แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
สวดมนต์ (นาทีที่ 0:-6.27) ณ บัดนี้ จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนา เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญาส่งเสริมศรัทธาความเชื่อ แลวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลาย ผู้เป็นพุทธบริษัทให้เจริญงอกงามก้าวหน้าตามทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายกว่าจะยุติลงด้วยเวลา ธรรมเทศนาในวันนี้เป็นธรรมเทศนาพิเศษ ปรารภเหตุการกระทำมาฆบูชา ดังที่ท่านทั้งหลายก็ได้ทราบกันอยู่เป็นอย่างดีแล้ว การทำอาสาฬหบูชา (นาทีที่ 7:18) เป็นประจำปีนี้ ก็ได้เคยกระทำกันมาหลายครั้งหลายหนแล้ว แต่เห็นว่ายังมีทางที่จะต้องทำให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป ดังนั้นจึงมีการแสดงธรรมในลักษณะที่เป็นการตักเตือนในเบื้องต้น ให้เตรียมเนื้อเตรียมตัวเพื่อทำมาฆบูชานี้ให้ดีที่สุด ให้เป็นการกระทำที่ดีที่สุดของทุกๆ ปี ยิ่งๆ ขึ้นไปทุกปี
ทุกคนจะต้องยอมรับว่า เราจะต้องฉลาดยิ่งขึ้นทุกปี มันจึงจะสมกัน เพราะว่าวันเวลามันก็ล่วงไปทุกปี สิ่งต่างๆ ก็ได้พบได้เห็นมากขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่ฉลาดยิ่งขึ้นทุกปีก็คงจะเป็นคนวิปริต ผิดปกติ ถ้าคิดดูในทำนองนี้แล้ว ทุกคนก็จะมองเห็นได้ว่าเราควรจะทำอะไรที่เป็นการพิสูจน์ได้ว่ามันดียิ่งๆขึ้นไปทุกปี และเป็นการสมกัน การที่ท่านทั้งหลายได้มาจากที่ไกล ซึ่งก็มีเป็นส่วนมาก มาถึงสถานที่นี้เพื่อจะทำมาฆบูชา อาตมาก็เชื่อว่าคงจะอยู่ในลักษณะเดียวกัน คืออยากจะทำให้ดีให้ยิ่งขึ้นไป จึงได้อุตส่าห์มาถึงที่เช่นนี้คือในป่า
สำหรับจะทำให้ดียิ่งขึ้นไปได้อย่างไรนั้นก็อยากจะนำมากล่าวบ้างเหมือนกันสำหรับบางคนหรือบางท่านที่ยังไม่ทราบหรือว่ายังไม่เคยมาแต่ก่อน การทำมาฆบูชาเช่นนี้เป็นต้นนี้ การทำในป่า มันก็ต้องผิดกับทำในเมือง ข้อนี้ก็จะไม่ต้องอธิบาย เอาตามความรู้สึกที่รู้สึกอยู่ก็แล้วกัน ว่าเดี๋ยวนี้เรานั่งอยู่ที่นี่เรารู้สึกอย่างไร มันแปลกจากที่นั่งอยู่ในเมืองหรือไม่ แต่ที่จะต้องทำในใจให้มากเป็นพิเศษ ถึงภาพการกระทำจาตุรงคสันนิบาตของพระอรหันต์ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขในครั้งกระโน้นนั้น ถ้าเราจะทำมโนภาพเช่นนั้นให้เกิดขึ้นในใจ ในเวลานี้ การทำในป่าเช่นนี้มันทำได้ง่าย เพราะว่าการกระทำ การประชุมจาตุรงคสันนิบาตมันก็ทำในป่า ถึงจะผิดกันบ้างก็ตรงที่ว่าป่าโน้นเป็นป่าไผ่ แต่ป่านี้มันเป็นป่าไม้ธรรมดา ไม่ใช่ป่าไผ่ แต่ถึงอย่างไรก็มีลักษณะตรงกันอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือเป็นที่ที่มันสงบหรือสงัดเป็นอยู่เองตามธรรมชาติ
ทีนี้ต้องนึกถึงคำว่าธรรมชาติกันไว้เป็นใจความสำคัญ ว่าถ้ามันเป็นธรรมชาติมากที่สุดมันก็ถูกต้องตามธรรมะมากที่สุด เพราะคำว่าธรรมะนั้นมันแปลว่าธรรมชาติ เพียงแต่ว่าเป็นธรรมชาติที่ลึกซึ้ง ที่ละเอียดที่ประณีต หรือสูงสุดเท่านั้นเอง แต่ถ้าเราตั้งต้นด้วยธรรมชาติแล้วมันก็เป็นไปได้โดยง่าย ทำในใจด้วยกันทุกคนเถิดว่าวันเช่นวันนี้ เมื่อ ๒๔๐๐ กว่าปีมาแล้ว พระพุทธเจ้าทรงมีการประชุมสงฆ์สาวกซึ่งเป็นพระอรหันต์ด้วยกันทั้งสิ้น ในเวลาบ่ายของวันเช่นวันนี้ ที่เป็นเดือนมาฆะ เรียกว่าบ่ายนี้ก็คงตรงๆ กับในเวลาอย่างนี้ เวลานี้ก็ยังเรียกว่าเวลาบ่ายอยู่ แต่มันก็จวนจะเย็น
ในเวลาบ่ายอย่างนี้ ในวันเช่นนี้ ที่ป่าไผ่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่าเวฬุวนาราม เป็นป่าไผ่ของหลวงมาแต่ก่อน พระเจ้าแผ่นดินได้ยกถวายสงฆ์ มีพระพุทธองค์เป็นประธาน ให้ป่าไผ่นั้นเป็นที่อยู่แห่งภิกษุสงฆ์ตามความเหมาะสมอย่างไร ให้ใช้ป่าไผ่นั้นได้เต็มที่ ในป่าไผ่เช่นนั้น ในวันนี้ เวลาบ่าย มีการประชุมพระสงฆ์ซึ่งล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ ๑๒๕๐ องค์เป็นการบังเอิญ ประจวบเหมาะที่จะให้มาประชุมกันได้โดยง่าย โดยไม่ต้องมีการนัดหมายมากมายอะไรให้เป็นพิเศษ นี่ก็เป็นข้อที่ชี้ว่าน่าอัศจรรย์ แล้วก็ล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ เอหิภิกขุอุปสัมปทาอย่างนี้ มันก็หาได้ยากหรือไม่มีอีกต่อไป นี่ต้องทำในใจว่าพระอรหันต์ทั้งหลาย ๑๒๕๐องค์ ประชุมกันในที่สงัด ในสวนป่าไผ่ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข และพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงหัวข้อหรือหลักธรรมะของพระพุทธศาสนาที่เรียกว่า โอวาทปาฏิโมกข์ เป็นใจความสำคัญของพระพุทธศาสนา จนถึงกับกล่าวได้ว่า ไม่ว่าของพระพุทธเจ้าพระองค์ไหน จะเป็นพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์ไหน ก็มีหัวข้ออย่างเดียวกันทั้งนั้น ซึ่งก็เป็นที่ทราบกันอยู่ดีแล้วสั้นๆ ว่า สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง ไม่กระทำบาปทั้งปวง กุสะลัสสูปะสัมปะทา ทำกุศลให้ถึงพร้อม สะจิตตะปะริโยทะปะนัง ทำจิตให้บริสุทธิ์ เอตัง พุทธานะสาสะนัง นั่นคือพุทธศาสนา คือ คำสั่งสอนหรือการปฏิบัติที่สอนไว้โดยพระพุทธเจ้าทั้งหลายทุกพระองค์
