แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นักศึกษาผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายเป็นครั้งที่ ๒ นี้ จะได้กล่าวในหัวข้อว่า ธรรมะ ในความหมายแห่งสิ่งที่ขจัดปัญหาทางวิญญาณ ฟังดูแล้วก็จะเป็นคำที่ประหลาด หรือยังไม่เข้าใจสำหรับหลายคนทีเดียว แต่มันจำเป็นที่จะต้องทำให้เข้าใจคำๆ นี้ ฉะนั้นขอให้พยายามสนใจคำว่าปัญหาทางวิญญาณนี้ให้จงได้ ขอทบทวนถึงครั้งที่แล้วมา เราก็ได้กล่าวโดยรวมข้อว่า พุทธศาสนามีอะไรให้แก่เรา พูดกันยืดยาว ในที่สุดก็สรุปได้เป็นคำเดียวว่า มีธรรมะให้แก่เรา นี่แปลคำว่าธรรมะนั้นมีความหมายมาก หรือแต่ว่ากันโดยที่แท้แล้ว คำว่าธรรมะนั้นหมายถึงทุกสิ่ง ไม่ยกเว้นอะไร นี่ก็กล่าวตามวิธี ตามลักษณะของภาษาศาสตร์ หรือแม้แต่ในเรื่องทางวรรณคดี หรืออะไรก็ตาม เพราะธรรมะมันหมายถึงทุกสิ่ง เพราะว่าธรรมชาติที่เป็นรูปธรรม นามธรรมก็ดีนี้ ก็เรียกว่าธรรมในภาษาไทย หรือธรรมะในภาษบาลี เหตุที่ว่ากฎเกณฑ์ของธรรมชาตินี้ก็คือ สิ่งที่เรียกว่าธรรมเหมือนกัน เป็นหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องทำตามธรรมชาติ ตามกฎของธรรมชาตินั้น ก็เรียกว่าธรรมเหมือนกัน ได้ผลอะไรมาจากการทำหน้าที่อย่างนั้นๆ ก็เรียกว่าธรรมอีกนั่นแหละ มันไม่มีคำอื่นเรียก นี่คือความยุ่งยากลำบากในการที่จะเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าธรรม
ในแง่ของภาษา คำว่าธรรมะมันหมายถึงทุกสิ่ง นี่ต่อมาในแง่ที่มันจำกัดแคบเข้ามา จึงจะหมายจำกัดเฉพาะสิ่งนั้นสิ่งนี้ เป็นระบบ ระบบใดระบบหนึ่ง จะพูดถึงทางศาสนา ตามความมุ่งหมายของศาสนาที่ใช้อยู่ในภาษาของศาสนา คำว่าธรรมะ ก็คือสิ่งที่จะขจัดปัญหาทางวิญญาณ นี่ขอให้สมมติให้ใจความไว้อย่างนี้ก่อน
ทีนี้ คุณจะต้องทราบคำที่มันเนื่องกันกับคำว่าทางวิญญาณนั้นอีก ๒ คำ โดยยกเอาเรื่องของปัญหานี้มาเป็นหลัก ปัญหาของมนุษย์เราก็มีอยู่ ๓ อย่าง คือ ปัญหาทางกาย คือทางวัตถุอย่างหนึ่ง ปัญหาทางจิต โดยเฉพาะไม่เกี่ยวกับวิชาความรู้นี่อีกทางหนึ่ง แล้วปัญหาเกี่ยวกับสติปัญญา ซึ่งจะเรียกว่า ทางวิญญาณอีกทางหนึ่ง การจะใช้คำว่าวิญญาณนี้ ก็เพื่อให้มันคู่กับคำว่า คู่กันกับคำว่า spiritual ซึ่งเขาใช้เป็นคำสากล เข้าใจได้ง่ายเมื่อเราไปเล็งถึงตัวจริง ถ้าเรามีปัญหาทางวัตถุ หรือทางร่างกาย ไม่มีวัตถุจะใช้ ร่างกายเจ็บป่วยอย่างนี้ เป็นต้น นี่เราเรียกว่าปัญหาทางร่างกาย ธรรมะไม่ได้มุ่งหมายแก้ปัญหานี้โดยตรง
นี้ปัญหาทางจิต คือ จิตไม่สมประกอบ จิตมันด้อยทางสมรรถภาพ คือ จิตมันไม่สงบตามแบบของจิต นี้ก็เรียกว่าปัญหาทางจิต ธรรมะก็ไม่ช่วยอะไรได้มาก แต่เดี๋ยวนี้เราจะเรียกว่าธรรมะอีกเหมือนกัน ที่มันเคยแก้ปัญหาทางจิต ถ้าเป็นอย่างโบราณที่เคยเห็นใช้ในวรรณคดีทั้งหลายนั้น ไอ้ระบบที่จะช่วยแก้ปัญหาทางกายหรือทางจิตลักษณะอย่างนี้ ก็เรียกว่า นิติ หรือ นิติธรรม หรือ เนตติ อะไรทำนองนั้นมากกว่า
พอมาถึงปัญหาทางวิญญาณ คือปัญหาทางสติปัญญา ความเห็นผิด เห็นถูก นี่จึงจะเป็นหน้าที่ของศาสนา หรือธรรมะในพระศาสนาจะช่วยแก้ได้ ที่จริงมีคำว่าธรรมะใช้ในความหมายอย่างนี้ อย่างที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ของพวกเรา คือพระไตรปิฎก มันก็จะพูดกันว่า ท่านชอบธรรมะของใคร เขาไม่ได้ใช้คำว่าศาสนา ถ้าพูดอย่างเดี๋ยวนี้ในเมืองไทยเรา ก็จะพูดว่าท่านชอบศาสนาไหน ชอบศาสนาของใคร แต่ครั้งกระโน้น ในครั้งพุทธกาล เขากลับใช้คำว่าธรรมะ นี่ท่านชอบธรรมะของใคร บางคนก็จะตอบว่า ชอบธรรมะของพระสมณะโคดม คือพระพุทธเจ้าองค์นี้ บางคนจะตอบว่าชอบธรรมะของนิคันถนาฎบุตร คู่แข่งขันของพระพุทธเจ้า อย่างนี้เป็นต้น เขาใช้คำว่าธรรมะในความหมายอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นผมจึงชี้ให้เห็นว่าธรรมะในฐานะเป็นสิ่งที่จะแก้ปัญหาทางวิญญาณ ส่วนปัญหาทางกาย ปัญหาทางจิตนั่น เขาแก้กันด้วยสิ่งที่ไม่ใช่ธรรมะก็ได้ แต่โดยเหตุที่คำว่าธรรมะใช้ได้แก่ทุกสิ่ง มันก็เลยใช้คำว่าธรรมะได้อีกเหมือนกัน เพื่อแก้ปัญหาทางกายหรือทางจิต เช่น ธรรมะสำหรับชาวนา ก็แก้ปัญหาของชาวนาในการที่จะทำนาให้ถูกต้อง หรือว่าความรู้ที่จะแก้ไขในทางกาย ให้โรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นไม่ได้ หรือหายไป ก็เรียกว่า ธรรมะของไอ้หมอของอะไรก็ได้ ภาษามันดิ้นได้อย่างนี้ ถ้าไม่รู้เท่าถึงการณ์ในข้อนี้แล้ว จะเวียนหัว ผู้ศึกษาจะเวียนหัว เดี๋ยวธรรมะ เดี๋ยวไม่ใช่ธรรมะ มันพูดกันคนละที แต่ที่แน่นอนตายตัวที่สุดก็คือ ธรรมะที่ใช้สำหรับแก้ปัญหาทางวิญญาณ หรือทางสติปัญญาอันลึกซึ้ง ชั้นลึกซึ้ง แม้คำว่าสติปัญญานี้ก็เหมือนกัน มันมีอยู่ ๒ ความหมาย หรือ ๒ ระดับ สติปัญญาทำมาหากิน แล้วแถมคดโกงด้วยก็ได้ นี่เขาเรียกว่าสติปัญญา ภาษามันดิ้นได้อย่างนี้
แต่คำว่าสติปัญญาที่เรากำลังพูดถึงนี้ หมายถึงเรื่องที่สูงไปกว่าเรื่องของโลก มันเป็นเรื่องที่จะถึงพระเจ้า หรือว่าเป็นเรื่องที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานต่างหาก นี่เรื่องสติปัญญา เขาใช้คำว่า spiritual กัน เป็นคำที่มีความหมายกว้าง ครอบคลุมถึงไอ้พวกนี้ทั้งหมด เราไม่รู้จะแปลคำว่า spiritual นี้ว่าอย่างไร ก็เลยแปลว่าทางวิญญาณไว้ก่อน ก็รู้จักแยกความหมายให้มันต่างกันโดยเด็ดขาดกันเองก็แล้วกัน ทางกาย หรือทางวัตถุ material หรือ physical หรืออะไรก็ตาม เป็นเรื่องทางวัตถุนี้พวกหนึ่ง ก็มีปัญหาตามแบบของมัน ที่ว่าจิตประสาท ทาง mental nervous system อะไรก็ตามนี้ มันก็มีปัญหาของมันอีกแบบหนึ่ง แต่ spiritual นี้มันแยกออกไปไกล หรือสูงไปกว่าที่คนธรรมดาสามัญจะไปแตะต้อง เป็นเรื่องทางสติปัญญา เขาจะพูดทางจิต หรือทางนามธรรมก็ได้เหมือนกัน แต่มันไม่ใช่เรื่องจิตอย่างที่เราพูดกันอยู่ในภาษาไทยเวลานี้ เช่นไปโรงพยาบาลโรคจิต ไปรักษาโรคจิต จิตอย่างนั้นมันอีกความหมายหนึ่ง คืออยู่ในพวก mental ไม่ใช่ระบบ spiritual
ถ้าคุณเข้าใจความหมายของคำ ๓ คำนี้ชัดเจนแจ่มแจ้ง ต่อไปจะศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนานี้ได้ง่ายที่สุด ได้ชัดเจนที่สุด ได้รวดเร็วที่สุด ขอให้จำแต่คำ ๓ คำไว้เป็นหลักเบื้องต้นก่อน ว่าปัญหาทางกาย หรือทางวัตถุนี้หนึ่ง ปัญหาทางจิตอย่างหนึ่ง แล้วปัญหาทางวิญญาณโน้นอีกอย่างหนึ่ง แล้วก็รู้ได้ เห็นได้ไม่ยากว่าไอ้ธรรมมะนี่มัน มุ่งประสงค์จะแก้ปัญหาทางวิญญาณ พระศาสดาแห่งศาสนานั้นๆ ก็มุ่งจะแก้ปัญหาทางวิญญาณทั้งนั้น โดยเสนอคำสั่งสอนออกมาสู่สังคม ก็ล้วนแต่เพื่อไปแก้ปัญหาทางวิญญาณ ท่านไม่มามัวสอนเรื่องวัตถุ เรื่องทำมาหากิน เรื่องไอ้เรื่องจิตตามธรรมดา แม้ว่าไอ้เรื่องจิตนี้จะไปไกล ถึงมีสมาธิ เป็นฌาณ เป็นสมาบัติ อะไรก็ตาม พอหาพบกันแล้ว พอทำได้กันแล้วตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิด ก่อนยุคพุทธกาล นี้เรื่องที่มันเหลือคาราคาซังกันอยู่ คือเรื่องทางสติปัญญา ว่าเราจะเห็นแจ้งกันอย่างไร ความทุกข์จึงจะหมดสิ้นไป
