แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ
ณ บัดนี้ อาตมาจะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะความพากเพียร ของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัทให้เจริญงอกงามก้าวหน้า ตามทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลายกว่าจะยุติลงด้วยเวลา
ธรรมเทศนาเป็นปุพพาปรลำดับที่สืบต่อจากธรรมเทศนาที่ได้วิสัชนาแล้วในตอนหัวค่ำซึ่งก็เป็นปุพพาปรลำดับต่อจากธรรมเทศนาในตอนเย็นเมื่อวานนี้ ท่านทั้งหลาย ท่านจะลองสังเกตดูสักอย่างหนึ่งว่าเดี๋ยวนี้เป็นวันวิสาขบูชาหรือเปล่า ถ้านับอย่างที่เขานับกันในทุกวันนี้ ตั้งแต่ ๑๒ นาฬิกาเที่ยงคืนมาแล้ว เขาถือว่าเป็นวันใหม่แล้ว ก็ว่าวันวิสาขบูชาหรือวันเพ็ญปุณณมีก็ตาม ผ่านไปแล้ว เดี๋ยวนี้เป็นวันใหม่แล้ว ไม่ใช่วันนั้นแล้ว นี้มันมีความจริง มีความเท็จอยู่ที่ตรงไหน เมื่อรับถือสมมุติอย่างไร มันก็เป็นไปอย่างนั้น แล้วแต่ว่าใครจริง ใครไม่จริง ใครโง่ ใครฉลาด ท่านลองคิดดูเอาเองว่าอะไรมันเป็นเรื่องเล่นตลก สิ่งที่เรียกว่าสมมุติๆ นี้ มันเปลี่ยนได้มากน้อยสักเท่าไหร่ แล้วใครมันมีสิทธิที่จะสมมุติ สมมุติตามอะไร สมมุติตามความรู้สึกของตนๆ ถ้าว่าหลงสมมุติมันก็คงตีกันตาย เพราะว่าเถียงกันแล้วก็ผิดใจกันจนทะเลาะวิวาทกัน เราพุทธบริษัทจะอยู่ที่ตรงไหนในระหว่างสิ่งทั้งสอง คือสมมุติกับมิใช่สมมุติหรือความจริง ถ้าจะให้เป็นความจริง ก็ต้องเรียกว่ามันมีความจริงอย่างสมมุติ กับความจริงอย่างที่ไม่สมมุติ เช่นเรื่องอิทัปปัจจตา หรือตัวอิทัปปัจจตาเป็นความจริงที่ไม่ใช่สมมุติ แต่แล้วเราก็สมมุติเอาที่ส่วนหนึ่งหรือทั้งหมดของอิทัปปัจจตา มาเป็นนั่นเป็นนี่ เป็นต้นไม้ เป็นสัตว์ เป็นคน เป็นคนแล้วยังไม่พอ ว่าคนนั้น คนนี้ คนอย่างนั้น คนอย่างนี้ จนยากที่จะรู้ว่ามันจริงอยู่ที่ตรงไหน หรือความจริงนี้มันควรจะสิ้นสุดอยู่ที่ตรงไหน ทำไมจึงมีคำถามตามแบบของที่เรียกกันว่าตรรก ตรรกะหรือลอจิก(logic) โดยหลักของอริยสัจ เรามีคำถามทางตรรกะนี้ว่า นั่นคืออะไร นั่นมาจากอะไร นั่นเพื่ออะไร แล้วก็นั่นโดยวิธีใดอย่างนี้เป็นต้น แต่ที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าที่เรานำมาวิสัชนาทำความเข้าใจกันนี้ อาตมาคิดว่าเราไม่ต้องมีคำถามทางตรรกะว่าอะไร จากอะไร เพื่ออะไร โดยวิธีใด แต่เราจะตั้งคำถามว่าอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่และอย่างไร เพื่อเราจะพบพระพุทธเจ้าที่เราต้องการจะพบ คือพระพุทธเจ้าที่เราอาจจะพบได้จริงด้วยการเห็นธรรมตามที่พระพุทธองค์ตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม เราหรือธรรมในที่นี้ เป็นสมมุติหรือว่าไม่เป็นสมมุติ ถ้าหากว่าเป็นความจริงที่ไม่ใช่สมมุติ ก็จะดูกันว่านั่นคืออะไร ที่ไหน เมื่อไหร่และอย่างไร ถ้าเราจะมีอะไรกันสักอย่างหนึ่ง มันก็ต้องมีอะไรอยู่อย่างหนึ่ง แต่เราจะเห็นสิ่งนั้นในลักษณะอย่างไร และเห็นที่ไหน และเห็นเมื่อไหร่ ถ้าเข้าใจปัญหาอันนี้และก็หาคำตอบให้ได้จริง เรื่องก็คงจะหมดปัญหาไปมาก แต่แล้วก็คิดดูเถิดว่าแม้เรื่องเล็กน้อยธรรมดาสามัญเขาก็ยังทำไม่สำเร็จ อยากจะถามท่านทั้งหลายว่า คุณแม่อยู่ที่ไหน ใครบ้างที่ไม่มีแม่ นี่เราจะยกตัวอย่างเรื่องแม่ แล้วใครบ้างที่ไม่มีแม่ มันก็มีแม่ แล้วคุณแม่อยู่ที่ไหน หลายคนคงจะตอบว่าคุณแม่ตายแล้ว แล้วคิดดูเถิดว่ามันถูกหรือไม่ถูก ท่านมีคุณแม่ที่ตายไปแล้ว ที่ตายเสียแล้ว แต่อาตมาอยากจะมีคุณแม่ที่ไม่ตาย ที่ยังอยู่เดี๋ยวนี้ แล้วเราจะทะเลาะกันหรือไม่ ใครมีคุณแม่ที่ตายแล้ว ก็หมดเรื่องกัน แต่ถ้าใครมีคุณแม่ที่ยังอยู่ด้วยกันจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ คนนั้นก็ยังมีหน้าที่หรือมีปัญหาที่จะต้องทำกับคุณแม่ ฉะนั้นคนที่คิดว่าคุณแม่ตายแล้วนั้น คงไม่เหมือนกันแน่กับคนที่ยังมีคุณแม่อยู่ ยังไม่รู้จักตาย นี่มันต่างกันที่ตรงไหน ที่จะเห็นกันง่ายๆ มันก็ต้องต่างกันที่จิตใจ ที่เป็นที่รู้สึกหรือที่สามารถจะรู้สึกว่าคุณแม่ของเรานั้นคืออะไร คุณแม่อยู่ที่ไหน เมื่อไหร่เรามีคุณแม่ เมื่อแม่ของเรายังไม่ตายหรือสมมุติว่ายังไม่ตาย อะไรเป็นคุณแม่ มันก็ต้องพิจารณาดูว่ามันหมายถึงอะไร ถ้าหมายถึงร่างกายอันหนึ่ง ร่างกายชุดหนึ่งที่คลอดร่างกายอีกชุดหนึ่งออกมา แล้วร่างกายชุดที่คลอดร่างกายอื่นออกมานี้ เราเรียกว่าคุณแม่ ถ้าร่างกายนั้นสูญสิ้นไป เผาไปแล้ว ก็แปลว่าคุณแม่ตายแล้ว ถูกเผาแล้ว เพราะเราเห็นคุณแม่กันแต่ที่ร่างกายชุดนั้น ทีนี้ทำไมเราจึงมีพูดกันขึ้นมาว่าคุณแม่ยังไม่ตาย ยังอยู่โดยพระคุณ แม้ว่าร่างกายจะสูญสิ้นไป แต่คุณแม่ก็ยังอยู่โดยพระคุณ