เรื่องพระพุทธเจ้าหลายพระองค์หรือมีพุทธศาสนาหลายคราวนี้ เป็นข้อความที่มีกล่าวไว้ในพระบาลี ขอ(ให้)ไปศึกษาดูเอาเอง บางคนอาจจะไม่เชื่อ แต่โดยที่แท้แล้วมันเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ เพราะว่าโลกนี้มันยืดยาวนาน ตั้งอยู่ตลอดกาลนาน ในเมื่อมนุษย์มันโง่เขลาเบาปัญญาไปพักหนึ่งก็ต้องมีพระพุทธศาสนาก็ได้ออกมาช่วยเหลือให้สัตว์โลกมีแสงสว่างครั้งหนึ่ง ที่เกิดมีพระพุทธเจ้าเป็นพระองค์ พระองค์ พระองค์ไป มีมาเช่นนี้ตามลำดับ ทุกพระองค์จะสอนโดยข้อปลีกย่อยต่างกันอย่างไร แต่ใจความสำคัญก็จะเหมือนกันเป็นอย่างเดียว คือให้เว้นจากบาปทั้งปวง วิธีเว้นจะมีคำอธิบายละเอียดปลีกย่อยอย่างไรนั้น มันก็จะต้องมีคำพูดที่แตกต่างกันไปบ้าง อย่างน้อยก็ละเอียดบ้าง พิสดารบ้าง แต่ใจความมันก็มีอยู่อย่างเดียวกัน คือให้ทำลาย สกัดกั้น เว้นเสียได้ซึ่งบาปทั้งหลายทั้งปวงก็เพียงพอ สิ่งใดที่เป็นความชั่วเรียกว่าบาป ไปทำเข้ามันก็ชั่วหรือบาปทันที ไม่ต้องมีใครมาบอกว่ามันบาป หรือมีใครมาลงโทษให้ว่ามันบาป เพราะมันเป็นการกระทำที่บาป พอทำเข้ามันก็บาป มันก็ชั่วทันที ทีนี้ก็ คนก็สังเกตได้เอง เพราะถ้าชั่วหรือไม่ดี หรือบาปแล้วก็อย่าไปทำมันเข้า ถ้าไปทำแล้วมันจะต้องบาปคือจะต้องชั่ว คือจะเป็นทุกข์หรือว่าเดือดร้อนทั้งตนเองและผู้อื่น นี่ก็เรียกว่าบาป ส่วนไอ้สิ่งที่เรียกว่ากุศลนั้นก็แปลว่าดี หรือบุญ ทำแล้วก็ไม่เดือดร้อนไม่เป็นทุกข์ มีความเป็นผาสุกทั้งตนเองและผู้อื่น ถ้าแต่ละคน ละคนทำตนให้ถึงพร้อมด้วยกุศล มันก็เป็นสังคมที่ประกอบไปด้วยกุศล หรือเป็นโลกที่ประกอบไปด้วยกุศลก็อยู่กันเป็นผาสุกอย่างนี้
เดี๋ยวนี้เราไม่ได้สนใจที่จะเว้นจากบาป ไม่ได้สนใจที่จะทำกุศลให้ถึงพร้อม ทีนี่เมื่อกล่าวโดยทั่วๆ ไปในโลกนี้ทั้งโลกในเวลานี้มันเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นโลกอยู่ในระยะ(ที่)ไม่น่าชื่นใจ ไม่น่าพอใจเพราะมันเต็มไปด้วยการกระทำบาป กำลังได้รับผลของบาป กุศลหรือความดีอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงบสุขนั้นมันมีน้อย ทีนี้ก็เป็นอันว่าอยู่ในยุคสมัยที่ควรจะปรับปรุงแก้ไข คือการปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแม้เพียง ๒ ข้อข้างต้น คือ เว้นจากบาปเสีย ทำกุศลให้ถึงพร้อม ที่สูงขึ้นไปเป็นลำดับสุดท้าย ที่ว่าทำจิตให้บริสุทธิ์นั้น ก็ยิ่งหายากขึ้นไปอีกในเมื่อ ๒ ข้อต้นมันไม่สมบูรณ์ ก็ลองพิจารณาดูเถอะว่า ถ้ามีจิตบริสุทธิ์ ขาวผ่องแล้วมันจะเป็นอย่างไร คนเราจะเป็นอย่างไร เมื่อใจมันไม่ประกอบไปด้วยกิเลส และทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง เป็นความสะอาด สว่าง สงบ เลยไม่มีปัญหาอะไร ไม่มีปัญหาอะไรโดยประการทั้งปวง ปัญหาข้างนอกไม่มี คือไม่มีใครเบียดเบียนใคร ปัญหาข้างในก็ไม่มี คือไม่มีกิเลสสำหรับจะเบียดเบียนตนเอง ก็เรียกว่ามีความสงบสุข ถึงที่สุดได้ในลักษณะเช่นนี้ ฉะนั้นขอให้นึกถึงคุณของพระศาสนาในข้อนี้กันให้มาก แล้วก็มารู้ว่าในวันเช่นวันนี้ พระพุทธเจ้าท่านประชุมพระสงฆ์เพื่อที่จะวางกำหนดกฎเกณฑ์ของพระพุทธศาสนาลงไปให้เป็นที่แน่นอน สำหรับถือปฏิบัติโดยทั่วไปทั้งทางธรรมะและทางวินัย เพราะว่าหัวข้อโอวาทปาฏิโมกข์นั้นเป็นธรรมะที่สมบูรณ์ ครอบคลุมไปหมดในแง่ของปริยัติก็ได้ ในแง่ของปฏิบัติก็ได้ แล้วก็ย่อมจะเป็นไปในแง่ของปฏิเวธคือได้รับผลของการปฏิบัตินั้นอยู่ในตัวเอง ขอให้มีการปฏิบัติที่ถูกต้องก็แล้วกัน
ทีนี้เรามาทำในใจมองเห็นภาพการประชุมจาตุรงคสันนิบาตในวันนั้น จะได้มีความรู้สึกเป็นพิเศษให้เกิดขึ้นมา มีปิติปราโมทย์เพราะเหตุนั้นยิ่งกว่าธรรมดา ก็เรียกว่าเป็นการทำมาฆบูชาที่ดีมาก คือทำด้วยใจ น้อมระลึกนึกถึงเหตุการณ์นั้นๆ เอามาทำให้ปรากฏชัดอยู่ในใจนี้อย่างหนึ่ง แล้วเราก็ยังก็ทำการบูชาด้วยวาจา ที่กล่าวคำบูชาให้ชัดเจน ให้ถูกต้อง ให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะกล่าวได้ นี่ก็เป็นเรื่องทางวาจา แล้วก็ทำทางกายอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นเดินเวียนประทักษิณ เป็นต้น อีกส่วนหนึ่งด้วย เป็นการกระทำครบถ้วน ทั้งทางกาย ทั้งทางวาจา ทั้งทางจิต ในสิ่งที่เรียกว่า มาฆบูชา ในสถานที่เรียกว่าป่า ซึ่งก็คล้ายๆ กันกับในครั้งพระพุทธกาลนั้น
ทีนี้ก็จะได้พูดต่อไปถึงความหมายสำคัญข้อใดข้อหนึ่ง เกี่ยวกับการทำมาฆบูชานี้ ท่านทั้งหลายคงจะได้ยินมาหลายครั้งหลายหนแล้วว่าวันนี้มีความหมายสำคัญเป็นพิเศษในฐานะเป็นวันของพระอรหันต์ เพราะพระอรหันต์ ๑๒๕๐ องค์ประชุมกัน จึงเรียกว่าเป็นวันพระอรหันต์ หรือวันพระสงฆ์ หรือวันที่พระศาสนามีพระสงฆ์สมบูรณ์ วันวิสาขบูชานั้นเป็นวันพระพุทธเจ้า มีอะไร อะไรเนื่องกับพระพุทธเจ้าไปเสียทั้งนั้น คือวันที่ประสูติ วันที่ตรัสรู้ วันนิพพาน(ของ)ส่วนพระองค์พระพุทธเจ้า จึงควรแก่สมมติเรียกวันวิสาขบูชานั้นว่าวันพระสงฆ์ เอ๊ย, วันพระพุทธเจ้า ทีนี้ต่อมาถึงเพ็ญเดือน ๘ วันอาสาฬหบูชา นี่เป็นวันที่ทรงประกาศพระศาสนาออกไปเป็นครั้งแรก พระธรรมนั้นถูกประกาศออกไปเป็นครั้งแรก ในลักษณะที่เฉียบขาด โผงผางออกไปทีเดียว ท่านจึงสมมติเรียกพระธรรมเทศนานี้ว่า ธรรมจักร วงล้อ หรือจักรแห่งพระธรรม ประกาศลงไปในโลก เพื่อทำลายสิ่งเสนียดจัญไร ความผิด ความโง่ ความหลงใหล งมงาย ประการต่างๆ ให้หมดไปจากโลก ก็เรียกว่าธรรมจักร และโดยเหตุที่เป็นการแสดงครั้งแรกที่สุด มันก็เรียกว่าปฐมเทศนา เราก็เคยทำอาสาฬหบูชากันมาทุกปี แล้วก็สมมติเรียกวันนั้นว่าวันพระธรรม คือพระธรรมออกมา ทีนี้ต่อมาถึงวันนี้ เพ็ญเดือน ๓ อย่างนี้ พระอรหันต์ได้มีเพิ่มขึ้นถึง ๑๒๕๐ รูปในโลกนี้ ก็นับว่าเป็นวันพระอรหันต์ เป็นวันพระสาวกที่แท้จริง ก็เรียกว่าเป็นวันพระสงฆ์ เดี๋ยวนี้เราทำอาสาฬหะเอ๊ย, ทำมาฆบูชาในความหมายนี้ ก็เรียกว่าเป็นวันของพระอรหันต์ ทีนี้ก็ต้องพูดกันถึงเรื่องพระอรหันต์นั่นเอง ให้มาก ให้เพียงพอแก่การที่จะทำพิธีมาฆบูชา
