แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นักศึกษาผู้สนใจพระพุทธศาสนาทั้งหลาย ในวันแรกของการบรรยายนี้ ผมจะพูดโดยหัวข้อกว้างๆ ทั่วๆ ไป ว่าพุทธศาสนามีอะไรให้แก่พวกเรา ขอให้เข้าใจว่า เราจะพูดกันแต่แนวที่กว้างๆ ทั่วๆ ไป ให้ครบถ้วนโดยที่มุ่งหมายจะพูดให้ครบถ้วน จึงยังไม่พูดในรายละเอียด ท่านทั้งหลายบวชระหว่างปิดภาค มีความประสงค์ส่วนใหญ่หรือว่าแรงกล้าที่จะทราบธรรมะในพุทธศาสนา เท่าที่จำเป็นก่อนหรือว่าที่ตรงกับความประสงค์ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ผมมองเห็นข้อนี้แล้วก็พยายามที่จะรวบรวม ข้อธรรมะต่างๆ สอบสวนดูว่าอะไรมันจะเหมาะสมที่สุด และควรจะพูดกันในรูปโครงอย่างไร เดี๋ยวนี้ก็นึกออกแล้ว ตามที่เห็นว่าเหมาะสมที่สุด ขอให้สนใจกำหนดจดจำให้ดี
สิ่งแรกที่สุดที่เราควรจะทราบนั้น คือจะต้องทราบกันเสียก่อนว่า พุทธศาสนาในรูปแบบที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้วนำมาสั่งสอนโดยตรงนั้น ไม่ได้มุ่งหมายจะตอบคำถามหรือแก้ปัญหาอย่างที่ท่านทั้งหลายประสงค์ ท่านไม่มีเจตจำนงที่จะพูดเรื่องโลกหรือเรื่องการเป็นอยู่ในโลก ท่านทรงประสงค์จะพูดเรื่องเหนือโลก คือ เหนือทุกข์โดยประการทั้งปวง พูดในลักษณะที่เป็นการที่เรียกได้ว่าประกวดก็ได้ แต่โดยไม่ได้เจตนา ที่เราพูดว่าประกวดนี้ ถ้าฟังไม่ดีก็จะกลายเป็นคำหยาบคายหรือให้ร้าย คือลบหลู่คุณของพระพุทธเจ้า คือขอเท็จจริงมันมีอยู่ว่าในประเทศอินเดียสมัยนั้น โดยเฉพาะในส่วนที่เต็มไปด้วยนักบวช นักคิด นักค้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแคว้นมคธ คืออินเดียภาคกลางสมัยปัจจุบันนี้นั้น เต็มไปด้วยนักคิดนักค้นที่ตั้งตัวเองเป็นศาสดา และก็บอกว่าอย่างนั้น บอกว่าอย่างนี้จะเป็นทางดับทุกข์สิ้นเชิงของมนุษย์เรา ที่นี้มันมีกันหลายลัทธิ หลายศาสดา หลายๆ ผู้ที่ตั้งตัวเป็นศาสดา ดูจะเป็นยุคที่มนุษย์สนใจเรื่องทางจิตใจมากที่สุด และก็ที่นั่นด้วย นี่พระพุทธเจ้าของเราก็รวมอยู่ในพวกเหล่านั้น คล้าย ๆ กับว่าบรรยากาศมันอบอวนไปด้วยความกระหายที่จะรู้ความลับของธรรมชาติ และสอนผู้อื่น เลยตามๆ กันไปหมด จึงมีมาก แต่ละศาสดาก็บอกลัทธิของตน ของตน ไปไกลสุด ตามที่ตนเห็นว่ามันสูงสุดอย่างไร พระพุทธองค์ก็ทรงแสดงออกมาในรูปแบบหนึ่งซึ่งเป็นของท่านเอง ว่าการดับทุกข์สิ้นเชิงต้องเป็นอย่างนี้ อย่างนี้ เรื่องมีเพียงเท่านี้ ไม่พูดถึงเรื่องว่าอยู่ในบ้านในเมืองจะทำอะไร เป็นเด็กจะทำอย่างไร ไม่ได้มีเจตนาจะทำอย่างนั้น แต่ในฐานะที่ท่านเป็นผู้มีปัญญารอบคอบรอบด้าน ถ้าบังเอิญฆราวาสคนใดคนหนึ่งมาถามเรื่องฆราวาส ท่านก็ตอบตามแบบของท่าน มันจึงไม่เหมือนพวกอื่นอีกเหมือนกัน เรื่องที่พูดกับฆราวาสทั้งชายทั้งหญิง ในฐานะที่เป็นบิดามารดาภรรยาสามี ลูกเล็กเด็กแดงก็มี แล้วแต่ใครจะทูลถาม แต่ก็ต้องเข้าใจว่ามันมีเป็นส่วนน้อย เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น