แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านนักศึกษาผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย ในการบรรยายครั้งที่สามนี้ ผมจะได้กล่าวในหัวข้อว่า สุญญตาแก้ปัญหาแม้ของฆราวาส บางคนคงจะรู้สึกประหลาดว่าทำไมต้องพูดเรื่องสุญญตา ผมจะเล่าตามที่ได้ประสบมาแล้ว ได้เป็นมาแล้วอย่างไร อย่างที่ได้เคยบอกมาแล้ว ในครั้งที่แล้วมาว่า ความลำบากยุ่งยากในการศึกษานี่มันเกี่ยวกับคำ คำที่ใช้พูดนี่หล่ะ มันไม่พอใช้บ้าง เข้าใจไม่ตรงกันบ้าง ไอ้คำที่สำคัญที่สุดเป็นหัวใจของธรรมะที่สุด มันก็เข้าใจไม่ได้ ไม่เข้าใจได้มันก็ถูกละเลย มันก็ถูกละเลย หนักเข้าจนเป็นคำอะไรไปก็ไม่รู้ เช่นคำว่าสุญญตานี้เป็นต้น เหตุการณ์ที่เป็นอยู่จริง ทำให้พูดได้ว่าพระพุทธเจ้าองค์จริงน่ะไม่มีใครรู้จัก นึกถึงก็หัวเราะเยาะ เพราะว่าเรียนและปฏิเสธ ส่วนพระพุทธเจ้าองค์ที่ไม่จริง หรือเป็นเพียงเปลือกนอกรอบนอกนั้นน่ะกลับได้รับการยกย่อง นี่ถ้าคุณไม่เข้าใจ เดี๋ยวก็จะพูดให้ฟัง เดี๋ยวนี้เอามาเกริ่นกันให้รู้เสียก่อนว่าทำไมจะต้องพูดเรื่องสุญญตา ซึ่งหลายคนไม่ชอบฟัง และรู้สึกว่าไม่จำเป็น ไม่ตรงกับเรื่องที่เราต้องการ แล้วผู้พูดคือผมนี่ บ้าคลั่งไปคนเดียว ที่จะพูดถึงแต่เรื่องอย่างนี้ เพราะฉะนั้นผมจึงอยากจะขอให้คุณสนใจเป็นพิเศษ อย่าเพิ่งคิดอย่างนั้น ผมไม่บ้าบอถึงอย่างนั้น คือไม่อยากให้คุณเสียเวลามากเกินกว่าที่จำเป็น แล้วก็จะพูดรวบรัดเจาะตรงลงไปยังหัวใจของเรื่องเสมอ แต่ทีนี้ไอ้เรื่องที่เป็นเรื่องจริงๆ อย่างนั้นน่ะมันถูกมองเป็นเรื่องที่ครึคระไปแล้ว ผมก็เลยงงเหมือนกันในการที่จะพูดเรื่องอะไรดี แล้วพูดอย่างไร
ในครั้งที่แล้วมา เราพูดถึงเรื่องปัญหาทางวิญญาณ คนที่ไม่เข้าใจมันก็ต้องคิดว่าเป็นเรื่องนอกเหนือจาก จากความต้องการ แล้วมันก็ไม่อาจจะเข้าใจได้ เดี๋ยวนี้ก็มาพูดเรื่องสุญญตา ถึงว่าที่จริงแล้วมันหนักยิ่งขึ้นไปอีก เพราะสุญญตานั้นเขาแปลกันว่าสูญเปล่า สูญเปล่านี้มันจะมีประโยชน์อะไร และคนหนุ่มๆ เหล่านี้ก็ไม่ต้องการจะให้ใครมาสอนเรื่องสูญเปล่า หรือมายัดเยียดเรื่องสูญเปล่าให้ ผมก็รู้ข้อนี้ดี แต่ก็ยังจะพูดเรื่องสุญญตาอยู่นั่นเอง ขอให้อดทนทำความเข้าใจกันสักหน่อย ถ้าเข้าใจได้แล้วก็จะวิ่งเข้าหาจุดหัวใจของพุทธศาสนาได้โดยง่าย ทีนี้ถ้าไม่เข้าใจและทนไม่ได้ องค์นั้นจะต้องวิ่งกลับกรุงเทพ ทนไม่ไหว ทนไม่ได้สักสองสามครั้ง ลองสังเกตดูให้ดี ถ้าองค์ไหนทนได้องค์นั้นจะวิ่งเข้าหาจุดศูนย์กลางหัวใจพุทธศาสนา องค์ไหนเข้าใจไม่ได้ทนไม่ได้ต้องวิ่งกลับกรุงเทพในวันสองวันนี้ คุณลองทบทวนความคิดกันใหม่ ว่าคุณบวชชั่วระยะปิดภาคนี้หรือชั่วระยะอะไรก็ตาม เพื่อจะศึกษาธรรมะให้เป็นพิเศษให้มากเท่าที่จะมากได้ ข้อนี้ถูกต้องอย่างยิ่ง แต่ทีนี้มันยากอยู่ที่ว่าอะไรล่ะที่ว่าพิเศษที่ควรจะศึกษาให้มาก อย่างที่จะมากได้
ดังนั้นผมจึงตั้งปัญหาขึ้นก่อนในการบรรยายครั้งแรกที่สุดว่า พุทธศาสนาจะมีอะไรให้พวกคุณ ลองทบทวนดูสิว่าผมได้พูดว่าอย่างไร ถ้าพุทธศาสนาแท้ๆ ก็มุ่งจะแก้ปัญหาทางวิญญานคือทางสติปัญญา ด้วยกันเหมือนกับศาสนาอื่นๆ ในอินเดียในครั้งพุทธกาล ทีนี้เรื่องของฆราวาสนั้นมันเป็นพุทธศาสนาพลอยได้ ไม่ใช่พระพุทธองค์ทรงเจตนาจะตรัสหรือจะสอน จะประกาศเรื่องอย่างนั้น ท่านประกาศพรหมจรรย์ มีความงามเบื้องต้น ท่ามกลาง เบื้องปลาย ก็จริง แต่คำว่าเบื้องต้น ไม่ใช่เรื่องของฆราวาสเหมือนอย่างที่ฆราวาสเขาต้องการกันอยู่ มันเป็นเพียงการแก้ปัญหาทางวิญญาณของพวกฆราวาส นี่งามเบื้องต้น ที่งามในท่ามกลางก็แก้ปัญหาทางวิญญาณของฆราวาสที่กระหายจะปฏิบัติไต่ขึ้นไปสู่โลกุตรภูมิ ถ้ามันงามเบื้องปลายก็คือของบรรพชิตโดยตรงที่กำลังปฏิบัติเพื่อบรรลุโลกุตรภูมิอยู่ เพราะฉะนั้นจึงพยายามบอกให้ทราบว่าไอ้ตัวศาสนาแท้ๆ นั้นต้องการจะแก้ปัญหาทางวิญญาณ แม้แต่เนื่องลงมาถึงฆราวาสก็ต้องเป็นปัญหาทางวิญญาณอีกเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าอยู่ที่บ้านที่เรือนแล้วก็จะมีปัญหาแต่เรื่องโลกไปหมด หรือว่าในโลก ในปัญหาเรื่องโลกน่ะมันยังมีส่วนที่ต้องแก้ด้วยความรู้ในทางวิญญาณ อย่างเด็กมันร้องไห้ จะเอาขนมยัดปากให้มันนิ่ง อย่างนี้ไม่ใช่แก้ปัญหาทางวิญญาณ แต่ถ้าพูดจาให้เขาเข้าใจรู้สึกสำนึกอะไรได้ แล้วเขานิ่งนี่แหล่ะมันจะเป็นการแก้ปัญหาทางวิญญาณ หมายถึงว่าไอ้เรื่องที่มันมีเหตุผลหรือเรื่องมันฉลาด ทำให้เขานิ่งได้
ถ้าพิจารณาแล้วก็พอจะแยกกันได้ว่าอะไรเป็นเรื่องทางโลกๆ เรื่องของชาวบ้าน เรื่องธรรมดาสามัญที่สุด เป็นเรื่องศีลธรรม เป็นเรื่องสังคม ก็เป็นเรื่องที่สูงไปกว่านั้น คือมนุษย์ผู้ต้องการจะแก้ปัญหาทางจิตใจแม้อยู่ในบ้านเรือน กระทั่งว่าผู้ที่เขาออกบวชจากเรือน อยากจะบรรลุโลกุตรภูมิโดยเร็ว ทีนี้พวกคุณเองน่ะอยู่ในพวกไหน ควรจะเหลือบตามองดูด้วย มันจะได้ประยุกต์กันได้กับสิ่งที่จะศึกษา ถ้าเป็นเรื่องอาชีพคุณก็เรียนกันอย่างเต็มที่ มันแก้ปัญหาทางวิญญาณไม่ได้ มันจะแก้ปัญหาเพียงว่าจะให้มีปัจจัยเรื่องเป็นอยู่อาศัยรอดชีวิตอยู่ได้ แต่ที่นี้เมื่อเรากำลังประกอบอาชีพอยู่ หรือแม้กำลังศึกษาอยู่ก็ดี มันเกิดปัญหาบางอย่างขึ้นที่ทำให้เป็นทุกข์ ซึ่งแก้ไม่ได้ด้วยเงิน แก้ไม่ได้ด้วยเพื่อนฝูง หรือด้วยอำนาจวาสนาอะไรก็ตาม นี่มันจะต้องแก้ด้วยความรู้ในทางวิญญาณ เพราะฉะนั้นขอให้ตั้งใจฟังแล้วก็แยกแยะออกไปให้มันชัดเจนออกไป ก็เป็นความรู้สำหรับจะแก้ปัญหาทางวิญญาณ แล้วก็รวบรวมไว้ สะสมไว้ ให้มากขึ้น มากขึ้น ไปใช้แก้ปัญหาในทางวิญญาณตลอดไป
อย่างว่าสึกออกไปเรียนต่อแล้วก็ประกอบอาชีพ ซึ่งมันเป็นระยะยาว มันก็ไปทำหน้าที่ยากขึ้นไป เป็นผู้บังคับบัญชาผู้อื่น เป็นผู้นำผู้อื่น รับผิดชอบมากขึ้นปัญหามันก็มากขึ้น ความรู้ความสามารถที่จะแก้ปัญหาในหน้าที่การงานนั้นมันก็เป็นเรื่องนั้นหรือฝ่ายนั้นโดยเฉพาะ ไม่เกี่ยวกับพุทธศาสนา แต่ทีนี้ในขณะที่เราปฏิบัติอย่างนั้นอยู่มันเกิดปัญหาทางจิตใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือไม่มีอะไรเป็นไปตามที่เราต้องการ อย่างนี้มันเป็นธรรมดาในโลกนี้ จะไม่มีอะไรเป็นไปตามที่เราต้องการ เราต้องต่อสู้ ต้องพยายามแก้ไขอย่างมาก มันจึงจะค่อยๆ เป็นไปตามที่เราต้องการ เราต้องฉลาดมากพอ มันจึงจะเป็นไปได้ตามที่ต้องการมากยิ่งขึ้น นี่เราก็ทนไม่ได้เสียตั้งแต่ทีแรก พอผิดหวังทีแรกหรืออะไรไม่เป็นไปตามประสงค์ทีแรก มันก็กลัดกลุ้ม
นี่คือปัญหาทางวิญญาณที่จะเกิดขึ้นในการประกอบการงานของพวกฆราวาส ถ้าใครแก้มันได้ปลดเปลื้องออกไปได้เขาก็จะมีความสามารถมีความสดชื่นแจ่มใส มีสติปัญญามีกำลังสำหรับจะปฏิบัติหน้าที่ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ประสบความสำเร็จอย่างถูกต้อง ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วมันก็ไม่ประสบความสำเร็จ เมื่อความจำเป็นบังคับหนักเข้า เขาก็ต้องคดโกง อย่างที่เราเรียกว่า คอรัปชั่น แม้ว่าคอรัปชั่นส่วนมากจะทำไปด้วยความคิดที่เลว ความมีจิตทรามของบุคคลนั้น มันก็มีมูลเหตุมาแต่ปัญหาทางวิญญาณด้วยเหมือนกัน มันก็จะมีจิตทรามโดยกำเนิด มันก็มีปัญหาทางวิญญาณ หรือเขาทนไม่ได้ทีหลังเพิ่งจะมีจิตทราม มันก็เป็นเรื่องปัญหาทางวิญญาณทางฝ่ายสติปัญญา
