แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ
ณ บัดนี้ อาตมาจะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนา เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัทให้เจริญงอกงามก้าวหน้าตามทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายกว่าจะยุติลงด้วยเวลา
ธรรมเทศนาวันนี้เป็นธรรมเทศนาพิเศษ ปรารภเหตุอภิลักขิตสมัย คือพิธีวิสาขบูชาดังที่ท่านทั้งหลายก็ทราบได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว แต่ว่าธรรมเทศนาในอันดับแรกแห่งวันนี้ จะได้กล่าวไปในลักษณะที่เป็นเพียงแต่การตระเตรียมจิตใจของท่านทั้งหลายให้มีความเหมาะสมที่จะทำพิธีวิสาขบูชา เป็นเครื่องบูชาคุณของพระศาสดาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และยิ่งๆ ขึ้นไปทุกปี อาตมาขอร้องเป็นพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง ดังที่ท่านทั้งหลายก็ได้ทราบกันอยู่เป็นอย่างดี ว่าเราจะทำอะไรในลักษณะที่เป็นการเลื่อนชั้นเสมอในทุกๆ กรณี จะไม่ทำอย่างที่เรียกว่าพอเป็นพิธีซ้ำๆ ซากๆ อย่างเดียวกันทุกปีเหมือนกับคนละเมอ นี่แหละเป็นความตั้งใจหรือความหวัง ว่าท่านทั้งหลายจะได้พยายามให้เป็นไปตามข้อแนะนำนี้ เราจะทำอะไรในลักษณะที่เป็นการเลื่อนชั้น หมายความว่าตอนแรกๆ ก็ทำกันในลักษณะน่าหัวเราะสำหรับสมัยนี้ เช่นว่า พอสักว่าได้เวียนประทักษิณอย่างนี้ก็มี และก็หวังที่จะได้ดูนั่นดูนี่ตามประสาลูกเด็กๆ เสียมากกว่า นี่ควรจะเลื่อนชั้นให้พอใจในสิ่งที่สูงขึ้นไป คือให้มีการกระทำพิธีวิสาขบูชาด้วยจิตใจที่มีความสว่างไสวแจ่มแจ้งในพระคุณของพระศาสดามากยิ่งขึ้นทุกปีนั่นเอง นี้ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็คือเราถือเอาโอกาสนี้ เป็นการประชุมกันของพวกพุทธบริษัท ปรึกษาหารือกันทำความก้าวหน้าให้แก่กิจการของพระศาสนา โดยที่ทุกคนทั้งฆราวาสและบรรพชิต มีความรู้สึกรับผิดชอบในความเสื่อมและความเจริญของพระศาสนานั่นเอง พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ในลักษณะที่พอจะฟังออกว่าเป็นพระพุทธประสงค์ ให้พุทธบริษัทช่วยกันสืบอายุพระศาสนา จนถึงกับตรัสไว้เป็นพระพุทธภาษิตในทำนองที่ให้กำลังใจแก่พวกเราทั้งหลายโดยนัยยะเป็นต้นว่า ถ้าภิกษุเหล่านี้จะพึงเป็นอยู่โดยชอบไซร้ โลกก็จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ดังนี้เป็นต้น ขอให้ฟังให้ออกในลักษณะที่ว่าเราอย่าได้สิ้นหวังหรืออย่าได้ปล่อยให้เป็นไปตามบุญตามกรรม ให้พยายามกระทำเต็มที่ตามที่เคยกระทำ คือประพฤติชอบอยู่เสมอแล้ว ในส่วนบุคคลนั้นก็จะมีกิเลสร่อยหรอ เบาบางไป เพราะมีชีวิตอยู่อย่างถูกต้องชนิดที่กิเลสเกิดขึ้นไม่ได้ ยิ่งๆ ขึ้นไปทุกๆ วัน สักวันหนึ่งมันก็จะถึงที่สุด คือความสูญสิ้นแห่งกิเลส นี้เป็นส่วนบุคคล ที่เป็นส่วนสังคมนั้น เราอย่าท้อถอยในการที่จะยึดเอาพระธรรมเป็นที่พึ่ง เป็นหลักแห่งจิตใจ ทำให้มีศีลธรรมอยู่เป็นปรกติ แล้วสังคมก็จะเป็นสังคมที่อยู่เป็นสุข และถ้าเราทำได้ถึงที่สุด ทุกคนเต็มไปด้วยศีลธรรมแล้ว โลกในปัจจุบันนี้ก็เจริญก้าวหน้าในทางวัตถุอย่างมากมาย เมื่อความเจริญทั้งทางฝ่ายจิตใจและฝ่ายวัตถุมารวมกันเข้า โลกนี้ก็จะแปรสภาพเป็นโลกของพระศรีอาริย์ได้ในเวลาอันกระพริบตา ศาสนาของพระศรีอาริย์นั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าความสมบูรณ์ถูกต้องทั้งทางฝ่ายจิตใจและความสมบูรณ์ทางวัตถุ ศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ นั้น อาจจะพูดได้แต่เพียงว่าสมบูรณ์ในทางจิตใจ มนุษย์ยังไม่สมบูรณ์ในทางวัตถุ หรือในบางยุคบางสมัยก็ยังขาดแคลนอยู่มากในทางวัตถุ ไม่สามารถจะผลิตผลให้เพียงพอ ไม่สามารถจะบำบัดโรคภัยไข้เจ็บอย่างนี้เป็นต้น