มันมีประปรายอยู่เป็นส่วนน้อยในพระคัมภีร์ทั้งหมด เปรียบเทียบดูแล้วจะไม่ถึงหนึ่งในร้อยของทั้งหมด เราจึงไม่ถือว่านั่นเป็นเจตนาของพระศาสดาที่จะทรงแสดงเรื่องทำนองนั้น แต่เดี๋ยวนี้เมื่อมันมีอยู่และใช้เป็นประโยชน์ได้ หรืออิงอาศัยได้ เราก็เอามาสั่งสอนกันเป็นความรู้ประเภทผู้ครองเรือน ซึ่งที่แท้ไม่ใช่พระพุทธประสงค์โดยตรง ขอให้ทราบไว้ด้วย ที่เดี๋ยวนี้พวกเรามีความเชื่อมีความตั้งใจแน่วแน่ ว่าเรื่องอะไรก็ตามเราจะเอาแต่ที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น เพราะเราเชื่อหรือเชื่อมั่นในพระพุทธเจ้าเสียแล้ว เป็นว่าทุกเรื่องเราจะเอาแต่ตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน จึงจำเป็นที่จะต้องประมวลเอามาให้หมด สำหรับจะได้ตอบปัญหาในทุกแง่ทุกมุม นับตั้งแต่ปัญหาตั้งของลูกเด็กๆ ขึ้นไปจนถึงคนหนุ่มคนสาว พ่อบ้านแม่เรือน คนเฒ่าคนแก่ ในสองสายหรือสองแนว คืออย่างคนครองเรือนแนวหนึ่ง อย่างคนที่ไม่ครองเรือนอีกแนวหนึ่ง นั่นแหละขอให้คุณพยายามหลับตามองดูปริทัศน์หรือทิวทัศน์ทั้งหมด ของพระพุทธศาสนาว่ามันจะมีอยู่อย่างไร
คำสอนส่วนใหญ่ทั้ง ๙๐ ใน ๑๐๐ ก็เป็นเรื่องของผู้ไม่ครองเรือน หรือว่าจะออกไปนอกโลกไปนิพพาน คำสอน ๑ ใน ๑๐๐ มันของผู้ครองเรือนในรูปแบบต่างๆ กัน นี่เป็นหลักใหญ่ แต่ทีนี้เผอิญมันไปในทำนองที่ว่า คำสอนบางอย่างนั้น แม้มุ่งหมายจะมีไว้สำหรับผู้ไม่ครองเรือน คือจะบรรลุมรรคผลนิพพานกัน แต่มันก็ยังเอามาใช้ได้สำหรับผู้ครองเรือนในระดับที่ต่ำลงมา และเป็นหลักคำสอนที่สำคัญเสียด้วย เช่น คำสอนเรื่อง อริยมรรคมีองค์ ๘ หรือเราที่ย่นเรียกกันว่าไตรสิกขา ก็เป็นหลักที่วางไว้สำหรับออกจากโลก บรรลุนิพาน แต่เอามาใช้สำหรับชาวบ้านหรือผู้ครองเรือนได้ดี เพราะว่ามันเป็นหนทางที่ตรงไปยังนิพพาน ชาวบ้านทั่วไปมันก็อยู่ต้นทาง ก็เลยรับเอาแต่ส่วนหนึ่งที่เป็นระดับต่ำๆ สำหรับชาวบ้านที่จะเดินในถูกอยู่ในทาง แม้ว่ามันเป็นต้นทาง คำสอนอย่างนี้มีมาก ไม่ใช่ ๑ ใน ๑๐๐ อย่างที่ตรัสไว้สำหรับฆราวาสโดยตรง
และยังมีคำสอนอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งได้ตรัสไว้เป็นกลางๆ ไม่เฉพาะผู้ครองเรือนหรือผู้ไม่ครองเรือน เป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ หรือเป็นหลักธรรมะที่ใครก็ใช้ปฏิบัติได้ คือปฏิบัติร่วมกันได้ทั้งผู้ที่ครองเรือนและผู้ที่ไม่ครองเรือน คุณจะมองเห็นได้โดยปริทัศน์ ว่ามันมีอยู่เป็น ๔ แบบด้วยกัน
แบบที่ ๑ ที่มีมาก ก็เรื่องทำที่สุดแห่งทุกข์ บรรลุมรรคผลนิพาน แบบที่รองลงมาก็แบบสำหรับชาวบ้าน และอีกแบบหนึ่งใช้ได้ทั้ง ๒ ฝ่ายเป็นกลางๆ อีกแบบหนึ่งตรัสไว้สำหรับผู้บรรลุนิพาน แต่เอามาใช้อย่างชาวบ้านก็ได้ อย่างที่เราต้องใช้คำว่าประยุกต์ให้เป็น ผมอยากจะกล่าวว่าถ้าเราประยุกต์เป็น อาจจะเอาธรรมะทั้งหมดมาใช้ปฏิบัติที่บ้านที่เรือนได้หมดเหมือนกัน แม้แต่หมวดที่เรียกว่าโพชฌงค์ ๗ ประการ เป็นธรรมะชั้นสูงเพื่อโพธิเพื่อตรัสรู้ แต่ข้อความทั้ง ๗ ประการนั้นมาประยุกต์ใช้ได้แม้ในการทำงานที่บ้านที่เรือนอย่างนี้เป็นต้น
