แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้ จะได้วิสัชชนา พระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญาของสมเด็จพระศาสดาส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะ ความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัทให้เจริญงอกงามก้าวหน้าในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายกว่าจะยุติลงด้วยเวลา ธรรมเทศนาในวันนี้เป็นธรรมเทศนาพิเศษ ปรารภเหตุการณ์ที่วันนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่ ของพุทธศักราช 2521 เป็นเวลาที่กำหนดไว้เป็นขนบธรรมเนียมประเพณี ที่สาธุชนทั้งหลายจะได้ประกอบกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งโดยสมควร แก่เหตุการณ์ในวันนี้ด้วยกันทุกชาติทุกภาษา ทุกศาสนา แม้พุทธบริษัทเราก็ได้บำเพ็ญกุศลหลายอย่างหลายประการเนื่องด้วยวันที่สมมติว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ บัดนี้จะได้แสดงธรรมเทศนาเพื่อให้สำเร็จประโยชน์แแก่การกระทำนั้นๆยิ่งๆขึ้นไป สรุปความว่าจะมีการขึ้นปีใหม่กันอย่างไรจึงจะได้รับประโยชน์ถึงที่สุด ขอให้ท่านทั้งหลายตั้งใจฟังพินิจพิจราณาใคร่ครวญดูให้ดี แล้วกระทำให้สำเร็จประโยชน์เต็มตามสติกำลังของตนด้วยกันจนทุกคน การที่ปีใหม่ ปีเก่าผ่านไปและปีใหม่ผ่านขึ้นมาแทนนี่เป็นเรื่องสมมติ แต่ก็มีความจำเป็นที่ว่าจะต้องสมมติเพราะว่ามนุษย์จะต้องพูดจามีการกำหนดเวลาอย่างนั้นอย่างนี้ เท่านั้นเท่านี้ ในกิจกรรมที่ตนจะต้องกระทำ เพื่อตนเองก็ดีเพื่อผู้อื่นก็ดี จึงมีการกำหนดเวลาเป็นระยะๆไป เพราะดวงอาทิตย์บ้าง เพราะดวงจันทร์บ้าง เพราะการที่ฝนตกใหญ่คราวหนึ่งบ้างเป็นเครื่องกำหนดเวลา ว่าปีหนึ่งว่าเดือนหนึ่ง แม้ที่สุดแต่ว่าสัปดาห์หนึ่ง พอเป็นเครื่องกำหนดรู้ได้ง่ายๆว่าเวลาได้ผ่านไปจากอะไร แต่ว่านั่นก็เป็นเพียงเครื่องกำหนดเวลาเท่านั้น ส่วนตัวเวลาจริงๆนั้นอยู่ลึกกว่านั้น ไกลกว่านั้นละเอียดกว่านั้น สุขุมกว่านั้น จนคนธรรมดาสามัญหรือคนโง่ๆไม่อาจจะรู้ได้ว่าสิ่งที่เรียกว่าเวลานั้นคืออะไร กลางวันก็เป็นเวลากลางคืนก็เป็นเวลา ฤดูฝนก็เป็นเวลา ฤดูแล้งก็เป็นเวลา เดือนหนึ่งก็เป็นเวลา ปีหนึ่งก็เป็นเวลา กระทั่งหายใจเข้าออกครั้งหนึ่งก็เป็นเวลา
เป็นเวลาเหมือนกันหมด แต่มีเครื่องกำหนดเวลาต่างๆกัน เราจึงกำหนดเวลาตามที่ต้องการจะกำหนดกันอย่างไร ส่วนตัวเวลาที่แท้จริงนั้นคืออะไรก็ยังไม่รู้ เลยเหมาๆว่า สิ่งหนึ่งซึ่งมันล่วงไปๆๆผ่านไปๆ พูดอย่างนี้มันก็ยังไม่ถูกนักเพราะว่ามันไม่ได้มีตัวมีตนอย่างไรที่ไหนที่มันจะผ่านไป มันเป็นอะไรอันหนึ่งซึ่งไม่ต้องพูดกันก็ได้ แต่ต้องให้รู้ไว้ว่ามันมีความสำคัญ ที่สำคัญที่สุดก็คือทำให้สิ่งทั้งหลายมีความผันแปรไปพร้อมๆกันกับที่เวลามันผ่านไป เราจึงมีการเกิดการแก่การเจ็บการตาย ยังมีอะไรอีกหลายๆอย่างที่เป็นปัญหาเกิดขึ้นเกี่ยวกับเวลา อย่างน้อยที่สุดคนธรรมดาสามัญทั่วไปก็จะต้องคำนึงถึงเวลาเพื่อทำการงานของตนให้เสร็จทันแก่เวลาหรือเหมาะสมแก่เวลา ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะลำบากหรือมันจะถึงตายก็ได้ เรื่องของเวลาจึงเป็นเรื่องใหญ่โต เกี่ยวกับการงานในโลกนี้จะไม่พูดถึงเพราะว่าใครๆก็พอจะรู้ได้ ที่อยากจะกล่าวนั้นก็เกี่ยวกับเรื่องของธรรมะเกี่ยวกับเรื่องชีวิต เกี่ยวกับเรื่องธรรมชาติที่เป็นไป แล้วก็เนื่องกันอยู่กับชีวิตจิตใจของคนเรา พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงความสำคัญของเวลา รวมความแล้วก็คือไม่ให้ประมาท ให้ทำอะไรให้ลุล่วงไปเสียโดยเร็ว จะเรียกว่าก่อนแต่ที่ความตายจะมาถึงดังนี้ก็ได้ เพื่อว่าบุคคลนั้นๆจะได้รับประโยชน์จากการที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา ถ้าเป็นคนที่มัวประมาทอยู่ ไม่ได้ทำอะไรให้ลุล่วงไปเมื่อความตายมาถึงแล้วมันก็เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา ที่ว่าพบพระพุทธศาสนานี่หมายความว่า ได้พบวิธีที่พระพุทธเจ้าท่านได้สอนไว้ว่าให้ทำอย่างนี้ๆ และมนุษย์นั้นก็จะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ไม่มีอะไรจะดียิ่งไปกว่านี้แล้ว ถ้ามนุษย์คนใดได้รับประโยชน์อันสูงสุดนี้จะเรียกว่าไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เมื่อได้ยินได้ฟังคำสอนนี้แล้ว ก็จะต้องรีบประพฤติหรือกระทำให้ทันแก่เวลา เรื่องของเวลาได้เป็นมาอย่างนี้ ในคำสอนของท่านผู้รู้ เช่นพระพุทธเจ้าเป็นต้น หัวข้อบาลีที่ได้ยกมากล่าวเมื่อกล่าวข้างต้นนั้นก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับเวลา คือพระบาลีว่า
