แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่เป็นราชภัฎผู้ลาบวชทั้งหลาย ผมก็รู้สึกยินดีที่ว่าได้พบปะเพื่อให้เป็นโอกาสได้ทำประโยชน์ได้รับประโยชน์ระหว่างกันและกันตามสมควร การกระทำอย่างนี้เป็น ๆ ประโยชน์เกื้อกูลแก่การดำรงอยู่ของพระศาสนาโดยตรง อย่างที่พระพุทธองค์ตรัสว่า พรหมจรรย์ ธรรมวินัยหรือศาสนานี้ มันจะอยู่ได้ก็โดยการกระทำของพุทธบริษัททั้งสี่ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา จะวินาศไปก็เพราะการกระทำของบริษัททั้งสี่นี้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นไอ้การที่เรามาปรึกษาหารือกัน เพื่อปฏิบัติหน้าที่ของพุทธบริษัทให้ถูกต้องและให้สมบูรณ์ยิ่ง ๆ ขึ้นไปนี้ เป็นการกระทำที่ดี ที่ดีแน่ หรือจะกล้ากล่าวว่า ตรงตามพระพุทธประสงค์ พระพุทธภาษิตข้อหนึ่งมีอยู่ว่า จงช่วยกันกระทำธรรมวินัยที่ทรงแสดงแล้วนี้ ให้ตั้งอยู่อย่างมั่นคงในลักษณะที่มนุษย์และเทวดาก็จะพากันประกาศสืบต่อ ๆ กันไปได้ บางที่จะฟังไม่ถนัด ผมก็ย้ำอีกว่าพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงพระพุทธประสงค์ไว้ว่า ให้ภิกษุนี้ช่วยกันกระทำแก่ธรรมวินัยหรือพรหมจรรย์นี้ให้ปึกแผ่นมั่นคงในลักษณะที่มนุษย์ ทั้งเทวดาและมนุษย์ก็จะช่วยกันบอกกล่าวสืบต่อกันไปได้นั้น เพราะฉะนั้น ถ้าอะไรมันเป็นไปเพื่อประโยชน์อย่างนี้แล้ว เราก็ต้องกระทำ
เดี๋ยวนี้สำหรับผู้เป็นราชภัฎโดยเฉพาะก็คือผู้ที่ออกบวชชั่วขณะ อยากจะชี้ให้เห็นความสำคัญของเรื่องนี้สักเล็กน้อยก่อนว่า การบวชนี้แต่โบราณหรือว่าความประสงค์อันแท้จริงนั้น ก็สำหรับคนที่หมดเรื่องทางโลกแล้วไปบวชเพื่อความสงบสุขส่วนตนก็มี แล้วก็ทำหน้าที่สั่งสอนประชาชนในโลกนี้ก็มี ส่วนคนหนุ่มออกบวชนั้น มันมีอยู่อีกแบบหนึ่ง ไม่เชิงออกบวชแต่ไปอยู่ในสำนักที่จะฝึกฝนตนให้พร้อมที่จะเป็นฆราวาสในระดับดีที่สุด ที่เรียกกันว่าบัณฑิต ในครั้งโบราณในอินเดียก็มีระบบนี้ คือมีอาศรมที่คนหนุ่มเข้าไปศึกษาปฏิบัติแล้วกลับออกมาเป็นบัณฑิตครองเรือน สำหรับพระราชภัฎเราก็จะต้องนับรวมเข้าไว้ในอย่างหลังนี่แหละ ถ้าไม่เคยบวชก็มาบวชเพื่อจะศึกษาอะไรบางอย่างที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่การครองเรือนที่ดี จะได้ดีมากจนถึงกับว่าถ้าแก่เฒ่าแล้วอยากจะบวชอีก มันก็จะดี ๆ ที่สุด สำหรับผู้ที่ได้เคยมาบวช เพื่อฝึกฝนอบรมอะไรบางอย่างในระยะหนุ่ม ๆ นี้
ทีนี่เรื่องนี้มันละเอียดอ่อนมาก สุขุมปราณีตมาก ว่าเรามาบวชนี่จะทำอะไร คนที่มีจิตใจหยาบคายคงเข้าใจไม่ได้ ก็กลายเป็นเรื่องบวชตามประเพณี ว่าได้มาบวชกันสัก ๓ เดือนเศษแล้วก็กลับออกไป ระหว่างที่บวชนี้ไม่ได้ประพฤติกระทำที่ตรงตามความมุ่งหมาย หรือมันจะมากิน ๆ เล่น ๆ นอน ๆ หัวเราะ ร้องไห้กันสักพักหนึ่ง กว่าออกพรรษาแล้วก็สึกไป ผู้ที่มีจิตใจหยาบขนาดนี้ย่อมไม่ได้รับประโยชน์จากการบวช แม้อย่างที่เรียกว่า ๓ เดือนนี้เป็นแน่นอน
ผมจะพูดเรื่องส่วนตัวก่อน คือส่วนตัวของผู้บวช ประโยชน์ส่วนตัวของผู้บวช ส่วนประโยชน์ที่ผู้บวชจะไปทำอะไรแก่ผู้อื่นอีกทีนั้น มันอีกเรื่องหนึ่งจะพูดก็ได้ ไม่พูดก็ได้ เพราะว่าไอ้เรื่องส่วนตัวแท้ ๆ นี่ก็มากมาย มันไม่ใช่มากมายอย่างเดียว มันละเอียดประณีตสุขุมมากจนจะไม่เข้าใจและไม่พอใจ
ถ้าจะมีสมมติขึ้นมาว่าคนที่บวชนี้ก็เคยผ่านการศึกษามาแล้วกระทั่งผ่านมหาวิทยาลัยมาแล้วก็มี แล้วก็มาบวช ๓ เดือน อย่างนี้ก็จะเปรียบเทียบกันได้ง่ายขึ้น ที่ว่าเราจะมาทำตัวเหมือนกับอย่างว่า เข้ามหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้าสัก ๓ เดือน มันเป็นวิท มหาวิทยาลัยกันคนละแบบ อย่างที่ไม่อาจจะเปรียบเทียบกันได้ โดยมันเป็นมหาวิทยาลัยที่ศึกษา ฝึกฝนในด้านจิตใจ อย่างที่รู้กันอยู่ มหาวิทยาลัยอย่างชาวบ้านนั้นไม่มีเรื่องจิตใจ มีเรื่องวิชาความรู้ในเบื้องต้น และก็มีวิชาชีพอย่างใดอย่างหนึ่งในเบื้องปลาย ถ้าเขาเห็นว่า มีอาชีพพอที่จะดำรงชีวิตได้ ก็หมดเรื่องกัน อย่างนี้ก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องมาบวชอีก ๓ เดือนให้เสียเวลา หรือให้เปลืองเงินเดือน ๓ เดือนของรัฐบาล หรืออะไร ๆ ทำนองนั้น แต่ถ้ารู้สึกว่า มันมีอะไรบางอย่างที่เรายังไม่รู้ หรือยังไม่มี นี่แหละควรจะนึกถึงเรื่องการบวช ๓ เดือนในลักษณะที่มาเข้ามหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้า
บางท่านอาจจะคิดว่า ผมนี่พูดเล่นสำบัดสำนวนมากเกินไปว่า ทำไมต้องเรียกว่ามหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้า ถ้าคิดอย่างนี้แล้วก็ขอให้ทราบเถิดว่า ไอ้วิชาที่เรียนกันอย่างโลก ๆ นั้น ไม่น่าจะเรียกว่ามหาวิทยาลัยหรอก คือมันยังต่ำเกินในเมื่อเอามาเทียบกันกับเรื่องของพระพุทธเจ้า แต่เมื่อความรู้ขนาดนั้นก็เรียกกันว่าความรู้อย่างมหาวิทยาลัยแล้ว ความรู้อย่างของพระพุทธเจ้านี้ก็ยิ่งจะเป็นความรู้อย่างมหาวิทยาลัย ในน้ำหนักหรือความหมายที่เท่ากัน หากแต่ว่ามันเป็นคนละเรื่อง คือมันเป็นเรื่องทางจิตใจ หรือวิญญาณนั่นเอง
เพราะฉะนั้นขอให้เชื่อผมเถอะ โดยรับเอาไปพิจารณาดู ว่ามันมีอยู่อีกเรื่องหนึ่งจริง ๆ ที่สำคัญที่สุด ควรจะทำให้ดีที่สุดคือเรื่องทางจิตใจ ถ้าเรื่องทางจิตใจนี้ไม่ดีแล้ว คุณเป็นฆราวาสต่อไปก็มีแต่จะเข้ารูปเป็นการเชือดคอตัวเอง คือความรู้ที่ได้เรียนได้อะไรมาจากมหาวิทยาลัยนั่นแหละ มันจะกลายเป็นอาวุธ และเป็นอะไรขึ้นมาเพื่อเชือดคอคุณ ถ้าหากว่าไม่มีธรรมะของพระพุทธเจ้าเข้าไปประกอบอยู่ด้วย คุณก็เห็นได้ว่าพวกที่เขาเป็นเจ้า เป็นนาย เป็นผู้บังคับบัญชาเรา เป็นเจ้าใหญ่นายโต ก็มีการล้มละลาย มีการเสียหาย มีความไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่บ่อย ๆ นั้นแหละ เพราะเขาขาดอะไร ทั้ง ๆ ที่เขามีเงินมาก มีอำนาจมาก มีตำแหน่งสูง มีอะไรมากมาย เขาก็ยังมีอาการที่เรียกว่าหาความสุขไม่ได้ แล้วเผลอนิดเดียวก็เหมือนกับเชือดคอตัวเองตาย คือเป็นบุคคลที่ไร้คุณธรรม หรือคุณสมบัติสำหรับผู้อื่นจะเคารพนับถือ หรือว่าไปทำอะไรที่ร้ายยิ่งไปกว่านั้นจนกระทั่งตัวเอง มันก็ต้องตายไปทางร่างกาย เพราะทางจิตใจมันก็ได้ตายไปแล้ว
นี่ขอย้ำตรงนี้สักนิดหนึ่งว่า ถ้าไม่มีความรอบรู้ในเรื่องของจิตใจไปควบคุมชีวิตการเป็นอยู่แล้ว จะไม่มีความปลอดภัย แม้ความรู้มากมายที่เรียนมาทางโลกนั้น มันจะกลายเป็นศัตรูขึ้นมาเมื่อไรก็ได้ ยิ่งรู้มาก มันก็ยิ่งประมาทมาก แล้วมันจะไปไหวได้อย่างไร ถ้ามีธรรมะยิ่งรู้มาก ยิ่งไม่ประมาท ยิ่งรู้จักใช้ความรู้น้้นให้เป็นประโยชน์ ที่เราเรียกว่าเรื่องทางจิตใจ ถ้าขาดไปเสียแล้ว ไอ้ความรู้ทางธรรมดาสามัญนั้น จะไม่ช่วยบุคคลนั้นได้ หรือว่าได้ก็ไม่ดี เผลอเข้าก็กลายเป็นเครื่องทำลายบุคคลนั้นไป เพราะมันยั่วยุให้ส่งเสริมกิเลส มันจึงทำผิด ไกลออกไปทุกที ไกลออกไปทุกที จนในที่สุดก็วินาศ จึงขอร้องว่าอย่างไรเสียในระหว่างบวชอยู่ ๓ เดือนนี้ ช่วยสนใจไอ้ความรู้ด้านจิตใจของพระผู้มีพระภาคเจ้าให้มาก กระทำไปในลักษณะเหมือนกับว่าเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย นี้หมายความว่า ทำกันจริง ๆ ทำกันอย่างมาก ทำกันอย่างประณีตอย่างระมัดระวังอย่างมีสติสัมปชัญญะ