เมื่อข้อเท็จจริงมันมีอยู่อย่างนี้ และคุณก็ทราบเอาเองสิว่าเราจะเลือกคัดเอาอะไร ทำอุปมาเปรียบเหมือนกับว่าเข้าไปในสวนดอกไม้ก็ได้ผลไม้ก็ได้ สวนดอกไม้ที่มันมีอยู่ครบทุกชนิด แม้แต่ที่มันเป็นโทษหรือเหม็น มันมีอยู่ครบทุกชนิดก็เลือกเอาก็แล้วกัน ตรงนี้อยากจะพูดว่าแม้ชนิดที่เหม็นและเป็นยาพิษ มันก็ไม่ใช่ไม่มีประโยชน์ มันมีประโยชน์ไปตามแบบนั้น เมื่อเขาต้องการอย่างนั้นมันก็ได้อย่างนั้น นี่ธรรมะที่เป็นประเภททำอันตรายแก่บุคคลผู้ปฏิบัติมันก็มีอยู่เหมือนกัน รู้ไว้สำหรับหลีกเลี่ยง เพื่อให้รู้ครบบริบูรณ์ว่าส่วนไหนควรหลีกเสีย ส่วนไหนควรทำให้มากขึ้น เว้นไว้แต่ว่าเราอยากจะเป็นคนเลว หรือได้รับอันตรายก็ประพฤติธรรมะเช่นนั้น นี่เข้าไปในสวนดอกไม้และเก็บเอาตามที่ต้องการ เข้าไปในสวนผลไม้และเก็บเอาตามที่ต้องการ ที่เป็นยาพิษหรือไม่น่ากินก็เว้นเอาเอง นี่เรียกว่าเป็นการดูทีเดียวหมดถึง พระพุทธวจนะ ตามที่มีอยู่อย่างไร ที่เราเรียกกันว่า พระพุทธศาสนา หรือบางทีก็เรียกว่า ธรรมวินัย ตอนหลังก็เรียกว่าพระไตรปิฎก อย่างนี้เป็นต้น มันมีลักษณะอย่างนี้
ทีนี้ก็มาดูทางฝ่ายพวกเรา ซึ่งจะรับเอาสิ่งเหล่านั้นหรือจะไปเก็บเกี่ยวสิ่งเหล่านั้นเอามาใช้ประโยชน์ให้แก่ตน เราก็ต้องรู้ว่าเรานี่มันเป็นอย่างไรกันบ้าง เรากำลังเป็นอะไร ใครบ้างกล้ายืนยันว่าตนเองรู้จักตนเองดีหมดทุกแง่ทุกมุมว่ากำลังเป็นอะไรในทุกแง่ทุกมุม ผมคิดว่า ถ้าเราพูดอย่างนั้นดูจะเป็นการอวดดี ไม่ทันรู้ตัวก็ได้ เพราะมันคงจะมีบางแง่บางมุมที่เรายังไม่รู้จัก เพราะว่ามันเล็กน้อยบ้าง มันไม่จำเป็นอะไรบ้าง เอาแต่ว่าที่จำเป็นก็เถอะ เราก็ยังรู้ไม่หมด เรารู้อย่างไม่สำเร็จประโยชน์ก็มี ที่เห็นกันอยู่ง่ายๆ คล้ายๆ ว่ายังรู้ไม่หมด เช่นว่าเราเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เราก็ยังไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร ยังทำให้บิดามารดาทุกข์ทนหม่นหมอง หรือถึงกับเป็นคนเนรคุณบิดามารดาโดยไม่รู้สึกตัว ให้สังเกตในข้อที่ว่าไม่รู้สึกตัว อย่างนี้จะเรียกว่าเรารู้จักความเป็นบุตรของบิดามารดาไม่ถูกต้อง ไม่ครบถ้วน นี่เป็นตัวอย่างเท่านั้น จึงขอให้กำหนดมาตรฐานสำหรับการรู้ให้มันครบถ้วนและสมบูรณ์
ทีนี้จะมองกันต่อไปอีกว่าเรากำลังเป็นอะไร ที่กว้างๆ ในอันดับแรกที่สุด ก็คงจะบอกว่า กำลังเป็นผู้ครองเรือนหรือไม่ครองเรือน คือเป็นบรรพชิต นี่มันมีอยู่ ๒ อย่าง ดั่งข้อแรก ผู้ที่เป็นผู้ครองเรือนนั่นแหละก็ยังมีหลายรูปแบบ เป็นอะไรบ้าง ถึงผู้ที่บรรพชิตก็เหมือนกันมันมีหลายรูปแบบ เป็นบรรพชิตที่ใช้ได้ก็มีใช้ไม่ได้ก็มี ครึ่งๆ กลางๆ ก็มี ถ้าคุณสังเกตคุณก็จะรู้ว่า โดยเฉพาะสมัยนี้อย่าพูดถึงสมัยพุทธการ ก็เป็นบรรพชิตกันหลายแบบ บรรพชิตที่ศึกษาเหล่าเรียนปริยัติพระพุทธวจนะ อย่างยิ่งนี้ก็มี เป็นบรรพชิตที่ปฏิบัติธรรม ที่เรียกกันว่า บำเพ็ญสมณะธรรมกรรมฐาน อันนี้มันก็มี อย่างที่มีครึ่งๆ กลางๆ ทำทั้ง ๒ อย่างก็มี และก็ยังมีรับทำหน้าที่ปกครองบริหารหมู่คณะ จนไม่ได้ทำสิ่งอื่นเลยก็มี เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะเกี่ยวกับการปกครอง บางทีก็เป็นครูบาอาจารย์จนตลอดชีวิต บางทีก็สนใจในสาธารณประโยชน์ช่วยเหลือประชาชนอย่างยิ่ง ดังนี้ก็มี มองดูก็เห็นได้ว่าในหมู่บรรพชิตที่ตั้งใจดี ก็ยังมีหลายรูปแบบ ส่วนที่ไม่ตั้งใจดีอย่าพูดถึงดีกว่า เอาแต่ส่วนที่ตั้งใจดี ก็มีหลายรูปแบบอย่างนี้ บางท่านก็ต้องการธรรมะในพระพุทธศาสนานี้ในลักษณะที่ต่างกัน แต่ทีนี้เรื่องของบรรพชิตเหล่านั้น ยกไว้ก่อน เพราะผมทราบว่าไม่เท่าไหร่คุณก็สึกไปเป็นฆราวาสกันทั้งหมด เราจึงไม่พูดในส่วนของบรรพชิตในการบรรยายชุดนี้
ทีนี้ก็มาดูส่วนที่เป็นฆราวาสกันให้ละเอียดลออและทั่วถึง ไม่ต้องทำอย่างที่เรียกว่ามันเป็นตรงตามข้อเท็จจริงหรือปฏิบัติได้ ผมเคยขอร้องให้ทุกคนเข้าใจและจำไว้ ในฐานะเป็นพื้นฐานสำหรับการศึกษา เพื่อรวบรวมเอามาซึ่งความรู้ สำหรับปฏิบัติให้เหมาะแก่ชั้นเชิงของตน ของตน คือขอร้องให้มองกันอย่างง่ายๆ ว่าเรา จะเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา จะเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ จะเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน จะเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ จะเป็นสาวกที่ดีของพระศาสดาแห่งพระศาสนาของตน ของตน
นี่คุณลองสังเกตดูว่าเราเอาอะไรเป็นหลัก มันไม่เพียงแต่เอาวัยหรืออายุเป็นหลัก มันเอากิจกรรมที่ต้องกระทำเป็นหลัก คุณยังเข้าใจว่าเมื่อพูดถึงคำว่าบุตรว่าลูกเด็กๆ เสมอไป เดี๋ยวนี้ผมอายุ ๗๑ ปีแล้ว ผมก็ยังเป็นบุตรคือเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดาที่ล่วงลับไปแล้ว ท่านทั้งหลายทุกๆ คนก็ต้องมีความเป็นบุตรของบิดามารดา ถึงแม้จะพูดว่าเป็นศิษย์ก็อย่างเดียวกันอีกไม่ใช่ลูกเด็กๆ ก็ยังคงเป็นศิษย์ของครูบาอาจารย์ไปจนเข้าโลง โดยเฉพาะในทางศาสนาและยังจะต้องเป็นศิษย์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้กระทั่งเป็นพระอรหันต์ สมมติว่าเป็นได้ จะพ้นจากความเป็นศิษย์โดยข้อเท็จจริงแล้ว ก็ยังมีความเป็นศิษย์โดยสมมติอยู่ตลอดไป ฉะนั้นเราจะต้องพูดว่า พระมหากัสปะ พระสารีบุตรเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า ทั้งที่ท่านเป็นพระอรหันต์แล้วอย่างนี้เป็นต้น แม้ต้องเป็นเพื่อนแก่กันและกัน นี่ไม่ต้องพูดก็ได้พอจะเข้าใจได้ มันมีตลอดชีวิตความเป็นเพื่อน เป็นพลเมืองดีของประเทศชาตินี้ก็ปฏิเสธไม่ได้ มันเป็นเรื่องสมมติก็จริง แต่มันอุปโลกน์ให้อย่างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เราต้องยอมรับในการปฏิบัติหน้าที่ที่ถูกต้อง ในการที่จะเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ ถ้าใจกว้างกว่านั้นอีกก็ของโลกไปเลย
