคนประเภทนี้ระดับนี้ ไม่ใช่แก้ปัญหาของคนที่ยังยากจนอยู่เหมือนไอ้คนฟากในแอฟริกาบางส่วนแห่งปัจจุบันนี้ ขอให้เข้าใจเสียให้ถูกต้อง อย่าไปโง่ตามก้นพวกฝรั่งที่กำลังพูดอย่างนี้ ไปเรียนมาจากเมืองฝรั่งแล้วก็เอาอันนี้ติดมาตามก้นเขา จนไม่ต้องมีศาสนา เป็นการศึกษาของประเทศไทยก็เปลี่ยนไปตาม ก้นพวกฝรั่งจนไม่มีที่ว่างให้ศาสนาอย่างแท้จริง มีบ้างสำหรับจดไว้ในสมุดให้ลูกเด็ก ๆ มันท่องแล้วปิดไว้ สอบไล่ได้คะแนนนิดหน่อยก็ไม่มีใครสนใจเรื่องศาสนา ที่ว่าไปตามก้นฝรั่งมันก็ไม่มีเวลาที่จะรักษาศีลธรรมหรือว่าหลักธัมมะสำหรับมนุษย์ แม้ที่สุดแต่เรื่องครอบครัวก็ดี มันก็เกิดการบกพร่องขึ้นมา คือไม่มีธัมมะมากขึ้นมากขึ้น มันไม่มีทางจะแก้ปัญหาได้ เราทำผิดในระบบสังคมนิยมอีกแบบหนึ่งอย่างลึกซึ้ง ที่ว่าในครอบครัวหนึ่งไม่ได้ทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง เมื่อเกิดความยุ่งยากลำบากขึ้นแก่ครอบครัวนั้น คือสังคมเล็กนั่นแหละ คือสังคมหมู่บ้านจังหวัดอะไรออกไป แต่ละส่วนละฝ่ายมันก็ไม่ได้ทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง จนกระทั่งประเทศมันก็ไม่ได้ทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องมันก้าวก่ายกัน ซึ่งมันไประดมทำกันในส่วนใดส่วนหนึ่งกันเสียหมด เช่นจะให้ผู้หญิงมาเป็นผู้ชายเสียด้วย อย่างนี้จะมีผู้หญิงที่ไหนเหลืออยู่ในโลก มันก็เลยยุ่งกันหมด เพราะสังคมนั้นก็จะต้องละลาย จะต้องล้มละลาย โดยนึกถึงคำว่าสังคมนิยมให้ถูกต้องตามหลักของพระศาสนาซึ่งถอดแบบออกมาจากธรรมชาติ แล้วมนุษย์นี้ก็จะมีความสุขสวัสดี เรียกว่า หมดปัญหาเกลี้ยงเกลาไปจากสิ่งที่เป็นปัญหาตามความหมายของคำว่าโมกข์อีกตามเคย นี่ขอให้ทบทวนว่า วันแรกเราพูดกันถึงเรื่องโมกข์หรือสวนโมกข์คือเกลี้ยง อันนี้ก็จะระบุลงไปว่าเกลี้ยงจากปัญหาที่รบกนมนุษย์ในทุกแง่ทุกมุมทางวัตถุก็ดีทางจิตก็ดีทางวิญญาณก็ดี มันเกลี้ยงไปจากปัญหา แล้วก็ประสบวิเวกคือ ไม่มีอะไรรบกวนทั้งทางกาย ทางจิต ทางวิญญาณ จะเกลี้ยงจากวิเวกนี้ได้ก็ต้องอาศัยหลักพระศาสนา เช่น หลักหกประการดังที่ได้พูดกันเมื่อเย็นวานนี้ ทีนี้ก็มาสู่จุดหมายปลายทางคือว่าความผาสุขของสังคม ก็มีประโยชน์เกิดขึ้นครบถ้วนทั้งสามประการ ประโยชน์ตนเอง ประโยชน์ผู้อื่น และประโยชน์ทั้งสองฝ่าย จะเห็นได้ว่ามันผูกผันกันเป็นสังคมเดียว คือสังคมแห่งมนุษย์ที่ดีกว่าสังคมแห่งสัตว์เดรัจฉาน