เดี๋ยวนี้เรามีความก้าวหน้าทางวัตถุอย่างที่กล่าวได้ว่าเพียงพอ ถ้ามีความก้าวหน้าทางจิตใจขึ้นมาอีกโดยสมบูรณ์แล้ว ก็สมบูรณ์ทั้งสองฝ่าย ก็เรียกว่าเป็นโลกของพระศรีอาริย์หรือในศาสนาของพระศรีอาริย์ การที่คนบางคนพูดว่า ลัทธิสังคมนิยมจะช่วยผลิตวัตถุให้สมบูรณ์แล้วเป็นโลกพระศรีอาริย์ขึ้นมาได้ซึ่งเคยหลงละเมอกันอย่างนั้นพักหนึ่งนั้น มันเป็นความบ้าหลัง เพราะถ้าว่าไม่สมบูรณ์ทั้งทางฝ่ายจิตใจด้วยแล้วจะเป็นโลกของพระศรีอาริย์ไม่ได้ ฉะนั้นเราจึงไม่หวังพึ่งความสมบูรณ์แต่ในทางวัตถุว่ามันจะแก้ปัญหาได้ จึงเป็นอันว่าเราจะแน่ใจลงไปว่าจะพยายามทำให้เกิดความถูกต้องและสมบูรณ์ทั้งทางฝ่ายวัตถุและจิตใจ ถ้าทำได้ก็จะกลายเป็นคนที่มีโชคดี ไม่เสียทีที่เกิดมาในยุคที่วัตถุมันก้าวหน้าและเจริญ เดี๋ยวนี้มันผิดพลาดอยู่แต่ในข้อที่ว่ามันเจริญแต่วัตถุ แล้วคนตกเป็นทาสของวัตถุ ละเลยหมดในส่วนจิตใจ มันก็เป็นเหมือนกับว่าคนบ้า คือบ้าความสุขทางวัตถุนั่นเอง ก็ไม่มีสันติสุข ไม่มีสันติภาพอะไรได้อย่างที่เห็นๆ กันอยู่ ต่อเมื่อใดมีความก้าวหน้าทางจิตใจ เมื่อนั้นก็จะได้รับผลที่พึงปรารถนา เดี๋ยวนี้เรามาทำพิธีวิสาขบูชาก็เพื่อจะซักซ้อมความเข้าใจกันในข้อนี้คือในส่วนของพระธรรมหรือของพระศาสนาที่จะทำให้ศีลธรรมสมบูรณ์ การทำวิสาขบูชาอย่างไร เคยชี้แจงแนะนำกันมาทุกปี แม้จะต่างกันบ้างโดยคนละความ แต่โดยใจความแล้วเหมือนกันหมดคือจะต้องทำด้วยจิตใจ อย่าทำแต่เพียงทางกายหรือทางวาจา เช่นเวียนประทักษิณสามรอบนี้เป็นเรื่องทางกาย กล่าวคำอะไร ๆ ออกมานี้เป็นเรื่องทางวาจา นี้ดูจะไม่ยาก เพราะพอจะทำตามๆ กันได้ แต่ในส่วนทางจิตใจนั้นต้องมีความรู้สึกชนิดที่ถูกต้องตามความหมาย คือมีจิตใจเข้าถึงพระพุทธองค์ได้ในขณะนั้นหรือชั่วเวลานั้นเป็นอย่างน้อย ให้มีพระพุทธเจ้าพระองค์จริงมาอยู่ในจิตใจของเราในขณะที่เดินเวียนประทักษิณ อย่างนี้จึงจะเรียกว่าถูกต้องหรือสมบูรณ์ทางจิตใจ ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าให้มีพระพุทธเจ้าพระองค์จริงปรากฏอยู่ในจิตใจของเราเมื่อเรากระทำการบูชาด้วยการเวียนประทักษิณเป็นต้น ทีนี้บางคนก็ไม่เข้าใจในคำพูดที่ว่าจะมีพระพุทธเจ้าพระองค์จริงมาอยู่ในจิตใจของเราได้อย่างไร นี้มันก็โทษใครไม่ได้ ก็เขายังไม่รู้ว่าจะทำได้อย่างไร เราก็ไม่โทษเขา แล้วข้อที่คนที่รู้ไม่ช่วยให้เขารู้ มันก็ยังโทษเขาไม่ได้ เพราะมันหายากเหมือนกัน คนที่จะรู้ เพราะฉะนั้นเราเอาเป็นว่ามาปรึกษาหารือ ปรับปรุงแก้ไขกันไปตามเรื่องให้สำเร็จประโยชน์ตามที่เราต้องการ
ข้อที่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์จริงนี้ คนส่วนมากก็จะนึกถึงพระพุทธเจ้าในสมัยที่ยังเป็นมนุษย์มีชีวิตอยู่ ประทับอยู่ในประเทศอินเดีย เดี๋ยวนี้ก็สองพันกว่าปีแล้วที่ได้ปรินิพพานไป แล้วจะไปเอาพระพุทธเจ้าพระองค์จริงพระองค์นั้นมาใส่ในจิตใจของเราได้อย่างไร นี่ก็เป็นความสงสัยข้อแรก แล้วถ้าเป็นว่าคนหนึ่งเอามาใส่ไว้ในจิตใจของตนเสียแล้ว คนอื่นๆ จะเอามาจากไหนเล่า เพราะมันมีองค์เดียว นั่นแหละคิดดูเถิดว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร เมื่อไม่เข้าใจก็เห็นว่าเป็นคำพูดที่เหลวไหล ปรับให้อาตมาพูดอย่างละเมอเพ้อฝันไปเสียอีก ข้อนี้ขอยืนยันว่าเราจะต้องมีพระพุทธเจ้าพระองค์จริงมาประทับอยู่ในจิตใจของเราอย่างน้อยที่สุดก็ในเวลาที่ทำวิสาขบูชานี้ พระพุทธเจ้าพระองค์จริงคืออย่างไรนั้น เราต้องระลึกนึกถึงคำตรัสของพระองค์เองอีกนั่นแหละว่า ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา หรือว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต ผู้ใดเห็นตถาคตผู้นั้นเห็นธรรม อย่างนี้ก็มี หมายความว่าแม้จะเห็นร่างกายของพระองค์ ยังไม่ชื่อว่าเห็นพระองค์ ต่อเมื่อเห็นธรรม เห็นพระธรรม เห็นตัวธรรมที่แท้จริงถึงจะชื่อว่าเห็นพระองค์ ข้อนี้ทำให้พูดได้ต่อไปอีกว่า ถ้าผู้ใดมีธรรม ผู้นั้นมีพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ผู้ใดอยู่กับธรรม ผู้นั้นอยู่กับพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ขอให้จับหลักในขั้นแรกนี้ไว้ให้ดีก่อนว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า ผู้ใดเห็นพระพุทธเจ้า ผู้นั้นเห็นพระธรรม เป็นอันว่าไม่ใช่ร่างกายเนื้อหนังที่เดินไปเดินมาอยู่ในประเทศอินเดียครั้งกระนู้น แต่ว่าเป็นพระธรรมที่มีอยู่ตลอดเวลาตลอดกาล นับไม่ได้ คำนวณไม่ได้ทั้งข้างหน้าและข้างหลังที่แล้วมา ธรรมในลักษณะนี้ไม่มีอายุ เขาเรียกว่ามีอายุที่คำนวณไม่ได้ นี่ ธรรมะนี้ทำให้บุคคลเป็นพระพุทธเจ้า พระสิทธัตถะเป็นพระพุทธเจ้าก็เพราะธรรมอันนี้ เห็นธรรมนั้นแหละ จะชื่อว่าเห็นพระพุทธองค์ ทีนี้มีข้อที่จะต้องสังเกตไว้ว่าคำว่าพระตถาคตนั้นก็คือผู้ที่ถึงแล้วซึ่งตถา ตถา คือความเป็นอย่างนั้นไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น นั่นก็คือธรรมอีกนั่นเอง ตถาคต ตถาคะตะ ก็ถึงแล้วซึ่งตถา ก็ถึงซึ่งธรรมซึ่งเป็นอย่างนั้นไม่รู้จักเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น เราจะเข้าใจคำว่าพระพุทธเจ้าหรือคำว่าตถาคตให้ถูกต้อง ทีนี้ก็มีพระพุทธภาษิตสืบต่อไปอีกว่า ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท นี่เพื่อจะขยายความให้ชัดลงไปว่า ที่ว่าเห็นธรรมนั้นคือเห็นปฏิจจสมุปบาท พูดย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นพระตถาคต, ผู้ใดเห็นพระตถาคต ผู้นั้นเห็นธรรม, ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท, ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม เมื่อเห็นธรรมก็คือเห็นพระตถาคต ฉะนั้นธรรมในที่นี้ก็คือปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง ถ้ารู้ว่าปฏิจจสมุปบาทเป็นอย่างไรแล้ว ก็จะง่ายเข้าเป็นอันมากทีเดียวในการที่จะเห็นพระพุทธองค์ และในการที่จะมีพระพุทธองค์ไว้กับเนื้อกับตัวหรือว่าในการที่จะอยู่กับพระพุทธองค์อย่างแท้จริง
ทีนี้การมีพระพุทธเจ้าพระองค์จริงคือธรรมอยู่กับเนื้อกับตัวนั้น มันเป็นไปได้ ข้อแรกก็คือว่าสิ่งนี้มีอยู่ตลอดกาล ไม่จำกัดกาล ถึงแม้พระพุทธองค์ก็จะตรัสว่าธรรมะวินัยใดที่เราได้แสดงไว้บัญญัติไว้นั้น จักอยู่เป็นศาสดาของพวกเธอ หลังจากการล่วงลับไปแล้วแห่งเราโดยทางร่างกาย นี้เป็นขั้นต้นที่ให้รู้ไว้เสียชั้นหนึ่งก่อนว่าแม้พระพุทธเจ้าที่เป็นมนุษย์บุคคลนั้นจะล่วงลับไปแล้ว แต่พระศาสดาแท้จริงจะยังอยู่กับพวกเราทั้งหลาย นั้นก็คือพระธรรม เราอาจจะตีความหมายได้เป็นสองอย่างว่าพระศาสนายังอยู่ ไม่ได้สาบสูญไปไหน แม้ว่าพระพุทธเจ้าจะปรินิพพานไปโดยพระวรกาย แต่พระธรรมกายหรือพระคุณของพระองค์ยังอยู่ในฐานะเป็นพระศาสนา นี้แปลว่าพระศาสนายังอยู่ ทีนี้พูดอีกสำนวนหนึ่งก็ว่าพระองค์จริงยังอยู่ พระองค์จริงมิได้ตายมิได้เอาไปเผาเอาไปถวายพระเพลิงอะไรอย่างที่เขายึดมั่นกันนัก พระพุทธเจ้าพระองค์จริงนั้นท่านไม่ตาย เผาท่านไม่ได้ ถวายพระเพลิงท่านไม่ได้ นั่นมันเป็นแต่สรีระร่างของท่าน ส่วนพระพุทธเจ้าพระองค์จริงยังอยู่ตลอดกาล ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม ฉะนั้นธรรมะยังอยู่ตลอดกาล เห็นพระพุทธเจ้าที่เป็นพระธรรม เห็นพระธรรมที่เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริงได้ แม้คำที่ตรัสว่าเห็นปฏิจจสมุปบาทคือเห็นธรรม เห็นธรรมคือเห็นปฏิจจสมุปบาทนั้น ยิ่งเห็นได้ตลอดกาล เพราะว่าปฏิจจสมุปบาทนี้เป็นกฎของธรรมชาติที่จะยังอยู่กับธรรมชาติตลอดกาล