แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
ท่านที่เป็นครูบาอาจารย์ ผู้ที่กำลังจะเป็นครูบาอาจารย์ทั้งหลาย การพูดกันเป็นครั้งที่ ๔ นี้ ไม่มีอะไรมากนัก ถือว่าเป็นการพูดเพื่อเป็นการลาหรือเป็นการส่งมากกว่า ดังนั้นจึงเป็นเพียงการสรุปความของการบรรยายที่พูดมาแล้วครั้งก่อนๆ เราได้พูดกันถึงเรื่องการศึกษาสมบูรณ์แบบ คำว่าสมบูรณ์แบบพวกอื่นอาจจะมีความหมายอย่างอื่นหรืออย่างไรก็ไม่แน่ แต่สำหรับเรานี้มีความหมายว่าการศึกษาที่รู้และกระทำไปอย่างสมบูรณ์ ซึ่งมีผลสมบูรณ์ถึงที่สุดตามที่การศึกษาจะอำนวยให้ได้ หรือที่เป็นความมุ่งหมายอย่างแท้จริงนั่นเอง นี้คำว่าสมบูรณ์แบบในที่นี้ก็จะต้องหมายถึง ผลที่นำไปถึงไอ้สันติภาพอันแท้จริง ถ้าเป็นส่วนบุคคลเรานิยมเรียกกันว่าเป็นสันติสุข ถ้าเป็นส่วนของสังคมหรือของโลกทั้งโลก เราก็มักจะเรียกกันว่าสันติภาพ เนื้อหาก็เป็นอย่างเดียวกันคือเป็นอยู่โดยไม่มีความทุกข์ ความเดือดร้อน นี้สำหรับการศึกษาสมบูรณ์แบบนั้น เมื่อมองถึงความหมายอันสมบูรณ์แบบก็อย่างที่กล่าวมาแล้วในครั้งที่ ๑ คนไม่เคยมอง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในด้านที่เป็นการศึกษาที่สมบูรณ์แบบ นั้นจึงขอให้มอง เรื่องของเราที่พูดออกไปจึงประหลาดๆ ไม่เหมือนเขา ถ้าเหมือนเขาเหมือนที่เขาพูดกันอยู่ที่อื่นก็ไม่จำเป็นจะต้องมาที่นี่ นั้นการมาที่นี่ก็จะต้องฟังสิ่งที่ไม่เหมือนเขา แล้วเขาก็อาจจะเรียกว่าเป็นเรื่องแหวกแนวหรือวิตถารไปก็ได้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสัญลักษณ์แห่งการศึกษาที่สมบูรณ์แบบ ไม่เคยมีใครพูด พระพุทธเจ้าคือครูผู้ให้ที่สมบูรณ์แบบ พระธรรมคือตัวความรู้หรือตัวการศึกษาที่สมบูรณ์แบบ พระสงฆ์คือลูกศิษย์ที่รับเอาความรู้ไปปฏิบัติได้ผลอย่างสมบูรณ์แบบ และยังแถมพกด้วยการนำไปแจกจ่ายต่อไปอีก กลายเป็นครูผู้ให้ขึ้นมาเสียอีกและวนเวียนกันอยู่อย่างนี้ นี่คือตัวการศึกษาที่สมบูรณ์แบบ แต่ไม่มีใครพูดอย่างนี้ ไม่มีใครเรียกอย่างนี้ ถ้ามองกันไปในแง่ว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นวัตถุสูงสุด เป็นรัตนะสูงสุด เป็นอะไรสูงสุด นั้นมันก็ถูกแล้ว มันก็ถือกันอยู่ทั่วไป ที่นี้เมื่อจะเอามาเป็นทิฏฐานุสติ ของพวกครูหรือว่าในวงการศึกษา จึงบอกให้มองกันในลักษณะอย่างนี้ เป็นการศึกษาที่สมบูรณ์ ไม่ว่าจะมองกันในแง่ไหนล้วนแต่มีความสมบูรณ์ จะแยกกันมองที่ละอย่างๆ ใน ๓ อย่างนี้แต่ละอย่าง มันก็สมบูรณ์ ไม่เกี่ยวพันกันไม่แยกกันได้ มันก็สมบูรณ์ เป็นวงกลมที่ซ้ำซากต่อไปอีกเพื่อคุ้มครองโลก นี้ก็ยิ่งสมบูรณ์ ในที่สุดก็นำมาซึ่งผลที่มนุษย์ปรารถนาหรือควรปรารถนาอย่างสมบูรณ์คือ สิ่งที่เรียกว่าสันติภาพ