ทีนี้ดูทีว่าปัญหาทั้ง ๓ นี้ มันเนื่องกัน ถ้าทางกายและทางวัตถุดี ทางจิตมันก็จะปรกติ ถ้าทางกายและทางจิตปรกติ เรื่องของทางวิญญาณมันก็จะเป็นไปได้ คือมันจะไม่ยากเกินไป เดี๋ยวนี้คุณบวช เพื่อที่จะศึกษาธรรมะ คุณก็จะพอมองเห็นได้แล้วว่า เราจะศึกษาธรรมะในส่วนไหน เดี๋ยวนี้เราเรียกว่าธรรมะกันไปซะหมด โดยส่วนใหญ่ก็มุ่งหมายจะศึกษาธรรมะ ที่แก้ปัญหาทางวิญญาณ แต่เดี๋ยวนี้มันก็มีมาให้ทางจิตและทางวัตถุ อย่างที่ได้บอกให้ทราบแล้วในการบรรยายครั้งแรกว่า พุทธศาสนานั้นมุ่งหมายจะแก้ปัญหาทางวิญญาณ บรรลุมรรคผลนิพพาน แต่ในพระคัมภีร์ของเรา ก็มีเรื่องทางโลกๆ เรื่องชาวบ้าน เรื่องฆราวาสธรรม มีอยู่เป็นอันมาก เพราะมีคนทูลถามพระพุทธเจ้าในข้อนี้ หรือท่านไปเห็นอะไร หรือใครทำอะไรมันออกจะงมงาย ท่านก็บอกให้ ว่าน่าจะลองดูอย่างนี้บ้าง จึงมีเรื่องของฆราวาส ที่เรียกกันว่าฆราวาสธรรม หรือธรรมะของฆราวาสนั้น รวมอยู่ในพระคัมภีร์ของเราด้วย แต่ถึงอย่างไรก็ดี ถ้าเราสังเกตดูให้ดี เราจะมองเห็นว่า ท่านก็ไม่ได้ตรัสไปในแง่ทางวัตถุล้วนๆ ทางกาย ทางกายล้วนๆ มันมีทางวิญญาณเจืออยู่ เพราะมันต้องทำด้วยสติปัญญา สำหรับฆราวาสจะเป็นฆราวาสที่ดี จะต้องทำอย่างไร เช่นว่าจะเว้นอบายมุขทั้ง ๖ ได้ มันก็เป็นเรื่องของสติปัญญาอยู่มาก แต่มิใช่ความมุ่งหมายโดยตรงที่จะมาพูดเรื่องฆราวาสธรรม ท่านมุ่งหมายจะพูดถึงความดับทุกข์ หรือที่สุดแห่งความทุกข์ ที่สุดแห่งความทุกข์จริงๆ ก็คือเรื่องนิพพาน
เอาล่ะ, เป็นอันว่าเราเข้าใจคำว่าธรรมมะตามความหมายทางศาสนา นั่นจะหมายถึงสิ่งที่จะสามารถแก้ไขปัญหาทางวิญญาณ ส่วนทางกาย ทางจิตนั้น ผนวกเข้าไปไว้ด้วย แล้วแต่จะทำได้เพียงไร แต่อย่าลืมว่าส่วนใหญ่แล้วไม่ได้กล่าวถึง ว่าจะพูดให้ทำนาอย่างไร อย่างนี้มันก็ไม่มี แล้วหาไม่พบ แต่กลายไปพบเรื่องทำนาแบบอมตะ มีนิพพานเป็นข้าวเปลือกนี้ ไปซะทำนองนั้น หรือว่าถ้าว่ามันเป็นโรคจิตอย่างที่ต้องไปปากคลองสานนั้น ไปอยู่ที่กรุงเทพ ไปปากคลองสานนั้น มันหาไม่พบในพระคัมภีร์ว่าจะรักษาโรคจิตนั้นอย่างไร ก็มีเรื่องทำจิตให้เป็นสมาธิ เป็นโรคจิตที่สูงขึ้นไป ที่คนธรรมดาเขาไม่ค่อยรู้จัก แต่นี้ก็ไม่ใช่ตัวแท้หรือความมุ่งหมายโดยตรง เพราะลำพังแต่เราแก้ปัญหาเรื่องจิตที่เป็นสมาธิได้ มันก็ไม่ดับทุกข์หรือดับกิเลสได้สิ้นเชิงได้ มันจึงเป็นอยู่ในระดับ ๓ ก็แก้ปัญหาทางวิญญาณได้ ความรู้เป็นสัมมาทิฐิ แล้วก็ปฏิบัติตามอำนาจของสัมมาทิฐิ แก้ปัญหาดับทุกข์ได้ กระทั่งสิ้นเชิง
นี่คือคำแรกที่จะต้องเข้าใจกันให้ถูกต้อง ก็คือคำว่าธรรมะ สำหรับจะแก้ปัญหาทางวิญญาณ ปัญหาของเรามีอยู่ ๓ ระดับ คือ ทางกาย ทางจิต และ ทางวิญญาณ เราก็จะได้พูดกันให้มันตรงเรื่อง คำ ๓ คำนี้ เป็นคำพื้นฐานที่คนควรทราบ เพื่อประหยัดเวลาสำหรับเข้าใจเรื่องต่างๆ ต่อไป
ทีนี้ก็จะมาดูว่า เรื่องทางวิญญาณ หรือการแก้ปัญหาทางวิญญาณนี้มันจะสามารถแก้ปัญหาทางกาย ทางจิตได้ตามสมควร นั้นเรื่องทางศีลธรรมทั่วๆ ไปของสังคม ก็แก้ได้ด้วยการแก้ปัญหาทางวิญญาณนั้นด้วยเหมือนกัน ฉะนั้นขอให้รู้ความที่มันคาบเกี่ยวกันอย่างนี้ ถ้าเราประยุกต์เป็นคำว่าธรรมะ คำเดียวนี้จะแก้ปัญหาได้หมด มันก็จะต้องพูดกันถึงเรื่องว่าจะประยุกต์กันอย่างไร