ที่ดีกว่าคือสังคมแห้งต้นไม้ แต่แล้วในที่สุดก็ไม่พ้นจากการที่ว่าจะต้องมีหลักที่เด็ดขาดที่สุดที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ก็คือสังคมนิยม ถ้าเกิดสังคมนิยมตัวกูคนเดียวขึ้นมา แล้วก็หมด ไม่มีอะไรเหลือ ไม่มีความเป็นมนุษย์ ไม่มีอะไรและจะวินาศด้วย เงินนิยมทั้งหมดก็จะเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย มีปัญหาอย่างเดียวกันต้องไปด้วยกัน ต้องอยู่ด้วยกันแล้วล่ะก้อไม่มีปัญหา เพราฉะนั้นขอให้รู้ว่าเราเกิดมาทำไม คิดได้ตามพอใจ เกิดมาทำไม แต่ถ้าคิดอย่างถูกต้องมันก็จะมาสู่จุดเดียวกันโดยอัตโนมัติ คือเกิดมาเพื่อทำโลกนี้ให้เป็นโลกที่งดงาม อยู่ด้วยความสงบสุขหรือสันติภาพ โดยยึดหลักสังคมนิยม เป็นสังคมเดียวกันทั้งโลก ตามแบบของพระศาสนาทั้งหลายที่ต้องการอย่างนั้น ฉะนั้นจึงตอบได้หลายทางแล้วแต่ว่าเราจะมุ่งหมายในแง่ไหน ไม่ได้แปลว่าเราเกิดมาเพื่อถือศาสนาก็ได้ เกิดมาเพื่อปฏิบัติตามหลักของพระศาสนาก็ได้ หรือเอาผลเกิดมาเพื่อทำโลกนี้ มีสันติภาพก็ได้ รวมตัวเราอยู่คนหนึ่งด้วยในคำว่าโลกนั้น เกิดมาเพื่อทำสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะทำ ถ้าถือกันได้อย่างนี้ก็หมดปัญหา เพราะฉะนั้นความรู้ความเข้าใจอะไรก็ตามที่ได้รับมาจากการมาที่นี่ สองสามวัน ขอให้เอาไปใช้ แก้ปัญหาให้ได้ในการที่ตั้งปัญหาขึ้นมาว่าเราเกิดมาทำไม แม้ว่าเราไม่ได้ตั้งใจจะเกิดมาเอง ก็ต้องยอมรับว่าเราก็ได้เกิดมาแล้ว เกิดมาแล้วจะต้องทำอะไร จึงจะถูกต้องที่สุด นั่นน่ะคือปัญหาที่ว่าเกิดมาทำไม แล้วจะต้องทำอะไรต่อไป ถ้าไม่อย่างนั้นก็ต้องพูดว่า ขออภัย มันหยาบที่สุดว่ามันเสีย ชาติเกิด มันหยาบคายมากที่จะพูดว่าเสียชาติเกิด แต่แล้วก็ไปดูให้ดีเถิด มันมีอยู่มากมายหลายล้านคนเหมือนกันที่เกิดมาเสียชาติเกิด ขอให้เราอย่าไปรวมอยู่ในจำนวนนั้นก็แล้วกัน เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้ความเป็นมนุษย์ที่ดี ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ก็หมดปัญหา ถ้าใครไม่ได้ก็ต้องใช้คำนั้นแหละ ควรจะเอาไว้เตือนตัวเองหรือว่าปูตัวเองอย่าให้มันผิดพลาด อย่าให้มันเหลวไหล ให้มันถูกต้องไปตามลำดับ นี่คือเรื่องที่เราจะพูดกันเป็นการสรุปท้ายในการพูดครั้งนี้ เกิดมาเพื่อความเป็นอย่างนี้ ส่วนเรื่องอาชีพนั้นมันเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว อย่าเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องทั้งหมด มันเป็นเรื่องชีวิตอยู่ได้ ถ้าชีวิตอยู่ได้แล้วจะทำอะไรจึงจะสมกับการที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ด้วยชีวิตอยู่ได้ด้วยอาชีพนั้นอย่าไปถึงกับบูชามัน มันจะโง่มากไป พระเยซู กล่าวว่ามันเป็นนกกระจิบมันก็ไม่อดตาย ส่วนนกตัวเล็ก ๆ ที่มีความสามารถมากที่สุดมันก็ไม่อดตายในโลกนี้ แล้วทำไมมนุษย์จะต้องอดตาย เมื่อเรามีความไม่ตาย รอดชีวิตอยู่ได้เพราะอาชีพ แล้วเราก็จะต้องทำอะไรต่อไปมันจึงจะดีถึงที่สุด ไม่ใช่กินดื่มร่าเริงเต็มที่แข่งกับเวลาว่าพรุ่งนี้เราอาจจะตายเสียก็ได้ อย่างนั้นมันอีกลัทธิหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับพุทธศาสนาหรือศาสนาไหนก็ตาม มันเป็นข้าศึกของศาสนาที่เราจะต้องเอาให้ได้คือไปถึงจุดที่มนุษย์ควรจะได้อะไร ไม่ใช่เกิดมาเพียงเพื่ออาชีพ ร่ำรวยมีเงินมีทองมีอะไรจนเหลือเฟือ จนเฟ้อไปหมด แล้วก็ไม่ได้ทำสิ่งที่มนุษย์ที่ดีที่สุดควรจะได้ ควรจะทำ เดี๋ยวนี้เรื่องเทคโนโลยีในโลกนี้มันก็เพื่อกินอยู่ให้ดีให้สนุกสนานร่าเริงแข่งกับเวลา แล้วมนุษย์ทุกคนก็เอาเทคโนโลยีแขนงใดแขนงหนึ่งเป็นอาชีพ ไม่ใช่เรียนหมอหรือเรียนกฎหมายหรือเรียนอะไรก็ตามเรียกอย่างเดียวว่าเทคโนโลยีแขนงหนึ่ง เพื่ออาชีพ เพื่อประโยชน์ เพื่อหาเงินมา เพื่อบริโภคกาม เพื่อมีเกียรติมันก็มีเท่านั้น ก็ถือว่าเกิดมาชาติหนึ่งได้กินได้กาม ได้เกียรติมันก็พอแล้ว ก็ตามใจ ก็มีสิทธิที่จะคิดอย่างนั้นตามแบบประชาธิปไตย แต่ศาสนาทั้งหลายเขาไม่ได้คิดอย่างนั้น ไม่ได้มุ่งหมายอย่างนั้น คือไม่ได้มุ่งหมายแต่เพียงว่ามนุษย์เกิดมาแล้วมีกิน มีกาม มีเกียรติ แล้วก็พอแล้วก็ต้องการไปอยู่กับพระเจ้า ให้ไปอยู่กับพระเจ้าในที่สุด จะตายแล้วหรือยังไม่ทันตายก็ได้ จะได้อยู่กับพระเจ้าถึงที่สุด เพื่อให้ได้อยู่กับภาวะที่สะอาด สว่าง สงบ เย็นสูงสุดของมนุษย์ เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติมันไม่ใช่สะอาด สว่าง สงบ ไปพิจารณาดูให้ดี เธอมีสิ่งนั้นเพียงแต่ว่าขั้นต้น ๆ สำหรับลูกเด็ก ๆเด็กอมมือมากกว่า เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ พอโตแล้วก็ไปคำนึงถึงอะไรอย่างหนึ่งซึ่งดีกว่านั้นมาก คือจุดปลายทางของศาสนาคือภาวะแห่งจิตใจที่สะอาด สว่าง สงบ จะเรียกว่าวิเวก จะเรียกว่าโมกข์ จะเรียกว่าอะไรก็ได้ทั้งนั้นมันมีชื่อมาก เรียกแทนกันได้ ขอให้หวังว่าเราเกิดมานี้เพื่อถึงจุดนั้น มันก็ไม่เสียทีที่มนุษย์ ได้เกิดมาแล้วพบพระพุทธศาสนา เป็นต้น นี่เรื่องสำหรับพูดวันนี้ก็มีอย่างนี้เป็นการสรุปความ กันลืม ถือว่าเป็นเค้าโครงของเรื่องทั้งหมด ขอให้จำเอาไปด้วย อยากให้มันติดไปกรุงเทพฯด้วย เอาไปคิดไปนึก ไปแยกแยะเอาเองเพื่อความเข้าใจอันละเอียดต่อไปแล้วก็คงจะปฏิบัติได้ไม่เหลือวิสัยเป็นแน่นอน ขออวยพรให้ทุกคนจงประสบความสำเร็จในความมุ่งหมายอันนี้ มีความก้าวหน้าในทางของความสุขอันถูกต้องแท้จริงอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ
ถาม : เสรีประชาธิปไตยแต่ว่าก็ยังฝากจากธัมมะเข้าไปเกี่ยวข้องทำให้มีความพยายามทางด้านศาสนา ทีนี้ถ้าเกิดเราจะแก้ปัญหาโดยที่จะให้พวกประชาชนมีความรู้สึกหรือมีธัมมะเข้ามาก็ยาก อย่างที่ พระเยซู ถ้าเกิดเราจะแก้ปัญหาในอีกทางหนึ่งโดยการแบบที่จะใช้วิธีพูดอย่างตรง ๆ ตัว ใช้วิธีแบบวัตถุนิยมคอมมิวนิสต์โดยการจัดการด้านวัตถุให้ทุกคนมีโอกาสได้เท่าเทียมกันเสียก่อนแล้วจึงทำให้ทุกคนมีธัมมะขึ้นมาในภายหลังซึ่งจะทำได้ง่ายกว่าการที่จะชักจูงเขามามีธัมมะขึ้นมา อันนี้ท่านคิดว่าจะเป็นไปได้ไหม?
ตอบ : ถ้ามันบ้าถึงขนาดนั้นก็เป็นไปได้สิ ก็ไม่ต้องการใช้อาวุธเป็นเครื่องแก้ปัญหา ถ้าจะถือตามหลักศาสนาแล้วการฆ่ากันต้องเอาเก็บไปไว้ก่อน คือว่ามุ่งหมายในการที่จะไม่ฆ่ากันเพราะว่าเขาเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จะกลับใจของเขาโดยที่ไม่ต้องฆ่า ถ้าฆ่าเสียแล้วจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อเราจะทำโลกให้สันติภาพ ถ้ามาฆ่าคนเสียอย่างนี้จะมีสันติภาพได้อย่างไร ต้องมีวิธีที่ไม่ต้องฆ่า แล้วก็แก้ไข แก้ปัญหาได้ ถ้ามันอันธพาลถึงขนาดต้องฆ่ามันก็อีกเรื่องหนึ่ง ไม่ต้องเกี่ยวกับศาสนาก็ได้ เป็นทางแก้ปัญหาของคนเหล่านั้น เหมือนกับว่าเราพิพากษาประหารชีวิตไอ้คนที่มันทำผิด ที่ควรประหารชีวิต เดี๋ยวนี้มันก็เป็นความต้องการของมนุษย์ที่เราจะมีประชาธิปไตย หรือทำไมไม่ไปฆ่าคนที่วางระบบประชาธิปไตย เพราะมันเป็นต้นเหตุที่ทำให้มนุษย์มือใครยาวสาวเอา แต่ข้อเท็จจริงมันมีมากกว่านั้น ความต้องการของคนจนที่จะกำจัดนายทุนนั้นไม่ได้มาจากความรู้สึกที่ถูกต้องหรือเป็นธรรมก็ได้ ไปดู เสียใหม่ ถ้าเขายากจนเขาโมโหนั้น