เพราะฉะนั้นเราในชั้นหลังยังมีโอกาสที่จะเห็นปฏิจจสมุปบาท ต่อไปในอนาคตสักกี่หมื่นปีแสนปีล้านปี ถ้ามนุษย์ยังมีสติปัญญาอยู่ก็จะยังเห็นปฏิจจสมุปบาทได้ จึงเป็นอันว่าไม่หมดโอกาส ไม่จำกัดกาล ทีนี้พระศาสนาก็ยังอยู่ เราก็มีที่พึ่งโดยการปฏิบัติตามศาสนา พระพุทธเจ้าพระองค์จริงก็ยังอยู่จนเราสามารถนำเข้ามาไว้ในจิตใจของเราได้ คืออยู่กับพระพุทธเจ้าได้จริงๆ คนที่ไม่เข้าใจก็ไม่ยอมเชื่อหรอก เห็นเป็นพูดเล่น เป็นพูดหลอก เป็นพูดล้อ เป็นพูดโฆษณาชวนเชื่อไปเสีย อาตมาขอให้ท่านทั้งหลายตั้งใจฟังให้ดีว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ เดี๋ยวนี้เราจะทำประทักษิณทางกาย กล่าวคำบูชาทางวาจาและในจิตใจก็จะมีพระพุทธเจ้าพระองค์จริงอยู่ในหัวใจตลอดเวลาด้วย เราจะเวียนประทักษิณอุทิศบูชาพระคุณของพระพุทธองค์ ซึ่งเราจะกล่าวพระคุณของพระองค์กันในขณะนี้สักบทหนึ่งว่า ผู้ที่ดับไฟแห่งตัวกูได้ทั้งของตนเองและผู้อื่น ไฟที่ร้อนที่สุดนั้นคือไฟแห่งตัวกู เดี๋ยวมันออกมาเป็นโลภะ เดี๋ยวมันออกมาเป็นโทสะ เดี๋ยวออกมาเป็นโมหะ นี้ไฟแห่งตัวกู เผาร้อนยิ่งกว่าไฟใด พระพุทธเจ้าท่านดับไฟนี้ได้ ทั้งแก่พระองค์เองและแก่พระสาวกทั้งหลาย เราจึงมาเวียนประทักษิณอุทิศแก่พระองค์ผู้ดับไฟแห่งตัวกู ทั้งของพระองค์เองและของบุคคลอื่น ฉะนั้นเมื่อท่านทั้งหลายเดินเวียนประทักษิณ จงทำในใจถึงบุคคลผู้นี้ คือผู้ที่ดับไฟในใจของเราได้และของพระองค์เองก่อนแล้ว อย่าฟุ้งซ่านไปตามสิ่งใดเลย ในจิตใจจงนึกถึงผู้มีพระเดชพระคุณ พระมหากรุณาธิคุณอันใหญ่หลวงพระองค์หนึ่งคือผู้ที่ดับไฟแห่งตัวกูได้นั่นเอง นั่นแหละเราจะมีการกระทำชนิดที่มีพระพุทธเจ้าอยู่ในใจของเราในขณะการทำประทักษิณ
ทีนี้จะอธิบายข้อนี้ให้ละเอียดออกไป ก็ต้องอาศัยหลักที่กล่าวมาแล้วว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ซึ่งเมื่อเห็นธรรมนี้แล้วก็เห็นพระพุทธองค์ เห็นด้วยจิตใจ ต้องมีอยู่ในจิตใจ อยู่ข้างนอกเห็นไม่ได้ นี่ขอให้เข้าใจไว้ให้ชัดเจนว่า การเห็นธรรมะนั้น เห็นข้างนอกไม่ได้ เพราะต้องเห็นด้วยจิตใจ การที่เห็นด้วยจิตใจได้ มันต้องมีอยู่ในจิตใจ เป็นความรู้ก็ได้ เป็นความสว่างไสวแจ่มแจ้งก็ได้ เป็นความรู้สึกสงบเย็น เป็นผลของความรู้นั้นก็ได้ ก็จะได้ชื่อว่ามีสิ่งนั้นอยู่ในจิตใจ แล้วเห็นด้วยจิตใจต่อสิ่งนั้นในขณะนั้น เดี๋ยวนี้เรื่องปฏิจจสมุปบาทเป็นเรื่องสำคัญ คือเป็นหัวใจทั้งหมดของพระพุทธศาสนา แต่ว่าท่านทั้งหลายไม่เคยได้ยิน เพราะว่าไม่มีใครเอามาพูดให้ฟัง เขาถือว่าเป็นเรื่องยากเกินไปก็ชวนไม่พูดกันเสียเลย เรื่องปฏิจจสมุปบาทก็เลยกลายเป็นเรื่องลึกลับ ทั้งที่พระพุทธเจ้าท่านไม่ประสงค์อย่างนั้น ท่านประสงค์ให้ทุกคนทราบเรื่องนี้ในฐานะเป็นเงื่อนต้น เป็นจุดตั้งต้นของการประพฤติพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนา ท่านเรียกเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้ว่าเป็นอาทิพรหมจรรย์ คือเป็นเบื้องต้นของการประพฤติในพระศาสนา ปฏิจจสมุปบาทนั้นโดยใจความก็คือว่าความจริงสูงสุดของธรรมชาติที่แสดงอยู่ว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็มี ที่เกี่ยวกับคนที่มีชีวิตนั่น แสดงไว้ในรูปโครงที่ว่าเมื่อตากับรูปมาถึงกันเข้าก็เกิดการเห็นทางตา คือจักษุวิญญาณ สามอย่างนี้คือตากับรูปและจักษุวิญญาณถึงกันเข้าพร้อมกันนี้เรียกว่าผัสสะ เช่นเราเห็นรูปก็ได้ชื่อว่าเราได้มีสัมผัสต่อรูป ทีนี้เพราะผัสสะนี้เป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา รู้สึกพอใจบ้างไม่พอใจบ้าง เพราะเวทนานี้เป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา จึงเกิดความอยากไปตามเวทนานั้น เพราะมีตัณหาความอยาก