แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๑๙ ท่านนักศึกษาและครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ขอแสดงความยินดีที่ท่านมาถึงที่นี่ในลักษณะอย่างนี้ แปลว่าท่านรับรู้ความมีประโยชน์ของสถานที่นี้ท่านจึงมา ลองคิดดูว่าจะรู้สึกอย่างไร รู้สึกขอบใจ รู้สึกยินดี สวนโมกข์มีขึ้นมาด้วยความประสงค์ว่าจะเป็นสถานที่สะดวกในการที่จะศึกษาวิธีการแก้ปัญหาในทางจิตทางวิญญาณหรือที่เรียกกันว่าทางใจ คนเขามองกันแต่ทางวัตถุหรือทางกายมากขึ้นทุกที และบางพวกมองไปถึงกับว่าเรื่องทางใจไม่มี มีแต่เรื่องทางวัตถุ อ้างกันเป็นคุ้งเป็นแควเป็น Directric Materialialism (02.04) อย่างพวกคอมมิวนิสต์ ถือเป็นปรัชญา (2.08) ก็เลยไม่ต้องเรียนรู้ปัญหาทางใจถือเสียว่าไม่มี นี่เรายังไม่เห็นด้วย เราเห็นว่ายังมี และมีความสำคัญด้วย เราก็เลยขวนขวายเพื่อจะให้มีกิจกรรม เพื่อการศึกษาเรื่องทางจิตใจ ถึงกับอำนวยความสะดวกในเรื่องนี้ตลอดถึงการที่จะปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วเรียกว่าสวนโมกขพลาราม นี่เป็นการแนะนำให้รู้จักสวนโมกข์ก่อน แปลว่าป่าไม้หรือหมู่ไม้ที่เป็นกำลังแห่งโมกขะ โมกขะนี้ไม่อยากจะแปล อยากจะให้ใช้คำว่าโมกขะไปเรื่อย ๆ ความหมายก็คือเกลี้ยง เกลี้ยงคือเกลี้ยงจากของสกปรก ของสกปรกก็คือกิเลส ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ให้เกิดความทุกข์ แต่เกลี้ยงจากกิเลสก็คือจะเกลี้ยงจากความทุกข์ด้วย สรุปความก็คือเกลี้ยงจากปัญหาทั้งหลาย ขอให้จำคำว่าปัญหาไว้ให้ดี ๆ คนเราถ้าไม่มีปัญหา มันก็วิเศษที่สุด สิ่งที่เรียกว่าปัญหาทำให้คนอยู่ไม่ได้ ต้องดิ้นรนขวนขวายอย่างใดอย่างหนึ่งเหมือนอย่างที่ทนอยู่ไม่ได้ เพราะอุตส่าห์เรียนหนังสือหนังหา เรียนวิชาความรู้ก็เพราะมันเป็นปัญหา เกี่ยวกับว่าจะหากินอย่างไร จะมีชีวิตอยู่อย่างไร หรือจะทำตนให้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์อย่างไร ปัญหาเล็ก ๆ ก็เหมือนกัน มันทนอยู่ไม่ได้ เราจะต้องทำตั้งแต่ว่าต้องกินอาหาร ต้องถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ต้องทำของเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนี้ทุกอย่าง ถ้าไม่ทำก็ตาย ถ้าเกลี้ยงจากปัญหา ก็ดีทั้งนั้น ก็หมดเรื่อง ไม่มี ไม่มีเรื่องที่จะต้องทำ เดี๋ยวนี้ปัญหามันยังไม่หมด ไม่ว่าปัญหาทางฝ่ายวัตถุ ทางฝ่ายร่างกายนี้ก็ยังเหลืออยู่มาก ในโลกนี้ที่มนุษย์กำลังมีปัญหา มีปัญหาทางจิตใจ ยิ่งมากไปกว่านั้น ยิ่งลึกไปว่านั้น ฉะนั้นช่วยกันเร็ว ๆ ช่วยกันทุกทาง เข้ามาหาความไม่มีปัญหา ในทางหนึ่ง ในหลาย ๆ ทางมีอยู่ทางหนึ่งซึ่งเป็นทางลัด โดยอาศัยสิ่งที่เรียกว่าศาสนา ทุกศาสนาก็มุ่งจะแก้ปัญหาส่วนลึกซึ้งของมนุษย์ ไม่เฉพาะพุทธศาสนา และยิ่งไปกว่านั้นอีกก็คือว่าแทบทุกศาสนามุ่งหมายอย่างเดียวกัน หรือจะพูดว่าทุกศาสนาเลยก็ได้ มันก็คนละระดับ แต่มุ่งหมายอย่างเดียวกัน เดี๋ยวนี้มานั่งอยู่กลางดิน เรียกว่าสะดวกที่จะศึกษาปัญหาทางจิตใจ เพราะว่าเป็นปัญหาที่เกิดอยู่ตามธรรมชาติ พระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน ตรัสรู้ก็นั่งอยู่ตรัสรู้กลางดิน สอนสาวกตลอดเวลาก็กลางดิน เพราะว่ากุฏิวิหารมันพื้นดิน ในที่สุดท่านก็นิพพานที่เรียกกันว่าตายนี่กลางดิน กลางพื้นดิน เดี๋ยวนี้เรามานั่งอยู่กลางพื้นดิน ขอให้ภาคภูมิใจว่าได้นั่งบนที่นั่งที่นอนของพระพุทธเจ้า ที่กลางดิน ประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน อยู่กลางดิน ตายกลางดิน ท่านเป็นพระพุทธเจ้า พวกเราไม่ชอบดิน บางคนจะรู้สึกอึดอัดที่ต้องนั่งกลางดินอย่างนี้ เพราะบางคนอยากจะอยู่วิมาน ในเมื่อพระพุทธเจ้าท่านประสูติกลางดิน นิพพานกลางดิน มันก็ไม่มีวันจะพบกัน ถ้าว่ายังชอบตึกเรียนสวย ๆ ก็ไม่มีวันที่จะพบกันกับความรู้ของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้กลางดิน หรือมันจะเข้าใจยากเมื่อนั่งอยู่บนตึกเรียนสวย ๆ จิตมันไปทางไหนปลิวไปทางไหน มานั่งอยู่กลางดิน จิตมันไปทางไหน การนั่งกลางดินอย่างนี้ดีมาก สะดวกมากที่จะเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งจะแก้ปัญหาทางจิตใจ เอาละเป็นอันว่าเมื่อท่านทั้งหลายยอมรับว่าปัญหาทางจิตใจเป็นปัญหาหนึ่งที่ต้องสนใจและหาทางแก้ไข เราก็จะพูดเรื่องนี้ แต่โดยที่อาตมาเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าก็ต้อง พูดไปตามแบบของพระพุทธเจ้าตามที่เราได้ตรองเห็นแล้วและพอใจและพูดอย่างอื่นไม่เป็นด้วย
หัวข้อที่จะพูดก็คือว่า ปัญหาของมนุษย์แห่งยุคปัจจุบัน ปัญหา......... (8.41) คืออะไร ของมนุษย์หรือของคนก็แห่งยุคปัจจุบัน เมื่อพูดว่ายุคปัจจุบันก็หมายความว่าไม่ใช่ยุคอดีต เพราะว่ายุคอดีตมีปัญหาอย่างอื่นไม่มีปัญหาอย่างคนในยุคปัจจุบัน นี่ขอให้สังเกตดูให้ดี ๆ ถ้าเราถือว่าโลกนี้มีมนุษย์มาตั้งแสนปีแล้ว ปัญหาจะต่างกันสักเท่าไรก็ลองคิดดู เมื่อยังไม่มีอะไรเป็นคนอยู่ตามโพรงไม้เป็นต้นนั้น มันมีปัญหาอย่างไร เดี๋ยวนี้มีปัญหาอย่างไร จึงใช้คำว่ามนุษย์ยุคปัจจุบัน ปัญหาคือสิ่งที่ทนอยู่ไม่ได้โดยรู้สึกตัวก็มีโดยไม่รู้สึกตัวก็มี อย่าได้เข้าใจว่าเมื่อไม่รู้สึกตัวแล้วจะไม่เป็นปัญหา เมื่อเราไม่รู้สึกตัวปัญหานั้นก็ทำอันตรายเราอยู่โดยไม่รู้สึกตัว แต่ผลก็คือเดือดร้อน เป็นทุกข์ เจ็บปวด รวมความว่าให้มองไปถึงปัญหาที่ไม่รู้สึกตัวด้วย ถ้าเรารู้สึกเป็นทุกข์ หงุดหงิดอยู่ก็ตามเถอะ แล้วก็ไม่รู้ว่าอะไร ไม่รู้อะไรทำให้เราเป็นทุกข์ ขอให้ดูให้ดี ๆ จะพบปัญหาที่เราไม่รู้สึกตัว คือกิเลสเหมือนกับภูติผีปีศาจที่ไม่ค่อยแสดงตัว เห็นตัวได้ยากนั่นเอง ถ้าจะว่าให้ถูกกว่านี้อีกก็หมายความว่าเรามองไม่เป็น เราจึงไม่มองเห็นทั้งที่มันควรจะมองเห็น เราจึงไม่รู้สึกตัวเพราะเรามองไม่เป็นและมองไม่เห็น ปัญหา ทีแรกที่น่าจะนึกถึงก็คือคนยิ่งมากขึ้นทุกทีในโลกนี้ เพียงเท่านี้ก็เป็นปัญหาเหลือประมาณแล้ว ปัญหาจะอยู่กันอย่างไร จะมีอะไรพอกินหรือไม่ แล้วจะสมาคมกันอย่างไร เมื่อมันมากเกินไปอย่างนี้ ทำอย่างไรจึงจะไม่เกิดปัญหา ไม่เกิดเรื่องราวขึ้นมา