เพราะเขาทำลายล้างคนมั่งมีได้เขาก็อยากเป็นคนมั่งมีแทนที่ต่อไปก็ได้ ถ้ามันไม่ประกอบด้วยธรรม เดี๋ยวนี้มันก็มองเห็นอยู่ว่าถ้าเพียงแต่นายทุนจะถือศาสนาสักหน่อยเท่านั้นแหละ มันก็หมดปัญหา มันจะเปลี่ยนจากความเป็นนายทุนไปสู่ความเป็นเศรษฐีในครั้งพุทธกาลซึ่งจะถือว่าทุกคนว่าเป็นลูกหลานของเขา ถ้านายทุนถือว่าลูกจ้างทุกคนเป็นลูกหลานของเรามันก็หมดปัญหา เพราะว่ารักลูกหลานเหมือนกับนายจ้าง รักลูกจ้างเหมือนกับลูกหลาน ปัญหามันก็หมดไป เพราะไอ้ลูกหลานทรัพย์สมบัติ ลูกจ้างทรัพย์สมบัติของลูกจ้างมันคือลูกของเรา มันเป็นของเรา ทีนี้ลูกจ้างมันก็โง่เอง นายทุนมันก็โง่เอง มันก็เลยกลับกัน ไม่ต้องอะไรมากนักเพียงแต่นายทุนเขาสละประโยชน์สักห้าสิบเปอร์เซ็นต์ของกำไร กำไรห้าสิบเปอร์เซ็นต์ไปเลี้ยงลูกหลานเหล่านั้น เลี้ยงลูกจ้างเหล่านั้น ปัญหาก็ไม่เกิด นายทุนก็จะไม่มีอะไรเดือดร้อน ยังรวยอยู่แต่ว่ามันรวยแบบนายทุนนี้มันไม่น่าบูชา เปลี่ยนเป็นร่ำรวยแบบเศรษฐีสมัยโบราณก็แล้วกัน มันยังพอหาดูแม้ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์มันยังมีเศรษฐีที่สร้างวัด เศรษฐีที่เลี้ยงคนจน เศรษฐีที่เห็นลูกจ้างเหมือนกับลูกหลานตามแบบโบราณมันยังมีอยู่ แล้วมันก็ค่อยหมดไปหมดไปจนเดี๋ยวนี้ลูกจ้างมันไม่ใช่ลูกหลาน มันก็เกิดยุคใหม่ที่เรียกว่านายทุนขึ้นมาชนกรรมาชีพผู้โหดร้ายหรือผู้ไม่ยินยอมขึ้นมา พอที่จะฆ่าพวกนายทุน นายทุนก็เขาจะยิ่งป้องกันตัว ยิ่งต่อสู้ มันก็มีแต่การต่อสู้ ไม่อาจจะแก้ปัญหาได้ การใช้ลัทธิที่ประหัตประหารอย่างนี้ไม่มีทางที่จะแก้ปัญหาได้ มันจะเพิ่มความจองเวรกลับไปกลับมากลับไปกลับมาอย่างนั้น พูดตามหลักพระศาสนามันเป็นอย่างนี้ มันต้องไม่ใช้ดาบ ไม่ใช้อาวุธ ที่คุณประยูรประธานเจ้าคุณชอบเอามาอ้างอยู่เสมอ หยดน้ำหมึกดีกว่าดาบ หยดน้ำหมึกมันเขียนการพูดนี่ดีกว่าดาบ ดีกว่าการใช้ดาบ ใช้การพูดจาแทนการใช้ดาบ ก็เป็นคำสอนของพระมูฮัมหมัดที่เขาว่าดุร้ายนั้น มันมองกันแต่ในแง่ร้ายมันเห็นเป็นเรื่องดุร้าย ถ้าฉะนั้นเราใช้หยดหมึกดีกว่าดาบหรือปากกาดีกว่าดาบ พุทธศาสนาต้องการจะให้แก้ปัญหาด้วยน้ำเย็นคือเมตตา ถ้าฉะนั้นมันจะกลายเป็นการจองเวรกันมากขึ้น ถ้าฉะนั้นคอยดูเถอะ ต่อไป มันก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจกันได้ ต่างมุ่งหมายจะใช้กำลัง นี่ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรก็คอยดูละกัน