แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไม่ต้องรับเลยอาสนะของพระพุทธเจ้า นี่พระพุทธเจ้าท่านประสูติกลางดิน ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้ากลางดิน นิพพานก็กลางดิน ที่สวน ต้นสาละ โรงธรรมของท่านก็กลางดิน สอนภิกษุกลางดิน กุฏิของท่านก็พื้นดิน อาตมาไปดูมาแล้ว เป็นอันว่าพระพุทธเจ้าท่านอยู่กลางดินล้วน ขอต้อนรับด้วยอาสนะของพระพุทธเจ้า วันนี้ เวลานี้ ที่นี่ นั่งกันกลางดิน นี่ก็ควรจะสงบจิต ระลึกถึงพระพุทธเจ้าด้วย สักนาที สองนาที สามนาทีก็ยังดี ข้อที่ท่าน ประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน นิพพานกลางดิน สอนอยู่กลางดิน กุฏิก็พื้นดิน จะมีอะไรบ้าง จะให้อาตมาทำอะไรบ้าง พูดอะไร
(นาทีที่ 1:40 ถึงนาทีที่ 2.25 มีเสียงรบกวน) ก็เนื่องในโอกาสที่คณะกรรมการจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการต่าง ๆ ตลอดจนนายอำเภอทุกอำเภอได้มาประชุมกันที่อำเภอไชยานี้ คิดว่าเป็นโอกาสที่ดีที่ได้มานมัสการหลวงพ่อ แล้วก็จะขอรับฟังโอวาทหรือความเห็นบางประการซึ่งหลวงพ่อจะได้กรุณาให้กับพวกเราก่อนที่จะถึงโอกาสวันขึ้นปีใหม่ อยากจะฟังสิ่งใดที่ คำสอนที่เป็นประโยชน์ เป็นเครื่องช่วยในการแนะนำในการปฏิบัติราชการหรือประกอบภารกิจส่วนตัวเพื่อจะเป็นประโยชน์ต่อไป
ลมมันพัดไม่ค่อยได้ยิน เลยต้องใช้เครื่องขยายเสียง อาตมาก็มีความยินดีอย่างยิ่ง ที่ได้เห็นและได้ทราบการมาในวันนี้ ในลักษณะอย่างนี้ สำหรับที่ขอให้ช่วยกล่าวอะไรที่จะเป็นประโยชน์บ้างนี้ ก็ยิ่งยินดี มีเหตุผลตรงที่ว่า เดี๋ยวนี้อาตมาไปไหนไม่ไหวแล้ว ร่างกายมันกำลังไม่อำนวย การได้พูดบ้างโดยไม่ต้องไปที่ไหนนี้ก็เลยเป็นผลดี ก็มีความตั้งใจอยู่เสมอว่า จะบำเพ็ญประโยชน์ ตามที่จะทำได้อยู่ตลอดเวลา เมื่อไปไหนไม่ได้ก็ยังมีโอกาสพูดที่นี่ นี่ก็คือเหตุผลที่รู้สึกมีความยินดีที่ได้มีผู้มาเยี่ยม หรือว่ามาสนทนาด้วย สำหรับการขอร้องให้พูดสิ่งที่จะเห็นว่าเป็นประโยชน์นี้ก็ยินดี เพราะมีชิวิตอยู่ในโลกนี้ เวลานี้ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า ช่วยกันทำความเข้าใจระหว่างกันและกันให้มีความเข้าใจถูกต้อง ในการแก้ปัญหาของมนุษย์ทั้งหมด แต่สำหรับการพูดกันในคราวนี้ ขอให้เป็นว่าอาตมาพูดปรารภวันปีใหม่ดีกว่า หรือว่าจะเป็นการอวยพรปีใหม่ไปเสียเลยก็ได้ เพราะอีกวันสองวันก็จะปีใหม่อยู่แล้ว นี่ก็ควรจะทำความเข้าใจล่วงหน้ากันบ้างสักวันสองวัน วันที่เหลือมันก็จะได้ครบปีไม่ขาด
สำหรับที่กล่าวว่ามันเป็นเพียงความคิดเห็นนี้ อาตมาก็ยืนยันว่ามันเป็นเพียงความคิดเห็น เพราะฉะนั้นควรจะให้โอกาสที่จะพูดได้ตามใจชอบ เพราะว่ามันเป็นเพียงความคิดเห็น ไม่ใช่ความ ไม่ใช่การแนะนำหรือคำแนะนำด้วยซ้ำไป ก็ยังไม่ถึงกับการ เป็นการขอร้องให้ต้องปฏิบัติ แต่เป็นการแสดงความคิดเห็นออกมาว่า มันควรจะเป็นอย่างนี้ ๆ ทีนี้เรื่องมันก็มาก ชั่วเวลาเล็กน้อยนี้ต้องรวบรัดให้ได้เรื่องที่เป็นหัวข้อหรือว่าเป็นประเด็นสำคัญที่รวบเอาปัญหาต่าง ๆ ไว้ได้หมด นี้อาตมาก็นึกมาก ในที่สุดก็นึกออก แต่เฉพาะสิ่งที่เรียกว่าเป็นปัญหาทางศีลธรรม เมื่อพูดถึงศีลธรรม มันก็เนื่องไปถึงการศึกษาด้วย แต่เราจะไม่พูดถึงการศึกษา ไม่พูด เป็นเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะเมื่อคราวอื่น เดี๋ยวนี้อยากจะพูดในชื่อของศีลธรรม โดยที่กล่าวได้เลยว่าปัญหาทุกอย่างในโลกเวลานี้ มันขึ้นอยู่กับปัญหาทางศีลธรรม คือมันขาดศีลธรรม หรือจะเรียกว่าไม่พอ ในบางกรณีมันก็ไม่มีศีลธรรมเอาเสียทีเดียว แล้วโลกทั้งโลกนี้ก็ไม่ได้สนใจคำว่าศีลธรรมกัน โดยไปมุ่งถึงสิ่งต่าง ๆ เป็นปัญหาขึ้นมาเต็มไปหมด เช่นปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง การเกษตรกรรม กสิกรรม พาณิชยกรรม อะไรก็ตาม โดยไม่รู้ว่าทุกอย่างนั้นคือศีลธรรม ไม่มีอะไรที่มิใช่ศีลธรรม ถ้าทำถูกต้องตามความมุ่งหมายของธรรมชาติแล้วเป็นศีลธรรมไปหมด แต่ไม่มองกันในส่วนนี้ ไปมองที่ตัวสิ่งนั้นในแง่ของวัตถุไปเสียหมด เลยเกิดเป็นเรื่องเศรษฐกิจก็ในแง่ของวัตถุ การปกครองก็ในแง่ของวัตถุ การเมืองก็แง่ของวัตถุ อะไรก็เป็นแง่ของวัตถุ สรุปแล้วเรื่องความสุขก็เป็นเรื่องของวัตถุล้วน ๆ ไปหมด นี่มันจึงไม่มีที่ให้สำหรับศีลธรรม หรือเรื่องของศีลธรรมเข้ามา อาตมาจึงขอเสนอ ในฐานะที่ว่าจะเป็นข้อแนะนำก็ดี หรือเป็นข้ออวยพรก็ดี ว่าสิ่งนั้นคือศีลธรรม ต้องสนใจเรื่องศีลธรรมและขอให้มีศีลธรรมเป็นเครื่องคุ้มครองเป็นเครื่องอำนวยความสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป ให้สมกับที่ว่าปีใหม่เข้ามาก็มีศีลธรรมมากขึ้น ดีขึ้น อะไร สมกับปีใหม่ ขอร้องให้สังเกตศึกษาสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรมให้มากขึ้นแล้วมันก็จะเข้ามาช่วยแก้ไขอุปสรรคหรือปัญหาต่าง ๆ ได้มากขึ้น ถ้าพูดอย่างเอาเปรียบสักหน่อยเรียกว่ากำปั้นทุบดินอะไรทำนองนั้น เราก็พูดได้ว่าในโลกนี้ ทั้งโลกปัจจุบันนี้ ถ้าทุกคนมีศีลธรรมแล้ว ปัญหามันไม่มี ถ้านายทุนมีศีลธรรม ชนกรรมาชีพมีศีลธรรมปัญหาก็ไม่มี ไม่เกิดเป็นนายทุน เป็นชนกรรมาชีพขึ้นมาได้ ถ้ามีศีลธรรมแล้ว สิ่งทั้งสองนี้มีไม่ได้ ศีลธรรมเป็นสื่อกลางอยู่ตรงกลาง ไม่ทำให้เกิดนายทุน ไม่ทำให้เกิดชนกรรมาชีพอย่างนี้เป็นต้น หรือไม่เกิดปัญหาอื่น ๆ ที่เนื่องกันอยู่กับสิ่งเหล่านี้ ถ้าว่ามีศีลธรรม ปัญหาทางเศรษฐกิจมันก็มีไม่ได้ ก็คนมันมีศีลธรรม มันไม่เอาเปรียบแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แล้วยังจะช่วยเหลือกันอย่างยิ่งอีก มันก็มีไม่ได้ ทางการเมืองก็เหมือนกัน ถ้ามันมีศีลธรรมแล้วก็ไม่มีปัญหา โดยเฉพาะการปกครองนี่ก็ปกครองคนที่ไม่มีศีลธรรมให้อยู่ในศีลธรรม ผู้ปกครอง ผู้ถูกปกครองหรืออะไรต่าง ๆ ประกอบอยู่ด้วยศีลธรรมแล้วปัญหามันก็ไม่มี นี่เรียกว่าดูให้ดีจะมารวมอยู่ที่นี่ แม้แต่จะรบราฆ่าฟันกัน ถ้ามีศีลธรรมมันก็รบกันไม่ได้ มันให้อภัยได้ มันทนได้ แก้ปัญหาโดยที่ไม่ต้องใช้อาวุธได้ แต่ถ้าต้องรบกันจริง ๆ ก็ขอให้รบอย่างมีศีลธรรม ให้การรบหรือการสงครามนี้เป็นเพียงการรักษาไว้ซึ่งศีลธรรมในโลก แล้วมันก็จะขจัดแต่พวกที่ไม่มีศีลธรรม ขจัดความไม่เป็นธรรม ความไม่ยุติธรรมให้มันหมดไป แล้วสงครามนั้นก็เลยกลายเป็นเครื่องช่วยให้โลกนี้มันมีศีลธรรม แต่เดี๋ยวนี้เราไม่ได้ทำสงครามกันในรูปนั้น มันเป็นสงครามเพื่อเห็นแก่ตัว เพื่อประโยชน์ เพื่ออะไรต่าง ๆ ไอ้สงครามนี้มันก็ไม่เป็นศีลธรรม แล้วศีลธรรมก็มาช่วยแก้สงครามนี่ไม่ได้เพราะว่าคนเขาไม่นับถือสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรม
เราจะพูดกันสักกี่ชั่วโมงก็ได้ถึงสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรมและความจำเป็นที่จะต้องมีศีลธรรม จะมองเห็นชัดยิ่งขึ้นทุกที ๆ แต่แล้วเราก็ไม่มอง เราก็ไม่พูดกันถึงสิ่งนี้ ฉะนั้นจึงขอร้องให้รับไปในฐานะเป็นของขวัญปีใหม่ เป็นพรปีใหม่ เพื่อรับเอาไปศึกษาพินิจพิจารณาสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรม มันแก้ไขในระยะสั้นไม่ได้นี่ นี่ข้อนี้แน่นอน ก็ยอมรับว่าเราจะแก้ไขปัญหานี้ในระยะสั้นไม่ได้ แต่แล้วเราก็ไม่มีทางอื่นที่จะแก้ไขอุปสรรความเลวร้ายในโลกนี้ได้ มันมีแต่ศีลธรรม เพราะฉะนั้นก็จำเป็นจำใจที่จะต้องหวังผลในระยะยาว แก้ไขปัญหาทางศีลธรรมไปเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กันไปกับแก้ปัญหาในทางวัตถุ ซึ่งอาตมาเคยพูดบรรยายไว้ครั้งหนึ่ง มีหัวข้อว่า รบกันพลาง แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันพลาง ข้อนี้ข้อเดียวเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาของโลกในปัจจุบันนี้ได้ เพราะว่าเรื่องรบกันพลาง นี่เราเว้นไม่ได้ มันช่วยไม่ได้มันต้องรบกันพลางเพราะมันมีเหตุปัจจัยหลายอย่างแต่หนหลัง ทำให้ต้องรบกันไปพลาง เมื่อรบกันไปพลางนี่ขอให้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ศีลธรรมแก่กัน พร้อมกันไปในตัว แล้วในระยะยาวนั้นน่ะมันจะแก้ปัญหาได้ โดยมันมีศีลธรรมกลับมา และการรบกันด้วยอาวุธด้วยกำลังนั้นก็จะเพลาลง กระทั่งหายไปในที่สุด นี้ส่วนใหญ่ของโลกก็ต้องเป็นอย่างนี้ ทีนี้ส่วนย่อย ส่วนย่อมก็มาภายในประเทศเรา หนึ่ง ๆ ประเทศใดก็ตามนี้มันก็จะต้องมีนโยบายนี้ คือส่วนที่รบหรือว่าแก้ไขกันด้วยกำลังนี้ก็ต้องทำไป แต่พร้อมกันนั้นก็มีการทำความเข้าใจแก่กันและกันในเรื่องของศีลธรรมยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น มันเป็นโชคดีที่ว่าเดี๋ยวนี้แม้เราจะรบกัน แต่เราก็ยังพูดกันได้ เพราะเรามีเครื่องมือเช่นวิทยุหรืออะไรที่ยิ่งไปกว่านั้นติดต่อกันได้ พูดกันได้อยู่เรื่อยแม้เราจะกำลังรบกัน ยังสามารถที่จะรบกันพลาง แลกเปลี่ยนความเข้าใจถูกต้องกันไปพลาง ในที่สุดก็จะดีขึ้น คือศีลธรรมมันกลับมา ศีลธรรมหายไปมนุษย์ก็มีความเป็นมนุษย์น้อยลง ๆ พูดกันไม่รู้เรื่องกันในที่สุด พอศีลธรรมกลับมา ก็มีความเป็นมนุษย์มากขึ้น ๆ ก็พูดกันง่ายที่สุด เข้าใจกันได้ง่ายที่สุด นั้นจะเป็นนโยบายระดับโลก หรือระดับชาติ หรือระดับหมู่บ้านตำบลอะไรก็ตาม อาตมาคิดว่าจะต้องถือหลักเกณฑ์อันนี้ ส่วนที่จะต้องจัดการด้วยกำลังก็ทำไปพลางแต่พร้อมกันนั้นต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องระหว่างกันและกันยิ่งขึ้น