นี่อยากจะกล่าวเป็นพิเศษสักหน่อยหนึ่งว่า มนุษย์มันสร้างปัญหา ไม่ใช่เทวดาผีสางที่ไหนมาสร้างแต่เมื่อเรามองไม่เห็นเราก็คิดว่า เทวดา ผีสางหรือพระเจ้านั่นมาสร้างปัญหาให้ เช่นว่าคนมันเพิ่มมากนี่ มันก็มีมูลเหตุหรือปัจจัยหลายประการ แต่ประการหนึ่งซึ่งเห็นได้ง่ายก็คือว่า การแพทย์หรือการอนามัยมันเจริญ มันช่วยให้รอดชีวิตไว้ได้มาก มันก็เลยมีคนมาก ก่อนนี้เด็ก ๆ เกิดมาตายมาก รอดน้อย เดี๋ยวนี้เกิดมาตายน้อย รอดมาก ผู้ใหญ่ก็เหมือนกัน เมื่อการอนามัยดีมันก็มีชีวิตอยู่ยืน ก็เลยทำให้คนมาก ถ้าเห็นว่าคนมากเป็นปัญหา ก็ควรจะนึกถึงว่านี่มันเพราะการแพทย์การอนามัย ถ้าจะพูดกันอย่างเห็นแก่ตัวก็โยนบาปให้แก่พวกแพทย์ พวกอนามัยที่เป็นต้นเหตุให้คนมันมาก ถ้าในที่นี้มีคนที่เรียนเป็นแพทย์ ก็รับรู้ไว้ด้วยว่าสถาบันนี้มันทำให้คนมากขึ้นในโลก จึงเป็นปัญหา ฉะนั้นฝากปัญหาไว้กับพวกคุณโดยเฉพาะก่อนพวกอื่นว่าต้องรับภาระที่จะแก้ปัญหาที่พวกคุณมันสร้างขึ้น มันจะระลึกถึงข้อที่ว่าอะไรมันจะแก้ปัญหา นี่เดี๋ยวจะพูดกันแล้วจะบอกล่วงหน้าว่าสิ่งที่เรียกว่า ศีลธรรมจะแก้ปัญหา ถ้ามีศีลธรรมจะแก้ปัญหา ฉะนั้นคุณจะต้องให้สิ่งที่แก้ปัญหาไปด้วย เมื่อไรออกไปเป็นแพทย์ มันก็ต้องให้ศีลธรรมแก่คนไข้พร้อมกันไปกับความหายจากโรค เมื่อเขานอนเจ็บอยู่นี่ง่ายที่สุดที่จะรับศีลธรรมหรือศาสนา อย่าลืมฝากไว้แต่ป่านนี้เชียว มาเตรียมตัวสำหรับให้ศีลธรรมพร้อมไปกับการบำบัดรักษาโรค เขาหายไปเป็นคนมีศีลธรรม ถ้าเขามีศีลธรรม เขาจะไม่สร้างปัญหาหรือสร้างน้อยที่สุด พูดเปรียบเทียบอย่างง่าย ๆ ว่าเดี๋ยวนี้บางคนรู้สึกว่าโลกนี้เต็มอัดเสียแล้ว อยู่กันไม่ค่อยจุเสียแล้ว นี่อย่าลืมว่า ถ้าคนมันมีศีลธรรมดีให้มากกว่านี้อีกสักร้อยเท่าก็ยังพอจะจุพอจะอยู่กันได้ ถ้าอยู่กันอย่างคนมีศีลธรรม ถ้าไม่มีศีลธรรม มีแต่อันธพาลนี่ นี่ มันจะลำบาก มันจะเต็มโลก จะแน่นโลกก็อย่างที่เรียกว่าเต็มไปด้วยการเบียดเบียน เราทำให้มนุษย์ด้วยกัน มีศีลธรรมเถอะโลกนี้จะจุคนได้อีกมาก จนไม่ต้องรีบคุมกำเนิดอย่างที่ทำกันอยู่อย่างงมงาย เพราะแม้จะมีคนน้อยแต่ถ้าไม่มีศีลธรรมแล้วมันเต็มไปด้วยเสนียดจัญไร โลกนี้มันก็แคบอยู่กันไม่ได้ ให้คนน้อยกว่านี้ถ้ามันไม่มีศีลธรรมมันก็เหลือที่จะอยู่ด้วยกันได้ ดังนั้น เราไม่ต้องคิดถึงเรื่องคุมกำเนิดอะไรให้มากนักก็ได้ สิ่งที่เราคิดก่อนคือทำให้มีศีลธรรม แล้วเราจะอยู่กันได้มากกว่านี้ จะอยู่ด้วยธรรม ปัญหาเรื่องคนในโลกมากขึ้นนี่ปัญหาหนึ่งแล้วยิ่งไม่มีศีลธรรมมากขึ้น พูดไปก็เหมือนกะด่า แต่ก็ไม่ใช่ด่าหรอก เป็นเรื่องบอกความจริงว่าเรามีคนมากขึ้นแล้วก็ไม่มีศีลธรรมมากขึ้น มันก็พร้อมที่จะเบียดเบียนกัน ดูรายงานข่าวต่าง ๆ มันมีความเบียดเบียนมากขึ้น คนไม่มีศีลธรรมมากขึ้น หลงใหลในเนื้อหนังมากขึ้น คำว่า “เนื้อหนัง” นั่นหมายถึงกามารมณ์ เป็นภาษาศาสนาโดยเฉพาะภาษาคริสเตียน เขาพูดว่าเนื้อหนังก็คือกามารมณ์ คนในโลกยิ่งมากขึ้นแล้วยิ่งไม่มีศีลธรรม ปัญหาใหญ่
นี้ปัญหาที่สองถัดไปนี้อยากจะระบุว่าสมองมันก็วิ่งมากขึ้น เมื่อแรกทีเดียวมันคล้าย ๆ กะครึ่งสัตว์ครึ่งคนนี่ มันสมองเกือบจะไม่ได้ทำอะไร นอกจากหากินตามสัญชาตญาณ พอถึงวันหนึ่งจับพลัดจับผลูมันสมองมันเลื่อนขึ้นมาจนถึงขั้นที่เป็นมนุษย์มีการพูดจามีการศึกษาไปตามแบบของมนุษย์สมัยนั้น ขอให้นึกถึงการพูดจาถ้าเราพูดจากันไม่ได้ เราถ่ายความรู้กันไม่ได้ พอสัตว์วิวัฒนาการมาถึงขั้นที่พูดจากันได้คือเป็นคนนี่ก็ถ่ายความรู้กันได้ มันสมองก็เจริญ เหมือนกับเดินไปเร็ว ๆ มันสมองของสัตว์มันหยุดอยู่เท่าเดิม มีการศึกษาก้าวหน้ามากโดยเฉพาะอย่างสมัยนี้ มันสมองมันก็เหมือนกับวิ่ง วิ่งหรือบินไปอย่างเร็ว ความคิดความนึกต่าง ๆ มันก็เลย มากขึ้นและรุนแรงและรวดเร็ว ปัญหาก็เกิดขึ้น เราจะเอาอย่างนั้นเราจะเอาอย่างนี้เพราะความคิดมันก้าวหน้า จนกระทั่งว่าไปโลกพระจันทร์ก็ได้ แต่แล้วมันมีอะไรเกิดขึ้นนี่เราลองคิดกันดู มันมีสันติภาพเกิดขึ้นโดยสมส่วนกันหรือเปล่า มีความสงบสุขเกิดขึ้นโดยสมส่วนกันหรือเปล่า ขอให้ดูดี ๆ หน่อยนะ อย่าหลับตาพูด ขนาดไปโลกพระจันทร์ได้แล้วโลกนี้ที่มันดีขึ้นหรือเปล่า มันมีความสุขมากขึ้นหรือเปล่า สมัยมีเครื่องจักร มีรถไฟ มีเรือบิน จนกระทั่งมีความรู้ทางไฟฟ้า จนกระทั่งมีความรู้ทางปรมาณู จนกระทั่งความรู้ทางอวกาศ จนกระทั่งมายุคสูงสุดคือยุคปิงปอง ยุคหลอกลวงกันอย่างเหมือนกับลูกปิงปอง นี่มนุษย์มาเจริญสูงสุดอยู่ที่อย่างนี้ ได้คลื่นมันสมองมันวิ่ง ถ้าใครชอบวิ่งก็อย่าลืมคิดถึงข้อนี้ด้วย พอวิ่งมาจนถึงเท่านี้แล้วนะมนุษย์เรามีความสงบสุข หรือเปล่า นี่ก็คือปัญหาขอให้ระวังให้ดี ๆ ไอ้มันสมองวิ่งนี่แหละเป็นศัตรูเป็นอันตรายที่ร้ายกาจชนิดที่เรา ไม่รู้สึกตัว เป็นปัญหาที่มองไม่รู้สึกตัว เดี๋ยวนี้เรามีการเป็นอยู่ที่เกินจำเป็นมันยิ่งขึ้นทุกทีจะ ยกตัวอย่างง่าย ๆ ไม่ใช่ประชดนะว่าท่านสอนจนเป็นพระอรหันต์ที่กลางดิน เดี๋ยวนี้คุณเรียนกันบนตึกสวย ๆ หลาย ๆ ชั้นน่ะ เป็นพระอรหันต์ได้หรือเปล่า หรือว่ารู้อะไรบ้าง มันรู้อะไรดีขึ้นหรือเปล่า ขอให้ไปคิดด้วย ให้คิดเกี่ยวกับมันสมองที่มันวิ่ง เพราะเราก็ชอบมันสมองที่วิ่ง มันสมองของเราก็กำลังวิ่ง เรากำลังทะเยอทะยานกันอยู่ทุกคน ใช่ไหม และก็ไม่รู้จุดหมายแห่งความทะเยอทะยาน แต่มันก็วิ่งมันไม่ยอมหยุด มนุษย์จะวิ่งยิ่งขึ้นทุกทีไม่ยอมหยุด เสร็จแล้วก็ไปพบกันเข้ากับอะไร พบกับความยุ่งยากลำบากกี่มากน้อย อย่างน้อยมันก็ทำให้วัตถุไม่พอ ในโลกนี้เรามีความเป็นอยู่เกินความจำเป็นเท่าไรวัตถุในโลกนี้ที่จะสนองความต้องการมันก็มีไม่พอ เช่นเดี๋ยวนี้เราก็ได้เห็นอยู่ตำตาแล้ว ไม้ในป่าที่ทำบ้านเรือนก็จะไม่พอ เหล็กในดินก็จะหมดไป น้ำมันในดินก็จะหมดไปอะไร ๆ ในดินก็จะหมดไป จนไม่รู้จะมีอะไรใช้กันในอนาคต ถ้าถามว่าถ้าน้ำมันหมดจะทำอย่างไง คนอวดดี เขาก็ว่ายัง มีกำลังปรมาณูอีกเยอะแยะที่จะใช้ไม่รู้จักหมดจักสิ้น ดูจะเป็นเรื่องหลับตาพูด มันก็จะต้องหมด อย่างเดียวกับที่น้ำมันมันหมด เหล็กมันหมด อะไรมันหมดไปจากแผ่นดินนี้ เดี๋ยวนี้เราก็ทำลายทรัพยากรธรรมชาติมากไปเสียแล้ว มากกว่าที่คนป่าสมัยหินเขาทำทำลาย คนป่าสมัยหินจะไม่ได้ทำลายทรัพยากรธรรมชาติอะไรเลยก็ว่าได้ เดี๋ยวนี้เราทำ ถ้าเผอิญมันมาพบกันเข้าในระหว่างคนสองพวกนี้ คนป่า สมัยหินจะหัวเราะพวกเรา หัวเราะพวกเราสมัยนี้ว่าเออ!มันเก่งจริงโว้ย มันก้าวหน้าแล้วก็วิ่งโว้ย แล้วมันทำอะไรให้มีสันติภาพสันติสุขยิ่งไปกว่าคนป่าสมัยโน้นก็ไม่ได้ คนป่าสมัยโน้นอยู่ด้วยความปกติสันติสุข ไม่เบียดเบียนกันอย่างลึกซึ้งเหมือนมนุษย์สมัยนี้ ไม่ลุ่มหลงกามารมณ์เหมือนคนสมัยนี้ ที่เราเรียกว่ามันเป็นปัญหาหนึ่งเหมือนกัน คือเรายิ่งเลื่อนระดับการเป็นอยู่เท่าไร มันก็ยิ่งทำลายปัจจัยเครื่องเกื้อกูลแก่การเป็นอยู่หมดเร็ว ก็เท่านั้น นี้มาสรุปรวมกันอยู่ที่ปัญหาที่สี่ที่คือว่าเราก็เป็นทาสอายตนะมากเกินไป ถ้าท่านทั้งหลายเข้าใจคำนี้ก็จะเข้าใจศาสนาได้ดีว่าเราเป็นทาสของอายตนะมากเกินไป อายตนะคือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๖ อย่างนี้ของคนเราแต่ละคนที่เขาเรียกว่าอายตนะ จะรู้สึก จะเสวย จะสุขหรือทุกข์ก็เพราะอายตนะ นี่ความหลอกลวงของอายตนะ มีมากด้วยความเอร็ดอร่อยสนุกสนานนี่เป็นเพียงความหลอกลวงของสิ่งที่เรียกอายตนะเราก็เป็นทาสมันมากเกินไป วัฒนธรรมใหม่ของพวกฝรั่งนั้นคือวัฒนธรรมโง่เขลาในการที่จะเป็นทาสของอายตนะให้มากเกินกว่าที่จำเป็น เดี๋ยวนี้ที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ก็เป็นทาสของอายตนะเหลือประมาณแล้ว แล้วเขายังอยากจะเป็นให้มากกว่านั้น คุณคอยดูต่อไปไปดูในสิ่งที่พวกฝรั่งเหล่านั้นเขาบอกว่าสนุกสนานสำเริงสำราญเจริญรุ่งเรืองคืออย่างไร คือทำในสิ่งที่ไม่จำเป็นแล้วเป็นทาสอายตนะคือความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนังมากขึ้น เรากำลังไปตามก้นเขา เราไปเรียนของพวกฝรั่งเอามาแล้วไปตามก้นเขาในเรื่องอย่างนี้ ก็ลุ่มหลงในทางวัตถุมากขึ้นกว่าปู่ย่าตายายของเรา ซึ่งไม่ลุ่มหลงมากอย่างนั้น มีเรื่องของจิตใจคอยถ่วงไว้ เอาล่ะเดี๋ยวนี้พูดเป็นส่วนรวมดีกว่าว่ามนุษย์ทั้งหมด