สำหรับเรื่องพระอรหันต์นี้ ก็อยากจะให้ท่านทั้งหลาย โดยเฉพาะคนรุ่นผู้ใหญ่ ผู้เฒ่าทั้งหลาย ระลึกนึกถึงขนบธรรมเนียมประเพณีพิเศษ หรือมีความหมายอันเร้นลับอยู่กันอย่างหนึ่ง คือคำที่ร้องบอกกันเมื่อจะตายว่า พระอรหังอย่าลืม อย่าลืมพระอรหัง พระอรหังอย่าลืม คือเมื่อจะมีใครตายลงไปก็จะมีคนช่วยบอกเตือน เมื่อหูยังได้ยิน หรือมีการรู้สึกในจิตอยู่บ้างก็ว่า พระอรหังอย่าลืม พระอรหังอย่าลืม อาตมาเองเมื่อเป็นเด็กๆ ก็เคยได้ยิน ต่อมาก็ยังเคยได้ยิน แต่ในระยะหลังๆ นี้ไม่ค่อยจะได้ไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ชนิดนั้น จึงเมื่อมีใครจะตายลงจะว่าอย่างไร ก็ไม่ค่อยได้ยิน ก็ไม่ได้ยิน แต่เชื่อว่าคงจะยังมีอยู่ สำหรับผู้ที่ยังถือขนบธรรมเนียมโบราณ จะร้องบอกคนที่มีชีวิตร่อแร่ จวนจะดับจิตแล้วว่า พระอรหังอย่าลืม ขนบธรรมเนียมเช่นนี้ มีความหมายพิเศษมาก ถ้ายังรักษาไว้ได้อย่าให้สูญหายไปก็จะเป็นการดี แต่คนโง่ๆ สมัยนี้มันไม่เห็นอย่างนั้น มันไม่รู้สึกอย่างนั้น มันเห็นเป็นของขบขัน น่าหัวเราะเยาะไปเสีย มันก็เลยคงจะค่อยๆ สูญหายไปเป็นแน่ เพราะที่ว่าพระอรหังอย่าลืมนั้นมันเป็นคำพูดที่มีความหมายสูงสุดสำหรับมนุษย์เราทีเดียว ไม่มีความหมายอะไรให้สูงสุดยิ่งไปกว่านี้แล้ว ถ้าคนที่ร้องบอกนั้นมันรู้จักพระอรหังจริงๆ แล้วคนที่กำลังจะตายไปก็นึกได้และรู้จักพระอรหังจริงๆ เพียงเท่านี้แล้วก็เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดสำหรับมนุษย์เรา หมายความว่า ในสิ่งที่ดีที่สุดนั้นยังเป็นที่รู้จักอยู่ในหมู่มนุษย์ สิ่งที่ประเสริฐที่สุด สูงสุด มีค่าถึงที่สุดนั้นยังเป็นที่รู้จักกันอยู่ในหมู่มนุษย์ มันยังมาพูดในโอกาสที่พิเศษ หรือสำคัญที่สุดที่กำลังจะตายลงไป ข้อนี้จะต้องถือว่าเมื่อยังไม่ตาย หรือยังไม่ใกล้จะตาย ยังอยู่กันตามปกตินี้ก็ควรจะรู้จักพระอรหังอยู่ด้วย มิเช่นนั้นแล้วจะเอาพระอรหังไหนไปบอกคนที่กำลังจะตายว่าอย่าลืม อย่าลืม ขอย้อนระลึกนึกถึงไปถึงสมัยหนึ่ง ซึ่งจะกี่ชั่วอายุคนมาแล้วก็สุดแท้ แต่ก็เป็นที่เชื่อถือได้ว่าต้องมีคนที่รู้จักพระอรหังมากพอ คือรู้จักว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดจึงเอามายึดเอามาถือ กระทำไว้ในใจ แปลว่าการศึกษามันเป็นไปถึงที่สุด แม้จะไม่มากเหมือนเดี๋ยวนี้แต่มันลึกถึงที่สุด ได้รู้เรื่องพระอรหันต์หรือพระอรหังก็ได้ทั้งนั้นแหละ เป็นคำๆ เดียวกัน จนยกให้เป็นสิ่งสูงสุดสำหรับจะใช้สับเปลี่ยนกันเป็นต้น นึกถึงในข้อที่ว่ามันเป็นสิ่งมีค่าสูงสุดให้ดีๆ อย่าเพียงแต่ว่าพูดแต่ปาก มันต้องพูดด้วยความรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งสูงสุดจริงๆ เดี๋ยวนี้ไม่รู้จักพระอรหังหรือพระอรหันต์ก็ไม่พูดถึง แม้แต่ใครจะตายลงไปก็ไม่เตือนให้ระลึกนึกถึงสิ่งที่ประเสริฐที่สุดนั้น ในที่สุดพระอรหังก็จะหายไปและจะสักว่าเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีไม่มีเหลืออยู่แล้ว ทีนี้พระอรหังที่แท้จริงจะเหลืออยู่ได้อย่างไร
เพราะฉะนั้นอาตมาจึงคิดว่า พระอรหังอย่าลืม พระอรหังอย่าลืมนี้ ควรจะกลับมา พอควรจะกลับมา ก็หมายความว่า กลับมาสู่ความรู้สึกนึกคิดของพวกเรากันอีก ทั้งโดยอรรถะทั้งโดยพยัญชนะ โดยอรรถะคือรู้แจ้ง ประจักษ์ เห็นจริง แล้วก็รู้สึกอยู่จริงๆ พระอรหังกลับมา พระอรหังอย่าลืมกลับมา และโดยพยัญชนะก็คือโดยขนบประเพณีที่พูดว่าพระอรหังอย่าลืมนี้ เป็นตัวหนังสือ เป็นคำพูดนี้ก็ควรจะกลับมา เพราะว่าโดยขนบธรรมเนียมก็กลับมา โดยตัวธรรมะจริงๆ ในจิตในใจของคนก็ควรจะกลับมา ให้คำว่าพระอรหังนี่มันก้องอยู่ในโลกต่อไปอีก ให้ได้ชื่อว่ากลับมาอีกแล้วสำหรับสิ่งที่เลือนไป เพราะว่ามนุษย์สมัยนี้กำลังอยู่ในสภาพที่ต้องการพระอรหังนี้เป็นอย่างยิ่ง ลืมกันไปจนเหลือแต่ขนบธรรมเนียม และขนบธรรมเนียมก็จะเลือนหายไปอีก จะไม่มีอะไรเหลือในที่สุด นี่เรียกว่ามันลืมไป ลืมกันเสียอย่างไร มันก็ลืมกันเสียอย่างนี้ ควรจะกลับมาโชติช่วงอยู่ในจิตใจในความรู้สึกกันต่อไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับในยุคนี้ คือในยุคที่มันร้อนเป็นไฟไปแทบจะทั้งโลก
ถ้าว่าตรงนี้ก็อยากจะพูดถึงข้อที่ว่าโลกกำลังร้อนเป็นไฟ ไม่มีความสะอาด สว่าง สงบ เย็น กันอีกสักเล็กน้อย แม้ว่าจะได้พูดอยู่เป็นประจำ จึงอยากจะเอา(มา)พูดในวันเช่นวันนี้ซ้ำๆ อยู่บ่อยๆ ถ้าพูดกัน วันนี้ โลกทุกวันนี้ทั่วไปทั้งโลก อาตมาก็กำลังพูดอยู่ แล้วก็มีผู้เอาไปทิ้ง กระทั่งไปปรากฏอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์บางฉบับมันก็ยังมี ถึงสภาพแห่งโลกปัจจุบันนี้ว่ากำลังเป็นอย่างไร สรุปโดยทางหัวข้อว่ามันมีความวิปริตอยู่ในโลกนี้ ในปัจจุบันนี้ สมมติว่าสัก ๑๓ ประการ เป็น ๑๓ ข้อ
อันที่แรกก็คือว่าศีลธรรมมันแฟบ เพราะว่าคนหันมาชอบวัตถุ ชอบเรื่องปากเรื่องท้อง เรื่องเอร็ดอร่อย เรื่องสนุกสนาน ไม่บังคับตนเอง แต่ปล่อยไปตามความรู้สึก ก็เห็นแต่ปากแต่ท้องเห็นแต่ความเอร็ดอร่อย ก็ต้องหลงเงินหรือบูชาเงิน เพราะว่าเงินนั้นเป็นเครื่องอำนวยความสนุกสนาน เอร็ดอร่อย ก็ไปบูชาเงิน ไอ้ศีลธรรมก็ไม่มีใครเหลียวดู ถ้าเปรียบกับคนก็เหมือนว่าถูกทอดทิ้ง ทอดทิ้งมันผอมลง ผอมลง ผอมลง ศีลธรรมมันผอมลง ผอมลงในโลกนี้ มันจนเหลือแต่ก้าง เหลือแต่โครงกระดูกอยู่แล้ว อาตมาใช้คำว่า ศีลธรรมมันกำลังแฟบ มันแฟบลงทุกที