เอ้า,ทีนี่ก็จะพูดไปถึงตัวบทที่จะต้องศึกษาและปฏิบัติในมหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้า ก็เป็นเรื่องที่ได้บอกแล้วว่าเป็นเรื่องทางจิตใจ นั้นเราก็ต้องหยิบปัญหาทางจิตใจขึ้นมา คือ การมองดูที่จิตใจให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่า จิตใจ ถ้ายังไม่รู้จักสิ่งนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ก็ไม่รู้ว่าจะฝึกอะไรกัน ไอ้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างหนึ่ง ๆ ครั้งหนึ่ง ๆ ใน ๆ จิตใจนั่นแหละ ก็คือเรียกว่าเรื่องของจิตใจในที่นี้ ถ้าควบคุมไม่ได้ บังคับไม่อยู่ มันก็มีการเป็นไปอย่างหนึ่ง ถ้าควบคุมได้หรือบังคับอยู่ มันก็กลับเป็นไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งตรงกันข้ามทีเดียว ถ้าอย่างแรกก็ความวินาศ อย่างหลังก็เป็นความเจริญ นั้นขอให้มองดูกันในข้อนี้ก่อน
ก็ย้ำแล้วย้ำเล่าว่า มันเรื่องละเอียด ประณีต สุขุม คือ เรื่องทางจิตใจ การที่จะมัวหัวเราะร่วนกันอยู่ทั้งวัน ๆ นั้น ไม่มีทางที่จะรู้จักไอ้ตัวสิ่งที่เรียกว่าจิตใจ เพราะมันเป็นไปด้วยความประมาทเสียตลอดเวลา เราต้องสำรวมต้องนั่งจ้อง คอยจ้องเงีบบ ๆ เหมือนกับเฝ้าดูสัตว์ป่าที่ว่าเงียบแล้วมันจึงจะออกมา ถ้าเอะอะมะเทิ่งวุ่นวายกันอยู่ มันไม่ออกมาให้เห็นหรอก
ไอ้เรื่องจิตใจนี้ก็เหมือนกัน จึงต้องตั้งต้นสำรวมไปตั้งแต่เรื่องของศีล ถ้าเรามีศีล เราประพฤติถูกต้องทางกาย ทางวาจา เรื่องกิน เรื่องอยู่ เรื่องอะไรต่าง ๆ มันจึงจะมีร่างกายนี้หรือการกระทำทางกายนี้เหมาะสมที่จะเข้าถึงเรื่องทางจิตใจ ถ้าเห็นว่าเวลามันแพง มันเหลืออยู่น้อยแล้วก็อุตส่าห์สละไอ้เรื่องยุ่ง ๆ ทางกายนั้นล่ะเสียที จะนิ่งเงียบมาคอยสังเกตเฝ้าดูจิตใจว่ามันเป็นอย่างไร นั้นให้รู้ว่ามันมีระเบียบหรือกฏเกณฑ์ของมันอย่างไร เป็นต้นว่า ตาเห็นรูป หูได้ฟังเสียงก็ตาม มันก็เกิดการเห็นทางตา การได้ยินทางหูขึ้นมา นี่ไม่ใช่เห็นง่ายนะ ขอให้คุณไปสนใจเถอะ เพราะมันตัวไอ้จักษุ วิญญาณ โสตวิญญาณนั้นมันเกิดเมื่อตาเห็นรูป หูฟังเสียง ก็ยังรู้จักมันยาก ไอ้สามประการนี้ทำหน้าที่ร่วมกัน เขาก็เรียกว่าผัสสะ
พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติสิ่งเหล่านี้เรียกว่าผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา คือความรู้สึกต่อสิ่งที่มากระทบว่าถูกใจหรือไม่ถูกใจ แล้วมันจำแนกออกไปเป็นสวย หรือเป็นไม่สวย เป็นนิ่มนวล เป็นหยาบคาย เป็นไพเราะ เป็นไม่ไพเราะ เป็นหวาน เป็นขมขื่นนี่ อย่างนี้มันเป็นเวทนาขึ้นมา แต่เราก็ไม่เคยสนใจที่จะรู้จักมัน เราปล่อยไปตามอารมณ์ ถ้าถูกใจก็ล้งเล้งกันไปอย่างหนึ่ง ถ้าไม่ถูกใจก็ล้งเล้งกันไปอีกอย่างหนึ่ง เตลิดเปิดเปิงไปหมดจนไม่รู้จักตัวไอ้สิ่งที่เรียกว่าเวทนาที่เกิดมาจากผัสสะ
เวทนานี้ก็ทำให้เกิดตัณหา อยากอย่างนั้น อยากอย่างนี้ สวยก็อยากเอา ไม่สวยก็อยากเตะไปเสีย นี่ตัณหาอยากแล้วก็มีอุปาทานยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่อยาก รู้สึกเป็นตัวกูอยาก อยากจะได้มาเป็นของกู ตอนนี้ยิ่งเห็นยาก ยิ่งลึกซึ้ง ยิ่งละเอียด ยิ่งประณีต พอมีอุปาทานอย่างนี้แล้วก็เรียกว่ามีตัวกูหรือมีตัวตน ในความหมายของตัวตนนี้สมบูรณ์แล้วก็เรียกว่าเป็นภพขึ้นมา แล้วก็เป็นชาติขึ้นมา ออกมาเป็นการกระทำอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วสิ่งต่าง ๆ ก็กลายเป็นปัญหาที่จะมีความทุกข์ เพราะมันโง่ ความเกิดก็เป็นทุกข์ ความแก่ก็เป็นทุกข์ ความตายก็เป็นทุกข์ อะไรก็ล้วนแล้วแต่เป็นทุกข์ เพราะมีความยึดมั่นถือมั่น เป็นตัวเป็นตน
ถ้าไม่ศึกษาเรื่องนี้ดู จะไม่มีเรื่องอะไรที่น่าจะศึกษาสำหรับพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นเรื่องของเราเอง ทุกวัน ๆ ที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ขึ้น ๆ ลง ๆ ร้อน ๆหนาว ๆ กันอยู่กันแต่เรื่องเหล่านี้ ถ้าบังคับมันไม่ได้ ควบคุมมันไม่อยู่ มันก็จะเปะปะไปถึงคนข้างเคียง เพื่อนฝูง บุตร ภรรยา สามี อะไรก็ตาม มันก็พลอยวุ่นวายกันไปด้วย คือเป็นทุกข์ด้วย หรือว่าที่มันไกลออกไปก็คือว่าประกอบอาชญากรรมนานาชนิด นับตั้งแต่ คอรัปชั่น เป็นต้นไป จนถึงกับฆ่าคน อาชญากรรมหลายรูปแบบทีเดียว มันก็มาจากการที่ไม่รู้จักเรื่องนี้และบังคับไว้ไม่ได้ ถ้าเรามีความรู้เรื่องนี้บังคับได้ ไอ้เสนียดจัญไร อุปัทวะทั้งกลายก็จะไม่มาแผ้วพาล แล้วก็จะอยู่ด้วยความสุขสวัสดีมีแต่ความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป นี่ผมเรียกว่าเรื่องทางจิตใจของพระพุทธองค์ที่มีให้เรียน ให้ศึกษาในมหาวิทยาลัยของพระองค์
อยากจะเสริมอีกสักนิดหนึ่งว่า ในขณะที่ตาเห็นรูป หูฟังเสียง เกิดการเห็นทางตา การได้ยินทางหูเป็นสัมผัสขึ้นมาแล้ว ตรงนั้นแหละเป็นระยะเวลาที่สำคัญที่สุด แม้มันจะสั้นที่สุด มันก็สำคัญที่สุด หมายความว่า ถ้าตอนนั้นมีสติแล้วก็ไม่เป็นไร ถ้าตอนนั้นไม่มีสติ มันก็จะเป็นไปตามแนวที่ว่าไปแล้ว ก็เกิดเวทนาอย่างโง่เขลา จะเกิดตัณหาอย่างโง่เขลา จะเกิดอุปาทานอย่างโง่เขลา แล้วมีภพอย่างโง่เขลา มีชาติอย่างโง่เขลา แล้วมันก็จะได้เป็นทุกข์กันแค่นั้นเอง ถ้าเขาฝึกอย่างที่เรียกกันว่าวิปัสสนาก็คือฝึกให้มีสติในขณะแห่งผัสสะ คือ ตาเห็นรูป เกิดการเห็นทางตา สามอย่างนี้ถึงกันเข้าทำงานร่วมกันแล้วก็เรียกว่าผัสสะทางตา ถ้าหูก็ได้ยินแล้วได้ยินทางหูจะเป็นผัสสะทางหู ถ้าทางจมูกทางกลิ่นก็ผัสสะทางจมูก เป็นอันครบทั้ง ๖ ทาง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าขณะนั้นไม่มีสติ มันก็เป็นผัสสะอย่างโง่เขลาของคนโง่เขลาไม่รู้สึกตัวเต็มไปด้วยความประมาท เวทนาที่เกิดขึ้น มันจึงเป็นเวทนาโง่เขลา สำหรับจะเกิดตัณหาคืออยากด้วยความโง่เขลา ก็ไปด้วยความโง่เขลาเรื่อยจนถึงกับว่ามีการกระทำที่โง่เขลา มีการพูด การคิด การกระทำที่โง่เขลาแล้วก็ได้เป็นทุกข์
นั้นฝึกก็คือฝึกให้มีสติตอนที่ผัสสะนั้นเอง จึงเป็นของประณีตละเอียดสุขุมที่จะทำด้วยการหัวเราะกันทั้งวันนี่ไม่ได้ ข้อธรรมะในนวโกวาทคือในแบบเรียนไหนก็ตาม จะพบว่าระบุไปยังการสำรวม การอยู่อย่างสงบสงัดอย่างยิ่ง อยู่อย่างสงบสงัดมีระบุอยู่ในหมวดธรรมหลายหมวด ขอให้ไปตรวจสอบดู ถ้าไม่อยู่อย่างสงบสงัดแล้วจะไม่รู้สึกต่อสิ่งเหล่านี้ จะไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ นั้นขอให้สละเสียเถอะ เรื่องกิน เรื่องเล่นเรื่องหัวอะไรก็ตาม เวลาเหลือน้อยแล้วไม่เท่าไรจะสึกแล้ว หาไอ้ความสงบสงัดมา จะได้เป็นโอกาสที่รู้จักไอ้สิ่งนี้ที่ซ่อนตัวอยู่อย่างลึกซึ้งที่สำคัญที่สุด จะรู้จักมันแล้วก็จะรู้วิธีควบคุมมัน
ถ้าศึกษาต่อไปจะสามารถควบคุมมันได้ แม้ว่าระหว่างที่บวชอยู่นี้ไม่ทันจะควบคุมได้ จะต้องสึกออกไปเสียก่อนก็จะได้ไปควบคุมกันได้ต่อไปข้างหน้าจนควบคุมได้ แล้วท่านก็จะมีลักษณะเปลี่ยนไปมากเหมือนคนละคน คือ จะเป็นคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เคร่งขรึม สุขุม ทำอะไรไม่ผิด คือไม่สร้างความทุกข์ขึ้นมานั่นเอง อย่างนี้ก็เรียกว่าได้ประโยชน์มหาศาลยิ่งกว่ามหาศาลสำหรับการมาเข้ามหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้าชั่วเวลา ๓ เดือน นี่สิ่งแรกที่ผมคิดว่าท่านที่เป็นราชภัฏลาบวชทั้งหลายจะต้องสนใจ ก็จะคุ้มค่าของการมาบวช