เราจึงหวังที่จะได้ความรู้จากพระพุทธเจ้ามาแก้ไขปัญหาเหล่านี้ แม้สำหรับพวกฆราวาส แล้วความรู้ที่พระพุทธเจ้าท่านยื่นให้เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ของพวกฆราวาสนั่น กลับเป็นเรื่องสุญญตา มีพระพุทธภาษิตยืนยันชัดเจนอยู่อย่างนี้ ทีนี้คนมันไม่เข้าใจเรื่องสุญญตา มันก็ไม่เอา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนสมัยนี้หล่ะจะไม่เข้าใจว่าเรื่องสุญญตาจะแก้ปัญหาของฆราวาสได้อย่างไร แต่ข้อเท็จจริงมันก็เปลี่ยนไม่ได้เพราะว่าปัญหานั้นมันจะต้องแก้ด้วยความรู้เรื่องสุญญตาจริงๆ หรืออย่างน้อยความรู้ที่มันเป็นความรู้เนื่องกันอยู่กับเรื่องสุญญตา นี่เราจึงต้องพูดกันเรื่องถึงเรื่องสุญญตา คำว่าธรรมที่จะแก้ปัญหาทางวิญญาณได้ทุกเรื่องจะต้องเนื่องด้วยเรื่องสุญญตา ไม่เข้าใจก็จำไว้ก่อน เพราะความรู้ที่จะแก้ปัญหาทางวิญญาณได้ต้องเป็นเรื่องสุญญตา แม้ที่เป็นของพวกฆราวาสโดยตรง
ผมจึงตั้งหัวข้อขึ้นมาว่า สุญญตาแก้ปัญหาแม้ของฆราวาส มิได้หมายความว่าสำหรับผู้ที่จะบรรลุนิพพานอย่างเดียว แม้ผู้ที่จะอยู่ในบ้านเรือนในโลกนี้อย่างฆราวาสก็ต้องอาศัยความรู้เรื่องสุญญตา ถ้าใครเข้าใจเรื่องนี้ก็คงไม่หาว่าผมบ้าบออะไร ไอ้การที่จะเอาเรื่องสุญญตาสูงสุดมาพูดกับคนหนุ่มๆ อย่างพวกคุณ
สรุปว่าเรื่องสุญญตานี้มันจะแก้ปัญหาทุกระดับแม้ในเรื่องฆราวาส ขอร้องว่าอย่าหัวเราะเยาะคำเหล่านี้อีกต่อไป คือคำว่าทางวิญญาณก็ดี คำว่าสุญญตาก็ดี อย่าหัวเราะเยาะ อย่าเกลียด ปัจจุบันนี้พูดได้ว่ามันกำลังเป็นโชคร้ายของสุญญตา สุญญตาตกอยู่ในฐานะถูกหัวเราะเยาะ ถูกเกลียดชัง ไม่อยากสนใจ เห็นว่าเป็นอันตรายต่อความเจริญก้าวหน้าของคนหนุ่ม พวกที่เป็นครูบาอาจารย์อ้างตัวเองเป็นนักปราชญ์ที่มีอยู่มากมายในกรุงเทพ ก็ยังพูดอย่างนี้ ว่าเอาเรื่องโลกุตระมาสอนคนหนุ่มๆ คนหนุ่มๆ ก็ไม่ก้าวหน้าและเป็นอันตรายแก่ความเจริญของเขา พวกเหล่านี้ เขากล่าวให้ผมเป็นคนบ้า บ้าที่จะพูดเรื่องสุญญตาหรือเรื่องโลกุตระ ผมก็ทำอย่างอื่นไม่ได้เมื่อข้อเท็จจริงมันมีอยู่อย่างนี้ ก็ได้แต่ขอร้องว่าอย่าเพิ่งหัวเราะเยาะเรื่องสุญญตาหรืออะไรทำนองนี้ ควรจะสนใจศึกษาดูต่อไปก่อน การที่เกลียดชังเรื่องอนัตตา เรื่องสุญญตา เรื่องโลกุตระนี้ มันเพิ่งเป็น เมื่อไปมัวเมาในเรื่องทางวัตถุมากขึ้น
ฉะนั้นผมจึงถือว่าการที่เกลียดชังเรื่องอย่างนี้ มันเป็นจิตทรามของพุทธบริษัทแห่งยุคปัจจุบัน ทำไมต้องใช้คำว่าพุทธบริษัทล่ะ เพราะพุทธบริษัทส่วนมากแหล่ะ อุบาสก อุบาสิกา พระเณร นี่ก็เกลียดเรื่องสุญญตา อุบาสก อุบาสิกา รุ่นแก่ๆ นั้นไม่ถึงกับเกลียดหรอก แต่ก็รับเอาไว้ทั้งที่ไม่รู้ว่าอะไร แต่รุ่นเด็กๆ หนุ่มสาวนี่ล้วนแต่เกลียดเรื่องนี้ พระเณรก็ไม่ดีไปกว่าคนหนุ่มคนสาวเหล่านั้น มันก็เลยเกลียดเรื่องสุญญตาด้วยเหมือนกัน ต้องถือว่ามีจิตทรามด้วยกันทั้งนั้น เป็นอันว่าเราก็จะพูดกันถึงเรื่องสุญญตาให้เป็นข้อเท็จจริงกันเสียที ในวันนี้จึงได้พูดถึงเรื่องสุญญตา
เอ้า, เราจะตั้งปัญหาขึ้นมาว่าสุญญตานั่นคืออะไร คำๆ นี้แปลว่า ว่าง ไม่ได้แปลว่าสูญเปล่าอย่างที่บางคนเขาแปล ถ้าคำว่าสุญญตาแปลว่าสูญเปล่า พระพุทธเจ้าก็จะไม่ตรัสว่าเรื่องสุญญตานี้เป็นเรื่องเป็นประโยชน์ที่สุดแก่พวกฆราวาสทั้งหลาย ทีนี้มีคนที่เป็นครูบาอาจารย์มีเกียรติยศมีอะไรชั้นสูงแหล่ะ ไม่ได้ศึกษาเรื่องนี้แล้วก็เหมาๆ เอาว่าสุญญตานั่นคือสูญเปล่า ก็เอามาสอนลูกศิษย์ไม่ให้สนใจเรื่องสุญญตาแล้วด่าผมด้วย ว่าเอาเรื่องสูญเปล่าอะไรมาสอนคนหนุ่มทั้งหลายที่จะเป็นกำลังของประเทศชาติ
สุญญตามันแปลว่า ว่าง ถ้าเป็นภาษาไทย แต่เป็นภาษาบาลีถอดออกมาตรงๆ สุญญ มันก็แปลว่า สูญ แต่คำว่าสูญมันไม่ได้แปลว่า สูญเปล่า เสียเปล่า ไม่มีประโยชน์อะไร มันแปลว่าว่าง ทีนี้ว่างจากอะไร ก็ว่างจากความเป็นตัวเป็นตนอันแท้จริง ถ้าอย่างนั้นมันเป็นอะไร มันเป็นสิ่งที่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยตามธรรมชาติ ไม่มีส่วนไหนไม่มีคุณค่าอันไหนที่จะมาเป็นตัวหรือเป็นตนให้แก่ใครได้ ดังนั้นเราต้องรู้จักไอ้ความที่มันเป็นอย่างนั้น อย่าได้ทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาเพราะหมายมั่นจะให้มันเป็นตัวเป็นตนและก็มาเป็นของเราด้วย ความรู้ผิดๆ ทำให้เกิดหมายมั่นเป็นตัวกูเป็นของกู นั่นแหล่ะยิ่งว่างที่สุด ในตัวกูในของกูนั่นแหล่ะ มันเป็นความว่างจากตัวกูของกูที่สุด แต่คนนั้นมันโง่ไปเอง เพราะสำคัญให้เป็นตัวกูเป็นของกู
สรุปความว่าคำว่า สุญญตา แปลว่า ความว่าง ว่างจากความหมาย หรือคุณค่าหรืออะไรก็ตามที่จะเป็นตัวเป็นตนได้ หรือจะเป็นของของตนได้ มันเป็นไม่ได้ เป็นตัวตนก็ไม่ได้ เป็นของตนก็ไม่ได้ แม้ร่างกายนี้ แม้จิตใจนี้มันเป็นไปตามเรื่องของมัน คือเป็นไปตามกฏของธรรมชาติ ตามปัจจัยของธรรมชาติ แต่มันรู้สึกคิดนึกได้ และมันรู้สึกผิดๆ ว่าตัวกูว่าของกู ถ้าโง่ว่าตัวกูอะไรจะเกิดขึ้น คุณก็ค่อยศึกษาไป ยังอีกนาน ถ้าไม่โง่ว่าตัวกูว่าของกูอะไรมันจะเกิดขึ้น ก็ค่อยศึกษาต่อไปอีก ฉะนั้นให้รู้ว่าคำว่า สุญญตา แปลว่า ความว่าง ว่างจากตัวตน ว่างจากของตน
ถ้าจิตมันมีความรู้อย่างนี้อยู่อย่างเต็มที่ จิตนั้นมันก็ไม่โง่ไปเที่ยวจับฉวยเอานั่นนี่เป็นตัวตนของตน มันเป็นจิตที่เป็นอิสระเต็มอยู่ด้วยความรู้ อย่างนี้เราเรียกว่าจิตว่าง คือจิตมีสุญญตา จิตมีความรู้เรื่องสุญญตา นั่นแหล่ะคือจิตที่ว่าง ไม่ไปติดกับติดบ่วง ไม่ไปจับฉวยกอดรัดยึดถืออะไรเอาไว้ว่าตัวตนหรือของตน จิตที่กำลังเป็นอย่างนั้นเราเรียกว่ามีจิตว่าง ส่วนมากเราก็อยู่ด้วยจิตว่าง ต่อเมื่อมีอะไรมากระทบ มายั่ว มาสัมผัสด้วย แล้วเกิดความรักความโกรธความเกลียดความกลัวขึ้นไปตามนั้น นั่นเราเรียกว่ามันโง่ มันไม่ว่างไปพักหนึ่ง แล้วมันก็เป็นทุกข์ด้วย จนกว่ามันจะสิ้นอำนาจแล้วมันว่างไป
ทีนี้จิตว่างคือจิตในขณะที่ไม่ได้ติดยึดจับฉวยอะไร เป็นไปตามธรรมชาติก็ได้ แต่ถ้าเป็นไปโดยการศึกษาฝึกฝน เช่นทำกรรมฐานวิปัสนาอะไรก็ตาม ทำให้จิตไม่จับฉวยอะไรอีกต่อไป นี่เป็นจิตว่างที่ถาวร ที่มันว่างเองอย่างที่เราเป็นๆ กันอยู่นี้มันว่างไปตามลมตามน้ำ ไม่มีอะไรมากวนก็ว่างอยู่ พอมีอะไรมากวนก็จับฉวยทันที ก็ว่างๆ วุ่นๆ สลับกันไป ถ้าปฏิบัติธรรมะสูงสุดได้ ก็ว่างตลอดกาล เกี่ยวข้องแตะต้องกับทุกสิ่งทุกอย่างด้วยจิตที่ว่าง เหมือนพระอรหันต์ นี่สุญญตาคือความว่าง จิตใดกำลังมีความรู้อันนั้น หรือความรู้สึกอันนั้นก็เป็นจิตว่างแบบถาวรก็ได้ แบบชั่วครู่ ชั่วขณะก็ได้
ทีนี้ท่านยังสอนให้ดูโลกนี้ ว่ามันเป็นโลกว่าง เพราะมันมีความว่าง โลกนี้ว่างจากตัวตน ว่างจากของตน ทุกอย่างในโลก รูปธรรมก็ดี นามธรรมก็ดี ทุกอย่างที่มนุษย์รู้จักก็แล้วกัน มันว่างจากสาระเป็นตัวตนหรือเป็นของตน แต่คนจะคิดว่าไม่ว่าง จะคิดว่าเป็นตัวเป็นตนที่รักใคร่พอใจหวงแหนสูงสุดก็ได้ ใครจะว่าใครได้ เพราะมันจิตของคนนั้นคิดนึกรู้สึกเอา
นั้นจิตของคนพวกที่ยังจะต้องมีตัวตนอย่างนี้ ก็คือปุถุชนทั่วไป ไม่มีใครว่า เป็นไปตามธรรมดา แต่ว่าเขาจะต้องมีระบอบสำหรับปฏิบัติให้ถูกต้อง อย่าให้มันเป็นทุกข์มากเกินไป เดี๋ยวจะเป็นบ้าหรือตาย เพราะฉะนั้นเขาจึงมีศีลธรรมสอนไอ้พวกคนที่ยังมีตัวตนนี้ไว้ระบบหนึ่ง ให้ปฏิบัติไปให้เจริญไปตามแบบของผู้ที่มีตัวตน หลงรักหลงใคร่ในทรัพย์สมบัติเกียรติยศชื่อเสียงอะไรต่างๆ ก็ได้เหมือนกัน แต่มันยังมีทุกข์อยู่แบบหนึ่งตามแบบของคนที่มีตัวตน ถ้าจะไม่ทุกข์เลยมันก็ต้องเลื่อนขึ้นมาถึงระดับที่ไม่ต้องมีตัวตน จิตรู้ว่าอะไรมันเป็นอย่างไร ธรรมชาติเป็นอย่างไร เหตุปัจจัยเป็นอย่างไรก็ปล่อยไป เราก็ไม่ต้องเป็นทุกข์เท่านั้น เราจะกินจะใช้จะอยู่ในโลกนี้หรือจะทำอะไรก็ได้โดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ ไม่ใช่ว่าไม่มีตัวตนแล้วจะทำอะไรไม่ได้ ก็ทำได้อย่างฉลาดโดยที่ไม่ต้องมีตัวตน มีเงินมากมายก็ไม่ต้องมาสุมอยู่บนศีรษะผู้นั้นด้วยความวิตกกังวล แม้ไปฝากไว้ในธนาคารที่มั่นคงแล้วมันก็ยังมาสุมอยู่บนศีรษะคนนั้น เพราะความวิตกกังวลเพราะความยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้ เพราะมันมีความยึดมั่นว่าตัวตนมันปลงออกไปไม่ได้ มันเป็นธรรมดา ถ้ามีความรู้เพียงพอมันก็ไม่มาอยู่บนศรีษะ ทุกอย่างก็ไม่มาอยู่บนศรีษะ ไม่มาหนักอยู่บนจิตใจ เพราะไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นนั่นเอง กลับทำอะไรได้ดีแล้วก็ไม่มีความทุกข์ ยังแถมสนุก พอรู้สึกว่าไม่มีกำไรไม่มีขาดทุน ไม่มีความได้ ไม่มีความเสีย ไม่มีความตาย ไม่มีความอยู่ มันไม่มีอะไรที่จะต้องหนักอกหนักใจ ก็ทำไปอย่างสนุก จิตชนิดนี้ทำอะไรไม่ผิด เพราะมันตรงตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ ไม่หลงไหลอย่างที่เขาหลงใหลกันซึ่งมันผิดกฎของธรรมชาติ
นี่ขอให้มอง สอนให้มองโลกว่ามันเป็นอย่างนี้ อย่าไปรักโลก ยึดถือโลก กอดรัดโลกเอามาเป็นของตน บอกให้รู้ว่าโลกมันว่าง ว่างจากส่วนที่ใครๆ จะไปหมายมั่นเอามาเป็นของตน นี่คำว่าว่างมันมีความหมายอย่างนี้ ขอให้คุณจำคำสามคำไว้สำหรับช่วยให้เข้าใจได้ง่าย ว่าความว่างคำหนึ่ง จิตว่างคำหนึ่ง โลกว่างนี่ก็อีกคำหนึ่ง แล้วแต่จะเอาคำไหนมาก่อนมาหลังอย่างไรไปคิดทบทวน ในแนวคิดบางอย่าง
ไอ้โลกว่างนี่มันจะมาก่อน เห็นโลกว่างแล้วจิตมันก็ว่าง พอจิตมันก็ว่างแล้วเกิดความว่างขึ้นในจิตใจนั้น ว่างที่สุดนั่นหล่ะจะทำให้จิตเย็นที่สุด จิตระงับที่สุดถึงขนาดที่เรียกว่าจิตบรรลุนิพพาน ไอ้ว่างที่สุดนั้นคือนิพพาน ว่างอย่างยิ่งคือนิพพาน เป็นที่หยุดเย็นของทุกสิ่ง นี่คือคำว่าสุญญตา แปลว่าความว่าง สุญญ เฉยๆ ก็แปลว่าว่าง สุญญตา แปลว่าความว่าง เป็นธรรมชาติอันแท้จริงของธรรมชาติ ว่าธรรมชาติเป็นธรรมชาติ มาเป็นตัวตนของใครไม่ได้ ว่างจากตัวตนว่างจากของตน ทั้งโลกเป็นอย่างนี้ ถ้าจิตรู้อย่างนี้จิตนั้นว่าง จิตนั้นเบาสบายเฉลียวฉลาดทำอะไรไปโดยไม่มีความทุกข์เลย
ทีนี้ก็มาถึงคำสอน คำสอนเหล่าใดเป็นไปด้วยเรื่องสุญญตา คำสอนเหล่านั้นเป็นคำสอนของตถาคต นี่พระพุทธเจ้าท่านตรัสน่ะ คำสอนเหล่าใดไม่เป็นไปในเรื่องสุญญตาคำสอนเหล่านั้นไม่ใช่คำสอนของตถาคต แต่เป็นคำกล่าวของสาวกในชั้นหลัง ด้วยความฟุ่มเฟือย ด้วยความไพเราะ ด้วยถ้อยคำ ด้วยบทประพันธ์ ด้วยการร้อยกรองอะไรต่างๆ ไปหาเรื่องสุญญตาอ่านดู มันมีรายละเอียด ในที่นี้จะบอกแต่เพียงว่าถ้าหลักคำสอนใดๆ ไม่เป็นไปในเรื่องของสุญญตานั้น ไม่ใช่คำของพระตถาคต ไม่ใช่คำของพระพุทธเจ้า ท่านตรัสอย่างนั้น คำสอนที่พระพุทธเจ้าท่านสอนทุกเรื่องต้องเป็นเรื่องสุญญตาโดยตรงหรือว่าเนื่องอยู่ด้วยสุญญตา ถ้ายังไม่เข้าใจก็จำไว้ก่อนว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าจะต้องเป็นเรื่องสุญญตาหรือที่เนื่องกันอยู่กับเรื่องสุญญตาก็ได้
นี้ก็ดูสุญญตาต่อไปดีกว่า เดี๋ยวจะเข้าใจเอง สุญญตาแปลว่า ว่าง อย่างที่พูดมาแล้ว ว่างจากอะไรก็ว่างจากตัวตนหรือของตนอย่างที่ว่ามาแล้ว จึงพูดว่าเรื่องสุญญตานั้นก็คือเรื่องที่ไม่เป็นตัวตนหรือเป็นของตน แล้วก็บอกให้เห็นว่าเป็นเพียงปฏิจจสมุปบาท เอ้า, คำนี้ก็แปลก พอได้ยินคำนี้ก็งงขึ้นมาอีก มันไม่มีตัวตนมันไม่มีของตนมันเป็นเพียงเรื่องปฏิจจสมุปบาท คำนี้ก็แปลกผมก็ยอมรับว่าแปลกสำหรับสมัยนี้ เพราะพอเริ่มเอามาพูดก็ถูกหาว่าเอาเรื่องที่ไม่จำเป็นหรือเกินจำเป็นหรือไม่เหมาะแก่สมัยมาพูดอีกเหมือนกัน หลายปีมาแล้ว ตั้งแต่ครั้งไปบรรยายอบรมผู้พิพากษารุ่นแรกๆ โน้น ก็จะทำอย่างไรได้ล่ะ มันไม่มีทางอื่นนอกจากทำความเข้าใจเรื่องปฏิจจสมุปบาทกันเสียนั่นเอง
ปฏิจจสมุปบาท แปลว่า อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น คุณเขียนคำแปลลงไปสิว่า ปฏิจจสมุปบาท แปลว่า อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น ถ้าคุณพูดเรื่องนี้ซ้ำกันอยู่เรื่อยร้อยครั้งพันครั้งหมื่นครั้ง นั่นแหล่ะคือความจริงของสิ่งทั้งปวงในสากลจักรวาล อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น คือมันมีอะไรอาศัยกันแล้วเกิดขึ้น แล้วสิ่งนั้นแหล่ะก็เป็นที่อาศัยของสิ่งอื่นต่อไปแล้วเกิดขึ้นแล้วเกิดขึ้น จะดูในแง่ของรูปธรรมก็ได้ อาศัยดินฟ้าอากาศ ก็เกิดพืชพรรณธัญญาหารขึ้นมา อาศัยพืชพรรณธัญญาหารก็เกิดสัตว์ขึ้นมา มีสัตว์ขึ้นมาก็เกิดมนุษย์ขึ้นมา หรืออาศัยสัตว์นั้นเป็นอาหารตั้งอยู่ได้ อย่างนี้ไม่ต้องพูดหรอกเพราะคุณก็เคยเรียนวิทยาศาสตร์แบบนี้มาแล้ว และไม่มีอะไรที่ไม่เป็นไปตามกฏนี้ นี่เป็นเรื่องวัตถุภายนอก พุทธศาสนาไม่ต้องการจะพูดเรื่องนี้โดยตรง แต่ว่ากฏของพุทธศาสนากินความมาถึงเรื่องนี้ด้วย คือคำว่าปฏิจจสมุปบาทนั่นหล่ะ อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น นั่งว่าสักร้อยครั้งพันครั้งสิ จะเข้าใจเรื่องนี้ทันที แล้วจะมาเห็นว่า อ้าว, มันมีไปทุกแห่งทุกหนกระทั่งในตัวเราในเลือดในเนื้อของเราในความรู้สึกคิดนึกของเราเต็มไปด้วยสิ่งที่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท
ฉะนั้นคนที่หาว่าเอาเรื่องปฏิจจสมุปบาทมาพูดเป็นเรื่องพ้นสมัย คนนั้นน่ะคือคนที่โง่ที่สุด เพราะว่าเมื่อเราเอาเรื่องที่จริงแท้และอยู่ในตัวเราแท้ๆ ทุกวันทุกวินาทีมาพูดนี่กลับถูกหาว่าเป็นคนโง่ ไอ้คนที่หาว่าคนนี้โง่คนนั้นคือโง่กว่า นี่ผมอยู่ในสถานะอย่างนี้ คือผมอยู่ในสถานะที่ต้องบอกว่าให้ดูเถอะปฏิจจสมุปบาท ที่มีอยู่ทุกกระเบียดนิ้วทุกวินาทีในตัวเราในชีวิตของเรา นี่ผมเป็นอย่างไรคุณก็จะมอง ถ้ามีใครมาบอกว่าเอาเรื่องนี้มาพูดมันโง่เพราะมันพ้นสมัย ผมก็ต้องบอกว่าไอ้คนที่ว่าผมโง่นั่นหล่ะคือคนที่โง่กว่า คุณก็จับก็จำเอาข้อนี้ไปด้วย เผื่อว่าคุณจะไปพูดแล้วจะมีคนว่าโง่ แล้วคุณจะรู้สึกว่าคนที่ว่านั่นมันโง่กว่า
ตัวเราที่ส่วนที่เป็นร่างกาย มันก็มีความเป็นปฏิจจสมุปบาท เลือดเนื้อหนังกระดูกนี่มาจากอะไร มันมาจากไอ้ทยอยๆๆๆกันมา เพราะอาศัยสิ่งแล้วนี้จึงมีขึ้น อาศัยสิ่งนี้จึงมีขึ้น เช่นว่าเรากินอาหารเข้าไปอย่างนี้ มันก็มีสิ่งนี้ แล้วอาหารมันมาจากอะไร มาจากเนื้อสัตว์ มาจากพืชผักมาจากแป้งข้าว แล้วเหล่านั้นมาจากอะไร เหล่านั้นมาจากอะไร นี่พูดทวนกลับถอยหลังออกไป ถ้าพูดเข้ามา มันก็พูดมาถึงสิ่งแรกแหล่ะ มีดินน้ำลมไฟ มีอุณหภูมิ มีอะไรต่างๆ เกิดเป็นธาตุนั้นธาตุนี้ เป็นผักเป็นหญ้าเป็นปลาเป็นเนื้อ ซึ่งได้อาศัยมาจนกระทั่งมาเป็นร่างกายของคนคนหนึ่ง นี่ก็เป็นที่ตั้งของไอ้จิตใจซึ่งเป็นธาตุ เป็น ธา ตุ เป็นธาตุอีกชนิดหนึ่งไห้ทำหน้าที่ของมัน