จึงมีผู้อยากคือความคิดว่าตัวกูอยากอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องการอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น หาใช่ตัวกูที่แท้จริงที่ไหนไม่ นี้เรียกว่าอุปาทาน คือความยึดมั่นเป็นตัวกูเป็นของกูขึ้นมา อุปาทานนี้มีแล้วก็เรียกว่ามีภพ คือมีการตั้งความเป็นขึ้นมา เป็นบุคคลคนนั้นที่มีความต้องการอย่างนั้น ยึดมั่นอยู่อย่างนั้น เพราะมีภพนี้เป็นปัจจัย ก็เรียกว่ามีชาติคือการเกิดขึ้นแห่งตัวกูแล้ว ก็เลยมีความทุกข์ด้วยปัญหาอันเกิดมาจากความเกิดแก่เจ็บตาย ความโศกเศร้าร่ำไรรำพัน ความประสบกับสิ่งที่ไม่พอใจ ความพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ ความที่ปรารถนาแล้วไม่ได้ตามใจนี่ ก็กลุ้มรุมกันเข้ามา นี่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท ในทุกคนลองคิดดูมันอยู่ที่ไหน มันก็อยู่ที่คนทุกคน อยู่ในจิตใจ ในความรู้สึกของคนทุกคน แล้วมันมีเมื่อไหร่ มีแทบตลอดวัน บ่อยๆ ในวันหนึ่งหลายๆ ครั้ง นั่นแหละคือปฏิจจสมุปบาท ที่จะต้องเห็นให้ชัดลงไปว่าความทุกข์มันได้เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ ทีนี้ในฝ่ายตรงกันข้าม ก็คือว่าเมื่อได้เห็นรูปเป็นต้นมีผัสสะแล้ว มีสติปัญญา มีวิชชาความรู้ของพระพุทธองค์ มาทันท่วงที แม้จะเกิดเวทนาขึ้นมา ก็รู้สึกแต่ว่าเวทนาเท่านั้น ไม่ทำให้เกิดตัณหาหรือความอยากไปตามอำนาจของเวทนานั้น ตัณหาไม่เกิดแล้ว อุปาทานก็ไม่เกิด ภพก็ไม่เกิด ชาติก็ไม่เกิด ความทุกข์ก็ไม่เกิด นี่คือความไม่เกิดขึ้นได้แห่งความทุกข์ เป็นปฎิจจสมุปบาทฝ่ายดับทุกข์ ปฎิจจสมุปบาทจึงมีเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายหนึ่งความทุกข์เกิดขึ้นอย่างไรก็รู้แจ้ง ฝ่ายหนึ่งความทุกข์ไม่อาจจะเกิดได้อย่างไรหรือตั้งเค้าขึ้นมาแล้วก็ดับไป อย่างนี้ก็รู้แจ้ง รู้แจ้งทั้งสองฝ่ายอย่างนี้เรียกว่ารู้ปฏิจจสมุปบาท ถ้าเห็นประจักษ์ด้วยใจจริง ด้วยรู้สึกในภายใน ก็เรียกว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท เราจะไปดูที่ไหน จะไปฟังที่โรงเรียนหรืออ่านหนังสือหรืออะไรมันไม่ได้ มันต้องดูในใจ ขณะที่มีการสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจเองด้วย ถ้ารู้เห็นปฏิจจสมุปบาทนี้จริงๆ แล้วก็เรียกว่ารู้เห็นธรรม รู้เห็นธรรมนั่นแหละคือรู้เห็นองค์พระพุทธเจ้า ฉะนั้นองค์พระพุทธเจ้าคือธรรมที่แท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือธรรมที่จะทำให้ดับทุกข์ได้ เมื่อรู้และดับทุกข์ได้ ธรรมนั้นแหละคือพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ท่านตรัสไว้อย่างนั้น ไม่ใช่อาตมาว่าหรือใครว่า หรือแกล้งเกณฑ์ กะเกณฑ์ ให้ใช้เหตุผลอย่างนั้นอย่างนี้มันไม่เป็นไปได้ แต่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ว่าเห็นธรรมเห็นเรา เห็นเราเห็นธรรม เห็นปฏิจจสมุปบาทเห็นธรรม เห็นธรรมเห็นปฏิจจสมุปบาท ฉะนั้นจึงดูปฏิจจสมุปบาทจากข้างในเห็นแล้วก็คือเห็นธรรม คือเห็นองค์พระพุทธเจ้า เมื่อเราอยู่ด้วยความเห็นอันนี้ ชื่อว่าเราอยู่กับพระพุทธเจ้า เมื่อเรามีความรู้ความเห็นอันนี้ชื่อว่าเรามีพระพุทธเจ้า เราอยู่กับความคิดเห็นอันนี้ตลอดเวลาก็คือเราอยู่กับพระพุทธเจ้า ฉะนั้นชั่วเวลาอันเล็กน้อยที่ท่านทั้งหลายอุตส่าห์มาจากที่ไกล ท่านจะทำจิตใจให้มองเห็นความรู้สึกอันนี้อย่างแจ่มชัดสักครู่หนึ่งจักไม่ได้เชียวหรือ ในขณะที่เดินเวียนประทักษิณ ขอให้กำหนดรู้ความจริงข้อนี้อย่างที่อาตมาได้กล่าวมาแล้วว่าเป็นอย่างไร อย่าเสียทีที่มาจากที่ไกล เปลืองมาก เหนื่อยมาก ลำบากมาก ประกาศตัวออกมาว่าจะมาศึกษาให้รู้พระธรรมบ้างก็มี จะมาทำประทักษิณเวียนวิสาขบูชาให้ดีที่สุดก็มี มันจะเป็นอย่างนั้นได้ก็มีแต่ทางเดียวเท่านั้นคือทำโดยจิตใจโดยแท้จริง