ถ้ามีการศึกษาไม่สมบูรณ์มันก็มีปัญหาเกิดขึ้น ตามที่เราได้พูดกันในการบรรยายครั้งที่ ๒ จึงยังจำกันได้ดีอยู่ เมื่อมีการศึกษาสมบูรณ์ก็มีสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรมสมบูรณ์เกิดขึ้น แล้วถ้ามีศีลธรรมก็เป็นอันแน่นอนว่า มันต้องมีสันติภาพ นั้นอยากจะให้แนะ อยากจะแนะให้สังเกตดูตามทางตัวหนังสืออีกสักนิดหนึ่ง เพราะคำว่าสันติภาพกับคำว่าศีลธรรมนั่น มันเป็นไวพจน์แก่กันและกันได้ คือคำเดียวกันหรือว่าแทนกันได้ สันติภาพ ภาวะแห่งสันติคือความสงบปกติ เป็นสุข นี่เรียกว่าสันติภาพ นี้คำว่าศีลธรรมในความหมายที่ ๒ ผลคือผลที่ได้รับเป็นความปกติ ศีลปกติ ปกตินั้นก็คือสันติ หรือว่าศีลธรรมในความหมายที่ ๓ ภาวะปกติตามธรรมชาติ ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ นี้ก็คือลักษณะของสันติภาพตามธรรมชาติ นี่สันติภาพกับศีลธรรมนี้มันก็ เป็นสิ่งเดียวกันอยู่ในมุมมองให้ลึก ให้ถึงที่สุด เพียงแต่ศีลธรรมในความหมายที่ ๑ นั้นมันเป็นเหตุ เหตุที่จะสร้างความปกติหรือจะสร้างสันติภาพ พอในความหมายที่ ๒ ก็เป็นตัวผลเป็นสันติภาพ นั้นถ้าเรามีศีลธรรมโดยแท้จริงมันก็มีสันติภาพ นี้ถ้ามีสันติภาพก็ย่อมหมายความว่ามีศีลธรรม
ถ้าเราจะแยกกันในฐานะเป็นเหตุเป็นผลแก่กัน มันก็ยังเห็นอยู่ในตัว สันติภาพมาจากศีลธรรม ศีลธรรมมาจากการศึกษาที่สมบูรณ์แบบ พูดย้อนกลับไปทีหนึ่งว่าการศึกษาที่สมบูรณ์แบบถ้าไม่มีศีลธรรม แล้วศีลธรรมก็ทำให้มีสันติภาพหรือศีลธรรมในส่วนที่เป็นผล นี่ขอให้มองเห็น อานิสงส์อันแท้จริงหรือความหมายอันแท้จริงของการศึกษา ว่ามันมีอยู่คือสันติภาพ อย่าให้เป็นการศึกษาเพียงชั้นของลูกเด็กๆ เรียน กอ ขอ กอกา เรียนวิชาอาชีพ แล้วก็ยังไม่มีสันติภาพ นี่อย่างที่บอกมาแล้วว่า ถ้ามันรู้เป็นหนังสือ มันฉลาดแต่ตามที่เขาสอนให้ฉลาด มันไม่มีศีลธรรม มันต้องมีการสอนให้รู้จักใช้ความฉลาดนั้นให้ถูกต้อง ใช้ความรู้นั้นให้ถูกต้อง จึงจะมีสันติภาพ เดี๋ยวนี้เราก็มองเห็นกันอยู่ทั่วไปทั้งโลกว่า เค้าฉลาด การศึกษาก้าวหน้ารวดเร็ว เรียนเร็ว ฉลาดเร็ว แต่แล้วโลกก็ยิ่งไม่มีสันติภาพ ตอนนี้มันอาจจะเถียงกันก็ได้ หรือบางพวกก็อาจจะถือว่า นี่คือสันติภาพ โลกอย่างปัจจุบันนี่ก็สันติภาพ อย่างนี้เราเห็นด้วยไม่ได้ เรารู้สึกว่ามันยิ่งวุ่นวายมากขึ้นกว่าสมัยที่เมื่อคนเขาไม่ค่อยจะรู้อะไร ก็มันมีเหตุปัจจัยหลายอย่างที่มันสัมพันธ์กันอยู่ ซึ่งทำให้เถียงกันได้ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ถ้าเอาภาวะที่ปรากฏอยู่จริงแล้วเรารู้สึกกันได้ทุกคนว่า โลกกำลังวุ่นวายยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น เพราะการศึกษามันไม่ถึงจุดที่สมบูรณ์ เป็นการศึกษาที่ทำให้ฉลาด ให้สามารถ ให้รู้ แล้วยิ่งการศึกษาปัจจุบันนี้ แล้วก็ยิ่งไม่เป็นไปในทางให้บังคับตัวเอง ก็ปล่อยไปตามความสะดวกสบาย ความโอ้โลมปฏิโลมกันให้ศึกษา แล้วก็สอนให้เมาประชาธิปไตยแต่ตั้งแต่เล็กๆ อย่างนี้ ผีมันหัวเราะหรือพระพุทธเจ้าท่านไม่ต้องการ พระเป็นเจ้าท่านไม่ต้องการให้คนที่ยิ่งฉลาดยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งไม่บังคับตัว นี่การศึกษาของเราไม่ไปถึงจุดที่สมบูรณ์แบบได้เพียงไรให้มันมีความรู้ได้มีความฉลาด แล้วมันก็ใช้ความฉลาดนั้นไม่ถูก ไม่เป็น ใช้ในทางที่ทำให้วุ่นวาย ไร้สันติภาพ นี่สันติภาพมันมาจากศีลธรรม ศีลธรรมมันมาจากการศึกษาที่สมบูรณ์แบบ
แม้ว่าเราเป็นคนอยู่ในวัยเยาว์ ยังอายุน้อย ยังเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา มันต้องทำการคำสั่ง กฎระเบียบ หลักสูตร อะไรก็ตาม แล้วก็ทำไปตามที่จะไม่ให้ผิดระเบียบ แต่ในใจของคนเราจะยังคงรู้อยู่เสมอว่า ไอ้การศึกษานี้ไม่ใช่เพียงเท่านั้น มันไปไกลกว่านั้นอีกมาก และทำให้คนเขาฉลาดและใช้ความฉลาดถูกต้อง ไม่ต้องทุ่มเถียงทะเลาะวิวาทแก่งแย่งเอาเปรียบกันอย่างปัจจุบันนี้ มันก็คือสันติภาพ สรุปความว่าสันติภาพ มันมาจากศีลธรรม ซึ่งมาจากการศึกษาที่สมบูรณ์แบบ
ทีนี้ก็พูดในทางที่ตรงกันข้ามว่า สันติภาพมิได้มาจากสิ่งที่เขาหวังกันอยู่ในปัจจุบันนี้ ตัวอย่างเช่นเศรษฐกิจ เขาหวังกันอยู่ว่าถ้าจัดเศรษฐกิจดี โลกนี้ก็จะมีสันติภาพ นี่มันเป็นเรื่องลมๆ แล้งๆ ไขว้เขวกันอยู่หลายประการ คือคนไม่มีศีลธรรม มีการศึกษาดีแต่ไม่มีศีลธรรม มันก็จัดสันติภาพชนิดที่จอมปลอม เป็นทาสของกิเลส ทำความยุ่งยากระส่ำระสายกันไปทั่วโลก นั้นเศรษฐกิจชนิดนี้นำสันติภาพมาให้ไม่ได้ นี้ถ้าเรามองอีกทางหนึ่งซึ่งขอร้องอยู่บ่อยๆ ว่าให้มองให้ดู ให้มองดูให้ดีว่าทุกอย่างมันคือศีลธรรม เช่นเศรษฐกิจอย่างนี้มันเป็นศีลธรรมสำหรับมนุษย์ที่จะจัดการกันในเรื่องของทรัพย์สมบัติ หรือว่าการซื้อหา การใช้จ่าย การสัมพันธ์กันโดยการใช้ทรัพย์สมบัตินี้มันเป็นสื่อกลาง