ทีนี้จะมาถึงเรื่องพุทธศาสนาที่พูดถึงปฏิจจสมุปบาท เดี๋ยวนี้เรามี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ละอย่างละอย่างนั้นมันอาศัยเรื่องทางวัตถุ อาศัยสิ่งนี้แล้วเกิดขึ้น อาศัยสิ่งนั้นแล้วเกิดขึ้น จนมามี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ข้างนอกก็มี รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ที่จะมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ยกตัวอย่างในกรณีของตา ตาเห็นรูป เพราะตาเห็นรูป เพราะตากระทบกับรูปดีกว่า ก็เกิดจักษุวิญญาน คือการเห็นทางตา เพราะมีการเห็นทางตา มีตามีรูปนี่แหล่ะจึงเกิดสิ่งที่เรียกว่าผัสสะหรือสัมผัส พอมีสัมผัสจึงมีเวทนา รู้สึก เป็นความรู้สึกที่พอใจหรือไม่พอใจ หรือกลางๆ อยู่ นี่ผัสสะทำให้เกิดเวทนา หรือเวทนาเกิดมาจากผัสสะ ทีนี้พอมีเวทนาก็เกิดตัณหาคือความอยากไปตามรสของเวทนา ไปตามความหมายของเวทนา ถ้าเวทนาถูกใจก็อยากได้ ถ้าเวทนาไม่ถูกใจก็อยากทำลาย หรือว่าอยากเป็นนั่นเป็นนี่ไปตามอำนาจของเวทนา
ความอยากนี้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ธรรมดา เพราะมันมีเวทนาไปกระทบเข้ากับสิ่งที่มันรู้สึกได้ แต่พอความอยากนี้เกิดขึ้นในจิตแล้ว ก็เกิดความรู้สึกต่อไป ที่เรียกว่าความยึดมั่นถือมั่นคือ อุปาทาน ตัณหาเกิดแล้วจึงเกิดอุปาทาน ตรงนี้คุณจะจำไว้อย่างน่าหัวเราะเยาะก็ได้ เพราะคุณจะต้องหัวเราะเยาะเป็นแน่นอน ในเมื่อถือตามหลักนี้แล้วก็มันต้องพูดว่า ความอยากมันเกิดขึ้นก่อนแล้วจึงเกิดตัวผู้อยาก ความรู้อย่างที่คุณเรียนมามันคงจะพูดว่านี่มันบ้าบออะไรกัน ความอยากเกิดแล้วจึงเกิดตัวคนผู้อยาก เพราะเรามันเรียน มองหรือรู้กันแต่ในด้านวัตถุ ต้องมีตัวคนกระทำ แล้วจึงจะมีการกระทำ แต่นี้มันกลับกัน มีการกระทำก่อนแล้วจึงมีตัวผู้กระทำ มันมีความอยากเกิดขึ้นในจิตเท่านั้น แล้วมันจึงเกิดความรู้สึกที่กูเป็นผู้อยาก มันเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจะถือหลักเกณฑ์อันเดียวกันกับที่อยู่ก่อนนั้นคงไม่ได้ สำหรับศึกษาเรื่องพระพุทธศาสนานี้ ความรู้สึกว่าตัณหาความอยากเกิดขึ้นแล้วก็เกิดความรู้สึกอุปาทานคือเรา หรือของเรา อยาก เราอยาก อยากมาเป็นของเรา แล้วจึงจะเกิดภพหรือชาติ คือความเกิดเป็นตัวเราที่สมบูรณ์นั่นหล่ะ แล้วเรามันเกิดเป็นเราขึ้นทุกที ที่มันมีเรื่องอย่างนี้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย วันหนึ่งเกิดหลายหนหลายสิบหนก็ได้ นี่คือความเกิดตามแบบปฏิจจสมุปบาท แล้วก็เป็นทุกข์ทุกที เพราะว่าเกิดเราของเราทีไรเป็นหนักอกหนักใจทุกที
ฉะนั้นพูดได้เลยว่าเกิดทุกทีเป็นทุกข์ทุกที นี่แหล่ะเรื่องปฏิจจสมุปบาท พูดทำไมเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท พูดให้รู้ว่าไม่มีอะไรเป็นตัวตนที่แท้จริง มีแต่ร่างกายคือรูป กับนามคือจิต ทำหน้าที่มีพฤติ หรือกรรมวิธีไปตามแบบของมันตามธรรมชาติ เกิด ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ ชาติ แล้วก็เป็นรูป ส่วนที่เป็นร่างกายนี้ก็ไม่ใช่ตัวตนอะไร ส่วนที่เป็นจิตคิดนึกได้ก็ไม่ใช่ตัวตนอะไร ถ้าเกิดความรู้สึกเป็นเวทนา ตัณหา อุปาทานอะไรก็ล้วนแต่เป็นปฏิกิริยาหนึ่งๆ แห่งการกระทำของไอ้สิ่งที่เรียกว่าร่างกายหรือจิต เลยไม่ต้องมีตัวตนอะไร ว่างจากตัวตน ความว่างจากตัวตนนี้เป็นสุญญตา เพราะฉะนั้นความรู้เรื่องสุญญตาก็คือบอกให้รู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท ว่าเป็นเพียงกระแสผลักดันกันตามแบบของธรรมชาติ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ฉะนั้นเรื่องสุญญตาคือเรื่องปฏิจจสมุปบาท หรือเรื่องปฏิจจสมุปบาทนั่นแหล่ะคือเรื่องที่บอกรู้ว่ามันเป็นสุญญตากันอย่างไร
ผมต้องขอย้ำเตือนไว้เสมอว่า มันคงต้องให้ผู้ฟังต้องอดทนมาก ที่ฟังเรื่องที่มันไม่เคยฟังหรือมันหนักหัว แต่ก็ขอให้ทนไปพลางมันจะประหยัดเวลาได้มาก คือไม่ต้องพูดกันกี่ครั้งจะเข้าถึงหัวใจของพุทธศาสนา ธรรมะที่เกี่ยวกับสุญญตา คือเรื่องปฏิจจสมุปบาท ทีนี้ธรรมะที่เกี่ยวกับสุญญตานั่นเป็นธรรมะที่แสดงนิพพาน ระวังให้ดีอย่าให้ปนกันยุ่ง ธรรมะเรื่องสุญญตาบอกให้เห็นชี้ให้เห็นแสดงให้เห็นว่าว่าง ว่างจากตัวตน ความว่างจากตัวตนนั่นแหล่ะสำคัญ เข้ามาถึงจิตเมื่อไร จิตเข้าถึงอันนี้เมื่อไร จิตนั้นบรรลุนิพพาน นิพพานว่างอย่างยิ่ง นิพพานนั่นว่างจากกิเลส ว่างจากความทุกข์ ว่างจากตัวตน ว่างจากของตน ว่างจากอะไรหมด ฉะนั้นไอ้ตัวสุญญตานั่นแหล่ะมันก็เป็นนิพพานอยู่ในความหมายหนึ่ง อย่าใช้คำว่านิพพานดีกว่า จะเข้าใจง่ายขึ้น ทีนี้เมื่อใดจิตมันว่างจากความหมายมั่นเป็นตัวตนเมื่อนั่นจิตมันเย็น เย็นตามความหมายทางวิญญานนะ ไม่ใช่ความหมายทางวัตถุทางคำพูดสามัญ เมื่อใดจิตมันว่าง หรือถึงความว่างจากความไม่มีตัวตน คือจิตไม่มีอวิชชา ไม่โง่ ไม่หลง ไม่อะไรอีกต่อไป มันถึงสุญญตาคือความว่าง เพราะฉะนั้นจิตมันเย็น ทีนี้ความที่จิตมันเย็นแท้ เย็นจริง เย็นถึงที่สุด เย็นตลอดกาล ความเป็นอย่างนั้นแหล่ะเขาเรียกว่านิพพาน เพราะฉะนั้นจึงเมื่อพูดอีกทางหนึ่งก็พูดว่านิพพานนั่นคือว่างอย่างยิ่ง คือสุญญตาอย่างยิ่ง นี่มันยิ่งไกลออกไป เดี๋ยวคุณก็จะมีความฉงนว่าจะมามีประโยชน์แก่ฆราวาสอย่างไร เดี๋ยวเราค่อยมาพูดกัน ทีนี้จะทิ้งใจความที่ประหลาดมหัศจรรย์อันสุดท้ายไว้ว่า ไอ้สุญญตาน่ะคือธรรมะที่จะแสดงองค์แห่งพระพุทธเจ้าพระองค์จริง นี่เกือบจะไม่ต้องพูดกันแล้วมั๊งว่าพระพุทธเจ้านี้มีหลายความหมาย หลายแบบ หลายรูปแบบที่คนรู้จักเข้าถึงยึดถือหล่ะมีหลายรูปแบบ แต่พระพุทธเจ้าชั้นสูงสุดชั้นพระองค์จริงอย่างนั้นหล่ะก็อยู่ในรูปแบบของสุญญตา เอ้าดู ฟังต่อไป เดี๋ยวก็จะค่อยๆเข้าใจ
ทีนี้ผมจะให้พวกคุณได้ยินได้ฟังไอ้หลักที่สำคัญที่มันอมความไว้มาก ที่รู้แล้วจะรู้เรื่องมาก อีกบทหนึ่งต่อไป เราจะพูดข้อใหม่นะ คือหลักเกณฑ์ที่ว่าพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม เคยได้ยินไหม ผมเชื่อว่าหลายๆองค์ หลายๆ ท่านคงจะเคยได้ยินมาแล้ว คือพระพุทธภาษิตที่ตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม แต่ว่าแม้จะเคยได้ยินมาก่อนก็คงจะไม่เข้าใจ เห็นธรรมคือเห็นพระพุทธเจ้า เห็นพระพุทธเจ้าคือเห็นธรรม คงจะงงอยู่เหมือนกัน เดี๋ยวก็คงจะเข้าใจได้ ผู้ใดเห็นธรรม
ธรรมนั้นคืออะไร พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสไว้ แต่อยากจะให้เน้นจนลืมไม่ได้กันเสียก่อน แม้จะอยู่ในรูปของตรรกะหรือของ Logic ก่อนก็ได้ เพราะคุณยังไม่เข้าใจ แต่ให้รับไว้ทีหนึ่งก่อนว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรมนะ ทีนี้จะพูดให้เลยไปเสียสักหน่อยหนึ่งว่า ถ้าอย่างนั้นแล้วผู้ใดมีธรรมผู้นั้นก็มีเรา ผู้ใดมีธรรมผู้นั้นมีพระพุทธเจ้า ผู้ใดปฏิบัติธรรมผู้นั้นปฏิบัติเรา ก็คือผู้ใดปฏิบัติธรรมผู้นั้นก็คือปฏิบัติองค์พระพุทธเจ้า นี่ให้มันเสร็จกันเสียตอนนี้ทีหนึ่งก่อน ว่าธรรมะนั้นคือเรา เรานั้นคือธรรมะ พระพุทธเจ้าท่านจะตรัสอย่างนี้