ทั้งโลกกำลังเป็นทาสของอายตนะลุ่มหลงมากขึ้น ถ้าเราเอาแต่ที่จำเป็นปัญหานี้จะไม่มี ทำไมเราจะต้องใส่ เสื้อลาย ถ้าเราอยากให้เสื้อเราลายเราต้องลงทุนกันอีกกี่มากน้อย ทำไมเราไม่ใส่เสื้อตามที่ว่าสำลีหรือขนสัตว์ มันจะออกมาให้เป็นสีอย่างไร ทำไมต้องเสียเวลาไปเขียนลายให้เสื้อ ไปย้อมเสื้อ ไปออกแบบอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะว่าเรามันอยากสวยตามความโง่ของคนทั้งโลกว่ามันสวยอย่างไร เราจึงต้องใส่เสื้อลาย ทำไมไม่เอาสี อย่างที่สำลีมันให้หรือว่าขนสัตว์มันให้หรือว่าที่ง่าย ๆ ที่ว่าเอาเปลือกไม้ย้อมเข้าให้มันทนไม่ต้องเขียนลาย มนุษย์ก้าวหน้าในทางอย่างนี้ เป็นความฉลาดหรือเป็นความโง่ความหลงอะไรก็ลองคิดดู ก็เสื้อลายเอาไว้ให้เสือมันใส่ เพราะมันไว้ขู่คนอื่น หรือว่าเสื้อลายเอาไว้ให้ผีเสื้อมันใส่ เพราะมันไม่มีอะไรดี ไม่มีกำลังอะไรที่จะขู่ศัตรู มันก็เอาลายนี่แหละขู่ศัตรูบ้าง ล่อศัตรูบ้าง นั่นมันไม่ใช่เรื่องสุจริต มันเป็นเรื่องหลอกลวง ตามธรรมชาติ ตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ เราก็ไม่รู้ แล้วแต่ว่าความรู้สึกของเราจะพาไป แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าเพื่อจะขู่คนหรือจะล่อหลอกคน ไอ้เสื้อลายนี่ แต่มันก็ต้องทำให้มากเกินกว่าจำเป็น เกินกว่าที่จะไม่ต้องหมดเปลือง ฉะนั้น เสื้อฮาวายก็ดี เสื้ออะไรก็ดี สวมเข้าแล้วมันโง่นะ เพราะได้ทำในสิ่งไม่จำเป็น ทำให้ปัญหามากขึ้นเปล่า ๆ นี่ตัวอย่างนิดเดียว เล็กนิดเดียวที่ว่าเป็นทาสของอายตนะทางตา ทางหูก็เหมือนกันแหละ ทำไมจะต้องฟัง stereo เพื่อให้มันเคลิ้มฝันไปหรอก มันได้ประโยชน์อะไร ปู่ย่าตายายของเราไม่เคยทำ ฉะนั้น เราต้องซื้อเครื่อง stereoกันคนละเครื่องคนละเครื่องใช่ไหม นี่มันจะเอาอะไรมาเป็นกำลังสำหรับซื้อสำหรับใช้ แต่แล้วในที่สุดเราก็หาได้ แล้วเราก็เสียอะไรไป เราไม่นึกถึงเวลาไม่นึกถึงค่าของวัตถุหรือว่าไม่นึกถึงความพักผ่อน เราถูกกระตุ้นอยู่ด้วยรูป เสียง กลิ่น รสเรื่อย เราก็ไม่มีการพักผ่อน ดังนั้น สมองของเราก็บ้ามากขึ้น มันวิ่งมากขึ้น มันก็วิ่งจนไม่รู้ว่าจะไปทางทิศไหน ขออภัยนะที่พูดนี้คุณคงไม่ชอบนะ แต่ว่านี้มันเป็นทางให้รู้ให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าธัมมะ ตามธรรมชาติหรือตามปรกติที่มันจะแก้ปัญหาได้ เพื่อเราจะรู้พอดีและมันจะไม่มากเกินไป คำว่าเป็นทาสของอายตนะ ระวัง ช่วยจำไว้ด้วยเป็นทาส ทาสบ่าวขี้ข้าของอายตนะคือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๖ อย่างนี้เขาเรียกว่าอายตนะ ถูกแล้ว อายตนะนี้จำเป็นต้องมี ถ้าเราไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โลกนี้มันก็ไม่มี แน่นอนโลกนี้ก็ไม่มีถ้าเราไม่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็มีสำหรับให้เรารู้สึกและสัมผัสได้ แต่ต้องในระดับที่พอดี แต่นี่มันเกินพอดีจนเราเป็นทาสมัน เพื่ออร่อยทางตา เพื่ออร่อยทางหู เพื่ออร่อยทางจมูก ทางลิ้น ในที่สุด ที่สำคัญที่สุดก็คือทางผิวหนัง เป็นทาสของอายตนะมากเกินไปทั้งโลก ปัญหามันก็เกิดขึ้นทั้งโลกคือความแย่งชิงต่อสู้ทำลายล้างคิดเอาของผู้อื่นมาเป็นของตัวด้วยการครองโลก เราก็จะร่ำรวยไปด้วยสิ่งสนองอายตนะ มนุษย์ก็เลว เป็นมนุษย์ที่เลวลงเลวลง แต่เราก็พูดว่าเป็นมนุษย์ที่เจริญขึ้นเจริญขึ้น มีอารยธรรมมากขึ้น ไปดูให้ดี ช่วยไปดูให้ดีว่าความเป็นอย่างนี้เป็นความเจริญขึ้นหรือว่าเป็นความเสื่อมทรามลงในทางจิตใจ เมื่อตอนหัวรุ่งไอ้ข่าววิทยุเบ็ดเตล็ด มันมีข่าวที่จะเป็นเครื่องวัดได้ดีว่าสามีแก่คนหนึ่งฆ่าภรรยาหญิงแก่คนหนึ่ง โดยโกรธว่าเป็นชู้ ภรรยาเป็นชู้ ฆ่าด้วยขวานและฟันลงไปที่อวัยวะเพศของภรรยาให้ตาย ตาแก่คนนี้เป็นทาสของอายตนะมากเกินไป จึงทำอย่างนี้ได้ ซึ่งคนตามปกติจะไม่ทำหรอก มันเป็นเรื่องที่บ้าหลังชนิดหนึ่ง เป็นทาสความรู้สึกทางเพศมากเกินไป คนโบราณสมัยปู่ย่าตายายของเราเขาไม่ทำอย่างนี้ เขามีความรู้สึกอย่างอื่น เขาหัวเราะได้แล้วเขาให้มันไปเลย ถ้าใครเกิดเป็นชู้ขึ้นมา ไม่ต้องฆ่าและก็เตรียมพร้อมจะฆ่าตัวเองและฆ่าคนอื่น ๆ และฆ่าลูกฆ่าหลานต่อไปอีก แล้วการฆ่าด้วยอาการอย่างนั้นแสดงว่ามันเป็นทาสของอายตนะหรือความรู้สึกทางเพศมากเกินไป นี่ขอให้จำไว้เถอะว่าความรู้สึกทางเพศนี้ถ้ามันมากแล้วมันจะทำอะไรชนิดที่ไม่ควรจะเรียกว่าคน มันไม่เป็นคนเพราะว่าสัตว์มันก็ยังไม่ทำอย่างนั้น ฉะนั้น ความก้าวหน้าของมันสมองของมนุษย์นี่มันมีอยู่ มันเป็นปัญหา คือมันเป็นไปในทางดีขึ้นหรือถูกต้องหรือไม่ หรือมันเป็นไปในทางเลวลงต่ำทรามลงไป ถ้ามันก้าวหน้าในทางที่เป็นนายเหนืออายตนะแล้วก็ดีแน่ แต่ถ้าก้าวหน้าไปอย่างเร็วในทางที่เป็นทาสของอายตนะแล้วมันก็เลวแน่ และมนุษย์กำลังเลวในข้อนี้อยู่โดยไม่รู้สึกตัว ดูโฆษณาสิ โฆษณานำเที่ยวโดยเฉพาะโฆษณาโรงแรม โฆษณาทั่วไปทั้งโลกนี่เขาโฆษณาอะไร เขาโฆษณาด้วยอะไร แม้แต่คนรับใช้ในเรือบิน เขาก็เอามาโฆษณาว่าของเขาสวยกว่าบริษัทอื่น ๆ นี่มันไม่ใช่เรื่องบ้าหลังหรือ มันเป็นการเดินทางเท่านั้นที่ต้องไปทำธุระ ทำไมจะต้องมาแพงมาเปลืองด้วยเรื่องให้มีคนสวยมาคอยรับใช้ เพราะมนุษย์มันบ้าเกินไป นี่เป็นตัวอย่างเห็นอยู่ชัด ๆ ในหลายร้อยหลายพันอย่าง ดังนั้น อย่าเป็นทาสของอายตนะเลย เรื่องที่ไม่จำเป็น เรื่องเล่น เรื่องหัว เรื่องแต่งเนื้อแต่งตัวนี่ก็ระวังก่อนเถอะ ถึงแม้เรื่องที่จำเป็นก็เหมือนกันแหละ ดินสอปากกาของเราอย่าให้มันสวยนักเลย เรื่องตึกเรียนชั้นเรียนของเราก็อย่าอวดว่าของเรามันสวยกว่าพวกอื่นคณะอื่นเลย มันจะไปมัวหลงกันอยู่แต่กับเรื่องที่ไม่จำเป็นจะต้องหลง นี่ปัญหาของมนุษย์มันตั้งต้นขึ้นมา เพราะว่าคนมันยิ่งมากแล้วมันสมองมันวิ่งแล้วมันเลื่อนระดับความเป็นอยู่ที่เกินจำเป็น เกินจำเป็น เกินจำเป็น มันก็เป็นทาสของอายตนะมากขึ้น ในที่สุดมันก็ต้องมาสู่ความมืด มืดมนทางจิตใจแล้วก็ฆ่าคนอื่นได้ลงคอ ปัญหาที่เหลืออยู่ในปัจจุบันก็คือว่าเมื่อคนมีปัญญามีกำลัง เขาสามารถทำตาม ความประสงค์ของเขาได้ อีกพวกหนึ่งมันไม่สามารถและก็มากด้วย นี่ก็เกิดคนร่ำรวยและคนยากจนขึ้นมาเป็นปัญหาที่มีอยู่ในโลกสัก ๑๕๐ ปีมานี่เองที่ความรู้สึกอันนี้ได้เกิดขึ้นและเป็นปัญหาของโลก นายมาร์คของลัทธิมาร์คลิซึม (34.00) เขาริเริ่มความคิดอันนี้ขึ้นมาเพื่อจะแก้ปัญหาระหว่างคนที่มันต่างกันนัก การแก้ปัญหานี้ก็บานปลายมาจนถึง ทุกวันนี้ เหลืออยู่แต่การฆ่าฟันในโลกนี้ ตรงนี้อยากจะบอกสักนิดหนึ่งว่าเมื่อ ๑๕๐ ปีมานั่นพุทธศาสนาที่ถูกต้องยังไม่ไปถึงทวีปยุโรป อย่างในประเทศเยอรมัน เป็นต้น มีแต่พุทธศาสนากระเส็นกระสายเรื่องประวัติพุทธ พุทธประวัติอะไรทำนองนั้น ก็แปลว่าไม่รู้พุทธศาสนาที่แท้จริง ถ้าหากว่าพุทธศาสนาที่แท้จริงอย่างเดี๋ยวนี้ไปถึงที่นั่นเมื่อนั้นนะ นายมาร์คต้นตำหรับลัทธินี้คงจะเขียนลัทธิเป็นไปในรูปอื่น ซึ่งต่างไป ไม่มากก็น้อย แต่อาตมาเชื่อว่าจะมากกว่านี้คือจะมองโลกมองปัญหาผิดจากที่มองนี้แล้วจะแนะแนวการแก้ปัญหาซึ่งไม่เหมือนอย่างนี้ หรือสรุปความว่าซึ่งไม่ต้องฆ่ากัน ไม่ต้องใช้สิทธิที่จะฆ่า จะตัดสินปัญหาด้วยการฆ่าว่าเป็นการยุติธรรม