ก็ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องในส่วนนี้ ถ้าปฏิบัติถูกต้องมันก็กลายเป็นศีลธรรมไป เศรษฐกิจก็คือตัวศีลธรรมนั่นเอง แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่อย่างนั้น มันเป็นสายตาหรือจิตใจของคนที่มีกิเลส มันมุ่งไปยังสิ่งที่เรียกว่าเศรษฐกิจนั้น เป็นเพียงกำลังทรัพย์ กำลังปัจจัยสำหรับพวกเรา สำหรับตัวเรา ที่จะเอาชนะพวกอื่นในทางนี้ให้เราอยู่เหนือเขา เป็นไปตามเรื่องของกิเลสทั้งนั้น ไม่ได้คิดว่าเศรษฐกิจนี้เป็นศีลธรรม ถ้าเราทุกคนพร้อมกันใจกันทั้งโลกจัดไปให้ถูกต้อง แล้วมันก็ได้อยู่กันเป็นผาสุก ด้วยสิ่งที่เรียกว่าเศรษฐกิจ ถ้าพูดอย่างเศรษฐกิจ ถ้าพูดอย่างที่เขาพูดกันอยู่ หวังกันอยู่ ไอ้เศรษฐกิจชนิดนั้นไม่นำมาซึ่งสันติภาพ ส่วนเศรษฐกิจที่เป็นตัวศีลธรรม มันจึงจะนำมาซึ่งสันติภาพ เดี๋ยวนี้มนุษย์ก็ได้แยกศีลธรรมออกไปจากคำว่าเศรษฐกิจโดยเด็ดขาดแล้ว นั้นจึงพูดว่าสันติภาพมีไม่ได้ด้วยอำนาจของเศรษฐกิจ ตามความหมายคนสมัยนี้ นี้บางคนเขาก็ยังพูดว่าสันติภาพมีได้เพราะการเมือง การจัดการเมืองที่ถูกต้อง นั้นเขาจึงจัดสถาบันดำเนินทางการเมืองอะไรกันใหญ่โต มโหฬารในโลกนี้ เช่นประชุมชาติทั้งหลายเพื่อจะจัดกันในเรื่องนี้ อย่างสูงสุดแล้ว มันก็ไม่มีสันติภาพ กลับเป็นบ่อเกิดแห่งการเอาเปรียบแย่งชิง แข่งขัน สงครามเย็น สงครามใต้ดินมากขึ้น นั้นการเมืองจึงไม่นำมาซึ่งสันติภาพ เพราะว่ามันเป็นการเมืองของกิเลสแบบเดียวกับเศรษฐกิจของกิเลสที่ว่ามาแล้ว
นี้ถ้าเราเป็นพุทธบริษัทจริง มีความรู้ศีลธรรมจริง แล้วจะมองเห็นว่า แม้แต่การเมืองมันก็เป็นเรื่องศีลธรรม คือจะต้องประพฤติต่อกันและกันให้ถูกต้อง ในทางสัมพันธ์กันเกี่ยวกับสิ่งที่มันจะต้องอาศัยซึ่งกันและกันอย่างนี้ นั่นนะคือศีลธรรมแท้ๆ ไม่มีอะไรเลย ถ้าประพฤติปฏิบัติจัดให้ถูกต้องไอ้การเมืองเป็นศีลธรรมโดยสมบูรณ์ เดี๋ยวนี้มันก็แยกกันอย่างที่เราก็เห็นกันอยู่ได้ยินกันอยู่ เขาแยกออกจากกันเป็นคนละเรื่อง มันก็มีการเมืองสำหรับเป็นเครื่องมือเพื่อตัวเพื่อพวกของตัว ก็ไม่เคยนำมาซึ่งสันติภาพ ตำราวิชาการเมืองที่ทำขึ้นแล้วในโลกนี้ ก็มากมายกว่าไอ้คัมภีร์ทางศาสนาด้วยซ้ำไป ดูแต่ขนาดขนด้วยรถไฟเป็นตู้ๆ ตำราการเมืองเกิดขึ้นๆ แต่หลายยุคหลายสมัยมาแล้วจนกระทั่งปัจจุบันนี้ มันก็ไม่ช่วยให้โลกมีสันติภาพ เพราะมันเขียนไปตามด้วยการความรู้สึกคิดนึกของไอ้คนที่ไม่รู้จักว่าการเมืองนั้นคือศีลธรรม ก็เขียนไปในรูปที่เป็นเครื่องมือ สำหรับตัวเองได้เปรียบผู้อื่น แล้วก็ดำเนินการไปด้วยบุคคลที่ยังมีความเห็นแก่ตัว ไม่มีศีลธรรมสมบูรณ์ ไม่มีการศึกษาสมบูรณ์ นั้นการเมืองอย่างที่เรามีอยู่ในปัจจุบันนี้ มันก็ไม่นำมาซึ่งสันติภาพ จะตั้งมหาวิทยาลัยทางการเมืองขึ้นอีก สักร้อยเท่าพันเท่า มันก็มีแต่การเมืองยุ่งนั่นแหละ
อ้าวทีนี้ดูต่อไปถึงไอ้การทหาร มันก็ไม่นำมาซึ่งสันติภาพ เว้นไว้แต่การทหารนั่นมันจะเป็นไปอย่างถูกต้องคือเป็นเรื่องของศีลธรรมไปอีก คือใช้อาวุธเป็นเครื่องดำเนินการให้เกิดความเป็นธรรมขึ้นมา ถ้าทำถูกต้องด้วยจิตบริสุทธิ์มันก็เป็นศีลธรรม ที่ทำอยู่เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นศีลธรรม ถ้ามันทำแต่ความต้องการของตัว ความเห็นแก่ตัว บางทีก็ทำด้วยความอาฆาตโกรธแค้นกันมาเป็นชั่วๆอายุคน นี้การทหารก็ไม่เป็นศีลธรรมไปได้ พูดแล้วไม่ค่อยมีใครเชื่อว่า แม้แต่การทหาร ถ้าทำถูกต้องตามสปิริตของมันมันก็เป็นศีลธรรม ใช้แก้ปัญหาในเมื่อมันจำเป็นจะต้องใช้อำนาจบังคับ นี้เราก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น การทหารแม้จะขยายกันอีกเท่าไร มันก็ไม่นำมาซึ่งสันติภาพในโลกนี้ การสะสมอาวุธก็เหมือนกันมันก็เป็นเพียงขอไปที คล้ายๆกับว่าขู่กันไว้ ต่างฝ่ายต่างมีอาวุธที่จะเข่นฆ่า ประหัตถ์ ประหารกันทีเดียวแหลกลาญ มันยังเกรงใจกันอยู่บ้าง เขาก็พูดกันมากเหมือนกันว่าเดี๋ยวนี้เค้ามีอาวุธ ชนิดดี ชนิดร้ายกว่า สูงสุดด้วยกันทุกประเทศ แล้วมันก็ชะงักกันอยู่ ไม่กล้าโยนใส่กัน แต่สักวันหนึ่ง เมื่อกิเลสมันหนาขึ้นหน้ามันมืดขึ้นมา อาวุธเหล่านี้ก็จะล้างโลกได้ การสะสมอาวุธมิใช่การนำมาซึ่งสันติภาพ เพราะมันไม่ได้ทำไปด้วยความหมายทางศีลธรรมเลย คือไม่ได้ใช้ธรรมะเป็นอาวุธ แต่ใช้ของมีคม มีไอ้นี่เป็นอาวุธ มันก็ไม่เป็นศีลธรรม มันก็มีความคิดน้อมเอียงในทางที่จะฆ่าผู้อื่น ทำลายผู้อื่นเป็นเบื้องหน้า ไม่มีทางที่จะเกิดความรู้สึกเมตตา กรุณา นับว่าเป็นอาวุธอย่างยิ่ง นั้นการสะสมอาวุธทางความหมายธรรมดาสามัญนี้ ไม่นำมาซึ่งสันติภาพเป็นแน่นอน
ดูต่อไปถึงการปกครองในบ้านเมืองในภายในมีการปกครอง ถ้ามันไม่เป็นศีลธรรมมันก็ไม่นำมาซึ่งสันติสุขและสันติภาพ ยิ่งปกครองก็ยิ่งยุ่ง ยิ่งฟั่นเฝือ ยิ่งปนเปกันไปหมด ถ้าการปกครองมันเป็นศีลธรรมมันเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของศีลธรรม มันก็ทำให้มีสันติสุข หรือสันติภาพได้ เดี๋ยวนี้เราไม่ได้อ้างเอาไอ้ศีลธรรมเป็นหัวใจของการปกครอง การปกครองหรือวิชาการปกครอง