แต่ว่าเราที่นับถือศาสนาเรายึดมั่นอย่างนี้ เราจะต้องเป็นคอมมิวนิสต์ที่ดีกว่า ที่จะแก้ปัญหาคอมมิวนิสต์ได้ เราจะต้องเป็นนายทุนที่ดีกว่าจึงจะแก้ปัญหานายทุนได้ จะเป็นเศรษฐีอย่างแบบโบราณ เป็นนายทุนที่ดีกว่าจะแก้ปัญหานายทุนนี้ได้ จะเป็นคอมมิวนิสต์ที่ดีกว่าจึงจะแก้ปัญหาคอมมิวนิสต์ได้ เป็นสังคมนิยมที่แท้จริงที่ดีกว่าจึงจะแก้ปัญหาสังคมนิยมหลับหูหลับตาอย่างที่มีกันอยู่เดี๋ยวนี้ได้ นี้คือความคิดเห็นในเรื่องนี้ ก็ลองเอาไปคิดดู ถูกหรือผิดค่อยรู้กันทีหลัง สังคมนิยมมันไม่ถูกต้อง
นักศึกษา : อาจารย์มีปัญหาอะไรอีกไหมครับ มีใครถามอะไร คือว่าวันนี้เป็นวันสุดท้าย ผมอยากจะขออนุญาตให้อาจารย์ถามความเห็นของเพื่อน ๆ และของอาจารย์สักนิดหน่อย คนละนิดหน่อยอย่างน้อย ๆ ก็เพื่อมันจะเป็นการคล้าย ๆ กับว่าประเมินผลของสี่วันสามคืนที่เราได้อยู่ที่นี่ เพื่อจะเป็นประโยชน์ด้วยกัน ทั้งสองฝ่ายต่อไป คิดว่าท่านอาจารย์คงจะอนุญาต
ท่านพุทธทาส : เอาสิ แต่อย่าสร้างปัญหาขึ้นมาใหม่
นักศึกษา : ครับ
ท่านพุทธทาส : ปัญหามีอยู่จริง
นักศึกษา : ครับ ไม่ใช่เป็นปัญหาครับ ก็อยากจะเริ่มที่นักศึกษาหญิงก่อน ซึ่งรู้สึกว่าวันนี้อยากจะชวนพวกที่อยู่ข้างล่างขึ้นมาข้างบนด้วยนะครับ วีระชัย คณิต อุษณีษ์ และทุก ๆ คนนะครับ ช่วยขึ้นมาข้างบนหน่อยนะครับ
ท่านพุทธทาส : แก้ปัญหาคาราคาซังอยู่ให้หมดไป อย่าสร้างปัญหาขึ้นมาใหม่
นักศึกษา : คืออยากจะถาม ถามว่าเรารู้สึก รู้สึกยังไงกันบ้างนะครับในสี่วันสามคืนที่เราอยู่ที่นี่ และเราค้างที่นี่ เรานอนที่นี่ กินที่นี่ มาที่นี่ รู้สึกว่ามันแปลกหรือว่ามันเป็นยังไง กับอะไร คือได้ประโยชน์ยังไงบ้างนะครับ ขอเริ่มที่ผู้หญิงก่อน ใครมีอะไรจะพูดก็กรุณาพูด ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร คนสุดท้ายก็คืออาจารย์
ท่านพุทธทาส : ใครนึกได้ก่อนพูดก่อน ไม่ต้องรอ เสียเวลา ใครนึกได้ก่อนพูดก่อน
นักศึกษา : สำหรับการที่ได้มาครั้งนี้ ตามความตั้งใจ รับทราบจากสมศักดิ์อยู่แล้ว ไม่ได้ตั้งใจจะมาเที่ยว คือผมก็มาที่นี้เป็นครั้งแรกเหมือนกัน แล้วก็ทราบมาก่อนว่าที่นี่สงบ ตอนก่อนมานี่ก็ยังบอกกับพระที่ผมจะไปบวชอยู่ด้วยในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ว่าจะมาที่นี่ก่อนหนึ่งอาทิตย์ ท่านก็สนับสนุนทันทีเลย แล้วก็ขอเลื่อนเวลาบวชซึ่งควรจะเป็นเมื่ออาทิตย์ที่แล้วออกมาเป็นอาทิตย์หน้านี้ เพราะฉะนั้นการที่มาที่นี่ ก็นับว่าจะมาหาความเงียบ ความสบายใจ การที่ไม่ได้พบสิ่งที่เป็นแสงสีอะไรต่าง ๆ ซึ่งเราพบกันอย่างจำเจทุกวันในกรุงเทพฯ แล้วก็การมาในครั้งนี้นี่นับว่าได้ประโยชน์พอสมควร แต่ว่าเวลาที่มีค่อนข้างสั้นไป สักหน่อย เท่านั้นละครับ