ที่นี้ก็จะนึกไกลออกไปถึงว่า จะประพฤติประโยชน์แก่ผู้อื่น แก่ครอบครัว แก่ประเทศชาติ ศาสนา มันก็มีหลักเกณฑ์อย่างเดียวกันอีกแหละ คือ ทำได้แต่บุคคลที่สามารถบังคับตนเองได้เท่านั้น ถ้าบังคับตนเองหรือบังคับจิตใจของตนเองไม่ได้แล้วก็บังคับใครไม่ได้ แล้วก็จะไปทำอะไรชนิดที่เป็นอันตราย เลยยุ่งกันไปหมด จะ ๆ ควบคุมผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาหรือสอนบุตร สอนหลานนั้น มันต้องมีสติสัมปชัญญะ ไม่ใช่งุ่นง่านอยู่ด้วยกิเลสตัวใดตัวหนึ่ง แล้วเราจะไปสอนผู้อื่น บังคับผู้อื่น แนะนำผู้อื่นได้ แล้วก็มีจิตใจชนิดที่เป็นอิสระเกลี้ยงเกลาจากกิเลส โดยเฉพาะในเวลานั้น ชั่วเวลานั้นก็แล้วกัน คือเราไม่อาจจะหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ได้ก็จริง แต่เรายังจะสามารถที่จะไม่มีกิเลสชั่วกาลเวลา ชั่วเหตุการณ์ ชั่วกรณีนี้ทำได้ นี้ก็จะมีการสำรวมจิตใจที่ทำไว้จนเคยชิน
เมื่อเราอยู่ ยังบวชอยู่นี่เราฝึกเป็นผู้ที่สำรวมจิต บังคับจิตให้ได้ แม้ชั่วขณะ ๆ โดยเราฝึกอยู่ทุกวัน เมื่อยังตื่นอยู่นี้ ไปบิณฑบาตร ก็ด้วยการฝึกการควบคุมจิต มีความสงบระงับ ไม่ฟุ้งซ่านไปตามไอ้สิ่งที่มันแวดล้อม กลับมาฉันก็ฉันด้วยการบังคับจิต ไม่ใช่สรวลเสเฮฮากันไปพลางแล้วก็ฉันกันไปพลาง อย่างนี้มันจะเพิ่มนะ ขอให้ฟังให้ดีว่ามันจะเพิ่มนิสัยโลเลเหลาะแหละ คือ ๆ นิสัยของกิเลส มันจะเพิ่ม จะเพิ่ม ๆ เพิ่มไปจนตายแหละ มันจะเพิ่มมากขึ้นจนหนาเตอะไปหมด แต่ถ้าเราคอยระวังไว้ไม่ให้มันเกิดได้ มันไม่เพิ่ม ที่ไม่เพิ่มนี้ ไม่ใช่มันอยู่เท่าเดิม มันจะเปลี่ยนเป็นน้อยลง ๆ ๆ เพราะมันขาดความเคยชินที่จะเป็นอย่างนั้น ก็เรียกว่ามันไม่ได้อาหารที่จะส่งเสริมให้งอกงาม มันขาดอาหารมันก็ผอมลง นั้นนิสัยที่เลว ๆ มันก็ลดลง ๆ ๆ ผอมลง ๆ เพราะมันได้รับการแก้ใขเป็นอย่างดีหรือถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่เราบวชอยู่
นั้นถ้าเราประพฤติกระทำตามคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยแท้จริงในระหว่างที่บวชอยู่นี้ นิสัยที่เลว ๆ ทั้งหลายจะผอมลง ๆ ๆ จะน้อยลง ๆ เช่น ความขี้โกรธก็จะน้อยลง ความมักได้ก็จะน้อยลง ความตามใจกิเลสตัณหา มันจะน้อยลง เรียกว่า ความเลวทุกชนิดมันจะน้อยลง ๆ คือ ผอมลง ๆ เหมือนกับสัตว์ที่มันขาดอาหาร นั้นขอให้อยู่อย่างลูกของพระตถาคตเถิด แล้วกิเลสมันก็จะผอมลง ๆ ๆ ชั่ว ๓ เดือนนี้มันจะผอมลงไปมากทีเดียว แม้ว่าร่างกายมันจะผอมลงไปบ้างก็ไม่เป็นไร คนถ้าบวชประพฤติกระทำอยู่อย่างถูกต้องตามแบบฉบับของธรรมวินัยแล้ว น้ำหนักตัวต้องลด เคยทดสอบมาแล้วหลายคนนะ น้ำหนักตัวลด ๕ กิโล ๖ กิโล อย่างนี้เสมอไป ถ้าน้ำหนักตัวไม่ลดก็เป็นเครื่องแสดงว่าไอ้คนนี้มันไม่ประพฤติกระทำตามธรรมวินัยตามแบบที่มีอยู่ ไอ้น้ำหนักตัวลดทางกายนี้ไม่เป็นไร แต่ขอให้กิเลสอนุสัย ความเคยชินเลว ๆ นั้นมันลด ๓ เดือนให้มันลดลงไปมาก ให้มันผอมลงไปมาก
แล้วเราก็จะเหมือนกับเกิดใหม่ เหมือนกับลอกคราบใหม่เป็นคนใหม่ แม้จะสึกออกไปก็ไม่เป็นไร มันไปมีประโยชน์ มันไม่ใช่มีโทษ มันจะทำให้เป็นคนที่ทำอะไรผิดได้ยาก ให้เข้มแข็งในการที่จะบังคับตน และสามารถที่จะบังคับผู้อื่น หรือเป็นหัวหน้าผู้บังคับบัญชาที่ดีได้ ถ้าหากว่าในหมู่พระราชภัฎทั้งหลายมีขั้นที่เป็นหัวหน้าผู้บังคับบัญชาติดมาบ้างแล้ว ก็ขอให้สนใจเป็นพิเศษเถิด คือเอากลับไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในการบังคับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาให้ได้
นี่คือเรื่องทางจิตใจ ขอให้สนใจเป็นพิเศษ ทำไมพิเศษเพราะว่ามันละเอียดสุขุมประณีตรวดเร็วบังคับยาก นี่ตอนเช้าไปบิณฑบาตรก็ด้วยสติสัมปชัญญะ กลับมาฉันก็ด้วยสติสัมปชัญญะ เสร็จแล้วจะทำอะไร จะเรียนอะไรก็มีสติสัมปชัญญะ ให้ถือว่าการจับกลุ่มกันหัวเราะนั่นแหละผิดที่สุด ร้ายกาจที่สุดสำหรับผู้ประพฤติพรหมจรรย์ มันเป็นเรื่องของฆราวาสที่เขาจะทำอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ไอ้นอนนี้มันก็เลวอยู่แล้ว แต่ถ้ามามัวจับกลุ่มหัวเราะสรวลเสเฮฮากันอยู่อย่างนี้ก็ไปนอนเสียดีกว่า ทั้งที่ไอ้นอนนี่มันก็เลวอยู่แล้ว ถ้ามาจับกลุ่มศึกษาอ้ามาจับกลุ่มหัวเราะสรวลเสเฮฮา มันยังเลวกว่าไปนอนเสียอีก นั้นอย่าจับกลุ่มหัวเราะสรวลเสเฮฮาที่มันเพิ่มความประมาทเลย ไปนอนเสียยังดีกว่า
ที่นี้ฉันเพลให้ฉันด้วยสติสัมปชัญญะ ตอนบ่าย ถ้าควบคุมอย่าให้มันเกิดอาการง่วงเหงาจนถึงกับจะต้องนอนได้ก็เป็นการดี สำหรับคนหนุ่ม ไม่ใช่สำหรับคนแก่ คนหนุ่มควรจะมีวิธีประพฤติกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งที่อย่าให้จะต้องนอนกลางวันเลย เรียกว่าประพฤติฎากัลยาณุโยค (นาทีที่ ๓๒.๐๕ ) อย่าให้มีอาการซึมเซา ง่วงนอนแล้วก็นอนเสียอย่างนั้นแหละ จะบังคับให้มันสดชื่นแจ่มใจอยู่ตลอดเวลา จะเรียนอะไร จะทำอะไรก็ทำไปจนกว่าจะถึงบ่ายถึงเย็น จะไปอาบน้ำก็มีสติสัมปชัญญะ ต่างคนต่างมีสติสัมปชัญญะ อย่าไปผสมโรงกัน หัวเราะเล่นหัวกันอยู่ที่บ่อน้ำ ที่อาบน้ำหรือว่าที่มักจะเป็น เห็น ๆ กันอยู่ นั้นมันจะกลับตรงกันข้ามมัน จะเกิดความประมาท จะเพิ่มความประมาท นี้กลับมาก็ต้องมาด้วยสติสัมปชัญญะ จะไหว้พระ สวดมนต์ทั้งเช้าทั้งเย็น จะศึกษาเล่าเรียนอะไร ก็ทำไปด้วยมีสติสัมปชัญญะอย่างสม่ำเสมอที่สุด ไปดูเครื่องไดนาโมใหญ่ ๆ ไดนาโมไฟฟ้าใหญ่ ๆ ที่มันหมุนอยู่ฮึ่มอย่างสม่ำเสมอ น่ารัก มันสม่ำเสมอที่สุดแหละ
นั้นเราก็จงมีความนิ่งอย่างนั้น สม่ำเสมออย่างนั้น แต่มันไม่ใช่นิ่งอย่างไม่มีอำนาจ มันนิ่งอย่างที่มีอำนาจ เช่น ไดนาโมหมุนหึ่งอยู่เงียบ ๆ ไปถูกเข้าตาย ไม่ทันรู้สึก เพราะมันมีอำนาจมาก นี่ความนิ่งเงียบอย่างควบคุมสตินี้ มันก็มีอำนาจมากเหมือนกัน คือ มันฆ่ากิเลสได้ ถ้ามัวหัวเราะสรวลเสเฮฮาอยู่ มันก็ส่งเสริมกิเลสให้อ้วนพียิ่งขึ้นไป ถ้านิ่งเงียบหึ่มอยู่ด้วยสติสัมปชัญญะนี่ มันฆ่ากิเลสได้ ที่นี่ก็จะเป็นของง่ายต่อไปสำหรับเราที่จะฆ่ากิเลสความขี้มักโกรธ โมโห โทโส ขี้หงุดหงิด นี่มันก็จะถูกฆ่าได้ ความโลภ ความมักได้ ราคะทางเพศอะไรนี่มันก็ถูกฆ่าได้ ความมัวเมาอย่างอื่นก็ถูกฆ่าได้ นั้นการมีสตินิ่งเงียบอยู่ด้วยธรรมะนั้นแหละ มันมีกำลังที่จะฆ่ากิเลสเดี๋ยวนั้นหรือต่อไป แต่ที่ดีกว่านั้นคือมันเปลี่ยนนิสัย เปลี่ยนนิสัย ๆ ของกิเลสเป็นความเคยชินของกิเลสให้เป็นความไม่ค่อยมีกิเลส หรือกิเลสเกิดยาก แล้วเกิดน้อยจนกระทั่งไม่เกิด
จึงหวังว่าช่วงเวลา ๓ เดือนนี้ควรจะรู้จักเรื่องนี้ติดตัวไป สำหรับออกไปเพื่อบังคับตัวได้ แล้วก็จะเป็นผู้บังคับบัญชาที่ดี ครอบครัวก็ได้ คนในหน้าที่การงานก็ได้ เพื่อกระทำ ประพฤติประโยชน์แก่ผู้อื่นก็จะสนุกสนาน เพราะว่าเราไม่มีกิเลสที่เป็นเหตุให้เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวแล้วมันก็นอนเสียดีกว่าที่จะไปช่วยผู้อื่น มันคิดอย่างนั้นน่ะ คนเห็นแก่ตัวมันจะคิดว่า กูนอนเสียดีกว่าที่จะไปช่วยเหลือประเทศชาติ หรือผู้ใด หรือบางทีแม้แต่ลูกเมีย นั้นคนที่ทำลายความเห็นแก่ตัวได้เท่าไรก็จะมีประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น
