แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ได้ยินท่านโพธิ์ว่าจะพูดเรื่องมาพบกันวันแรก ในฐานะที่แขกกับเจ้าบ้านพบกันหนแรก ส่วนนี้ก็ขอแสดงความยินดีในการที่ได้มาพบกัน นอกจากนั้นก็ขอแสดงความหวังว่า ขอพยายามให้มันเป็นประโยชน์ อย่างน้อยก็เป็นประโยชน์บ้างในการที่มาที่นี่ ในลักษณะอย่างนี้ การมาอย่างนี้เป็นสิ่งที่เคยทำกันมาแล้วในปีก่อนๆ แต่รู้สึกว่ายังได้ผลไม่เต็มตามที่ควรจะได้ จึงควรจะได้มากกว่านั้น โดยเค้าใหญ่ๆ ก็คือว่า เราไม่ได้หวังเพียงแต่จะมาฟัง เพราะว่าถ้าหวังเพียงแต่จะมาฟัง แล้วก็ไม่ต้องมาให้เหนื่อยให้เปลืองทั้งเงินและเวลา คือเอาไปอ่านก็ได้ จึงควรจะได้แปลกออกไปก็คือว่า จะได้ศึกษาจากสถานที่ และจะได้เป็นอยู่ตามแบบที่เรียกว่า ใกล้ชิดกับธรรมะมากกว่าธรรมดา ชนิดที่อยู่ที่กรุงเทพฯ เป็นต้น มันทำไม่ได้ นี่มันเกี่ยวกับสถานที่ เราใช้ประโยชน์จากสถานที่เป็นพิเศษ ก็ได้ประโยชน์ส่วนนี้ ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือว่า เป็นโอกาสสำหรับทดลองปฏิบัติ เช่น การสมาทานศีล ๘ โดยเคร่งครัด ถ้าทำได้ อันนั้นก็มีประโยชน์มากกว่าที่จะเพียงแต่มาฟังๆ เสียอีก ที่มาแล้วๆ ที่มากันแล้วๆ มานั้น บางคนก็ทำดี ได้ประโยชน์ บางคนก็ทำเล่น บางคนก็คล้ายกับละเมอๆ จึงขอเล่าให้ฟังเรื่องที่มันแล้วๆ มา ที่ควรจะแก้ไขให้ดีขึ้นอย่างไร ในส่วนที่จะฟังตามเวลานั้น ไม่ยาก เรากำหนดกันได้ เมื่อไรฟัง ถ้าจะบอกให้ทราบว่าจะฟังเรื่องอะไรได้ ก็ได้ จะพยายามจะพูดให้ฟัง ให้ตรงตามความประสงค์ให้มากที่สุด
ที่นี้เรื่องที่สองก็คือว่า พยายามรู้ความหมายคำว่า สวนโมกข์ คือหมายถึงคำนี้มันมีคำแปลว่ามันเกลี้ยง ถ้าเป็นภาษาธรรมดาที่ชาวบ้านพูด คำว่า โมกข์ แปลว่าเกลี้ยง ภาษาธรรมะแปลว่า จิตที่มันหลุดพ้นจากสิ่งหุ้มห่อ รบกวน เผาลน อะไรต่างๆ ก็คือเกลี้ยงเหมือนกันแหละ มันเกลี้ยงในทางวิญญาณ ฉะนั้นพยามยามทำให้เข้าใจสิ่งที่เรียกว่า ความเกลี้ยงของจิตใจ ในทางวิญญาณนี้ให้มากที่สุด เพราะว่ามันอ่านเอาไม่ได้จากหนังสือ คนไม่รู้เรื่อง เป็นคนเขลา เป็นคนโง่ด้วยซ้ำไป ที่ว่าสิ่งเหล่านี้จะอ่านเอาได้จากหนังสือ ที่จะอธิบายให้ฟังว่า จิตเกลี้ยง จิตว่าง จิตสงบ เป็นอย่างไรนั้น เขาว่าฟังกันได้จากหนังสือ หลับตาโง่ มันต้องมีจิตอย่างนั้นจริงๆ เท่านั้นแหละ มันจึงจะรู้ได้ว่าเป็นอย่างไร เมื่อมาอยู่ในที่อย่างนี้ อำนาจของธรรมชาติ อิทธิพลธรรมชาติมันบีบบังคับ เพราะมันไม่กลัว ไม่ให้เกิดความคิดปรุงแต่ง ประเภทตัวกูของกู วุ่นวายอะไร มันก็เลยเกลี้ยงของมันโดยธรรมชาติ ลักษณะของความเกลี้ยงหรือรสชาติของความเกลี้ยง นี่มันอ่านเอาจากหนังสือไม่ได้ มันต้องเกิดขึ้นในใจและรู้สึกด้วยใจ เรียกว่าอ่านจากในใจ อย่างเดียวกับ หวาน เค็ม ขม อย่างนี้ มันอ่านจากหนังสือไม่ได้ว่า หวาน เค็ม ขม เป็นอย่างไร นอกจากจะชิม ฉะนั้นขอให้รู้จักคำว่า จิตที่มันมีกิเลส และจิตที่มันว่างจากกิเลสบางขณะ หรือจิตมันเกลี้ยง ซึ่งตรงกับความหมายของคำว่า สวนโมกข์
ทีนี้มันจะเกลี้ยงได้นั้น มันอยู่ที่เราต้องช่วยด้วย คือต้องให้โอกาส ต้อง ต้องพยายามทำตามที่ควรจะทำ เช่น มานั่งอยู่ในที่อย่างนี้ ธรรมดามันก็จะต้องเกลี้ยง ก่อนที่จะไปนั่งในที่อัดแอ จอแจ หรือมีสิ่งยั่วยวน แล้วก็พร้อมที่จะช่วยสนับสนุน และพร้อมที่จะชิมรสของความเกลี้ยงเหล่านี้ เดี๋ยวนี้รู้สึกว่ายังไม่ได้ตั้งใจจริงถึงอย่างนั้น ยังมีเรื่องเรื่องเล่นหัว ยังมีเรื่องหยอกล้อ ซึ่งมันไม่ ไม่มีทางที่จะทำให้จิตเกลี้ยงจนถึงได้รับรสของความเกลี้ยงนี้ได้ ฉะนั้นจึงต้องเว้นบางอย่างเสีย และก็ดีที่สุดที่ว่าถ้าจะถือศีล ๘ ถือศีลอุโบสถก็ยังได้