ทั้งหมดทั้งสิ้นแห่งกำลังใจ ให้รู้พระธรรมข้อนี้ ฉะนั้นขอให้สนใจเถิด จะได้มีพระพุทธเจ้าพระองค์จริง โดยหลักที่ว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ปฏิจจสมุปบาทก็คือว่าความทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร ความทุกข์ดับลงไปอย่างไร พูดสั้นๆ เท่านี้ แต่รายละเอียดก็เหมือนที่ว่ามาแล้ว ทีนี้ถ้าว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท ต่อความทุกข์เกิดขึ้นอย่างนั้นดับลงอย่างนั้น มันก็เห็นธรรมะหมดแหละ เช่นเห็นพระไตรลักษณ์ ว่าอนิจจัง ว่าทุกขัง ว่าอนัตตา ลองเห็นปฏิจจสมุปบาทเถิด ก็จะเห็นอนิจจัง คือมันเป็นกระแสของการปรุงแต่ง ไหลไป นี่เป็นอนิจจัง มันน่าเกลียดน่าชัง มันทำทุกข์ทรมานให้แก่ผู้ยึดถือ นี่เป็นทุกขัง แล้วการเป็นอย่างนั้นน่ะมันไม่ใช่ตัวตนอันแท้จริงที่ไหน นั่นคืออนัตตา ฉะนั้นการเห็นปฏิจจสมุปบาทก็คือการเห็นอนัตตาด้วยอย่างเดียวกัน เมื่อเห็นปฏิจจสมุปบาท นั่นคือเห็นอิทัปปัจจยตา คือความจริงที่ว่าเมื่อสิ่งนี้มีสิ่งนี้ก็จะมี สิ่งนี้มีสิ่งนี้ก็จะมี อาศัยกันและกันเกิดขึ้นเรื่อยไป นี้ก็เป็นตัวธรรมที่จะต้องเห็น ถ้าเห็นแล้วจะเห็นไตรลักษณ์ เห็นอะไรชัดเจนยิ่งขึ้น
และอีกอย่างหนึ่งการเห็นอย่างนี้เรียกว่าเห็นพระตถาคต ตถาคตคือ ตถาคะตะ คือผู้ถึงแล้วซึ่งตถา อย่างที่ว่ามาแล้วข้างต้น ว่าตถาคือความแน่นอน ความเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น คือกฎแห่งอิทัปปัจจยตานั่นเอง ผู้ถึงแล้วซึ่งกฎนั้น คนนั้นเรียกว่าถึงแล้วซึ่งตถา ถึงแล้วซึ่งตถาก็คือตถาคต ฉะนั้นผู้ใดก็ตาม เมื่อเห็นซึ่งตถาคือเห็นกฎอันนี้ คนนั้นชื่อว่าตถาคต เป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ ไม่เป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ คือเป็นพระอรหันต์ธรรมดาก็ได้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ ขอแต่ให้เห็นสิ่งที่เรียกว่าตถา เถิด ก็เป็นตถาคตไปทั้งนั้น ทีนี้ถ้าเห็นว่าความทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร แล้วความทุกข์ดับไปอย่างไรโดยนัยยะแห่งปฏิจจสมุปบาท นี้ก็คือเห็นอริยสัจ ๔ เห็นว่าทุกข์เกิดขึ้นเพราะมีเหตุอย่างนี้ ทุกข์ดับลงเพราะมีการปฏิบัติอย่างนี้ นี้ก็คืออริยสัจ ๔ จึงเป็นอันว่าเห็นอริยสัจ ๔ นี้ก็คือเห็นธรรม ทีนี้ก็เห็นผลของธรรมพร้อมกันไปในตัว พระธรรมนี้ให้ผลทันควันไม่ต้องรอ ที่เข้าใจว่าจะได้รับต่อชาตินั้นชาตินี้ชาติโน้น อันนั้นมันคนว่าเอาเองทีหลัง กรรมใดก็ตามทำลงไปแล้วมีผลทันควันที่นั่น ที่ว่าชาติหน้าชาติโน้นนั้นมันเป็นเศษของมัน คือปฏิกิริยาที่เนื่องด้วยสังคมเนื่องอะไรต่างๆโน่น แล้วไปยึดถือกันที่นั่นมากเกินไป จนไม่มองเห็นว่ากรรมนั้นทำลงไปที่ไหน เมื่อไหร่ ก็มีผลทันใดที่นั่น เมื่อนั้น ฉะนั้นขอให้มีการเห็นธรรมเถิด ผลของการเห็นธรรม ก็จะออกมาทันที ฉะนั้นจึงเห็นความว่าง เห็นพระนิพพาน มีจิตใจว่างจากความยึดถือโดยประการทั้งปวง ก็เป็นอันว่าเห็นพระนิพพาน ในระดับใดระดับหนึ่งหรือว่าเต็มระดับก็ได้ ในขณะนั้นเองก็คือในขณะที่เห็นปฏิจจสมุปบาทโดยครบถ้วนนั่นเอง เมื่อเป็นดังนี้ ท่านทั้งหลายก็จะเห็นได้ว่าเราจะพูดอย่างไรก็ได้ พูดด้วยคำไหนก็ได้ คือจะพูดว่าเห็นธรรมก็ได้ เห็น ปฏิจจสมุปบาทก็ได้ เห็นไตรลักษณ์ก็ได้ เห็นตถาตาก็ได้ เห็นอิทัปปัจจยตาก็ได้ เห็นอริยสัจก็ได้ เห็นสุญญตาก็ได้ เห็นนิพพานก็ได้ มากเหลือเกิน คำพูดที่แทนกันได้นี้มากเหลือเกิน แต่สรุปแล้วก็คือเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ผู้ใดเห็นตถาคต ผู้นั้นเห็นธรรม