นั้นเราอยู่ในมหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้า มันสรุปความได้ว่ามันทำลายความเห็นแก่ตัวด้วยวิธีอันลึกซึ้ง ละเอียดปราณีต สุขุมอยู่ทุกวัน ๆ ๆ อย่าคิดว่าผมอะไร อย่าคิดว่าผมด่าคุณ อย่าคิดว่าผมพูดกระทบกระเทียบคุณ ผมมีหน้าที่ที่จะต้องพูดตรงตามพระพุทธประสงค์อย่างที่ผมเรียกตัวเองว่าผู้รับใช้พระพุทธเจ้า นั้นผมก็ต้องพูดตรงตามพระพุทธประสงค์ ดังนั้นผมจึงขอถือโอกาสพูดว่าเรายังประมาทกันเกินไป หัวเราะสรวลเสเฮฮาเหมือนกับฆราวาส ไม่ละนิสัยอันนี้ซึ่งเคยชินกันมาตั้งแต่ก่อนบวช จนบวชแล้วก็ยังอยู่เท่าเดิม ถ้าอย่างนี้แล้วมันก็หมดแล้ว มันปิดประตูหมดเลย มันปิดประตูแห่งความเจริญทางจิตใจหมดเลย
อย่างว่าเด็กหนุ่มสาวมันเดินเข้ามาในสวนโมกข์นี้ มันก็สรวลเสเฮฮา เดินหยอกล้อกันมาตามเรื่อง เข้าไปเที่ยว ไปทั่ววัดมันก็ยังเป็นอย่างนั้น แต่ภิกษุสามเณรเป็นอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าเป็นก็ไม่ใช่ภิกษุ สามเณร คือ ผู้ไม่บังคับตัวเอง แล้วจะต้องมีการบังคับตัวเอง ไม่ทะลุแก่อำนาจของไอ้ความรู้สึก จนหัวเราะสรวลเสเฮฮาหยอกล้อกันไป เหมือนกับที่เราเคยทำเมื่อก่อนเป็นฆราวาส เมื่อเป็นฆราวาส เมื่อก่อนที่จะมาบวช นี่เราจะบวชทำไม เพราะมันไม่มีอะไรเท่าเดิม มาเท่าไรไปเท่านั้น ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร แต่เดี๋ยวนี้มันจะเลวกว่านั้น คือ มันจะไม่มาเท่าไรไปเท่านั้น คือ กลับออกไปทีนี้ มันจะประมาทมากกว่าเมื่อยังไม่เคยมาบวช เพราะว่าเราเข้ามาถึงไอ้ตัวของการบวชหรือการบรรพชา แล้วกลับมามีความประมาท เป็นอันว่าพอกลับออกไปนี้มันประมาทกว่าเดิม อย่างนี้เรียกว่า ขาดทุนป่นปี้ยิ่งกว่าล้มละลายเสียอีก
ถ้าเชื่อก็ขอไปคิดดูเถิด อย่าต้องเป็นคนล้มละลายเลย ยังอีกเดือนกว่า ๒ เดือนนี้ พอจะตั้งตัวได้ พอจะแก้ไขปรับปรุงได้ ให้ได้สิ่งประเสริฐวิเศษของพระพุทธเจ้าติดตัวกลับออกไปจากมหาวิทยาลัยของพระองค์ ออกไปเผชิญชีวิตในโลกด้วยชัยชนะในหน้าที่การงาน ตามแต่ว่าจะมีหน้าที่การงานอย่างไร ท่านที่เป็นราชภัฎทั้งหลายก็ล้วนแต่มีหน้าที่การงานกันมาก่อนทั้งนั้น ดังนั้นควรจะมีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานนั้น ๆ นั้นกลับออกไปนี้จะต้องพกเอาสิ่งที่จะช่วยเหลือให้ทำความเจริญหรือก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้ด้วยกันทุกคนไม่มากก็น้อย แต่น้อยนี้มันไม่ดี สู้มากไม่ได้ ที่ว่ามากนี้มันก็ไม่เกินวิสัย ไม่เหลือวิสัย
มันเป็นของประหลาด ถ้าเราทำจริงทำถูกต้อง แล้วก็เวลามันไม่ต้องมาก เราก็ได้มาก มันได้ผลมากเรื่องจิตใจมันเป็นอย่างนี้ มันไม่ใช่เรื่องทางวัตถุ มันมากได้เร็ว มันน้อยได้เร็ว มันมากได้เหลือเชื่อ มันน้อยได้เหลือเชื่อ มันไม่เหมือนกับเรื่องทางวัตถุ นั้นขอให้ตั้งใจทำให้ดี ๆ ทำถูกแว๊บเดียวมันได้ตั้งมากมาย แล้วกลับออกไปนี้ก็จะมีของวิเศษประเสริฐกายสิทธิ์ติดตัวออกไป ไปแก้ปัญหาต่าง ๆได้จนตลอดชีวิต จะมีชีวิตที่ก้าวหน้าไปโดยรวดเร็วในความเจริญที่ถูกต้อง
อย่า ๆ ลืมว่าผมบอกแล้วว่ามันเป็นเรื่องละเอียด ๆ ประณีตสุขุม คุณจะไม่มองเห็น คุณจะไม่เข้าใจว่าชีวิตที่ถูกต้องนั้นเป็นอย่างไร หรือว่าชีวิตนี้ มันควรจะได้อะไรบ้างก่อนแต่ที่มันจะตายนี้ ถ้ามันมีความคิดหยาบ ๆ มันก็ไม่มองเห็นข้อนี้ว่าต้องได้อะไรบ้าง ก็จะโง่ถึงขนาดที่จะกล่าวว่า เดี๋ยวนี้กูก็ได้หมดแล้ว อะไร ๆ ที่ควรจะได้ก็ได้หมดแล้ว มีสตางค์ใช้ มีการเล่นหัวมีอะไร อย่างนี้ก็ได้หมดแล้ว นี้มันยังไม่ใช่สิ่งที่ชีวิตควรจะได้ มันมากกว่านั้นมาก ไปสังเกตดูเอาเองเถิด ต่อไปนี้มันควรจะได้อะไรที่จะเรียกว่าได้มาก ได้ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ตอนนี้อย่าประมาทก็แล้วกัน พอละเอียดประณีตสุขุมกันบ้างแล้วจิตใจนี้ก็จะมองเห็นเองว่าอะไรเป็นอะไร ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วบวช ๓ เดือนก็มีประโยชน์ มีอานิสงส์มหาศาล
สรุปกันสักนิดหนึ่งว่าอยู่กันด้วยสติสัมปชัญญะ รู้สึกตัว ควบคุมตัวอยู่เสมอ อย่าให้เผลอหัวเราะออกมาได้ ถ้าเผลอหัวเราะออกมาได้ก็หมายความว่ามันลืมแล้ว มันประมาทแล้ว ถ้ามันถึงกับเล่นหัวได้ มันคือ ลืมตัวแล้ว มันประมาทแล้ว ไป ๆ ทำเพียงเท่านี้ก็พอ มันไม่มีอะไรมาก แม้จะทำมากมายเท่าไร มันก็มาสรุปอยู่ที่นี่ คือ มีสติหรือขาดสติ แล้วก็พอจะสังเกตได้ ๆ ด้วยตนเอง ขาดสติคืออย่างไร มีสติคืออย่างไร ให้สนใจคำว่าขาดสติหรือมีสติแค่นั้น ให้ ๆ ยิ่ง ๆ ขึ้นไป นี้จะมีค่ามาก อย่าไปสนใจเรื่องอื่น ซึ่งเป็นเรื่องหลอก ๆ ทั้งนั้น ตั้งใจควบคุมจิตใจ ถ้ามันผิดไปหน่อยหนึ่งก็เสียใจให้มาก ละอายให้มาก เช่นว่ามันไปโกรธใครก็เท่านั้นแหละ เราเสียใจให้มาก ละอายให้มาก ว่าเสียทีที่เป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสียทีที่ได้นุ่งห่มผ้ากาสายะมีรูปแบบของสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสียใจจนไม่รู้ว่าจะเสียใจกันอย่างไร
มันละเอียดประณีตสุขุมอย่างนี้ ถ้าหยาบไปมันก็ไม่รู้ ไม่รู้สึกว่าเราได้ทำอะไรเสียหายลงไป หรือว่าไปต้องการ ไปอะไรเข้าจึงไม่สมควรแก่เพศของบรรพชิตนี่ ไปคิดฝันอะไรเข้า นี่ก็ขอให้เสียใจ เสียใจจนไม่รู้ว่าเสียใจอย่างไร อย่างนี้แหละคือมันมีหิริและโอตตัปปะ ใบต้น หน้าต้น เรื่องนวโกวาทตอนธรรมวิภาค อย่าท่องแต่ตัวหนังสือ มันไม่มีประโยชน์อะไรกันที่จะท่องกันแต่ตัวหนังสือ จะต้องให้รู้จักมัน แล้วก็มีมันจริงๆ ทำอะไรผิดแล้วก็เสียใจ เสียใจ ๆ ๆ ละอาย กลัวความเลวของกิเลสและความทุกข์ที่จะเกิดขึ้น นี่เรียกว่า มีหิริโอตตัปปะ และการกระทำของเราอย่างนั้นแหละมันก็เรียกว่าสติสัมปชัญญะ ใบแรกของธรรมวิภาคนวโกวาทเหมือนกัน ถ้าอย่างนี้ก็คือความเจริญก้าวหน้าในธรรมวินัยของพระศาสนา ของพระบรมศาสดา ไม่เสียทีที่ว่าแม้จะบวชเพียง ๓ เดือนก็ได้อะไรเต็มที่ตามความมุ่งหมายของพระศาสนานั่นเอง
นั้นควบคุมจิตใจให้ปกติ ให้ปกติ ๆ อย่างน้อยในภายใน จะต้องทำให้เหมือนกับว่ามันเย็น มันยิ้มอยู่เสมอ ถ้าคุณจะรักษาความยิ้มนี้ได้อยู่เสมอ แล้วคุณจะไปสรวลเสเฮฮาอย่างประมาทไม่ได้หรอก เพราะว่ายิ้มนี่มันต้องยิ้มไปด้วยธรรมะ มันมีธรรมะอยู่เสมอ ทำจิตใจให้ยิ้มกริ่มในการบรรพชาอุปสมบทของเรานี้อยู่เสมอ เอาความยิ้มนั่นแหละเป็นสมาธิ เป็นอารมณ์ของสมาธิ ปากมันก็หุบเองแหละ มือตีนมันก็สงบระงับเองแหละ อย่างนี้เรียกว่ามันมีทั้งศีล ทั้งสมาธิ ทั้งปัญญาอยู่ในนั้นเสร็จแหละ มีตัวจริงด้วย ไม่ใช่ท่องกันแต่ปาก มันก็ไม่ยากนักที่จะมีศีล สมาธิ ปัญญา ชนิดที่มีประโยชน์ได้
อา,ต่อนี้ไปจะทำอะไร จะเป็นธรรมฑูตก็เป็นธรรมฑูตที่แท้จริงแหละ คือ เอาพรหมจรรย์ของพระพุทธเจ้าไปเผยแผ่ได้เป็นแน่นอน หรือจะสึกออกไปเป็นฆราวาสก็เป็นฆราวาสชนิดที่เป็นอริยสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแน่นอน ถ้าอยู่เป็นสาวกแบบบรรพชิตก็เป็นสาวกที่ดี จะไปสั่งสอนมันก็ยิ่งจริง เพราะว่าเรามีอะไรที่จะสั่งสอน มีอะไรสำหรับสั่งสอน เหมาะสมที่่จะสั่งสอน ได้ยินว่าในที่ประชุมนี้ก็มีธรรมฑูตอยู่บ้างจึงเอ่ยถึงข้อนี้ ว่าด้วยการประพฤติกระทำอย่างเดียวกันเพียงอย่างเดียว มันมีผลแตกออกไปหลายแขนงอย่างนี้ ขอให้เห็นว่ามันประเสริฐที่สุดแล้ว สำหรับผู้บวชจะพึงได้ในฐานะที่จะอยู่ต่อไปหรือว่าจะสึกออกไปตามความจำเป็น หรือกฎเกณฑ์ที่มีอยู่ก็เป็นอันกล่าวได้ว่า