ทีนี้ท่านตรัสต่อไปว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นธรรม โดยทาง Logic คุณก็พูดได้แล้วว่า ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้าคือเรา ก็ได้ตรัสไว้ตายตัวแล้ว ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ทีนี้ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท เห็นธรรมก็คือเห็นเรา โดย Logic ก็ถือว่าผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า ทีนี้เมื่อใดคุณเห็นปฏิจจสมุปบาทเมื่อนั้นคุณเห็นพระพุทธเจ้าองค์แท้ อย่างที่พระองค์ตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา การที่เห็นองค์พระพุทธเจ้าที่เป็นมนุษย์คนหนึ่งเดินได้พูดได้อยู่ในอินเดียสมัยโน้นนั่นไม่ชื่อว่าเห็นพระพุทธเจ้า ท่านตรัสว่าต่อเมื่อเห็นธรรมจึงจะเห็นเรา เมื่อไม่เห็นธรรมแม้จะจับจีวรเราไว้ก็ไม่ชื่อว่าเห็นเรา นี่มันก็มามีหลักหล่ะ เมื่อใดเห็นธรรมเมื่อนั้นเห็นพระพุทธเจ้า เมื่อใดเห็นปฏิจจสมุปบาทเมื่อนั้นเห็นธรรม ดังนั้นเมื่อเห็นปฏิจจสมุปบาทนั่นแหล่ะคือเห็นพระพุทธเจ้า เมื่อใดคุณเห็นปฏิจจสมุปบาทเมื่อนั้นคุณเห็นพระพุทธเจ้าชนิดที่เป็นพระองค์จริง ไม่ใช่รูปแบบอย่างเนื้อหนังที่เดินอยู่เวลาโน้น หรือพระพุทธรูปอย่างสมัยนี้ หรืออะไรก็ตามที่เขาเรียกว่าเป็นพระพุทธเจ้า นั่นหล่ะ ไม่มีอะไรจริงเท่าตัวธรรม และตัวธรรมนั้นไม่มีอะไรจริงเท่าตัวปฏิจจสมุปบาท ทีนี้ดูปฏิจจสมุปบาทดูที่ไหน ไม่มีที่อื่นจะดูนอกจากดูที่ภายในคนๆนั้นเอง คนที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นๆ อยู่นี้แหล่ะ ทุกคนนี้แหล่ะ ในทุกคนนี้แหล่ะจะมีความจริงหรือสัจจะของปฏิจจสมุปบาทให้เห็น เมื่อใดเห็นสัจจะอันนี้เมื่อนั้นเห็นธรรม ซึ่งเรียกว่าเห็นพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นขอให้พยายามเห็นปฏิจจสมุปบาท ก็จะเห็นพระพุทธเจ้า เห็นปฏิจจสมุปบาทนั้นคือเห็นว่าความทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร แล้วความทุกข์ดับไปอย่างไร อย่างที่ว่ามาเมื่อตะกี้ ก็เมื่อตาเห็นรูปเป็นต้น เกิดจักษุวิญญาน ทั้งหมดนี้เรียกว่าผัสสะ เกิดเวทนา เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน เกิดภพ เกิดชาติ แล้วก็เป็นทุกข์ นี่เรียกว่าเห็นปฏิจจสมุปบาทขาขึ้น ขาที่ความทุกข์มันเกิดขึ้น ทีนี้เห็นปฏิจจสมุปบาทขาลงคือเมื่อความทุกข์มันดับไป ก็อย่างเดียวกันอีก เมื่อตาเห็นรูปเกิดจักษุวิญญาน เกิดผัสสะ เกิดเวทนา เกิดตัณหา แล้วดับตัณหาเสียได้ อุปาทานก็ดับ ภพก็ดับ ชาติก็ดับ ทุกข์ก็ดับ นี่คือขาลง เห็นปฏิจจสมุปบาทขาขึ้น ก็เมื่อทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร เห็นปฏิจจสมุปบาทขาลง ก็เมื่อทุกข์ดับลงอย่างไร แต่โดยเหตุที่ไม่เคยศึกษาเสียเลยจึงไม่เข้าใจและไม่รู้จักมอง ทีนี้อ่านหนังสือเรื่องปฏิจจสมุปบาทเสียบ้าง แล้วก็จะพบว่าไอ้ปฏิจจสมุปบาทนี้มีอยู่เป็นรอบๆ รอบๆ รอบๆ ในวันหนึ่งวันหนึ่งหลายรอบหลายสิบรอบ ตั้งแต่ตาสัมผัสอะไร หูสัมผัสอะไร จมูกสัมผัสอะไร กระทั่งว่าจิตมันคิดนึกอะไร คือเป็นเรื่องของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทำผิดทำถูกจนเกิดทุกข์หรือดับทุกข์ วันหนึ่งวันหนึ่งยุ่งไปหมด นี่คือเห็นปฏิจจสมุปบาท
สรุปความแล้วว่าเห็นธรรมสัจจะ คือความจริงตามธรรมชาติ ว่าทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร ทุกข์ดับไปอย่างไร ถ้าเห็นข้อนั้นคือเห็นธรรม คือเห็นธรรม และผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต จึงพูดได้เหมือนกันแหล่ะว่า เห็นธรรมก็คือเห็นพระพุทธองค์ เห็นปฏิจจสมุปบาทก็คือเห็นพระพุทธองค์
ทีนี้การเห็นปฏิจจสมุปบาทนี่เอาอะไรเป็นเครื่องวัดในความหมายอันสมบูรณ์ เห็นปฏิจจสมุปบาทนั้นต้องเห็นจนเห็นว่าง เมื่อตะกี้ก็บอกแล้ว เห็นว่าไม่มีคน ไม่มีตัวมีตน เห็นแต่อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติและทุกข์ ไม่มีตัวตนที่ไหนคือเห็นว่างจากตัวตน เมื่อเห็นปฏิจจสมุปบาทคือเห็นว่างจากตัวตน เห็นว่างจากตัวตนนั้นแหล่ะคือเห็นพระพุทธเจ้า ฉะนั้นการเห็นสุญญตาโดยแท้จริงนั้นคือเห็นพระพุทธเจ้า สรุปใจความสั้นๆ ว่าเห็นความว่างจากตัวตนอันแท้จริง นั่นแหล่ะคือเห็นพระพุทธเจ้า เมื่อใดจิตของเรารู้สึกต่อสิ่งนี้ แต่เราเรียกธรรมดาๆ ว่าเห็น ไม่ได้เห็นด้วยตานะ มันเห็นด้วยจิตด้วยวิญญาณชั้นลึก อย่างที่เราใช้คำพูดว่า รู้สึก รู้สึกคือเห็น Experience ต่อสิ่งนี้, Convince ต่อสิ่งนี้, Realize ต่อสิ่งนี้ แต่มันต้องเป็นชั้นด้วยจิตล้วนๆ นะ เป็น intuitive เป็นชั้น Intuitive เป็นเรื่องของจิตที่ประกอบด้วยความรู้ล้วนๆ เห็นในที่นี้คือรู้สึก รู้สึกคือรู้แจ้งเห็นแจ้งต่อสุญญตา คือความไม่มีตัวตน เห็นสุญญตานั้นคือเห็นพระพุทธเจ้าที่แท้จริง
ฉะนั้นพระพุทธเจ้าองค์จริงแท้จริงนั้น คือสุญญตา ไม่มีใครชอบ มีแต่คนหัวเราะเยาะ ถ้าใครเอาคำนี้มาพูดเขาว่าบ้า อย่างที่ผมเคยประสบมาแล้ว และกำลังประสบอยู่ ผมเอาเรื่องสุญญตามาพูดก็ถูกหาว่าบ้า พอได้ยินคำว่าสุญญตาก็หัวเราะเยาะ เป็นคำคร่ำครึ เป็นอะไรต่างๆ ฉะนั้นถ้าคุณจะได้ประโยชน์คุ้มกันในการที่มาทนลำบากที่นี่ ก็ขอให้เข้าใจคำว่าสุญญตา เพราะว่านั่นคือพระพุทธเจ้าองค์จริง พอพูดถึงดับทุกข์ก็ดับทุกข์ได้จริง ถ้าเป็นธรรมะก็เป็นธรรมะสูงสุด เพราะฉะนั้นเราควรจะถึงพระพุทธเจ้าองค์จริงโดยทะลุพระพุทธเจ้าชั้นนอกๆ เข้าไปให้หมด เช่นว่าไม่ใช่ร่างกาย หรือเบญจขันธ์กลุ่มหนึ่งที่เดินไปมาอยู่ในประเทศอินเดียเมื่อสองพันกว่าปีมาโน่น มันก็ไม่ใช่พระพุทธเจ้าองค์จริงให้ทะลุอันนั้นเข้าไปถึงธรรมะที่มีอยู่ในนั้น คือธรรมะที่เป็นปฏิจจสมุปบาท หรือเป็นสุญญตา
เอ้า, ก็จะบอกให้อีกทีหนึ่งว่า ไอ้ปฏิจจสมุปบาทนี่บางทีเรียกว่าอริยสัจนะ คุณได้ยินคำว่าอริยสัจมากกว่าคำว่าปฏิจจสมุปบาท เรื่องอริยสัจนั้นถ้ากล่าวโดยพิศดารมันจะเป็นเรื่องปฏิจจสมุปบาทโดยสมบูรณ์ พระพุทธเจ้าตรัสอริยสัจอย่างย่อคือที่ได้ยินกันอยู่ทั่วไป แล้วตรัสอริยสัจโดยสมบูรณ์คือเรื่องปฏิจจสมุปบาทขึ้นและลง นี่เราไม่เอาไอ้ร่างกายคนเป็นพระพุทธเจ้า แล้วทำไมจะต้องเอากระดูกของท่านเป็นพระพุทธเจ้า ทำไมจะเอารูปอิฐปูนโลหะที่หล่อเป็นสัญลักษณ์แทนท่านว่าเป็นพระพุทธเจ้า เราจะรู้องค์จริงของพระพุทธเจ้าคือธรรม ธรรม ธรรมน่ะ คือธรรมสัจจะ เรื่องเกิดขึ้นแห่งทุกข์ก็ดับลงแห่งทุกข์ คือเรื่องปฏิจจสมุปบาท
สรุปแล้วก็คือเรื่องความว่างจากตัวตน เพราะฉะนั้นไอ้ตัวความว่างนั่นคือองค์พระพุทธเจ้า ซึ่งบางทีก็เรียกว่าเป็นนิพพาน ว่างอย่างยิ่งนั้นเป็นนิพพาน เดี๋ยวนี้เราจะมาชี้ว่า ไอ้ว่างอย่างยิ่ง ตัวความว่างอย่างยิ่งที่เป็นตัวธรรมนั่นหล่ะคือพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท เมื่อผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นจะเห็นว่าว่างจากตัวตนโดยสิ้นเชิง ผู้ที่เห็นว่างจากตัวตนโดยสิ้นเชิงคือผู้เห็นพระพุทธเจ้าหรือเห็นธรรมที่เป็นองค์พระพุทธเจ้าโดยแท้จริง