สุดท้ายที่ว่าจะเป็นสาวกที่ดีแห่งพระศาสดาในศาสนาของตนของตนนี้ก็พอจะเข้าใจได้ เพราะว่าแต่ละคนก็ยอมรับนับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ยอมเชื่อฟังคำสั่งสอนของพระศาสดา รับเอาระบบคำสอนของท่านมาเป็นหลักเรื่องดำเนินในชีวิตนี้ การจำแนกบุคคลออกเป็น ๕ ประเภทเช่นนี้เป็นตัวอย่างที่จะพอแสดงให้เห็นว่า เราต้องเลือกศึกษา สิ่งที่ควรศึกษามาประพฤติและปฏิบัติ ให้ถูกให้ตรงตามขั้นตอนหรือลักษณะอันนั้น ก็คือให้เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ เป็นสาวกที่ดีแห่งพระศาสดาของตนของตน คุณจะต้องคอยกำหนดสังเกตและจดจำเอาไป หรือว่าจะทำอย่างไรก็ตาม ที่มันมีความรู้แจ่มแจ้งปรากฏชัดเจนอยู่ในจิตใจ ปฏิบัติให้เป็นคนดีครบทั้ง ๕ ประการนี้ ฆราวาสโดยหลักทั่วไป เราก็มีกันสัก ๕ รูปแบบเหล่านี้ก็พอ ไม่จำเป็นต้องถืออันนี้เป็นของทั้งหมด ยังมีอย่างอื่นอีกก็ได้ แต่เดียวนี้เรากำหนดเอาเพียงเท่านี้ เพื่อไม่ให้มันเยินเย่อ ไม่ให้มันเสียเวลาฟุ้งซ่าน
ทีนี้ก็ดูกันต่อไปอีกทางหนึ่ง เราจะพบว่าเรามีอาชีพต่างกัน ถ้าจะใช้คำว่า ธุรกิจ เราก็มีธุรกิจต่างกัน มีอาชีพต่างกัน นับตั้งแต่เป็นชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน เป็นพ่อค้า เป็นข้าราชการ เป็นนักการเมือง นักปกครอง เป็นทหาร แล้วแต่ว่าเป็นผู้ที่มีอาชีพอย่างไร เมื่อมันต่างกันอย่างนี้มันก็มีธรรมะที่ต่างๆ กันอีกเหมือนกัน เพื่อจะช่วยสนับสนุนในการปฏิบัติหน้าที่การงานนั้นๆ เพราะฉะนั้นต้องรู้จักตัวเองในรูปแบบอันนี้อีก คอยกำหนดจดจำรวบรวมข้อธรรมะที่จะสนับสนุนหน้าที่การงานของตนตามที่เป็นอยู่จริง
ยังเป็นนักเรียน ก็มีธรรมะอย่างนักเรียน เป็นครูมีธรรมะอย่างครู เมื่อเรียนจบวิชาชีพเทคนิคชั้นสูง ชั้นต่ำอะไรก็ตาม มันก็ต้องมีธรรมะเหมะเจาะเฉพาะเรื่องไปตามแบบนั้นๆ ขอให้ฉลาดสังเกตประมวลออกไปให้ได้ ที่แล้วมามันไม่สำเร็จประโยชน์ ก็เพราะว่าคนมันโง่เกินไป ผมมันพูดหยาบอย่างนี้แหละ คือพูดให้เพราะไม่ค่อยจะได้และมันเสียเวลา ถ้าพูดให้เพราะก็ว่ามันประมาท แต่พูดตรงๆ ก็เพราะว่ามันโง่ แม้เป็นพระเป็นเณรบวชแล้ว มันก็ไม่รู้จักที่จะเลือกเก็บข้อธรรมะเอาไป ใช้ให้ถูกตรงหน้าที่การงานนั้นๆ แม้ว่าจะสึกออกไป แม้อยู่ในวัดมันก็ไม่รู้จักเลือก มันก็ไม่เลือกด้วยซ้ำไปเพราะไม่เห็นว่าสำคัญ
นั้นสิ่งที่เรียกว่า ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ มันก็ไม่ค่อยมีการใช้ คำว่า ธรรมะวิจัย เป็นพระพุทธภาษิตใช้เรียกธรรมะข้อหนึ่ง ไม่ใช่คำใหม่ๆ อย่างเดี๋ยวนี้ แต่ความหมายก็เหมือนกัน วิจัยก็คือเลือกเฟ้นอย่างละเอียดที่สุด ค้นคว้าเลือกเฟ้นแยกแยะออกดูอย่างละเอียดที่สุด ต้องมีสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะวิจัย แล้วก็จะพบว่าธรรมะข้อนี้เหมาะสำหรับกิจการอย่างนี้ หรือว่าธรรมะเพียงข้อเดียวเหมาะสำหรับกิจการหลายอย่าง กระทั่งรู้ว่าธรรมะข้อนี้มันตรงกันข้ามกับกิจการอย่างนี้อย่างนั้น เป็นต้น