การบวชเพียง ๓ เดือนนี้มีค่ามากมาย ไม่เป็นที่หัวเราะเยอะของศาสนาอื่น ซึ่่งเขามีระเบียบอะไรรัดกุมมาก เขาไม่ยอมให้บวชกัน ๓ เดือนเล่น ๆ อย่างนี้หรอก แต่เราก็พิสูจน์ได้ว่าแม้เราจะบวชเพียง ๓ เดือนเท่านี้เราก็ได้อะไรที่เป็นประโยชน์แก่บุคคล และสังคม และแก่โลกมากอย่างไม่น้อยทีเดียว นั้นเขาอย่ามาหัวเราะเยาะขนบธรรมเนียมประเพณีบวช ๓ เดือนของเราเลย แต่ถ้าเราทำไม่ได้อย่างนี้ก็เป็นสิ่งที่ควรจะหัวเราะเยาะ ถ้าเขาหัวเราะเยาะก็อย่าไปโกรธเขาเลย นี้จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ จะเจริญหรือจะเสื่อม มันก็อยู่ที่เรา ถือว่าเรื่องนี้เป็นข้อแรก เรื่องแรกที่ควรจะพูดกับท่านทั้งหลายผู้เป็นราชภัฎลาบวช
ก็ขอแถมอีกนิดหนึ่งว่าระหว่างที่บวชอยู่นี้ เราจะได้ฝึกฝนระเบียบการเป็นอยู่อย่างพระพุทธเจ้า คือเป็นอยู่อย่างถูกที่สุด เป็นอยู่อย่างมีราคาถูกที่สุด แต่มีการกระทำที่แพงที่สุด ลองกินอยู่อย่างแบบพระพุทธเจ้า กินง่าย อะไรง่าย อาหารเหมือนกับที่เขาจะให้ทานมา ที่อยู่อาศัยก็เรียกว่าอย่างต่ำที่สุดแหละ เอาแบบพระพุทธเจ้าท่านประสูตรกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน นิพพานกลางดิน สอนก็กลางดิน เพราะกุฏิที่อยู่ของท่านก็พื้นดินไปดูได้ที่ประเทศอินเดีย เครื่องนุ่งห่ม เครื่องเป็นอยู่อะไรต่างๆก็ต่ำที่สุดแหละ แต่ว่าการกระทำนั้นสูงสุด เราถือหลักอันนี้ ออกไปนี้ก็ยังคงจะเป็นอยู่หรือกินอยู่อย่างถูกที่สุด คือ ใช้จ่ายเพราะเหตุนี้น้อยที่สุด แต่แล้วไปกระทำสิ่งที่มีประโยชน์สิ่งที่มีค่าแพงที่สุด ถ้าไม่ฝึกหัดเสียตั้งแต่เมื่อบวชนี้ มันก็ไม่มีโอกาสจะฝึกหัดแหละ มันไม่มีโอกาสจะฝึกหัด นั้นจึงยินดีที่ว่าวันนี้จะมีฉันข้าวราดน้ำปลาก็ยิ่งดี ยังดีกว่าภิกษุสมัยพุทธกาลที่ฉันข้าวเพียงราดน้ำผักดองง่าย ๆ เลว ๆ ซึ่งอร่อยสู้ราดน้ำปลาไม่ได้ นี่ผมจะพูดอย่างนี้ในครั้งพุทธกาลนั้นก็มีมาก ภิกษุจะมีอาหารเพียงว่าข้าวเลว ๆ ราดน้ำผักดองเลว ๆ ไม่มีชิ้นผักด้วยซ้ำไป ๆ อ่านดูเรื่องราวพระคัมภีร์พระบาลี อย่าเข้าใจว่าท่านเป็นอยู่กันอย่างที่ชาวบ้านเขาเลี้ยงดูประคบประหงม เหมือนกับที่เราเห็นในเมืองไทยมันไม่เป็นอย่างนั้น เดี๋ยวนี้มันเกิดตบตาตลบแตลง ผิดอย่างตรงกันข้าม นั้นหัดกินอย่างพระ นอนอย่างพระ ใช้บริโภค ใช้สอยอย่างพระ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ นี้จะเป็นการเป็นอยู่ที่ต่ำ ใช้เงินน้อยจนเกือบไม่ต้องใช้เลย ตลอดเวลามีการกระทำอย่างสูงสุด แพงมาก นี่เรียกว่าแบบของพระพุทธเจ้าท่านเป็นอย่างนี้
ที่กลับออกเป็นฆราวาสก็ขอให้เป็นอย่างนี้ด้วยเพราะเราเคยแล้ว ลองแล้วเราทำได้ พยายามจะทำทุกอย่างที่จะขูดเกลากิเลสตามแบบของพรหมจรรย์จะต้องเป็นการขูดเกลา อย่าขี้เกียจในการที่จะทำการงาน อย่าคิดว่าเมื่อเราไม่บวช เราอยู่ที่บ้าน เราก็ทำการงาน มาอยู่ที่วัดก็ทำการงานอีก มันก็ไม่แปลกอะไร นี่ผมบอกแล้วมันเป็นเรื่องลึก เรื่องละเอียด คือ อยู่ที่บ้านมันทำการงาน เอาตัวเองให้ลูกให้เมีย แต่พอมาอยู่ที่วัดนี่ มันไม่ทำงานให้ตัวเอง มันทำงานให้ศาสนา ให้ส่วนรวม ให้พระพุทธเจ้า หรือว่าดีกว่านั้นก็คือให้ความว่าง
ไปเทียบดู ถ้าอยู่ที่บ้านก็ทำงานเหน็ดเหนื่อยเหงื่อไหลไคลย้อย มาอยู่ที่วัดก็ทำการงานเหงื่อไหลไคลย้อย แต่มันไม่เหมือนกัน มันกลับจะตรงกันข้ามเพราะว่าทำที่บ้านนั้น มันทำเอาให้ตัวกู แต่พอมาทำที่วัดนี้จะทำให้ตัวกูอย่างนั้นไม่ได้ มันต้องทำให้พระศาสนา หรือว่าให้ความว่างไปเลย จงพยายามที่จะฝึกทำงานให้ความว่างหรือให้ส่วนรวม ให้พระศาสนานี้กันเสียบ้าง มันจะได้ชดเชยกันกับที่เราความเคยชินแต่การทำงานให้ตัวกู คือ ไปทำงานที่บ้าน ออกเหงื่อเหน็ดเหนื่อยที่บ้าน มันเพื่อความทุกข์ แต่ออกเหงื่อเหน็ดเหนื่อยที่วัด มันเพื่อล้างกิเลส มันก็ต่างกันอย่างนี้ นี่เท่าที่นึกออกในเวลาอันสั้นและมีจำกัดอยู่เท่านี้ ให้ผมพูดเพื่อประโยชน์แก่ท่านราชภัฎลาบวชทั้งหลายก็เห็นว่าเรื่องนี้แหละ สำคัญกว่าทุกเรื่อง
มันไม่เกี่ยวกับหนังสือหนังหาวิชาความรู้อะไรนัก แต่มันเกี่ยวกับการบังคับจิตใจ เฝ้าระวังจิตใจอย่าให้พลาดไปจากการเฝ้า มีการเฝ้าระวังจิตใจอย่างติดต่อกันไปเรื่อย ไม่ให้โอกาสแก่ความรู้สึกที่เป็นกิเลสหรือนิวรณ์เกิดขึ้นมา เรากำหนดความดีหรืออะไรที่เป็นหลักสำหรับกำหนดได้ มีสติระวังตัวอยู่เสมอนั่นแหละ อย่า ๆให้มันพลาดได้ ไม่ให้โอกาสแก่ ๆ ความรู้สึกเลวร้ายจะเข้ามาตลอดเวลาที่บวชอยู่ ก็จะเป็นผู้เจริญงอกงามในพระศาสนาแม้ชั่วเวลา ๓ เดือนนี้ ก็เป็นไปอย่างมากมหาศาลทีเดียว ดีกว่าไม่ได้บวช ไม่รู้กี่ร้อยเท่า พันเท่า หมื่นเท่า แสนเท่าเลย เอาแหละในฐานะที่จะพูดกันพอที่จะเป็นประโยชน์แก่ท่านราชภัฎลาบวชทั้งหลาย ผมก็พูดเพียงเท่านี้ ก็ขอยุติเรื่องนี้ ขออวยพรให้ท่านทั้งหลายราชภัฎลาบวชนี้จงประสบความสำเร็จตามความมุ่งหมายในการลาบวชนั้นทุก ๆ ประการเทอญ
ต่อไปนี้จะมีเรื่องอะไร เอา, นิมนต์อย่าให้เสียเวลา ๆ น้อย ได้ยินว่าจะกลับ ๕ โมง
เรียนพระราชภัฎทุกรูป โครงการของเราก็คือว่า เกี่ยวกับเรื่องพระภิกษุราชภัฎจังหวัดสุราษฏร์ธานี งานนี้ทางคณะสงฆ์ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีของเราก็ได้จัดให้มีขึ้นเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว อา,วัตถุประสงค์ก็เพื่อที่จะให้เกิดผลดีแก่พระภิกษุราชภัฎเอง แล้วเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น นอกจากนั้นก็เพื่อที่จะให้เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ และพระศาสนา อย่างที่ทุก ๆ ๆ รูปได้มาฟังโอวาทของพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณซึ่งเป็นประธานอยู่ในโอกาสนี้ ท่านก็ให้ความรู้ด้านธรรมะแก่เราอย่างมากมาย โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องระบบการปกครอง พระเดชพระคุณก็ได้พูดย้ำเป็นส่วนเน้นหนักว่า เรื่องระบบการปกครองจะมีสักกี่ประเภทก็ตามที่จะให้เกิดผล ๔ อย่างคือ สันติภาพ เสรีภาพ สมาภาพ (นาทีที่ ๕๖.๒๑) และภราดรภาพ ประชากรอยู่ที่บุคคลผู้เป็นประชากรและผู้ใช้ระบบการปกครองมีธรรมะประจำใจ ถ้าหากว่าไม่มีธรรมะประจำใจจะเป็นระบบการปกครองประเภทใดก็ไม่ช่วยให้เกิดผลเลิศทั้ง ๔ ประการนี้ได้ ผมเห็นว่าโอวาทของพระเดชพระคุณซึ่งได้ให้ไว้แก่เราทั้งหลาย มีประโยชน์อย่างมากมายทีเดียว
ที่นี้เกี่ยวกับเรื่องการให้โอวาทแก่พระภิกษุราชภัฎ ท่านก็ได้พูดเป็นส่วนเน้นหนักและย้ำแล้วย้ำอีกให้เราได้รู้จักระบบจิตของตัวเองเป็นประการสำคัญ ผมก็ได้ยินคำพูดของท่านเจ้าคุณธรรมวิโรธ เจ้าคณะจังหวัดธรรมยุติ วัดธรรมอุษา บ้านดอน ท่านกล่าวไว้ แล้วเขียนไว้ที่ข้างฝาของท่านว่า คนที่ไม่รู้จักจิตผิดถนัด ท่านเขียนไว้สั้น ๆ คือ คนที่ไม่รู้จักจิตผิดถนัด ข้อนี้ชวนให้เราคิดว่า คนที่ไม่รู้จักความรู้สึกนึกคิดหรือจิตใจของตนเองเป็นคนที่มีความผิดอย่างมากมายทีเดียว