อย่างนี้มันไม่ได้ เมื่อคนหนึ่งมีสิทธิที่จะฆ่า อีกคนหนึ่งก็มีสิทธิที่จะฆ่าตอบ คนหนึ่งมีสิทธิที่จะด่า คนหนึ่งก็มีสิทธิที่จะด่าตอบ ดังนั้น เราก็ไม่อาจยุติปัญหาได้ ลูกศิษย์ของลัทธินี้เราควรจะนึกถึงข้อนี้ที่ว่าเราจะแก้ปัญหาด้วยการฆ่าหรือด้วยการด่าการว่านั้นมันไม่มีทางจะสำเร็จ ถ้าเราจะแก้ปัญหาด้วยวิธีของศาสนาก็ต้องพูดกันรู้เรื่อง นี้ขอให้เราศึกษาธัมมะกันดีกว่าเพื่อจะแก้ปัญหาเหล่านี้ ถ้ามีธัมมะเข้ามาเมื่อไร ปัญหาจะหมดไปเอง ถ้ามีธัมมะอยู่ นายทุนลัทธินายทุนจะไม่เกิดขึ้นมาในโลกนี้ คือความเห็นแก่ตัวเกินไปจนร่ำรวยข้างเดียวนั้นจะไม่เกิดขึ้นในโลกนี้ถ้าธัมมะมีอยู่ แล้วคนจนก็เหมือนกันจะไม่ขี้เกียจ จะไม่เหลวไหล จะไม่โลเล จะไม่โง่เขลาแล้วก็จะไม่ต้องจนจนลำบาก แต่โดยเหตุที่ว่ามันมีเรื่องกรรมอยู่เบื้องหลัง มันต้องต่างกันมันก็ต้องมีคนมั่งมีกับคนยากจน แต่แล้วไม่เป็นปัญหาต่อกันเพราะทั้งสองฝ่ายมีธัมมะ จะไม่เกิดคนมั่งมีชนิดนั้นและคนจนชนิดนี้จนมาประหัตประหารกัน เดี๋ยวนี้ก็เถอะถ้าว่าธัมมะมันเข้ามาเมื่อไรแล้วก็นายทุนจะตายหมดทางวิญญาณ ทางจิตใจ วิญญาณนายทุนจะตายหมด จะกลายเป็นเศรษฐีใจบุญ ถ้าธัมมะเข้ามาในหมู่คนจนเมื่อไรก็จะเป็นคนขยันขันแข็งในการที่จะช่วยตัวเองไม่ประกอบอบายมุขไม่ทำสิ่งที่จะทำให้ยากจน คนจนเหล่านี้ก็จะมีการตายทางวิญญาณคือไม่เป็นคนโง่เขลาที่จะสร้างความยากจนให้แก่ตัวเอง จะสร้างความพอกินพอใช้ให้แก่ตัวเองได้ เพราะว่าแม้แต่นกกระจิบตัวเล็ก ๆ มันก็ยังไม่อดตาย นี่ภาษาพระเยซูกล่าวว่าทำไมคนจะต้องอดตาย พอธัมมะเข้ามาไม่มีปัญหาระหว่างคนรวยกับคนมั่งมี มีแต่ความรักใคร่ความเมตตากรุณา ช่องว่างนั้นมันปิดเอง อย่าไป เอามีดเอาดาบมาเฉือนเนื้อคนหนึ่งมาอุดเนื้ออีกคนหนึ่งอย่างนั้นมันไม่มีทางจะทำได้ มันไม่มีทางจะปิดช่องว่างได้ ให้มีธัมมะเข้ามาเองช่องว่างจะปิดเอง นายทุนกลายเป็นเศรษฐีใจบุญ เมตตากรุณาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่คนทุกคนโดยเฉพาะแก่ลูกจ้างกรรมกร นี้คนจนทั้งหลายก็เข้มแข็งเพื่อช่วยตัวเอง ได้ผลเป็นความเข้าใจต่อกันและกันระหว่างคนด้วยกันคือคนมั่งมีกับคนจนจะมีความเข้าใจซึ่งกันและกัน เป็นเพื่อนที่ช่วยกันทำโลกนี้ให้น่าดูให้น่าอยู่ให้งดงาม ทำโลกนี้ให้งดงาม คนจนก็ช่วยกันไปตามจน คนมีก็ช่วยกันไปตามมี หมายความว่าคนฉลาดกับคนโง่ก็ช่วยกันไปตามประสา โลกนี้ก็จะน่าดูน่าอยู่ไม่เต็มไปด้วยความทารุณโหดร้ายเหมือนที่กำลังเป็นอยู่ นี่ถ้าธัมมะเข้ามา นี่เราจะพูดถึงธัมมะที่เข้ามานี้ให้มากหน่อยเพื่อจะแก้ปัญหาของมนุษย์แห่งยุคปัจจุบัน เราจะตั้งต้นปัญหาไปจากคำว่า คนไทย ประเทศไทย เพราะว่าเราต้องรับผิดชอบความเป็นไทยประเทศไทยความคงอยู่ของไทย เพราะว่าเราก็เป็นคนไทยจะถือศาสนาอะไรก็ยังเป็นคนไทย เราต้องนึกถึงความอยู่รอดของคนไทย ประเทศไทยนึกถึงสิ่งที่เหมาะสมแก่คนไทย คนไทยมีเรื่องที่น่าสนใจมากทีเดียว
ก่อนนี้เราถูกสอนกันว่าคนไทยนี่ถูกจีนเขาไล่ลงมาจากทางประเทศจีนมาอยู่แถวแหลมทองนี่ มันเมื่อไม่นานมานี้ ต่อมาการค้นคว้าทางโบราณวัตถุ เช่น โบราณวัตถุบ้านเชียง เป็นต้น บอกให้รู้ว่าคนไทยมันอยู่ก่อนนั้น มันอยู่แล้วก่อนนั้น คือมันเก่ากว่าจีน มันต้องขึ้นไปหาจีนมากกว่า ทีนี้เมื่อตอนหลัง ๆ ระยะหลัง ๆ มานี้มันชักจะถือกันว่าคนไทยอยู่ทางทะเลสาบแคสเปียนหรือทางโน้นทางตะวันตกของอินเดียไปอีก แล้วก็มาทางตะวันออกตรงไปประเทศจีน ก็ลงมาต่ำลงมาผ่าประเทศอินเดียลงมาทางแหลมทองนี่ มาทิ้งเชื้อรกรากอะไรไว้ให้ตลอดประเทศอินเดียจนลงมาถึงแหลมทองนี่ มันก็มีประวัติที่เปลี่ยนแปลงมาก คนไทยมีอะไรมากเกินกว่าที่จะศึกษาแล้ว ถ้ารวมความแล้วมันเป็นชาติเก่าแก่หลายพันปีก่อนพุทธกาล แล้วมันมีอะไรมากก็มีวัฒนธรรมอะไรของตัวเองและก็มีพุทธศาสนา แล้วคนบางพวกซึ่งมากขึ้นทุกที ถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนไทย เป็นคนไทยที่ผ่านมาจากทางตะวันตกผ่าอินเดียลงมาทางตะวันออกเฉียงใต้นี่ เพราะพระพุทธเจ้าไม่ใช่ผิวขาว เป็นที่เชื่อได้ว่า พระพุทธเจ้าไม่ใช่คนผิวขาว พระพุทธเจ้าไม่ใช่คนจมูกโง้งเหมือนอย่างพวกคอร์เคเซียน แล้วพระพุทธเจ้าไม่ใช่คนตาหยีเหมือนอย่างพวกมองโกเลียน พระพุทธเจ้าเป็นคนตาโต ตากลม ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ของคนไทย รูปร่างคล้ายกับถ้าเป็นแบบของมนุษย์ก็คล้ายกับพันธุ์ออสตรารอยด์ (43.20) ออสตรารอยด์นี่มากกว่า ฉะนั้น เราก็ได้ความคิดนึกแปลก ๆ ว่าพระพุทธเจ้าป็นคนไทยอย่างนี้เป็นต้น แล้วแต่ว่ามันหลายพันปีก่อนพุทธกาลมีคนไทย มีวัฒนธรรมแผ่กระจายลงมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้บ้างตรงไปทางทิศเหนือประเทศจีนบ้าง รบราฆ่าฟันกันไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าเก็บคนไทยเหล่านี้ให้หมดแล้วก็จะมากกว่าจีน นี่มันจะเพ้อเจ้อไปแล้ว เดี๋ยวนี้พูดถึงคนไทย หยิบมือหนึ่งในประเทศไทยนี้ดีกว่า ว่าเรามีวัฒนธรรมอย่างไร มีอะไรอย่างไร สรุปสั้น ๆ ว่าต้องเป็นไทคือต้องไม่เป็นทาส ไม่เป็นทาสทั้งทางกายและทางจิตใจ เดี๋ยวนี้ไปเป็นทาสเนื้อหนังหรือเป็นทาสวัฒนธรรมของฝรั่งเป็นทาสวัฒนธรรมนี้ก็เสียหายมาก ดีอยู่แล้วไปเป็นทาสวัฒนธรรมที่เลว ความเป็นไทยสูญไปทางวัฒนธรรม ถ้าความเป็นไทยทางวัฒนธรรมสูญไปไม่เท่าไรความเป็นไทยทางวัตถุบ้านเมืองทางประเทศชาติจะพลอยเสีย ไปด้วย แต่ที่ดีกว่านั้นลึกกว่านั้นความเป็นไทด้านจิตใจคืออย่าเป็นทาสของกิเลสสิจึงจะเป็นคนไทย อย่าเป็นทาสของความชั่ว อย่าเป็นทาสของกิเลส คืออย่าเป็นทาสของอายตนะที่ว่าเมื่อตะกี้ อย่าเป็นทาสของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนั่นแหละคือความเป็นไทที่สูงสุด เป็นพระอรหันต์นั่นแหละคือความเป็นไทที่สูงสุด แต่เราจะไม่พูดถึงอย่างนั้นมันจะเกินไป แต่เราก็จะเอาอุดมคตินี้มาถือว่าเราต้องเป็นไท ดังนั้น สิ่งที่เหมาะแก่ชนชาติไทยคือ ความเป็นอิสระ เรามีธรรมชาติแห่งความเป็นอิสระมาหลายพันปี ก็จึงมีวัฒนธรรมของคนไทยโดยเฉพาะก็อยู่ในสายเลือดของคนไทยว่ามีลักษณะอย่างนี้ ๆ แล้วก็เรียกว่าไทย ไม่มีข้อที่น่าติเตียนเลย แม้จะไม่ร่ำรวยหรูหราแต่ก็มีความถูกต้อง มีความบริสุทธิ์ มีความสงบสุขที่เราจะต้องมองสิ่งนี้ว่าในฐานะที่ต้องมองก่อนทุกสิ่งว่าสิ่งที่เหมาะแก่คนไทย โดยธรรมชาติตามธรรมชาติดั้งเดิม และโดยวัฒนธรรมที่ได้เกิดขึ้นและก็ฝังแน่นอยู่ในเลือด ในเนื้อของคนไทยเป็นอย่างไร คนไทยต้องได้รับพุทธศาสนามาตั้งแต่แรกและก็เป็นได้อย่างว่าเป็นผู้ให้กำเนิดพระพุทธเจ้าเสียด้วย เชื้อชาติไทยก็เลยควรจะยึดถือเป็นอุดมคติที่จะภาคภูมิใจที่จะรักษาความเป็นอย่างนั้นไว้ วัฒนธรรมไทยเป็นอย่างไร จะอยู่ในสายเลือดอย่างไรช่วยไปศึกษากันให้ละเอียด เวลาวันนี้ไม่พอที่จะพูดกันเรื่องนี้แต่ไปศึกษาเองได้ อะไรมีดีอย่างไรที่ทำให้คนไทยรอดอยู่ได้ แต่และอะไรที่มันมาแทรกแซงที่ทำให้ คนไทยสูญเสียความเป็นไทยแล้วก็เสื่อมลงเสื่อมลง สรุปความแล้วไปเป็นทาสวัฒนธรรมตะวันตก ซึ่งถือเนื้อหนังเป็นหลัก ไม่ถือวัฒนธรรมที่มีจิตใจเป็นหลักอย่างวัฒนธรรมดั้งเดิม นี้คือสิ่งที่เราจะต้องมองก่อนว่านี้เหมาะสำหรับความเป็นไทย