ถ้าคุณพยายามทำตนเป็นผู้วิจัยธรรมะอย่างนี้เรื่อยๆ ไป ก็จะค้นพบและรวบรวมไว้ได้อย่างเพียงพอ ซึ่งธรรมะสำหรับจะใช้สำหรับปฏิบัติให้หน้าที่การงานของตนลุล่วงไปด้วยดี อย่ามัวเล่นหัวกันเสีย อย่ามัวหัวเราะสรวนเสเฮฮากันเสีย มันทำให้จิตใจหยาบและมันก็สังเกตหยาบ ดูหยาบ อะไรหยาบไปหมดมันก็ดูไม่เห็น ยิ่งต้องพูดน้อย ต้องสำรวมมาก ก็จะมีความฉลาดรอบคอบละเอียดลออ มองเห็นธรรมะที่มันอยู่ลึก และก็เก็บเอามาได้สำหรับใช้ประโยชน์อย่างครบถ้วน ถ้าคุณทำอย่างนี้สองสามปี เท่านั้นแหละหรือห้าปีเป็นอย่างมาก ผมเชื่อว่าคุณจะมีธรรมะนั้นเพียงพอ เป็นพวกๆ ไปเป็นระเบียบที่ดีเป็นหลักเกณฑ์ที่ดี สำหรับใช้ปฏิบัติไปจนตลอดชีวิตได้ อย่างประสบความสำเร็จหรือความเจริญในทุกแง่ทุกมุมแห่งกิจการของตน
นี่เราเรียกว่าเราเป็นฆราวาส มีหน้าที่การงานต่างกัน หลายสิบรูปแบบ ขอให้เลือกธรรมะให้ถูกต้องเฉพาะแบบ หรือที่เป็นกลางๆ ใช้ได้หลายแบบก็ให้มันรู้ไป นี่เราก็เป็นนักธุรกิจตามควรแก่อัตภาพไปจนตลอดชีวิต หรือจนกว่าจะเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ เช่น ไปบวชเป็นบรรพชิตเสียก็ค่อยว่ากันไปอีกรูปหนึ่ง
ทีนี้ผมจะพูดถึงขั้นตอนของชีวิต ที่มันรวมกันหรือมันคาบเกี่ยวกัน ระหว่างบรรพชิตกับฆราวาส จะระบุไปยังฆราวาสเลย ว่าฆราวาสบางคนประสบความสำเร็จหน้าที่การงานของฆราวาส สมบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติ สมบูรณ์ด้วยเกียรติยศชื่อเสียง สมบูรณ์ด้วยไมตรีมิตรภาพชั้นดีเลิศรอบด้าน นี่ขอเตือนไว้หน่อยว่า ๓ อย่างนี้จำไว้ด้วยสำหรับพวกคุณจะสึกเร็วๆ นี้ ฆราวาสนั้นต้องสมบูรณ์ด้วยสิ่งทั้ง ๓ นี้จึงจะเรียกว่าเป็นฆราวาสที่สมบูรณ์ หรือเป็นประกาศนียบัตร เครื่องวัดว่าเป็นฆราวาสอย่างถูกต้อง คือมีทรัพย์สมบัติตามที่ควรจะมี ก็เรียกว่ามีมากหน่อย และมีเกียรติยศชื่อเสียงทำความดี ถ้าทำเลวมันไม่มีชื่อเสียงที่ถูกต้อง มันก็ต้องมีมิตรภาพ คือคนรักใคร่เคารพนับถือยินดีเป็นเพื่อน เป็นเพื่อนตายกันเลย มีทรัพย์ มียศ มีไมตรี ประสบความสำเร็จถึงอย่างนี้แล้ว เขาก็รู้สึกไม่พอ ยังมีความคิดน้อมไปเพื่อจะไปเป็นอะไรก็ตามที่มันสูงกว่านั้น พูดตรงๆ ก็คือจะเป็นผู้สละโลกออกไปนอกโลก แต่ยังไม่ได้ออกไปยังเป็นฆราวาสอยู่ คือเป็นฆราวาสที่เตรียมศึกษาธรรมะสำหรับออกไปนอกโลก อย่างนี้ก็มีอยู่ เป็นฆราวาส ชั้นดีเลิศไม่หลงงมงายจมปรักอยู่ในโลกนี้ เพราะถึงที่สุดแห่งโลกแล้วก็ชะเง้อออกไปหานอกโลก และเตรียมศึกษาธรรมะสำหรับออกไปนอกโลก แต่เราก็ยังเรียกเขาว่าฆราวาส เพราะเขายังอยู่ที่บ้านยังมีบุตรภรรยาสามีด้วยซ้ำไป ฆราวาสชนิดนี้มันมีอะไรพิเศษอย่างนี้คุณต้องมองให้ดี