ที่นี้เรื่องการบวชในพระพุทธศาสนาสำหรับพระภิกษุราชภัฎซึ่งต่างก็มีการศึกษาสูงมาแล้วด้วยกันทั้งนั้น ผู้บวชเข้ามาอยู่ในพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นเสมือนว่าเรามาเข้ามหาวิทยาลัยทางธรรมะในระบบสูงของพระพุทธเจ้าอีกวาระหนึ่ง ผลสำคัญที่เราจะพึงค้นคว้าก็คือว่าช่วยและยกระดับจิตใจของเราให้ดีขึ้นกว่าก่อนบวช ถ้าหากว่าเราไม่ได้พยายามสร้างความรู้สึกกันดีเกี่ยวกับการรู้เรื่องจิตของตนเอง และไม่ได้พยายามยกระดับจิตของตนเองให้ดีเท่าที่ควรตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า อานิสงส์แห่งการบวชก็เห็นจะไม่มี แต่ถ้าหากว่าท่านผู้ใดมาสำนึกถึงความจริงอันนี้และบวชเข้ามาสนใจในหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา พยายามยกระดับจิตของตนให้ดี ผลให้ดีกว่าก่อนบวช หรือสร้างคะแนนนิยมในสังคมของเครือญาติให้ได้ดีกว่าก่อนบวช ก็แสดงว่าการบวชมีอานิสงส์อย่างมากมาย แต่ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักยกระดับจิตของตนเองทั้งการสร้างคะแนนนิยมทางสังคมของหมู่ญาติไม่เกิดมีแก่เราก็แสดงว่าอานิสงส์แห่งการบวชไม่ได้ผลตามเจตนารมณ์ของเราที่ตั้งไว้ เนื่องจากในวันนี้ผมเห็นว่าเวลาที่เราจะใช้ ทำการสัมมนาสัมมันทนากัน คงจะไม่มีพอเพราะเวลานี้ก็เวลาปาเข้าไปถึงบ่ายสี่โมงครึ่งแล้ว พระราชภัฎที่อยู่อำเภอบ้านนาสานโดยเฉพาะ อำเภอเวียงสะ ก็ยังจะต้องเดินทางกลับ เพราะไกลมากกว่าพระราชภัฎในอำเภออื่น ๆ จะต้องรีบกลับ ฉะนั้นเวลาผมคิดว่าคงจะไม่มีเพียงพอเป็นแน่ อย่างไรก็ตามเราได้มีโครงการเกี่ยวกับเรื่องสัมมันทนา กันไว้ จะหาวิธีการมาดำเนินทางลัด พอแต่ที่เห็นคราวแห่งการสัมมันทนา
ก่อนอื่นผมใคร่จะให้ท่านทั้งหลายได้คิดถึงคำสัมมันทนา ซึ่งเราผู้ได้ให้ความร่วมมือกับท่านทั้งหลายได้สร้างคำพูดอันนี้ขึ้นไว้ อา,คำสัมมันทนาหรือคำที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันเวลานี้มีอยู่ ๓ คำด้วยกัน คือ สัมมันทนาหนึ่ง สัมมนาหนึ่ง และสัมนาอีกหนึ่ง อา,สัมมันทนา มาจาก มนธาตุ มีสังเป็นหัวหน้าใช้ในรูปอิทธีลิงหรือสปีลิง (๑.๐๑.๓๖) ให้มีความหมาย ให้เป็นไปในทางอ่อนโยน สัมมนาศัพท์ที่สองมี “ม” สองตัว มี “ส” หรรอากาศ มีไม้หรรอากาศข้างบน แล้วก็มี “ม” ตามด้วย “ม” และ “น”สระอา เป็น สัมมนา นี่ก็คำหนึ่งและยังมีเขียนกันอยู่อีกคำหนึ่ง คือ ใช้ “ส” หรรอากาศและมี “ม” “น” “า” คำนี้ผมเคยคิดอยู่เสมอว่าผู้บรรญัติหรือผู้ที่เขียนที่ลงไปใช้ธาตุอะไรกันเพราะคำว่า “สัมมันทนา” ก็ดี คำว่า “สัมมนา” ก็ดี คำว่า “สัมนา” คำที่สามก็ดี แต่ล้วนเป็นคำแผลงที่เราสร้างขึ้นเพื่อการทดแทนภาษาอังกฤษซึ่งได้แก่คำ seminar ให้เป็นคำภาษาละติน และถ้าหากว่าคำที่สาม อันได้แก่ คำว่า “สัมนา” โดยมี “ม” ตัวเดียวก็แสดงว่า เราบัญญัติศัพท์โดยไม่อาศัยธาตุตามหลักภาษาบาลี คือ สังวันนาถ (นาทีที่ ๑.๐๒.๕๘) แปลงนิคหิต (นาทีที่ ๑.๐๓.๐๒) เป็น “ม” คราวนี้ตัว “น” ธาตุตัวเดียวผมยังไม่เคยเห็นสักที แม้จะเป็น ๆ ไปในรูปอิทธีลิงหรือสปีลิง (นาทีที่ ๑.๐๓.๐๙) อันนี้ความหมายเกี่ยวกับความอ่อนโยนก็จริง แต่แสดงว่าไม่มีธาตุ ดังนั้นในคำนี้น่าจะผิดแต่ก็ไม่กล้ายืนยันว่าเป็นอันผิดอย่างแน่นอน แต่สำหรับสัมมันทนาซึ่งมี สังเป็นหัวหน้า ในความคิดความศึกษา แปลง...(นาทีที่ ๑.๐๓.๓๔) แสดงถึงความอ่อนโยน ได้ความอย่างชัดเจนซึ่งมี ๓ ความหมายในคำทดแทนหรือคำแผลงของเราอย่างสมบูรณ์ เพราะภาษาไทยเรามีคำอยู่ ๓ ประเภทด้วยกัน คือ คำมูลหนึ่ง คำผสมหนึ่ง และคำแผลงหนึ่ง คำสัมมันทนาก็ดี สัมมนาก็ดี สัมนาก็ดี แต่ล้วนเป็นคำแผลง เราแผลงมาจาก... (นาทีที่ ๑.๐๔.๐๑) มาใช้และ .... (นาทีที่ ๑.๐๔.๐๕) มาใช้อธิบายให้ท่านทั้งหลายได้ฟัง ก็มีพระภิกษุราชภัฎบางรูปมาถามว่าสัมมันทนามีความหมายว่าอย่างไร มันจะเป็นไปอย่างเดียวกับสัมมนาหรือไม่ หรือสัมนาข้อที่สามหรือไม่ นี่ผมขอถือโอกาสชี้แจงให้ท่านทั้งหลายได้ฟังสักนิดหน่อย
ที่นี้เรื่องซึ่งเป็นเรื่องสำคัญก็คือว่า เกี่ยวกับเรื่องการประชุมสัมมันทนากันในรูปของการสัมมันทนาต้องจัดเป็นกลุ่มย่อย แล้วก็กลุ่มใหญ่ให้เลือกเฟ้นอภิปราย ชี้แจง ค้นคว้าหาข้อมูลซึ่งเป็นเนื้อหาหรือสาระ แล้วนำมายุติปฏิบัติกัน ในความเป็นไปของเรื่อง seminar หรือสัมมันทนา แต่นี้เวลานี้ถ้าหากว่าเราจัดเป็นกลุ่มใหญ่ เป็นกลุ่มย่อยแล้วมาทำเป็นกลุ่มใหญ่ ผมเห็นว่าเวลา ๆ ไม่พออย่างแน่นอน เพราะเราต้องเดินทางกลับ และบางรูปก็ต้องไปไกลเสียด้วย ดังนั้นจึงหาวิธีการมาทำในรูปทางลัด คือว่า ทางผมพร้อมด้วยพระเถระบางรูปภายใต้ความอุปการะของพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณก็ได้ให้ข้อไขไว้ หรือได้ให้เงื่อนไขไว้เป็นคำถามซึ่งมีอยู่ ๙ ข้อด้วยกัน ซึ่งมีอยู่ ๙ ข้อด้วยกัน และก็ข้อความอันนี้เจ้าหน้าที่ผู้ร่วมงานก็ได้แจกไปให้ท่านทั้งหลายได้นำไปขบคิดและกรอกซึ่งได้มีบรรทัดวางเป็นช่องว่างไว้เพื่อกรอกความคิดเห็นอันนั้น ถ้าหากว่าท่านผู้ใดได้กรอกแล้วก็ได้กรุณานำมา แล้วจะได้เก็บข้อมูลอันนี้ไปยุติปฏิบัติ ไปใช้กันในปีต่อ ๆ ไป แล้วจะได้เสนอถึงวงการคณะสงฆ์ส่วนใหญ่ และอีกประการหนึ่งเพราะเรามีโครงการสัมมันทนากันไว้ แต่จะจัดให้เป็นรูปกลุ่มย่อย กลุ่มใหญ่ เวลาไม่อำนวยให้ ที่นี้ถ้าหากให้แต่ละรูปของแต่ละอำเภอให้มีรูปใดรูปหนึ่งของอำเภอใด อำเภอหนึ่งมาพูดตามเงื่อนไขที่ได้กำหนดไว้ก็เห็นว่าเวลาพอจะไปได้ ........ (นาทีที่ ๑.๐๗.๓๐)
กระผมมีความคิดเห็นอย่างนี้ครับ คือว่า อยากจะให้พระราชภัฎโดยตรงนี่ลงมานั่งในสถานที่ ๆ รวมอยู่ในที่นี้ทั้งหมดครับ แล้วก็คือเป็นกลุ่ม ๆ คล้าย ๆ กับว่าในอำเภอใดก็มาอยู่ใกล้ ๆ กันแต่ในอำเภอนั้น ๆ แล้วก็วัตถุประสงค์อันนี้คือ กระผมอยากจะได้รูปของพระราชภัฎที่มารับการอบรมจากพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณวันนี้ แล้วก็มีพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณด้วย คือ พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพรหมสั่งผมเอาไว้ว่าให้ถ่ายรูปแล้วส่งไปให้ท่านด้วย อันนี้โดยตรงครับ คือสั่งมากับผมโดยตรง เพราะฉะนั้นผมก็อยากให้พระราชภัฎโดยตรงลงมารวมกันอยู่ในที่นี้
ขอโทษนะครับ บรรดาพระภิกษุและสามเณรทุกรูปครับที่ได้เข้ามาร่วมประชุมในครั้งนี้ กระผมขอกราบอาราธนาอีกครั้งนะครับ เข้ามานั่งให้เป็นแถวเพื่อเราจะได้ฟังความคิดเห็นในรอบสุดท้ายตามโครงการอีกรอบหนึ่งนะครับ นิมนต์ครับ ครับได้แสดงความคิดเห็นตามข้อประชุมที่เราได้เสนอแนะไปแล้วตั้งแต่ตอนเช้าของวันนี้นะครับ แล้วก็ขอนิมนต์มาที่ข้างหน้านี้นะครับ เพื่อรักษาเวลาให้กระชับขึ้นมาหน่อย ที่นั่งข้างนอกขออาราธนาครับ เข้ามาข้างในครับ ผมคิดว่าพอที่จะเป็นไปได้แล้วครับ ก็แสดงว่าอำเภอไชยาไม่ได้มีพระภิกษุรูปหนึ่งรูปใดมาแสดงความคิดเห็นตามข้อที่ได้เสนอแนะไปในที่ประชุมที่ได้ให้ไปกรอกตามข้อความนั้นนะครับ อันนี้ก็แสดงว่าผ่านไปนะครับ ต่อไปก็อาราธนาอำเภอท่าฉางสักรูปนะครับ จะเป็นรูปหนึ่งรูปใดก็ได้มาแสดงความคิดเห็นนะครับ
โดยเฉพาะรายการนี้ท่านอาจารย์มงคล ศรีประวัล ได้ปรารภกับบรรดาพระภิกษุราชภัฎและบรรดาพระภิกษุธรรมฑูตแล้วเมื่อตอนเช้าที่วัดที่สำนักสงฆ์ธารน้ำร้อนนะครับ ถ้าหากว่าเราได้ตั้งอกตั้งใจฟังกันจริง ๆ ก็ผมคิดว่าคงจะพอเข้าใจบ้างนะครับ อา,ที่ท่าฉางนะครับรูปหนึ่งรูปใดก็ได้นะครับ เมื่อท่าฉางไม่มีนะครับก็ถือโอกาสผ่านไปเลยนะครับ ต่อไปขออาราธนาอำเภอท่าชนะสักหนึ่งรูปนะครับ อา,ขออาราธนาตรงนี้นะครับ
อา,คืออันนี้... (นาทีที่ ๑.๑๒.๒๕) ที่กาญจนดิษฐ์มีบ้างรึเปล่าครับ ก็แสดงว่าไม่มีเหมือนกัน ต่อไปก็เอาอำเภอบ้านนาสานนะครับ บ้านนาสานครับ ขออาราธนาสักหนึ่งรูปครับ หนึ่งรูปนะครับ มาแสดงความคิดเห็นนะครับ นิมนต์ครับ ความคิดเห็นตามที่