(15:30) อเจนติการา กัลยา ติรัติโย กาลเวลาได้ล่วงไป ราตรีก็ได้ผ่านไปๆ
(15:40) เอตังพยังมลเนเอกธรรมาโน เมื่อเพ่งเห็นภัยนี้ในความตายแล้ว
(15:50)ปุญญานิกิเรยา ถสุขามหานิ พึงรีบกระทำบุญอันจะนำสุขมา นี้เทวดาพูด
(16:00) โลกามิสังปชเหสันติเบกโข นี่พึงละเหยื่อในโลกเสีย และหวังสันติ คือนิพพานเทอญ นี้พระพุทธเจ้าตรัส หมายความว่าเมื่อปรารภสิ่งเดียวกัน ปรารภสิ่งๆเดียวกัน คือการที่เวลาล่วงไปๆ พวกเทวดาเขาพูดว่าจะต้องรีบทำบุญ อันจะนำสุขมาให้ และก็มาเสนอความคิดข้อนี้ด้วยการกราบทูล พระพุทธเจ้าๆท่านตรัสว่า ท่านจะคิดว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่เราจะว่าอย่างนี้ คือว่าเมื่อมองเห็นภัยในความตายนั่นแล้ว จงรีบละเหยื่อในโลกนี้เสียและหวังต่อสันติ คือนิพพานเถิด มันต่างกันอยู่เป็นสองอย่างๆนี้ ก็พวกเทวดาให้รีบทำบุญ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าให้รีบละเหยื่อในโลกเสีย การทำบุญกับการละเหยื่อในโลกนี้เสียนี้มันต่างกันอย่างไร ก็เป็นสิ่งที่จะต้องคิดดู พวกหนึ่งเมื่อเห็นว่าไอ้เวลามันล่วงไปอย่างน่ากลัว เขาคิดว่าควรจะรีบทำบุญแต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ต้องรีบละเหยื่อในโลกเสีย นี่ก็หวังพระนิพพาน นี่คือสิ่งที่น่าจะเอามาคิดมานึกมาปรึกษาหารือกัน ในเวลาที่สำคัญ คือเวลาขึ้นปีใหม่ เราจะต้องทำอย่างไร เพราะว่าปีหนึ่งล่วงไปก็ต้องพูดโดยธรรมดาสามัญว่าความตายมันใกล้เข้ามา ปีเก่ามันรุกคนให้ไปใกล้ความตาย ปีใหม่มันก็ดึงคนเข้าไปใกล้ความตาย ทั้งปีเก่าและปีใหม่มันช่วยกันระดมให้คนเข้าไปหาความตายแล้วเราจะทำกันอย่างไร นี่คนที่ยังยึดมั่นถือมั่นเรื่องเกิดเรื่องตายนี่ คงจะตกใจ
คงจะกลัวมาก นี้บางทีคงจะกลัวจนทำอะไรไม่ถูกด้วยซ้ำไป จึงเห็นว่าเป็นเรื่องที่ควรจะเอามาพูดกันบ่อยๆ
จะพูดถึงเรื่องสิ้นปีเก่า ขึ้นปีใหม่ให้ชัดเจนกันอีกสักหน่อย ด้วยการอุปมาด้วยสิ่งที่มันเห็นกันอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าพืชพันธ์ธัญญาหารในโลกนี้ประเภทที่มีหัวอยู่ใต้ดิน มันแสดงอะไรๆให้เห็นอย่างชัดเจนมาก ที่เกี่ยวกับเวลาปีหนึ่งๆ ปีหนึ่งมันก็มีฤดูฝนครั้งหนึ่ง มีฤดูแล้งครั้งหนึ่ง บางแห่งก็มีฤดูหนาวครั้งหนึ่งด้วย พืชพันธ์ที่งอกอยู่บนดินชนิดที่มีหัว เขาก็จัดแจงปรับปรุงตัวเองอย่างเหมาะสมกับเวลาที่สุด ที่มนุษย์ควรจะหยิบยกขึ้นมาพิจารณา พืชพันธ์เหล่านี้ได้แก่ พวกเผือก มัน ที่มีหัวอยู่ใต้ดิน ที่คนเขาก็ปลูกกันอยู่เป็นประจำ พอถึงฤดูหนึ่งมันก็เตรียมตัวให้เหมาะสม ที่เก็บหัวที่แก่จัดไว้ใต้ดิน ต้นที่อยู่บนดินก็ตายหมด รอเวลาให้ฤดูแล้งมันผ่านไป พอฝนมันเริ่มตกขึ้นมา หัวนั้นก็เริ่มแตกหน่อมีหน่องอกออกมาแล้วก็เจริญเติบโต ด้วยการเลี้ยงของเยื่อเนื้อที่มีอยู่ในหัว จนเยื่อเนื้อที่มีอยู่ในหัวนั้น เปลี่ยนสภาพเป็นของเน่าเป็นของสูญสิ้นไป เพราะว่าเอาไปเลี้ยงต้นให้ใหญ่โตงอกงามยิ่งกว่าปีเก่า เจริญงอกงามไปจนตลอดฤดู แล้วก็เริ่มสร้างหัวใหม่ใต้ดินให้มันยิ่งไปกว่าเดิม
คือโตยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม ใหญ่ขึ้นทุกทีๆจนกว่าจะถึงฤดูที่ว่าต้นจะตายอีก เหลืออยู่แต่หัวในดิน หัวในดินก็โตกว่าปีที่แล้วมา ดูกิริยาอาการตรงที่ว่าไอ้หัวที่เก็บไว้ในดินนั่นมันสะสมเหตุปัจจัยไว้มาก สำหรับจะงอกงามให้ถึงที่สุดในฤดูข้างหน้า แล้วมันเอาไปใช้จนหมดจนเป็นหัวเน่า หัวละลายหายสูญไปในดิน นี่หมายความว่ามันได้เลือกเอา ได้กรั่นกรองเอาส่วนที่ดีมีประโยชน์ไปทำต้น ลำ กันไว้ให้ดีที่สุด ส่วนที่เป็นกากใช้อะไรไม่ได้นั้นก็ปล่อยให้เน่าไป เพราะมันไม่ควรจะเอาไว้ และมันก็ต้องเน่าไปเป็นธรรมดาส่วนนี้เรียกว่าไม่มีประโยชน์ เปรียบเหมือนกับกิเลสก็ได้ จะต้องสละทิ้งไป เหมือนกับเราจะสละทิ้งกิเลสหรือความชั่วของปีที่แล้วมาให้หมดไป กลั่นกรองเอาแต่ส่วนที่ดีที่มิใช่กิเลส สำหรับตั้งตัวกันใหม่ตั้งต้นกันใหม่ ให้งอกงามให้ใหญ่โตกว่าเก่า ทำอยู่อย่างนี้ทุกปีๆ มันก็มีแต่ความเจริญงอกงามใหญ่โต มีประโยชน์ใหญ่หลวง พืชที่มีหัวในแผ่นดินงอกงามอยู่ตามแผ่นดินมันทำกันอย่างนี้ทั้งนั้น ไอ้ส่วนมนุษย์นี่มันจะทำอย่างไร มันจะทำอย่างนี้รึเปล่า มันสลัดแต่ส่วนที่ใช้ไม่ได้ทิ้งแล้วก็ทำส่วนที่ดีนี้ เจริญงอกงามยิ่งๆขึ้นไป มากกว่าแต่ก่อนอย่างนี้รึเปล่า ถ้าไม่ทำอย่างนี้ก็ดูที คิดดูทีว่ามันจะเป็นอย่างไร มันจะต้องเลวกว่าเก่า จะต้องถอยหลังมันก็ละอายพืชพันธ์ธัญญาหาร เช่นหัวเผือกหัวมัน เป้นต้น มนุษย์มันยังเลวกว่าหัวเผือกหัวมันซะอีก เพราะไม่รู้จักควบคุมไม่รู้จักปรับปรุง ไม่รู้จักทำอะไรๆ ให้มันเป็นไปเพื่อความเจริญ เกิดมาชาติหนึ่งมันก็ตายเปล่า เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และพบพระพุทธศาสนา