ทีนี้ก็จะมาถึงสิ่งที่จะช่วยรักษาคุ้มครองความถูกต้องอันนี้ แล้วจะต้องมีที่ยึดหน่วงหรือที่ยึดเหนี่ยวเหมือนตามหลักทั่ว ๆไป ทุกชาติทุกภาษาต้องมีเครื่องยึดเหนี่ยวที่ถูกต้อง พวกผิดเขาก็มีเครื่อง ยึดเหนี่ยวของเขา มันก็ผิดไปตามเรื่องของเขา พวกที่ถูกก็มีเครื่องยึดเหนี่ยวที่ถูก แล้วเราจะอยู่ในฝ่ายที่ถูกและ มีเครื่องยึดเหนี่ยวในฝ่ายที่ถูกตามแบบของเรา ตามแบบของคนไทย จนพูดติดปากกันเลยไปว่านับถือพระพุทธศาสนา แม้จะเปลี่ยนเป็นนับถือศาสนาอื่นในตอนหลัง มันก็ยังมีข้อปฏิบัติที่เหมือนกันอยู่นั่นเอง จนเป็นอันว่าทุกศาสนามันใช้ได้ทั้งนั้น แต่ว่าคนไทยเรามันคุ้นกันมาหรือว่าติดกันมากับพุทธศาสนาแต่ดั้งเดิมมันก็พิจารณาพุทธศาสนากันเป็นส่วนใหญ่ พุทธศาสนานั่นมากถ้าพูดโดยคำพูดแต่ถ้าพูดโดยใจความมันก็ นิดเดียวแหละ คือความจริงตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติที่เราจะต้องประพฤติปฏิบัติให้มันถูกต้องและก็ไม่มีปัญหาเกิดขึ้น ธรรมชาติยืนอยู่อย่างตายตัว เปลี่ยนแปลงไม่ได้ มันเป็นความถูกต้องเป็นความจริงมันก็อยู่อย่างธรรมชาติ ที่เราต้องรู้และต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ เราจึงจะอยู่ อย่าว่าแต่มนุษย์แม้แต่ต้นไม้ ที่มันอยู่มาได้เพราะมันเป็นมาอย่างถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ สัตว์เดรัจฉานก็เหมือนกัน มาถึงมนุษย์มันก็อย่างเดียวกันแหละ แต่ต้องถูกต้องตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติที่ว่าจะอยู่รอดชีวิตอยู่ได้อย่างไร นี้เมื่อรอดชีวิต อยู่ได้แล้วยังจะต้องทำให้มันถูกต้องกว่านั้นอีกอย่างไร คือความสงบสุข เพราะชีวิตอยู่โดยไม่มีความสงบสุขก็ ไม่มีประโยชน์อะไรแล้วมันก็จะสูญหายไปในที่สุด ในเรื่องถูกต้องด้วยมันจึงรอดชีวิตมาได้ถึงขนาดนี้ นี่เรียกว่ากฏของธรรมชาติ พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสรู้และท่านก็มาสอนว่าเราจะต้องปฏิบัติอย่างนี้แล้วเราจะอยู่รอด ถ้าเราต้องปฏิบัติอย่างนี้ เราก็จะดียิ่งขึ้นไป แล้วเราปฏิบัติอย่างนี้อย่างนี้ เราก็จะดีถึงที่สุดคือความเป็น พระอรหันต์ ที่พูดโดยใจความก็พูดได้อย่างนี้ การรู้แล้วปฏิบัติถูกต้องตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ มีความเจริญไปตามทางที่ถูกต้องนั้นจนถึงที่สุดที่มนุษย์จะสามารถทำได้ ธรรมชาติกำหนดให้มนุษย์ทำอะไรได้บ้าง มนุษย์ ก็ได้ทำถึงที่สุดนั้นแล้ว เราเรียกกันว่ายอดสุดของมนุษย์ ตามหลักของพุทธศาสนาก็คือการบรรลุความเป็น พระอรหันต์ ความเป็นพระอรหนต์นั้นไม่ใช่สิ่งที่ครึคระหรือน่ารังเกียจ สรุปความได้ว่าพระอรหันต์คือผู้ที่ หมดปัญหาส่วนตัวท่านเอง หมดปัญหาส่วนตัวท่านเอง ไม่มีความทุกข์ ไม่อาจจะเกิดความทุกข์ในส่วนตัว ท่านเอง ความตายไม่มีความหมาย ความอยู่ไม่มีความหมาย อะไรไม่มีความหมายสำหรับท่าน นี่ท่านหมดปัญหาอย่างนี้ ทีนี้ทำหน้าที่ที่สองก็คือช่วยคนทุกคนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับท่านให้เป็นอย่างนั้นด้วย นี่พระอรหันต์จึงสอนให้คนให้อยู่โดยปราศจากความทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านค้นพบกฏเกณฑ์ของธรรมชาติให้มนุษย์ได้ขึ้นไปถึงสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะดีได้คือความเป็นพระอรหันต์ ไม่ใช่น่าเกลียดน่ากลัวหรือผิดธรรมชาติหรือทำนองนั้น ถ้าไม่ได้ขึ้นไปถึงที่นั่นมันก็ลดหลั่นลงมา ก็ล้วนแต่ความสงบสุขที่ลดหลั่นลงมา กระทั่งว่าเป็นมนุษย์ชั้นระดับธรรมดา เป็นพลเมืองดีของโลก ไม่ทำลายโลกนี้ เป็นต้น ตอนนี้อยากจะพูดอีกสักนิดหนึ่งว่านักบวชนั้นคืออะไร กลัวว่าพวกเราจะเข้าใจสิ่งที่เรียกว่านักบวชนั้นผิดมากเกินไป นักบวชนั่นถ้าว่าตามความหมายที่แท้จริงก็คือผู้ที่ อยากเป็นพระอรหันต์ตามลัทธิหรือศาสนาแห่งตนแห่งตน ไอ้ที่มันเก๊ มันไม่จริง มันก็ต้องมีบ้างเป็นธรรมดานะ อย่าเหมาว่าทั้งหมดเป็นอย่างนั้น ถ้าเห็นว่านักบวชเก๊สักคนหนึ่งแล้วจะเหมาว่านักบวชทั้งหมดเป็นอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ เดี๋ยวนี้กำลังเหมากันว่านักบวชเป็นกาฝากสังคม นี่มันไม่ถูก มันก็มีนักบวชที่เป็นกาฝากสังคม เพราะว่าคนประพฤติผิดต่อสังคมก็เกิดนักบวชที่เป็นกาฝากสังคม แต่นักบวชที่แท้จริงไม่ได้มุ่งหมายอย่างนั้น นักบวช ที่แท้จริงคือผู้ที่ตั้งใจจะเป็นพระอรหันต์ให้ได้ในที่สุด แล้วก็ปฏิบัติดีถึงที่สุด แสดงให้คนทั้งหลายเห็นว่าต้องปฏิบัติอย่างนี้ อย่างนี้ อย่างนี้ มนุษย์นี้ก็จะอยู่กันเป็นผาสุก เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดแม้แต่สักคำเดียวก็ได้ นักบวชมีอยู่ ปฏิบัติให้ดีให้เห็นอยู่ คนมองเห็นแล้วก็ทำตามเองโดยไม่ต้องไปสัญญาอะไรกัน เพราะเขาชอบว่าทำอย่างนี้มันน่าดู มีแววตาที่แสดงความสุข มีอิริยาบถที่แสดงความสุข เขาก็ทำตาม ๆ กันไปเอง นี่นักบวชอย่างพระพุทธเจ้าก็มีอยู่อย่างนี้ หลายพวกหลายประเภทได้แต่ความมุ่งหมายอย่างนี้ทั้งนั้น แต่ว่าพระพุทธเจ้านั้น ท่านสอนได้ด้วย ท่านไม่เพียงแต่อยู่ให้ดูเฉย ๆ แต่เพียงแต่อยู่ให้ดูเฉย ๆ มันก็คุ้มค่าข้าวสุกแล้ว ฉะนั้น คุณอย่าหาว่านักบวชนี้เป็นกาฝากสังคม ทำลายแรงงานของประเทศ นั่นมันจะจริงแต่นักบวชเก๊ นักบวชปลอม ถ้านักบวชจริงแล้วไม่มีวันที่จะทำลายแรงงานสังคมหรือว่าเป็นกาฝากสังคม จะแสดงแบบแผนแห่งความถูกต้องความปกติสุขของมนุษย์อยู่ตลอดเวลานี่คือนักบวช ไอ้ส่วนที่มันเปลี่ยนแปลงไปก็เป็นธรรมดา มันก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง มันก็ต้องมีเก๊มีปลอมมีอะไร เพราะว่าเป็นเครื่องทำมาหากินของเขา เพราะประชาชนเขานับถือบูชานี้ มันก็ต้องมี แต่นั้นมันก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะมาปรับนักบวชทั้งหลายให้เป็นอย่างนั้นไปทั้งหมด ฉะนั้น นักบวชมีมาแล้วตั้งแต่ก่อนพุทธกาลโน่น เข้าใจว่าถ้านับมาถึงนี้มันก็ตั้งห้าพันปีมาได้แล้วกระมัง ก็เริ่มมีนักบวช นักบวช นักบวช สูงขึ้นมาสูงขึ้นมาจนมีพระพุทธเจ้าและก็มีเหลือมากระทั่งทุกวันนี้ เพื่อประโยชน์อันนี้ แต่ถ้ามันมีเกิดปลอมเกิดอะไรขึ้นมาก็ไปพูดกันอย่างอื่นสิ อย่ามาพูดว่านักบวชนี่เป็นกาฝากสังคม จุดมุ่งหมายเดิมมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น เมื่อเห็นว่านักบวชมันเป็นตัวอย่างแบบอย่างที่แสดงความถูกต้องในการที่จะทำให้มนุษย์มันก้าวหน้าขึ้นไป เขาควรจะศึกษานักบวช ควรจะพิจารณานักบวช ควรเลือกเอาแต่ที่มันถูกต้อง แล้วเรานี่ก็จะค่อย ๆ กลายเป็นนักบวชแม้ไม่ต้องออกไปโกนหัวอยู่ในป่าก็ยังเป็นนักบวช บ้านเรือนในบ้านเรือนเตรียมสำหรับจะออกไป ในที่สุด มันดีตรงที่ว่าจะรู้จักความทุกข์และเอาชนะความทุกข์ได้ นี่คือการบวช ทำไมต้องบวช เพื่อให้สะดวกและเร็วขึ้น อยู่ที่บ้านก็ได้ ไม่ต้องบวชก็ได้ อยู่ที่บ้านก็ได้ ศึกษาเรื่องนี้ก็ได้ ปฏิบัติเรื่องนี้ก็ได้ แต่มันช้า มันเปะปะเกะกะ จึงหลีกมาบวชให้มันเร็วขึ้น มันก็จะเป็นตัวอย่างที่ดี แล้วเราก็ไปด้วยกัน พวกที่อยู่ที่บ้านก็ทำได้อย่างช้า ๆดูตัวอย่างนักบวชที่ทำอยู่ในที่อิสระ เขาก็ทำได้เร็ว ก็ช่วยกันสนับสนุนให้นักบวชยังคงมีอยู่ในโลก เพื่อเป็นตัวอย่าง เป็นแสงสว่างแก่โลก มีธัมมะสำหรับอยู่เป็นคู่โลก เอาล่ะทีนี้จะพูดถึงธัมมะ ธัมมะมันก็เป็นกฏของธรรมชาติอย่างเดียวกับกฏอื่น ๆ เหมือนกัน ไม่มีอะไรที่จะมีอำนาจยิ่งกว่ากฏธรรมชาติ แล้วก็มีหลายแขนง แต่แขนงที่จำเป็นที่สุดคือแขนงที่เราเรียกกันว่าธัมมะ ที่เราจะเอามาใช้แก้ปัญหาของมนุษย์ได้ ดังนั้น ธัมมะจึงเป็นกฏของธรรมชาติที่มนุษย์ควรจะสนใจเพื่อจะแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ เรามาจัดเป็นระบบเรียกว่าระบบศีลธรรม ศีลธรรมคำนี้มีความหมายกว้างยิ่งกว่าอันใดหมด แต่เรารู้มันนิดเดียว ในโรงเรียนสอนนิดเดียว จดไว้ไม่กี่บรรทัดในสมุดแล้วก็ปิดเสีย เรื่องของศีลธรรมจึงไม่ปรากฏแก่พวกเรา