ถ้าหากว่าให้เอาตามข้อความทัศนการประชุมสัมมันทนาพระภิกษุราชภัฎจังหวัดสุราษฎร์ธานีปี ๒๕๑๕ ณ สวนโมกขพลาราม อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี อันนี้พระภิกษุราชภัฎก็ได้รับแจกและก็เขียนเสร็จเรียบร้อยและก็ส่งให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะนั้นความคิดเห็นอันนี้ผม ผมคิดว่านะครับ ผมคิดว่าถ้าจะพูดอีก มันก็เป็นการเสียเวลาเพราะได้เขียนให้ไว้ท่านเจ้าคุณพระคุณเจ้าเรียบร้อยแล้ว เขียนไปแล้วนิ ส่งไปแล้วเรียบร้อย มี ๆ ผู้มาเก็บแล้ว หรือ ๆ ว่าไงนิที่จะให้ออกมาพูดนิ หรือว่าจะเสนอความคิดเห็นที่แตกต่างไปกว่านี้ ผมว่าถ้าหากว่าเอาตามนี้ มันก็เขียนส่งไปแล้ว
ที่ ๆ น้องท่านพูดเมื่อตะกี้นี้ก็ ๆ ถูกแล้วครับก็หมายความว่าตามที่ถามมาทั้งหมด ๘ ข้อก็ได้กล่าวมาเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ปรากฎในกระดาษที่ส่งมาเรียบร้อยแล้ว แต่นี่ก่อนที่จะจากกันก็อยากจะให้แต่ละอำเภอได้รักษารูปของสัมมันทนา คือว่า ๆ มีเหตุผลหรือมีอะไรบ้างที่พอจะได้ชี้แนวแนะทาง เพราะว่าน้องท่านเหล่านี้จะต้องจากไปแล้วพอครบกำหนดออกพรรษาก็จะต้องสึกไป ที่นี้น้องท่านราชภัฎทั้งหมดนี่มีแนวทางอะไรบ้าง มีความคิดความเห็นอย่างไรบ้างที่ว่านอกเหนือไปจากที่เขียนไว้ก็อยากจะฟัง เพื่อว่าจะได้นำไปสำหรับอบรมสำหรับสัมมันทนางวดต่อไป ซึ่งจะมีพระราชภัฎรุ่นอื่นมาอีก ก็มีความประสงค์เท่านั้นแหละครับ
เอาละครับถ้าหากว่านอกเหนือไปจากนี้ ประการแรกผมก็คือว่า การทำโครงการส่งไป ในเมื่อทำโครงการส่งไปแล้วโครงการมีกำหนดเวลาอะไรไปเป็นที่เรียบร้อย ผมว่าทางเจ้าหน้าที่ ๆ จัดแล้วก็พระที่มาร่วมก็ควรที่จะรักษาเวลากันให้ถูกต้องตามที่ได้ทำไป อันนี้เพื่อ ๆ ความเรียบร้อย แล้วก็เพื่อได้ครบตามจุดมุ่งหมายของโครงการ สำหรับปีนี้ที่หนังสือแจ้งไปบอกว่าจัดมา พอจับใจความได้ว่าจัดมา ๒ ปี คือ ปีที่แล้วกับปีนี้ ปีที่แล้วจัดเป็นบางอำเภอ ปีนี้ก็จัดทั้งจังหวัด เพราะนั้นผมคิดว่าปีนี้ก็จะมีการขลุกขลักเพราะจัดทั้งจังหวัด แต่ปีต่อไปก็จะต้องคิดแก้ไขเรื่องเวลานี้ ถ้าเราคิดว่ามันวันเดียวมันถูกหลักอย่างนี้ก็ควรจะเพิ่มเป็น ๒ วัน หรือว่า ๓ วัน ตามแต่ทางคณะกรรมการจะเห็นสมควร นอกจากเวลาแล้ว อา,ผมก็คิดว่าไม่มีอะไรที่จะเสนอได้มากกว่านี้ อา,อีกอย่างหนึ่งเรื่องการจัดสถานที่ ข้อ ๘ นะครับเรื่องการจัดสถานที่ อา,ถ้าจะเสนอย้ำอีกนิดหนึ่งข้อ ๘ การจัดสถานที่ว่าที่บอกว่าควรที่จะจัดที่นี่ตลอดไป หรือว่าควรที่จะย้ายสถานที่ อันนี้ผม ๆ ว่าเรื่องการย้ายสถานที่ไม่จำเป็น จัดที่นี่ก็รู้สึกว่าสมควรดี แต่ถ้าจะย้ายนะครับ แต่ถ้าจะย้ายก็ควรจะเป็นสถานที่ ๆ การไปมาสะดวกทั่วทั้งจังหวัดครับ จะเป็นวัดที่อยู่ตามชนบทไกลแสนไกลก็สามารถมาได้ทั่ว มาได้ถึง ไม่มีอุปสรรคในการไปการมาเป็นการดีที่สุด ผมมีข้อคิดเห็นแต่เพียงเท่านี้
อา,ขอขอบคุณครับ ต่อไปก็ขออาราธนาอำเภอเมืองครับ
สวัสดีครับ ผมในฐานะพระ ๆ ราชภัฎในอำเภอเมือง จึงขอวิจารณ์คำถามถึง ๙ ข้อดังต่อไปนี้ครับ คำถามที่กระผมวิจารณ์ในวันนี้อาจจะมีทัศนะไม่ตรงกันทุกท่านก็แต่ละท่านมีทัศนะเกี่ยวกับหนึ่งวัดสองจิตใจ สามและเบื้องฐานต่าง ๆ ไม่เหมือนกัน ขออภัยด้วยครับ
ข้อที่ ๑ ในระยะที่ท่านเข้ามาอุปสมบทท่านได้สังเกตเห็นวัดและพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างไรในด้านความเสียสละ สามัคคี และการปฏิบัติพระวินัย ในฐานะที่กระผมพึ่งบวชได้เดือนกว่าเท่านั้นเอง จึงมีความเห็นเรื่องความเสียสละ ความสามัคคี และการปฏิบัติพระธรรมวินัยในวัดที่กระผมอยู่นี้เยี่ยมมากครับ แต่วัดอื่นผม ๆ ไม่ทราบครับ
๒ ในฐานะที่ท่านมีการศึกษาดี มีการศรัทธาเข้ามาบวช ท่านเห็นว่าควรจะได้มีการศึกษาอย่างไรบ้างจึงจะคุ้มกับการศึกษาของตน และเครือญาติของท่าน เกี่ยวกับการศึกษาควรมีการอบรมเกี่ยวกับทางจิตใจและธรรมะให้เหมือนกันการอบรมที่ผ่านไปแล้วเมื่อตะกี้บ่อยครั้งครับ
๓ ท่านมีความเห็นอย่างไรต่อพระสงฆ์บางรูปที่ให้ศาสนาเพียงเพื่อดำรงชีพ ทำพิธีกรรม สร้างของขลัง ดูโชคชะตา ข้อนี้เป็นการวิจารณ์ที่ยากมากสำหรับกระผม เพราะประชาชนเข้ามาในวัดก็เพื่อโดยมากจะเป็นของขลัง ดูโชคชะตา ทำพิธีกรรมเหมือนกับการอ่านหนังสือการ์ตูน ซึ่งเข้าใจได้โดยง่าย ผิดกับการที่จะมา เข้ามาสอนเรื่องสัจจะ เรื่องอะไรต่อมิอะไรซึ่งมันเข้าใจยาก เกี่ยวกับชักชวนให้มาวัดดูของขลัง ดูโชคชะตา แล้วค่อยสอนสัจจะที่หลังก็อาจจะเป็นการบังควรดีครับ
๔ ท่านมีข้อเสนอแนะอย่างไรที่จะช่วยดึงคฤหัสถ์ให้เข้าวัดดีกว่าการทำพิธีกรรมตามข้อ ๓ นั้น การดึงคฤหัสถ์เข้าวัดควรมีการหยุดราชการในวัดพระ หรือหยุดให้นักเรียนมีการหยุดในวันพระ
๕ วิธีการเผยแผ่ธรรมของคณะสงฆ์ทั้งอดีตและปัจจุบันมีข้อใดบ้างที่เห็นว่าควรแก้ไขกับปรับปรุง ข้อนี้ผมไม่ขอวิจารณ์ครับ เพราะผมยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับการเผยแผ่มาก
๖ การศึกษาของพระเณรในปัจจุบันท่านเห็นว่าเป็นอย่างไร การตั้งโรงเรียนปริยัติสามัญชั้นในจังหวัดสุราษฎร์ธานีควรมีหรือไม่ ท่านมีทางที่จะช่วยสนับสนุนอย่างไรบ้าง เกี่ยวกับโรงเรียนนี้ผมก็ไม่มีความรู้เรื่องโรงเรียนปริยัติสามัญเพราะผมไม่เคยได้ไปเรียน ไม่ได้ไปรับการศึกษา ผมจึงไม่สามารถที่จะมาวิจารณ์
๗ ท่านมีความเห็นเกี่ยวกับทัศนะของบางคนอย่างไรบ้างที่ว่า เมื่อโลกเจริญด้วยการศึกษา สิทธิในการเมือง ภาวะเศรษฐกิจแล้ว ไม่จำเป็นต้องศาสนา มีศาสนาก็ได้ เรื่องนี้ผิดมากเพราะศาสนาจำเป็นที่สุด ศาสนาจำเป็นต่อชาติ ราชการ ถ้าไม่มีศาสนาตำรวจอาจจะทำหน้าที่มากขึ้น เพิ่มขึ้นได้ เพราะคนไม่มีจิตใจในทางที่ดี ศาสนาจึงยังจำเป็นอยู่ชั่วทุกขณะจิตครับ
๘ การจัดให้มีการสัมมนาพระภิกษุราชภัฎเช่นนี้มีข้อดีเสียหรือไม่ ควรเปลี่ยนสถานที่ประจำ หรือการใช้เวลามากน้อยเพียงไร อย่างไรบ้าง ข้อนี้มีดีมากแต่เสียอย่างที่เวลาน้อยไปหน่อยเพียงวันเดียว สถานที่เปลี่ยนหรือประจำ ควรประจำมากกว่า ผมวิจารณ์เพียงเท่านี้ อาจจะทัศนะไม่ตรงกัน ขออภัยด้วยครับ ขอบคุณครับ
อา,เแสดงว่าทางอำเภอเมืองก็วิจารณ์เข้าขั้นเหมือนกันนะครับ ต่อไปก็อำเภอบ้านนานะครับ ที่นี้พึ่งเปิดใหม่ครับ ขออาราธนาครับ บ้านนาเดิม บ้านนาเดิม
อา,ต่อไปก็ขออำเภอเวียงสะครับ