ความเข้าใจถูกต้องนั้นน่ะ คือตัวพระพุทธศาสนา บางคนอาจจะไม่เข้าใจอย่างนี้ก็ได้ เพราะว่าเขาไม่ได้ศึกษาพุทธศาสนามากพอ ถ้าศึกษาพุทธศาสนามากพอจะพบว่า ไอ้ความเข้าใจถูกต้องนั้นน่ะเป็นตัวพระศาสนา เป็นเงื่อนต้น เบื้องต้น และก็เป็นท่ามกลาง และก็เป็นเบื้องปลาย คือเป็นทั้งหมดของสิ่งที่เรียกว่าพระพุทธศาสนา เบื้องต้นก็เข้าใจ ก็คงมีความเข้าใจถูกต้องว่ามันเป็นอะไร มันเป็นอย่างไร เท่าไร นี้ก็เข้าใจถูกต้อง แล้วตรงกลางก็ปฏิบัติอย่างถูกต้อง ในที่สุดก็ได้รับผลเต็มที่ของความถูกต้อง เป็นสันติภาพ สันติสุข ทั้งส่วนบุคคล และทั้งส่วนสังคม ความเข้าใจถูกต้องเรียกว่าสัมมาทิฏฐิ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า สัมมาทิฎฐิ สมาทานา สัพพังทุกขัง อุปัจคุง เราทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย จะก้าวล่วงความทุกข์ทั้งปวงได้เพราะยึดสัมมาทิฎฐิ สัมมาทิฏฐิคือความเข้าใจถูกต้อง นั้นเป็นตัวพรหมจรรย์ เป็นตัวศาสนา จะเป็นความทุกข์เล็ก ๆ น้อย ๆ เรื่องปากเรื่องท้องก็ดี กระทั่งเรื่องสูงสุดคือเรื่องกิเลส ตัณหา เรื่องหมดกิเลส บรรลุนิพพานก็ดี มันขึ้นอยู่กับความเข้าใจให้ถูกต้อง ทีนี้ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือความเข้าใจถูกต้องนี้มันจะมีเพียงอย่างเดียว คือว่ามันจะอยู่ตรงกลาง เป็นความสมดุลของทุกฝ่าย เดี๋ยวนี้โลกมันกำลังบ้าหลัง อย่างหนึ่งก็สุดโต่งไปทางซ้าย อย่างหนึ่งก็สุดโต่งไปทางขวา มันเป็นเรื่องบ้าหลัง ไม่อยู่ที่จุดที่สมดุล ก็เหวี่ยงไปสุดโต่งมันก็เกิดการแตกแยก มีความแตกแยกมากเท่าไร มันก็เกิดช่องว่างที่ตรงกลางมากเท่านั้น และมันยึดมั่นถือมั่นด้วยกิเลส ตัณหา มานะ ทิฐิ เท่าไร มันก็ยิ่งไกลออกไปทางนั้นมากเท่านั้น ไอ้ช่องว่างตรงกลางมันก็มากขึ้น นี่มันจึงเกิดมีเรา มีเขา มีมึง มีกู มีกู มีสู มีอะไรก็สุดแท้ ก็เสีย เสีย สูญเสียความหมายของศีลธรรม การแตกแยกออกไปสุดเหวี่ยงอย่างนี้ไม่ใช่สภาวะปกติ แต่ศีลธรรมแปลว่า ภาวะปกติ คือไม่มีเรื่อง ไม่มีปัญหา ไม่มีระส่ำระสาย ไม่มีอะไร คำว่า ศีล (สี-ละ) แปลว่าปกติ ถ้ายังไม่ทราบก็โปรดได้จำไว้เป็นหลักสำคัญ เพราะคำว่า ศีล (สี-ละ) หรือศีลนี่ ศีล (สี-ละ) หรือศีลนี่แปลว่าปกติ ตัวหนังสือนี้มันแปลว่าปกติ ผิดปกติแล้วก็คือระส่ำระสาย ศีลธรรมก็คือภาวะปกติ
ในโลกนี้มีภาวะปกติ เพราะมันสมดุลกัน มีต้นไม้เท่านี้ มีแผ่นดินเท่านี้ มีอากาศอย่างนี้ มีความชื้นเท่านี้ มีความหนาวเท่านี้ มีความร้อนเท่านี้ ต้องพอดี ๆ กันมันจึงจะอยู่เป็นปกติได้ แม้ที่สุดแต่ว่าจะต้องมีมดแมลงเท่านี้ มีหนอนเท่านี้ มีนกเท่านี้ มีหนูเท่านี้ ต้องมีในลักษณะที่พอสมดุลกัน มันจึงอยู่ในสภาพอย่างนี้ได้ พอสูญเสียสภาพนี้ เกิดไม่มีอะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่งเท่านั้นแหละ มันก็อยู่ไม่ได้ มันก็วินาศหมดทั้งโลก เช่นว่าไม่มีต้นไม้อย่างเดียวเท่านั้น มนุษย์ก็ตายหมด เห็นได้ง่าย ๆ ในโลกนี้ไม่มีต้นไม้ ก็ไม่มีน้ำ ก็ไม่มีความชื้น ก็ไม่มีอะไรที่จะเป็นชีวิตอยู่ได้ อาตมายังมองไปถึงกับว่า ไม่มีหนอนอย่างเดียวเท่านั้นแหละ โลกนี้ก็วินาศ มันก็ช่วยกินช่วยทำลายอะไรที่ควรจะทำลาย ไม่มีนกอย่างเดียวเท่านั้นแหละโลกนี้ก็วินาศ เพราะมันช่วยกินหนอน ไม่มีปลวกอย่างเดียวนี้มันก็เต็มไปด้วยสิ่งที่รกรุงรังไปหมด ปลวกมันช่วยทำลายไปทุกคืน ๆ มันจึงอยู่ในสภาพปกติอย่างนี้ ไม่มีนกอย่างเดียว ก็มีหนอนเต็มโลกภายในหนึ่งปีสองปี ฉะนั้นหนอนก็กินต้นไม้หมด โลกนี้ก็ไม่มีต้นไม้ สัตว์มีชีวิตทั้งหลายก็อยู่ไม่ได้ นี่อย่างไม่มีนกอย่างเดียว แต่ส่วนที่เกินนั้นหนอนมันก็ช่วยทำลายบางสิ่งบางอย่างให้เข้ามาสู่ดุลยภาพด้วยเหมือนกัน ฉะนั้นเราพูดได้เลยว่า ไอ้ความสมดุลของสิ่งที่มันเกี่ยวข้องกันนี่คือศีลธรรม คือภาวะปกติ ไม่อย่างนั้นไม่มีภาวะปกติ ส่วนบุคคลก็ต้องมีภาวะปกติ จะกินอาหารเท่าไร จะอาบน้ำเท่าไร จะถ่ายอุจจาระอย่างไร จะนอนเท่าไร จะนั่งเท่าไร มันสมดุลแล้วมันก็เป็นภาวะปกติ นี้ก็เรียกว่าศีลธรรม ส่วนเนื้อหนังร่างกายของบุคคลเช่นเดียวกับศีลธรรม ส่วนแผ่นดิน ส่วนโลกแผ่นดิน มีต้นไม้ มีสัตว์ มีโลกในภาวะปกติ แล้วคนก็มีเนื้อหนังปกติ แล้วคนก็มีความคิดนึกปกติ ก็สัมพันธ์กันด้วยความคิดนึกที่ปกติก็อยู่กันเป็นผาสุก เดี๋ยวนี้มองข้ามสิ่งเหล่านี้ ไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ ความเห็นแก่ตนมันก็เกิดขึ้น ก็จะเอาแต่ประโยชน์ตน ทีนี้คนเดียวมันทำไม่ค่อยได้มาก ทำได้ช้า มันก็ผูกกันเป็นพวก