นี่พูดเสียเลยว่า ศีล ๘ นั้น เขาถือแยกตัวกันเป็น ๘ ข้อ ถือศีล ๘ ข้อ ขาดไปข้อหนึ่งก็เหลือ ๗ ข้อ ขาด ๒ ข้อ เหลือ ๕ ข้อ ถ้าถืออย่างที่เรียกว่าศีลอุโบสถนั้น เอามารวมกันเข้าเป็นศีลตัวเดียว มีองค์ประกอบ ๘ องค์ พอทำผิดไปองค์หนึ่งก็เรียกว่าทำลายหมด ไม่มีศีลอุโบสถเหลืออยู่เลย ศีล ๘ กับศีลอุโบสถต่างกันอย่างนี้ แต่นี่ก็ไม่สำคัญนัก สำคัญตรงที่ว่าจะถือหรือไม่ถือต่างหาก และที่ว่าจะถือนี่ ถือจริงหรือเปล่า ถ้าถือจริง มันก็เตรียมพร้อมที่สุดที่จะช่วยให้จิตใจเหมาะสมที่จะเข้าใจเรื่องของความสงบ หรือแม้แต่จะศึกษาทางการฟัง การคิด การอย่างธรรมดานี้ ถ้าร่างกายจิตใจมันสมประกอบ ก็ทำได้ดีกว่า แต่ผลส่วนนี้ก็สู้ผลส่วนที่เป็นการถือศีลกันจริงๆ ไม่ได้ ถือศีลจริงๆ นั้น ความหมายมันอยู่ที่ว่า บังคับตัวเอง บังคับทั้งภายนอกคือกิริยาอาการ การพูดจา บังคับภายในคือจิตใจ บังคับให้มันเป็นของที่น่าดูหรือเป็นศีลขึ้นมา ศีลก็แปลว่าปกติ คือปราศจากวิปริตพิรุธอะไรต่างๆ คำว่า ศีล นั้นแปลว่า ปกติ ถ้าจริงเหมือนพูด คือได้ยินว่าจะถือศีล ๘ กันอีก ก็ควรจะให้มันจริง คือตั้งใจลงไปจริงๆ ที่จะบังคับตัวให้อยู่ในระเบียบของศีล หรือว่าอยู่ในระเบียบของการบังคับตัว เรียกสั้นๆ คือบังคับไปเรื่อยไป อยู่ในการควบคุมเสมอไป ฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องอดทน เพราะฉะนั้นมีเรื่องต้องอดทน ยกตัวอย่างว่า ไอ้ศีล ๘ ข้อนี้ก็ทำหมด ถือหมด แต่ความหมายที่เป็นส่วนประกอบอื่นๆ มันยังสำคัญ เรียกว่า ธุดงค์ รับประทานอาหารอย่างบังคับตัวเอง อย่างธุดงค์ ก็หมายความว่า เอาอาหารใส่จานเล็กๆ ก็พอ เท่าที่จะรับประทานหมด แล้วก็รับประทานด้วยสติสัมปชัญญะ ตลอดเวลานั้นมันเป็นการฝึกฝนสติสัมปชัญญะ ทีนี้ทว่าเหลวหมด มันก็คือว่า นักศึกษาหญิง นักศึกษาชาย มานั่งวงแล้วกินอาหารพลาง คุยกันไปพลาง ฉอเลาะกันไปพลาง อย่างนี้ไม่มีศีลเหลืออยู่เลย คือไม่มีการบังคับเลย และมันเล่นตลกอย่างยิ่งที่ว่าจะถือศีลอุโบสถ เพราะมันต้องระวังกระทั่งจิตใจที่จะไม่ปล่อยไปตามความสบาย เอาของดีมาแบ่งกันกินแบบปิกนิก คือว่าใช้สถานที่นี้เหมือนกับสถานที่ปิกนิก แล้วก็ระหว่างหญิงชายด้วย ยิ่งหมดเลย ฉะนั้นป่วยการที่จะพูดว่าถือศีล ๘ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศีล ๘ นี้มุ่งหมายเรื่องระหว่างเพศมากที่สุด ทุกแง่ทุกมุม ถ้าเป็นเรื่องระหว่างเพศ ต้องหยุดลงไปชั่วคราวในระหว่างที่ถือศีล แม้แต่ความคิด ฉะนั้นจึงขอร้องว่า นักศึกษาหญิงก็พักฝ่ายหนึ่ง นักศึกษาชายก็พักฝ่ายหนึ่ง และกลางคืนโดยเฉพาะ ไม่ต้องมารวมกลุ่มกันแม้แต่สวดมนต์ นักศึกษาชายมาสวดกับพระ นักศึกษาหญิงไปสวดกับแม่ชีอย่างนี้ ถ้าทำได้อย่างนี้ เป็นการบังคับตัวเองมาก ก็ได้ผลดี และก็มีบางหมู่ที่ทำได้ดี ขอแสดงความพอใจ ยินดี อนุโมทนาไว้เดี๋ยวนี้ด้วย และบางหมู่ใช้ไม่ได้ หลอกลวงตัวเองหรือบางคนด้วยซ้ำไป ยิ่งใช้ไม่ได้ ถ้าอย่างนี้ก็ไม่ได้ประโยชน์สูงสุด ที่ว่าจะได้รับจากสวนโมกข์ ที่มีค่ายิ่งไปกว่าการฟัง การบรรยาย เรื่องอาหารก็ขอให้เป็นการบังคับ ไม่กินด้วยกิเลส ไม่กินด้วยเล่นหัว ไม่กินด้วยมัวเมา อย่างที่บทปัจเวกขณ์ในเวลาสวดมนต์มันก็มีอยู่