ที่นี้ก็เหตุที่ไอ้ศีลธรรมมันแฟบอย่างนี้ การศึกษาของมนุษย์ในโลกนี้มันก็ fade ไป คือ ออกไปนอกลู่นอกทาง ไม่เดินไปตามทาง เมื่อก่อนนี้การศึกษามันอยู่ในร่องในรอยของพระธรรม ของสัจธรรม คือศึกษาให้คนมันรู้อย่างถูกต้องที่จะเป็นอยู่ในโลกนี้อย่างไม่มีความทุกข์คือให้ถูกต้องตามเรื่องของธรรมชาติ โดยสรุปความแล้วก็ไม่ให้เกิดเป็นทุกข์ เป็นร้อนขึ้นมาในการมีชีวิตเป็นอยู่ มันถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ใครจะรู้หรือไม่รู้ว่าถูกต้องตามกฎของธรรมชาตินี้ก็ไม่สำคัญ แต่เมื่อมันมีการจัดการศึกษาอย่างนี้อยู่แล้วคือถูกต้องตามกฎของธรรมชาติอยู่แล้ว มันก็ไม่มีประโยชน์ มันก็ยังตรงอยู่ตามกฎของธรรมชาติ โดยสรุปแล้วก็คือว่า บังคับความรู้สึก อย่าให้ไปหลงอยู่กับสิ่งธรรมชาติ ที่ธรรมชาติที่ยั่วให้น่ารัก ก็อย่าไปหลงรัก ธรรมชาติที่ยั่วให้น่าโกรธ ก็อย่าไปหลงโกรธ ที่ยั่วให้น่ากลัวก็อย่าไปกลัว มันชวนเศร้าก็อย่าไปเศร้า บังคับความรู้สึกใว้ได้ ก็รู้จักความจริง ของสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาตินั้น มันจึงบังคับไอ้กิเลสได้ บังคับความรู้สึกนั่นแหละคือบังคับกิเลสได้ กิเลสก็ไม่ลุกลาม ยังจะมีบ้างก็ไม่ถึงกับเป็นอันตราย เพราะว่าการศึกษามันดี บังคับความรู้สึกไว้ได้ ไม่เห็นแก่ตัว เพราะไม่เห็นแก่ตัวแล้ว ไอ้ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันก็ยากที่จะเกิดขึ้นมาได้ เพราะมันเกิดมาจากความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น
เดี๋ยวนี้การศึกษามันไม่บังคับความรู้สึก ไม่สอนให้บังคับความรู้สึก ไม่นิยมบังคับความรู้สึก มันก็กลายเป็นโอกาสของความเห็นแก่ตัว ความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็หนาแน่นไปทั้งโลก เรียกว่าการศึกษามันfade ออกไปจากทำนองคลองธรรมหรือกฎเกณฑ์อันถูกต้องของธรรมชาตินั่นเอง โลกจึงเป็นอย่างนี้ คือ ร้อนระอุมากยิ่งขึ้นทุกทีด้วยความทุกข์ยากลำบากส่วนบุคคลหรือส่วนสังคมก็ตาม ความลำบากที่จะเข้าใจเรื่องนี้มันก็อยู่ตรงที่ว่าคนไม่ค่อยสังเกต และเวลามันยาวเกินไป แต่ถ้าสังเกตบ้างแม้เวลาจะยาวก็พอจะสังเกตได้ เช่นว่าคนอายุสัก ๖๐ ๗๐ ปี ยังจำอะไรได้ดีอยู่ ก็พอจะเทียบเคียงดูได้ว่าก่อนหน้านี้มันไม่ร้อนระอุเหมือนอย่างนี้ มันเย็นอยู่ได้ แม้จะไม่รู้หนังสือ มันก็ยังเย็นอยู่ได้ แม้จะไม่ได้อยู่ตึก มันก็เย็นอยู่ได้ แม้จะไม่มีเรือบินขี่อะไร มันก็ยังเย็นอยู่ได้
สมัยคนที่ไม่รู้ เอ่อ, สมัยที่คนไม่รู้หนังสือ ยังอยู่สงบสุขเยือกเย็นดีกว่าสมัยนี้ที่รู้หนังสือมาก มากจนไม่รู้จะมากอย่างไร จนกระทั่งเผลอไม่ได้ มันก็จะถูกฆ่าตาย ต้องระวังตัวกันแจทีเดียว นี่เป็นตัวอย่างง่ายๆ ว่าสมัยหนึ่งเมื่อสักเพียง๕-๖๐ ปีมานี่มันยังไม่ต้องลำบากยุ่งยากมากเหมือนเดี๋ยวนี้ ทั้งที่สมัยนั้นเสื้อผ้าก็ไม่ค่อยจะมีสวม หนังสือก็น้อยคนที่จะรู้ นี่ขอให้ดูให้ดีๆ ว่า เมื่อการศึกษามันfadeแล้วก็คนมันก็fadeไปตาม เพราะว่าการศึกษานี่มันสร้างคน ใช้การศึกษาผิด แล้วสร้างคนผิด การศึกษาถูกมันก็สร้างคนถูก เดี๋ยวนี้เขาไปเอา ไปนิยมว่าการศึกษานี้ถูกทั้งที่มันผิด มันก็ช่วยไม่ได้ มันก็ต้องผิดนั่นแหละ จะให้นิยมกันอย่างไร มันก็ถูกไม่ได้ ขอให้สังเกตดูต่อไปเถอะ ทีนี้น่าสงสารไอ้ลูกเด็กๆ เล็กๆ ที่มันเกิดไม่กี่ปี มันไม่ทันจะได้เห็นเหตุการณ์ครั้งกระโน้นที่คนไม่รู้หนังสือเขามีความสุข มันก็เข้าใจไม่ได้ บอกมันก็ไม่เชื่อ ทีนี้เราคนโตๆ แล้ว อายุมากแล้วก็พอจะมองเห็นได้ ก็คิดดูเอาเองว่าการศึกษาที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องนี่มันเป็นสิ่งที่สำคัญ เดี๋ยวนี้การศึกษามัน fade มันไม่ถูกต้องมันเหไปให้หลงใหลในวัตถุ คือไปหลงใหลในความสุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อยทางวัตถุ ซึ่งเราเรียกกันว่าทางเนื้อทางหนังนั่นเอง
เมื่อการศึกษามัน fade ประชาธิปไตยของคนสมัยนี้มันก็เฟ้อ คือการปล่อยให้ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพทำอะไรตามใจของตัวเองนี้ มันก็เฟ้อไปหมด เพราะการศึกษาที่เป็นทุนรอนอยู่ในหัวใจนั้นมัน fade มันไม่ถูกตามความเป็นจริง ไปข้างโน้นบ้าง ข้างนี้บ้าง ประชาธิปไตยมันก็ยื้อแย่งกัน ตามความรู้สึกของคน คนหนึ่งหนึ่ง มันพูดกันไม่รู้เรื่อง นี่เราเรียกว่าประชาธิปไตยมันเฟ้อ เมื่อประชาธิปไตยมันเฟ้อ พวกยุวชนมันก็ฟุ้ง ลูกเด็กๆ ที่เพิ่งเกิดมาทีหลังนี่มันไม่ได้เห็นอะไรกี่มากน้อย มันไม่เข้าใจอะไร มันก็เอาตามความมุทะลุดุดันของมันเอง เรียกว่ายุวชนมันฟุ้ง ฟุ้งกันไปคนละแบบสองแบบ หลายอย่างหลายประการทีเดียว ไม่ว่าการบ้าน การเมือง การศาสนา การอะไรต่างๆ มันล้วนแต่มันฟุ้งไปหมด ทำให้เกิดปัญหายุ่งยากขึ้นมาหลายอย่างหลายประการ เช่น ยุวชนอวดดีไม่เคารพพ่อแม่ แล้วยังข่มเหงพ่อแม่ เข้าทำนายปัทถเวน ที่ว่าแม่วัวต้องกินนมลูกวัว คือพ่อแม่มันจะต้องง้อลูกๆ มัน นี่เป็นเหตุให้ยุวชนมันฟุ้งถึงขนาดนี้ เพราะว่าหลงตามๆ กันไปจนคนแก่ไม่สามารถควบคุมเด็กๆ เด็กๆ มันก็ฟุ้งยิ่งขึ้นไปอีก การบ้านการเมืองในปัจจุบันนี้ยุวชนมันฟุ้งอย่างไร ท่านทั้งหลายไปดูเอาเองก็แล้วกัน เกินกว่าที่จะเห็นได้ไปเสียอีก
ทีนี้เมื่อยุวชนทั้งหลายที่เป็นกำลังของประเทศชาติมันฟุ้งอย่างนี้แล้วก็ ไอ้การปกครองมันก็เฟือน คือบังคับกันไม่ได้มันก็เฟือน ไม่รู้จะปกครองกันอย่างไร ในโรงเรียนก็ไม่รู้จะปกครองกันยังไง ในหน่วยราชการก็ไม่รู้จะปกครองกันอย่างไร ทั้งประเทศก็ไม่รู้(จะ)ปกครองกันอย่างไร มันเฟือนไปหมด นี่เรียกว่าการปกครองมันเฟือนจนไม่รู้จะเอากันอย่างไร ไม่รู้จะเอาอย่างไรได้ การปกครองมันเฟือนแล้ว ไอ้การเมืองมันก็ฟุบ การเมืองคือการจัดบ้าน จัดเมือง จัดโลกนี้ให้เป็นผาสุกนี่มันก็ฟุบลงไป มันทำไม่ได้ เดี๋ยวนี้ที่เขาทำการเมืองกันนี่เพื่อประโยชน์ของผู้ทำทั้งนั้นแหละ ประชุมกันที่นั่น ประชุมกันที่นี่ ที่เมืองโน้น เมืองนี้ ขึ้นเรือบินแห่กันไป แห่กันมา ว่อนไปทั้งโลก นี่ไอ้เรื่องการเมือง ทุกเรื่องเพื่อประโยชน์ตนหรือพวกของตนทั้งนั้น ก็คือไปหาโอกาสแย่งชิงเอาประโยชน์มาให้ตนหรือพวกของตนกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะประชุมกันที่ไหน แล้วก็บังหน้าไว้ด้วยว่าประโยชน์ส่วนรวม แต่เนื้อแท้มันก็ประโยชน์ส่วนตน นี่คือการเมืองมันฟุบ ไม่มีธรรมะ เพราะฉะนั้นจึงไม่เป็นไปเพื่อความเจริญ รุ่งเรือง เยือกเย็นแห่งโลก แห่งมนุษย์