ภาษาบาลีก็มีคำอยู่คำหนึ่ง เรียกว่า โคตรภู เพราะว่าคนที่มันจะเปลี่ยนจากภาวะอย่างหนึ่งไปสู่ภาวะอีกอย่างหนึ่ง เป็นฆราวาสก็ไม่เชิงเป็นบรรพชิตก็ไม่เชิง เป็นฆราวาสมันเบื่อ เบื่อความเป็นฆราวาส แต่มันอยากจะออกไปจากความเป็นฆราวาส แต่มันก็ยังไม่ทันจะเป็นบรรพชิตโดยสมบูรณ์ มันมีความเป็นบรรพชิตโดยจิตใจอยู่บ้างซ่อนอยู่ในนั้น อย่างนี้จะเรียกฆราวาสก็ไม่ใช่ บรรพชิตก็ไม่เชิง ก็เรียกว่า โคตรภู แปลก็แปลยาก คนที่อยู่ในระหว่างกลางขีดกลาง ขาข้างหนึ่งอยู่ฝ่ายโน้นขาข้างหนึ่งอยู่ฝ่ายนี้ ทำภาพพจน์สำหรับเข้าใจง่าย แต่เดี๋ยวนี้ผมก็เรียกว่าฆราวาสนั่นแหละ เพราะเขาอยู่ที่บ้านที่เรือน คนชนิดนี้ก็ต้องการธรรมะอีกรูปแบบหนึ่งต่างหาก ไม่เหมือนกับที่กล่าวมาแล้วเลย ที่เป็นฆราวาสเต็มตัว ขวนขวายเพื่อความเป็นฆราวาสถึงที่สุดนั้นก็แบบหนึ่ง เดี๋ยวนี้มันเป็นฆราวาสถึงที่สุดแล้ว กำลังจะเปลี่ยนไปเป็นไม่ใช่ ฆราวาส หรือจะพยายามละความเป็นปุถุชนไปสู่ความเป็นพระอริยะเจ้าก็มี ธรรมะสำหรับคนพวกนี้โดยเฉพาะก็มีรูปแบบหนึ่ง คุณจะสนใจหรือไม่ก็สุดแท้ ที่จริงถ้าจะสนใจไว้บ้างก็มีประโยชน์เหมือนกัน อย่าไปคิดว่ามันเป็นความเห่อทะเยอทะยานอะไรมากไป รู้ไว้ก็ได้ไม่เสียหายอะไร ถือว่ามีธรรมะอีกประเภทหนึ่งเพื่อคนชนิดนี้
ทีนี้ถ้าจะพูดว่า พระพุทธศาสนาให้อะไรอีกบ้าง ก็พูดต่อไปถึงประเภทสุดท้ายที่ว่าจะบรรลุมรรคผลนิพานเป็นธรรมะโดยตรงอย่างนั้น ฆราวาสบางคนเขาก็สนใจ แม้ยังไม่ใช่เรื่องของเขาโดยเฉพาะ แต่ผมเอามาพูดให้หมด เพื่อจะตอบคำถามที่ตั้งขึ้นเป็นหัวข้อของการบรรยายนี้ว่า เราจะได้รับอะไรจากพระพุทธศาสนา นั้นมีอยู่เป็นชั้นๆ อย่างนี้ เท่าที่จำเป็นจะต้องรู้ก่อนมีอยู่อย่างนี้ และถ้าแจกกันโดยรายละเอียดมันมีมากกว่านี้มาก อย่าพูดเลยมันจะฟั่นเฝือไปเสีย จะพูดการตามแนวนี้เรื่อยๆ ไปกว่าจะครบถ้วน วันนี้เป็นแรกก็เลยพูดแต่หัวข้อคร่าวๆ รวม ๆ ว่าเราจะได้รับอะไรจากพระพุทธศาสนา แยกเป็น ๒ ฝ่าย คือฝ่ายฆราวาส และฝ่ายบรรพชิต ฝ่ายบรรพชิตก็เพื่อมรรคผลนิพานโดยตรงไม่มีอย่างอื่น ส่วนที่บรรพชิตมีหน้าที่อย่างอื่นนอกจากนี้ๆ เป็นของใหม่ ไม่เคยมีในครั้งพุทธกาล แต่ก็ยังต้องสงเคราะห์ไว้ในฝ่ายบรรพชิตอยู่ดีเพราะเขาเป็นนักบวช ทีนี้ฝ่ายหนึ่งก็เป็นฆราวาสล้วนๆ ครองเรือนล้วนๆ เป็นคฤหัสถ์โดยสมบูรณ์นี้ก็พวกหนึ่ง นับตั้งแต่เป็นบุตรที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นพลเมืองที่ดี เป็นสาวกที่ดี เป็นนักธุรกิจ หรือนักประกอบอาชีพที่ดี จนกระทั่งประสบความสำเร็จในความเป็นฆราวาส และก็มีพวกหนึ่งอยู่ระหว่างหัวเลี้ยวหัวต่อ สรุปให้สั้นอีกทีว่าเป็นฆราวาสสมบูรณ์พวกหนึ่ง อีกพวกหนึ่งอยู่ตรงหัวเลี้ยวหัวต่อ อีกพวกหนึ่งก็อยู่ที่ความเป็นบรรพชิตโดยสมบูรณ์ ๓ พวกอยู่อย่างนี้ แต่ละพวกมีโอกาสสามารถหรือเหมาะสมที่จะได้รับธรรมะในพระพุทธศาสนาไป เพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ มีการเลื่อนชั้นไปตามลำดับโดยเร็วที่สุด