การวิจารณ์ในเรื่องการสถานที่และการมาฟังวิจารณ์ของราชภัฎต่าง ๆ ผมก็ไม่รู้จะวิจารณ์อะไรนักหนาเพราะว่าต่างคนก็ต่างวิจารณ์ไปในทำนองที่ว่าส่วนดีและส่วนเสียมันก็มีบ้าง แต่ผมว่าผมนั่นอยู่ไกลมากเรื่องสถานที่ ผมขอแย้งสักข้อหรือสองข้อเท่านั้น ในเรื่องสถานที่นี่ผมว่าสมควรที่จะย้ายบ้างเพราะบางสถานที่เช่นว่าอยู่พระแสงมันไกลปืนเที่ยงเหลือเกิน กว่าจะได้มา มันยากเย็นลำบากเหลือหลาย พวกที่อยู่ในเมืองก็สบาย นั่งรถเดี๋ยวก็ถึง เรานั่งแล้วนั่งอีกกว่าจะถึงเกือบทั้งวัน ถ้าจะจัด ถ้าอย่างนั้นก็เอาที่นี่ตลอดก็เพิ่มเป็นสองวันก็ได้ แจ้งล่วงหน้าไป จะได้มากัน หาวัดหาวาพักพาอาศัยกันก่อน ให้นั่งสงบสติอารมณ์กันบ้าง นี่เรื่องถึงเมื่อวานนี้ อา,เจ้าอาวาสก็สั่งว่าไม่ไปเหรอราชภัฎเค้าประชุม เราจะบิณฑบาตรบ้าง อา,ไปก็ไป เตรียมตัวกันไม่ทัน สติอารมณ์เราก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สติสัมปชัญญะมันก็หาลำบากตามที่เขาสอนกันไว้ นั้นการจัดพิธีการต่าง ๆ ผมว่าจะด้วยหรือเพื่อความเป็นระเบียบแน่นอนหรืออะไรก็ได้ก็ตาม ถ้ามันกระชับมั่นมากกว่านี้อยู่ในการพิจารณาของพระเถระทุกท่านที่จะเห็นแก่พวกที่อยู่ไกล ๆ กันบ้าง ไอ้ผมก็ไม่ได้ลาพรรษามาสองสามวันนี้ก็ต้องกลับส่งตีหนึ่งตีสองก็ไม่แน่ โน่นผมอยู่เวียงสะ พระเถระทุกท่านก็กรุณาเถอะครับ เพราะฉะนั้นผมคิดว่าถ้าสถานที่เราจะเปลี่ยนบ้างป็นอยู่ที่อำเภอ ถ้าสถานที่ไม่พอวัดบ้านช่องผมก็พอมีพอเหมือนกัน ดูความยากลำบากที่นี่ว่าเขาจะไปกันได้หรือไม่ แต่จัดที่นี่พระบ้านช่องจะมาถึงจะสวดพระบริการต่าง ๆ ก็แล้วแต่ ไอ้เรื่อง ๗ ข้อ ๘ ข้อที่ถามกันมานั่น ถ้าพูดตามความจริงแล้วก็ผมก็บวชมาเพียงพรรษาเดียว เพียงเดือนเดียวจะให้วิจารณ์ถูกหลัก ถูกตามธรรมะจริง ๆ นั้นก็ย่อมไม่ได้ จะมีความรู้มากมายก็เพราะว่าทุก ๆ คนเรียนเรื่องนี้ศึกษาทางนี้มาน้อยมาก ไอ้เรื่องความสามัคคีของพระสามเณรต่าง ๆ เดี๋ยวนี้มันไม่เหมือนสมัยก่อน จะหาความสามัคคีศึกษาธรรมะต่าง ๆ อยู่ในพระวินัยต่าง ๆ นั่น มันหายาก หายากจริง ๆ ไอ้ที่เคร่งครัดในร้อยรูป ผมว่ามีสักรูปรึเปล่าก็ไม่ทราบ เพราะว่ามันเดี๋ยวนี้มันยุคแต่ละฝ่ายการเมืองก็เข้ามา แม้แต่พระธรรมศาสนาก็ต้องประกอบการเมืองกันอย่างท่านอาจารย์ว่า สมัยก่อนมันก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นการวิจารณ์ต่าง ๆ ผมก็ขอจบลงเพียงแค่นี้แหละครับ
อา,ขอขอบคุณครับ ต่อไปก็อำเภอคีรีรัตน์นิคมครับ
ก็เห็นว่าไม่มีแหละครับ อำเภอเกาะสมุยครับ ผมคิดว่าถ้าหากว่าขนาดพระแสงคิดว่าลำบากแล้ว เกาะสมุยก็คงไม่มีทางครับ แล้วเกาะพงันก็ไปกันใหญ่ครับ แล้วก็เกาะพงันก็คงไม่มี เกาะสมุยก็คงไม่มีนะครับ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วต่อไปก็พระแสงครับ ต่อไปก็อำเภอพระแสงครับ
ผมตัวแทนของพระแสง คำวิจารณ์ของผมอาจจะต่างกับพระที่อื่นก็ได้ ผมจะไม่วิจารณ์ในเรื่อง ๘ ข้อ ๑๐ ข้อที่ให้มา แต่ผมขอวิจารณ์ในเรื่องเกี่ยวกับการมาสัมมันทนา ผมว่าการสัมมันทนาคราวนี้ระยะเวลามันสั้น ทั้งระยะเวลาที่การสัมมันทนาแล้วก็ระยะเวลาการเตรียมตัว เพราะว่าการที่เรามาสัมมันทนากัน เพียงแต่ทราบระเบียบการว่ามาวันนั้นแล้วก็มีเรื่องอะไรบ้าง กระผมคิดว่าประโยชน์จากการสัมมันทนาครั้งนี้ สำหรับกระผมนะครับน้อยมาก แทบจะไม่มีเลยนะตามจุดมุ่งหมายที่ว่าให้ดำรงศาสนาอะไรที่ตั้งจุดมุ่งหมายไว้ มีอยู่อย่างเดียวคือทำให้ผมมีเพื่อนใหม่หลายท่านหลังจากลาสิกขาบทไปแล้ว ที่ผมพูดอย่างนี้หมายความว่าจะเห็นได้จากการที่คณะของกระผมที่มาฉันเพลแล้วก็มาฟังอาจารย์เทศนา การเทศนานั้นกระผมคิดว่าคณะสงฆ์ที่มาสัมมันทนาครั้งนี้เป็นผลพลอยได้ครับ เพราะว่าถึงจะยังไงท่านอาจารย์ก็เทศนาวันเสาร์อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นคณะสงฆ์ที่มาเป็นผลพลอยได้เท่านั้นนะครับ คือ อันนี้ผมคิดว่าไม่ได้ทำเพื่อคณะสงฆ์ราชภัฎที่มาต้องการจะอบรมครั้งนี้ อันนี้เป็นความคิดเห็น ระยะเวลาการเตรียมตัวที่กระผมกล่าวว่าน้อยไป หรือระยะการสัมมนาน้อยไป อันนี้จะเห็นได้ว่า คณะราชภัฎ คณะภิกษุราชภัฎที่เข้าสัมมนานี่ เพียงแต่มานั่งฟัง น่าจะหรือควรจะได้พวกจุลสาร เอกสารอะไรไปบ้าง หรือว่าอย่างน้อยที่สุดนะครับ ผมว่าทางคณะกรรมการที่จัดการสัมมันทนาควรจะชี้แนะลงไปว่าต่อไปเมื่อคณะภิกษุราชภัฎซึ่งไม่ได้บวชเป็นอาชีพนะครับ สิ้นพรรษาก็ต้องลาสิกขาบทนี้ คณะภิกษุราชภัฎควรจะได้อะไรไปบ้างในการเอาไปปฏิบัติในชีวิตที่เป็นคฤหัสถ์ ควรจะได้อะไรไปบ้าง เราควรจะเพ่งเล็งข้อนี้ในความรู้สึกของกระผมนะครับ และการสัมมันทนาควรจะมีทุก ๆ ปี แต่น่าจะจัดให้ดีกว่านี้ นะครับ คือให้ระยะเวลา ให้มีอุปกรณ์ คือ อย่าให้เป็นการสูญเปล่าของ ๆ คณะสงฆ์ที่มา เพราะบางรูปก็อย่างที่เพื่อนภิกษุกล่าวมาแล้วว่าเรามาจากไกล อย่างผมนี่จากพระแสงก็มาลำบากหน่อยก็มาตั้งแต่เมื่อวานกว่าจะมาถึงก็ลำ ก็ลำบาก ที่นี้ก็ผมก็มีความคิดเห็นแค่นี้ครับ
ครับ ขอขอบคุณครับ เนื่องจากเวลาสัมมันทนาของเรานี้ไม่เพียงพอ ผมเห็นว่าเวลาการสัมมนาของเราก็ยุติลงเพียงแค่นี้ แล้วเราจะได้ทำการกราบลาพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณกลับไปสู่วัดของเรา
เดี๋ยวนะครับ อย่า ๆ พึ่งกลับนะครับ รับหนังสือก่อนนะครับ
อา,ขอกราบเรียนพระภิกษุราชภัฎครับ ผมในนามเลขานุการประสานงาน ผมฟังแล้วนี่รู้สึกว่ามันยังมีตะขิดตะขวง ฉะนั้นผมก็เลยขอ ๆ โอกาสสักนิด คือว่า หนังสือนี้ผมเป็นผู้ส่งในช่วงเวลาระยะ ๒๒ วันก่อนจะถึงวันนี้นี่ประการหนึ่ง ผมก็เข้าใจว่าคงจะทันอันนี้ประการหนึ่ง แล้วก็ประการที่สองผมได้ไปส่งกับพระเถระซึ่งประจำอำเภอนั้น ๆ โดยเสียค่ารถไปเอง แล้วย้ำพระเถระด้วยว่าบอกว่าวัดไหนมีราชภัฎแล้วหนังสือนั้นให้ส่งถึงทุกวัด ท่านก็รับรองกับผม เพราะนั้นผมก็ไม่จำเป็นต้องบอกไปทีเดียว พระเถระมีหน้าที่นั้นคือใคร ผมไปเองครับ ผมยืนยันเลยยกเว้นแต่เกาะสมุยเท่านั้น ยกเว้นอำเภอไชยาครับ ท่าฉาน ท่าชนะ นอกนั้นผมไปเองทุกวัด แล้วก็ทุกวัดที่มีพระเถระ ผู้ปกครองในตำบลนั้น ๆ ด้วย ผมเสียค่าพาหนะไปเองครับ อันนี้พระเถระสิครับ ท่านไม่ทำงานผมว่าอย่างนี้ครับ ผมยืนยันครับ ผมไปเอง
อีกประการหนึ่งครับ วันนี้ที่เจตนามาเอาสาระประโยชน์ ผมรู้ครับว่า วันนี้มีการอบรมอุบาสก ธรรมเทศนาของพระเดชพระคุณอาจารย์ที่หินโค้งครับ ผมเชื่อเหลือเกินว่าประชาชนที่ฟังทั้งหมดนั้นมีคนที่ฟังเข้าใจธรรมะกับการเมืองวันนี้ไม่ถึง ๓๐ คนครับ แต่พระภิกษุราชภัฎฟังถูกทุกองค์ครับ ก็เพราะว่าอันนี้เป็นเจตนาที่เขาไตร่ตรองไว้แล้วครับ เพราะอาจารย์ปลัดแพร้ว มาประสานงานไว้แล้วครับ มิใช่ว่าโดยบังเอิญมิใช่ โดยเจตนาครับ แล้วก็อีกประการหนึ่งที่ได้มาทำที่นี้ที่เห็นว่าไกลนะครับ ก็เพราะว่าผมต้องการเอาจุดใหญ่ในประเทศไทยครับ ก็เพราะว่าสถาบันที่สวนโมกข์นี่เป็นสถาบันที่เผยแพร่พระพุทธศาสนาระดับโลกครับ ในฐานะที่เราอยู่สุราษฎร์ไม่รู้จักที่แห่งนี้ ในฐานะที่ท่านเป็นคณิการ(นาทีที่ ๑.๓๔.๐๖) หรือว่าคนทุกคนไม่รู้จ้กที่แห่งนี้ไปแล้วก็ถามว่าสวนโมกข์อยู่ยังไงเป็นยังไง ผมเคยออกพระธรรมฑูตนครพนม เขาถามจนนะครับบอกไม่ได้ อย่างนี้มันเสียลูกสุราษฎร์อย่างแท้จริงเลย ไม่ไหวครับ เพราะนั้นผมก็รู้สึกละอาย ผมก็นึกว่าถ้าพระภิกษุราชภัฎรูปอื่นเหมือนกระผมเป็นยังไง เพราะนั้นก็จำเป็นจะต้องเอาเป้าหมายที่นี้เพราะเป็นส่วนใหญ่ในการเผยแพร่ระดับโลก แล้วก็มีพระเถระผู้ใหญ่สนับสนุนด้วย การที่เรามาสัมมนาครั้งนี้ครับ เถระสมาคมรู้ครับ พระธรรมโรดมรู้ครับ พระพรหมคุณาภรณ์แม่กลองหัวหน้าสายพระธรรมฑูตรู้ครับ กรรมการเถระสมาคม ผมกราบเรียนด้วยตัวผมเองด้วย แล้วพระเดชพระคุณพระอาจารย์กุศลที่นั่งอยู่นี้ด้วย ท่านก็รับรู้ครับแล้วจะส่งผลงานไปให้ท่านด้วย ไม่ใช่ว่าเราทำกันเพียงเล่น ๆ ก็หาใช่ไม่ เป็นเจตนาอย่างใหญ่หลวงครับแล้วต่อ ๆ ไปเราก็จะต้องทำกันทุกปี แต่ว่าอันนี้เหมือนที่พระภิกษุราชภัฎว่าอาจจะเปลี่ยนแปลงก็ได้ แต่ถ้าเปลี่ยนแปลงไปเราก็ขาดพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณ อันนี้เป็นสิ่งสำคัญครับเพราะเป็นจุดใหญ่ของระดับโลก และเป็นที่รักษาเกียรติของจังหวัดสุราษฎร์ธานีไว้ด้วยครับ กระผมก็ขอชี้แจงเท่านี้ครับ