ทีนี้เมื่อการเมืองมันฟุบมันก็พูดได้ว่าสังคมมันเฟะ มันมีลักษณะเหมือนกับจะเน่า สังคมแต่ละสังคม ระดับต่ำ ระดับกลาง ระดับสูง ทั่วโลกนี่มันกำลังเฟะเป็นสังคมที่เฟะ ไม่มีศีลธรรม ไม่มีหลักเกณฑ์ ไม่มีความเมตตากรุณา ไม่กตัญญูกตเวทีซื่อสัตย์ต่อกันและกัน รวมความแล้วว่าไว้ใจกันไม่ได้ ในสังคมนั้นๆ ไม่มีความไว้ใจเหลืออยู่เลย นี่เรียกสังคมมันเฟะ ไม่มีบน ไม่มีล่าง ไม่มีหลักสำหรับจะยึดถือกันอย่างไร
สังคมเฟะแล้วเศรษฐกิจมันก็ฟ่าม เศรษฐกิจนี่คือการลงทุนเพื่อให้มีกำไร แล้วก็อยู่กันเป็นผาสุกด้วยกัน แต่แล้วมันไม่เป็นอย่างนั้น มันฟ่ามตรงที่มันมันไม่ให้ผลตรงตามนั้น เมื่อเศรษฐกิจทั้งหลายได้นำมาซึ่งความสงบหรือสันติภาพ นี่เราเรียกว่ามันไม่ทำหน้าที่ตรงตามที่มันควรจะทำ เรียกว่ามันฟ่าม เหมือนกับว่าต้นไม้ที่มันควรจะหวาน แล้วมันไม่หวาน มันไปเป็นบ้าเสีย ไม่รู้ว่าเป็นอะไรเสีย ทีนี้มันจืดเสีย มันแห้งไม่มีน้ำเสีย อะไรเหล่านี้ เรียกว่ามันฟ่าม ไอ้สิ่งที่เราจะทำเพื่อกำไร มันก็กลายเป็นกำไรเพื่อให้มันยุ่งยากลำบากมากขึ้น เป็นกำไรทำให้เกิดความยุ่งยากลำบากมากขึ้น สิ่งที่เรียกว่าเศรษฐกิจในโลกนี้ เวลานี้ ก็คือสิ่งที่ทำให้โลกยุ่งเหยิงที่สุด รบกวนสันติภาพของโลกมากที่สุด เราเรียกว่าเศรษฐกิจมันฟ่าม
พอเศรษฐกิจมันฟ่าม ก็กระเทือนมาถึงศาสนาทั้งหลายในโลกนี้ ศาสนามันก็ฟั่น ฟั่นอย่างฟั่นเชือกเป็นเกลียว แต่มันไม่เป็นเกลียวอย่างที่มีระเบียบ มันเป็นฟั่นเฟือน มันฟั่นอย่างฟั่นเฟือน ศาสนามันฟั่นนี่มันฟั่นกันยุ่ง จนศาสนามันด่ากัน เจ้าหน้าที่การศาสนามันกัดกัน ภายในศาสนาก็มี ระหว่างศาสนาก็มี เจ้าหน้าที่ทางศาสนามันกัดกัน ก็เรียกว่าศาสนามันฟั่น จนจะต้องปรับปรุงกันใหม่เป็นอย่างมากทีเดียว
เมื่อศาสนามันฟั่นกันแล้ว วัฒนธรรมมันก็เฟี้ยว เหมือนกับคนบ้า เพราะวัฒนธรรมมันมีรกรากอยู่ที่ศาสนา เมื่อศาสนามันฟั่น วัฒนธรรมมันก็เฟี้ยว คือไม่รู้ ไม่รู้จะไปทิศไหน ทางไหน มันแตกกระจายกันไปคนละทิศคนละทางเป็นวัฒนธรรมตามใจตัวเอง ตามใจชอบของตัวเอง ใครอยากทำอย่างไร ก็ทำอย่างนั้น ก็เลยแก้ไขวัฒนธรรมกันเป็นการใหญ่ จนไม่มีรูปร่างแห่งวัฒนธรรม มีแต่การกระทำตามอำนาจของกิเลส ถ้าเรียกว่าวัฒนธรรมก็เรียกได้เหมือนกันตามตัวหนังสือนั้น เรียกว่ามันรกขึ้นเป็นป่าชัฏ มันรกขึ้นเป็นดงทึบ เป็นป่าชัฏ เต็มไปด้วยอันตราย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่าวัฒนธรรมนั่นเองเต็มไปด้วยอันตราย เหมือนกับในป่ารก สมกับคำว่า วัฒนะ มันแปลว่า เจริญ คือรก วัฒนธรรมมันก็เฟี้ยวอย่างนี้ ต่างคนหรือว่าต่างหมู่ต่างพวกมันก็ไปตามแบบของตน ไม่ดูหน้าใคร แม้ในครอบครัวเดียวกันก็ยังมีวัฒนธรรมต่างกัน พ่อไปอย่าง แม่ไปอย่าง ลูกไปอย่าง เดี๋ยวนี้มีวัฒนธรรมที่จะทำให้เสมอกันทั้งชายทั้งหญิงนี่ คงจะเฟี้ยวยิ่งกว่าวัฒนธรรมไหนๆ (ทั้ง)หมดแหละ มันฝืนธรรมชาติมากเกินไป มนุษย์มันบ้าถึงขนาดที่ไม่รู้จักความจริงข้อนี้ ผู้ชายต้องทำอย่างผู้ชาย ผู้หญิงก็ทำอย่างผู้หญิง จะเหมือนกันไม่ได้ มันผิดกฎของธรรมชาติ ทีนี้ความโง่มันทำให้ดันทุรัง วัฒนธรรมมันก็เฟี้ยวยิ่งขึ้นไปอีก
วัฒนธรรมมันเฟี้ยวแล้วประเทศชาติแต่ละประเทศมันก็ฟอน คือถูกหนอนบ่อนไส้ เหมือนอะไรเข้าไปฟอน ข้างในกลวงหมดเหลือแต่เปลือก ผิวๆ เผินๆ นี่ประเทศชาติ หมดทุกประเทศมันฟอน คือไร้แก่นสารที่เป็นที่ตั้งแห่งความถูกต้องมั่นคงผาสุก เขาเรียกว่าประเทศชาติมันฟอน ในที่สุดความเป็นไท แห่งชาตินั้นๆ หนึ่งๆ นั้นๆ มันก็เฟื้อยไปหมด เหมือนกับยอดถั่วที่มันไม่รู้จะไปจับที่ตรงไหนได้ ความเป็นไทย (47.56) ความเป็นอิสระ ของประเทศชาติมันก็โงนเงน โยกโคลง โงนเงน ไม่มีอะไรที่มันแน่นอน เหมือนกับว่ามันจะเปลี่ยนอยู่ทุกวันอย่างนั้นแหละ นี่ถ้าว่ายังอยู่อย่างนี้กันต่อไปอีกไม่นานนักก็จะต้องถึงยุคที่เรียกว่า มิคสัญญี คือไม่มี ไม่มีธรรมะเหลืออยู่ในโลก แล้วก็ฆ่าฟันกันอย่างกับฆ่าเนื้อฆ่าปลาจนตายเกือบหมดโลก แล้วที่เหลืออยู่เป็นส่วนน้อยนั่นแหละ นึกได้ค่อยกลับตัวกันใหม่ ตั้งต้นกันใหม่ จึงจะย้อนมาสู่ยุคที่มันดี สมกับที่เรียกว่ามันเป็นมนุษย์ (แต่) เดี๋ยวนี้มันกำลังจะหมดความเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์อะไรก็ไม่รู้แต่ไม่ใช่มนุษย์ ถ้าเป็นมนุษย์จิตใจมันต้องสูง ต้องสวย ต้องสะอาด ต้องสว่าง ต้องสงบ มนุษย์เรานี่ใจสูง หรือมนุษย์แปลว่าพืชพันธุ์ของมนู มนูนั้นคือบุคคลผู้มีจิตใจสูงที่สุด เดี๋ยวนี้ถ้ามีจิตใจต่ำลง เพราะไอ้(ความ)วิปริต ๑๓ ประการนี้ ก็หมดความเป็นมนุษย์ ถ้าว่าคุณของพระอรหันต์กลับมา คือพระอรหังอย่าลืม พระอรหังกลับมา พระอรหังกลับมาแล้วก็จะขจัดสิ่งเหล่านี้ได้ ก็จะมาอยู่ในความสะอาด สว่าง สงบ ได้ต่อไป เพราะฉะนั้นอาตมาจึงเห็นว่าเราควรจะให้พระอรหังกลับมา คุณธรรมอย่างพระอรหันต์หรือที่เรียกว่าพระอรหังนั่นกลับมา จึงควรพิจารณากันต่อไปสักเล็กน้อย ว่าพระอรหังนั้นคืออะไรแล้วก็จะเห็นได้เองว่าทำไมจึงควรจะกลับมา