ในการบรรยายครั้งที่ ๑ นั้น เรามีการกล่าวถึงปัญหานานาแบบ หรือประโยชน์ที่เราจะได้รับจากศาสนานั้น การเป็นบุตรที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นพลเมืองที่ดี เป็นสาวกที่ดี หรือว่าจะเป็นผู้ประกอบกิจเฉพาะอย่างที่ดี หรือจะเป็นมนุษย์อย่างฆราวาสที่มีความเจริญก้าวหน้าทางมรรคผลนิพพานด้วยก็ดี นี่มันก็ทำได้ด้วยไอ้สิ่งที่เรียกว่า ธรรม เพียงคำเดียว ทีนี้ธรรมที่เราใช้พูดกันอยู่ในเวลานี้ เมื่อผมพูดว่าใช้กันอยู่ในเวลานี้ ก็หมายความว่าในครั้งพุทธกาลนั้นเขาไม่ได้ใช้ เช่น แยกเป็นโลกียธรรม โลกุตรธรรม เขาไม่ได้ใช้คำอย่างนี้ แต่เดี๋ยวกลับใช้ แล้วใช้อย่างมากๆ หรือขั้นศีลธรรมทั่วไปของชาวบ้าน ใช้คำว่าว่า โลกุตรธรรม ที่เหนือโลก ไม่ต้องแยก เพราะเขาใช้ธรรมะในความหมายที่แก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ที่เรียกว่าเป็นชั้น เป็นชั้น เป็นชั้น เป็นชั้น สูงขึ้นไปตามลำดับ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังมองเห็นว่ามันมีการแบ่งแยกกันอยู่อย่างจะเรียกว่าเด็ดขาดก็ได้ เช่น ธรรมะพวกหนึ่ง มันกล่าวสำหรับพวกที่ยังมีความยึดถือตัวตน ยังจะต้องยึดถือตัวตนไปก่อน ไม่ประสีประสาในเรื่องที่ไม่มีตัวตน ก็มีธรรมะประเภทศีลธรรมไว้สำหรับคนเหล่านี้ นั้นจึงพูดไปในทำนองว่ามีตัวมีตน เป็นผู้ทำกรรม รับผลของกรรม ตายแล้วไปเกิดรับผลของกรรม นี่พูดอย่างมีตัวตน นี่ก็ธรรมะแบบนี้ก็มีอยู่อย่างนี้ไม่ใช่ผิด ไม่ใช่ มันมีไว้สำหรับคนที่มีตัวตน เราเรียกคำพูดเหล่านี้ว่าเป็นคำพูดภาษาคนธรรมดา เป็นภาษาคน พูดสำหรับคนมีตัวตน
ทีนี้ธรรมะอีกพวกหนึ่ง มีไว้สำหรับพวกที่ไม่มีตัวตน คือพยายามศึกษาเพื่อที่ไม่มีตัวตน จนกระทั่งละตัวตนได้แล้ว โดยที่มีหลักว่าไอ้ตัวตนนั้นไม่ใช่เป็นของจริง เป็นของเกิดขึ้นเพราะความเข้าใจผิด คิดนึกรู้สึกเอาเอง ก็มีธรรมะอีกพวกหนึ่งบอกว่าไม่มีตัวตน มีแต่ธรรมชาติ เป็นไป เปลี่ยนไป หรือเป็นเหตุปัจจัยแก่กันและกันไม่มีที่สิ้นสุด แม้เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีคน ไม่มีคน แล้วใครจะทำกรรม แล้วใครจะรับผลของกรรม นี่มันก็เป็นแต่เหตุ ปัจจัย หรือว่าธรรมชาติ ที่เป็นไปตามกฎแห่งเหตุปัจจัย ไอ้ร่างกายก็เป็นธรรมชาติ จิตใจก็เป็นธรรมชาติ มันอาศัยกันทำอะไรได้ รู้สึกคิดนึกได้ ครั้นทำอะไรลงไปก็มีปฏิกิริยาเกิดขึ้น อย่างนี้เค้าเรียกว่าไม่มีตัวตน เป็นธรรมะชั้นสูง ชั้นที่เรียกว่า โลกุตร
นี่เราไม่รู้เรื่องนี้ หรือได้ยินอย่างนี้ที ได้ยินอย่างนั้นที ก็เลยเข้าใจผิด หรือว่ามันตีกันยุ่งจนไม่เข้าใจอะไรได้ นั้นถ้าเขาบอก เขาสอน เขาแนะเรื่องธรรมะนี้ เราต้องฟังให้ออก และจับให้ได้เสียก่อนว่าเขากำลังพูด ชนิดที่มันมีตัวตน หรือชนิดที่ไม่มีตัวตน ถ้าเราจะพูดกันอย่างคนธรรมดาสามัญ ก็ต้องมีตัวตน ทำดีเพราะอยากได้ดีแก่ตน อย่างนี้เป็นต้น ก็ไม่ผิด เพราะนั้นเค้าพูดเรื่องสุญญตา เรื่องไม่มีตัวตน หรือ อนัตตา มิใช่ตนอย่างนี้ ก็อย่าเข้าใจว่ามันผิด ทั้งที่มันพูดกันอยู่อย่างขัด กันอยู่ตรงกันข้าม เพราะมันเป็นธรรมะประเภท โลกุตระ ธรรมะประเภท โลกุตระ เราก็เรียกว่า โลกุตรธรรม ธรรมะอย่างชาวบ้านทั่วไปก็เรียกว่า ศีลธรรม หรือว่าโลกียธรรม ก็แล้วแต่จะเรียก ทีนี้ผมกำลังบอกว่า ทุกศาสนาต้องการจะแสดงธรรมะประเภทโลกุตรธรรม นี่ก็จะแก้ปัญหาทางวิญญาณเท่านั้น
ขอให้เข้าใจไอ้เรื่องที่ต้องเข้าใจในขั้นต้นกันนี้เสียทีก่อน เราก็รู้ต่อไปว่าในระบบศีลธรรมก็ตาม ในระบบโลกุตรธรรม ก็ตาม มันก็มีปัญหา ๓ อย่างนั้นอยู่แหละ อยู่ร่ำไปแหละ มีปัญหาทางกาย ทางจิต ทางวิญญาณ แต่ปัญหาทางกายหรือทางจิตนั้น มันจะน้อยลงไป เกือบไม่มีเหลือ มันขึ้นถึงระดับโลกุตรธรรม เพราะเราจะถือว่ามันหมดปัญหาทางกายและทางจิตแล้ว ยังเหลือแต่เรื่องทางวิญญาณ สำหรับจะออกไปนอกโลก แต่ถ้าเป็นเรื่องของศีลธรรม อยู่ในบ้านในเรือน ในหมู่ ในสังคม นี่มันก็มีปัญหาเต็มที่ ทางวัตถุ ทางร่างกาย หรือทางจิต หรือทางสติปัญญา