ใครมีประโยชน์เหมือนกันก็มาผูกพันกันเป็นพวก ก็เลยต่อสู้แย่งชิงกันเป็นพวก มันก็มีความสุดโต่งขึ้นเป็นพวก ๆ ก็เลยรบราฆ่าฟันกัน เรียกว่าไม่มีศีลธรรม ภาวะปกติ โลกจึงระส่ำระสาย มีปัญหาแก่มนุษย์ทุกคน คือมันต้องทนลำบาก แล้วมันก็เป็นปัญหาอันหนึ่ง ทีนี้ผู้ที่จะแก้ไขก็ยิ่งลำบาก ผู้ที่มีหน้าที่อบรมสั่งสอนปกครองแก้ไขมันก็ยิ่งลำบาก เรียกว่าไม่มีใครที่จะสบายอยู่ได้ เมื่อมันไร้ศีลธรรม แล้วเราจงมามองถึงสิ่งนี้ ช่วยกัน เพราะอันนี้เองมันเป็นเหตุของไอ้ปัญหาทั้งหลาย ขอร้องให้มีความกลับมาแห่งศีลธรรม คือความเป็นปกติ สมัยโบราณ เขายกเอาสิ่งนี้เป็นเบื้องหน้า เห็นอยู่ทุกวัน คิดอยู่ทุกวัน สมัยนี้เรามันเปลี่ยนไปมากโดยไม่ทันรู้ตัว ไปเห็นเป็นปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง การสงคราม การอะไรต่าง ๆ เต็มไปหมด เป็นปัญหาทางวัตถุด้วย ก็เลยแก้ปัญหาไม่ได้ ตรงนี้ขอแสดงความคิดเห็น เพราะอาตมาก็ได้บอกแล้วว่าเป็นเพียงความคิดเห็นที่พูดนี่ ก็ขอแสดงความคิดเห็นว่า ไม่มีทางที่จะทำให้มีปกติสุขได้ ถ้าไม่หยิบเอาปัญหาศีลธรรมขึ้นมาพิจารณาและแก้ไข การศึกษาก็ยิ่งไม่มองถึงศีลธรรม ไม่ค่อยมีศีลธรรมมาศึกษา เด็ก ๆ ก็รู้แต่หนังสือ รู้แต่จะฉลาดเฉลียว แล้วก็ไม่มีศีลธรรม สมัยปู่ย่าตายาย ไม่รู้หนังสือกันเป็นส่วนมาก แต่กลับมีศีลธรรม อยู่กันเป็นผาสุก ฉะนั้นอย่าได้เข้าใจว่าศีลธรรมนี้มันเนื่องกันอยู่กับการรู้หนังสือ มันไม่ใช่เรื่องเดียวกัน สมัยที่มนุษย์ไม่มีความรู้หนังสือหรือไม่มีการใช้หนังสือ เขาก็มีศีลธรรมสูงสุด เป็นพระอรหันต์ เป็นอะไรไปก็มี เดี๋ยวนี้รู้หนังสือ แต่หาศีลธรรมยาก เพราะหนังสือทำให้ฉลาดโดยส่วนเดียว ความฉลาดก็เป็นไปตามอำนาจของกิเลส มุ่งแต่ประโยชน์ของไอ้กิเลส หรือของวัตถุ ไม่นึกถึงศีลธรรม เพราะว่าศีลธรรมนี้มันคล้าย ๆ กับยาขมอยู่กลาย ๆ ไอ้เรื่องของกิเลสมันสนุกสนานเอร็ดอร่อย มันเหมือนกับของหวาน ดังนั้นคนก็น้อมไปในทางกิเลสได้ง่ายกว่าที่จะน้อมมาในทางศีลธรรม พวกนักการค้าทั้งหลายก็ประดิดประดอยสิ่งที่ยั่วกิเลสขึ้นมาขาย ขึ้นมายั่วมาล่อ มันเลยเจริญรุ่งเรืองกันเป็นการใหญ่ในโลกนี้ คือสิ่งที่ส่งเสริมกิเลส ศีลธรรมก็ทนไม่ได้ ก็หลีกหายไป หลบหายไป มันก็รุ่งเรืองอยู่ด้วยสิ่งที่ส่งเสริมกิเลส อย่างที่เราเรียกกันว่าความเจริญด้วยวัตถุในโลกนี้ ทีนี้คนมันเมาวัตถุ เมากิเลสเสียแล้วก็พูดกันไมรู้เอง ครั้นในประเทศไทยเราก็ดี ในโลกทั่วไปทั้งโลกก็ดี พูดกันไม่รู้เรื่อง เพราะว่าคนเมาความต้องการของตัวเอง คือเมากิเลส ไม่วี่แวว ไม่มีวี่แววของศีลธรรม คือพูดกันไม่รู้เรื่องในเรื่องศีลธรรม เพราะว่ากำลังเมา เมื่อคนเขากำลังเมาหรือถึงกับเป็นบ้าอยู่ เราพูดอะไรกับเขารู้เรื่องบ้าง นี่เดี๋ยวนี้มนุษย์ในโลกก็กำลังเมาวัตถุ รสอร่อยของวัตถุ เสน่ห์ของวัตถุ อะไรของวัตถุ จนพูดกันเรื่องธรรมะไม่ค่อยรู้เรื่อง เป็นเหตุให้ศีลธรรมหายไป ๆ เหลือกันอยู่แต่เพียงการแข่งขันแย่งชิงทะเลาะวิวาทเพื่อประโยชน์เหล่านี้ นี่เป็นอันสรุปได้ทันทีว่าปัญหาในโลกปัจจุบันมันมีอย่างนี้ ความไม่มีศีลธรรม เพราะไม่รู้จักศีลธรรม ไม่รู้จักคุณค่าของศีลธรรม เพราะมีอะไรมาดึงไปเสียหมด ดึงไปทุกที ๆ จนลืมศีลธรรม ฉะนั้นจึงขอยืนยันโดยความคิดเห็นอีกแหละว่า มันมีทางเดียวเท่านั้นคือการกลับมาแห่งศีลธรรม จึงจะมีความสงบสุขในบ้านเรือนก็ดี ในบ้านเมืองก็ดี ในประเทศก็ดี ในโลกทั้งโลกก็ดี การกลับมาแห่งศีลธรรม จะแก้ปัญหาความทุกข์ยากทั้งหลายได้ ขอตั้งจิตอธิษฐานให้เป็นศีลเป็นพรให้เราได้มีการกลับมาแห่งศีลธรรม ทั้งในบ้านเรือน ทั้งในบ้านเมือง ทั้งในประเทศ ทั้งในโลกทั้งโลก
ทีนี้ช่วงเวลาเหลือสักเล็กน้อยก็อยากจะพูดไอ้ความหมายของศีลธรรม ว่ามันมีรากฐานที่มั่นคงหรือจำเป็น ถ้าเราไม่มีรากฐานอันนี้แล้วศีลธรรมจะมีไม่ได้ รากฐานของศีลธรรมที่เป็นเรื่องใหญ่ ๆ ก็จะมีสักสามสี่หัวข้อเท่านั้นเอง หัวข้อที่หนึ่งก็คือ ความรู้สึกว่าสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายนี่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เดี๋ยวนี้เรามีความรู้สึกอย่างนี้หรือเปล่า ถ้าเรามีความเรารู้สึกอย่างนี้ แล้วเราจะเอาเปรียบกันได้ไหม เราจะฆ่ากันได้ไหม ถ้าเรารู้สึกอย่างนี้ ถ้าชีวิตทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น คือเป็นเพื่อนร่วมชีวิตด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ขอให้ขยับขยายลงไปถึงไอ้สัตว์เดรัจฉาน มันก็เป็นเพื่อนร่วมชีวิต ลองไม่มีสัตว์เดรัจฉานคนก็อยู่ไม่ได้ ให้ขยับลงไปถึงต้นไม้ ต้นไม้มันก็มีชีวิต