ที่เขาศึกษาเล่าเรียนหรือใช้กันอยู่ในโลกเวลานี้เป็นเรื่องจิตวิทยาทั้งนั้น จิตวิทยานั้นโดยส่วนใหญ่ก็คือเรื่องหลอกลวงทั้งนั้น มันมีความหมายไปในทางอย่างนั้นเสียมากกว่า อย่างดีก็ขอไปที แก้ผ้าเอาหน้ารอด ขายผ้าเอาหน้ารอด เรียกว่าขอไปที เป็นเสียเพียงเท่านั้น ฉะนั้นอย่าหวังว่าไอ้การปกครองแบบที่มีอยู่ในโลกเวลานี้ มันจะนำมาซึ่งสันติภาพ มันต้องเป็นศีลธรรม ทีนี้การปกครองเป็นตัวศีลธรรมนี้ คนก็ไม่ค่อยมอง กันอีก เช่นเราปกครองตัวเราเองคนเดียวให้ถูกต้องนี้ก็เรียกว่าศีลธรรม นี้หลายคนช่วยปกครองทุกคน คือประเทศชาติให้มันถูกต้อง นั้นก็ยิ่งเป็นศีลธรรม นี้การปกครองนั้นโดยเจตนารมณ์ของมันก็คือศีลธรรม แต่คนก็ไม่ได้ใช้เจตนารมณ์อันนิ้ ไม่ได้จัดไปในลักษณะอย่างนี้ ฉะนั้นการปกครองของคนสมัยนี้จึงไม่นำมาซึ่งสันติภาพ เพราะมันไร้ศีลธรรม เพราะมันมีการศึกษาไม่ถูกต้อง อย่างที่ว่ามาแล้ว โลกนี้มันมีการศึกษาไม่ถูกต้อง ไม่สมบูรณ์ ก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรม อะไรๆ ทุกอย่างก็ไม่มีศีลธรรมไปหมด เศรษฐกิจก็ไม่มีศีลธรรม การเมืองก็ไม่มีศีลธรรม การทหารก็ไม่มีศีลธรรม การสะสมอาวุธก็ไม่มีศีลธรรม การปกครองก็ไม่มีศีลธรรม กระทั่งความก้าวหน้าทั้งหลายทางเทคโนโลยีก็ไร้ศีลธรรม ไม่นำไปสู่สันติภาพ
ระบอบการปกครองแม้ที่เรียกว่าประชาธิปไตยมันก็ยังไร้ศีลธรรม เพราะว่ามีเสรีภาพในทางที่จะเอาเปรียบ เพราะมีเสรีภาพในทางที่จะก่อตั้งประโยชน์ตนไม่ใช่เสรีภาพที่จะช่วยเหลือหรือสละให้ผู้อื่น มันก็ยิ่งเมา ไอ้เสรีภาพชนิดนี้จนเป็นหมู่เป็นคณะ เป็นกลุ่ม เป็นก้อน แย่งกันใช้เสรีภาพ ประชาธิปไตยก็ยิ่งยุ่ง ยุ่งขึ้นไปกว่า ยิ่งขึ้นไปกว่าที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยขอให้ดูให้ดีๆ เมื่อเป็นอย่างนี้ สิ่งเหล่านี้ก็ล้วนแต่เป็นภัยเป็นอันตรายทั้งนั้นแหละ เศรษฐกิจที่กำลังมีอยู่ การเมืองที่กำลังมีอยู่ การทหารที่กำลังมีอยู่ การสะสมอาวุธที่กำลังมีอยู่ การปกครองที่กำลังมีอยู่ การก้าวหน้าเทคโนโลยีทั้งหลายในโลกนี้ ที่กำลังมีอยู่เหล่านี้เป็นอันตรายทั้งนั้น เป็นภัยอันตรายทั้งนั้นเพราะว่ามันไม่มีศีลธรรม ถ้าหากว่ามันมีศีลธรรม ก็จะเป็นเนื้อเป็นตัวของสิ่งเหล่านี้เสียแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เป็นสุข เป็นสิริมงคล เป็นสวัสดีอะไรอย่างยิ่ง และให้มันถูกต้องตามความจริงของธรรมชาติว่า สิ่งเหล่านี้คือศีลธรรมในรูปต่างๆกัน คือสิ่งที่มนุษย์จะต้องประพฤติกระทำเพื่อปกติภาวะนั่นแหละคือศีลธรรม