ทีนี้มันมีคำกำกวม ที่ทำให้ๆ เวียนหัวหรือเข้าใจผิดได้อีก ก็คือคำว่า ศีลธรรม นั่นเอง คำว่าศีลธรรมอย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว มันจำกัดอยู่เพียงแค่เรื่องของชาวบ้าน เรื่องโลก ทั้งโลก เรื่องในโลก ไม่รวมไปถึงเรื่องโลกุตระ หรือนิพพาน แต่ในบางกรณีหรือบางภาษา เอาคำว่า เอาคำที่ใช้สำหรับศีลธรรมนั่นแหละ ไปใช้ถึงโลกุตรธรรม หรือ นิพพานด้วยก็มี เท่าที่ผมสังเกตเห็นในภาษาอังกฤษโดยเฉพาะคำว่าศีลธรรมนี้มันใช้ไปถึงนิพพานด้วย คือระบบ ด้วย มันเกือบเป็นศีลธรรมขั้นสูงสุด ระบบสูงสุดขึ้นมา ถ้าเราไม่รู้ไว้อย่างนี้ เราก็จะงง ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ใครผิด พูดผิด หรือใช้คำผิด
นี่เกี่ยวกับภาษา ถึงแม้ในภาษบาลี ก็มีทางที่จะใช้คำว่าศีลธรรมนี้สูงไปถึงนิพพาน แต่มันในความหมายอันนึง มันไม่ใช่ความปรกติของสังคม เป็นความปรกติของจิต ของวิญญาณ คำว่าศีละ แปลปรกติ แล้วไม่มีอะไรปกติแท้จริงเหมือนกับพระนิพพาน ศีละแปลว่าปรกติ เราใช้ไปกันในความหมายธรรมดา หรือปรกติที่กาย ที่วาจา ไม่ต้องถึงนิพพาน เรียกว่า ศีล ศีละ แต่ตัวศีละมันแปลว่าปรกติ ถ้าปรกติโดยแท้จริง มันต้องเป็นนิพพาน ไม่อย่างนั้นมันไม่ปรกติถึงที่สุดได้ นั้นขอให้รู้ไอ้ความเกี่ยวข้องปนเปกันอย่างนี้ไปด้วย ถ้าเราพูดภาษาธรรมดาก็ให้เป็นความหมายธรรมดา ถ้าพูดความหมายพิเศษ คำพิเศษ ก็เป็นความหมายพิเศษ ก็จะถือว่าเป็นคำบัญญัติเฉพาะตามที่เขาใช้อยู่ก็ได้เหมือนกัน คุณก็ระวังคำที่เขาบัญญัติไว้เฉพาะตามแบบของศาสนานั้นๆ ตามแบบของปรัชญา สาขานั้นๆ ซึ่งในที่สุดจะพบว่าคำเดียวกันแท้ๆ มันใช้กันคนละอย่าง อย่างน่าเวียนหัว นี่ผมเห็นว่าเป็นสิ่งที่นักศึกษาจะต้องเข้าใจไว้เป็นพื้นฐาน แล้วก็จะเข้าใจอะไรได้โดยง่าย ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็จะเข้าใจได้ยาก จะเบื่อหน่าย จะท้อถอย จะทิ้งเสียก็ได้ เหมือนที่เคยสังเกตเห็นที่แล้วๆ มาเป็นอย่างนี้ ผมก็ใช้ประสบการณ์บางอย่างเท่าที่สังเกตเห็น มาบอกให้ฟังว่า ทำไมนักศึกษาแท้ๆ ก็ศึกษาธรรมะไม่ได้ น่าเบื่อ น่าระอา แล้วก็เลิกรากันไปอย่างนี้ก็มี ขอให้ถือว่าคำพูดนี่ทำยุ่ง เราใช้กันต่างๆ กัน แล้วมันไม่มีคำพูดพอที่จะใช้ให้ครบถ้วนได้ จึงต้องบัญญัติขึ้นมาใหม่ นี้ก็ทำยุ่งเหมือนกัน เพราะบางอย่างก็ไม่อาจจะใช้คำพูดบรรยายได้ อย่างนี้ก็เลยยิ่งยุ่งยากใหญ่ ขอให้เข้าใจว่ามันมีอยู่ สิ่งที่พ้นวิสัยที่จะบรรยายด้วยคำพูดนั้น มันก็มีอยู่ อย่างสิ่งที่เรียกว่านิพพาน ส่วนที่เราบรรยายได้ด้วยคำพูดนั้น ก็มีอยู่ ก็คงเป็นเปลือกนอก หรือของรอบๆ นอกนั้น มีอะไรๆ ของนิพพานที่ไม่สามารถจะบรรยายได้ด้วยคำพูดอย่างนี้ก็มี มันต้องค่อยๆ รู้สึก รู้สึกด้วยการได้ชิม ได้ลอง ได้รู้สึกด้วยจิตใจเรื่อยๆ ยิ่งๆ ขึ้นไป จึงจะรู้ได้ นั้นเท่าที่เรามาพูดได้มันก็ไม่พอ เพราะทำให้สงสัยว่าทำไมมันจึงๆ เข้าใจกันไม่ได้ เพราะคำพูดมันช่วยให้เข้าใจถึงที่สุดไม่ได้ ต้องรอกว่าจะได้สัมผัสสิ่งนั้นจริงๆ