นี่ผมกระโดดไปพูดเรื่องลึกซึ้งที่สุดของพระพุทธศาสนา เพื่อให้รู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์จริง หรือหัวใจจริงของพระพุทธเจ้า หัวใจจริงของพระธรรม ซึ่งมันจะถึงหัวใจจริงของพระสงฆ์ด้วยเป็นแน่ เพราะว่าพระสงฆ์ก็เป็นผู้ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า แล้วคุณลองใคร่ครวญดู ว่าการศึกษาในรูปแบบนี้มันจะประหยัดเวลาหรือไม่ ถ้าคุณเข้าใจมันจะประหยัดเวลาอย่างยิ่ง คือมันเข้าไปถึงจุดจริง แท้จริง ศูนย์กลางของทุกสิ่งที่เราจะต้องศึกษาในพระพุทธศาสนา แต่ถ้าไม่เข้าใจหรือเริ่มไม่เข้าใจแต่บัดนี้แล้ว มันจะรู้สึกหมดหวัง เหมือนกับบอกให้ขึ้นต้นไม้มาจากทางปลาย คุณยังทำได้หรือ ผมบอกให้ขึ้นต้นไม้มาจากทางปลาย มันผิดจนน่าหัว จะขึ้นต้นไม้มาจากทางปลาย แล้วมันจะขึ้นไปได้อย่างไรล่ะ ขึ้นมาจากทางปลายลงมาหาโคน แต่ถ้าฟังถูกแล้วว่าไม่ได้ขึ้นต้นไม้จากทางปลายแล้ว มันตรงเข้าไปยังจุดที่เป็นหัวใจของทุกเรื่อง เรื่องที่เกี่ยวกับธรรมก็ดี เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าก็ดี เรื่องความว่างก็ดี เรื่องปฏิจจสมุปบาทก็ดี นี่มันเรื่องเดียวกัน ถ้ารู้เรื่องนี้ก็คือเรื่องสุญญตาที่จะแก้ปัญหาได้แม้แต่ของฆราวาส ไปทบทวนไว้เสมอนะ
มันคล้ายกับเป็นสูตรอันหนึ่งนะที่จะต้องถือเป็นหลักว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคตดีกว่า ผู้ใดเห็นตถาคตผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นความว่างจากตัวตน จึง ซ.ต.พ. กลับว่า ผู้ใดเห็นความว่างจากตัวตนผู้นั้นเห็นตถาคตเท่านี้เอง ไอ้สูตรอันนี้จะใช้ได้ตลอดกาลยืดยาวจนกว่าที่เราเข้าถึงไอ้สิ่งนี้จริงๆ
ฉะนั้นอย่าให้ลืมเสีย ว่าเห็นตัวธรรมที่แท้จริง เข้าถึงตัวธรรมที่แท้จริงจึงจะถึงพระพุทธเจ้า ไม่สามารถจะไปดูได้ที่อินเดีย หรือในโบสถ์วิหารหรือที่องค์พระธาตุหรือที่ตรงไหนก็ตาม นั่นเป็นสัญลักษณ์เป็นเครื่องจูงใจเป็นเครื่องให้ระลึกถึงในเบื้องต้น เป็นเครื่องปลูกศรัทธาในเบื้องต้น ให้หมายมั่นในเบื้องต้น แล้วหมายมั่นเพื่อจะให้ทำอะไรล่ะ ก็เพื่อจะไปให้ถึงพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ทะลุเข้าไปเป็นชั้น เป็นชั้น เป็นชั้น เป็นชั้น จนถึงพระพุทธเจ้าพระองค์จริง พระพุทธเจ้านี้ พระองค์จริงล่ะ พระพุทธเจ้านี้จะแก้ปัญหาได้ ซึ่งพวกคอมมิวนิสต์อาจจะหาว่าเป็นยาเสพติดได้ เพราะมันจริงยิ่งกว่าวิทยาศาสตร์ จริงยิ่งกว่า ไม่หลอกลวงคนให้มอมเมาอะไรได้ ให้สนใจไว้ว่าพุทธศาสนานั่นมันไม่ได้มีอะไรที่เหลวไหลงมงาย มันเป็นเรื่องจริงยิ่งกว่าจริง ตามแบบของธรรมชาติ ตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ
ให้ผมพูดยาวสักหน่อยดีไหม วันก่อนๆ เราไม่ได้พูดตามที่เราตั้งใจจะพูด ขัดข้องอย่างนั้นบ้างอย่างนี้บ้าง เอาล่ะ ทีนี้หัวข้อมันมีอยู่ว่า สุญญตาแก้ปัญหาได้ทุกชนิดแม้แต่ของฆราวาส ยังไม่ได้พูดเลย ทีนี้จะพูดแล้ว จะพูดถึงคำว่าฆราวาส ฆราวาส แปลว่าครองเรือน อยู่กับเรือน แต่คำว่าเรือนนั้นไม่ได้หมายถึงตัวเรือน หมายถึงระบบการเป็นอยู่ อย่างคนธรรมดาสามัญที่จะต้องอยู่กันเป็นคู่ แบบเดียวกับสัตว์เดรัจฉานนั้น ขออภัยพูดตรงๆ เลยดีกว่า ว่าชีวิตที่ต้องอยู่กันเป็นคู่และมีปัจจัยอุปกรณ์ต่างๆ ครบถ้วนเพื่อความเป็นอยู่อย่างนั้น นั่นก็เรียกว่าเรือน ถ้าเราบริหารชีวิตอยู่ด้วยลักษณะอย่างนั้น ก็เรียกว่า ผู้ครองเรือน ก็หมายความว่ามีบ้านมีเรือนมีเงินมีของมีลูกมีเมียมีทุกอย่างที่ฆราวาสจะต้องมี
ทีนี้ฆราวาสนี่เกี่ยวข้องอะไรกันหรือไม่ หรือเกี่ยวข้องกันเพียงไร กับไอ้สิ่งที่พูดมาแล้ว ฆราวาสเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าหรือไม่ คุณจะตอบว่าอย่างไร ถ้าไม่เกี่ยวข้องก็แล้วไป ผมก็ไม่ต้องพูด ถ้าพระพุทธเจ้าหรือฆราวาสนั่นเกี่ยวข้องกันอยู่ก็จะต้องพูด ฆราวาสจะต้องมีพระพุทธเจ้าชนิดไหน เดี๋ยวนี้ก็มีพระพุทธรูปออกจะเต็มบ้านเต็มเรือนกันแล้ว มันพอหรือยัง มันพอจะแก้ปัญหาของฆราวาสหรือไม่ ถ้าฆราวาสจะมีความรู้ถึงขนาดที่จะไม่ขึ้นๆ ลงๆ ฟูๆ แฟบๆ ร้องไห้หัวเราะแล้ว จะต้องมีพระพุทธเจ้าชนิดไหน ผมไม่มองเห็นทางอื่น แม้ฆราวาสก็ต้องพยายามจะมีพระพุทธเจ้าองค์จริง คือเรื่องสุญญตา คือเรื่องไม่ควรจะยึดถืออะไร หรือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ได้ ก็คือสุญญตานั่นเอง เมื่อมีอันนี้มีความรู้อันนี้แล้วจิตมันไม่ยึดถืออะไร เพราะฉะนั้นไม่ต้องหัวเราะไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องเป็นโรคเส้นประสาท ไม่ต้องเป็นอะไรทุกอย่าง
การที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเรื่องสุญญตานี้เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ฆราวาสทั้งหลายตลอดกาลนาน นั่นมันถูกแล้ว นี่ไม่ใช่ผมว่าน่ะ เดี๋ยวสำคัญผิดฟังผิด มีคนไปทูลถาม ให้ตรัสเรื่องที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ฆราวาสตลอดกาลนาน พระพุทธเจ้าท่านว่าเรื่องที่มันเนื่องกันกับสุญญตานั่นแหล่ะ เป็นประโยชน์แก่ฆราวาสทั้งหลายตลอดกาลนาน ทีนี้ก็ได้พูดมาแล้วเมื่อตะกี้หยกๆ นี้ว่า สุญญตาแท้จริงนั่นคือ องค์พระพุทธเจ้าแท้จริง เห็นธรรมคือสุญญตา คือ เห็นพระตถาคตองค์จริง เมื่ออยู่กับสุญญตาคืออยู่กับพระพุทธเจ้า ฆราวาสนั้นก็ไม่ต้องทนทุกข์ หรืออย่างน้อยก็ไม่ต้องทนทุกข์เต็มที่ จะเป็นฆราวาสที่มีการทนทุกข์น้อยที่สุด ฉะนั้นเรื่องสุญญตาหรือพระพุทธเจ้าองค์จริงนั้นเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ฆราวาสตลอดกาลนาน
ทีนี้การที่ฆราวาสทั้งหลายเขาไม่ต้องการอย่างนั้น แล้วฆราวาสพวกหนึ่งก็ปฏิเสธพระพุทธเจ้าว่ามันยากเกินไป มันยากเกินไปสำหรับพวกข้าพเจ้า ขอยึดถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้มีศีลอย่างบริสุทธิ์ก็แล้วกัน พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ว่าอะไร และก็ไม่ได้ยกเลิกหรือถอนคำพูดที่ว่าสุญญตาเป็นประโยชน์แก่ฆราวาสตลอดกาลนาน นี่เรายืนยันตามหลักหรือตามคำที่พระพุทธองค์ตรัสเองว่าสุญญตาหรือเรื่องที่เนื่องด้วยสุญญตานี้เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ฆราวาสทั้งหลายตลอดกาลนาน ผมคิดว่ามันคงจะไม่วิปริตอะไรนัก ถ้าผมจะขอร้องว่าพวกคุณทุกคนนี้จงไปเป็นฆราวาส เป็นตามแบบที่พระพุทธเจ้าท่านประสงค์ คือเป็นฆราวาสพวกที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดตลอดกาลนาน คือมีเรื่องของสุญญตานี่เป็นคู่มือเป็นเครื่องอยู่ด้วย ด้วยกัน ถ้าไม่เอาก็ตามใจ คุณก็เป็นฆราวาสไปตามแบบที่เขาเป็นๆ กันอยู่ ไม่ได้เป็นฆราวาสแบบที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการที่มีพระพุทธเจ้าขึ้นมาในโลก เดี๋ยวนี้เราก็ยอมรับว่าพระองค์ได้เกิดขึ้นในโลก ก็เพื่อประโยชน์อย่างยิ่งแก่สัตว์โลก แล้วพระองค์ก็ตรัสว่าอย่างนี้ ว่าสุญญตาเป็นประโยชน์เกื้อกูลตลอดกาลนานแก่ฆราวาส จึงขอร้องว่าจงไปเป็นฆราวาสชนิดที่ตรงตามพระพุทธประสงค์
ก็เป็นอันว่าเรื่องสุญญตานี่มันจำเป็นแก่ฆราวาส แก้ปัญหาของฆราวาสได้ ถ้าไม่ชอบคำว่าสุญญตาก็ชอบคำอื่นๆ ที่พอ ที่แทนกันได้ เช่นคำว่า ธรรมก็ได้ เพราะว่าถ้ามีธรรมก็คืออยู่กับพระพุทธเจ้า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ธรรมะนั้นคือเราตถาคต ฉะนั้นผู้ใดมีธรรมหรืออยู่กับธรรมผู้นั้นก็อยู่กับตถาคตมีตถาคต เช่นเดียวกับผู้ใดมีสุญญตาผู้นั้นก็อยู่กับพระตถาคตพระพุทธเจ้า หรือผู้ใดอยู่กับความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นก็อยู่กับพระพุทธเจ้า ความรู้แจ่มแจ้งในปฏิจจสมุปบาทนั้นคือธรรม ธรรมซึ่งเมื่อเห็นแล้ว เห็นตถาคต ซึ่งเมื่อมีแล้ว มีตถาคต ซึ่งเมื่อเป็นอยู่ด้วยกัน ก็เป็นอยู่ด้วยกันกับตถาคต