เรื่องแต่งเนื้อแต่งตัวก็เหมือนกัน ต้องไม่มีความหมายของคำว่า ประดับประดาตกแต่ง ฉะนั้นจึงมีเพียงเครื่องนุ่มห่มหรือปกปิดอวัยวะที่ควรปกปิด พอมีความสบายบ้างเพราะการปกปิด ไม่ใช่การตกแต่งให้สวยงาม ฉะนั้นถ้าจะมาถือศีล ถือธุดงค์ ก็ต้องทำอย่างนี้โดยเคร่งครัด เพราะทุกคนเขา เขาเข้าใจว่าทำอย่างนั้น ฉะนั้นทำอะไรผิดพลาดไป มันก็เป็นขี้ปากชาวบ้าน ถ้านักศึกษาถือศีล ทำอะไรผิดพลาดไปจากที่ชาวบ้านเขาเห็นกันอยู่ เขาก็นินทา อย่างนี้ก็เป็นขี้ปากชาวบ้าน หรือบางทีก็เป็นขี้ปากพระเณรบางองค์ที่ขี้พูดด้วยซ้ำไป แกวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา เราก็เลยเป็นขี้ปากด้วย แล้วก็เลยไม่ได้รับผลตามที่ควรจะได้ด้วย
นี่ตัวอย่างเท่านั้น ที่จะต้องรับประทานอย่างไร แต่งเนื้อแต่งตัวอย่างไร ประพฤติอะไรกันอย่างไร สรุปแล้วก็คือบังคับตัว ไม่ตามใจตัว คิดที่จะ เห็นได้ง่ายๆ ก็คือว่าต้องหยุดหัวเราะกันที ไอ้หัวเราะซิกซี้ เล่นหัวเพื่อนชายกันก็ดี เพื่อนเพศตรงกันข้ามก็ดี ต้องหยุด หรือแม้แต่หัวเราะเล่นคนเดียว มันก็ต้องหยุด เพราะมันเป็นการไม่บังคับตัว มันไม่มีศีล มันไม่เป็นศีลแล้ว ฉะนั้นมันจึงเต็มไปด้วยสติสัมปชัญญะ คอยระวังตัวเองตลอดเวลา อย่างนี้จะได้ผลมาก จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างใหญ่หลวง ทางกาย ทางวาจา ทางใจ นี่เรียกว่าได้บุญมาก เพราะมาถึงสวนโมกข์ จะได้มีจิตใจ มีลักษณะอย่างที่เรียกว่า โมกข์ คือเกลี้ยงไปจากสิ่งที่มันควรจะเกลี้ยง ฉะนั้นถ้ามาแล้วไม่ได้ความรู้สึกอย่างนี้ ก็ไม่ถึงสวนโมกข์ ให้มานอนอยู่ที่นี่กี่วันกี่เดือนกี่ปี มันก็ไม่ถึงสวนโมกข์ ถ้าถึงสวนโมกข์ก็คือ จิตใจมันได้รู้รสของความเกลี้ยงแห่งจิตใจ เช่น พอเรามานั่งอยู่อย่างนี้ ความคิดประเภทตัวกูของกู มันเกิดไม่ได้ มันไม่เกิด ฉะนั้นมันจึงว่างจากความคิดประเภทตัวกูของกู นี่เขาเรียกว่า จิตใจมันเกลี้ยงไปหรือมันว่างไปจากตัวกูของกู นั่นน่ะคือถึงสวนโมกข์ ฉะนั้นพยายามให้ได้รส ให้ได้รับ หรือให้ได้ชิมรสของความที่จิตใจมันเกลี้ยงไปจากการคิดนึกประเภทตัวกูของกู อย่ากลัวว่าถ้าจิตใจมันเกลี้ยงไปอย่างนี้แล้วมันจะโง่ หรือว่ามันจะทำอะไรไม่ได้ ที่จริงมันยิ่งฉลาด แล้วยิ่งทำอะไรได้ ยิ่งว่องไวในการคิด การนึก การตัดสินใจ เพราะมันมีกำลังใจมาก ที่เราไปหัวเราะกันเสีย ไปคุยเล่นกันเสีย นั่นคือการใช้กำลังจิตใจไปโดยไร้ประโยชน์ มันเป็นการสนุกสนานหรือพักผ่อนเท่านั้นเอง ทว่าที่จริงแล้ว อยู่นิ่งๆ ยังพักผ่อนมากกว่าหัวเราะ ขอให้ไปพิสูจน์ดูด้วยตนเอง คนโง่ๆ มันพูดว่าไปดูหนังเป็นการพักผ่อน ที่จริงอยู่นิ่งๆ ยิ่งเป็นการพักผ่อนกว่า ที่ว่าหัวเราะ เล่นหัว เป็นการพักผ่อน นี่ก็ไม่จริง ถ้าพักผ่อนจริงมันต้องหยุด ฉะนั้นเราให้มันเป็นการพักผ่อนที่จริง เกิดขึ้น แล้วก็รู้รสของจิตที่ได้รับการพักผ่อน นี้จะทำให้เราเข้าใจธรรมะหรือเข้าใจตัวพุทธศาสนา คือจิตที่มันว่างไปจากกิเลส ว่างไปจากความทุกข์ ในชั้นแรกจะว่างเป็นระยะๆ สั้นๆ เพราะเรายังทำไม่เป็น ต่อไปมันก็ว่างในระยะยาวออกไป ยาวออกไป จนกว่ามันยาวตลอดติดกัน ไม่มีกลับมาอีก อย่างนี้ ถึงที่สุด ฉะนั้นพยายามบังคับตัว ควบคุมตัว ให้เหมาะให้พร้อมที่จะรับรสของธรรมชาติให้ลึกขึ้นไป, ลึกขึ้นไป สถานที่นี้มันมีความหมายเป็นป่ามากกว่าที่จะเป็นบ้านเมือง ฉะนั้นก็อยากจะพูดให้เข้าใจเสียเลยว่า มันมีความสำคัญอย่างไร