ถ้าถามว่าพระอรหังคืออะไร ครั้งแรกก็พูดกันอย่างภาษาคนธรรมดาสามัญก่อน คือคนที่ตะโกนว่าพระอรหังอย่าลืม พระอรหังอย่าลืมนั้น ภาษาธรรมดาเขาหมายถึงสิ่งสูงสุดหรือบุคคลสูงสุด ที่ควรถือเป็นแบบฉบับสำหรับยึดมั่นเป็นหลัก ถ้าไปเล็งที่ตัวคน ก็คนที่ประเสริฐที่สุด คือ พระพุทธเจ้า เป็นต้น พระอรหังอย่าลืม ให้รู้จักท่านไว้ นึกถึงท่านไว้เสมอ ถ้าจะมองดูอย่างวิเศษ ก็วิเศษที่สุด สูงสูด ถ้ามองดูอย่างพิเศษ ก็พิเศษที่สุด คือไม่เหมือนใคร เมื่อคนอื่นเขาเต็มไปด้วยความสกปรก มืดมัว เร่าร้อน พระอรหังก็เต็มไปด้วยความสะอาด สว่าง สงบ อย่างนี้
คำว่าอรหังนี่มีใช้อยู่ก่อนพุทธกาล ก่อนพระพุทธเจ้าเกิด หรือก่อนนั่นไปอีก ก็มีคำว่าพระอรหัง พระอรหันต์นี้ใช้อยู่ ใช้พูดกันอยู่แล้ว หมายถึงบุคคลพิเศษที่สุด วิเศษที่สุด สูงสุดไม่มีอะไรจะยิ่งไปกว่านั้นแล้ว ตามความเข้าใจของคนยุคนั้น ยุคนั้น เป็นยุคๆ ไป เพราะฉะนั้นความหมายของพระอรหันต์นั้นก็เปลี่ยนมาเปลี่ยนมาตามความสูงของสติปัญญาของมนุษย์ จนถึงยุคที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เกิดขึ้นในโลกแท้จริง พระอรหังจึงมีความหมายสูงสุดถึงที่สุด ยุติลงไปว่าเป็นอย่างนั้น อย่างที่เรายึดถือเป็นหลักอยู่ในพระพุทธศาสนานี้ว่า พระอรหังนั้นเป็นอย่างไร อะระหัง ชีนา สะโว (นาทีที่ 51:56) คือพระสาวกทั้งหลาย อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ คือพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้านั่นเองว่าท่านเป็นอย่างไร นี่เรียกว่าภาษาคน พระอรหันต์หรือพระอรหังคือผู้เป็นอย่างนี้
ทีนี้ก็มองดูในภาษาธรรมะ ภาษาธรรม ไม่เกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ เอาตามความจริงของธรรมชาติ พระอรหัง ก็คือผู้ที่สิ้นกิเลสอาสวะ มนุษย์ได้ค้นพบ ความลับ ลึกลับอันนี้ จนรู้จักทำให้สิ่งที่เรียกว่ากิเลส อาสวะสิ้นไปได้ในบางคนหรือบางโอกาสนี้ คือพระพุทธเจ้าได้เกิดขึ้น เป็นผลการค้นคว้าที่สูงสุดในทางพระศาสนา ศาสนามันคู่กันมากับมนุษย์ คู่กันมากับมนุษย์ ตามความเจริญของมนุษย์ มนุษย์เจริญขึ้นเท่าใด ศาสนาก็ก้าวหน้าขึ้นมาเท่านั้น การค้นคว้าทางศาสนาก็เป็นมาอย่างนี้ จนถึงขนาดที่สูงสุด ก็คือพบพระอรหันต์ที่แท้จริงว่า(เป็น)ผู้ที่สามารถกำจัดกิเลสออกไปได้จากจิตใจ จากขันธสันดาน ไม่มีสันดานที่ประกอบไปด้วยกิเลส คือไม่มีความเคยชินของกิเลสเหลือซากอยู่แม้แต่เล็กน้อย นี่เรียกว่ามีสันดานหมดจดจากกิเลสเศร้าหมองทั้งหลาย แล้วได้ค้นคว้าจนพบไอ้ความจริงอันนี้แล้วปฏิบัติขึ้นมาได้ เป็นพระสัมมาพระพุทธเจ้า แล้วก็มีพระสาวกคือพระอรหันต์ชีนาสด (นาทีที่ 53:49) อย่างที่ว่า ๑๒๕๐ องค์ ประชุมกันในวันนี้
อยากจะให้สังเกตเป็นพิเศษสักหน่อยหนึ่งตรงนี้ว่า คือว่า พระอรหังหรือพระอรหันต์นี้ก็เป็นผลของ วิวัฒนาการตามธรรมชาติของมนุษย์นั่นเอง อย่าให้ อย่ามองไปว่ามันลึกลับ เหลือวิสัย เข้าใจไม่ได้อะไรทำนองนั้น ถ้ามนุษย์ไม่หยุดในความก้าวหน้าที่ถูกต้อง เรื่อยมา เรื่อยมา มันก็มาถึงพระอรหันต์เป็นแน่นอน และธรรมชาติมันก็เป็นอย่างนั้น ธรรมชาตินั้นมันไม่ยอมให้อะไรหยุด มันบังคับให้เปลี่ยนเรื่อยไป แล้วมันก็เปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัยของมัน ถ้าเป็นทางผิด มันก็วินาศสูญหายไปแล้ว ไม่เหลืออยู่ ถ้ามันเปลี่ยนไปในทางถูกมันก็เจริญอยู่ คงอยู่ เหลืออยู่ แล้วก็เจริญยิ่งขึ้นไป หรือจะเรียกว่าเจริญยิ่งขึ้นมา ยิ่งขึ้นมา จนมาถึงระดับสูงสุดอันนี้ ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าถ้ามันผิดกฎของธรรมชาติมันวินาศ มันสูญสิ้นไปแล้ว ไม่เหลือซาก ที่มันเหลืออยู่ได้เพราะมันถูกตามกฎของธรรมชาติ ฉะนั้นที่มันเหลืออยู่ได้ มันก็ถูกตามกฎของธรรมชาติ เราจึงเรียกว่าวิวัฒนาการ วิวัฒนาการเป็นมาเรื่อย มาเรื่อยในหมู่มนุษย์จนถึงได้เกิดพระอรหันต์ขึ้นมาในโลก ถ้าทำผิดอีก ละเลยสิ่งนี้อีก ไอ้มนุษย์นี้ก็จะสูญเสียความเป็นมนุษย์ชนิดนี้ไปเป็นมนุษย์เลว ไปเป็นมนุษย์ที่รบราฆ่าฟันกันตายหมด ก็จะสิ้นซากกันไปเสียทีหนึ่ง กว่าจะมีเชื้อเหลือนิดหน่อย สำหรับมาตั้งต้นกันใหม่ อย่างที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์
คำว่าอรหังนี้ถ้าพูดโดยถ้อยคำมันเป็นคำศักดิ์สิทธิ์สูงสุด ศึกษาดูจากวรรณคดีก็ดี ศัพทศาตร์ก็ดี ทำให้เกิดความเข้าใจว่ามันเป็นคำโบราณที่สุด ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด สูงสุดที่สุด ก็คล้ายๆ กับคำว่าพระเจ้านั่นเอง เพราะพระเจ้าคือสิ่งสูงสุด พระอรหันต์ก็(คือ)สิ่งสูงสุด ก็เรียกอันนั้นว่าพระเจ้า ในภาษาไทยเรา คือสิ่งสูงสุด อย่างพระเจ้าในศาสนาอิสลาม เขาออกเสียงว่า อัลลอฮะ อัลลอฮะ (56.26)คล้ายกันที่สุดกับคำว่า อะระหะ อะระหะ กับ อัลลอฮะ มันคล้ายกันสุดๆ พระยาห์เวห์ของพวกยิวนี่มันก็คล้ายกันที่สุดกับเสียงคำว่าพระอรหันต์ น่ากลัวว่า เดาเอาว่านะ น่ากลัวว่าในครั้งแรกนี้ มนุษย์รู้จักคำนี้ในฐานะเป็นพระเจ้าสูงสุด ฝ่ายพวกนี้(56.50)เหลือคำว่าอรหัง อรหังมาเรื่อยไป คือพระเจ้าหรือผู้ที่สูงสุด ควรจะจัดคำว่าพระอรหังไว้ในฐานะเป็นคำศักดิ์สิทธิ์สูงสุดสำหรับมนุษย์ ต่อมาเมื่อมันทำผิดในเรื่องนี้มันจึงค่อยเพี้ยนไปเป็นคำล้อเลียน เอาคำว่าพระอรหังมาเป็นคำล้อเลียน เอาคนเลวที่สุดมาเรียกว่าอรหันต์อย่างนี้ก็มี