นั้นขอร้องให้ทุกๆ คน เตรียมรวบรวมเก็บธรรมะไว้เป็นพวกๆ ให้เหมาะแก่ภาวะหนึ่ง ซึ่งตนกำลังมีอยู่เป็นอยู่ ซึ่งมีอยู่หลายภาวะด้วยกัน เดี๋ยวนี้คุณเป็นคนหนุ่ม มาบวชเป็นบรรพชิตชั่วขณะ ก็เพื่อจะศึกษาธรรมะ สำหรับออกไปเป็นฆราวาสมากกว่า เมื่อออกไปเป็นฆราวาสแล้วมันจะมีอะไรบ้าง ขอให้นึกไว้ล่วงหน้า และรวบรวมหลักธรรมะนั้นไว้ให้เพียงพอสำหรับภาวะหนึ่งๆ จะประสบความสำเร็จเร็วทันแก่เวลา คือไม่ตายเสียก่อนเราจะได้รับที่สุด ที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ขออย่าได้เห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยทำไปตามสบาย อยากหัวเราะเล่นหัวกันเสีย ก็หัวเราะเล่นหัวกันเสีย มันเลือนหมดมันจะทำไม่ได้ เพราะมันมีหลายขั้นตอน หลายรูปแบบ หลายระดับ บางคนพอเข้ามารู้เรื่องหลักธรรมะในพระพุทธศาสนาก็เห็นว่ามากไปและท้อถอยอย่างนี้ก็มี ยอมแพ้ตั้งแต่ทีแรก เข้าไปในสวนดอกไม้มันมีมากอย่างมากชนิดนัก มันเลยโง่จนเก็บไม่ถูกไม่รู้ว่าจะเก็บอะไรออกไปเพื่อประโยชน์อะไรอย่างไร มันลานตา ตาลายจนโง่จนเก็บไม่ถูกว่าจะเก็บดอกไม้ชนิดไหน หรือว่าจะเก็บดอกไม้ชนิดไหนไปเพื่อประโยชน์อะไร
นี่เมื่อเข้ามาสู่การศึกษาในพระศาสนานี้ซึ่งมันมีเรื่องมาก ก็งงตาลาย โง่จนเก็บไม่ถูกเหมือนกัน ถ้าจะใช้จำนวนเลขที่เขาใช้อยู่ว่า ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ๘๔,๐๐๐ ข้อหรือประเด็นสำหรับที่พระพุทธเจ้าทรงสอน หรือเอากันง่ายๆ ว่าพอเข้ามาเห็นหนังสือเยอะแยะ หลายสิบเล่ม หลายร้อยเล่มมันก็งงไปหมด จนยอมแพ้ ขี้เกียจจะเลือกเก็บจากหนังสือเหล่านั้นทั้งหมดมันก็ล้มเหลวเหมือนกัน
อยากจะแนะว่าขอให้รู้จักเลือกไอ้หนังสือที่มีเนื้อหาสาระมาก แล้วก็เอาไปเก็บก็ได้ โดยสะดวกหรือสนุกก็คงจะสำเร็จ แต่ถ้าคุณจะคิดว่าจะเอาจากหนังสือทุกเล่มแล้ว ไม่มีหวังเพราะมันมากเกินไป มันมากเหลือเกิน นี่ขอให้เตรียมตัวสำหรับเลือกเก็บสิ่งที่จำเป็นที่สุด ที่มีอยู่ในพระพุทธศาสนาเอาไปใช้ปฏิบัติ ให้สำเร็จประโยชน์จริงๆ นี่คือข้อปรารภในวันแรกนี้ ฝนก็กำลังตั้งเค้ามาแล้ว เราควรจะเตรียมตัวยุติกันเสียที
ขอสรุปว่าวันนี้ไม่พูดอะไรมาก พูดแต่ว่าให้รู้จักตัวเอง อย่าประมาทว่ารู้จักแล้ว คำว่ารู้จักตัวเองอย่าได้ประมาทว่ารู้จักแล้ว มันรู้จักนิด นิดเดียว รู้จักอย่างลูกเด็กๆ รู้จักนั่นรู้จักนี่สักนิดหน่อยก็คุย โขมงโฉงเฉงอวดดีว่ารู้จักแล้ว ตัวเองนั่นแหละมันยากที่จะรู้จัก ชีวิตมันเป็นของที่ลึกซึ้งไปศึกษากันเสียให้ดี ตัวเองคืออะไรเป็นอย่างไรมีรูปแบบกี่รูปแบบ ที่จำเป็นที่จะต้องประพฤติ หรือกระทำให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี แล้ววันหลังเราค่อยมาพูดกันใหม่ เป็นเรื่องๆ ไป
วันนี้ขอยุติการบรรยายไว้ เพราะว่าฝนมันบังคับแล้ว ขอยุติไว้เพียงแต่เท่านี้ เตรียมตัวสำหรับกลับอย่าให้เปียกปอนดีกว่า