พระพุทธเจ้าเอง หรือพระศาสดาของศาสนาไหนก็ตาม ได้ตรัสรู้เป็นพระศาสดานั้นๆ ในป่าทั้งนั้น ไม่มีศาสดาองค์ไหนตรัสรู้บนตึก บนวิมาน หรือว่าในวัดในวาที่จอแจ คนที่เคยอ่านเรื่องพุทธประวัติมาแล้วย่อมเข้าใจได้ดี คนที่เคยอ่านเรื่องประวัติของพระ Jesus Christ ของพระ Muhammad กันมาแล้ว ก็เข้าใจได้ดี ว่าพระศาสดาเหล่านั้น ตรัสรู้กันในป่า ในที่สงบสงัด ถึงเราไม่ได้ตั้งตัวเป็นพระศาสดาก็จริง แต่เราต้องการอยากจะรู้สิ่งเดียวกันกับที่ท่านรู้ หรือชิมรสนั้น ฉะนั้นเราต้องพยายามปรับปรุงเราให้มันคล้ายกัน ในการเป็นอยู่ มันจะรู้ได้ง่าย หรือความคิดชนิดนั้นมันจะเกิดขึ้นมาเองในใจได้โดยง่าย นี่ขอให้อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ และให้คล้ายกับที่พระศาสดาเป็นอยู่ อย่างสำหรับภิกษุสามเณรที่นี่ เราถือกันเป็นหลักทั่วไปว่า กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู นี่แสดงถึงว่ามันละไอ้สิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปหมดและอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ เป็นชีวิตที่ต่ำที่สุดในทางฝ่ายวัตถุหรือทางฝ่ายร่างกาย แต่แล้วมันก็สูงที่สุดในฝ่ายจิตใจ ฉะนั้นขอให้ทำอย่างนั้นบ้างตามที่จะทำได้ ในการเป็นอยู่ที่ง่าย ที่ต่ำ ที่ไม่ประกอบไปด้วยกิเลส แล้วจิตใจมันก็จะมีโอกาสสูงขึ้น ถ้าเราอยากจะกินดีอยู่ดี เอร็ดอร่อย สนุกสนาน ก็คือดึงจิตใจลงมาสู่ความต่ำของเรื่องนี้ ฉะนั้น กินอยู่แต่พอดี มันคนละอย่างกับว่า กินดีอยู่ดี เดี๋ยวนี้มักจะบูชาไอ้กินดีอยู่ดีกันเสียเป็นส่วนใหญ่ แล้วก็ยังไม่มีขอบเขตด้วย ว่าจะกินดีอยู่ดีกันถึงไหน เอาอยู่แต่พอดีที่มันจะไม่เกิดความคิดต่ำๆ เป็นหลักทั่วไป เคยได้ยินมาตั้งแต่เล็กๆ ว่า earn living, high bringing (นาทีที่ 24.42) นี่ ถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังมีคนพูดกันอยู่ ชีวิตอยู่อย่างต่ำ แล้วจิต ความคิด มันค่อยจะสูง ตรงกันข้าม เดี๋ยวนี้เราก็กำลังนั่งกลางดิน ขอให้เข้าใจความหมายของคำว่า นั่งกลางดิน นี่ก็เป็นตัวอย่างอันหนึ่งของการเป็นอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติที่สุด จงพยายามทำความเข้าใจ รู้จักกันกับแผ่นดินซึ่งก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง หลายคนทราบแล้ว แต่หลายคนก็ยังไม่ทราบเพราะไม่สนใจ ว่าพระพุทธเจ้านั้นท่านประสูติกลางดิน ที่สวนลุมพีนี โคนต้นสาละ อย่างต้นไม้ต้นนี้ที่ปลูกอยู่นี่ แล้วเวลาท่านตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็กลางดิน ใต้ต้นโพธิ์ริมตลิ่งแห่งหนึ่ง ก็เรียกว่า ประสูติ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็กลางดิน แล้วเวลาท่านนิพพานก็กลางดิน ใต้ต้นไม้ชื่อต้นสาละอย่างเดียวกันนี้อีก และท่านสอนภิกษุทั้งหลายก็กลางดิน เพราะว่าไอ้โรงเลี้ยงโรงฉัน อุปัฏฐาคารทั้งหลายต่างๆ นั้น มันพื้นดินน่ะ อีกอย่างหนึ่งก็คือว่า กุฏิของพระพุทธเจ้าทุกแห่งที่ไปเห็นในประเทศอินเดีย เป็นพื้นดิน จริงตามที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ ไม่ต้องขึ้นบันได ฉะนั้นก็เลยเป็นว่า ท่านประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน นิพพานกลางดิน สอนกลางดิน อยู่กลางดินจนสิ้นชีวิต ก็เรียกว่านิพพานกลางดิน ฉะนั้นมันใกล้ชิดธรรมชาติเท่าไร คำนวณดูเอง ถ้าเรามีความใกล้ชิดธรรมชาติเหมือนกัน มันก็เป็นการง่าย ที่เราจะเข้าใจความรู้สึกคิดนึกของพระพุทธเจ้า และจะฟังคำสั่งสอนของท่านได้โดยง่าย เข้าใจโดยง่าย และยิ่งกว่านั้น มันจะเกิดเป็นความคิดของเราขึ้นมาเอง แล้วไปเหมือนกันได้กับของพระพุทธเจ้า เพราะว่าเราเป็นอยู่คล้ายกัน