ทีนี้คนที่เล่าเรียนศึกษามาอีกแบบหนึ่งก็จะคิดว่า คุณแม่เนื้อหนังนี้ตายแล้วเผาไปแล้ว แต่วิญญาณของคุณแม่ยังอยู่ ลอยล่องอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ อยู่บนสวรรค์ก็ได้ อยู่ในนรกก็ได้ คนประเภทนี้ก็เอาผีเป็นคุณแม่ หรือวิญญาณที่เป็นผีนั่นแหละ มันก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร ไปอยู่ในนรกใต้ดินหรือว่าไปอยู่ที่สวรรค์บนฟ้า มันก็คือผีนั่นแหละ คนพวกนี้เขาเอาผีเป็นคุณแม่ มีร่างกายชนิดไหนใหม่แปลกๆ ออกไป เขาก็คุยได้ว่าคุณแม่ของเขาก็ยังอยู่ แต่อาตมาคิดว่าไม่เอาอย่างนั้น แต่เอาอย่างอื่น จะเอาคุณแม่อย่างที่เป็นคุณแม่จริงๆ ที่ไม่รู้จักตาย แล้วก็ไม่ใช่ผีด้วย ถ้าอยากจะมีคุณแม่แบบนี้กันบ้างก็ลองคิดดู ถ้าคิดออกบางทีจะรู้ว่าพระพุทธเจ้ายังไม่ตาย สิ่งที่ถูกเผาไปนั้นไม่ใช่พระพุทธเจ้า เมื่อตอนเย็นนี้เรากล่าวคำวิสาขบูชาว่าขอบูชาต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ปรินิพพานนานแล้ว ซึ่งล่วงลับไปแล้ว นานแล้ว แต่ยังทรงอยู่โดยพระคุณ ขอจงทรงรับเครื่องสักการะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงอยู่โดยพระคุณ นี้ก็คือเราเอาพระคุณเป็นพระพุทธเจ้า พระคุณนี้คืออะไร หรือว่าบุญคุณของพระองค์ที่มีอยู่เหนือเศียรเหนือเกล้าของพุทธบริษัท เพราะว่าพระพุทธบริษัทเป็นหนี้บุญคุณของพระพุทธเจ้า ถ้าเอานี่ บุญคุณอย่างนี้มาเป็นพระคุณที่ยังเหลืออยู่ มันก็มีความหมายอีกความหมายหนึ่ง ใครๆ ก็ยอมรับ อาตมาก็ยอมรับว่านี่มีอยู่จริง แต่คำว่าทรงอยู่โดยพระคุณนี้ไม่ได้ถึงหนี้บุญคุณแบบนี้ มันต้องหมายถึงอะไรอีกอย่างหนึ่งซึ่งไปไกลกว่านั้น ซึ่งลึกไปกว่านั้น ความเป็นหนี้บุญคุณ เป็นเจ้าหนี้ เป็นลูกหนี้ นี่ก็เป็นเรื่องสมมุติ ไม่ใช่แม่จริงๆ ที่ว่าจะเป็นเจ้าหนี้บุญคุณแก่เรา ถ้าเอาหนี้บุญคุณนั้นมาเป็นแม่ มันก็เริ่มเห็นแก่ตัวให้รู้สึกว่าเป็นหนี้ หรือเป็นเจ้าหนี้ เป็นลูกหนี้ มันต้องมีตัว ฉะนั้นมันจะกระเดียดไปเป็นตัวมึง ตัวกู ตัวรู้ ตัวข้า อะไรทำนองนี้ มันก็ยังไม่ปลอดภัย ก็ยังไม่ถึงที่สุด เราจะเอาพระพุทธเจ้าชนิดไหนที่ว่าทรงอยู่โดยพระคุณหรือว่าเป็นแม่ที่ไม่รู้จักตาย ทำไมจะต้องเรียกว่าคุณแม่ เพราะว่าเป็นเจ้าหนี้เราหรือว่าท่านมีอะไรอื่นที่มากไปกว่านั้น ถ้าใครรู้คุณแม่โดยถูกต้อง นั่นอาจจะมีคุณแม่ที่แท้และที่ไม่รู้จักตาย ถ้าเรารู้พระคุณของพระพุทธเจ้าอย่างถูกต้อง เราก็จะมีพระพุทธเจ้าที่ไม่รู้จักแตกดับหรือเปลี่ยนแปลง ปัญหามันก็ไกลออกไป ไกลออกไป ว่านั่นคืออะไร นั่นคืออยู่ที่ไหน และเมื่อไหร่ หรืออย่างไรเป็นต้น ถ้าเป็นสิ่งถาวรเที่ยงแท้ไม่รู้จักตายแล้ว มันไม่ได้อยู่ที่ไหนและเมื่อไหร่ มันไม่ควรถูกจะจำกัดเขตลงไปว่าเท่าไหร่ อย่างไร เมื่อไหร่ ที่ไหน ฉะนั้นเรื่องถึงคำถามชนิดนี้ มันใช้ได้แต่กับสิ่งที่ถูกสมมุติอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วจะให้เลยไปถึงพระพุทธเจ้าชนิดที่ไม่เป็นอย่างไร ไม่อยู่ที่ไหน และไม่อยู่ในเวลาไหน อย่างนี้จะดีหรือไม่ คำแนะนำของพุทธบริษัทบางพวก เขาอยากให้ทุกคนมีพระพุทธเจ้าที่ไม่รู้จักเปลี่ยนแปลง ที่ไม่รู้จักตาย หรือไม่รู้จักเป็นอย่างไรทั้งสิ้น อย่างพระพุทธเจ้าอมิตตาภะ นี่คือแสงสว่างที่คำนวณไม่ได้ หรืออมิตตายุ คือมีอายุที่คำนวณไม่ได้ เขาถือว่านี่คือพระพุทธเจ้าพระองค์จริง บางพวกไปไกลถึงกับสมมุติให้ว่านี้เป็นอาทิพุทธะ เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต้น องค์เดิม แล้วก็คลอดพระพุทธเจ้าทั้งหลายออกมาอีกมากมาย เป็นพระพุทธเจ้าแบบที่เป็นเพียงอำนาจของพระพุทธเจ้าองค์แรกที่มีอยู่ในฐานะเป็นนามธรรมไม่เห็นตัวนี้ก็มี กระทั่งออกมาเป็นพระพุทธเจ้าอย่างคนเรามีเนื้อหนังร่างกาย อย่างพระพุทธเจ้าพระองค์นี้คือพระสมณโคดม เป็นพระพุทธเจ้าอย่างมนุษย์ มีร่างกายเป็นมนุษย์อย่างนี้ก็มี มันแล้วแต่ว่าใครจะมองเห็นพระพุทธเจ้าลึกตื้นเท่าไหร่ ถ้าเราเห็นพระพุทธเจ้าเป็นเพียงคน ก็ต้องพูดว่าตายแล้ว เผาเสร็จแล้วไม่มีอะไรเหลือ ถ้าจะเห็นพระพุทธเจ้าว่าเป็นคุณธรรมแห่งจิตใจหรือที่จิตใจจะรู้สึกได้ อันนี้ก็ยังมีปัญหาอยู่ว่ายังอยู่หรือไปไหนแล้ว เราจะรู้จักคุณของสิ่งใดก็ต้องรู้จักสิ่งนั้นอย่างถูกต้อง สิ่งที่เรียกว่าคุณในปัจจุบันนี้ ก็ยังเป็นสิ่งที่มีเหตุ มีปัจจัย มันจึงมีขึ้นมาและจึงจะต้องเปลี่ยนไปและก็จะต้องดับไป มันมีคุณชนิดไหนที่ไม่ต้องมีเหตุไม่ต้องมีปัจจัย ไม่เกิดขึ้น ไม่เปลี่ยนไป นี่ขอให้ดูให้ดี ความเป็นแม่ที่มีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นและเปลี่ยนไป นี่คงไม่ใช่อย่างสูงสุด เพราะมันคงจะสิ้นสุดลงเสียสักวันหนึ่ง ทีนี้เราจะเอาคุณแม่ที่ไม่รู้จักเปลี่ยนแปลง ก็ต้องดูพระคุณที่ไม่เปลี่ยนแปลง คงจะยากมากสำหรับผู้ที่ไม่รู้เรื่อง ที่ไม่รู้เรื่องของสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะเรารู้แต่เรื่องของสิ่งที่เปลี่ยนแปลงกันเสียทั้งนั้น เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ข้อนี้ ก็ให้ศึกษาสิ่งที่ไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงกันเสียบ้าง ธรรมสัจจะคือความจริงของธรรมชาติที่ไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงก็มี อย่างที่เราเอามาพูดกันหลายครั้งหลายหนแล้วว่าธรรมธาตุที่มีอยู่ โดยที่ว่าตถาคตจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น ธรรมธาตุนี้ก็ได้มีอยู่และมีอยู่ตลอดไป ไม่เป็นอดีต ไม่เป็นอนาคต แล้วกระทั่งไม่เป็นปัจจุบันด้วย อย่าเข้าใจว่าปัจจุบันนั้นจะไม่เปลี่ยนแปลง เพราะว่าปัจจุบันมีความหมายขึ้นมาเพราะอดีตและอนาคตขนาบข้างอยู่ เมื่ออดีต อนาคตมันเปลี่ยนแปลง ปัจจุบันมันจะอยู่ได้อย่างไร ฉะนั้นคำว่าปัจจุบันที่แท้จริงนั้น มันต้องไม่เกี่ยวกับอดีตหรืออนาคต หรือไม่ควรจะเรียกว่าปัจจุบันด้วย มันขึ้นอยู่กับความรู้สึกของจิต และจิตมันก็เปลี่ยนอยู่เรื่อย ปัจจุบันมันก็เหมือนกับวิ่งไป ไม่อาจจะชี้ปัจจุบันลงไปที่ตรงไหน