เอ้า, พูดซะเลยว่า ธรรมก็ดี ตถาคตก็ดี ปฏิจจสมุปบาทก็ดี สุญญตาก็ดี อย่างน้อยสี่อย่างนี้คือสิ่งเดียวกัน ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจ แต่ถ้าฟังมาตามที่ผมพูดมาแล้วอย่างดีก็จะเข้าใจว่าสี่อย่างนี้คือสิ่งเดียวกัน แต่ต้องในความหมายที่สมบูรณ์นะ ธรรมในความหมายที่สมบูรณ์ก็คือพระพุทธเจ้า ตถาคตก็คือพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว ในความหมายที่ถูกต้องไม่ใช่เปลือกไม่ใช่เนื้อหนัง ปฏิจจสมุปบาทก็คือความรู้ที่เป็นธรรมที่เป็นตัวธรรมก็คือพระพุทธเจ้า ความรู้แจ้งอยู่ด้วยปฏิจจสมุปบาทนั่นหล่ะคือตัวธรรมที่เป็นตัวพระพุทธเจ้า เมื่อรู้แจ้งอย่างนั้นก็ว่าง ว่างจากตัวตน ความที่ว่างจากตัวตนนั้นก็คือพระพุทธเจ้า จงอยู่ด้วยจิตที่มีความว่างจากตัวตนเถิด นั้นจะเป็นการอยู่กับพระพุทธเจ้า ทีนี้ฆราวาสคนไหนที่ไม่ควรจะต้องการพระพุทธเจ้าในลักษณะนี้ สมมติไม่เชื่อพระพุทธเจ้า เอาล่ะเป็นว่าเราไม่เชื่อที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าไอ้สุญญตานี้ล่ะเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ฆราวาสทั้งหลายตลอดกาลนาน เราไม่เชื่อ เราก็ไปคิดดูสิ ว่าอะไรมันจะเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ฆราวาสทั้งหลายตลอดกาลนาน คือเป็นประโยชน์ชั้นสูงกว่าธรรมดา ทำให้ไม่ต้องเป็นทุกข์เหมือนตกนรก ฆราวาสนี่ถ้าปล่อยไปตามรูปแบบของฆราวาสเต็มที่แล้วมันเหมือนกับตกนรกทั้งเป็น มันเต็มไปด้วยสิ่งที่เผาลนร้อยรัดเสียดแทงนี่ล่ะ ในโลกนี้ นี่เรียกว่าฆราวาสธรรมดาไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากการเป็นฆราวาส คือไม่ได้รับประโยชน์เกื้อกูลจากพระธรรม ทีนี้เอาพระธรรมมาใส่เข้าไปในชีวิตของฆราวาสตามธรรมดา ชีวิตฆราวาสธรรมดาแบบนั้นมันก็เปลี่ยนทันทีไปอยู่ในรูปแบบที่ไม่เหมือนกับตกนรกทั้งเป็น คือจะชนะความรู้สึกต่างๆ ได้ จะบังคับความรู้สึกต่างๆ ได้ จะไม่เป็นทาสของกิเลสตัณหา ถ้าพูดอย่างเดี๋ยวนี้ก็ไม่เป็นทาสของวัตถุนิยม พูดหยาบคายหน่อยก็มันไม่เป็นทาสของเนื้อหนัง คนทั้งโลกกำลังเป็นทาสของความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง คำพูดนี้มันค่อนข้างหยาบโลนก็มันเข้าใจได้ง่ายและเร็ว การที่ฆราวาสปลอดภัยมาเสียได้จากความเป็นทาสของเนื้อหนังนั่นก็คือประโยชน์อย่างยิ่ง ประโยชน์ที่ควรยกย่องสรรเสริญบูชา ของฆราวาส
ฉะนั้นเราจึงถือว่าฆราวาสนี่ต้องการไอ้สิ่งที่เรียกว่าสุญญตาซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์จริงเพราะว่าเป็นธรรมะแท้จริงอย่างที่ตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ทีนี้อยากจะพูดให้ละเอียดออกไปนิดหน่อย ในหัวข้อนี้แหล่ะ พวกฆราวาสจะใช้พระพุทธเจ้าพระองค์จริงได้อย่างไร เราต้องมีพระพุทธเจ้าพระองค์จริงกันเสียก่อนใช่ไหม เราจึงจะใช้พระพุทธเจ้าให้คุ้มครองเราได้ ขอให้มีความรู้เรื่องสุญญตา เรื่องปฏิจจสมุปบาท เรื่องอย่างนี้ให้เพียงพอ และมีสติสัมปัชชัญญะรวดเร็วว่องไว พอที่จะให้ความรู้ชนิดนี้แล่นมาทันกับเหตุการณ์ เมื่อตาเห็นรูป เมื่อหูฟังเสียง เมื่อจมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส อะไรก็ตาม มันเร็ว เร็วยิ่งกว่าสายฟ้าแลบ ที่มันจะเกิดความรู้สึกแล่นแปล๊บไปหาความทุกข์เสียก่อน ะฉะนั้นเราต้องมีความรู้อย่างนี้เพียงพออยู่เป็นพื้นฐาน และเรามีสติอันรวดเร็วที่จะให้ระลึกได้ทันควัน ความรู้อันนี้ก็มาแล้วก็คุ้มครองไม่ให้เกิดความเห็นผิดเข้าใจผิดที่เรียกว่าอวิชชาขึ้นมา ในขณะที่ตาเห็นรูปหูฟังเสียง เป็นต้นนั้นเอง พูดให้ฟังง่ายสำหรับคนธรรมดาก็ว่าในขณะที่ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น เป็นต้นนี้ ถ้าไม่เกิดอวิชชาไม่เป็นไร คือเราฉลาดอยู่ไม่เป็นไร แต่แทบทุกกรณี คนธรรมดาสามัญ มันโง่ไป มันจึงได้ไปหลงรักหลงเกลียดหลงโกรธหลงเศร้าหลงกลัวหลงอะไร
ทีนี้ต้องมีความรู้ที่เป็นองค์พระพุทธเจ้าจริง ธรรมะที่เป็นองค์พระพุทธเจ้าจริงอยู่ เราต้องเอาท่านมาใช้ให้ทันท่วงที คือมีสติเอามาใช้ให้ทันท่วงที เมื่อตาเห็นรูปปั๊บนี่พระพุทธเจ้ามาคุมเสียแล้ว เราก็ไม่โง่หลงไอ้รูปที่เห็นนั้นจนเกิดยินดียินร้าย เป็นต้น ฟังเสียงก็ดี ดมกลิ่นก็ดี ลิ้มรสก็ดี สัมผัสผิวหนังก็ดี ซึ่งอันตรายมาก กระทั่งคิดนึกก็ดี รวมกันเป็นหกอย่างนี้ พระพุทธเจ้าจะยืนคุมอยู่เรื่อย หมายความว่าวิชชาหรือธรรมะยืนคุม ควบคุมอยู่เรื่อย อวิชชาหรือพญามารนี่เข้ามาไม่ได้ มันเหลือวิสัยของฆราวาสไหม ถ้าเห็นว่าเหลือวิสัยหรือทำไม่ได้ก็ ผมก็ไม่มีอะไรจะพูด แต่ผมยังยืนยันตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ความรู้นี้เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ฆราวาสอยู่ร่ำไป จึงถือว่าไม่เหลือวิสัยที่จะมีความรู้อันนี้ และมีสติเอามาใช้ให้ทันท่วงที คนอย่างนี้ต่างหากมีพระพุทธเจ้ามาคุ้มครองอยู่อย่างแท้จริงตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืนหรือจะพูดว่าทั้งหลับทั้งตื่นก็ได้ คือมันไม่ฝันเลวๆ ด้วยก็ได้ ไม่ฝันเป็นกิเลสเป็นความทุกข์ก็ได้
เราจะต้องรู้สิ่งที่เรียกว่าธรรม ในความหมายมากถึงกับแทนองค์ตถาคต ธรรมนั้นคือความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทหรือเรื่องสุญญตา เพราะฉะนั้นไปศึกษากันต่อไปเรื่องสุญญตา เรื่องปฏิจจสมุปบาทโดยรายละเอียด แต่เดี๋ยวนี้เราจับใจความได้แล้วว่าสุญญตานั้นคือความรู้ที่ทำให้ไม่ไปจับฉวยอะไร มั่นหมายเอาอะไรมาเป็นตัวตนหรือของตน ฆราวาสทำงานอยู่ด้วยความรู้สึกอย่างนี้แล้วจะไม่มีความทุกข์เลย จะเข้มแข็งที่สุด กล้าหาญที่สุด ร่าเริงที่สุด สนุกสนานที่สุด ทำการงานในหน้าที่ของตน
นี่จะยกตัวอย่าง ว่าเราพูดกันว่าเราจะเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ เป็นสาวกที่ดีของพระศาสดาแห่งศาสนาของตน นี่ก็เป็นฆราวาสธรรมหรือหน้าที่ของฆราวาสอย่างที่สุดแล้ว จะเป็นลูกที่ดี เป็นศิษย์ที่ดีนี่ เป็นเรื่องของฆราวาสอย่างที่สุดแล้ว คุณกำหนดหัวข้อเหล่านี้ไว้เถอะว่ามันเป็นเรื่องของฆราวาสที่สุดแล้ว เป็นลูกที่ดีเป็นศิษย์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นพลเมืองที่ดี เป็นสาวกที่ดีนี่ ที่พวกฆราวาสจะต้องทำ ถ้าเขาจะเป็นบุตรที่ดีก็ต้องมีความรู้ที่ทำให้เขากตัญญูกตเวที ให้ไม่ไปเป็นทาสของกิเลส ถ้าเขาไปเป็นทาสของกิเลสเขาก็กตัญญูกตเวทีไม่ได้ นี่ฝากไว้ให้พวกคุณทุกๆ คนไปสังเกตเถิด ถ้าคุณเป็นทาสของกิเลสแล้วคุณจะเป็นคนกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดาไม่ได้มัน ไม่มีทาง เพราะกิเลสมันลากเอาตัวไปเสียแล้ว ฉะนั้นเราต้องอยู่ในความถูกต้องของธรรมะ ปราศจากอำนาจของกิเลส เราจึงจะเป็นผู้กตัญญูกตเวทีหรือเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ได้ ทีนี้มีธรรมะอะไรกัน ธรรมะที่ต่อสู้กิเลสก็ต้องเป็นธรรมะเรื่อง เดี๋ยวนี้ คือเรื่อง รู้อยู่ว่ามันไม่ใช่ตัวตนหรือมีตัวตน เราไม่หมายมั่นอะไรโดยความเป็นตัวตนก็ไม่อาจจะเกิดกิเลสได้ แต่มันยากแหล่ะที่จะให้เด็กเล็กๆ มีความรู้สึกอย่างนี้ เพราะถูกอบรมมาให้มันมีตัวตนเสียตั้งแต่อ้อนแต่ออก แต่พระพุทธเจ้าก็ยังได้ตรัสข้อความในที่บางแห่งว่า ถ้ากุมารทารกเหล่านั้นเขามีความรู้เรื่องเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติแล้วเขาก็จะไม่ยึดมั่นในเวทนา