ฉะนั้นเลิกเล่นหัว สรวลระริกซิกซี้ เล่น เห็นแก่ความสนุกสนาน เอร็ดอร่อย เสียชั่วขณะเถิดในระหว่างที่พักอยู่ที่นี่ เมื่อพูดว่าถือศีล ๘ แล้วก็ขอให้ถือศีลจริงๆ แล้วมันจะบอกให้มาก มันจะสอนให้มาก จะได้รู้เรื่องใหม่อีกมากมายเหลือที่จะกล่าวแหละ แต่ถ้ามามัวหัวเราะกันอยู่แล้ว มันเป็นไม่ได้อะไรแน่ จะกลับไปเท่าเดิมหรือน้อยไปกว่าเดิมก็ได้ นี่ส่วนพิเศษที่ว่าจะได้รับจากการที่มาพักอยู่ในสถานที่นี้ และดี หรือมีค่า หรือจำเป็นกว่าเรื่องการฟัง เพราะการฟังนั้น อ่านเอาก็ได้ ไม่เท่าไรเขาก็พิมพ์ไป แล้วก็อ่านเอาก็ได้ แล้วมันก็เหมือนๆ กันกับที่พิมพ์อยู่แล้วก็มี ฉะนั้นประโยชน์ใหญ่หลวงก็คือว่า มาฝึกฝนกาย และก็จิตใจ แล้วก็ความคิดความเห็น ให้มันเข้ารูปเข้ารอย แม้สัก ๒ อาทิตย์ ๓ อาทิตย์ นี่ก็ยังมีประโยชน์ที่สุด และกล่าวได้ว่าจะเป็นผู้รู้จักพระพุทธศาสนาอย่างถึงตัวจริงและถูกต้อง ยิ่งกว่าเพียงแต่อ่านๆ หรืออภิปรายกัน หรืออะไรกัน นั่นมันเป็นเรื่องฟุ้งซ่าน เตลิดเปิดเปิงไปไหนก็ไม่ทันรู้
สรุปความแล้วก็ว่า เรียนจากภายในใจนั้นดีกว่าเรียนจากหนังสือ ดีกว่าเรียนจากการอ่านหนังสือ อีกทางหนึ่งก็พูดได้เหมือนกันว่า ธรรมชาติสอนดีกว่าคนสอน อาจจะพูดลามปามไปเลยได้ถึงกับว่า ธรรมชาติสอนดีกว่าพระพุทธเจ้าสอน ถ้าไปทูลถามพระพุทธเจ้า ท่านก็จะตอบว่าอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าเราจะพูดจ้วงจาบพระพุทธเจ้า เพราะว่าพระพุทธเจ้าเองก็เหมือนกัน ธรรมชาติสอนท่าน ท่านจึงตรัสรู้ ไอ้ที่ท่านเรียนจากคนน่ะ ยกเลิกหมด ในที่สุดธรรมชาติสอนท่าน ครั้งหนึ่งเราคิดกันว่าใครเป็นอาจารย์ของพระพุทธเจ้า บางคนก็ตอบว่า ไม่มี บางคนก็พูดจริงแกมชวนหัวว่า อาจารย์ของพระพุทธเจ้าชื่อนายคลำ คือท่านคลำของท่านเองเรื่อยไป จนรู้ ฉะนั้นอาจารย์ของท่านชื่อนายคลำ ส่วนพระดาบสทั้งหลาย สอนนั่นสอนนี่นั้น เป็นอันยกเลิกไปหมด คือมันไม่ถูก มันไม่ถูกถึงที่สุด มันไม่ใช่นิพพานโดยแท้ นั่นน่ะคือการที่ธรรมชาติสอน อาจารย์ที่ชื่อนายคลำนั่นแหละ คือคลำไปตามปรากฏการณ์หรือว่าตามเรื่องราวของธรรมชาติ ตามข้อเท็จจริงของธรรมชาติ เป็นอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ มันก็ปรุงแต่งให้เกิดความรู้สึกต่างๆ นานาขึ้นในจิตใจ แล้วก็อ่านเอาจากจิตใจ แล้วก็พบว่าความทุกข์มาจากอะไรๆ มาจากไหน รู้หมด สิ่งที่เรียกว่า กิเลสตัณหา มันก็อยู่ข้างใน ที่เรียกว่าความทุกข์ที่เกิดมาจากกิเลสตัณหา มันก็อยู่ข้างใน สัจจะทั้งหลายเกี่ยวกับเรื่องดับทุกข์นี่มันอยู่ข้างใน ฉะนั้นขอให้พยายามเรียนจากความรู้สึกในใจ ยิ่งกว่าที่จะอ่าน ฟัง จากหนังสือหรือคำพูดของคนภายนอก แล้วธรรมชาติสอนดีกว่ามนุษย์ด้วยกันสอน ขอให้เข้าใจอย่างนี้ จึงขอร้องให้หุบปาก หยุดหัวเราะ หยุดพูดเล่น จึงจะได้ยินธรรมชาติสอน ถ้ามัวหัวเราะกัน สรวลระริกซิกซี้กัน มันก็ไม่ได้ยินที่ธรรมชาติสอน ไปทดลองดูก็แล้วกัน ถ้าสำรวม หยุด เงียบ นิ่ง จะได้ยินธรรมชาติสอน ว่านั่นเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้น เหมือนกับมันบอกมาจากข้างใน ถ้าใจคอมันปกติจริง ว่างจากความรู้สึก กิเลสรบกวนจริง มองเห็นอะไรลึกซึ้ง จนมองไปที่หินก้อนนี้ ก็จะเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และก็หินก้อนนี้เป็นผู้บอกผู้สอนเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แก่ผู้ที่มีจิตใจสงบและเพ่งพิจารณามัน แต่ถ้าเรามานั่งหัวเราะหยอกล้อกันอยู่ อะไรอยู่ มันก็ไม่ได้ยินเสียงธรรมชาติเหล่านี้เลย