ทีนี้จะได้พิจราณากันให้ละเอียดออกไปในข้อที่ว่ามนุษย์ที่มีสติปัญญาควรจะทำอย่างไร ในส่วนของปีเก่าก็เตรียมพร้อมสำหรับจะงอกงามให้ยิ่งๆขึ้นไป สำหรับปีใหม่ ส่วนชั่วส่วนเลวจะต้องละเสียส่วนนี้คือกิเลส สร้างส่วนที่ดีคือบุญ กุศล ให้มันมากสำหรับเจริญงอกงามต่อไป ปีใหม่มันจึงเหมือนกับว่าลอกคราบออกมาเสียจากกิเลสกันเสียที สัตว์ที่ลอกคราบเช่น งูเป็นต้น มันลอกคราบแล้วมันตัวโตกว่าเก่าทั้งนั้นแหละ แม้แต่ปู ถ้าลอกคราบแล้วตัวทีหลังมันใหญ่กว่าตัวเก่าทั้งนั้นแหละ หมายความว่า มันเจริญดี คือเจริญยิ่งๆขึ้นไป ลอกคราบนี่ ลอกเพื่อให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป คราบนั่นมันเป็นสิ่งที่จะต้องสละทิ้งไป เหมือนกับกิเลสหรือความชั่วทั้งหลายที่รึงรัดบุคคลไว้ไม่ให้เจริญ เราก็จะต้องลอกคราบทิ้งไป ให้เหลือเนื้อในที่จะเจริญงอกงามได้โดยรวดเร็ว คือความดีหรือบุญหรือกุศลหรือสิ่งที่มิใช่กิเลส เมื่อพูดว่าลอกคราบมันก็ต้องเป็นเรื่องลอกคราบของกิเลส ถ้าคนไม่รู้จักกิเลสมันก็ลอกคราบไม่เป็น มันก็ยึดถือเอากิเลสนั่นแหละเป็นตัวตน เที่ยวอวดคน มันก็จะต่างกันมาก ต่างจากบุคคลที่รู้จักลอกคราบเหล่านั้นทิ้งเสีย ทีนี้ก็จะพูดกถึงเรื่องกิเลสกันให้เป็นที่เข้าใจ เข้าใจว่าบางคนยังรู้จักกิเลสน้อยเกินไปจนไม่อาจจะลอกคราบกิเลสออกไปได้ก็คงจะมีอยู่ สิ่งที่เรียกว่ากิเลสนั่นเป็นของ คำว่ากิเลสนั้นแปลว่าของสกปรก งั้นสิ่งที่เรียกว่ากิเลสก็คือสิ่งที่สกปรก คำว่าสกปรกในที่นี้หมายถึงทำลาย ความดี ทำให้ไม่มีความสะอาด สำหรับจิตใจจะได้มีความสงบสุข คำว่ากิเลสเป็นของสกปรกทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาทำให้มีทุกข์ ทำให้เร่าร้อน ทำให้ทุกอย่างที่ไม่พึงปรารถนา ความสกปรกมันอยู่ที่ตรงนี้ คือทำให้มีความทุกข์ หาความสุขไม่ได้ นี้มันสกปรกยิ่งกว่าอุจจาระซะอีก ให้เก็บกิเลสไว้ในจิตใจ ก็คือเก็บของสกปรกยิ่งไปกว่าอุจาระซะอีกไว้ในจิตใจของตน ขอให้คิดดูกันให้ดีในข้อนี้ สิ่งที่เรียกว่ากิเลสนั้นมันก็มีรายละเอียดมาก แต่ถ้าว่าจะจัดกันเป็นๆพวกๆโดยย่อโดยสังเขปแล้ว ก็นิยมจัดไว้เป็นสามชนิดหรือสามประเภทด้วยกัน ประเภท ความโลภหรือความอยาก นี้ประเภทหนึ่ง มันจะเอาเข้ามา อีกประเภทหนึ่งเรียกว่าโทสะ หรือความโกรธนั่นมันเป็นประเภทที่จะผลักออกไปหรือทำลายเสียไม่ให้เหลือ อีกประเภทหนึ่งเรียกว่าโมหะ ความโง่ความหลงนั้นมันเป็นความไม่รู้อะไร ไม่รู้อะไรเป็นอะไร จะเอาเข้ามาก็ทำไม่ถูก จะผลักออกไปก็ทำไม่ถูก ได้แต่โง่เง่างมงาย หลง วนเวียนอยู่ที่นั่น สมมติจะเอาไปทั้งหมดมากกว่า เพราะมันไม่รู้จักเลือกนี่เขาเรียกว่ามันโง่ หลง เราจึงได้กิเลสเป็นสามพวกคือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความโลภนี้มันจะเอา ความโกรธนั้นมันไม่เอามันจะผลักออกไป หรือมันจะทำลายเสีย ความหลงนี้มันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ก็ได้แต่วนเวียนอยู่รอบๆนั่น อาการสามอย่างนี้จะเกิดขึ้นในจิตใจเป็นประจำวัน แล้วแต่ว่ามันมีอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรา ทางตาบ้าง ทางหู ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง หรือว่าในใจเองบ้าง มันมีอะไรเข้ามาเกี่ยวข้อง บางอย่างก็ทำให้เกิดความโลภ บางอย่างก็ทำให้เกิดความโกรธ บางอย่างก็ทำให้เกิดความหลง แล้วแต่ว่ามันเป็นเรื่องอะไร สังเกตุดูเอาเองก็แล้วกัน บางอย่างก็มาเกี่ยวข้องกับเรา เรารักเราชอบ ตัดทุกข์เอา และมีความหวงแหน บางอย่างเข้ามาเราไม่อยากจะเอา เราอยากจะตีซะให้ตาย แต่บางอย่างเราก็ทำอะไรไม่ถูกได้แต่วนเวียนด้วยความสงสัย ด้วยความลังเล ด้วยความไม่แน่ใจว่าจะทำอะไร สามอย่างนี้เรียกว่ากิเลส ทำให้เกิดปัญหา ไม่มีความสงบสุข ที่มันทำให้เกิดความไม่สงบสุข คือความสกปรกของมัน ซึ่งจะต้องถือว่ามันสกปรกยิ่งกว่าอุจจาระ ปัสสาวะ ยิ่งกว่าของเน่าเหม็น อื่นๆซะอีก เพราะว่าอุจจาระ ปัสสาวะ มันก็ไม่ได้ทำให้ใครเป็นทุกข์หรือลำบาก อะไรนัก แต่ถ้ากิเลสแล้วมันก็แผดเผาหัวใจ ของคนให้เป็นทุกข์ เหมือนกับว่ากำลังอยู่ในนรก นี่จึงเรียกว่ามันเป็นของสกปรกที่สุด นี่เราเรียกว่ากิเลส ในวันหนึ่งๆเราจะเรียกว่ามันเกิดกิเลสได้หลายอย่าง