ถ้าดูถึงประโยชน์ก็คือสิ่งสูงสุดที่มนุษย์จะต้องได้รับ จะได้เคยได้รับมาแล้ว มนุษย์ได้เคยรับประโยชน์สูงสุด จากสิ่งที่เรียกว่าพระอรหังหรือพระอรหันต์มาแล้ว หรือพบความเป็นพระอรหันต์ หรือเป็นพระอรหันต์กันมาแล้ว ในยุคหนึ่งที่ว่าเต็มไปด้วยพระอรหันต์อย่างยุคพุทธกาลเป็นต้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าทั้งโลกนะ แต่ว่าที่ใดมี เมื่อใดมีพระอรหันต์ เมื่อนั้นก็เรียกว่าสูงสุดของมนุษย์ที่นั้น เมื่อนั้น (ที)นี้ประโยชน์ พูดกันได้อย่างกำปั้นทุบดินว่า มนุษย์นี้ไม่เหลวไหล ไม่เสียเปล่า ได้เดินขึ้นมาถึงจุดสูงสุดที่มนุษย์ควรจะมีได้ หรือเดินขึ้นมาได้ หรือถึงได้ แล้วก็ไม่มีอะไรสูงกว่านั้นอีกแล้ว ทีนี้มนุษย์ได้ ได้ได้ความเป็นมนุษย์ที่สูงสุด ถึงที่สุดนี้จะไม่ให้เรียกว่าประโยชน์(ได้)อย่างไร ก็(เรียก)ว่าประโยชน์แล้วก็ประโยชน์สูงสุดด้วย คือสิ่งที่มนุษย์ควรจะต้องการแล้วมันก็ได้ แล้วก็ได้ดีที่สุดด้วย เพราะฉะนั้นคำว่าพระอรหันต์นี้ก็เป็นชื่อของประโยชน์สูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้ คือได้ความเป็นพระอรหันต์ สรุปความว่าพระอรหัง หรือพระอรหันต์ก็ตาม คือมนุษย์สูงสุด สูงสุดในทุกแง่ทุกมุม สะอาดก็สะอาดที่สุด สว่างก็สว่างที่สุด สงบก็สงบที่สุด ทำประโยชน์ก็เป็นประโยชน์ถึงที่สุด มีประโยชน์ถึงที่สุด สำหรับมนุษย์ในทุกความหมาย ในทุกยุคทุกสมัย นี่คือพระอรหังหรือพระอรหันต์ ซึ่งวันนี้เราจะทำพิธีมาฆบูชาเป็นที่ระลึกแก่ท่าน ขอให้ท่านทั้งหลายเข้าใจอย่างนี้ ทำในใจอย่างนี้ แล้วทำพิธีมาฆบูชา การทำมาฆบูชาก็จะมีความหมาย มีความหมายจริงๆ ไม่ได้ทำแต่ว่าท่าทางหรือเหมือนเล่นละคร แล้วยังจะดีกว่าปีเก่าแน่ ถ้าท่านรู้จักคุณของพระอรหันต์มากขึ้นเท่าไร มันก็จะทำมาฆบูชาดีกว่าเก่ามากขึ้นเท่านั้น
เพราะฉะนั้นปีนี้เราพูดถึงพระคุณของพระอรหันต์มากขึ้นกว่าปีเก่า ให้ลึกขึ้นกว่าปีเก่า ก็เป็นอันเชื่อได้ว่าปีนี้เราจะต้องทำมาฆบูชานี้ได้ดีกว่าปีเก่า ขอให้ท่านทั้งหลายมีความแน่ใจอย่างนี้ ไปในการกระทำอย่างนี้ด้วย จะรู้จักพระอรหันต์กันอย่างไรนี่ก็เป็นปัญหา และกำลังเป็นปัญหาที่ยุ่งๆ อยู่ในบ้านในเมืองหรือทั่วๆ ไป จะโจษคนนั้นว่าเป็นพระอรหันต์ โจษคนนี้ว่าเป็นพระอรหันต์ มันก็เป็นเรื่องน่าหัว คือว่าการโจษนั้นมันโจษกันไปตามความรู้สึกตามธรรมดาสามัญของคนนั่นเอง เกี่ยวกับข้อนี้ขอให้ถือเป็นหลักว่า จะเอาอาการภายนอกเป็นหลักไม่ได้ เดี๋ยวนี้เขาเอาอาการภายนอกเป็นหลัก ก็เที่ยวโจษคนนั้น โจษคนนี้ว่าเป็นพระอรหันต์ อาตมาอยากจะบอกดังๆ ว่าเอาอาการภายนอกเป็นหลักไม่ได้ ต้องเอาอาการภายใน ในเมื่อภายในไม่มีใครรู้ของใครจะเอามาเป็นหลักได้อย่างไร ก็เลยต้องปล่อยเป็นเรื่องส่วนบุคคล เฉพาะคนไป
จะยกตัวอย่างเหมือนอย่างว่า ชาวบ้านที่โง่ๆ นะ ขออภัย ถ้อยคำนี้มันหยาบคายไป มันก็พูดว่าถ้าไก่ตัวไหนกระต๊าก ไก่ตัวนั้นมันไข่ นี่คนโง่มันพูด เพราะว่าไก่ที่กระต๊าก แล้วมันไม่ไข่ก็มี ใช่ไหม จะไปถือเสียว่ามันกระต๊ากแล้วมันไข่อย่างนี้มันไม่ถูก นี่เรียกว่าดูแต่ภายนอกเป็นหลักนี่มันไม่ได้ เหตุปัจจัยอย่างอื่นมันมี ไก่ที่กระต๊ากแล้วมันไม่ได้ไข่มันมี แม้เป็นตัวเมีย บางทีตัวผู้มันก็พลอยกระต๊ากด้วย แล้วมันไข่เป็นเมื่อไหร่เล่า จะถือว่าไก่ตัวไหนกระต๊าก แล้วไก่ตัวนั้นมันไข่มันว่าอย่างหลับหูหลับตาว่า มันไม่มีความรู้อะไร ทีนี้ต้องดูอาการภายในหรือการประพฤติอยู่ที่เนื้อที่ตัว ว่าถ้าท่านตั้งอยู่ในมัชฌิมาปฏิปทาทั้งเนื้อทั้งตัวตลอดเวลานั่นแหละคือพระอรหันต์ หรือผู้ที่เตรียมตัวแล้วไม่ได้เป็นพระอรหันต์โดยแท้จริง เป็นอยู่โดยชอบเรียกว่า สัมมัตตะ ถูกต้องทางองค์ ๘ ประการของอัฏฐังคิกมัคค์ สัมมัตตะนั้น อย่างนั้นแหละจะเป็นพระอรหันต์ คือถ้าไม่แสดงออกมาภายนอก เราก็ไม่ต้องบอก ไม่ต้องพูด ไม่ต้องโจษใครว่าเป็นพระอรหันต์หรือไม่เป็น เลิกโจษกันเสียเถอะว่าใครจะเป็นพระอรหันต์ ดูว่าเขาเป็นผู้ตั้งอยู่ในมัชฌิมาปฏิปทาหรือไม่ มัชฌิมาปฏิปทานั้นอยู่ตรงกลาง ไม่พูดว่าดีว่าชั่ว ไม่พูดว่าบุญว่าบาป ไม่พูดว่าได้ ไม่พูดว่าเสีย ไม่พูดว่าตายแล้วเกิด หรือตายแล้วไม่เกิด ไม่พูดอะไรสุดโต่งโดยส่วนเดียวอย่างนี้ ไม่พูดว่ามีไม่พูดว่าไม่มี เพราะว่ามันอยู่ตรงกลางแล้วแต่เหตุแต่ปัจจัย
ผู้ที่มีการเป็นอยู่ในสายกลางอย่างนี้ คือไม่มีความผิด ไม่มีกิเลส เป็นอยู่อย่างถูกต้องเรื่อยๆ ไป ถึงที่สุดเมื่อไรก็เป็นพระอรหันต์ถึงที่สุดเมื่อนั้น ไอ้ส่วนที่สำหรับส่วนที่พอจะสังเกตได้อีกอย่างหนึ่งมันยังมีอยู่ คือว่าความรู้สึกของบุคคลประเภทพระอริยเจ้านั้นมันต่างจากบุคคลธรรมดา นี่จะเป็นหลักที่อาศัยได้บ้างนะ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เว้นแต่จะเป็นคนฉลาดมากจึงจะอาศัยได้บ้างทั้งหมด เพราะมันต่างจากคนธรรมดา สิ่งที่คนธรรมดาหลงใหล น่ารัก ถือว่าน่ารัก น่าพอใจ พระอริยเจ้าเห็นว่าไม่ใช่สิ่งที่น่ารัก น่าหลงใหล น่าพอใจ สิ่งที่คนธรรมดาว่าเป็นสุข พระอริยเจ้าก็เห็นว่ามันเหลวไหล แต่สิ่งที่พระอริยเจ้าเห็นว่าเป็นสุข คนธรรมดาเห็นว่าเหลวไหล มันกลับกันอยู่อย่างนี้ ยกตัวอย่างเช่นว่า วิเวก ความสงัดกาย สงัดจิต สงัดกิเลส เป็นวิเวกอย่างนี้ ชาวบ้านไม่ชอบ แต่พระอริยเจ้าท่านชอบ ถือว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ไอ้ส่วนคลุกคลีกันอยู่ในกามคุณนั้นชาวบ้านว่าดี ว่าชอบ แต่พระอริยเจ้าว่าไม่ไหว มันก็มองเห็นกันคนละอย่าง อย่างนี้เรื่อยไป ที่จำเป็นที่สุดอย่างหนึ่งก็คือว่าการบังคับตัวเอง อย่าปล่อยตามกิเลส พวกชาวบ้านว่า ไม่เอา ปล่อยตามกิเลสนั้น มันสบายดี มันสนุกดี อยากกินก็กิน อยากทำอะไรก็ ลามกอนาจารอะไรก็ทำ ปล่อยตามกิเลสนั่นแหละมันดี ส่วนพระอริยเจ้าว่าไม่ไหว ไม่ไหวโดยประการทั้งปวง