นักศึกษา : สำหรับผมนี่รู้สึกว่าการมาครั้งนี้ เป็นการมากระตุ้นเตือนตัวเอง เป็นการมาทบทวนตัวเอง ในแง่หลักปฏิบัติต่าง ๆ ตลอดจนความคิดเห็นต่าง ๆ เกี่ยวกับธัมมะที่ได้เคยเรียนมาแล้ว แล้วก็คิดว่าได้กระทำสำเร็จไปบ้างเป็นบางส่วน ซึ่งก็ยังจะต้องการเวลาในการที่จะกระทำให้สำเร็จยิ่งขึ้นต่อไป
นักศึกษา : ตัวดิฉันได้เคยมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่งก็เกิดความประทับใจ คิดว่าจะมีโอกาสเมื่อไรก็จะต้องมาให้ได้อีก เผอิญได้ทราบข่าวว่าคุณหมอจัดทำและจัดการขึ้น ก็รีบร้อนตามมาด้วย ในความคิดนี้ คิดว่าถ้าพบสิ่งใดที่ดีงามและที่ถูกต้องก็อยากให้ครอบครัวนั้นได้พบ ได้เห็น ได้ฟัง และได้รู้ด้วยจึงได้มากันทั้งครอบครัว และก็คิดว่าจากธรรมที่ได้รับในที่นี้ คงจะทำให้ทั้งตัวดิฉันและครอบครัว ได้เป็นผู้ซึ่งประพฤติธรรมต่อไปอย่างดีที่สุด
นักศึกษา : จุดประสงค์ที่จะมาก็เพื่อตั้งใจที่จะมาหาความสงบ ก็เพิ่งได้รับอย่างเต็มที่
นักศึกษา : เมื่อก่อนนี้ก็ไม่เคยที่จะสนใจศึกษาธรรมโดยลึกซึ้ง พอมาถึงที่นี่ก็มีเวลาที่จะได้ศึกษาธัมมะมากขึ้น แล้วก็คิดว่าตัวเองไม่ได้มีความเข้าใจในหลักของพุทธศาสนาในหลักของธัมมะมากขึ้น แล้วกลับไปก็จะได้ทำการศึกษาโดยแจ่มแจ้ง และขณะนี้ยังคิดว่าการปฏิบัติตามธัมมะนั้นเป็นสิ่งที่ยากอยู่สำหรับตนเอง แต่ก็จะพยายามทำต่อไป
นักศึกษา : มีใครพูดอะไรอีกไหมครับ คือทั้งหมดผมเองก็รู้สึกว่ามีคุณค่ามากมายเหลือเกินในสามคืนสี่วันนี้ แล้วก็ได้พบทั้งความสงบสุข ความสว่าง ความมีคุณค่า และก็มีพลังใจต่อไปที่จะทำในสิ่งที่ ตัวเห็นว่าถูกต่อไปครับ ผมหวังว่าการทำครั้งนี้คงไม่ละลาบละล้วงจนเกินไป ก็ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์มา ณ ที่นี้ด้วยครับ
ท่านพุทธทาส : ขอแสดงความยินดีที่ว่าไม่เป็นหมันเปล่า ที่ทุกคนมาที่นี่ไม่เป็นหมันเปล่า อย่างน้อยบางคนก็ได้จุดตั้งต้น บางคนก็ได้รับเพิ่มเติมเนื่องจากที่ได้ตั้งต้นมาแล้ว ก็ได้ศึกษาธัมมะจากธรรมชาติ ศึกษาธัมมะจากจิตใจ แทนที่จะศึกษาธัมมะจากกระดาษอย่างเดียว ฉะนั้นก็ขอแสดงความยินดี