เพราะจิตมันเป็นผู้รู้สึกและเป็นผู้เปลี่ยนแปลง สิ่งที่ไม่เกี่ยวกับอดีต อนาคต ปัจจุบัน นั่นแหละจะเป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง มันจึงตั้งอยู่ได้โดยไม่ต้องมีการตั้งอยู่ มีอยู่ได้โดยไม่ต้องการมีอยู่ เราจะมองดูสิ่งชนิดนี้ได้ที่ไหน เราต้องมีสติปัญญาชนิดที่อยู่เหนือความเปลี่ยนแปลง ไม่มีคำถามว่าเมื่อไหร่ ไม่มีคำถามว่าที่ไหน ไม่มีคำถามว่าในลักษณะอย่างไร สิ่งนั้นคืออะไรเล่า เราก็จะตอบได้ไม่ยากว่า สิ่งนั้นคือความว่าง แต่พอที่จะถามว่าความว่างนั้นคืออะไร ก็เลยไม่รู้ ยกตัวอย่างความว่างทางวัตถุกันก็น่าจะได้ คือปราศจากวัตถุ ปราศจากสิ่งใดหมด มันเป็นความว่าง นี้ก็มีลักษณะน่ากลัวอย่างยิ่งอยู่เหมือนกันคือไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งที่เปลี่ยนแปลงนั้นคือสิ่งที่มีเหตุปัจจัยอันใดอันหนึ่งเกิดขึ้นมาแล้วเปลี่ยนแปลงมาปิดบังความว่างเสีย เราก็ไม่เห็นความว่าง ถ้าลองเอาสิ่งทั้งหลายออกไปหมดเหลืออยู่แต่ความว่าง แม้ทางวัตถุคือทางรูปธรรมนี่ ก็ไม่มีใครตอบได้ว่าอันนี้มันว่างมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วมันจะว่างไปจนถึงไหน แต่คนก็ไม่เห็นที่ตัวความว่าง ไปเห็นตัวสิ่งที่เข้ามาปิดบังความว่าง ที่มีต้นไม้ มีก้อนหิน มีอะไรเหล่านี้ มันเป็นตัวที่มาปิดบังความว่าง เราก็เห็นแต่ที่นั่น เห็นเป็นก้อนหิน เห็นเป็นต้นไม้ ถ้าลองสิ่งเหล่านี้ไม่มี ก็มีความว่างทางรูปธรรม ซึ่งก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันว่างมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ความไม่มีอะไรนี่ มันตั้งต้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็บอกไม่ได้ ส่วนความว่างทางนามธรรมหรือทางสัจธรรมนี่ มันยิ่งไปกว่านั้นอีก แต่ว่าอาจจะมาทำให้เป็นอันเดียวกันได้ คือความว่างสิ่งทั้งปวง เอาสิ่งทั้งปวงมาเคล้าให้เข้ากันหมด แล้วก็ว่างจากสิ่งเหล่านี้หรือว่างจากสังขารทั้งปวง ไม่มีสังขารใดปรากฏอยู่ นี่จะเป็นความว่างที่เต็มขนาด เต็มที่ แล้วใครเห็นอยู่ที่ไหนบ้าง เพราะว่าจิตนี้เป็นผู้รู้สึกสิ่งทั้งหลายทั้งปวง จิตมันก็ติดอยู่ที่ความรู้สึกของจิต มันทะลุออกไปไม่ได้ เว้นไว้แต่มันจะได้ศึกษามีสติปัญญาอย่างที่เราเรียกกันว่าพระพุทธเจ้าเท่านั้นแหละ มันจึงจะทะลุสิ่งทั้งปวงออกไปหา หรือไปถึงหรือไปรู้สึกต่อสิ่งที่เรียกว่าความว่าง
ยังมีคำพูดว่าพระนิพพานว่างอย่างยิ่ง ดูเหมือนจะเป็นคำพูดที่เป็นหมันที่สุด คือน้อยคนจะเข้าใจ แต่มันก็เป็นความจริงที่สุดเหมือนกัน ระวังสิ่งที่จริงที่สุดนี้มันเห็นยาก มันจึงชักจะเป็นหมันอยู่แทบตลอดเวลา ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ธรรมนั่นน่ะคือความจริงชนิดไหน เป็นความจริงในระดับไหน ที่จะมาเป็นตัวแทนพระพุทธองค์ ธรรมอันเป็นความจริงสูงสุดไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย พระพุทธเจ้าในความหมายนี้ ต้องไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย ต้องอยู่เหนือเหตุ เหนือปัจจัย ต้องไม่มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ผู้ใดเห็นธรรมะนี้ ผู้นั้นเห็นพระพุทธองค์อยู่แท้จริง ฉะนั้นเราจะไม่ให้กาลเวลาหลอกลวงเรา จะไม่ให้สิ่งสมมุติมาหลอกลวงเรา ว่าพระพุทธเจ้าได้เกิดขึ้นเมื่อวันนั้น เมื่อเดือนนั้น เมื่อปีนั้น ที่นั้น เวลานั้นอย่างนี้เป็นต้น เดี๋ยวนี้เราก็กำหนดเอาวันนี้ว่าเป็นวันวิสาขบูชา เดือนวิสาขะ ที่นั่นที่นี่ อย่างนั้นอย่างนี้ นี่มันเป็นการกำหนดของอะไร ของพระพุทธเจ้าพระองค์จริงหรือว่าเพียงพระวรกายที่เป็นเหมือนกับเปลือกของพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ถ้าว่าเราอยากจะทำอะไรให้แก่พระพุทธเจ้าพระองค์จริง เราหมดปัญญา เพราะพระพุทธเจ้าพระองค์จริงไม่อยู่ในขอบเขตของเวลาหรือสถานที่ ไม่ได้เกิดเมื่อนั้น ไม่ได้เกิดเมื่อนี้ มีลักษณะเหมือนกับความว่างที่ไม่มีใครรู้ว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่ มันไม่มีการเกิดขึ้น แล้วทำไมจะพูดได้ว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่หรือว่าอยู่ที่ไหนและจะดับลงไปเมื่อไหร่ ถ้าเราจะทำวิสาขบูชาให้ก้าวหน้ากันจริง เราก็ต้องเล็งถึงสิ่งนั้น ซึ่งไม่อยู่ในขอบเขตของเวลาหรือของสถานที่ ทีนี้เราจะทำอย่างนั้นก็ไม่ได้ เราไม่อาจจะทำอะไรตลอดเวลาหรือทุกเวลาได้หรือทุกสถานที่ อย่างที่ไม่จำกัดสถานที่ได้ เราจึงถือเอาสมมุติอันหนึ่งซึ่งใช้กับร่างกายชุดหนึ่งที่สมมุติเรียกกันว่าเป็นพระพุทธเจ้า แล้วจึงมากำหนดลงไปว่าเพ็ญเดือนวิสาขะ ได้ประสูติที่สวนลุมพินี ว่าเพ็ญเดือนวิสาขะอีกวันหนึ่ง ได้ตรัสรู้ที่โคนต้นโพธิ์ที่ริมตลิ่งแม่น้ำเนรัญชรา แล้วว่าวันเพ็ญเดือนวิสาขะอีก ได้นิพพานที่ใต้ต้นสาละที่อุทยานของพวกมัลลกษัตริย์ดังนี้เป็นต้น ดูมันมากเอาเสียจริงๆ เราไม่อาจจะทำได้มากกว่านี้ เราก็ต้องทำกับสิ่งที่กำหนดกันอย่างนี้ แม้เพียงวันเดียวก็ขอให้มันจริงเถิด ให้มันเลยเวลา เลยการกำหนดโดยเวลา โดยสถานที่ โดยลักษณะอาการ โดยอะไรต่างๆ ออกไป นี่จะเรียกว่าทำวิสาขบูชาที่เลื่อนชั้น ที่ก้าวหน้า ที่ไกลออกไป จนให้ถึงพระพุทธเจ้าพระองค์จริงที่ได้ตรัสไว้ว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ไม่มีจำกัดเขตเนื้อที่หรือเวลา