สำหรับไอ้ค่าของคำในความหมายที่จะขจัดปัญหาทางวิญญาณนี่ ผมขอร้องให้สังเกตเป็นพิเศษ ให้มองเห็นว่าไม่ใช่สิ่งที่อยู่นอกวงของความประสงค์ ไม่ใช่อยู่นอกวงที่เราจะต้องใช้ ที่จริงปัญหาทางวิญญาณนั่นคือสิ่งที่จะต้องใช้มากยิ่งขึ้นในโลกปัจจุบัน โลกปัจจุบันก้าวหน้าทางวัตถุ ไปหลงใหลทางวัตถุกันมากเกินไป ปัญหาทางวิญญาณก็เกิดมากขึ้น จนเราไม่มีความสงบสุข จนไม่มีจิตใจที่จะปรกติหรือเป็นสุข นี่คนบางคนก็พูดว่า โอ้ย, เราไม่ต้องการนี่ เราต้องการแต่ความก้าวหน้า หรือความสมบูรณ์ทางวัตถุ เขาก็ยิ่งไม่สนใจเรื่องทางวิญญาณ ถ้าลงมีหลักอย่างนี้แล้ว เป็นอันว่าพูดกันไม่รู้เรื่อง พูดกันไม่รู้เรื่องเป็นแน่นอน จะให้ผมพูดกี่ร้อยชั่วโมงก็รู้เรื่องไม่ได้ สำหรับผู้ที่เขาไม่ต้องการอย่างนั้น ถ้าเขามองเห็นว่าไอ้โลกก้าวหน้าทางวัตถุมากขึ้นเท่าไร มันสร้างปัญหาทางวิญญาณมากขึ้นเท่านั้น นั้นจะต้องมีความรู้ในทางนี้ให้เพียงพอ สำหรับจะไม่ให้เกิดปัญหาในส่วนนี้ขึ้น
ไอ้รูปภาพที่ดีที่สุด มีอยู่รูปหนึ่งในอาคารหลังนี้ คือ รูปที่นั่งอยู่ในปากงู แล้วไม่ถูกเขี้ยวงู ผู้เขียนเป็นศิลปินที่เขียนภาพนี้ขึ้น เขารู้ธรรมะมากพอสมควร คือ มิสเตอร์เชอร์แมน บวชเป็นพระตอนหลัง เพื่อจะบอกให้รู้ว่าในโลกนี้ มันจะเต็มไปด้วยเขี้ยวงูมากขึ้น ยิ่งเจริญทางวัตถุอย่างไร เท่าไหร่ มันมีเขี้ยวงูที่จะยอกตำคนให้เจ็บปวดน้ำตาไหลมากขึ้น คือ มันทำให้เกิดความอยากมากขึ้น ยังไม่มีเวลาที่รู้สึกว่าอิ่ม ว่าพอ แล้วก็จะเห็นแก่ตัวจัดขึ้นทุกคน แล้วก็จะเบียดเบียนกัน จะเอาเปรียบกัน จะทำลายล้างกันในที่สุด แม้ยังไม่มีใครมาทำลายล้าง ไอ้ตัวเองแหละมันก็สร้างไอ้สิ่งที่ทรมานจิตใจมากขึ้น เราอาจจะยังไม่รู้สึกข้อเท็จจริงข้อนี้ก็ได้ เพราะมันยังมีอะไรๆ ที่ยังไม่ถึงอยู่อีกมาก แต่ขอฝากให้สังเกตไว้ นับวันมันจะยิ่งมีปัญหาที่เสียดแทงในจิตใจหรือวิญญาณนี่มากขึ้น กระทบกระทั่งเขี้ยวงูไปเสียทุกทิศทุกทาง ถ้ามีธรรมะในด้านจิต ด้านวิญญาณอย่างถูกต้องแล้ว แม้นั่งอยู่ในที่แคบระหว่างเขี้ยวงู มันก็ไม่ถูกเขี้ยวงู
ขอให้มุ่งหมายที่จะศึกษาธรรมะ เพื่อประโยชน์อย่างนี้ จะเรียกว่าตรงจุดหมาย ตรงเป้าหมาย ของสิ่งที่เรียกว่าศาสนา จะได้รับประโยชน์เต็ม เรื่องที่มันจะเป็นของเสียดแทงของลน ขึ้นมาได้ มันอยู่ในระดับที่มีตัวตน ยิ่งมีความรู้สึกเป็นตัวตน คือ เป็นตัวกู เป็นของกู จากเท่าไหร่ มันจะมีลักษณะเป็นเขี้ยวงูยอกตำมากขึ้นเท่านั้น ฉะนั้นถ้ามันมีอะไรมาส่งเสริมให้เรามันเกิดรู้สึกประเภทตัวตนมากขึ้น เขี้ยวงูมันก็จะมากขึ้น ไม่ต้องมาจากอื่น มันมาจากความรู้สึก ความเข้าใจ ความสำคัญมั่นหมายอะไรของตนนั่นเอง นั้นขอให้ฉลาดไว้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ เพื่อจะเผชิญกับไอ้โลกที่มันจะเจริญ ด้วยสิ่งที่จะเป็นเขี้ยวงูมากขึ้น คำว่าเขี้ยวงูนี้ไปหาความหมายเอาให้เพียงพอ มันงูพิษ แล้วมันก็เจ็บปวดลึกซึ้ง แล้วก็มีการตายทางวิญญาณ ชนิดที่ไม่รู้จักสิ้นสุด
ถ้าเราตายทางกาย ใส่โลงไปเผาไปฝัง มันก็หมดเรื่อง แต่ถ้ามีการตายทางวิญญาณนี้ มันจะตายแล้วตายอีก ตายแล้วตายอีก อย่างนับไม่ถ้วน ความทุกข์ที่เกิดขึ้นครั้งหนึ่ง ก็เรียกว่าเป็นการตายครั้งหนึ่ง คือมันไม่ได้มีตัวกูอยู่ตามธรรมชาตินั้น ต่อเมื่อมีอวิชชาเข้ามาเกิดในจิตใจแล้ว มันก็เกิดตัวกูขึ้นมา นี่เรียกว่าเกิดขึ้นมา ตัวกูมันบ้าไปพักหนึ่ง เดี๋ยวมันก็สิ้นสุดลง คือมันตาย เดี๋ยวมันก็เกิดอีก เดี๋ยวมันก็ตายอีก เดี๋ยวเกิดอีก เดี๋ยวตายอีก นี่เรื่องทางวิญญาณเป็นอย่างนี้ ในโลกที่มันมีอะไรก้าวหน้าทางวัตถุ ไปตามอำนาจของกิเลส