ฉะนั้นขอแสดงความหวังว่าทุกคนจะพยายามมีศีลด้วยการบังคับตัวอย่างนี้ และพยายามที่จะให้ได้รับประโยชน์จากความสำรวมอันนี้ให้มากที่สุด ให้เป็นอันว่า ที่ว่าถือศีลกันแล้ว ก็ขอให้ถือศีลจริงๆ ให้ได้รับประโยชน์ อย่าใช้สถานที่นี้เป็นสถานที่ปิกนิก หรือเล่นหัว หรืออะไรอย่างอื่น ซึ่งไม่เหมาะสมกับคำว่า สวนโมกข์ ถ้าไม่ยอมรับข้อนี้ ก็อยากจะขอเชิญกลับไปเลย ขออย่าได้พักอยู่ที่นี่เลย ฉะนั้นขอพูดกันตรงๆ ว่าเป็นอย่างนี้ ถ้ามาที่สวนโมกข์นี้ ก็ขอให้เข้ารูปกันกับสวนโมกข์ คือเตรียมตัวพร้อมที่สุดที่จะได้ยินเสียงธรรมชาติ ฟังเสียงธรรมชาติ คือความรู้ที่มันเกิดขึ้นมาเมื่อจิตใจมันสงบ สงัด จึงจะต้อง ต้องอยู่ในสภาพที่ถือศีล ๘ นั่นแหละดีแล้ว มันจะได้หุบปาก มันจะได้สำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย อะไรต่างๆ แม้กระทั่งอาหารการกิน การแต่งเนื้อแต่งตัว มันก็สำรวมพร้อมลงมาทั้งหมด มันก็พร้อมที่จะได้ยินธรรมชาติพูด คือความคิดของเราข้างใน มันเป็นตัวธรรมชาติอันหนึ่ง แล้วมันก็รู้สึกขึ้นมาราวกับมันพูดหรือมันตะโกน เป็นอันว่าแม้จะอยู่สัก ๒-๓ วัน ๖-๗ วัน ก็ยังได้รับประโยชน์บ้าง ถ้าทำให้เข้าถึงความจริงข้อนี้ จึงเรียกว่ายินดีที่ท่านทั้งหลายมา ขออนุโมทนา แต่พร้อมกันนั้นก็ขอแสดงความหวังว่า ให้ทุกอย่างมันเป็นไปอย่างที่ตั้งใจไว้ ว่าปิดภาคนี้ จะทดลองใกล้ชิดกับธรรมะ หรือมีชีวิตความเป็นอยู่ที่เป็นตัวธรรมะมากกว่าธรรมดา ให้สมกับที่ว่าเรามันเป็นสมาชิกกลุ่มพุทธศาสน์หรือกลุ่มอะไรก็ตาม ที่เรียกว่าเป็นกลุ่มของผู้รู้ พุทธะ แปลว่า ผู้รู้ และความหมายที่สอง เดินออกไปเป็นผู้ตื่น ตื่นจากนอน และความหมายยังเดินออกไปถึง สดใส แจ่มใสอยู่ อย่างถ้าสวดมนต์แปล ก็จะต้องสวดว่า พระพุทธเจ้าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ฉะนั้นขอให้มีอาการอย่างนี้ให้มากที่สุดที่จะมากได้ ในระหว่างที่พักอยู่ที่นี่ คือให้รู้สึกตัว ให้รู้สิ่งที่ควรรู้ ตื่นจากความหลับ คือความโง่หรืออวิชชา แล้วสดใส แจ่มใส อยู่ในอำนาจของธรรมะ เยือกเย็น นี่เราก็เป็นพุทธบริษัทมากขึ้นกว่าเดิม และเป็นพุทธบริษัทชนิดของพระพุทธเจ้าหรือเป็นของสากล ไม่ใช่เฉพาะของกลุ่มจุฬาฯ ไม่มีเรื่องถือพรรคถือพวก ไม่มีเรื่องเอาหน้าเอาตา แข่งขันกันระหว่างพรรคระหว่างพวก ไม่ต้องมี เพราะว่านั้นมันไม่ใช่ความรู้ ไม่ใช่ผู้รู้ ไม่ใช่ผู้ตื่น มันเป็นผู้มีกิเลสปิดบังเสียแล้ว การที่เราจัดเป็นพวกๆ เป็นหมู่ เป็นคณะนี้ ไม่ใช่เพื่ออิจฉาริษยา แข่งขันกัน เพียงแต่เพื่อให้สะดวกในการอบรมสั่งสอนกัน และเพื่อให้มีมานะพยายาม ทำความก้าวหน้าให้มากที่สุด หรือแข่งขันกันด้วยเจตนาดี ไม่ได้แข่งขันกันด้วยเจตนาร้ายที่จะทับถมกัน หรือทำ ทำอันตรายแก่กัน ฉะนั้นจึงหวังว่าสมาชิกกลุ่มพุทธศาสน์ประเพณีของจุฬาฯ นี้ คงจะทำอะไรได้มาก อย่างน้อยก็ไม่น้อยกว่าที่กลุ่มอื่นเขาทำได้ มีหลายกลุ่มที่ทำได้ อย่าออกชื่อเขา เดี๋ยวมันก็จะเป็นการไม่ดี แต่ก็ว่าหลายคนเหมือนกันที่เหลวไหล ก็ไม่ต้องพูด คนที่เหลวไหล เราพูดถึงคนที่ไม่เหลวไหล แล้วก็ทำได้สำเร็จประโยชน์ กลุ่มจุฬาฯ นี้ ก็คุ้นเคยกับวัดนี้มาหลายปีแล้ว ขอให้มันเป็นไปด้วยดี ให้สมชื่อว่า จุฬา คืออาภรณ์ที่เขาประดับอยู่ในอวัยวะสูงสุด คือยอดสุดของศีรษะ มันก็มีความหมายสูงอยู่แล้ว หรือถ้าว่าที่แท้แล้วธรรมะนั่นแหละคือจุฬา คือสิ่งที่ควรจะไปเสียบไว้ในอวัยวะสูงสุดของคนเรา คือธรรมะนั่นเอง