พระพุทธเจ้าชนิดนี้ไม่จำกัดเวลา เห็นที่ไหนก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ แล้วก็ไม่มีรูปร่างชนิดที่จะบัญญัติลงไปได้ว่ามันมีรูปร่างอย่างไร นี่เป็นธรรมอันละเอียดลึกซึ้ง ประณีตสุขุม เห็นยากแต่ก็มีอยู่จริง เดี๋ยวนี้เราจะเห็นพระพุทธเจ้าชนิดนั้นกันบ้างคือพระพุทธเจ้าที่จะอยู่ตลอดไป ไม่เกี่ยวกับเวลา ไม่มีการเกิดขึ้นและดับลงไป ก็จำเป็นจะต้องอาศัยหลักที่พระองค์ได้ตรัสว่าผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท ตัวเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้ก็ไม่เกี่ยวกับเวลา ไม่ใช่ว่าเวลาไปบังคับมัน แต่ว่ามันนั่นแหละจะบังคับเวลา มันบังคับความโง่ของคนที่รู้สึกว่าเวลานั้น เวลานี้ วันคืนเดือนปีอย่างนั้นอย่างนี้ ล้วนแต่เป็นเรื่องของอิทัปปัจจยตาครอบงำอยู่ จึงรู้สึกว่าเกิดขึ้น รู้สึกว่าตั้งอยู่ รู้สึกว่าดับไป ตัวสิ่งที่มันบังคับการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปนี้ ก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน แต่มันก็ได้มีอยู่ ฉะนั้นเข้าถึงสิ่งนี้แล้วก็จะเข้าถึงธรรมอันสูงสุด ที่ควรจะสมมุติว่าเป็นพระพุทธเจ้าได้จริง ร่างกายของพระพุทธเจ้าคืออะไร ถ้าพระพุทธเจ้าที่มนุษย์สมมุติกันว่าเป็นพระพุทธเจ้า มันก็คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เหมือนกับคนทั้งหลาย แล้วก็ดับไปแล้ว เผาไปแล้ว นี่คือรูปกายหรือนามกายอย่างชนิดธรรมดาสามัญ หมู่แห่งธาตุ หมู่แห่งขันธ์ หมู่แห่งอายตนะ หมู่ๆ นี้คือคำว่ากาย แล้วก็เป็นอย่างสังขาร คือมีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง เปลี่ยนแปลงดับไปในที่สุด นั้นเป็นเพียงรูปกาย
ทีนี้มีกายอื่นจากรูปกาย ก็เรียกกันอยู่ว่าธรรมกาย กายแห่งธรรม นี้ก็ยังไม่สูงสุดอะไรนัก ถ้ายังเป็นกายอยู่ มันก็ยังเป็นหมู่อยู่ มันก็ยังมีอะไรแตะต้องได้อยู่ มีเหตุปัจจัยแตะต้องได้อยู่ แต่ธรรมกายนี้คงจะดีกว่ารูปกายแน่ คือไม่ใช่จิต ไม่ใช่วิญญาณ ไม่ใช่เนื้อหนังมังสาร่างกาย มันเป็นธรรม แต่โดยเหตุที่ไม่รู้จะพูดกันอย่างไร ไปยืมเอาคำว่ากายเข้ามาใช้ คนฟังก็เข้าใจผิดอีกว่ามันเป็นกาย หรือว่าอย่างน้อยมันก็เป็นหมู่ ทีนี้ธรรมะอันสูงสุดจะมีอยู่หลายๆ อันไม่ได้ หรือจะเป็นหมู่อย่างคำว่ากายก็ไม่ได้ หรือจะเป็นเนื้อหนังมีเหตุมีปัจจัย มีอะไรก็ไม่ได้ ก็ต้องคิดถึงความหมายอันพิเศษสำหรับคำว่าธรรมกาย อย่าให้มันเป็นกายอย่างร่างกาย หรืออย่าให้มันเป็นหมู่อย่างสิ่งที่มันแบ่งแยกได้ มีปัจจัยเข้าไปแตะต้องได้ นึกถึงธรรมะอันสูงสุด มันไม่ได้มีร่างกายอย่างคนเรา ถ้าจะเรียกว่าร่างกายหรือว่าธรรมะสูงสุดนั้น มันมีกาย มันก็ต้องเป็นกายอย่างอื่นแน่ เราจึงต้องมีวิธีดูกันอย่างอื่น แล้วเห็นเป็นอย่างอื่น จะใช้ความรู้ชนิดไหนของมนุษย์ทั่วไป มันก็ไม่มี เพราะความรู้ของมนุษย์มันจะมีแต่รู้จักดูสิ่งที่เป็นรูปธรรม แม้จะเป็นนามธรรมก็ยังเกี่ยวกับรูปธรรม เป็นนามธรรมชนิดที่เป็นเพียงปฏิกิริยาของรูปธรรม เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ ประชุมกุมกันเข้า อาศัยวิญญาณธาตุ แล้วก็แสดงออกมาเป็นความรู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้ นี้มันก็ยังเป็นรูปธรรม คือเนื่องอยู่ด้วยรูปธรรม มีรูปธรรมเป็นวัตถุสำหรับการเห็นหรือการสัมผัสหรือการรู้สึก ให้เหนือไปกว่านี้ ให้นอกเหนือไปกว่านี้ จะต้องมีการดูกันอย่างอื่น ด้วยสติปัญญาอย่างอื่น เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่าผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นธรรม ธรรมที่เห็นได้เมื่อมีการเห็นปฏิจจสมุปบาท นั่นแหละคือธรรมที่สูงสุดออกไป รวมธรรมชนิดที่ไม่มีรูปกาย ไม่มีอะไรไปครอบงำหรือแตะต้องได้
จึงขอให้ท่านทั้งหลายศึกษาเรื่องปฏิจจสมุปบาท ให้รู้ให้เห็นปฏิจจสมุปบาทแล้วก็จะเห็นธรรมอย่างที่เรียกว่าเห็นธรรมแล้วก็เห็นตถาคต อย่าลืมว่าตถาคตนี้ ขอให้ถือเอาความหมายที่มันแน่นอน ตายตัวลงไปเสียสักที คือตามตัวหนังสือนั่นเองว่า ตถา คือความเป็นอย่างนั้น สิ่งที่เป็นอย่างนั้น ไม่อาจจะผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น ไม่อาจจะเป็นอย่างอื่น แล้ว คต หรือ คะตะ นี้ แปลว่าถึงแล้ว ผู้ถึงแล้ว ตถาคต ก็แปลว่าผู้ถึงแล้วซึ่งตถา นี่อะไรจะถึง แล้วก็ไม่มีอะไรนอกจากจิตที่จะรู้สึกอะไรได้ แต่ว่าจิตที่รู้สึกอะไรได้นั้น มันไม่ใช่อันเดียวกันตถา ตถาคือสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง จิตนี้มันเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลง เราอาศัยจิตที่เปลี่ยนแปลงนี้ ไปถึงสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง อย่าเอาไปทำเป็นสิ่งเดียวกันเสีย แล้วก็แยกเอาแต่สิ่งที่ไม่รู้จักเปลี่ยนแปลง จิตนี้มันขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย ไม่เท่าไหร่มันก็ดับไปตามร่างกาย แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงนั้นเหลืออยู่ นั่นคือธรรมที่จะต้องเห็นด้วยสติปัญญาอันลึกซึ้ง ขนาดที่เรียกว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท ถ้าเห็นปฎิจจสมุปบาทจริง ก็จะเห็นถึงสิ่งที่ไม่รู้จักเปลี่ยนแปลง สิ่งที่กำลังไหลไปอย่างด้วยการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นปฎิจจสมุปบาท