มันจะมีสิ่งที่จะยั่วให้เกิด ไม่ให้ตายทำนองนี้มากขึ้น พูดอีกทีหนึ่งเขาก็จะหาว่าเรามันโง่ ถ้าเราจะพูดว่าครั้งโบราณเขามีโชคดี ที่เขาไม่มีอะไรที่มายั่วให้เกิดตัวกู ของกูมากเหมือนสมัยนี้ สมัยนี้การศึกษาล้วนแต่ส่งเสริมให้เกิดตัวกู ของกูยิ่งขึ้น ความสามารถในการผลิต ในการอะไรก็มากขึ้น เขาผลิตไอ้สิ่งที่ส่งเสริมเป็นตัวกู ของกูมากขึ้น ปัญหาในโลกนี้มันก็มาก ขอให้เตรียมตัวไว้สำหรับเผชิญในอนาคต คือมีธรรมะที่จะแก้ปัญหาทางวิญญาณนี้ให้เพียงพอ อย่าได้คิดว่าไอ้เรื่องทางวิญญาณไม่ๆเกี่ยวกับเราสมัยนี้ ซึ่งเป็นสมัยวัตถุ ยิ่งมากทางวัตถุ ก็ยิ่งมีปัญหาทางวิญญาณ คือยิ่งก้าวหน้าหลงใหลทางวัตถุ ก็ยิ่งมีปัญหาทางวิญญาณ ขอให้สังเกตไอ้สิ่งๆนี้ไว้ให้ดีๆ
การรู้ธรรมะ ก็คือรู้วิธีที่จะแก้ปัญหาทางวิญญาณ ถ้าต่ำกว่านั้นก็แล้วแต่จะเรียก แต่จะเรียกว่าธรรมะก็ไม่ผิด เพราะคำว่าธรรมะมีความหมายกว้างดังกล่าวแล้ว อย่าหัวเราะเยาะไอ้คำว่าวิญญาณ หรือ คำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คำว่าโลกุตระ และคำอื่นๆ อีกมากมายว่ามันเป็นคำที่พ้นสมัย ถ้าเห็น ถ้าเข้าใจหรือเห็นๆ แจ้งในข้อนี้แล้ว รู้สึกว่ายิ่งไม่พ้นสมัย พูดแล้วก็ไม่มีใครเชื่อ ถ้าผมพูดว่าไอ้นิพพานนั่นยิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนสมัยนี้ ยิ่งกว่าคนสมัยโน้น คนก็ไม่เชื่อ จะหาว่าบ้าด้วยซ้ำไป เพราะมันไม่มองกันในแง่ที่ว่า ไอ้นิพพานนี่มันเป็นเรื่องของความเย็น ดับความร้อน แต่สมัยนี้มันมีความร้อนมากกว่า มันก็ต้องการนิพพานมากกว่า สมัยนี้มีความทุกข์มากกว่า มันก็ต้องการไอ้สิ่งที่ดับความทุกข์มากกว่า จึงขอให้ลองหยั่งดู พิจารณาเทียบเคียงดูว่า มนุษย์จะต้องใช้ธรรมะมากขึ้น หรือว่าไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ธรรมะมากขึ้น ถ้าพูดอีกทางหนึ่งก็พูดว่า ไอ้โลกนี้มันอยู่ยากยิ่งขึ้นทุกที หรือว่าอยู่ง่ายยิ่งขึ้นทุกที การที่เราจะอยู่ในโลกนี้ มันจะเป็นการอยู่ที่ยากลำบากยิ่งขึ้นทุกที หรือว่ามันจะเป็นของง่ายขึ้นทุกที
ฝรั่งบางคนเขามีความเห็นตรงกันข้ามจากเรา พูดกันไม่รู้เรื่อง อย่างที่เขาว่าเขาจะแก้ปัญหาทุกอย่างได้ ทางวัตถุเขาก็อาจจะแก้ได้ ตามความหมายทางวัตถุ แต่มันไปเพิ่มปัญหาทางจิตใจ เขาไม่รู้ ถ้าพูดถึงความทุกข์ก็หัวเราะ ว่ามนุษย์สมัยนี้ไม่ต้องมีความทุกข์ ถ้าเรามีความทุกข์ เราทำยาเป็นเม็ดๆ กินเข้าไประงับความรู้สึกที่เป็นทุกข์เสียก็ได้ นี่มองดูเถอะมันเป็นวัตถุนิยมแท้ วัตถุนิยมหลายๆ ร้อยหลายพันเปอร์เซ็นต์เข้าไปอีก นั้นไม่มีๆ ความจำเป็นอะไรที่จะต้องหันไปหาศาสนา ไปหาพระเจ้า หรือไปหาธรรมะ ทางสังคมก็มีสวัสดิการสูง เจ็บไข้ได้ป่วยก็รักษา ถ้าเจ็บปวดขึ้นมา ก็กินยาแก้เจ็บปวด ถ้าเจ็บปวดทางจิตใจ ก็กินยาระงับความรู้สึก ก็จบกัน เขาไม่ต้องการธรรมะ ไม่ต้องการศาสนาอย่างนี้ก็มี แล้วพอผมถามว่าไอ้ความกลัว ความวิตกกังวล ความหวาดเสียวล่วงหน้า อย่างที่คุณก็กลัวสงคราม กลัวคอมมิวนิสต์ กลัวอะไรอย่างนี้ มันเป็นปัญหาหรือไม่ มันเป็นความทุกข์หรือไม่ เขาก็เฉยเสีย ฟังดูแล้วเขาก็ไม่ต้องการจะใช้ธรรมะเลย จะแก้ปัญหาด้วยวัตถุท่าเดียว แต่ใครๆ ก็มองเห็นชัดว่าในโลกปัจจุบันนี้ ก็มีความกลัวเพิ่มมากขึ้น คือต้องคิดหายาเม็ดกินเข้าไปแล้วระงับความกลัวได้ จึงจะไม่มีปัญหา