ถ้าเป็นคนโง่ คนหลงเป็นปุถุชนมากเกินไป มันก็เกิดมากเกินถี่ เกิดขนาดหนัก ถ้ามีสติปัญญาอยู่บ้างมันก็เกิดห่างๆ หรือเกิดเบาๆ เรื่องมันมีอยู่ หรืออย่างแท้จริงกคือว่า จะต้องป้องกันอย่าให้เกิดกิเลส แต่คนที่พูดว่าจะฆ่ากิเลสนี่มันหลับตาพูด มันฆ่าไม่ได้มันทำไม่ทัน เพราะกิเลสเกิดขึ้นมา มันก็เปลี่ยนไป เรื่องที่จะฆ่ากิเลสมันเป็นเรื่องลมๆแล้งๆ ให้ระวังอย่าให้กิเลสเกิดขึ้นมาได้นั่นแหละเป็นเรื่องจริง กิเลสเกิดขึ้นมา ถ้าหยุดซะได้ก็เพราะความดับไปแห่งกิเลสตามธรรมดา จะสมมติเรียกว่าฆ่ากิเลสให้ตัวเองเป็นคนเก่งสักหน่อยก็ได้ กิเลสเกิดขึ้นแล้ว ต้องมีสติรู้จักกิเลส กิเลสก็ไม่ลุกลามต่อไป มันก็หยุด มันก็สิ้นสุดลง ถึงแม้ว่าไม่มีใครไปฆ่าไปอะไรมัน มันก็ดับเองได้ เพราะมันมีเหตมีปัจจัยจำกัด มันเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับไป เรื่องที่จะต้องทำก็คือระวังอย่าให้เกิดกิเลส เมื่อตาเห็นรูป เมื่อหูฟังเสียง เมื่อจมูกได้กลิ่น เมื่อลิ้นได้รสอย่างนี้ ระวังให้ฉลาด ให้ทันควัน แล้วกิเลสก็จะไม่เกิด ต้องมีสติปัญญาพอสมควรด้วย มันจึงจะป้องกันไม่ให้กิเลสเกิด เมื่อได้เห็นได้ยินได้ฟัง ได้ดม ได้ลิ้มรส ได้สัมผัสผิวหนัง ได้ต่างๆ ทีนี้เมื่อไม่มีสติปัญญาเพียงพอ มีอะไรมากระทบ ตาหูเป็นต้น มีความโง่แล้วมันก็เกิดสิ่งที่เรียกว่ากิเลสอย่างที่กล่าวมาแล้ว จะเป็นโลภะก็ได้ โทสะก็ได้ โมหะก็ได้ มันเกิดอย่างหนึ่งก็แล้วกัน นี่เรียกว่ามันเกิดกิเลส เพราะป้องกันมันไม่ได้ เพราะคนมันโง่ ไม่มีสติปัญญา จำไว้ดีๆก่อนว่านี้เรียกว่ากิเลสได้เกิดขึ้น นี้เมื่อกิเลสเกิดขึ้นแล้วครั้งหนึ่ง มันก็เกิดสิ่งที่เรียกว่าอนุสัย ช่วยจำกันไว้ด้วย บางคนไม่ค่อยจะได้เคยได้ยินคำนี้ แต่เข้าใจว่า ถ้าไปฟังเทศน์บ่อยๆจะได้ยิน คำว่าอนุสัย กันมาแล้วทั้งนั้น คือเมื่อกิเลสเกิดแล้ว ก็จะเกิดอนุสัยคือความเคยชิน ที่มันจะเกิดอีก อนุสัยคือความเคยชินที่มันจะเกิดอย่างนั้นอีก เช่นว่าเราไปรักเข้า หรือว่าโลภเข้าทีหนึ่งนี้ สิ่งนี้มันก็จะสร้างความเคยชินที่จะรัก หรือที่จะโลภ ที่จะอยากไว้ทีนึง นี่เรียกว่ามีอนุสัย เกิดขึ้นทีนึงด้วยความเคยชิน ถ้าโกรธทีหนึ่งมันก็สร้างความเคยชินที่จะโกรธ ต่อไปอีกทีนึง เมื่อมันโกรธหลายทีหลายหนเข้า มันก็สร้างความเคยชินที่จะโกรธนี้หลายหนก็มากเข้า เรื่องโง่ก็เหมือนกันโง่ไปทีหนึ่งมันก็มีอนุสัย สำหรับจะโง่อีกสร้างขึ้นมา เกิดขึ้นมา เมื่อโง่หลายๆหน มันก็มีอนุสัยสำหรับโง่แน่นหนามากขึ้น รวมความว่า ความโลภก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี เป็นกิเลส ถ้าเกิดขึ้นทีหนึ่งแล้วมันจะสร้างความเคยชินทีจะเป็นอย่างนั้น ความเคยชินนี้เราเรียกว่าอนุสัย สะสมความเคยชินไว้มาก มากขึ้นๆจนมีอนุสัยเนี่ย มาก มันถึงโลภเก่งขึ้นทุกที โกรธเก่งขึ้นทุกที โง่เก่งขึ้นทุกที เมื่ออนุสัยเหล่านี้มาก คือชิน เคยชินที่จะเกิดกิเลสนั้นมากแล้วมันก็มีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นมาอีก คืออาการที่มันจะไหลออกมาหรือความดันที่มันจะดันออกมามันก็เพิ่มขึ้นๆ ส่วนนี้ก็เรียกว่า อาสวะแปลว่า สิ่งที่จะไหลออกมาๆ เป็นรูปกิเลสอีกนั่นแหละ ควรจะเปรียบดูด้วยน้ำ น้ำในโอ่ง ถ้ามันมีมาก ไอ้ความดันที่มันจะไหลออกมานอกโอ่ง ถ้ามัรูรั่วมันก็มีมาก เวลาน้ำมันน้อยไอ้ความดันที่น้ำจะไหลออกมาทางรูรั่วนั้นก็น้อยหรือไม่แรง ถ้าน้ำเต็มโอ่งไอ้ความดันที่มันจะออก ออกมาทางรูรั่วมันก็มีมาก ยิ่งมันก็มีอาสวะมาก มันก็ยากที่จะปิดเอาใว้ได้ มันก็ไหลออกมา อาการที่มันไหลอกมาเรียกว่าอาสวะ งั้นถ้าใครมีอนุสัยสั่งสมไว้มาก อาสวะมันก็แรง ไหลออกมาแรง ออกมาง่าย มันก็ไหลออกมาเป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นกิเลส ใด้ง่ายต่อไปอีก พอมันได้เกิดกิเลสอีกแล้ว มันก็ไปเพิ่มอนุสัย เพิ่มอาสวะให้มากขึ้นไปอีก จนเป็นปุถุชนที่หนาแน่นใปด้วยกิเลส อนุสัยและอาสวะ นี่ชาติ ปุถุชน มันเป็นอย่างนี้เอง ดูบางคนมันก็โลภเก่งเหลือประมาณ บางคนก็โกรธเก่ง ขี้โกรธ โกรธเร็ว โกรธง่าย ฉุนเฉียว เหลือประมาณ บางคนก็โง่ หลงงมงายเหลือประมาณ แต่ว่าถึงอย่างไรมันก็ดี มันมีครบ ทั้งเพื่อโลภ เพื่อโกรธเพื่อหลง มันต่างกัน แต่เพียงว่าบางคนมันหนักไปทางที่จะโลภ บางคนมันหนักไปทางที่จะโกรธ บางคนมันก็หนักไปทางที่จะโง่