เพราะมันเป็นเพื่อนร่วมชีวิตของเรา ไม่มีต้นไม้คนก็อยู่ไม่ได้ นี่เป็นอันว่าไม่มีอะไรหรอกที่จะเหลืออยู่สำหรับที่จะไม่เป็นเพื่อนร่วมชีวิต ถ้ามันเป็นชีวิตด้วยกัน มันเป็นชีวิตด้วยกัน เพื่อนมนุษย์ เพื่อนสัตว์เดรัจฉาน กระทั่งมดแมลง แล้วกระทั่งต้นไม้พืชพันธ์ธัญญาหารทั้งหลาย แม้แต่ตะไคร่น้ำที่ต่ำที่สุด มันก็เป็นสิ่งที่ช่วยให้โลกนี้มีชีวิต มีความสดชื่น มีเป็นโลกอยู่ได้ ครั้งแต่โบราณเขาจึงยึดถือข้อนี้เป็นหลักใหญ่ ก่อนพุทธกาลนานไกลก็เริ่มรู้จักข้อนี้ ว่าจริง ๆ ชีวิตนี่มันเป็นเพื่อนร่วมชีวิตกัน มันก็เลยเป็นรากฐานของศีลธรรมข้อแรก คือไม่ทำลายชีวิต โดยที่มันไม่มีเหตุผล หรือที่มันไม่มีเรื่องที่ต้องทำลาย หรือถึงกับว่าไม่ยอมทำลายชีวิตผู้อื่น ยอมเสียชีวิตของตนเอง อย่างนี้ก็มี เพราะมันจึงมีลัทธิบางลัทธิที่สอนมากถึงขนาดว่า ยอมเสียชีวิตน่ะโดยที่ไม่ต้องทำลายชีวิตผู้อื่น ไม่ต้องถึงกับว่าต้องเป็นคนด้วยกัน แม้แต่ว่าโรคภัยไข้เจ็บที่จะต้องกินยาฆ่าเชื้อฆ่าอะไร เขาก็ไม่กิน เขายอมตาย มันเป็นกับว่า ดีส่วนบุคคล เราไม่เอามาเป็นหลักทั่วไป หลักทั่วไปเอาแต่เพียงว่า ถ้าชีวิตก็ต้องยอมรับไว้ก่อนว่าเป็นเพื่อนร่วมชีวิต เลยเกิดประโยคนี้ขึ้นมาในโลก สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงกระทำแก่เขาเหมือนกับที่ว่าทำแก่เรา เดี๋ยวนี้กำลังหายไป ความรู้สึกอย่างนี้กำลังหายไป หายไป เพราะประโยชน์ทางวัตถุมันเข้ามาครอบงำ ขอไปฟื้นกันใหม่
ทีนี้รากฐานข้อที่สอง ก็คือการบังคับความรู้สึกของตน ๆ มันเนื่องมาแต่ข้อที่หนึ่งแล้ว ว่าเราจะต้องยอมรับรองว่าชีวิตทั้งหลายเป็นเพื่อนร่วมชีวิตของเรา นี่เราก็จะต้องระวังสังวรไม่กระทบกระทั่งเขา จึงต้องมีการบังคับความรู้สึกอย่างยิ่ง ความรู้สึกในที่นี้คือความรู้สึกที่มันพลุ่งขึ้นมาในจิตใจ เป็นความรักบ้าง เป็นความโกรธบ้าง เป็นความเกลียดบ้าง ความกลัวบ้าง ความเศร้าบ้าง ความอิจฉาริษยาอะไรบ้าง มันถึงขนาดพลุ่ง พลุ่งกว่าระดับธรรมดา ก็เรียกว่าความรู้สึกในที่นี้ ซึ่งต้องบังคับ ถ้าเราไม่บังคับความรู้สึก เราก็ทำตามกิเลสเท่านั้นแหละ ไม่มีอะไร ถ้าเราบังคับความรู้สึกก็ไม่มีกิเลสที่จะเกิดขึ้นมาบังคับเราให้ทำไปตามอำนาจของกิเลส ฉะนั้นการบังคับความรู้สึกนี้เป็นหัวใจของพระศาสนาอีกตามเคย ทุกศาสนา ก่อนพุทธกาล เท่าที่มีร่องรอยให้เห็นอยู่ให้เหลืออยู่ จะเป็นฝ่ายศานายิว ฝ่ายโน้นก็ดี ฝ่ายตะวันออกนี้ก็ดี ล้วนแต่บังคับความรู้สึกทั้งนั้น ถือว่าไม่บังคับความรู้สึกเป็นความเลวร้าย ทั้งส่วนบุคคลและส่วนรวม ความรักก็ต้องบังคับ ความโกรธก็ต้องบังคับ ความเกลียด ความกลัว ความเศร้า ความอะไรก็ต้องบังคับทั้งนั้น ให้มันปกติอยู่ และก็ถือกันมาอย่างนี้ นาน ต้องกล่าวได้ว่านาน เป็นยุคนาน ทุกศาสนาในโลกที่เป็นรูปของศาสนาและจะสอนให้บังคับความรู้สึกนั้น จนกว่ามันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาใหม่ในหมู่ชนบางพวก ฝ่ายตะวันออกเราพุทธศาสนาและขนบธรรมเนียมประเพณี ฝ่ายจีน ฝ่ายไทยก็บังคับความรู้สึกนี้เป็นเรื่องสำคัญ ฝ่ายตะวันตก พวกฝรั่งก็เคยถืออย่างนั้นอย่างยิ่ง ศาสนายิวที่ว่าโบราณก็สอนบังคับความรู้สึกยิ่งสุดเหวี่ยง โดยเฉพาะทางกามารมณ์ พวกฝรั่งยุคหนึ่งเคยเป็นมนุษย์ที่น่านับถือ คือถือเอาการบังคับความรู้สึกนี่เป็นหลักใหญ่ เป็นยอดสุดของการศึกษา นี่ขอได้โปรดสังเกตข้อนี้ด้วย ที่อาตมากำลังพูดว่า การบังคับความรู้สึกไว้ได้นั้นเป็นยอดสุดของการศึกษา และตรงกันข้ามกับที่การศึกษาสมัยปัจจุบันนี้ไม่บังคับความรู้สึกเลย เพราะว่าฝรั่งเขาเปลี่ยนก่อน เขาไปได้เหตุผลหรือสิ่งแวดล้อมอะไรมา เกิดลัทธิใหม่ว่าเราไม่ต้องบังคับความรู้สึก เราอยากจะรู้สึกอะไรเราก็ระบายออกไป อย่าให้เกิดความกดดันอยู่ในใจมันเป็นความทุกข์ มันก่อหวอดขึ้นมาน้อย ๆ อย่างนี้ก่อน แล้วมันก็ลุกลามมาก จนไม่บังคับความรู้สึก ฉะนั้นฝรั่งที่เคยบังคับความรู้สึกได้ดีน่าเลื่อมใสก็กลายเป็นผู้ไม่บังคับความรู้สึก ระบบการศึกษาที่อยู่ในมือของฝรั่งก็เปลี่ยนเป็นการไม่บังคับความรู้สึก มีแต่กระตุ้นความรู้สึกให้รุนแรง ให้เพลิดเพลิน ให้สนุกสนาน ให้หัวเราะมาก นี้คือความฉิบหายของมนุษย์ในด้านของศีลธรรม คือการไม่บังคับความรู้สึก ที่ฝรั่งเขานำแล้วเราไปตามก้นเขา อย่างมหาวิทยาลัย Oxford Cambridge เมื่อสักหลายสิบปีมาแล้ว มีลักษณะแห่งการบังคับความรู้สึกสูงสุด เมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัยเป็นเพียงสุภาพบุรุษผู้บังคับความรู้สึกได้เท่านั้นเป็นพอ ยอดสุดของการศึกษาคือสุภาพบุรุษที่บังคับความรู้สึกได้เท่านั้นเป็นพอ ไม่มีการบูชาวิชาชีพหรืออะไรต่าง ๆ เหมือนสมัยนี้ ไม่บูชาเทคโนโลยี ไม่บูชาอะไรหมด บูชาสุภาพบุรุษผู้บังคับความรู้สึกได้ กีฬาก็เป็นเรื่องบังคับความรู้สึก แต่เดี๋ยวนี้กีฬาก็กลายเป็นเรื่องกระตุ้นความรู้สึกที่เลวร้าย คือเห็นแก่ตัว ที่เล่นกันอยู่ทุกวันนี้ มันเปลี่ยนไปพร้อม ๆ กัน เมื่อเกิดเปลี่ยนมาเป็นไม่บังคับความรู้สึก มันก็มาตามใจกิเลส ฉะนั้นผลของมัน ผลที่ปรารถนาก็คือ ความสุขทางวัตถุ ทางเนื้อ ทางหนัง ทางเงิน ทางทรัพย์ มันก็มานิยมเทคโนโลยีฝ่ายอาชีพ คุณธรรมทางจิตใจก็ถูกละเลยหมด ทีนี้คนที่ได้รับการอบรมอย่างนี้ก็ไม่บังคับความรู้สึก ก็มีเปลี่ยนเป็นหน้ามือเป็นหลังมือ คืออารยธรรมเนื้อหนังเข้ามาแทน ไม่บังคับความรู้สึก อยากจะแสดงความรู้สึกเมื่อไหร่ แสดงออกมา เพราะฉะนั้นจึงมีการจูบกอดกันที่สนามบินก็ได้ ที่ท่าเรือก็ได้ ในห้องรับแขกก็ได้ ประตูบ้านก็ได้ กระทั่งว่าจะไปทำงานต้องจูบภรรยาเสียก่อนแล้วจึงไปทำงาน นี่ลัทธิที่ไม่บังคับความรู้สึกมันสูงสุดอย่างนี้ มันก็ต้องเปลี่ยนมาก ถ้าอย่างเป็นคนไทยโบราณ ๆ นี่มา จากกันไปนานกับครอบครัวมาถึงบ้านวันนั้นจะกอดจูบกันที่รถไฟ ที่ประตูบ้านนั้นไม่ได้ ขึ้นมาบนเรือนแล้วก็ยังไม่ได้ ต้องรอให้ค่ำเสียก่อน นี่เพราะมันบังคับความรู้สึกอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ แล้วเดี๋ยวนี้เขาจากกันไม่กี่วันเขาจะจูบกันที่สนามบินตั้งแต่แรกเห็นกัน เพราะไม่ยอมบังคับความรู้สึก การศึกษามันมาในรูปของการไม่บังคับความรู้สึกมากขึ้น ฉะนั้นเราจึงเห็นอะไรต่าง ๆ แปลกออกไป เช่นบทเพลง ดนตรี อะไรต่าง ๆ มันก็เป็นไปในทางกระตุ้นความรู้สึกให้รุนแรง ไม่ใช่ผ่อนคลายความรู้สึกให้เยือกเย็น ดังนั้นเราจึงมีการสอนให้เด็ก ๆ เขาร่าเริง เขาหัวเราะ จนในที่สุดเขาหลงใหล เหมือนกับยาเสพติดในการเป็นอิสระที่จะหัวเราะ นั้นเด็กนักเรียนสมัยนี้ทั้งชั้นอนุบาล ชั้นประถม ชั้นมัธยม ชั้นอุดมอะไรก็ตาม หัวเราะอย่างคนบ้า หัวเราะไม่มีขอบขีด ครูสอนอะไรนิดหนึ่งก็ ฮา ๆ ๆ แล้วก็ยังมาแสดงให้อาตมาเห็นที่นี่ พวกนักศึกษาทั้งหลายที่มาฟังคำสั่งสอนอบรมอะไรก็ตาม ก็ยังเอานิสัยฮา ๆ นั้นน่ะมาคอยจ่อไว้เสมอ พูดอะไรแหลมไปก็ไม่ได้ ข้อนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เป็นเรื่องวินาศของมนุษย์ คือไม่บังคับความรู้สึก เมื่อพูดให้เข้ใจ เขาเข้าใจ พอเผลอไปนิดเดียว น่าขันบ้างก็ฮา พอฮาก็เลือนหมด เกลื่อนหมดคือเกลื่อนความรู้สึกอันแท้จริงหมด สิ่งที่น่าเศร้าที่อาตมาอยากจะพูดเพราะอดไว้ไม่ได้ เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ก่อนหน้าวันเฉลิมพระชนมพรรษา มีคนไปถวายพระพรกันตั้งสองสามพันคนกันที่วังจิตรลดา ในหลวงท่านปราศรัยกับคนเหล่านั้น มีฮา เมื่อท่านตรัสว่า เดี๋ยวนี้คนไทยเขาจะไม่เรียกว่าไทยแลนด์กันแล้วเขาจะเรียกว่าตายแลนด์กันแล้ว มีเสียงฮาขึ้นมาทันที เลยมาคิดขึ้นมาว่าวิทยุอาตมามันบ้าหรือมันผิดปกติ พอถามคนอื่นก็เหมือนกัน เขาก็ได้ยินฮา เมื่อท่านตรัสว่าตายแลนด์ หรือเมื่อท่านพูดไปอีกหน่อยถึงคำว่าฟันปลอมก็มีฮา ก็มีฮาอีกสามสี่ครั้ง จนกว่าท่านจะตรัสจบ บุคคลอย่างในหลวงตรัสอย่างนี้มีฮา แล้วท่านตรัสอย่างจริงจังไม่ใช่ต้องการให้ฮา ให้เกิดความรู้สึกรักชาติ ให้รับผิดชอบ ให้หวาดเสียว ให้คิด นาทีที่ 0.42.57 ผ่าน ๆ ต่อกันก็ฮา แล้วมันก็เกลื่อนหมด มันกลบเกลื่อนหมด มันลบเหมือนกับลบกระดานดำหมด อาตมาคิดว่า เท่าที่อาตมารู้จักในหลวงองค์นี้ สันนิษฐานเอาเองว่าท่านคงจะไม่ได้แม้แต่ยิ้ม ในการที่ท่านตรัส แต่ผู้ฟังฮา และผู้ฟังในวันนั้น ท่านก็ไปอ่านข่าวเอาเองว่าใครเป็นประธาน ใครเป็นมีกี่พวก กี่กลุ่ม แล้วก็ฮากันทุกคนแน่นอน นี่สิ่งที่น่าเศร้า ถ้าขนาดในหลวงพูดมีคนฮาแล้วก็เรียกว่า คนเหล่านี้ไม่มีการบังคับความรู้สึกเลย เมื่ออาตมาไปสอนประชาชนตามภาคต่าง ๆ ก็พยายามพูดจาให้ประชาชนผู้ฟังนั้นเกิดความเข้าใจ เกิดความกลัว เกิดความสำรวมระวังในการที่จะประพฤติปฏิบัติ ละกิเลส พอพูดจบ ก็มีชุดอนุศาสนาจารย์ของกระทรวง ของกระทรวงพูดต่อ ก็ไปด้วยกัน เขาก็เล่านิทานเรื่องกินลูกหมาบ้าง เรื่องถกกระเบน ปลดกระเบนรับศีลบ้าง ฮา ๆ ๆ กันหมด ที่อาตมาพูดไว้อย่างที่ว่าตึงเครียดเข้าใจดีจะปฏิบัติมันเลยถูกลบหมด ถูกลบเลือนหมด เลยเหนื่อยเปล่า ๆ ไม่ได้ผลอะไร เพราะเขาลบเสียด้วยการฮา เพราะไม่บังคับความรู้สึก นี่หลายปีมาแล้ว สิบกว่าปีมาแล้วเมื่ออาตมายังไปเที่ยวสอนประชาชนอยู่กับพวกอนุศาสนาจารย์ โดยคำขอร้องของราชการ นั้นก็ไม่เท่าไหร่ เดี๋ยวนี้มาถึงขนาดบุคคลสูงสุด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพูด ตรัสก็ยังฮา เพราะว่าเขาไม่บังคับความรู้สึก ฉะนั้นเขาจะต้องฮาเมื่อครูพูด เมื่อใครพูด เมื่อพระพูด คอยแต่จะฮาเสมอ ไม่มีการบังคับความรู้สึก ฉะนั้นจึงไม่ได้รับสิ่งที่พูดให้ฟัง เพราะมันเลือนไปหมดด้วยการฮา ทีนี้ดูต่อไปว่าไอ้เรื่องฮานี้ มันก็คือไม่บังคับความรู้สึกในทางขบขัน หรือว่า เท่านั้น มันก็เลยไม่บังคับความรู้สึก ไปทุกอย่าง ความรักก็ดี ความโกรธก็ดี บันดาลโทสะก็ดี ความเศร้าก็ดี ก็ไม่บังคับไปหมด เพราะฉะนั้นคนยุคปัจจุบันนี้มันจึงแรงด้วยอารมณ์ซึ่งไม่บังคับ มันจึงรักมาก โกรธมาก เกลียดมาก กลัวมาก เศร้ามาก แล้วมันจึงฆ่าตัวตายได้ง่าย ๆ ฆ่าคนอื่นได้ง่าย ๆ ทำผิดทำเลวทุกอย่างทุกประการได้โดยง่าย เพราะมันไม่บังคับความรู้สึก นี้คือความไม่มีศีลธรรม เพราะว่าศีลธรรมต้องตั้งอยู่บนความรู้สึกที่ถูกต้อง คือบังคับไว้ได้ คือบังคับความรู้สึกนั่นเอง ดังนั้นขอได้โปรดจดจำไว้ว่า รากฐานของศีลธรรมอันที่สองคือการบังคับความรู้สึกอย่าให้มันพลุ่งขึ้นมา รู้สึกรักก็ดี รู้สึกโกรธก็ดี รู้สึกเกลียดก็ดี กลัวก็ดี เศร้าก็ดี อะไรก็ดี บังคับมันไว้ให้ได้ เป็นเรื่องบังคับความรู้สึก จะพูดว่าบังคับตน ฟังยาก พูดว่าบังคับความรู้สึกดีกว่า ที่พวกฝรั่งเขาเรียกว่า Self control บังคับตนแล้วก็คือสิ่งนี้ แต่อาตมาเรียกว่าบังคับความรู้สึกดีกว่า มันฟังง่ายดี สมัยก่อนเขาบูชาไอ้ Self control พูดกันติดปาก เมื่อสมัยเด็ก ๆ ได้ยินผู้มีการศึกษาหรือคนทั่วไปก็บูชาไอ้การบังคับตนนี่มาก เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้ยินแล้ว เพราะเขาหันไปต้องการอะไรที่เป็นประโยชน์ทางวัตถุ ไอ้บังคับความรู้สึกนี้มันเหมือนกับกินยาขม ตามใจความรู้สึกนั้นมันเหมือนกินของหวาน มันเลยแพ้กันเพราะเหตุนี้ แล้วก็ไม่มีศีลธรรม
ที่นี้อันที่สามต่อมา รากฐานนี่ก็ต้องอดทน ถ้าไม่อดทนบังคับความรู้สึกไม่ได้ ถ้าบังคับความรู้สึกไว้ได้ มันก็ทนได้ เราจึงทนได้ ในการที่จะต้องทนทุกอย่าง เช่นคนจนก็จะทนได้ในการทำงานให้สำเร็จประโยชน์ และก็ทนได้ไม่ไปทำอบายมุข เดี๋ยวนี้ปัญหาของประเทศชาติเราก็ ถ้าพูดกันในส่วนพื้นฐานที่สุด ก็คือคนจน คนจนเขาไม่ค่อยอดทน อดทนน้อยกว่าสมัยปู่ย่าตายายในการทำงาน ทนแดดทนฝน ทนอะไรก็ตาม เพราะเขาเห่ออย่างสมัยใหม่ขึ้นมาบ้าง แต่นี่ก็ไม่ค่อยเท่าไหร่ ไอ้ที่มันร้ายคือไม่อดทนในอบายมุข ไม่มีความอดกลั้นอดทนในเรื่องอบายมุข ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงานอย่างนี้ เขาไม่อดทน มันเนื่องมาแต่ไม่บังคับความรู้สึกก่อน แล้วก็เกิดปัญหาขึ้นใหญ่หลวง คนจนก็เป็นเหยื่อของคนมั่งมีได้ เพราะว่าเขาไม่บังคับความรู้สึกแล้วไม่อดทน เขาต้องไปดูหนัง เขาต้องไปกินเหล้า เขาต้องไปตามอบายมุขต่าง ๆ นา ๆ นี่ก็เป็นช่องให้นายทุนถือเอาประโยชน์จากคนจนได้มากขึ้น ปัญหามันก็เกิดเท่านั้นเอง ถ้าทุกคนบังคับความรู้สึกได้เท่านั้นแหละ ปัญหาจะหมดไป แต่ต้องอดทนจึงจะบังคับได้ ถ้าบังคับความรู้สึกได้ ไอ้พวกอาบอบนวดโสเภณีทั้งหลายมันก็ปิดตัวเองแหละ ไม่ต้องมีใครไปปิดมัน ไม่ต้องเอาตำรวจไปปิด ถ้าทุกคนบังคับความรู้สึกได้ มันก็ไม่ไป มันก็ปิดตัวเอง อาชญากรรมทั้งหลายก็ไม่น่าจะเกิดเพราะทุกคนบังคับความรู้สึกได้ คุกตะรางมันก็ต้องปิดแหละ หรือศาลยุติธรรมต่าง ๆ ก็ต้องเลิก เพราะว่าคนมันบังคับตัวเองได้ มันไม่ทำผิด ทีนี้มันไม่อดทน มันก็บังคับไม่ได้ ฉะนั้นก็เรียกร้องความอดทนกันดีกว่า อยากจะไปดูหนังก็อดทนได้ อยากจะสูบบุหรี่ก็อดทนได้ อยากจะกินเหล้าก็อดทนได้ อยากจะไปโสเภณีก็ยิ่งอดทนได้ หรืออดทนทุกอย่างที่ต้องอดทน ทนแดดทนฝน ทนเหนื่อยในการทำการงาน ทนเขาประณามด่าว่า ก็ทนได้ ไม่ใช่จำใจทน ทนได้ ทนอย่างหัวเราะได้ ไม่ใช่ต้องจำใจทน แต่ทนได้ แล้วอันที่สำคัญที่สุดคืออดทนต่อการบีบคั้นของกิเลส กิเลสต้องการให้ไปดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน หรือทุกอย่างที่ว่าเป็นสิ่งเลวร้าย กิเลสมันบังคับ เราก็ทนต่อการบังคับของกิเลสได้ บังคับความรู้สึกได้ ปัญหาก็จะหมดไป ในบ้านเมืองเราก็จะไม่มีสิ่งซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งอาชญากรรม และอาชญากรรมก็เกิดไม่ได้ นี่เรียกว่าความอดทน