อาตมาจึงหวังว่าขอให้ท่านทั้งหลายเห็นธรรม โดยความหมายใดความหมายหนึ่ง ให้เต็มสติปัญญาของท่านเถิด แล้วก็เวียนประทักษิณอยู่ จะชื่อว่ามีพระพุทธอยู่ในใจของท่าน การทำวิสาขบูชานั้นก็จะสูงสุด เต็มตามความหมาย นี่แหละขอให้มองให้ชัดให้เห็นชัดว่ามีพระพุทธเจ้าพระองค์จริงนั้น ดูจะไม่ยากไม่ลำบาก เพียงแต่พยายามจะเห็นความจริงของปฏิจจสมุปบาท ที่อยู่ที่เนื้อที่ตัวของเราทุกกระเบียดนิ้ว ไม่ต้องไปซื้อหาที่ไหน จะได้พระพุทธเจ้าพระองค์จริง ไม่ใช่พระพุทธเจ้าชนิดที่ไปซื้อมาตั้งหลายพันหลายหมื่น แล้วก็จะต้องลงทุนกรอบทองกรอบเลี่ยมอะไรต่างๆ หลายร้อยหลายพันแล้วก็มาแขวนอยู่ อย่างนี้ลงทุนมาก ปลุกปล้ำมาก เหนื่อยมาก เป็นพระพุทธเจ้าแบบนั้นลำบากมาก เห็นพระพุทธเจ้าหรือมีพระพุทธเจ้าแบบที่ท่านตรัสไว้นี้ไม่ลำบาก ไม่ลงทุนมาก ไม่ยุ่งยากมาก อุตส่าห์มองข้างใน ให้เห็นสิ่งที่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท ที่ท่านยังไม่เข้าใจเพราะไม่คุ้นกับคำๆ นี้ พูดเสียใหม่ว่าความจริงอันสูงสุดของธรรมชาติ ที่ว่าความทุกข์เกิดขึ้นอย่างไรและความทุกข์ดับลงไปอย่างไร เป็นเรื่องสำคัญที่สุดซึ่งพระพุทธองค์ตรัสว่านี้เป็นจุดตั้งต้น เป็นรากฐาน เป็นตัวการและก็เป็นผลสุดท้าย เป็นหมดเลยสำหรับพรหมจรรย์ อยากจะบอกให้ทราบสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยทราบว่าเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้สำคัญเป็นพิเศษ จนถึงกับพระพุทธองค์ทรงนำมากล่าวรำพึงเล่นด้วยพระองค์เองอยู่พระองค์เดียว ขอพูดตัดลัดให้สั้นๆ สักหน่อยว่า เหมือนกับมาร้องเพลงเล่นอยู่อย่างคนสมัยนี้ เขาชอบใจเพลงอะไร เขาก็เอาเพลงนั้นมาร้องติดปากอยู่เมื่อยามว่าง เมื่ออยู่คนเดียว ทีนี้เรื่องทั้งหลายในพระบาลีพระไตรปิฎกทั้งหมดทั้งสิ้นนี้มีมาก แล้วไม่มีเรื่องใดเลยนอกจากเรื่องนี้เรื่องเดียวที่พระพุทธเจ้าทรงนำเอามาพึมพำเล่นอยู่ลำพังพระองค์ ว่าด้วยทางตาก่อน ตา รูป ถึงกันเข้าเกิดจักษุวิญญาณ ๓ ประการนี้เรียกว่าผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยแล้วมีเวทนา มีเวทนาเป็นปัจจัยก็มีตัณหา ตัณหาเป็นปัจจัยก็มีอุปาทาน อุปาทานเป็นปัจจัยก็มีภพ ภพเป็นปัจจัยก็มีชาติ ชาติเป็นปัจจัยก็มีทุกข์ทั้งหลาย เมื่อเสร็จเรื่องตาไปแล้ว ก็หยิบเรื่องหูขึ้นมาทรงพึมพำเล่นอีก หูกับเสียงถึงกันเข้าเกิดโสตวิญญาณ แล้วเกิดผัสสะ เกิดเวทนา จบไปแล้วก็หยิบเรื่องจมูกมาอีก จมูกกับกลิ่น ก็มีสัมผัส มีวิญญาณ มีวิญญาณ มีสัมผัส มีเวทนา มีตัณหาเรื่อยไปจนเกิดทุกข์ แล้วก็หยิบเรื่องลิ้นกับรสถึงกันเข้า ก็มีชิวหามีวิญญาณ มันเหมือนกับเด็กแจกสูตรคูณอย่างนั้นแหละ นี่เราไม่ใช่พูดลบหลู่พระองค์ แต่ว่าพูดให้ฟังง่ายว่าเหมือนกับเด็กท่องสูตรคูณแจกสูตรคูณ เรื่องตาแล้วเรื่องหูแล้วเรื่องจมูกแล้วเรื่องลิ้นแล้วเรื่องกายแล้วก็เรื่องใจ ในรูปเดียวกันหมดวนไปวนมาอยู่อย่างนี้ นี่ขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าไม่เคยพบเท่าที่อาตมาได้ผ่านๆ มา ทุกหน้าของพระไตรปิฏก ไม่มีเรื่องไหนที่พระองค์ทรงนำมาพึมพำเล่นโดยพระองค์เองลำพังพระองค์เดียวอย่างนี้เหมือนกับเรื่องปฏิจจสมุปบาท แล้วจะไม่ให้ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญอย่างไร มันก็เป็นเรื่องหัวใจของพระพุทธศาสนา ขอให้ทุกคนสนใจเรื่องปฏิจจสมุปบาท ถ้าเดี๋ยวนี้ยังไม่ทราบ ต่อไปข้างหน้าก็คงจะทราบยิ่งๆ ขึ้นไป แต่เดี๋ยวนี้ก็จะเอาแต่เพียงว่าทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร ทุกข์ดับลงไปอย่างไร ให้รู้เรื่องนั้นเถิด ก็คือรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท ฉะนั้นเราแจ่มแจ้งอยู่ว่าทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร ทุกข์ดับไปอย่างไร ตามที่ได้ยินได้ฟังมาแล้ว และตามที่เรารู้สึกด้วยตนเอง