นี่วันนี้เราพูดกัน มันก็อย่างกันเองที่สุดแล้วนะ จะโกรธก็โกธร จะชอบก็ชอบ ก็เพื่อว่าอย่าให้เสียเวลาล่วงไปเปล่าๆ แล้วก็พูดกันในลักษณะที่เรียกว่า ปฐมนิเทศ หรืออะไรทำนองนั้น คือการปรับความเข้าใจกันเสียแต่ในเบื้องต้น เพื่อว่าอย่าให้เวลามันเสียไปเปล่า แม้แต่นิดเดียวในการทำผิด แล้วค่อยมากลับทำให้ถูก นี่มันเสียไปเปล่าๆ ฉะนั้นขอให้มันมีการกระทำที่ถูกต้องไปตั้งแต่จุดตั้งต้นจนตลอดเวลา ในระหว่างอยู่ที่นี่ก็ถือเสียว่า อยู่กันคนละโลกเถอะ จะง่ายดี ตั้งแต่เตรียมตัวเหมือนกับมันอยู่กันคนละโลก ก็ที่เราอยู่มาแล้วเมื่อวาน เมื่ออะไร ที่อื่น ที่เข้ามาอยู่ในโลกของธรรมชาติ คือเตรียมพร้อมสำหรับจะรู้อะไรให้มันยิ่งๆ ขึ้นไป หรือแบบที่พระพุทธเจ้าหรือพระศาสดาทั้งหลายท่านพอใจกันนัก หรือพระอรหันต์ทั้งหลายท่านพอใจกันนัก เห็นโลกอย่างนี้ โลกที่อยู่ด้วยธรรมชาติ ตามธรรมชาติ สะอาด สว่าง สงบ ตามแบบของธรรมชาติ ฉะนั้นเราก็กลมกลืนกันไป อย่าไปเสียดายการที่ต้องงดเว้นความสรวลเสเฮฮา ความสนุกสนานอะไรชั่วไม่กี่วันที่พักอยู่ที่นี่ อย่าไปเสียดาย นั่นมันของขี้ริ้ว เพราะเราอาจจะไปสรวลเสเฮฮากันเมื่อไรก็ได้ หรือที่แล้วมา มันก็เกินพอดีแล้ว ฉะนั้นก็ใช้เวลาระหว่างอยู่ที่นี่เหมือนกับอยู่อีกโลกหนึ่ง พยายามอยู่อย่างธรรมชาติให้มากที่สุด เหมือนกับต้นไม้มันก็ร้องบอกว่า เย็นหรือหยุด หยุดกันเสียบ้าง เย็นกันเสียบ้าง สงบกันเสียบ้าง ก้อนหินมันก็เหมือนร้องตะโกนบอกว่า หยุดกันเสียบ้าง เย็นกันเสียบ้าง หรือว่ายอมกันเสียบ้าง อย่ายกหูชูหาง อวดดีใส่กันเลย นั่นมันเป็นเรื่องตัวกูของกู มันก็ไม่มีเรื่องทะเลาะวิวาท ไม่มีเรื่องกระทบกระทั่ง ไม่มีเรื่องที่จะต้องขุ่นข้องหมองใจกับใคร ได้อย่างนี้ก็เรียกว่า มันอยู่กันคนละโลก ทนได้กี่วันก็ลองดู มันต้องได้รับผลที่แปลกออกไปเป็นแน่ แล้วบางคนพอใจ อาจจะอยู่ อยากจะอยู่ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ อย่างนี้ก็มี
คนเราไม่รู้เรื่องของธรรมชาติ ไม่รู้จักความสุขที่จะได้จากธรรมชาติ ต้องขออภัยใช้คำหยาบๆ ว่า มันคนบรมโง่ คือมันไม่รู้ว่าความสุขที่แท้จริงนั้น ได้มาโดยไม่ต้องเสียสตางค์ มันกลับไปเห็นว่า ถ้ายิ่งเป็นของดี ของสุข ของอะไรมันต้องยิ่งแพงมาก ต้องใช้เงินมาก ไปคิดกันอย่างนั้นเสมอ มันก็หาเงินกันใหญ่เพื่อจะซื้อสิ่งที่ถือกันว่าดี นั่นแหละคือความโง่ โดยที่ไม่รู้ว่าความสุขที่แท้จริงนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ต้องซื้อด้วยเงินด้วยสตางค์ เพียงแต่ปรับปรุงจิตใจให้ถูกต้องตามเรื่องของธรรมชาติ ซึ่งจะพิสูจน์กันได้ที่นี่ ว่าไม่ต้องเสียเงินเสียสตางค์อะไรเป็นพิเศษเพื่อเรื่องเพื่อสิ่งนี้ กลับได้ความสงบสุขยิ่งกว่าชนิดที่เสียเงินเสียทอง เสียอะไรกันมากมาย ไม่ได้อย่างใจก็ร้องไห้ ก็ฆ่าตัวตาย จึงต้องเรียกว่า บรมโง่
มนุษย์กำลังเดินไปตามทางของความโง่ โดยขอให้สังเกตดูว่า ไปทำสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำ หรือไม่จำเป็นจะต้องหมดเปลือง นี่กำลังโง่ มีคนทำสิ่งที่ไม่ต้องทำนี่ นั่งอยู่ที่นี่ก็เห็นมากๆ คือมันมาเสียเวลา เสียเงิน เสียของ เสียอะไรต่างๆ โดยไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย การแต่งเนื้อแต่งตัวก็บอก ว่าไม่จำเป็นจะต้องแต่งอย่างนั้น ถึงโดยหลักทั่วไป ก็ต้องดูแต่ว่า ทำไมเราจะต้องสวมเสื้อที่มันมีดอกมีดวง มีปักมีสี ซึ่งมันก็ต้องแพงกว่า แล้วมันจะได้อะไร มันก็ไม่เห็นมีอะไร นอกจากความโง่ หลง กูสวยกว่า กูรวยกว่า แต่เขาไม่เห็นว่าเป็นความโง่ ฉะนั้นเราจึงเห็นคนที่ทำอะไรแปลกๆ ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องทำ เช่นว่าจะต้องสวมแว่นตาโดยที่ไม่ต้องสวม อย่างนี้มันก็มี หรือมีอะไรอีกหลายอย่างที่ไม่จำเป็นจะต้องมี เดี๋ยวนี้คนชั้นผู้หลักผู้ใหญ่ก็สวมเสื้อลวดลายแปลกๆ เป็นผู้นำในทางความโง่ แทนที่จะช่วยกันประหยัดให้คนไทย นี่ก็ยิ่งตลบตะแลง เพราะว่าเสื้อขาวๆ ไม่มีดอกมีดวงนี่มันถูกกว่า นี่เป็นตัวอย่างเท่านั้นแหละ เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไปคิดดูให้ดี