เรื่องของกิเลสก็มีอยู่เป็นสามขั้นตอนอย่างนี้ พอได้โอกาสมันก็เกิดเป็นกิเลส เกิดเป็นกิเลสทีหนึ่งมันก็สะสมความเคยชินไว้ทีหนึ่งเรียกว่าอนุสัย อนุสัยมันพร้อมที่จะไหลออกมาอีก ไหลออกมาข้างนอกอีก พอมันมีมาก มันก็ไหลง่าย เขาเรียกว่าอาสวะ กิเลสสะสมหมักหมมเป็นของบูดเน่าอยู่ในสันดาน มันก็ง่ายที่มันจะไหล ระเบิดออกมา ดูของบูดที่ใส่ไว้ในไห น้ำผึ้งบูดอะไรบูดก็ได้ ใส่ไว้ในขวดมันยังระเบิดจุกขวดออกมา เพราะว่ามันหมักหมม มันบูด กิเลสมันพร้อมที่จะไหลออกมา สำหรับจะมา โลภเมื่อมีอารมณ์สำหรับโลภ สำหรับจะโกรธเมื่อมีอารมณ์สำหรับจะโกรธ จะโง่เมื่อมีอารมณ์สำหรับจะโง่ ตั้งแต่เกิดมาจนบัดนี้มันมีกี่มากน้อย ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่เหมือนจะดูให้ดี อยากเข้าใครออกใคร มีความบริสุทธ์ใจ ดูกิเลสของตน ตั้งแต่เกิดมาตั้งแต่จำความได้ มันโลภกี่ครั้ง มันโกรธกี่ครั้ง มันโง่กี่ครั้ง และทุกครั้งมันสร้างอนุสัย อนุสัยมากขึ้นเท่าไร อาสวะที่จะดันออก มันก็มีมากเท่านั้น มันมีง่ายมากเท่านั้น เราจึงโลภง่าย โกรธง่าย หลงง่าย ง่ายสักเท่าไรก็ไปดูเอาเอง คนอื่นดูให้ไม่ได้ ดูไม่เห็น แต่เจ้าตัวจะดูได้ง่ายกว่าเรา โกรธเก่ง โลภเก่งเท่าไร โกรธเก่งเท่าไร หลงเก่งเท่าไร ยังอวดดียกหูชูหางไม่ยอมสละ ไม่ยอมลด จะยกหูชูหางอวดโลภ อวดโกรธ อวดหลง กันอยู่ร่ำไป ไม่เห็นว่าเป็นของน่าละอาย นี่มันไม่มีหิริโอตัปปะ ซะแล้ว มันไม่ละอาย ทั้งที่มันมีความโลภ ความโกรธ ความหลง แสดงอยู่บ่อยๆ นี่เป็นมาตั้งแต่เล็กตั้งแต่เด็ก พอรู้จักอร่อย รู้จักไม่อร่อย เท่านั้นแหละ มันก็เริ่มก่อเรื่องของกิเลส พอเด็กรู้จักอร่อย หรือไม่อร่อย เท่านั้นแหละ มันก็มีการตั้งต้นของกิเลส ตั้งต้นของอนุสัย ตั้งต้นของอาสวะ จนเติบโตมาเป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นคนแก่คนเฒ่า นี่มันหนาแน่นสักเท่าไหร่ พิจารณาดูแล้ว คล้ายๆกับว่าจะหมดหวัง จะหมดหวังที่จะละลายกิเลสออกไปเสียบ้างนี้ นี่เราจะต้องนึกถึงว่าปีใหม่ควรจะทำอย่างไรกับกิเลส อาตมาก็บอกว่าจะต้องลอกคราบกิเลส คือมีอะไรๆที่ดีกว่าปีเก่า ให้มีความระมัดระวังให้มากขึ้น ไม่กลัว กลัวกิเลส กลัวโทษของกิเลสให้มากขึ้น ลดความหน้าด้านที่ไม่รู้จักละอายให้มันลดลง ให้มันน้อยลง ความดื้อรั้น ความเถียงเสียงแข็ง ความบิดพริ้ว ความไม่ยอมรับสารภาพในเรื่องของความผิดนี่ มีกันอยู่ทั่วไป พระเณรก็มี อุบาสก อุบาสิกา ก็มี คือมันมีกันอยู่ทั่วไป ถ้าไม่ยอมลดความด้าน ความหน้าด้าน ไม่มีความละอายแล้ว ไม่มีหวังหรอกที่จะลอกคราบกิเลสได้ ขอให้นึกดูให้ดีให้ละอาย ให้มีหิริโอตัปปะ นั่นแหละมันจะขูดคราบ หรือลอกคราบให้ออกไปได้ มันจะได้ระวังดีขึ้น จะได้เข้มแข็งมากขึ้น ในการที่จะระวัง และใช้สติปัญญาที่ได้ผ่านมาตั้งแต่เกิดมาจนบัดนี้ เป็นวิชาความรู้สำหรับที่จะลอกคราบกิเลส
ทุกคนควรจะทราบไว้ว่า ชีวิตนี่มันเป็นการศึกษาอยู่ในตัวมันเอง ชีวิตนี้มันสอนอยู่ในตัวมันเอง แต่คนบาปหนานี่มันไม่รู้จักรับเอาคำสอนเหล่านี้ ไอ้ชาติคนบาปหนามันไม่รู้จักรับเอาคำสอนนี้ คือชีวิติมันสอนอยู่ทุกวันในตัวมันเอง มันก็แก่กล้าไปด้วยกิเลส นี่ถ้าคนบาปไม่หนามันก็ไปอีกทางนึง คือมันรู้จักอาย รู้จักกลัว รู้จักปรับปรุงกันเสียใหม่ นี่จะพอแก้ไขเรื่องของกิเลสได้ จะมีความระมัดระวังดีขึ้นเพราะมีความกลัว มีความละอายมากขึ้น ถ้าเราจะลอกคราบกิเลสกันจริงๆแล้ว ปีใหม่นี้จะต้องมีความละอายหรือความกลัวให้มากกว่าปีที่แล้ว นี่เพราะปีที่แล้วมันประมาทเสีย ปีใหม่นี้มันก็ต้องมีความไม่ประมาทให้เกิดขึ้นมาแทน ถ้าทำได้อย่างนี้คงจะลอกคราบกิเลสได้ และจะลอกได้มากยิ่งๆขึ้นไป ทันแก่เวลา คือไม่ทันตายคงจะลอกคราบกิเลสได้มาก หรือหมดกิเลสก็ได้ใครจะไปรู้ของใคร ขอแต่ว่าให้ตั้งอกตั้งใจรู้จักกิเลส ก็ขูดเกลากิเลสออกให้ยิ่งขึ้นไปๆๆทุกๆปีที่เราเรียกว่าขึ้นปีใหม่ ซึ่งจะต้องดีกว่าปีเก่า อย่าให้เลวกว่าหัวเผือกหัวมัน พืชพันธ์ใต้ดินที่มันรู้จักทำอะไรของมันในตัวมันเองให้เจริญงอกงามยิ่งๆขึ้นทุกปี โดยที่มนุษย์ไม่ต้องไปช่วยเหลืออะไร แต่ถ้ามันมีเหตมีปัจจัยที่ผิดพลาด หัวเผือกหัวมันเหล่านั้นมันไม่เจริญ มันถึงกับเหี่ยวแห้งตายไปไม่งอกอีกอย่างนี้ก็มีเหมือนกัน นั่นเพราะเหตปัจจัยไม่ถูกต้อง ดังนั้นเราจะต้องระวังไอ้เหตปัจจัยนี้ให้ถูกต้อง คือสิ่งแวดล้อมทั้งหลายให้มันถูกต้อง ให้รู้จักใช้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อม ให้รู้จักใช้ประโยชน์จากความรัก ความเอ็นดู ว่ากล่าวตักเตือนของบิดามารดา ครูบาอาจาย์ พระเจ้าพระสงฆ์ อะไรต่างๆที่มันแวดล้อมเราอยู่ ให้รู้จักสร้างเหตปัจจัยเหล่านี้ให้ดีๆ แล้วก็จะป้องกัน ไม่ให้เป็นไปในทางล้มละลาย หรือ เสื่อมเสีย เหมือนกับพืชพันธ์เหล่านั้น เมื่อได้สิ่งแวดล้อมดีมันก็เจริญเติบโต น่าดูทีเดียว