นี่ถึงขนาดนี้ เดี๋ยวนี้เอาเป็นว่าไม่ได้รับและยึดมั่นในเวทนาก็ต้องมีความผิดพลาด แต่ถ้าไม่มีความผิดพลาดมันก็ต้องมีความรู้เรื่องนี้ ฉะนั้นเด็กโตขึ้นมา เด็กเป็นหนุ่มแล้ว เป็นสาวแล้ว เป็นพ่อบ้านแม่เรือนแล้ว ก็ยังมีความเป็นบุตรของบิดามารดาคนใดคนหนึ่งอยู่ ฉะนั้นเอาคนโตๆ กันก็แล้วกัน บุตรที่โตๆ แล้วนี่ เขาจะเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดาก็จงหาความรู้ชนิดที่ไม่เป็นทาสของกิเลสเถิด เป็นอิสระหรือเป็นไทแก่ตัวอยู่ เขาจะเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดาได้ เดี๋ยวนี้ไม่กตัญญูกตเวที บิดามารดาจะลำบากทุกข์ยากอย่างไร แล้วยังไปจะสูบเลือดบิดามารดามาหาความสนุกสนานทางเนื้อหนังของตนอีก คุณไปดูเถอะผมเชื่อว่ามี มีมาก ในบ้านเมืองที่มันสมบูรณ์ไปด้วยวัตถุกามารมณ์ มันรบกวนบิดามารดาตั้งแต่เกิด จนกระทั่งเรียนสำเร็จ สำเร็จแล้วมันก็ยังรบกวนบิดามารดา ไม่มีกตัญญูต่อบิดามารดาให้ได้พักผ่อนบ้าง อย่าเป็นทาสของกิเลสอย่างเดียวก็จะเป็นคนสามารถสนองคุณบิดามารดา ทำบิดามารดาให้อิ่มอกอิ่มใจที่สุดว่าไม่เสียทีที่มีลูกคนนี้มา ขอร้องให้ทุกๆ องค์นี่ไปเป็นบุตรที่ทำบิดามารดาให้อิ่มอกอิ่มใจที่สุดในฐานะที่ได้มีเราเป็นลูกของท่าน ถ้าคุณต้องการอย่างนี้ก็ต้องใช้ความรู้ที่สูงสุดที่เฉียบขาดแหลมคมที่สุดที่จะทำลายอุปสรรคนั้นเสีย คือความเป็นทาสของกามารมณ์ ไม่มีอะไรดีเท่าเรื่องสุญญตา
นี่ตัวอย่างในการเป็นบุตรที่ดีมันก็มีอยู่อย่างนี้ แล้วการเป็นศิษย์ที่ดีก็อย่างเดียวกัน เป็นเหมาไปได้เลยว่าแม้จะเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนก็ต้องมีการบังคับตัวเองได้ บังคับความรู้สึกได้ บังคับกิเลสได้ มันจึงจะเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนได้ เลยไปถึงเป็นพลเมืองที่ดีก็อย่างนั้นอีกล่ะไม่กบฏต่อประเทศชาติ เพราะมันมีธรรมะถูกต้องรู้จักว่าอะไรเป็นอะไร ไม่ให้ถูกชักจูงไปอย่างโง่เขลางมงาย ไปเอาผิดมาเป็นถูก เห็นกงจักรเป็นดอกบัว จะแก้ปัญหาด้วยดอกบัวสีแดงคือเลือด เลยแก้ปัญหาของประเทศชาติด้วยดอกบัวสีเหลืองคือสติปัญญา ธรรมะอันถูกต้องนี่อย่างนี้เป็นต้น เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ เพราะอำนาจของความรู้ที่ถูกต้องในเรื่องนี้ ส่วนที่จะเป็นสาวกที่ดีของพระศาสดานั้นยังสูง ยังละเอียดไปกว่านั้น แต่ก็แนวเดียวกัน คืออย่าให้พญามารหรือกิเลสตัณหามาลากเอาตัวไป ให้มันยังคงอยู่กับพระศาสดาพระตถาคตอันแท้จริงนี้ได้ นี่ตัวอย่างเท่านั้นแหล่ะ เราไม่อาจจะพูดได้ด้วยรายละเอียด ว่าเราจะเป็นอะไรที่ดีตามแบบของฆราวาสนี่ ต้องพึ่งความรู้อันคมเฉียบคือเรื่องสุญญตา
ทีนี่เราจะปฏิบัติหน้าที่การงานเฉพาะกิจนะไม่ใช่พูดเรื่องบุตรเรื่องศิษย์เรื่องลูกนะ มีอาชีพอย่างไรโดยเฉพาะ ข้าราชการ ทำนา หรือค้าขาย สุดแล้วแต่เถอะ เราต้องควบคุมตัวเองได้ ไม่เป็นทาสของกิเลสเหมือนกัน คุณจำคำนี้ไว้ว่าควบคุมความรู้สึกได้ ไม่เป็นทาสของกิเลส นี่คุณจะต้องใช้ตลอดไปจนตลอดชีวิต ใช่ว่าเรียนนี้สำเร็จไปประกอบอาชีพอะไรก็ตาม ถ้าไม่มีเครื่องมือนี้แล้วก็ล้มละลาย คือไม่บังคับความรู้สึกอย่าให้เป็นทาสของกิเลสนั่นแหล่ะ คุณจะล้มละลายไม่ใช่ผมแช่ง ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้นเอง มันบังคับอย่างนั้นเอง ขอให้จำไว้ดีๆ ว่า จะต้องบังคับความรู้สึกอย่าให้ไปเป็นทาสของกิเลส สิ่งนี้จะสำเร็จเพราะความรู้ในขั้นอนัตตา สุญญตาอย่างที่ว่ามาแล้ว
ทีนี้ถ้าบังเอิญเป็นไปได้ว่าฆราวาสบางคนเขาจะอยู่ในโลกพลาง แล้วก็เตรียมแผ้วถางทางสำหรับไปพระนิพพานพลาง เขาก็ยิ่งต้องการความรู้สุญญตานี้เข้มข้นมากขึ้นไปอีก จะเป็นฆราวาสที่ดี ชนิดที่เรียกว่า กัลยาณปุถุชน ไม่ใช่ปุถุชนธรรมดา แต่เป็นกัลยาณปุถุชน เตรียมแผ้วถางทางสำหรับไปนิพพานพร้อมๆ กันกับการทำงานอาชีพเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง อย่างนี้ยิ่งต้องการสุญญตา ฉะนั้นเราไม่ต้องพูดถึงคนบางคนที่เขาต้องการจะไปพระนิพพาน บรรลุมรรคผลนิพพานโดยเร็วนั่นแหล่ะ ยิ่งต้องการความรู้เรื่องสุญญตา นี่ก็เป็นการชี้ที่เพียงพอแล้วว่า สุญญตาหรือธรรมะที่พูดถึงสุญญตาที่แสดงสุญญตานี้ เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ฆราวาสทั้งหลายตลอดกาลนาน อย่าหัวเราะเยาะคำว่าสุญญตาเลย
สรุปความว่าสุญญตา เกื้อกูลแก่ฆราวาสทั้งหลายตลอดกาลนานนั้น ผมจะชี้ให้เห็นสักสามอย่าง หนึ่งทำให้ฆราวาสสามารถปฏิบัติหน้าที่การงาน ได้ดีกว่ามากกว่า เยือกเย็นกว่า สนุกสนานกว่า ข้อหนึ่ง ฆราวาสที่มีสุญญตาเป็นคู่แต่งงาน จะปฏิบัติหน้าที่การงานของตน ในชีวิตประจำวันนี้แหล่ะได้ดีกว่า มากกว่า เยือกเย็นกว่า สนุกสนานกว่า เพราะไม่มีความทุกข์ ชิมรสพระนิพพานไปพลางในการทำงานนั้น มีการทำงานเป็นการปฏิบัติธรรม
ทีนี้ข้อสองก็สามารถจะบรรเทาความทุกข์ ที่มีมากเหลือประมาณในฆราวาสวิสัย ในฆราวาสวิสัยมีความทุกข์เหลือประมาณเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์แวดล้อมไปด้วยสิ่งที่จะทำให้เกิดทุกข์ ฉะนั้นฆราวาสวิสัยเต็มไปด้วยสิ่งที่เรียกว่าความทุกข์ เขาจะขจัดความทุกข์ชนิดนั้นแหล่ะได้อย่างเป็นที่พอใจ เป็นที่น่าพอใจ ไม่เหมือนกับฆราวาสธรรมดาที่ปราศจากความรู้อันนี้
แล้วข้อที่สามพร้อมกันไปในตัวและโดยอัตโนมัติ เขากำลังก้าวหน้าไปตามทางของพระนิพพานด้วย เขากำลังก้าวหน้าไปตามทางของพระนิพพานด้วยโดยไม่รู้สึกตัว โดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่ม เอาแต่ใจความ ข้อหนึ่ง ทำงานสำเร็จและสนุก ข้อสองทำลายความทุกข์ในฆราวาสวิสัยเสียตั้งครึ่งตั้งค่อน หรือไม่ให้เกิดขึ้นได้ แล้วข้อสี่ เอ้ย, ข้อสาม เดินทางไปนิพพานอยู่เรื่อยๆ โดยอัตโนมัติ ฉะนั้นขอให้ถือว่าสุญญตาเกื้อกูลแก่ฆราวาสอย่างยิ่งแล้ว ไม่มีอะไรจะเกื้อกูลแก่ฆราวาสยิ่งไปกว่าสุญญตา ขอให้มีประจำอยู่ในใจแล้วท่านก็จะได้ชื่อว่ามีพระพุทธเจ้าพระองค์จริงประจำอยู่ในใจ จะแขวนพระเครื่องหรือไม่ก็ไม่เป็นปัญหาแล้ว เพราะว่ามีพระพุทธเจ้าพระองค์จริงอยู่ในใจ ลืมไม่ได้ล่ะมันรู้สึกอยู่เสมอแล้ว เอาพระเครื่องมาแขวนไว้ที่คอบางทีก็ยังลืมนะ แล้วจะคุ้มครองได้จริงหรือไม่ก็ลองไปคิดดู ทำไมนั่งร้องไห้อยู่ ถ้ามีพระเครื่องแขวนคอ ถ้ามีพระพุทธเจ้าองค์จริงมันไม่มีทางจะร้องไห้ ไม่มีทางจะหัวเราะ ไม่มีทางจะโลดจะเต้นจะขึ้น จะลง จะฟู จะแฟบ จะเหี่ยวหรือจะพอง มันไม่มี มีธรรมะพระองค์จริงคือพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ที่เราเรียกว่าสุญญตา ทุกคนควรจะมีสุญญตา ราวว่าเป็นคู่ชีวิตจิตใจแล้วแต่จะชอบเรียก กระผมเรียกว่าเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ฆราวาสทั้งหลายตลอดกาลนาน ตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้
สรุปแล้วคุณมองดูก็จะเห็นว่าสุญญตาแก้ปัญหาของฆราวาสได้จริง สมตามหัวข้อบรรยายในวันนี้ที่เราพูดว่าสุญญตาแก้ปัญหาแม้แต่ของฆราวาส ไม่ใช่เรื่องสูญเปล่าอย่างที่คนเขาพูดกัน ไม่เป็นข้าศึกแก่ความเจริญก้าวหน้าของฆราวาส เหมือนกับผู้ที่อ้างตัวเองว่าเป็นนักปราชญ์ในสมัยนี้บางคนเขาพูด เขาอวดอ้างแล้วเขายังด่าผมด้วย เอาล่ะ พอกันทีสำหรับการพูดเรื่องหัวใจของพระพุทธศาสนาในวันนี้