ทีนี้ในที่สุดมันก็มาถึงในเรื่องความเคารพ ความเคารพสิ่งที่ควรเคารพ กินความกว้างมาก มันกินไปถึงความเชื่อ สิ่งที่ควรเชื่อ เชื่อฟังคนที่ควรเชื่อฟัง ทำตามคำบังคับบัญชาของผู้บังคับบัญชา ขยายความออกไปได้มาก แต่รวมความอยู่ที่ความเคารพอย่างเดียว เดี๋ยวนี้เด็ก ๆ ไม่เคารพบิดามารดา ครูบาอาจารย์ ผู้ใต้บังคับบัญชาก็ไม่เคารพผู้บังคับบัญชา พระเจ้า พระสงฆ์ก็ไม่เคารพอุปัชฌาย์อาจารย์ ข้อนี้อาตมาก็รู้ดี ก็ไม่ ไม่ ไม่แก้ตัวอะไร มันหาความเคารพกันโดยแท้จริงไม่ได้ ในวงการพุทธศาสนาล้าหลังและเสียเปรียบวงการคริสตังอยู่มาก ในวงการคริสตังเขาเชื่อฟังกันดี ฉะนั้นเขาเป็นระเบียบกว่าพวกเราในพุทธศาสนาที่ไม่ค่อยจะเชื่อฟังการบังคับบัญชา อย่างนี้ก็เป็นตัวอย่างอยู่แล้ว ขอได้โปรดพิจารณาให้ดีในเรื่องไอ้การเชื่อฟังคำบังคับบัญชานี่สำคัญมาก ที่จะอยู่รอดหรือไม่รอด ถ้าโลกไม่เชื่อฟังคำบังคับบัญชามากขึ้นเท่าไร ความวินาศมันก็ใกล้เข้ามาเท่านั้น ในแง่ของครอบครัวก็ดี ในแง่ของการปกครองบ้านเมืองก็ดี ในแง่ทางจิตใจของพระศาสนาก็ดี เดี๋ยวนี้เรากำลังขาดการเชื่อฟัง เคารพเชื่อฟังผู้ที่ควรเคารพเชื่อฟัง
อาตมาคิดว่าสักสี่ข้อนี้ก็พอที่จะเอาไปศึกษาพิจารณาแล้วว่า ไอ้ศีลธรรมมีไม่ได้เพราะมันขาดรากฐานเสียมาก รากฐานมันเน่าเปื่อยผุพังไป ข้อที่หนึ่งก็คือว่าความรู้ ยอมรับรู้ว่าชีวิตทั้งหลายเป็นเพื่อนคู่ชีวิตด้วยกัน เกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน แล้วเราต้องบังคับความรู้สึก อย่าให้ความรู้สึกออกมาถึงขนาดที่เรียกว่าพลุ่ง ธรรมดาเราก็รู้สึก นั่นเป็นอะไร นี่เป็นอะไรก็รู้สึก แต่ความรู้สึกประเภทที่มันพลุ่งขึ้นมาเป็น Emotion เป็นอะไรนี่ ต้องบังคับทั้งนั้น อย่าให้มันแสดงบทบาทออกมา อย่างคนโบราณเขาจะบังคับกันอย่างน่าดู โดยเฉพาะหญิงสาวจะแสดงอะไรออกมาที่นอกหน้าไม่ได้ เขาสอนให้บังคับความรู้สึกอย่างยิ่ง เดี๋ยวนี้หญิงสาวเป็นคนที่เหมือนกับไม่ใช่ผู้มีระเบียบศีลธรรม เพราะเขาแสดงอะไรมันโดยไม่มีการบังคับความรู้สึก ผลมันเห็นชัดอย่างนี้ แล้วก็อดทนต่อการบีบคั้นของสิ่งที่มันต้องมีการบีบคั้นเป็นธรรมดา อย่างเดี๋ยวนี้เราก็หนาว ก็ต้องทนจนสนุกไปแล้ว แล้วก็เชื่อฟังผู้ที่ควรเชื่อฟัง นับตั้งแต่บิดามารดา ครูบาอาจารย์ ผู้บังคับบัญชา พระเจ้าพระสงฆ์ พระพุทธเจ้า หรือพระธรรม พระเจ้าที่เป็นสิ่งสูงสุดในสากลโลกก็ได้ คือสิ่งที่ควรเคารพเชื่อฟัง ฉะนั้นขอได้โปรดนำไปพิจารณาดูให้ดี และช่วยกันทำอย่างนี้ คือว่าอบรมลูกหลาน หรือผู้ที่เราควรจะอบรมได้ให้เขานึกถึงข้อนี้ ว่าศีลธรรมนั้นแหละจะช่วยเราได้ เราถอยหลังเข้าคลองมาหาศีลธรรมกันดีกว่า อย่าให้เตลิดเปิดเปิงไปจนตกเหว ตกหน้าผาเลย ถอยหลังเข้าคลองปลอดภัย มาสู่คลองแห่งศีลธรรม แล้วก็เดินไป นี้ขอให้ถือว่ามันเป็นสิ่งที่จะต้องคิดสำหรับปีใหม่ ปีใหม่ ใหม่ ๆ ๆ ๆ เรื่อยไปข้างหน้า แล้วเรารบกันพลาง แล้วก็แลกเปลี่ยนความเข้าใจถูกต้องทางศีลธรรมกันพลาง ก็พวกคอมมิวนิสต์ก็ดี ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ก็ดี หรือว่ากับใครก็ดี ที่ต้องรบกัน จะต้องรบกันพลาง แลกเปลี่ยนความรู้สึกอันถูกต้องทางศีลธรรมกันไปพลาง มันจึงจะสำเร็จประโยชน์ ถ้าเราต่างฝ่ายต่างไม่บังคับความรู้สึก แล้วก็เจตนาร้ายเข้าใส่กัน แล้วมันก็คงจะหา หาไอ้ความจบ ความหยุด ความหยุดหรือสิ้นสุดได้ยาก มันไม่เคยชนะกันได้ด้วยการจองเวร ชนะกันได้ด้วยการทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน และนั่นแหละคือศีลธรรมที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับสมัยปัจจุบันนี้ ฉะนั้นขอได้โปรดนำไปพินิจพิจารณาในฐานะที่ว่าจะเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่การงานก็ดี หรือจะถือว่าเป็นศีลเป็นพรที่อาตมาได้กล่าวแก่ท่านทั้งหลายในฐานะที่ว่าเป็นผู้ต้องพูดแทนในนามของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อาตมาต้องพูดแทน คือทำหน้าที่รับใช้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วก็ตั้งใจอย่างยิ่ง อธิษฐานจิตอย่างยิ่ง อำนวยอวยพรอย่างยิ่ง ให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงจงมองเห็นซึ่งกันและกันในลักษณะที่ว่าเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน รักใคร่กัน ปรับปรุงกันเสียใหม่ ภายในก็ดี ภายนอกก็ดี เรื่องเล็กก็ดี เรื่องใหญ่ก็ดี ล้วนแต่ต้องปรับปรุงในทางศีลธรรมกันใหม่ทั้งนั้น ในที่สุดนี้ก็ขออวยพรด้วยการอ้างคุณพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งเป็นรากฐานของความสงบสุขหรือสันติภาพทั้งหลาย จงมีอำนาจดลบันดาลให้เราทั้งหลายทุกคนยึดมั่นอยู่ในทำนองคลองธรรม มีความเจริญงอกงามก้าวหน้า ตามทำนองคลองธรรมและมีความเจริญผาสุกยิ่ง ๆ ขึ้นไปทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ปีใหม่ คำพูดสำหรับปีใหม่ มีเวลาน้อย ก็พูดแต่น้อย ๆ ก็ทราบว่ามีเรื่องที่จะต้องกลับไปทำธุระกันทั้งนั้น