คนเราก็เหมือนกันเมื่อได้รับเอาสิ่งแวดล้อมที่ดี มีพระพุทธศาสนาเป็นเครื่องแวดล้อมอยู่ มีบิดามารดา ครูบาอาจาย์ พระเจ้าพระสงฆ์ ผู้หวังดี มีเมตตากรุณา ช่วยว่ากล่าวแนะนำตักเตือนอยู่ อย่าเป็นคนดื้อ อย่าเป็นคนกระด้างซะเลย มันก็จะมีการป้องกันไม่ให้กิเลสเกิดขึ้น เมื่อกิเลสไม่เกิดขึ้น อนุสัยมันก็ไม่มี อนุสัยมันไม่มี อาสวะมันก็ไม่มี ไอ้คนนั้นมันก็เป็นคนเบาบางด้วยกิเลส เบาบางด้วยอนุสัย เบาบางด้วยอาสวะ แล้วมันจะค่อยๆร่อยหรอหมดไปได้ในที่สุด ถ้าเขาระวังอย่าให้มันเกิดกิเลสได้ พูดแล้วเดี๋ยวจะไม่เชื่อ ว่ามันง่ายเกินไป เพียงแต่ระวังอย่าให้กิเลสเกิดได้เท่านั้นแหละ ไม่เท่าไรกิเลสก็จะหมดไปเอง เพราะมันไม่ได้อนุสัย มันไม่ได้มีอาหารที่หล่อเลี้ยง มันอยู่ไม่ได้ มันค่อยๆหมดไป แต่เดี๋ยวนี้เราขยันให้กิเลสมันเกิดบ่อย และมันก็ได้อาหารเลี้ยงไว้เรื่อยไป คือมีอนุสัยมันแก่กล้าเหมือนกับเพิ่มอาหารให้แก่กิเลสเรื่อยไป มันก็มีกิเลสแน่นหนา มันยากที่จะทำลายมันได้ จึงควรจะนึกถึงความไม่ประมาท เป็นเบื้องต้นก่อน เป็นธรรมะอันประเสริฐที่พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนไว้ว่า เป็นแม่บทแห่งธรรมะทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายมีความไม่ประมาทเป็นเลิศ ก็เอาความไม่ประมาทมานับตั้งแต่ว่าไม่สะเพร่า ไม่อวดดี ไม่ขี้เกียจ ไม่อะไรทุกอย่างที่มันเป็นอุปกรณ์แก่กิเลสและเราก็ไม่เอา เมื่อกิเลสมันไม่ได้โอกาส มันไม่ได้อาหาร ไม่ได้สิ่งแวดล้อมมันก็จะต้องเบาบางลงไปเป็นธรรมดา มันก็ตายไปได้ เหมือนกับพืชพันธ์มันขาดสิ่งแวดล้อมที่ดี มันตายเองก็ได้ ถ้าเราอยู่ให้ถูกต้อง กิเลสเกิดไม่ได้ ก็เป็นพระอรหันต์วันหนึ่ง เป็นแน่นอน
อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ว่า พระภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ จะเป็นอยู่โดยชอบไซร้ โลกก็จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ ท่านไม่ได้ตรัสอะไรมากมายตรัสแต่เพียงว่า ให้อยู่โดยชอบ อยู่โดยชอบนี่มันอยู่ชนิดที่กิเลสมันเกิดไม่ได้ อนุสัยมันไม่พอ อาสวะมันก็ไม่ก่อ มันมีแต่จะเหือดแห้งไปๆ เพราะกิเลสเกิดไม่ได้ เดี๋ยวนี้บาปกรรมมันมีตามธรรมชาติอยู่อย่างหนึ่ง ว่าคนเรามันมีจิตรู้สึกคิดนึกได้พอคลอดออกมาจากท้องแม่ ไม่เท่าไหร่มันรู้จักอร่อย รู้จักไม่อร่อย รู้จักยินดี รู้จักยินร้าย รู้จักรัก รู้จักเกลียด รู้จักโกรธ รู้จักสอนให้ว่านั่นของกู นี่ของกู พ่อของกู แม่ของกู บ้านเรือนของกู มันสอนให้มีกิเลส สอนให้สะดวกในการที่จะมีกิเลส งั้นเด็กๆของเรามันก็มีกิเลสโดยไม่รู้สึกตัวโดยไม่มีใครจะป้องกันได้ มันก็มีกิเลสกันมาซะแล้ว ที่เรียกว่าบาปดั้งเดิม ติดมาโดยธรรมชาติ ถ้าว่าได้เกิดมาในตระกูลที่เป็นสัตตบุรุษ เป็นพุทธบริษัทเป็นต้น ที่แท้จริง มันก็จะอบรมเด็กๆเหล่านี้ไปในทางที่จะไม่ให้เกิดกิเลส สอนไปในทางที่ถูกต้อง จนถึงกับมีการกล่าวกันว่าเป็นพระอรหันต์อายุ 7ขวบก็มี เป็นพระอรหันต์ อายุ 15 ขวบก็มี เด็กๆทั้งนั้นแหละ แต่มันหายาก มีกล่าวถึงในพระคัมภีร์บ้างก็ไม่กี่คน จะจริงหรือไม่จริงก็อย่าไปวินิจฉัยดีกว่า เราถือเอาหลักให้แน่นแฟ้นในข้อที่ว่า ถ้าไม่ทำให้เกิดกิเลสได้ มันก็ไม่มีอนุสัย ไม่มีอาสวะ มันก็เป็นพระอรหันต์ได้ตั้งแต่เด็กจริงเหมือนกัน แต่ถ้าพ่อแม่มันโง่ มันไม่รู้ประสีประสา เรื่องนี้ซะเลย ไม่ได้ยินได้ฟังคำของพระอริยเจ้า ไม่ได้รับการฝึกฝนในวินัยของพระอริยเจ้า ตัวเองมันก็ไม่รู้แล้วมันจะไปสอนลูกให้ รู้จักป้องกันกิเลสได้อย่างไร นี่คือบาปหรือบุญก็ตามที่จะเกิดขึ้น แล้วแต่ว่ามันเกิดมาในตระกูลชนิดไหน ถ้าเกิดมาในตระกูลของสัตตบุรุษมันก็ง่าย เป็นไปโดยง่าย ที่จะทำลายกิเลสกัน แต่ถ้าว่ามันเกิดในตระกูลของคนพาล ไม่เป็นสัตตบุรุษซะเลย มันก็ต้องแน่นหนา หนาแน่น แน่นหนา ไปด้วยกิเลสเป็นธรรมดา เรียกว่าไม่มีบุญ ถ้ามีบุญก็เกิดในตระกูลที่ คนในตระกูลนั้นเป็นสัตตบุรุษ รู้จักไหว้พระอบรม ให้ลูกเด็กๆมันเป็นไปในทางถูกต้อง ไม่เกิดกิเลส นี่คือความสำคัญของบิดามารดา มีความสำคัญมาก ถึงกับว่าจะปั้นลูกหลานขึ้นมาในลักษณะที่จะมีกิเลสเบาบาง หรือว่ามีกิเลสหนาแน่น หรือจะพูดว่าจะเป็นไปในทางที่จะให้ลูกหลานมันไปเป็นพระอรหันต์ หรือว่าจะให้ลูกหลานของมันไปเป็นโจร อำมหิตก็ตามใจ ถ้าผู้ใดพิจราณาเห็นข้อนี้ว่าเป็นข้อเท็จจริงหรือเป็นข้อจริงอย่างที่สุดแล้ว ก็ไปคิดไปนึกกันดูซะใหม่ ผู้ใดมีหน้าที่ๆจะต้องอบรมลูกหลาน ก็ต้องไปคิดไปนึกกันเสียใหม่ เพื่อจะอบรมลูกหลานให้ดี อย่าให้มันกลายเป็นคนที่หนาไปด้วยกิเลสเลย แต่ละปีๆ เป็นปีใหม่ขึ้นมาก็ให้เขามันมีกิเลสเบาบาง มีอนุสัยเบาบาง มีอาสวะเบาบางอยู่