ศีลธรรมแปลว่าสิ่งที่จะทำความปกติ ขอร้องนะ ขอร้อง จะถือเป็นหนี้บุญคุณก็ได้ อาตมากำลังขอร้องนี่ให้ช่วยจำ ยอมเป็นหนี้บุญคุณพวกคุณว่าช่วยจำคำว่าศีลธรรมไปสักทีเถอะ “ศีละ”แปลว่าปกติ “ธรรม” แปลว่า สิ่ง ซึ่งเป็นเหตุก็ได้ เป็นผลก็ได้ ถ้าเป็นเหตุก็เหตุที่จะทำความปกติ “ศีลธรรม” คือเหตุที่เราจะต้องประพฤติปฏิบัติเพื่อปกติ ถ้าเป็นผล “ศีลธรรม” คือ ภาวะแห่งความปกติที่เราได้รับ ใจความสำคัญอยู่ที่ คำว่าศีละนั่น “ศีละ” แปลว่าปกติ ไอ้คำนี้มันมีความหมายในตัวว่าปกติ มันมาเป็นชื่อของอะไรก็ต้องเล็งถึง ความปกติทั้งนั้น คำว่า “ศีละ” มาเป็นชื่อของศิลาคือก้อนหิน อยู่ตรงข้างหน้านี้ ศิลาและนี่ก็คือมีความหมายว่ามันปกติ แต่ว่าก้อนหินมันมีอยู่ก่อนมนุษย์ ก็เรียกมันว่าศีละมีความหมายว่าอย่างนั้น แล้วก็ยืมคำนี้ไปใช้เป็นชื่อของระบบศีลธรรมที่มนุษย์เพิ่งคิดนึกขึ้นมาก็ได้ จะทวนกลับไปอย่างนั้นก็ได้ จะทวนกลับมาอย่างนี้ก็ได้ แต่ความหมายมันคงเดิมว่าถ้าศีละแล้วต้องปกติ แล้วเกี่ยวข้องกับมนุษย์ทุกกระเบียดนิ้ว อย่างเมื่อตะกี๊ว่า ถ้าคุณเป็นนักเรียนแพทย์ คุณก็คือคนที่ตั้งใจทำความปกติให้แก่ร่างกายของมนุษย์ พอมนุษย์เราเป็นโรคภัย ไข้เจ็บ เป็นต้น ก็คือสูญเสียความเป็นปกติ ผู้ที่เป็นแพทย์ก็จะช่วยแก้ไขให้ความปกตินี้กลับมาสู่ร่างกายของมนุษย์ นี้ก็เป็นแพทย์ในทางฝ่ายร่างกาย ทำความปกติให้แก่ร่างกาย เราต้องมีร่างกายปกติ เราจึงจะทนอยู่ได้หรือสบายอยู่ได้ พอร่างกายผิดปกติ มันก็ทนอยู่ไม่ไหวแล้ว เพียงแต่ท้องผูกนิดเดียวแล้วมันก็ลำบากแล้ว เพราะมันผิดปกติแล้ว มันมีความผิดปกติอย่างอื่นมากซึ่งแก้ไขลำบาก แพทย์ก็ช่วยแก้ไขได้ รวมเรียกว่าแพทย์นี้ก็คือผู้ทำความปกติ เป็นผู้ร่วมมือกับธรรมชาติที่ทำความปกติตามธรรมชาติ ในเมื่อพูดถึงแพทย์อย่างนี้แล้วก็จะพูดให้เลยไปถึงแพทย์ที่เป็นจอมแพทย์ ลองทายสิว่าคือใคร?
จอมแพทย์นี่หมายถึงพระพุทธเจ้าโดยบทบาลีที่มีอยู่ว่า สัพพะ โลกะ จิกิจจะโก (01:01:10) เป็นนายแพทย์ผู้เยียวยารักษาโรคแห่งโลกทั้งปวง เป็นคำของพระอรหันต์ สรรเสริญพระพุทธเจ้าก็มี เป็นคำพระพุทธเจ้าตรัสถึงพระองค์เองก็มี และมีใช้คำว่าผ่าตัดเสียด้วย ทิสะโก สัลละกะโต (01:01:29) เป็นนายแพทย์ผ่าตัด แต่มันเรื่องผ่าตัดกิเลส สัลละกะโต (01:01:37) นั่นคือคำต้น ๆ ของคำว่าศัลยกรรม สัลละกะโต (01:01:43) แปลว่าผู้กระทำกรรมด้วยศัลละ คือการผ่าตัดด้วยเครื่องผ่าตัด พระพุทธเจ้าเป็นนายแพทย์ ผ่าตัดเป็นนายแพทย์ทางยา แต่มันเป็นเรื่องทางจิตทางวิญญาณรักษาโรคของกิเลส ถ้ายังไม่เคยได้ฟังก็ช่วยได้ยินเสียเดี๋ยวนี้ แล้วจำไว้ด้วยว่าพระพุทธเจ้าเป็นนายแพทย์ รักษาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง ใช้คำว่า จิกิจจะโก (01:02:14) เขาให้พูดเรื่องแพทย์มากไปหน่อย จิกิจจะโก (01:02:21) นั่นแปลว่าหมอยา หมอที่รักษาโรคโดยตรง ถ้า เวชโช (01:02:27) ที่มาคำว่าเป็นแพทย์ เดี๋ยวนี้ไม่แน่ หมอเล่นกลก็ได้ หมองู หมออะไรก็ได้ ไม่ใช่ หมอรักษาโรค แล้ว จิกิจจะโก(01:02:39) แล้วก็หมอรักษาโรคทั้งทางกาย ทางจิต ทางวิญญาณ พระพุทธเจ้าเป็นนายแพทย์รักษาโรคของ โรคทั้งปวงของโรคทั้งหมด โรคของโรคทั้งหมดคือกิเลสที่จะให้โลกทั้งโลกมันโง่และก็ทำสิ่งที่ไม่ควรทำจนกระทั่งโลกนี้มีแต่ความเร่าร้อน ระส่ำระสาย นี่เดี๋ยวนี้โลกปัจจุบันนี้ต้องการพระพุทธเจ้ามากที่สุด มันคงจะค้านกับความรู้สึกของคนบางคน มันก็จะรู้สึกว่าโลกมันก้าวหน้าในทางวัตถุ นำไปโลกพระจันทร์ แล้วจะต้องการพระพุทธเจ้าทำไม เขาเจริญก้าวหน้าอย่างนี้มันเพิ่มกิเลสมากขึ้นกว่าเดิม แล้วมันก็ยิ่งต้องการพระพุทธเจ้าผู้เป็นนายแพทย์ที่จะตัดหรือฆ่ากิเลสยิ่งขึ้น หรือจึงพูดให้ชัดเสียทีหนึ่งว่ายิ่งมีความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุเท่าไร กิเลสในโลกจะหนาขึ้นเท่านั้น จะแรงขึ้นเท่านั้น เป็นคำด่าหรือว่าเป็นคำพูดความจริง อาตมา พูดว่าความเจริญทางโลกมันมากขึ้นเท่าไรโลกมันก็จะหนาด้วยกิเลสความเห็นแก่ตัวก็มากขึ้นเท่านั้น คำพูดนี้เป็นคำด่าหรือเป็นคำบอกความจริง หลายคนคงไม่ชอบ เพราะไม่ชอบให้โลกกลับไปอยู่อย่างสงบเงียบเหมือนครั้งพุทธกาล ต้องการให้มันเจริญรุ่งเรือง เขียวกะแดงอะไรอย่างที่มุ่งหมายกันอยู่ในปัจจุบันนี้ โดยไม่คำนึงถึงว่าการเป็นอย่างนี้ทำให้เกิดกิเลสมากขึ้น มันตอบได้ง่าย ๆ อธิบายได้ง่าย ๆ ว่ายิ่งหลงใหลในความเอร็ดอร่อยเท่าไรจะยิ่งเห็นแก่ตัวมากขึ้นเท่านั้น เมื่อเด็กยังไม่รู้จักความเอร็ดอร่อย เด็กจะไม่มีความเห็นแก่ตัว พอเด็กโตขึ้นมา ถึงขนาดรู้จักความเอร็ดอร่อย เด็กก็จะเริ่มเห็นแก่ตัว จนกระทั่งเป็นหนุ่มเป็นสาวก็ยิ่งรู้สึกในรสชาติของอายตนะ มากขึ้นก็ยิ่งเห็นแก่ตัวมากขึ้นเท่านั้น จนถึงกับเหมือนกับตาแก่คนนั้นฆ่าภรรยาด้วยขวานในความหมาย ความหลงในเรื่องของกามารมณ์ของกิเลส ช่วยจำไว้ว่ายิ่งชอบความเอร็ดอร่อย สวยงาม สนุกสนานในแบบวัตถุมากขึ้นเท่าไร คนนั้นจะยิ่งเห็นแก่ตัวมากขึ้นเท่านั้น เห็นแก่ตัวมากขึ้นเท่าไร กิเลสก็จะเจริญมากขึ้นเท่านั้น ในรูปของความโลภอยากได้ ในรูปของความโกรธอยากทำลาย ในรูปของความหลงคือสงสัย มัวแต่ทึ่งสนใจที่จะได้อะไรแปลก ๆ อยู่เสมอ นี่เขาเรียกความโลภ ความโกรธ ความหลง มาจากความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวมาจากความเป็นทาสของความเอร็ดอร่อยทางอายตนะ เดี๋ยวนี้ทั้งโลกเป็นอย่างนี้มากขึ้น ถ้าสังเกตดูเพียงชั่ว ๒๐ ปีแล้วมันเป็นมากขึ้นกว่าเมื่อ ๒๐ ปีมาแล้วอย่างมากมาย ต่อไปข้างหน้าอีก ๒๐ ปี ๒๐ ปี ๒๐ ปีจะแรงขึ้นแรงขึ้น ถ้าปล่อยกันไปในแบบนี้ แล้วคนก็จะเห็นแก่ตัวมากจนถึงกับว่าการฆ่าผู้อื่นไม่มีความหมายเลย มีโอกาสเมื่อไร ก็จะฆ่าเมื่อนั้น จะฆ่าด้วยระเบิดปรมาณูให้ตายทีละแสนละล้านมันก็ไม่มีความหมายอะไรเลย เพราะฉันต้องการประโยชน์ของฉัน ลอง ลอง ลองนึกดูบ้างคงไม่เสียหลายว่าถ้าเราเดินกันแบบนี้ไม่เท่าไรเราจะฆ่ากันด้วยระเบิดปรมาณูอย่างไม่มีความหมายอะไรเลย ไม่รู้จะทำไปทำไมกัน มันก็เหมือนกับชีวิตยุง คนเกิดมาคนหนึ่งเหมือนกับชีวิตยุง มากินกิน สูบเลือดคนอื่นกินนิดหน่อยแล้วก็ตายไป เกิดมาสูบเลือดคนอื่นกินหน่อยแล้วก็ ตายไป เหมือนกับชีวิตยุง นี่เราก็เกิดมาได้สนุกสนานเอร็ดอร่อยทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจหน่อยหนึ่งแล้วก็ ตายไป แล้วก็อย่างนั้นอีกแล้วก็ตายไป แล้วก็อย่างนั้นอีกแล้วก็ตายไป เป็นโลกที่น่าสังเวช ไม่รู้จักความสงบสุขที่เรียกว่า “ธัมมะ” เอาเสียเลย ดังนั้น เราจะต้องนึกข้อนี้กันให้มากว่าจะใช้ประโยชน์ในการที่ได้เกิดมานี้ให้มีประโยชน์มากที่สุด ถ้าเราปล่อยไปตามความรู้สึกอย่างเด็ก ๆ เขาคิดว่าเรียน มีวิทยฐานะสูง ได้เงินเดือนมาก เอาเงินไปซื้อหาความเอร็ดอร่อยทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจให้มากที่สุด เพราะว่าในโลกนี้เขาเจริญด้วย ประดิษฐกรรม เขาสร้างสรรค์ไอ้สิ่งช่วยให้เกิดสนุกสนานนี่อย่างสูงสุด เราเตรียมเงินไว้มาก ๆ ก็แล้วกัน ทางกามารมณ์ก็ดี เนื่องด้วยกับกามารมณ์ก็ดี ไม่เกี่ยวกามารมณ์ก็ดี ล้วนแต่จะให้ความสนุกสนานสูงสุดเท่านั้น ก็มีเท่านี้แล้วก็ตายไป ถ้าชอบเพียงเท่านี้ก็ได้ ไม่เป็นไรไม่มีใครว่า แล้วก็ได้เพียงเท่านี้ แล้วก็ตายไป