ว่ามนุษย์เรากำลังเดินไปตามทางของความโง่ ฉะนั้นระหว่างอยู่ที่นี่ ทิ้งมันไปเสียให้หมด อะไรไม่จำเป็นที่จะต้องมี ต้อง อย่าเอามา ไม่รู้จะไปเก็บไปซุกไว้ที่ไหน ให้มันเหลือแต่ที่จำเป็นที่สุด แล้วจิตใจมันก็จะได้เปลี่ยนไปสู่ระบบของความว่าง ความสว่าง ความสงบ ได้ง่าย จงรับประทานแต่ที่จำเป็น และจงนุ่งห่มแต่ที่จำเป็น เป็นอยู่อาศัย เสนาสนะ เครื่องใช้สอยแต่เท่าที่มันจำเป็น เท่าที่จัดให้นี่ก็เรียกว่าเท่าที่จำเป็น มันก็จะเปลี่ยนทันที เคร่งไว้บ้างก็ดี เพราะชั่วไม่กี่วัน เดี๋ยวกลับออกไปมันจะรู้ จะตัดสินใจใหม่ว่า เท่าไรพอดี ระหว่างอยู่ที่นี่ ขอร้องให้เคร่งน่ะไม่ใช่เพื่ออะไร เพื่อให้รู้ว่าสุดทางโน้นมันคืออย่างไร และไอ้สุดทางเหลวไหลนี่ มันคืออย่างไร ไอ้สุดทางเคร่งครัดมันคืออย่างไร แล้วก็มาเลือกเอาตรงกลางได้ด้วยตนเอง เดี๋ยวนี้เรากำลังคิดผิด จึงไปปรารถนาไอ้เกินจำเป็น จนลุ่มหลงเกินจำเป็น ก็เหนื่อยเปล่า เปลืองเปล่าอะไร ที่ทั้งโลกแข่งขันกันอย่างนี้ มันก็เลยรบราฆ่าฟันกัน ถ้าคนเอาแต่ความที่จำเป็น ก็จะสงบหรือมีสันติภาพมากกว่านี้มาก เดี๋ยวนี้ทุกคนต้องการเกินจำเป็น แล้วก็ไม่รู้สึกว่า นี้เกินจำเป็น ก็เพราะต้องการเกินจำเป็นนั่นแหละ จึงเผลอเป็นทาสของกิเลส แล้วกลับยากจนลงไป พวกนิสิตนักศึกษากำลังบ้าสังคมนิยม ช่วยเหลือคนจน นี่ระวังให้ดี ดูคนจนให้ดีๆ ว่าเขาจนเพราะเหตุผลโดยถูกต้อง หรือว่าเขาจนเพราะว่าเขาทำให้มันจนโดยการไม่มีธรรมะ ดูให้ดีข้อนี้ก่อนแล้วจึงค่อยตัดสินใจลงไปว่าควรจะช่วยหรือไม่ ควรจะช่วยอย่างไร
การช่วยมี ๒ อย่าง ช่วยทางจิตใจคือช่วยให้มีศีลธรรม หรือมีความถูกต้อง ทีนี้ช่วยทางรูปธรรม ก็เอาเงิน เอาของ เอาอะไรไปให้เขาสิ อย่างนั้นคือเรียกว่าช่วยทางวัตถุ ถ้าช่วยทางจิตใจ ไม่ให้สตางค์ ไม่แตะสตางค์ แต่ให้ความรู้ความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงความผิดให้เป็นความถูก หรือความไม่มีศีลธรรมให้กลับมามีศีลธรรม ขอไปเที่ยวดูเองว่าอย่างไหน จะเป็นผลดีกว่า ถึงดีที่สุดสำหรับคนที่เราไปช่วยเขา นี่พูดเลยออกไปถึงเรื่องช่วยผู้อื่นแล้ว ก็โดยเหตุที่สังเกตเห็นอยู่ว่า นักศึกษาที่มาแล้วๆ ยุคหลังๆ นี่ มึนเมาในการช่วยชนกรรมาชีพ ฉะนั้นจึงขอแถลงความคิดเห็นอย่างนี้เผื่อไว้บ้าง ให้มันพอดีๆ และที่จะพูดก็คือว่า ช่วยตัวเองให้ได้ก่อน ทั้งในทางฝ่ายจิตใจและฝ่ายวัตถุ มันจะช่วยคนอื่นได้โดยง่ายและสำเร็จเป็นแน่นอน ฉะนั้นขอให้อธิษฐานจิตที่จะเป็นอยู่อย่างที่เรียกว่าถือศีลถืออะไรนี่ ที่ตั้งใจกันมานี่ ให้มันเป็นการถือศีลจริงๆ แล้วจิตก็จะพร้อมที่จะรู้ธรรมะ ชิมรสของธรรมะ แล้วก็จะมีศรัทธาในธรรมะสมบูรณ์ มีสัมมาทิฏฐิ มีปัญญาอะไรสมบูรณ์ จะแก้ปัญหาต่างๆ ได้ นี้ขอแสดงความหวังว่า ขอให้เวลาชั่วเล็กน้อยของท่านทั้งหลายระหว่างที่พักอยู่ที่นี่ จงเกิดมีประโยชน์ให้มากที่สุดและเกินค่าที่สุด อย่างที่ไม่เคยทราบมาก่อน หรือที่เรียกว่าคนอื่นเขาคาดคะเนกันอยู่ โดยทำตามอย่างที่ได้ว่ามาแล้วนี้
นี่คือเรื่องที่เราจะพูดกันในการพบกันครั้งแรก ในฐานะที่อาตมาเป็นเจ้าของบ้าน ท่านทั้งหลายเป็นอาคันตุกะนี้ก็ดี ก็พูดอย่างนี้ ในฐานะเป็นการเตรียมปฐมนิเทศสำหรับการทำงานของเราในวันต่อไปข้างหน้าก็ดี ก็ต้องพูดอย่างนี้ อย่างอื่นไม่จำเป็น ฉะนั้นขอแสดงความหวังว่า ให้ความประสงค์ของทั้งสองฝ่าย คือทั้งของเจ้าของบ้านและทั้งแขกผู้มานี่ ดำเนินไปอย่างมีประโยชน์ให้มากที่สุดที่จะมากได้จนทุกๆ อย่างเถิด วันนี้ขอพูดกันเพียงเท่านี้ ขอยุติ มีอะไรก็กลับไปทำตามโปรแกรม ตามหมายกำหนดการ