ทีนี้ก็จะพูดถึงพระพุทธภาษิตที่ว่า ถ้ามองเห็นภัยในความตาย เพราะเวลามันล่วงไปๆ แล้วก็จงรีบละเหยื่อในโลกเสีย เหยื่อในโลก นั้นเรียกว่าโลกามิส โลกะ อามิส อามิสแปลว่าเหยื่อ โลกะแปลว่าโลก โลกะอามิส แปลว่า เหยื่อในโลก โลกามิสังปัจฉเห พึงละเหยื่อในโลกเสีย สันติเบกโข มุ่งหวังต่อสันติคือพระนิพพานเถิด
พวกเทวดาเขาไม่พูดอย่างนั้น เขาให้รีบทำบุญที่จะนำสุขมา ไอ้คำว่าบุญนั้นมันหมายถึง เครื่องให้สบายใจ อิ่มใจ นั่นเขาเรียกว่าบุญ พวกเทวดาเขาชอบ พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้ตรัสติเตียน ไม่ได้บอกว่าผิด แต่บอก แต่ได้ตรัสว่าให้ละเหยื่อในโลกเสีย อย่าไปหลงเหยื่อในโลก และก็หวังพระนิพพานดีกว่า พระนิพพานคือความสิ้นไปแห่งกิเลส โดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือ ในโลกามิสัง เหยื่อในโลกนั้นน่ะ ก็คือเหยื่อของกิเลส เหยื่อที่มันจะ ให้เกิดกิเลส หล่อเลี้ยงกิเลส ส่งเสริมกิเลส
เมื่อเช้านี้เราก็ได้พูดกันถึงสิ่งๆหนึ่งที่เรียกว่าของเกิน คือสิ่งที่เกิน ส่วนที่เกิน สิ่งที่เรียกว่าเหยื่อในโลก นั่นละคือส่วนเกิน เกินที่สุด เกินกว่าสิ่งใดในการที่จะเป็นอันตราย คำว่าเหยื่อนั้นมันหมายความว่าเป็นอันตราย ไปกินกันแล้วมันจะติดเบ็ด มีความทุกข์ งั้นเราจะกินอาหาร
ถ้ากินอย่างอาหารก็เป็นอาหาร ถ้ากินอย่างเหยื่อก็เป็นเหยื่อ อย่าไปหลงใหลในความเอร็ดอร่อยของอาหาร อาหารนี้มีได้ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวหนัง หรือ ทางจิตใจ ถ้าทำอย่างถูกต้อง มันก็เป็นอาหารหล่อเลี้ยงให้ปกติสุข ถ้าทำผิดพลาดกลายเป็นเหยื่อ สำหรับจะเกี่ยว เอาเบ็ดเกี่ยวกับบุคคลนั้นไว้กับความทุกข์ เรื่องรูปที่ปรากฎทางตา สวยบ้างไม่สวยบ้าง มันก็เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องมีสำหรับสิ่งที่มีชีวิต ถ้าเรามีรูปที่เห็นทางตาเป็นเพียงอาหารมันก็ดีไป แต่ถ้ามีแบบเป็นเหยื่อแล้วมันก็อันตราย เสียงก็เหมือนกัน เราก็มีเสียงมา ได้ยินมันหลีกไม่ได้ และมันก็มีเสียงช่วยให้ชีวิตนี้มันตั้งอยู่ได้ เสียงก็เป็นอาหารได้ แม้แต่เสียงที่มันไม่รำคาญหู มันก็ทำให้สบายได้ เดี๋ยวถ้าไปหลงว่ามันเป็นเหยื่อก็ติดเบ็ดได้ คือเสียงไพเราะทำให้ติดอยู่ในกองทุกข์ได้ กลิ่นหอมก็เหมือนกันเป็นอาหารก็ได้ เป็นเหยื่อก็ได้ มันแล้วแต่ว่ามีความรู้ทันท่วงทีหรือไม่ ในการที่จะไปเกี่ยวข้องกับกลิ่นในทางจมูก และเกี่ยวกับรสในทางลิ้น หรือว่าสัมผัสทางผิวกายผิวหนัง มันเป็นอาหารก็ได้ มันเป็นเหยื่อก็ได้ แล้วแต่ว่าคนนั้นมันโง่หรือฉลาดนั่นเอง ทั้งรูปเสียง กลิ่นรส โอตตัพพ ธรรมารมณ์ มันก็มีสำหรับเป็นอาหารก็ได้ เป็นเหยื่อก็ได้ ต้องมีสติปัญญาเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ ในลักษณะที่เป็นอาหาร คือเป็นเครื่องบำรุงชีวิต เป็นอยู่ได้ก็แล้วกัน เพราะเราอยู่ในโลกนี้ เราหลีกไม่พ้น มันจะไปอยู่ที่ไหน ที่จะหลีกให้พ้นจากรูปเสียง กลิ่นรส โอตตัพพ ธรรมารมณ์ ที่จะเข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวหนัง ทางจิตใจเอง มันหลีกไม่พ้น ถ้าเข้ามาก็ใช้ให้เป็นประโยชน์ อย่าใช้ให้เป็นโทษ
ถ้าใช้ให้เป็นประโยชน์ ก็เป็นอาหาร ถ้าใช้ให้ผิดก็เป็นเหยื่อ คือเป็นโทษไป พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรียกว่า เหยื่อ ในโลก ก็หมายถึงมันจะทำให้ติดอยู่ในโลก ในกองทุกข์ แม้สิ่งที่เรียกว่าบุญ ที่พวกเทวดาเขาชอบกันนักละ ถ้าไปเกี่ยวข้องกันผิดวิธีแล้ว ไอ้บุญนั้นก็เป็นเหยื่อหุ้มเบ็ด เกี่ยวคนให้ติดในกองทุกข์ได้ แต่ถ้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่าบุญโดยถูกต้องแล้ว บุญก็จะสอนให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าบุญ แล้วก็เลยเหนือบุญขึ้นไปไม่มาหลงอยู่ที่บุญ แล้วก็จะถึงนิพพาน อย่ามาหลงอยู่ที่บุญ บุญมันจะกลายไปเป็นเหยื่อและมันจะติดเบ็ดอยู่ที่นี่ ให้บุญมันสอนให้ว่าบุญมันเป็นอย่างไร สอนให้ว่าไม่ต้องไปหลงไปใหลในสิ่งที่มันจะกลายเป็นเหยื่อ มุ่งหวังต่อพระนิพพาน ที่เรียกว่าสันติ คือความสงบเถิด พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนี้ ท่านทั้งหลายก็จะเห็นได้เองทันทีว่าเหยื่อนี้มันเป็นของเกิน อาหารเป็นของพอดี เราจะกินหรือใช้หรือมีอย่างเป็นอาหารเถิด อย่ากินหรือมีหรือใช้อย่างเป็นเหยื่อเลย ถ้าเป็นของเกินเมื่อไรก็จะเป็นเหยื่อขึ้นมาทันที จะทำให้เกิดความทุกข์ ถ้าพอดีไม่ใช่ของเกิน มันก็ไม่ทำให้เกิดความทุกข์