แต่ทางธัมมะหรือศาสนาเราถือว่าเท่านั้นไม่พอ ควรจะได้อะไรมากกว่านั้น ควรจะเป็นอย่างนั้นเพียงระยะหนึ่ง ในระยะหนุ่มสาวจะไปเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้นบ้างก็ได้ก็ ไม่เป็นไร แต่อย่าให้มากเกินไปจนเป็นอันตราย อย่าให้ต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่าแล้วก็กินยาตายตายไป มันจะไม่มีประโยขน์อะไร เราจะเอาทุกสิ่งนี่เป็นการศึกษา เกิดมาในโลกนี้ทุกสิ่งที่มากระทบกับเราเกี่ยวข้องกับเราจะเป็นการศึกษาให้เราฉลาดขึ้น ให้จิตใจเราฉลาดขึ้น จนอยู่เหนือความล่อลวงยั่วยวนบีบคั้นของสิ่งเหล่านี้มีจิตใจที่สงบ เราก็เรียน เราก็ทำงาน เราก็ได้บริโภคกามารมณ์ตามความถูกต้องของศีลธรรม รู้ว่ามันเป็นอะไร รู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งสูงสุด แล้วมันก็เดินต่อไป ไปหาความสูงจนกระทั่งเป็นพระอรหันต์ หรือไปเข้าในรูปในรอยของพระอรหันต์คืออยู่ด้วยความสงบสุข มันจะต้องเปลี่ยนจากความเป็นทารกมาเป็นเด็ก เป็นเด็กวัยรุ่น เป็นคนหนุ่มสาว เป็นพ่อบ้านแม่เรือน เป็นคนสูงอายุที่รู้จักโลกดี แล้วตายลงไปด้วยความสงบ นั่นแหละเรียกว่าสมบูรณ์ของความเป็นมนุษย์ ธัมมะจะช่วยอย่างนี้ เดี๋ยวนี้เราจะมาเป็นห่วงแต่ว่าฉันต้องการกามารมณ์ คุณเอาไว้มากนักฉันจะฆ่าคุณแล้วแบ่งเอามา แล้วฉันจะร่ำรวยเหมือนคุณ แล้วฉันในที่สุดก็ตายเหมือนกัน มันก็กลายเป็นว่าเกิดมาแย่งไอ้สิ่งที่หลอกลวงกัน เงินเป็นปัจจัยแห่งสิ่งสนองความอยากของกิเลส เมื่อได้สนองความอยากของกิเลสแล้วก็ลุ่มหลงมัวเมาแล้วก็ ตายไป ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ดังนั้น เรามีปัญหามาจากการที่เราไม่รู้จักตัวเราเป็นทาสของสิ่งเหล่านี้ เราก็มุทะลุดุดันจนฆ่าผู้อื่นได้ลงคอ ในขณะเดียวกันเราก็ฆ่าตัวเราเองอยู่ตลอดวันตลอดคืน คือทรมานจิตใจอยู่ตลอดวันตลอดคืน ช่วยจำไว้ด้วย มีใครบ้างไหมที่ไม่มีการทรมานจิตใจอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่วันหนึ่งคืนหนึ่ง ถ้ารู้สึกว่ามีขอให้นึกถึงข้อนี้แหละว่าเรายังทำผิดอะไรอยู่ แม้เป็นคนวัยรุ่น เป็นคนหนุ่มสาวเต็มที่ เป็นพ่อบ้านแม่เรือนแล้ว ก็ตาม ถ้ายังมีความทรมานใจอะไรอยู่ให้รู้ว่าเรากำลังทำผิดอะไรอยู่ในข้อนี้ แก้ไขมันให้หมดไปเสีย อย่าให้มีชีวิตอยู่ด้วยการทรมานจิตใจ ปัญหาร้ายแรงต่าง ๆ ปัญหาการเมืองของโลกก็จะไม่มายุ่งกับเรา เพราะเราจัดของเราถูก ถ้าไม่อย่างนั้นเราจะต้องไปผสมโรงกับเขาในการจะจัดโลกอย่างผิด ๆ ให้โลกนี้เต็มไปด้วยวิกฤตการณ์ทั้งหลาย ถ้าเป็นแพทย์ก็ทำงานเหมือนพระพุทธเจ้า เยียวยาโรคของสัตว์โลก ถ้าเป็นวิศวะก็สร้างโลกนี้ให้งดงาม คือสร้างจิตใจของคนให้งดงามตามความหมายของวิศวะ หรือถ้าเป็นนักบริหารธุรกิจก็บริหารโลกนี้ให้มันน่าอยู่น่าดู คือรู้จักทำคนแต่ละคนให้เป็นคนที่น่าดู ให้มันมีความถูกต้อง ไม่ว่าคุณจะศึกษาอยู่ในแขนงไหนของการศึกษาคณะไหนของการศึกษา ในที่สุดมันจะไปรวมกันได้ในส่วนที่ว่าแก้ปัญหาคนละอย่าง คนละอย่าง คนละอย่างของมนุษย์ให้มนุษย์หมดปัญหา อยู่กันอย่างมนุษย์ที่สมกับที่จะเรียกกันว่ามนุษย์ ในโรงเรียนมักจะสอนกันว่า คำว่า “มนุษย์” แปลว่า “คน” นี่มันน่าหัวเราะที่สุดและมันก็ผิดด้วย มนุษย์ไม่ได้แปลว่าคน “นร” (นะ-ระ) แปลว่า คน หรือ “ชน” (ชะ-นะ) “ชน” ก็แปลว่าคน มนุษย์ไม่ได้แปลว่าคน มนุษย์แปลว่าใจมันสูง
คำว่ามนุษย์แปลว่ามีจิตใจสูง ก็คือไม่ใช่คนธรรมดา คนที่ได้รู้จักอะไรทำอะไรมาพอสมควรแล้ว จนจิตใจมันสูงนี่เรียกว่ามนุษย์ เราเกิดมาให้เป็นมนุษย์ แล้วก็ได้แต่สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ มันควรจะถามตัวเองบ่อย ๆ ว่า “เกิดมาทำไม” เดี๋ยวนี้โลกทั้งโลกกำลังเป็นบ้าเพราะไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม การค้นคว้าก้าวหน้าของฝรั่งทางตะวันตกนั้น ก้าวหน้า ก้าวหน้า จะก้าวหน้าเก่งกว่าเทวดาเสียด้วยซ้ำไป แต่มันผิดวัตถุประสงค์ว่า เกิดมาทำไม เพราะฉะนั้นจึงก้าวหน้าไปในทางทำโลกนี้ให้มันยุ่งมากขึ้น ให้เป็นทุกข์มากขึ้น เป็นทุกข์มากขึ้นจนไม่มีความสงบสุข ต้องขนกันไปรบที่นั่น ขนกันมารบที่นี่ ขนกันไปฆ่าฟันกันที่นั่น ขนกันมาฆ่าฟันที่นี่ แล้วยังทำใต้ดิน ไปฆ่ากันอย่างเลือดเย็นใต้ดิน มัวทำกันอยู่แต่อย่างนี้ทั้งโลก ทั้งโลกเลย คุณไปสังเกตดู กำลังเป็นอยู่ทั้งโลก นี่มันเข้าใจผิดในข้อที่ว่า “เกิดมาทำไม” คนเหล่านี้เข้าใจผิด ไม่รู้ว่าเกืดมาทำไม จึงเกิดมาเป็นทาสของอายตนะ เมื่อไม่ได้ก็จะเอาให้ได้ เมื่อเขาไม่ให้ก็จะฆ่าเขา เมื่อเห็นว่ายังน้อยอยู่ก็จะหาให้มากขึ้น แล้วก็คิดจะครองโลก ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม โดยข้อเท็จจริงแล้วคือเกิดมาทำโลกให้มันยุ่งแล้วตัวเองก็ยุ่ง ทั้งโลกก็พลอยยุ่ง อย่างที่พวกเราก็พลอยยุ่ง มีปัญหาอย่างนั้นมีปัญหาอย่างนี้ จึงขอร้องในขั้นแรกว่าทุกคนที่ฟังอยู่นี้จงสนใจความเป็นมนุษย์และมีความเป็นมนุษย์ให้ถูกต้อง แล้วไม่ต้องใช้การแก้ปัญหาโดยการฆ่า มีคนพวกหนึ่งในโลกในปัจจุบันนี้เขาถือว่าต้องใช้การฆ่าจึงจะทำโลกนี้ให้ดี คำว่าดีต้องสำเร็จด้วยการฆ่า นี้ไม่ถูกตามหลักของศาสนา ไม่ถูกตามหลักของธรรมชาติ มันต้องทำด้วยความถูกต้อง ด้วยการพูดกันรู้เรื่อง เพราะว่ามนุษย์มันมีใจสูง มันควรจะพูดกันรู้เรื่อง ถ้าไม่รู้เรื่องมันก็ไม่ใช่มนุษย์ เพราะมันไม่ใช่เรื่องของมนุษย์เราก็อย่าเอามาเลย เพราะว่าเราอยากจะเป็นมนุษย์ รู้ความหมายความเป็นมนุษย์ เราแก้ปัญหาด้วยสติปัญญา ด้วยการพูดจากันรู้เรื่อง ด้วยการทำกันและกันให้รู้เรื่องของมนุษย์นั่นเอง ดังนั้น เมื่อศึกษาวิชาความรู้อะไรอยู่แขนงใดแขนงหนึ่ง ในมหาวิทยาลัย ก็ขอให้ศึกษาวิชาความรู้อีกแขนงหนึ่งในมหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระศาสดา เป็นจอมครูคือว่าวิชชาสำหรับทำให้เราเป็นมนุษย์โดยถูกต้อง วิชาที่ศึกษาอยู่ตามธรรมดาในมหาวิทยาลัยนั้น จะพูดอย่างไรมันก็ไม่พ้นไปจากที่จะพูดว่าเป็นวิชาชีพทั้งนั้นแหละ จะเรียนแพทย์หรือเรียนวิศวะหรือเรียนอะไรก็ตามมันเป็นวิชาชีพทั้งนั้น เพื่อชีวิตอยู่ทั้งนั้น และเมื่อชีวิตอยู่และจะอยู่ทำไม เพื่ออะไร นั่นแหละมันต้องเรียนในมหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้า มีชีวิตอยู่เพื่อเดินไปสู่ความสงบสุขสูงสุดของมนุษย์เรา ดังนั้น