ส่วนที่มันเกิดขึ้น ทีนี้ปฏิจจสมุปบาทที่เป็นฝ่ายดับลง มันคนละอัน ถ้ากระแสปฏิจจสมุปบาทสิ้นสุดลง ดับลง อะไรเหลืออยู่ นั้นคือสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง อาศัยความรู้ของปฏิจจสมุปบาทนี้ ก็จะพบสิ่งชนิดนั้น เพราะฉะนั้นการเห็นปฏิจจสมุปบาทอย่างสมบูรณ์นั้น จะทำให้เห็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับปฏิจจสมุปบาท คือไม่ได้อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น สิ่งนี้คืออะไร สิ่งนี้ก็คือความไม่มีแห่งตัวตน เราเห็นปฏิจจสมุปบาทแล้วก็ไม่มีตัวตนเหลืออยู่ให้เห็น จึงเห็นสุญญตา คือเห็นว่าง เห็นความว่าง เห็นปฏิจจสมุปบาทถึงที่สุดจริงๆ นั้นต้องเห็นความว่าง แล้วความว่างนี่แหละจะเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริงได้ ผู้ใดเห็นความว่างคือสุญญตาอย่างถูกต้อง ผู้นั้นจะเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง
เดี๋ยวนี้พวกนักเลง มันเห็นสุญญตาสำหรับกินเหล้า หรือทำกาเมสุมิจฉาจาร นักเลงล้อสุญญตา รวมทั้งล้ออาตมาด้วยนั่นน่ะ เขามีสุญญตาสำหรับกินเหล้า สำหรับทำกาเมสุมิจฉาการ หรือทำความเลวทรามอย่างอื่น ฟังว่าจิตว่างแล้วมันไม่รับผิดชอบอะไร มันทำอะไรตามชอบใจ นั่นมันความว่างของคนพวกที่จะอ้างสำหรับกินเหล้า สำหรับทำชั่วอย่างอื่น ฉะนั้นคนที่มีจิตว่างอย่างนั้น มันเมาเหล้าหัวราน้ำไม่มีสร่าง ไปคิดดู ไปมองดู ฉะนั้นอย่าเอาจิตว่างหรือความว่างชนิดนั้นมาปนกันกับความว่างหรือจิตว่างอย่างของพุทธศาสนา คำว่าว่างในที่นี้มันว่างจากความหมายแห่งตัวตน ไม่มีตัวตน ไม่มีของตน จิตใดเข้าถึงความจริงอันนี้ เรียกว่าจิตว่าง คือจิตที่ไม่รู้จะไปยึดถือเอาอะไรมาเป็นตัวตนหรือของตน จิตว่างชนิดนี้มันไม่กินเหล้า มันไม่หาข้อแก้ตัวสำหรับไปทำเลวทรามอย่างกาเมสุมิจฉาจารเป็นต้น ฉะนั้นผู้เขียนหนังสือพิมพ์ที่ล้อเรื่องจิตว่างนั้นน่ะ มันมีจิตว่างชนิดที่สำหรับกินเหล้าสำหรับทำกาเมสุมิจฉาจารทั้งนั้น ไปหาอ่านดูเถอะ มันยังมีอยู่ในหนังสืออันนั้นที่มันเขียนกันอยู่สำหรับล้อจิตว่าง อย่าเอาความว่างชนิดนี้มาเป็นผลของการเห็นปฏิจจสมุปบาทเลย ถ้าเห็นปฏิจจสมุปบาทจริง ก็จะเห็นความว่างชนิดที่แท้จริงคือสุญญตา ที่เรียกว่าพระนิพพานหรือเรียกว่าอะไรก็ได้ เป็นธรรมะอันสูงสุด
คนครั้งพุทธกาล เขาเห็นพระพุทธเจ้าในลักษณะอย่างนี้คือในลักษณะที่ไม่มีรูปร่าง ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ฉะนั้นเขาจึงสร้างรูปพระพุทธเจ้าเป็นความว่างทั้งนั้น ฉะนั้นมาที่นี่แล้วก็ขอให้สนใจภาพจำลองหินสลักที่จำลองมาจากประเทศอินเดียที่ติดอยู่รอบผนังตึกหลังนั้น เป็นภาพพระพุทธประวัติจนตลอดเรื่อง ตั้งแต่ประสูติ ตรัสรู้ สั่งสอนแล้วก็นิพพาน พระพุทธองค์ในหินสลักเหล่านี้ แสดงไว้ด้วยความว่าง ที่นั่งว่าง หลังม้าว่าง อะไรก็ว่าง ตรงที่ว่างนั่นแหละ มีบันไดลงมา แต่ในที่บันไดนั้นก็ว่าง แต่ว่าบางภาพก็ใช้สัญลักษณ์แทน สัญลักษณ์ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของความว่าง นี่ประเทศอินเดียสมัยพุทธกาล ทิ้งหลักฐานไว้ให้เราเห็นว่าคนเหล่านั้นรู้จักความว่างในฐานะเป็นพระพุทธองค์ มีพระพุทธองค์สูงไปกว่าเนื้อหนังของบุคคล ฉะนั้นจึงไม่แสดงโดยรูปภาพของบุคคล จนกระทั่งเกิดเป็นหลักที่ยึดถือกันขึ้นมาว่าพระพุทธเจ้าพระองค์จริงแสดงไม่ได้โดยรูปภาพ พระธรรมพระองค์จริงแสดงไม่ได้โดยรูปภาพ พระสงฆ์พระองค์จริงก็แสดงไม่ได้โดยรูปภาพ ฉะนั้นหินสลักรุ่นแรกที่สุดไม่ทำรูปพระพุทธองค์และไม่ทำรูปพระสงฆ์ หินสลักในยุคต่อมาจึงค่อยทำรูปพระสงฆ์ ยังไม่กล้าทำรูปพระพุทธองค์ และหินสลักในยุคต่อมาอีก จึงรู้จักหรือกล้าทำรูปพระพุทธองค์ออกมา อย่างที่เป็นพระพุทธรูปที่แพร่หลายอยู่ในเวลานี้ หินสลักรุ่นแรกที่สุดมันก็ประมาณสี่ห้าร้อยปีหลังจากพระพุทธปรินิพพาน คือพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วสักสี่ห้าร้อยปี เขาจึงทำหินสลักในยุคแรกนี้ และไม่ทำรูปพระพุทธเจ้าเลย รูปพระสงฆ์ก็ไม่ทำ แสดงถึงความว่าง ไปดูหลังม้าว่าง ไปดูบัลลังก์ว่าง ไปดูอะไรว่าง ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์จริงแสดงด้วยความว่าง ทีนี้ที่เป็นสัญลักษณ์ เขาทำเป็นไฟลุกอยู่เหมือนกับเป็นลำไฟ เป็นเสามีไฟลุกก็เลยเรียกว่าเสาไฟ ที่โคนเสามีพระบาท ที่ยอดเปลวไฟนั้นมีสามแฉกเรียกว่าตรีรัตนะ นี่สัญลักษณ์ที่เขาใช้กระทำแก่พระพุทธเจ้า มันเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่รูปคน เพราะเขาถือว่าพระพุทธเจ้าพระองค์จริงนั้นไม่ใช่คนหรือที่มีรูปร่างอย่างคน ความรู้ทางโบราณคดีมีประโยชน์อย่างนี้ ถ้าสมมุติว่าไม่มีหินสลักชุดนี้ เราก็ไม่ทราบได้เลยว่าคนในครั้งพุทธกาลนั้นเขาเห็นพระพุทธเจ้าลึกซึ้ง ไปจนถึงพระพุทธเจ้าที่ไม่มีรูปร่าง ที่ไม่ใช่รูปร่าง แต่เป็นความว่าง นี้เรียกว่าเรื่องโบราณคดีมันก็มีประโยชน์เหมือนกัน มันเป็นหลักฐานเหลืออยู่ พอให้เรารู้ได้ว่าเขารู้สึกอย่างไร เขาคิดอย่างไร เขาถือกันอย่างไร ถ้าไม่มีสิ่งนี้เราก็ไม่มีทางจะรู้ได้ ฉะนั้นขอให้สนใจกันบ้างว่าโบราณวัตถุที่แสดงอะไรบ้างนี้ ก็มีประโยชน์อยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหินสลักชุดนี้ที่จำลองมาไว้ที่นี้ เป็นเครื่องยืนยันว่าคนสมัยนั้นรู้จักพระพุทธองค์ถึงขนาดสูงสุด