เพราะมันได้เกิดขึ้นแก่เราแล้ว แล้วก็เห็นว่าเป็นความรู้ที่สูงสุดคือพระธรรม คือทำบุคคลให้เป็นพระพุทธเจ้าได้ แล้วก็เดินเวียนประทักษิณด้วยความรู้สึกอย่างนี้ อาตมาถือว่ามีพระพุทธเจ้าอยู่ในใจของเรา และเราก็เดินเวียนประทักษิณบูชาคุณของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง โดยครบบริบูรณ์ทั้งทางกายทั้งทางวาจาและทั้งทางใจ นี่คือความมุ่งหมายในวันนี้ ว่าเราจงทำวิสาขบูชาให้เป็นการเลื่อนชั้นยิ่งขึ้นไปทุกปีๆ ก็จะไม่เสียทีที่ท่านทั้งหลายได้อุตส่าห์มากันจนถึงที่นี่ และขอร้องให้ทำเต็มที่ด้วยการเสียสละ เช่นว่าทางกาย ก็ยอมแม้จะลำบากบ้าง จะถอดรองเท้าออกเสียก็จะต้องเจ็บปวดบ้าง พอเจ็บปวดที่เท้าขึ้นมาก็ให้นึกว่าพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่มีรองเท้าใช้ แล้วท่านจะเจ็บปวดอย่างไรก็คำนวณดูเอง ฉะนั้นถ้าเราเจ็บปวดเท้าเพราะถอดรองเท้าเดินอยู่ที่นี่ ก็จะรู้จักพระพุทธเจ้าดีขึ้น ว่าท่านไม่เคยใช้รองเท้าท่านจะต้องปวดอย่างไร ทีนี้เรามาสวมรองเท้าก็ดูเหมือนกับเอาเปรียบ ไม่รู้เรื่องที่เป็นความจริง นี่ยกเป็นตัวอย่างเท่านั้นแหละ ว่าจะลำบากบ้าง ก็บูชาด้วยความลำบากนั้นยิ่งกว่าดอกไม้ธูปเทียน อย่าโกรธ อย่าหาว่าอาตมาแกล้งพูดว่าความปวดเท้าที่เราต้องมีนั่นแหละเป็นเครื่องบูชายิ่งกว่าดอกไม้ธูปเทียน เพราะมันต้องเสียสละมากกว่า ฉะนั้นทุกอย่างแหละจะต้องเสียสละ ทีนี้วาจา ก็ว่าให้ถูกต้อง จิตก็ตั้งไว้ให้ถูกต้อง แล้วก็จะมีกายวาจาใจที่ถูกต้องในการทำวิสาขบูชา แล้วจะไม่เรียกว่ามันเลื่อนชั้นแล้วจะเรียกว่าอะไร เลื่อนชั้นยิ่งขึ้นไปทุกปีๆ ด้วยการทำอย่างนี้ แม้ว่าฝนจะตกลงมา ความเปียกหรือความลำบากเพราะฝนนั่นแหละ จะใช้บูชาคุณของพระพุทธองค์ต่อไปอีก อาตมาอยากให้ฝนตกลงมาเร็วๆ ให้ท่านทั้งหลายเปียกปอน จะทดสอบกันดูทีว่าจะใช้เป็นเครื่องบูชาคุณพระพุทธเจ้าได้หรือไม่ นี่เป็นตัวอย่าง
เป็นอันว่าในที่สุดนี้ อาตมาถือว่าท่านทั้งหลายก็มีความพร้อมแล้วที่จะทำวิสาขบูชา ขอให้เราดำเนินการนี้ต่อไป อาตมาขอยุติธรรมเทศนาซึ่งเป็นเพียงการเตรียมจิตใจของท่านทั้งหลายให้เหมาะแก่การทำวิสาขบูชาในวันนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอยุติธรรมเทศนาไว้แต่เพียงเท่านี้
ทีนี้ก็จะได้ทำพิธีวิสาขบูชา เอ้า,ขอให้พระเณรทั้งหลายจุดธูปเทียนยืนขึ้น จุดธูปเทียนแล้วยืนขึ้น/ ฆราวาสทั้งหลายรอก่อน ฆราวาสทั้งหลายรอก่อน ขอให้พระทำก่อน/ แล้วก็ยืนขึ้น จุดธูปเทียนแล้วยืนขึ้น ฆราวาสรอก่อน ขอเวลานิดเดียว คือพระสงฆ์ทั้งหลายท่านจะทำโดยภาษาบาลี แล้วท่านทั้งหลายก็จะทำโดยภาษาไทย แล้วเราค่อยเวียนเทียนประทักษิณ พระทั้งหลายมีหุ้นส่วน แม้ว่าไม่ได้ออกไปเดินเวียนเพราะที่มันไม่อำนวย จะไปเบียดฆราวาสนั้นไม่ได้ ก็จะขอเวียนด้วยจิตใจนั่งอยู่ที่นี่แล้วสวดพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายทุกท่านถือว่าแม้พระสงฆ์ทั้งหลายก็ได้เวียนเทียนประทักษิณด้วย ผินหน้าไปทางทิศใดทิศหนึ่งตามชอบใจ อย่าผินมาทางผม ทิศใดทิศหนึ่งตามชอบใจ เอาล่ะ,ขอให้ทุกคนหลับตา อย่าให้มีทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตกหรือทิศเบื้องบนหรือทิศเบื้องล่าง ให้เป็นความว่างอันเดียวกันหมด ไม่มีประเทศไทย ไม่มีประเทศอินเดีย ไม่มีโลกนี้ ไม่มีโลกไหน มีจิตใจเป็นอย่างนี้ นั้นเป็นจิตใจที่ถึงความว่าง ถึงพระพุทธเจ้าแท้จริงอยู่ในตัวโดยปริยายหนึ่ง ฉะนั้นเราไม่ต้องหันไปประเทศอินเดีย หรือไม่ต้องหันไปทางไหน ตะวันออก ตะวันตกอะไร มีจิตใจเข้าถึงความว่าง ซึ่งเป็นองค์พระพุทธเจ้าโดยปริยายหนึ่ง เมื่อมีความพร้อมโดยจิตใจอย่างนี้แล้ว ก็กล่าวคำบูชาเป็นภาษาบาลีต่อไป...เป็นการสวดมนต์ (นาทีที่ 45.40-จบไฟล์) … (จบไฟล์) //