เราเรียน ๒ มหาวิทยาลัยพร้อมกันไป วิทยาลัยหนึ่งของพระพุทธเจ้ามองไม่เห็นตัวแต่มีความสำคัญยิ่ง จะแก้ปัญหาทั้งหมดของโลกได้ เพราะว่ามันทำให้รู้ว่ามนุษย์นี้เกิดมาทำไม มีมนุษย์ขึ้นมาในโลกนี้มีมาทำไมจึงจะถูกต้องตามความหมายของมนุษย์ พอทำผิดมันก็ไปเป็นสัตว์และเลวยิ่งกว่าสัตว์ เพราะว่าสัตว์มันไม่ฆ่าฟันกัน อย่างมนุษย์เดี๋ยวนี้ มนุษย์นี้กำลังเลวกว่าสัตว์ เพราะเบียดเบียนกันยิ่งกว่าสัตว์ ทำสิ่งที่ไม่ต้องทำมากกว่าสัตว์ ทำให้โลกนี้ยุ่งและก็จะวินาศไปในที่สุด ทีนี้เราจะเป็นมนุษย์อย่างไร อย่างไร ใครจะเป็นอย่างไร ใครจะชอบอย่างไรก็ตามใจ เราจะชอบในความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง เมื่อศึกษาวิชาชีพพอแล้ว ดำรงชีพอยู่ได้แล้ว ก็จะทำความถูกต้องของความเป็นมนุษย์ให้มีความก้าวหน้าในทางความสงบสุข นั่นแหละจะเป็นคนไท แปลว่าอิสระ ไม่เป็นทาสของกิเลส เมื่อไม่เป็นทาสของกิเลสแล้วก็ไม่เป็นทาสของใคร นี่มันถูกต้องตามกฏเกณฑ์ ตามธรรมชาติของศาสนา ทุกอย่างที่มันจะต้องทำให้ถูกต้อง ในเรื่องที่จะพูดนี้ก็คือว่าปัญหาของมนุษย์แห่ง ยุคปัจจุบันคือการเป็นกิเลส เป็นทาสของอายตนะมากเกินไป จนเห็นว่าฆ่ากันก็ได้ อะไรกันก็ได้ ขอแต่ให้เรา ได้สิ่งที่เราต้องการก็แล้วกัน ขอยืนยันว่ามันผิดยิ่งกว่าผิดนะ เอาไปคิดดูเถิด แล้วมันไม่พ้นไปจากสิ่งที่เศร้าหมองเลวทรามเป็นอันตราย มนุษย์จะต้องประสบกับสิ่งที่เป็นอันตราย และก็ไม่ได้รับประโยชน์จากการเป็นมนุษย์เลย นี่คือปัญหาของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน ถ้าพูดให้ถูกกว่านั้นจะพูดว่าปัญหาของคนในปัจจุบันซึ่งยังไม่เป็นมนุษย์ ถ้าคนในปัจจุบันนี้ทุกคนเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมาได้น่ะ ปัญหาก็หมด เพราะคำว่ามนุษย์แปลว่าจิตใจมันสูง มันรู้ มันชนะกิเลสอะไรหมด ปัญหาก็ไม่มี เดี๋ยวนี้มนุษย์ไม่มี มีแต่คน ตามใจกิเลสของตน มีความรู้อย่างโง่เขลา เป็นทาสของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วก็ได้เบียดเบียนกันฆ่าฟันกัน อาชญากรรมชนิดไหนก็ตามใจมาจาก ความเป็นทาสอายตนะทั้งนั้น คนตัดช่องย่องเบาเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั่วไปทั้งกรุงเทพฯ หรือว่าที่ไหนก็ตามอาชญากรรมชั้นตัดช่องย่องเบาเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่มันก็เป็นทาสของอายตนะ มันถึงทำ โจรกรรมที่ยิ่งไปกว่านั้นอีกก็เป็นทาสของอายตนะสูงขึ้นไปอีก กระทั่งอาชญากรรมจะฆ่าคนทั้งโลก มันก็เป็นทาสของอายตนะใหญ่ไปกว่านั้นอีกคือมันอยากจะครองโลก รวมความแล้วอาชญากรรมทั้งหลายมาจากความเป็นทาสของอายตนะ อายตนะคือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเราซึ่งเราไม่รู้จักมัน ตัวเราอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มีแต่ความโง่อัดอยู่ในจิตในใจ บันดาลให้ทั้งหมดนี้ ทั้งเนื้อทั้งตัวนี้ไปเป็นทาสของความเอร็ดอร่อยหรือความหลอกลวงทางอายตนะ หรือเกิดกิเลสแล้วก็ประหัตประหารกัน ประหัตประหารตัวเองด้วย แก้ปัญหาเหล่านี้ได้ก็หมดปัญหาของมนุษย์ ไม่มีปัญหาอะไรเหลือทั้งส่วนตัวและส่วนรวมของทั้งโลกด้วย
ดังนั้น คำพูดวันนี้ก็ได้แต่พูดแต่ใจความ โดยหัวข้อย่อ ๆ คร่าว ๆ ให้มองดูทีเดียวตลอดรอบด้าน ไปก่อน มันไม่มีเวลาที่จะพูดโดยรายละเอียดได้ แล้วเราก็มีเวลาเพียงเท่านี้ ดังนั้น ขอให้จดจำหัวข้อเหล่านี้ไว้ให้ดี ๆ ว่าอาตมาขอบใจและยินดีในการมาของท่านทั้งหลายที่อยากจะรู้จักสวนโมกข์ ที่จัดขึ้นเพื่อจะเป็นปัจจัยอันหนึ่งในบรรดาปัจจัยทั้งหลายที่จะช่วยแก้ปัญหาของมนุษย์ และโดยเฉพาะในทางจิตใจที่กำลังว่ามานี้ ไม่อยากให้เราเป็นทาสของอายตนะกันนักเลย เราจะมีศีลธรรม แล้วเราจะอยู่กันได้เป็นผาสุก แม้แต่ปัญหาว่า คนมันแน่นโลกก็จะไม่เกิด ถ้าเรามีศีลธรรม เราจะอยู่กันได้จนกระทั่งว่าเต็มทั้งโลก แต่ถ้าเราไม่มีศีลธรรม มันก็ทำอันตรายกัน โลกนี้มันก็ไม่พออยู่ที่จะแก้ปัญหาเรื่องคนมาก เร็วในโลกนี้ ซึ่งจะทำอย่างไรได้เมื่อการแพทย์การอนามัยมันเจริญหรืออะไรต่าง ๆ มันแก้ไขได้ ไอ้คนมันก็มาก มันก็เตรียมตัวแก้ไขปัญหาที่จะมาจากคนมากนี้ไว้ให้ดี ๆ สิ่งนั้นคือ “ศีลธรรม” ที่เรากำลังพูด นี่เราก็จะมีความถูกต้องทางความคิดความนึก ทางมันสมอง ถ้าเร็วก็เร็วไปในทางถูกต้องแล้วมันก็จะไม่เร็วไม่ป่วยการ มันจะทำแต่พอดี แล้วก็อยู่กันอย่างถูกต้อง ไม่เป็นอยู่ที่เกินจำเป็น เพราะอะไรที่มีเกินจำเป็นล่ะก็เอาทิ้งเสียบ้าง ที่เนื้อที่ตัวที่อยู่อาศัยอันไหนที่เกินจำเป็นให้รู้ว่านี้เกินจำเป็น ต่อไปเราก็จะไม่ไปหาสิ่งที่เกินจำเป็นนั้นมาอีก ปัญหามันจะได้น้อยลง เดี๋ยวนี้มนุษย์ ก็ต้องการเกินจำเป็นยิ่งขึ้นไปทุกที ก็มีปัญหามากขึ้น ในที่สุดก็หยุด หยุดกิเลสได้ หยุดกิเลสได้นี้มีหลายความหมาย เราควบคุมมันได้ จนกระทั่งมันน้อยไป จนกระทั่งมันหมดสิ้น เราอย่าเอาถึงหมดสิ้นเลย เอาแต่ควบคุมกิเลสได้ก็พอแล้ว เพราะเห็นว่าศาสนานี้จะช่วยได้ เพราเขาเกิดขึ้นเพราะความจำเป็นอันนี้ เมื่อมนุษย์เป็นมนุษย์ เมื่อคนเป็นมนุษย์มากขึ้นมา มันเกิดปัญหาอย่างนี้ก็แก้ปัญหาอย่างนี้ ก็แก้ปัญหาอย่างนี้ เพราะ การแก้ปัญหาอย่างนี้เมื่อรวบรวมมาทั้งหมดแล้วมันคือระบบของศาสนาที่มีมาเรื่อย เรื่อย เรื่อย เรื่อย จนกระทั่งมีศาสนาสูงสุดและก็ใช้ได้เป็นแม่บททั่วไปตลอดทุกกาลทุกสมัย นี้คือสิ่งที่เรียกว่าศาสนา อย่าได้เข้าใจผิดเห็นว่าเป็นของไร้สาระ และอย่าเห็นว่านักบวชนี่เป็นกาฝากสังคม ไม่คุ้มค่าแรงงานของชาติ ถ้านักบวชทำหน้าที่ของตนโดยถูกต้องแล้วแม้แต่อยู่เฉย ๆ ก็ยังเกินค่าแรงงานของชาติ แล้วก็เป็นตัวอย่างที่ดี ตั้งอยู่ให้ดูให้เห็นในโลกนี้ เราก็จะมีครบบริบูรณ์ คือสิ่งที่ช่วยแก้ปัญหาของมนุษย์จะมีครบบริบูรณ์ แล้วก็จะหมดปัญหา จะช่วยกันสร้างโลกที่น่าดูขึ้นมาแล้วก็อยู่กันในโลกที่น่าดู ปัญหาของมนุษย์แห่งยุคปัจจุบันนี้ก็จะหมดไป ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ปัญหาของมนุษย์ในโลกปัจจุบันก็จะเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นจนกระทั่งว่าฆ่ากันวินาศหมด ตามคำกล่าวกันในทางศาสนาที่เขาได้กล่าวไว้ว่ายุคหนึ่งจะเกิดมิคสัญญี คือฆ่ากันอย่างไม่มีความหมาย แต่ถ้าธัมมะเข้ามาขวางหน้าไว้ ยุคนั้นจะไม่เกิดขึ้นหรือจะประวิงเวลาให้มันยืดยาวออกไป เป็นอันพอแล้วสำหรับการพูดในวันนี้ ขอให้จำใจความเหล่านี้ไว้แล้วอย่าลืมถึงมานั่งบนทรายนั่งบนทรายนี่คือที่นั่งนอนของพระพุทธเจ้า มานั่งบนก้อนหินก็ยังไม่ใช่ ใครนั่งบนก้อนหินลองนั่งบนทรายเสียที จะได้นั่งบนอาสนะของพระพุทธเจ้า ท่านประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน อยู่กลางดิน นิพพานกลางดิน แล้วก็จำความรู้สึก จำสัมผัสอันนี้ที่นั่งอยู่กับทรายนี้ ติดไปสงขลาด้วย แล้วถ้าไปสงขลาไปนั่งกลางทรายอีกก็ให้มีความรู้สึกอย่างนี้อีก ก็จะได้รู้ความรู้ชนิดหนึ่งอย่างของพระพุทธเจ้า ซึ่งหาไม่ได้บนตึกเรียนสิบชั้น ยี่สิบชั้นในมหาวิทยาลัย เอาและจบการบรรยายวันนี้เท่านี้ คืนนี้ ถ้าเราพบกันอีกก็จะให้ถามปัญหาตามชอบใจ ใครมีปัญหาถามได้โดยไม่ต้องเกรงใจ พอกันที ไปทำโปรแกรมอื่นต่อไป