คือรู้จักความว่าง เขาคงจะรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทดี จนรู้ว่าปฏิจจสมุปบาทนี้ให้ผลออกมาเป็นการเห็นสุญญตา อนัตตา ไม่มีบุคคลที่เป็นกระแสปฏิจจสมุปบาทที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มันก็เป็นไปเถอะ มันมีอะไรลึกไปกว่านั้นคือสิ่งที่นอกจากนั้น ก็เลยได้เห็นความว่าง ทีนี้เราจะดูปฏิจจสมุปบาทกันที่ไหน ก็ดูที่สิ่งที่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ดูที่ไหนจะเห็นได้ชัดที่สุด ก็ดูที่รูปหรือนามที่กำลังประกอบกันอยู่เป็นตัวผู้ดูนั่นเอง คนแต่ละคนมันก็มีรูปและมีนามซึ่งเนื่องกันอยู่อาศัยกันอยู่ สำหรับมีชีวิตสำหรับเป็นไปตามแบบของสังขาร ส่วนที่มันเป็นความรู้สึกคิดนึกได้ ที่เรียกว่าจิตหรืออะไรทำนองนี้แหละ มันจะเป็นอะไรได้มาก มันจะโง่ก็โง่ได้มาก มันจะฉลาดก็ฉลาดได้มาก มันจะมีวิวัฒนาการมันก็มีวิวัฒนาการได้มาก มันวิวัฒนาการจนกระทั่งมันรู้แจ้ง หรือมันตรัสรู้แล้วมันก็เห็นตัวมันเองว่าเป็นอะไร เป็นอย่างไร รูปนามนี้เป็นอย่างไร ล้วนแต่เป็นไปด้วยอาการแห่งปฏิจจสมุปบาท มีกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทอยู่ตลอดไป ที่เรียกว่ารูปนามนั่นเอง แม้มันยังไม่เคลื่อนไหวอะไร อยู่ตามธรรมชาติ มันก็เป็น ปฏิจจสมุปบาทของธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุอากาศ ธาตุวิญญาณ แต่พอสิ่งเหล่านี้มันมาประชุมกุมกันเข้า มันเกิดสิ่งใหม่น่ามหัศจรรย์กว่า มันก็มีปฏิจจสมุปบาทที่น่าดูกว่า น่าอัศจรรย์กว่า ลึกลับซับซ้อน มีความทุกข์อย่างลึกลับซับซ้อน จะดับลงไปได้ก็ต้องด้วยวิธีการอันลึกลับซับซ้อน นั่นดูปฏิจจสมุปบาทที่ตัวผู้ดูนั่นแหละ และสมมุติว่ากาย ใจนี้ มันเป็นตัว เป็นตน เป็นผู้ดู เรียกว่าดูที่ตัวมันเองจนรู้ความจริงถึงที่สุดแล้วมันก็หายไป ทั้งผู้ดูทั้งสิ่งที่ถูกดู ดูเป็นความว่าง เป็นสุญญตาไปหมด เดี๋ยวนี้เรามันยังโง่ มันลูบเข้าที่ขาที่แขน มันก็อย่างนี้แหละมีเนื้อมีหนัง เป็นที่ตั้งแห่งทางความรู้สึก ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และความถูกหลอกลวงของรสอร่อยทางอายตนะ ทำให้หลงใหลในกามารมณ์ แล้วก็ต้องเกิดความผิดหวัง แล้วก็ต้องเกิดโทสะ เกิดจิตเลวทรามอย่างอื่น มันก็ปิดบังกันทับถมหลายชั้น หลายซับหลายซ้อนจนมีคนโง่ที่อวดดี เดี๋ยวนี้มันเต็มไปด้วยคนโง่ที่อวดดี เป็นพระ เป็นเณรก็มาก อย่าว่าแต่เป็นอุบาสกอุบาสิกาเลย ยิ่งเรียนยิ่งไม่รู้ แต่มันก็คิดว่ายิ่งรู้ มันก็เอาอันนี้มาเป็นเครื่องยึดถือแล้วมันก็อวดดี มันยกหู ชูหางข้างนอก ยกหู ชูหางอยู่ข้างใน อย่างนี้แล้วไม่มีหวังไม่มีหนทางที่จะรู้จักพระพุทธเจ้าที่เป็นความว่าง เป็นอันว่ายังไม่มีโอกาสจะเลื่อนชั้นของการศึกษา ของการปฏิบัติ หรือของการทำวิสาขบูชาเป็นต้น
อาตมาก็ยังไม่ได้หวังอะไรมาก และการที่ว่าเราจะเลื่อนชั้นกันไปได้โดยเร็ว มันยังมีปัญหามาก มันยังมีอุปสรรคมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ท้อถอย ยังคิดจะทำให้มันเลื่อนชั้นอยู่เรื่อยไป จะไม่ทำวิสาขบูชาชนิดที่เพื่อจะมาดูหนังดูสไลด์ แต่จะทำวิสาขบูชาที่เลื่อนออกไปๆ จนไปดูพระพุทธเจ้า ไปเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริงไกลออกไปๆ คือชัดเจนยิ่งขึ้นๆ จนมีพระพุทธเจ้าชนิดนั้น อันนี้จะถึงที่สุดของความเป็นพุทธบริษัท ถึงขนาดที่ว่าผู้นั้นก็จะเป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง ที่ว่าท่านทั้งหลายอุตส่าห์มาจากที่ไกล เปลืองมาก เสียเวลามาก เหนื่อยมาก เดี๋ยวนี้ก็ยังเหนื่อยที่ว่ายังมาทนนั่งอยู่ ยังไม่ได้นอน นี่คงจะเมื่อยหลังกันเต็มทีแล้ว นี่ถือว่าเป็นการลงทุนทั้งนั้น ก็ลงทุนเพื่อให้ได้อะไร ก็เพื่อเลื่อนชั้นอย่างที่ว่า เพื่อเข้าถึงพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ที่เป็นความว่างอันเป็นผลที่ได้มาจากการเห็นปฏิจจสมุปบาท เห็นธรรมะอันสูงสุด เห็นพระอาทิพุทธ คือพระพุทธเจ้าพระองค์แรกที่คลอดพระพุทธเจ้าทั้งหลายออกมาเต็มไปหมดในจักรวาลนี้ ถ้าพูดตามที่พวกหนึ่งเขาพูด พระพุทธเจ้านี้นับไม่ถ้วน เต็มไปในจักรวาล ในพุทธเกษตร ที่พวกเราพูดนี้มันยังน้อยไป พูดถึงกันอยู่แต่พระพุทธเจ้าวิปัสสี สิขี เวสสภู กัสสป โกนาคมน์ มีเท่านี้ไม่กี่องค์ ล้วนแต่เป็นพระพุทธเจ้าอย่างมนุษย์ทั้งนั้น ไม่ใช่องค์อาทิพุทธะ คืออะไรก็ไม่รู้ เหนือความเป็น เหนือการบัญญัติว่าเป็นอะไร แต่ก็ยังไม่วายที่จะถูกบัญญัติว่าเป็นอาทิพุทธะ เป็นพระพุทธเจ้าองค์แรก คือเป็นธรรมะในชั้นแห่งสุญญตา ว่าง ไม่มีต้น ไม่มีปลาย ไม่มีตรงกลาง ไม่มีอะไรหมด นี่เป็นอาทิพุทธะ ดูสิ มันน่าขัน มันน่าหัวเราะ ไม่มีข้างต้น ไม่มีข้างปลาย ไม่มีตรงกลาง ไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ไม่มีอะไรหมด แต่ทำไมมันออกมาเป็นพระพุทธเจ้าอย่างที่เป็นบุคคลจำนวนหนึ่งไม่น้อยรวมทั้งพระพุทธเจ้าตรงที่เรามาทำวิสาขบูชานี้ด้วยองค์หนึ่งด้วยเหมือนกัน เพราะว่าพระพุทธเจ้าองค์อื่นนั้นก็คือวันอื่น เดือนอื่น ที่อื่น เมื่ออื่น อย่างอื่นกันทั้งนั้น พระพุทธเจ้าองค์นี้ก็เป็นเพียงองค์หนึ่งในหลายๆ องค์นั้น ฉะนั้นจึงมาเลื่อนชั้นกันเถิด มันจะออกไปพ้นกาลเวลา สถานที่ หรือเหตุปัจจัยทั้งหลาย เราก็จะมีความว่าง ได้ถึงความว่าง ได้รู้รสของความว่าง