ฉะนั้นความหมายว่าสุขหรือทุกข์ก็ตาม จะตรงกันข้ามอยู่เสมอ ไอ้สุขสำหรับชาวบ้านนั้นมันสุขไม่ได้สำหรับพระอรหันต์ และสุขสำหรับพระอรหันต์มันสุขไม่ได้สำหรับชาวบ้าน ทุกข์ก็เหมือนกัน ที่ชาวบ้านเห็นว่าเป็นทุกข์ พระอรหันต์จะไม่เห็นว่าเป็นทุกข์ สิ่งที่พระอรหันต์บอกว่าเป็นทุกข์ ชาวบ้านก็ไม่เห็นว่าเป็นทุกข์ มันเล่นตลกกันอยู่อย่างนี้ ฉะนั้นขอให้เอาข้อนี้เป็นหลักสังเกตจะช่วยได้บ้าง จะได้รู้จักเรื่องอันแท้จริง ความหมายอันแท้จริงของไอ้ความเป็นพระอรหันต์นั้น ทั้งนี้ก็เพราะว่าพวกชาวบ้าน พวกปุถุชนทั้งหลายมันดูด้วยตาภายนอกแล้วสมมติตามๆ กันไป ว่าสุข ว่าทุกข์ ว่าดี ว่าชั่ว ว่าอะไรต่างๆ นี่ ชาวบ้านปุถุชนธรรมดามันดูด้วยตา มันชวนกันดูด้วยตาแล้วมันสมมติรวมๆ กันไป ส่วนพระอริยเจ้านั้นท่านไม่ได้ดูด้วยตาโง่ๆ อย่างนั้น ท่านเห็นด้วยตาปัญญา ด้วย ยะถาภูตะ สัมมัปปัญญา ปัญญาที่เห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงอย่างถูกต้องตามที่เป็นจริง ท่านจึงดูดูได้ลึกแล้วก็ถูกต้อง ส่วนชาวบ้านปุถุชนทั้งหลายนี่มันดูด้วยลูกตา ลูกตานี้ ตาเนื้อๆ นี้ ซึ่งเป็นปัจจัย เป็นเหตุ เป็นที่ตั้งของกามคุณนี้ มันก็ดูด้วยตาเนื้อๆ แล้วก็เหมาๆ รวมๆ กันไป พอใจรวมๆ กันไป นิยมตามๆ กันไป พระบาลีมีคำเรียกต่างกัน ถ้าเรียนบาลีบ้างก็ดี จะเรียกว่า อุปปณิชชา ยีตัง (นาทีที่ 67:01) เข้าไปเพ่งดูด้วยตานี้ เห็นอย่างไรก็ว่าไปอย่างนั้น เป็นเรื่องของชาวบ้านปุถุชน เห็นโลกเห็นอะไรตามที่ตาเนื้อมันดู เห็นแล้วก็ว่าตามๆ กันไป ส่วนพระอริยเจ้า พระอรหันต์นั้นท่านเป็น ยะถา ภูตัง สัมมัปปัญญา ยะสุ พุทธัง เห็นอย่างดีอย่างถูกต้องด้วย ยะถาภูตะ สัมมัปปัญญา ไม่ใช่ตาเนื้อ ฉะนั้นท่านหลับตาก็ดูได้ ท่านหลับตาก็ดูเห็น เพราะมันดูด้วยปัญญา นี่เป็นเหตุให้พระอรหันต์กับปุถุชนนี่ดูอะไร มองอะไรต่างกันหมด คนหนึ่งดูด้วยตาปัญญา คนหนึ่งดูด้วยตาเนื้อซึ่งเป็นภาพของกิเลสตัณหา
ฉะนั้นท่านทั้งหลายใช้ตาไหน ระวังให้ดี ในวันนี้มาทำพิธีอาสาฬหบูชา (นาทีที่ 67:52) เป็นที่ระลึกแก่พระอรหันต์ ก็รู้จักพระอรหันต์กันเสียบ้าง รู้จักใช้ตาปัญญาในภายใน ให้เห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงถูกต้องตามที่เป็นจริงกันเสียบ้าง ก็จะไม่เสียทีที่ว่าอุตส่าห์ทนลำบากมาจนถึงที่นี่ มันก็มีความลำบากไม่ใช่แกล้งพูด แต่เมื่อลงทุนไปมากด้วยความลำบาก ก็ควรจะได้ผลคุ้มกัน หรือเกินค่า นี่จงทำความเข้าใจข้อนี้ แล้วก็จะได้ผลคุ้มค่าหรือเกินค่าเป็นแน่นอน
นี่คือคำกล่าวที่เป็นการตักเตือนท่านทั้งหลาย ให้เตรียมตัว เป็นการตักเตือนให้เตรียมตัวเท่านั้น ทุกครั้งที่แสดงธรรมเทศนาบนภูเขานี้เป็นเพียงการตักเตือนให้เตรียมตัวเท่านั้น เพราะว่าต่อไปนี้เราจะทำพิธี ไม่ใช่พิธีรีตองนะระวังให้ดี ไม่ใช่พิธีรีตอง แต่เป็นพิธีที่ถูกต้อง ที่เราจะต้องทำให้มันถูกต้อง และต้องซ้ำลงไป ต้องย้ำลงไปให้มันอยู่กับเนื้อกับตัวเป็นความถูกต้องมากขึ้น ทีนี้เราจะทำพิธีมาฆบูชาให้ถูกต้อง ให้ถูกต้องยิ่งขึ้น ให้ดีกว่าปีที่แล้วมา เพราะว่าเวลามันก็ล่วงมาปีหนึ่งแล้ว เราอยู่ในโลกล่วงมาปีหนึ่งแล้ว มันก็ควรจะมีอะไรมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็ในความรู้ความเข้าใจถูกต้อง
ทีนี้ขอให้ท่านทั้งหลายถือโอกาสทำพิธีมาฆบูชาในป่าซึ่งมีบรรยากาศคล้ายที่สุดกับที่พระพุทธเจ้าท่านกระทำจาตุรงคสันนิบาตในครั้งกระโน้น ในประเทศอินเดีย ซึ่งเราจะมาทำในวันนี้เป็นที่ระลึกแก่การกระทำอันนั้นให้สำเร็จประโยชน์ถ้วนทุกคนเถิด ถ้าทำอย่างนี้ได้แล้วไม่เท่าไหร่พระอรหังก็จะกลับมา เป็นดวงประทีป เป็นแสงสว่าง ที่จะนำโลกนี้ไปในทางที่ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าคนใดคนหนึ่งจะกลับมา แต่ว่าคุณธรรมที่จะมีอยู่ในใจของมนุษย์นั้นแหละ มันจะเกิดขึ้นใหม่ จะกลับ ในลักษณะที่กลับมา กลับมามีใหม่เหมือนกับที่มันเคยมีมาแล้ว แต่คนหลังโน้น(70.19) มีความสว่างแจ่มแจ้งในความหมด หมดทุกข์ หมดโศก หมดกิเลสตัณหา หมดอะไร ตามที่จะหมดได้ ขอให้เป็นอย่างนี้ ขอให้เป็นประโยชน์อย่างนี้ เพื่อความก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป สำหรับพุทธบริษัท ผู้นับถือพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ชี้เป็นผู้นำหนทางสำหรับเราทุกคน นี่ก็เป็นการเพียงพอแล้วในการตักเตือนหรือเตรียมตัว
ตอนนี้ก็จะได้เริ่มพิธีมาฆบูชานั้น ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
สวดมนต์ (นาทีที่ 71:20)
ยืนขึ้นตรงๆ ไม่ต้องหันหน้าไปทิศไหน ยืนขึ้นตรงๆ ไม่ต้องมีเจตนาจะหันหน้าไปทิศไหน
นิมนต์ยืนขึ้น นิมนต์ยืนขึ้น
ได้โปรดทำในใจตามคำที่ผมกล่าว ได้โปรดหลับตาเสีย ทำในใจว่า พระพุทธเจ้าที่แท้จริง อยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง หรือพระธรรมที่แท้จริงก็อยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง ไม่มีทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศข้างบน ทิศข้างล่าง สำหรับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่แท้จริง คือท่านอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง เพราะฉะนั้นเราต้องทำในใจให้เป็นอิสระ ปราศจากการกำหนด ล้อมขอบเขตว่าทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ไม่มีประเทศอินเดีย ไม่มีประเทศไทย ไม่มีประเทศไหนหมด มีแต่ประเทศสุญญตา คือความว่างเป็นอันเดียวกันหมด นั่นแหละพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ที่นั่น เพราะฉะนั้นก็หลับตาเสีย เป็น ไม่มีทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศไหนทั้งหมดสิ้น มีปรากฏอยู่แต่สุญญตาคือความว่าง ซึ่งเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้า ให้เราจึงมุ่งไปยังที่นั่น กล่าวคำบูชา