นี้ส่วนพวกเราคนงมงายหัวโบราณมาแต่เดิมนี่ มันยังคิดว่าจะใช้ธรรมะเป็นเครื่องแก้ปัญหาเหล่านี้ จนกระทั่งว่าไม่รู้จักเจ็บปวด ไม่รู้จักกลัว ไม่รู้จักอะไรด้วยเหมือนกัน การเจ็บไข้มันของน่าหัวเราะเยาะ ความตายเป็นของน่าหัวเราะเยาะ ดับจิตลงไปด้วยไม่รู้สึกเป็นทุกข์เลย แต่เรามีวิธีทางสติปัญญา หรือทางธรรมะ ไม่ใช่ว่าจะทำยาเม็ดกินแล้วระงับความรู้สึกเสียอย่างที่พวกฝรั่งเขาคุยอวด ฝรั่งบางคนเขาพูดว่า ในอินเดียในครั้งพุทธกาลนั้น ไม่มีความเจริญอะไรเลยทางวัตถุ ทางอะไร เหมือนกับว่าบางแห่งในทวีปอาฟริกาสมัยนี้ เพราะว่าความเป็นอยู่ของคนในอินเดียของพุทธกาลนี่ เหมือนกับว่าบางแห่งในทวีปอาฟริกาสมัยนี้ เมื่อเขาเห็นอย่างนี้แล้วก็ไม่ต้องพูดกันล่ะ มันคงพูดกันไม่รู้เรื่องแน่ ถึงจะพูดไปยังไง เขาเกณฑ์ให้ความรู้ธรรมะของพระศาสดาทั้งหลายนี้ แก้ปัญหาของคนในระดับคนป่าในอาฟริกาสมัยนี้ เขาไม่รู้ว่าคนในประเทศอินเดียสมัยนั้นมันเจริญด้วยสติปัญญา แก้ปัญหาทางกายทางจิตได้หมด จนกระทั่งมีสมาธิ มีอะไรก็ได้ เสร็จแล้วมันยังเหลืออยู่แต่ไอ้ทางวิญญาณ คือความรู้ชนิดที่จะตัดกิเลส ตัณหา อุปทาน มันไม่ถึงที่สุด มันคว้ากันมาเรื่อย มันละเมอว่าถึงที่สุด ละเมอว่าถึงที่สุด ละเมอว่าถึงที่สุดมาหลายยุค หลายรูปแบบ จนกว่าจะเกิดรูปแบบสุดท้ายของพระพุทธเจ้า ก็แก้ปัญหาได้จริง จนกล้าอวดว่าเป็นศาสดาทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ พวกฝรั่งบางคนสมัยนี้ก็ยังจัดระดับให้ว่า มันเหมือนกับคนป่าในอาฟริกาสมัยนี้ ผมก็เลยไม่พูดกับเขา มันคงพูดกันไม่รู้เรื่อง
แต่ที่เอามาเล่าให้ฟังนี้ ก็เพื่อจะให้เข้าใจในสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะคืออะไร ให้ถูกต้อง สำหรับแก้ปัญหาทางวิญญาณซึ่งคนธรรมดาแก้ไม่ได้ เป็นถึงกับว่าเราจะให้คนสมัยปัจจุบันโดยเฉพาะพวกฝรั่งนี้ ที่เขาเก่งกล้าสามารถในทางวัตถุ ให้เขารวมหัวกันแก้ปัญหาทางจิตใจดูที ว่าจะได้หรือไม่ได้ เรายังคงท้าทายอยู่เสมอว่า มันคงไม่ได้ หรือมันไม่ได้ผลในระดับที่เราต้องการ คือยังไม่มีจิตหลุดพ้นจากความทุกข์อันลึกซึ้ง อันละเอียด ขอให้ตั้งเป้าหมายตรงไปยังธรรมะ เพราะมันเป็นสิ่งที่มันสูงกว่าที่จะใช้แก้ปัญหาของคนป่าในทวีปอาฟริกา
วันนี้ผมพูดแต่เพียงเท่านี้ ว่าธรรมะนี่คือสิ่งที่จะแก้ปัญหาทางวิญญาณ แล้วก็แก้ปัญหาทางจิต ทางกายลงมาได้ ทั้งในแง่ของศีลธรรมระดับปุถุชนทั่วไป และในแง่ของโลกุตรธรรม คือ ระดับพระอริยเจ้า ขอให้มองเห็นอยู่เสมอว่า เป็นปุถุชนมันก็ต้องกระทบเขี้ยวงูในปากงูเรื่อยไป เป็นพระอริยเจ้าก็จะไม่กระทบ หรือไม่กระทบยิ่งๆ ขึ้นไป จนไม่กระทบเลย นั้นเราไม่อาจจะเป็นปุถุชนอยู่ได้ตลอดไป เพราะสติปัญญามันเจริญขึ้น เราก็จะเลื่อนชั้นเป็นปุถุชนที่ดีขึ้นมา เป็นชั้นๆ ไปจนไปเข้าเขตของความเป็นพระอริยเจ้าขั้นแรกๆ ต้นๆ ก่อน แล้วต่อไปจะไหลไปเอง มันจะทนอยู่ไม่ได้ การที่มาศึกษาธรรมะนี้ก็ให้รู้ข้อเท็จจริงอันนี้ และแก้ปัญหาในความเป็นปุถุชนให้มันหมดไป แล้วจะเป็นมนุษย์ที่ดี เต็มที่ตามที่มนุษย์จะดีได้อย่างไร จะไม่ต้องใช้คำว่ามรรคผลนิพพานกันก็ได้ ใช้แต่เพียงคำพูดว่าให้มันถึงจุด หรือระดับที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะดีได้เพียงไร ความหวังอันนั้นจะสำเร็จได้ด้วยสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ที่ถูกต้องโดยเฉพาะเลย
วันนี้ไม่สะดวกที่จะพูด ก็ต้องขอยุติไว้เท่านี้ก่อน แสงสว่างไม่พอ ทำให้ปวดหัว แล้วนี้มันก็ไม่ค่อยดัง ทำให้ต้องเบ่งเสียง แล้วเพลียในเวลาอันสั้น ถ้าอันนี้มันดังมาก ก็จะพูดเบาๆ แล้วมันไม่เหนื่อย