นั่นแหละพระพุทธเจ้าพระองค์จริง เราจะไม่พูดให้มันมากนักเดี๋ยวเขาก็จะว่าอวดดี ถ้าเราจะพูดว่า ถ้าเราถึงธรรมะอันนี้แล้วเราก็เป็นตถาคตเสียเอง คือว่าใครก็ได้เห็นปฏิจจสมุปบาทอย่างสมบูรณ์เต็มร้อยเปอร์เซ็นแล้วก็จะเข้าถึงสิ่งที่เรียกว่าตถา คือความเป็นอย่างนั้น ไม่อาจจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ นี่คือความที่เราเป็นตถาคตเสียเอง ฉะนั้นคำว่าตถาคต นี้ มันทำพิษคือยุ่งยากในการแปล พวกที่ไม่รู้จริง ไม่ถึง ตถา จริงๆ มันก็ว่าไปตามความรู้สึกคิดนึก ความเดาของมัน ยุติกันไม่ได้ว่าคำว่าตถาคต นี้ แปลว่าอะไร คนพวกหนึ่งก็แปลว่าพระพุทธเจ้า ตถาคตแปลว่าพระพุทธเจ้า ทีนี้คนอีกพวกหนึ่งว่าพระอรหันต์ทั้งหลายก็ได้ ทีนี้คนพวกหนึ่งว่าสัตว์ทั่วไป ในฐานะที่ว่ามันมาอย่างสัตว์ เกิดมาอย่างสัตว์ เป็นไปอย่างสัตว์ มันก็เป็นตถาคตได้ แต่อันนี้ไม่ถูกแน่ คำว่าตถาคต ถ้าจะแปลให้ถูก ต้องแปลว่า ถึงแล้วซึ่งตถา ฉะนั้นใครก็ได้มีความรู้ปฏิจจสมุปบาทเต็มที่ ถึงที่สุดแล้ว เขาจะเห็นตถา แล้วก็จะเข้าถึงตถา คือความเป็นอย่างนั้น ไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น คนนั้นก็กลายเป็นตถาคตไป โดยสมมุติคนนั้นเป็นตถาคตไป แต่ไม่ใช่เปลือก ไม่ใช่เนื้อหนัง ไม่ใช่ร่างกาย ไม่ใช่จิตใจ ไม่ใช่อะไรชนิดที่ว่ามันเป็นสังขารที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง แต่มันไม่มีเครื่องมืออะไรที่จะเกิดความรู้สึกนึกถึงได้ ก็ต้องเอาจิตนี้ ที่เป็นสังขาร รู้สึกคิดนึกอะไรได้ ถึงพระพุทธ ถึงพระธรรม ถึงพระสงฆ์ ถึงตถา ถึงสุญญตา ถึงนิพพาน มันรู้สึกได้ด้วยจิต หมดจิตแล้วก็เลิกกัน เดี๋ยวนี้เราก็ยังไม่ตาย ยังมีจิตอยู่ ฉะนั้นเป็นโชคดีที่ว่าไม่ตาย มีจิตชนิดที่ได้เข้าถึง ตถากับเขาบ้าง หนทางอื่นไม่มี นอกจากรีบเลื่อนชั้นเสียเถิด อย่าไปมัวเมา อย่าไปเป็นห่วงสิ่งที่เป็นอาทีนวะ เห็นโดยความเป็นอัสสาทะ คือเห็นกงจักรเป็นดอกบัว มันยืดยาวไป เพราะไปหลงในอัสสาทะคือรสอร่อยที่จะเกิดจากรูปธรรม นามธรรม เป็นจิตที่โง่เขลา จิตอยู่ในอัสสาทะอย่างนี้โดยไม่รู้ว่ามันเป็นอาทีนวะคือโทษทั้งนั้น รีบมองเห็นโทษของสิ่งที่เราไปหลงยึดถืออยู่ ก็จะสลัดออกไปได้ จิตนี้ก็จะเปลี่ยนสภาพฉลาดแหลมคมไปในทางที่จะเห็นสุญญตาหรืออนัตตาได้ นี้เป็นผลของการรู้ปฏิจจสมุปบาท คือเห็นธรรม เห็นธรรมก็เห็นตถาคต ถึงตถาแล้วก็กลายเป็นตถาคตไปเอง เราอย่าไปด่าใครที่เขาจะพูดว่าเป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง แต่ก็มิได้หมายความว่าคนนั้นมันเป็นพระพุทธเจ้าได้เอง แต่มันมีสิทธิที่จะพูดว่าเมื่อเห็นปฏิจจสมุปบาท เห็นตถา เห็นอะไรแล้ว มันก็จะกลายเป็นพระพุทธเจ้าเสียเองได้ นี่มันเป็นกฎของธรรมชาติ เป็นกฎของอิทัปปัจจยตาอีกเหมือนกัน เราควรจะขอบใจคนนั้นที่มาบอกให้ว่าคนเรานี้จะกลายเป็นพระพุทธเจ้าได้ จะกลายเป็นตถาคตได้ เมื่อมีความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท เห็นปฏิจจสมุปบาทโดยสมบูรณ์ ฉะนั้นเรื่องปฏิจจสมุปบาทที่ถูกต้องนั้น มันตกค้างอยู่ในพระไตรปิฎก ไม่มีใครเอามาพูด เพราะมันพูดยาก ก็เลยเหมาเอาว่ายังไม่ต้องพูด เป็นเรื่องที่ยังไม่ต้องพูด มันจึงตกค้างอยู่ในพระไตรปิฎกมากมายเต็มไปหมดเลย บางทีจะมากกว่าเรื่องอะไรๆ เสียด้วย แต่มีคนช่วยเอาปฏิจจสมุปบาทในรูปอื่น ในแบบอื่น สำหรับผู้ที่ยังจะต้องยึดถือตัวตนอยู่เอามาสอนให้ ให้มีศีลธรรมดี นี่ก็นับว่ามีประโยชน์อยู่เหมือนกัน ควรจะขอบใจเขาด้วย แม้ว่าจะเป็นปฏิจจสมุปบาทแบบอื่นคือมีตัวตน เมื่อเขาเบื่อระอาในเรื่องตัวตน สักวันหนึ่งเขาก็จะเหลียวไปหาความไม่มีตัวตน คือมีปฏิจจสมุปบาทที่ถูกต้อง มาศึกษามาปฏิบัติกัน เมื่อนั้นก็จะพ้นความมีตัวตน ขอให้รู้ไว้เถิดว่าเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้ ทางหนึ่งนั้นมีความมุ่งหมายที่จะทำลายเสียซึ่งความหลงว่ามีตัวตนแล้วก็ยึดมั่นนั่น ยึดมั่นนี่ ถือนั่นอย่างนั่น ถือนี่อย่างนี้ไปตามความหลงว่ามีตัวตน ทีนี้ถ้ายังมีตัวตนอย่างนี้ก็ใช้ปฏิจจสมุปบาทอย่างที่มีตัวตน ละความชั่วได้ก็กลัวความชั่ว กลัวจะเกิดชั่ว กลัวจะอะไรชั่ว แล้วก็ไปทำความดี พอได้รับผลแห่งความดี เป็นอะไรดีขึ้นมา ก็ยังไม่พ้นไปจากกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท ทีนี้มันขี้เกียจจะเวียนว่ายในดีในชั่ว ในดีในชั่ว มันก็อยากจะออกไปให้พ้นดีพ้นชั่ว ทีนี้แหละปฏิจจสมุปบาทที่ถูกต้องก็จะเข้ามา ทำให้เห็นโดยความเป็นของว่างจากตัวตน แล้วเรื่องมันก็จบ ฉะนั้นเรื่องก็จะไปจบตรงที่รู้ปฏิจจสมุปบาทอย่างแท้จริง อย่างถูกต้อง อย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริงจะปรากฏออกมาเมื่อนั้น ขอให้เราหวังกันไว้อย่างนี้ และขอให้เราทำวิสาขบูชาให้เลื่อนชั้น ให้เลื่อนชั้น ให้เลื่อนชั้น จนไม่มีขอบเขตเรื่องกาล เรื่องเวลา เรื่องนั้น เรื่องบุคคล เรื่องรูปธรรม เรื่องนามธรรม ที่ล้วนแต่เป็นสมมุติและบัญญัติ