อย่างศิล อุโบสถข้อ 6 ไม่กินอาหารในเวลาวิกาล คือเวลาที่ไม่ควรกิน กินเข้าไปแล้วมันเป็นส่วนเกิน ก็อย่าไปกินอาหารที่มันเกินโดยเวลา โดยลักษณะ อย่าไปกินมัน เพราะยังคงเป็นอาหารอยู่ ถ้าพอไปกินเป็นส่วนเกินเข้าก็กลายเป็นเหยื่อ ที่จะเกี่ยวบุคคลนั้นให้ติดอยู่กับความทุกข์
ศีลอุโบสถข้อที่เจ็ด จะไม่ฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมเสียง เครื่อง ดีดสีตีเป่า ของทาของหอม ประดับประดาตกแต่ง นั่นมันเกิน มันกลายเป็นเหยื่อเกี่ยวเบ็ดให้ติดอยู่กับ ให้สัตว์มันติดเบ็ด ติดอยู่กับความทุกข์ ถ้าจะต้องไปเกี่ยวข้อง มันก็อย่าไปเกี่ยวข้องอย่างเหยื่อ อย่างเบ็ด อย่างเหยื่อหุ้มเบ็ด อย่างส่วนเกิน แต่ทว่าโดยที่แท้แล้วไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ การฟ้อนรำขับร้องให้ ลูบทาประดับประดา มันเป็นส่วนเกินชัดๆ เห็นอยู่ชัดๆ เรียกว่าเป็นเหยื่อในโลกนี้ ผู้ที่ถือศีล อุโบสถ จึงเว้นเด็ดขาดไม่เอาส่วนเกินในข้อนี้
ข้อสุดท้ายที่ว่าไม่นั่งไม่นอนบนที่นั่ง ที่นอนสูงใหญ่งดงาม รวมถึงเครื่องใช้ไม้สอยอื่นๆที่ล้วนเป็นเรื่องงดงาม มันเกิน ไปเกี่ยวข้องกับมันก็กลายเป็นเหยื่อ งั้นเรามีที่นั่งที่นอนชนิดที่พอดีๆ ไม่เป็นเหยื่อไม่เป็นส่วนเกิน ไปดูเอาเองว่า จะควรใช้เสื่อสาด อาสนะ เก้าอี้ ยังไงก็ไปดูเอาเอง เครื่องใช้ไม้สอยทุกอย่างก็ดูเอาเอง อย่าให้เกิน ถ้ามันเกินก็กลายเป็นเหยื่อ มันเป็นอามิสในโลก ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่าพึงละเสียเถิด มุ่งหวังความสงบ คือไม่กินเหยื่อ ไม่ติดเบ็ดเถิด
นี่คำสอนที่เกี่ยวกับเวลา ที่ว่าวันอื่นมันล่วงไป ความตายมันใกล้เข้ามา เราจะต้องทำอย่างไร เราจะต้องทำในลักษณะที่ไม่กินเหยื่อในโลกนี้ และไม่ติดเบ็ดของพญามารอยู่ในโลกนี้ มองหาความสงบคือพระนิพพาน เป็นที่ดับเย็นแห่งกิเลส เป็นที่ดับเย็นแห่งความทุกข์ นี่คือเรื่องที่ว่าจะไม่หลงติดอยู่ในเหยื่อ มีเหยื่อที่ไหนก็มีกิเลสที่นั่น มีกิเลสที่ไหนมันก็กินเหยื่ออยู่ที่นั่น เราเรียกว่าส่วนเกินก็ได้ มีส่วนเกินอยู่ที่ไหนก็มีกิเลสอยู่ที่นั่น มีกิเลสอยู่ที่ไหนมันมีส่วนเกินอยู่ที่นั่น ถ้าจะให้ปีใหม่มันเป็นของใหม่ที่ดีกว่าปีเก่าแล้วก็ระวังในข้อนี้ อย่าสร้างกิเลส อย่าปล่อยให้เกิดกิเลส อย่าให้กิเลสมันสร้างอนุสัยขึ้นมา อย่าให้อนุสัยมันสร้างอาสวะขึ้นมา เราก็ไม่มีกิเลสที่จะเจริญงอกงาม แต่กิเลสนั้นจะร่อยหรอหมดไปจากสันดาน จนถึงวันหนึ่งมันจะหมดกิเลส และมันก็เย็นๆๆๆเหลือที่จะเย็น เพราะมันไม่มีไฟคือกิเลสนั่นเอง ทำได้อย่างนี้ก็เรียกว่าปีใหม่ที่ดีกว่าปีเก่า นี่คือเรื่องทั้งหมดที่อาตมาเห็นว่าควรจะเอามาพูดกันในวันนี้ ซึ่งเป็นวันขึ้นปีใหม่ ปีเก่าก็มอบหมายให้เป็นพืชพันธ์สำหรับมางอกงามในปีใหม่ ให้ดีกว่าปีเก่า นี้การคลอดออกมาเป็นปีใหม่นี้ ก็ชำระชะล้างกิเลส ซึ่งพูดให้ถูกก็คือป้องกันไม่ให้เกิดกิเลส และไม่มีทางที่จะเกิดอนุสัยหรือว่าอาสวะได้ ปีใหม่ก็ดีกว่าปีเก่าจริง แต่ก็จะดียิ่งๆขึ้นไปทุกปี หวังว่าท่านทั้งหลายที่อุตส่าห์เสียสละเรี่ยวแรงบ้าง เวลาบ้าง กำลังบ้าง มาจนถึงที่นี่ มาประกอบการกุศลเนื่องด้วยปีใหม่ ในวันนี้ในลักษณะเช่นนี้ กระทั่งเดี๋ยวนี้ จะได้ช่วยกันเอาไปคิดดูให้ดีๆว่าเราได้กระทำถูกต้องสมควรแก่วันนี้ ซึ่งเป็นวันขึ้นปีใหม่แล้วหรือยัง บางคนบางพวกก็ไปเพิ่มกิเลสให้มากกว่าปีเก่า ด้วยความโง่ ความงมงาย ความหลงใหล ในความเอร็ดอร่อย รูปเสียงกลิ่นรส มันก็เลวกว่าปีเก่า ที่เห็นกันอยู่โดยมาก เพราะวันขึ้นปีใหม่ เขาเล่นหัวสนุกสนานส่งเสริมกิเลสกันเป็นการใหญ่ กินเหล้ามากกว่าปีเก่า นี่มันเป็นกิเลส เป็นปีใหม่ที่เลวสำหรับจะจมลงไป คือเลวกว่าปีเก่า และถ้าเราไม่รู้สึกตัว ป้องกันสิ่งเหล่านี้ไว้ได้ ไม่ทำอย่างที่จะส่งเสริมกิเลส กิเลสมันก็ จะมีโอกาสเกิดน้อย น้อยลงๆ เราก็ดี เราก็ได้รับผลของการกระทำนี้ เป็นความดีกว่าปีที่แล้วมา ถึงจะเรียกว่าปีใหม่ จึงหวังว่าทุกๆท่านคงจะเข้าใจเรื่องนี้ และก็ไปทำให้ได้ผลตรงตามที่ว่ามานี้ ให้สมกับที่ว่ามีปีใหม่ เจริญงอกงามก้าวหน้าไปตามทางแห่งพระศาสนา ของสมเด็จพระบรมศาสดาจริงๆ ก็จะไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา ดังที่กล่าวมานั้นทุกประการ ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวัง กเม ด้วยกาลฉะนี้