นี่อาตมาคิดว่าเป็นเรื่องที่ควรจะเอามาพูด แล้วก็ไม่พูด เพราะมันไม่อาจจะพูด ในเมื่อมันอยู่กันอย่างชุลมุนวุ่นวายเหมือนเมื่อตอนเย็นที่แล้วมา หรือว่าเหมือนตอนหัวค่ำก็ยังชุลมุนวุ่นวาย เดี๋ยวนี้มันเงียบสงัด มันเหลือแต่คนที่เข้มแข็งอดทนได้ เป็นโอกาสเหมาะที่จะพูดกันเรื่องนี้บ้าง จึงได้พูดเรื่องที่ว่าเหมาะสำหรับจะเอามาพูดกันในเวลาอย่างนี้ ที่สงบ มีจิตใจพอที่จะหยั่งลงไปให้ลึกในกระแสแห่งธรรม จึงขอให้มองเห็นว่ามันคุ้มค่าแล้ว ที่อุตส่าห์อดตาหลับขับตานอน นั่งทนฟังอีกครั้งหนึ่งจนเดี๋ยวนี้ นี่มันมีสิ่งตอบแทนที่คุ้มค่า ฉะนั้นอย่าง่วงเสีย คิดนึกต่อไปอย่างแจ่มแจ้งให้เข้าใจข้อนี้ เห็นปฏิจจสมุปบาท คือเห็นธรรม เห็นธรรมคือเห็นตถาคต มีตถาคต และอยู่กับตถาคต อะไรจะดีกว่านี้ช่วยคิดดู ว่าอะไรๆ ที่เราขวนขวายกันนักหนา เหงื่อไหลไคลย้อยอะไรนี่ แทบจะทุกวันทุกคืนนั้น มันมีอะไรดีกว่านี้ มีอะไรที่ดีไปกว่าการเข้าถึงตถาคต เป็นตถาคตเพราะการเห็นธรรม นี่โครงร่าง รูปร่าง หรือว่าเค้าโครง หรือว่าแนวของการศึกษาธรรมะ การก้าวหน้าไปตามทางของธรรมะมันมีอยู่อย่างนี้ อย่างอื่นมันไม่มี อย่างอื่นมันไปไม่รอด มันไปติดกันเสียที่สิ่งที่หลอกลวงอย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องมากับแนวนี้ ศึกษากันแนวนี้ มันจึงจะทะลุออกไปจากสิ่งที่หลอกลวง เข้าไปถึงของจริงสูงสุดคือองค์พระพุทธเจ้า หรือธรรมะ หรือว่าธรรมสัจจะของปฏิจจสมุปบาท คือของธรรมชาติอันสูงสุดเหนือสิ่งใดๆ มองดูทางหนึ่งก็เป็นเพียงธรรมชาติ มองดูอีกทางหนึ่งก็ถูกสมมุติให้เป็นพระพุทธเจ้า หรือสมมุติให้เป็นอะไรๆ ได้อีกหลายอย่าง ถ้าเห็นสมมุติ ก็รู้ว่าสมมุติ แล้วมันก็ไม่ติดอยู่ที่สมมุติ มันก็เข้าไปถึงความจริง แล้วก็เข้าถึงความจริงของธรรมชาติ ถ้าจะมีพระพุทธเจ้าเป็นผู้รับสมมุติแทนธรรมชาติอันนี้ ก็รู้ว่ารับสมมุติ เนื้อหนังร่างกายของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่รับสมมุติความเป็นพระพุทธเจ้า สำหรับคนที่ยังไม่รู้ ก็เอาสมมุติ เอาที่รับสมมุตินี้เป็นพระพุทธเจ้า เราจึงมีคนเป็นพระพุทธเจ้า เรามีพระสารีริกธาตุเป็นพระพุทธเจ้า เรามีพระเครื่องที่แขวนคอเป็นพระพุทธเจ้า นี้ก็ต้องไปกันก่อน ในชั้นนี้จะทำอย่างไรได้ เพราะว่าไม่อาจจะทะลุสมมุติออกไปได้ ทีนี้ก็รบเร้าอยู่เสมอว่าเลื่อนชั้น เลื่อนชั้นกันเถิด เลื่อนชั้นๆ ก็คือผ่าสมมุตินี้ออกไป แล้วก็จะถึงความจริง อย่ามัวหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังเอาไว้ ดึงเอาไว้ ไม่ยอมให้เลื่อนชั้น ไม่ยอมให้ไปข้างหน้า เพราะว่าที่นี่มันสนุกดี อยู่ในระดับนี้มันสนุกดี มันมีอะไรครึกครื้นสรวลเสเฮฮา เขียวๆ แดงๆ อะไรกันไปตามเรื่อง แม้ทำไปในนามของพระพุทธเจ้า เพื่อพระพุทธเจ้า มันน่าหัวเราะ แต่มันจะทำอย่างไรได้ เพราะว่าลูกเด็กๆ อมมือมันยังมีอยู่เต็มไปทั้งโลก ก็ทำเพื่อลูกเด็กๆ เหล่านั้นก็แล้วกัน แก่หัวหงอกแล้วก็ยังเป็นลูกเด็กๆ อมมือ บวชเป็นพระเป็นเณรเป็นเถรแล้วก็ยังเป็นลูกเด็กๆ อมมือ ถ้ามันยังไม่รู้เรื่องนี้ มันไม่เข้าถึงเรื่องนี้ มันไม่ทะลุเรื่องนี้ไปได้ ขออภัยต้องเรียกว่ามันยังเป็นลูกเด็กๆ อมมือ มันได้เถียงกัน มันได้ทะเลาะกันด้วยเรื่องของพระพุทธเจ้านั่นเอง ดูมันก็สนุกดี แต่พอดูอีกที มันน่าสังเวช น่าสลดใจ ขอให้แก้ปัญหานี้ให้ลุล่วงไปด้วยการเห็นธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปทุกที นี่คือการเลื่อนชั้นที่รบเร้าอยู่ตลอดเวลาว่า เลื่อนชั้น ถ้าไม่อย่างนั้นคุณก็จะเน่าเข้าโลงไปเสียก่อนแต่ที่จะได้เห็นอะไรที่เป็นของประเสริฐสูงสุดคือพระพุทธเจ้าพระองค์จริง หรือก่อนแต่จะเห็นสุญญตา อนัตตา มันก็จะเน่าเข้าโลงไปเสียก่อน ฉะนั้นอย่าได้ประมาทเลย คำสั่งคำสอน คำตักเตือน คำสุดท้ายของพระพุทธเจ้าก็คือคำว่า อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด ท่านตรัสเป็นคำสุดท้ายโดยร่างกายแห่งมนุษย์นี้ โดยปากแห่งร่างกายแห่งมนุษย์นี้ โดยเสียงที่ออกมาจากปากแห่งร่างกายของมนุษย์นี้ มันเป็นคำสั่งครั้งสุดท้าย เขาเรียกกันว่าพินัยกรรมของพระพุทธเจ้าที่ฝากไว้ให้ มอบหมายไว้ให้ว่าท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท หรือว่ายังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด เราจะสนองพระพุทธประสงค์อันนี้กันหรือไม่ ถ้าตั้งใจจะสนอง ก็รีบละทิ้งสิ่งที่มันเป็นอุปสรรคขัดขวางเถิด กระทำความไม่ประมาทให้ก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไปโดยเร็ว ก่อนแต่ที่จะเน่าเข้าโลงไปเสีย คือก่อนแต่จะตายเน่าเข้าโลงไปเสียนั้น จะได้เห็นพระพุทธเจ้า จะได้เข้าถึงตถา และเป็นตถาคต รู้พระนิพพานในฐานะที่เป็นสุญญตาอันสูงสุด
อาตมาเห็นว่าถึงกาลสมควรแก่เวลาแล้วในการวิสัชชนาธรรมะกัณฑ์ที่ ๓ นี้ จึงขอเตือน ขอสั่งหรือขอฝาก ความจำแก่ท่านทั้งหลายเอาไปคิดไปนึกตลอดเวลาปีหนึ่งอีกกว่าจะได้ทำวิสาขบูชากันอีก แล้วหวังว่าท่านทั้งหลายคงจะมาในรูปที่ว่าคงจะเลื่อนชั้นได้บ้างแม้สักนิดหนึ่งก็ยังดี ถ้าไม่ได้เต็มชั้นก็เอาสักครึ่งชั้น เมื่อเคยอยู่ประถมหนึ่ง ถ้าขึ้นประถมสองไม่ได้ ขอให้เป็นประถมหนึ่งครึ่ง จึงหวังว่าในการพบกันในโอกาสหน้าของการทำวิสาขบูชานั้น ท่านทั้งหลายคงจะได้เลื่อนชั้นแล้วทุกคน ขอให้ความหวังอันนี้มันสำเร็จ ด้วยความที่เราเป็นคนจริงต่อพระรัตนตรัย มีความเลื่อมใสเป็นทุนรอนเป็นเดิมพัน ที่จะเทลงไปสำหรับความก้าวหน้าในทางแห่งพระศาสนาของพระบรมพระศาสดาตามความประสงค์ของความเป็นพุทธบริษัทอันแท้จริงอยู่ทุกทิพาราตรีกาล ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวัง ก็มีประการฉะนี้ เป็นการสวดมนต์ (นาทีที่ 01.10.15-จบไฟล์)... จบไฟล์//