ฉะนั้นสิ่งต่างๆ ที่มนุษย์กำลังทำอยู่นี้ด้วย ด้วยหลักการที่ว่าก็จะนำมาด้วยปกติภาวะ แต่แล้วมันเป็นไปไม่ได้มันจึงไม่ใช่เป็นไปตามความมุ่งหมายที่ถูกต้อง ดังนั้นจึงไม่เป็นศีลธรรม นี้ความรู้การศึกษาของคนสมัยนี้มันยิ่งผิดหนักขึ้น คือแยกศีลธรรมออกไปจากสิ่งเหล่านี้ ดูคำบัญญัติในปทานุกรม ในอะไรก็ตามที่สอนกันอยู่นี้ แยกเอาศีลธรรมไปไว้เป็นสิ่งหนึ่งต่างหาก จากเรื่องการเมือง เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องปกครอง เรื่องวิทยาศาสตร์ เรื่องอะไรก็ตาม ต่อเมื่อสิ่งเหล่านี้ เป็นศีลธรรมตามความจริงของธรรมชาติ โลกนี้ก็จะรอดตัว ถ้าไม่ถึงขนาดนั้น ก็ขอให้สิ่งที่เรียกว่าศีลธรรมนั่นแหละ เป็นผู้ควบคุมไอ้สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ถือไอ้สิ่งที่เรียกว่าศีลธรรมนี่มันควบคุมเศรษฐกิจ ควบคุมการเมือง ควบคุมการปกครอง ควบคุมการทหาร ควบคุมความก้าวหน้าประดิดประดอยทางเทคโนโลยีทั้งหลาย เมื่อนั้นก็จะมีหวังเป็นสันติภาพ นี้มันมีไม่ได้เพราะว่าการศึกษาของเราไม่ได้สอนกันอย่างนั้น เป็นการศึกษาที่พาออกนอกลู่นอกทาง เบี่ยงไปทางข้างๆ ยิ่งฉลาดยิ่งเห็นแก่ตัว แล้วก็ยิ่งนิยมไอ้ความฉลาดอย่างหลับหูหลับตา มันก็เลยไม่พบกันกับสันติภาพ
ขอให้มองดูเป็นเรื่องสุดท้ายของการบรรยายนี้ว่า เมื่อพูดกันถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการศึกษาที่สมบูรณ์แบบ การศึกษาที่สมบูรณ์แบบนั้นเป็นเหตุ นำมาซึ่งศีลธรรมและสันติภาพ แต่ถ้าผู้ใดมีปัญญาและลึกซึ้งกว่านั้น จะมองเห็นได้ไกลกว่านั้น ถือว่ามันเป็นตัวสันติภาพนั่นเอง การศึกษาที่สมบูรณ์แบบนั้นเป็นตัวสันติภาพนั่นเอง มีครูดี มีการศึกษาดี มีนักเรียนดี มันก็มีแต่สันติภาพอยู่ในตัวสิ่งเหล่านั้น ในระดับที่เรียกว่าเป็น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ประจำอยู่ในโลกนี้เลย นี้ถ้าจะมีการวัดผลของการศึกษาที่สมบูรณ์แบบ ว่าเป็นอย่างไร เรียกว่าต้องถือเอาศีลธรรมและสันติภาพเป็นเครื่องวัด สันติภาพคือศีลธรรม ศีลธรรมจากสันติภาพ หรือคือสันติภาพ นี่จะเป็นเครื่องวัดผลของการศึกษาที่ว่าสมบูรณ์แบบหรือหาไม่ เพียงแต่ในโรงเรียนหรือวิทยาลัยแห่งเดียว ถ้ามันไม่มีความสงบสุข ก็ต้องเรียกว่าการศึกษามันไม่สมบูรณ์หรือไม่ถูกต้อง หรือไม่มีศีลธรรมนั่นแหละ ในโรงเรียนนั้น ในวิทยาลัยนั้น ในมหาวิทยาลัยนั้น มันไร้ศีลธรรม หรือมันมีการศึกษาที่ไม่สมบูรณ์ หรือไม่ถูกต้องด้วยซ้ำไป โดยที่มันเป็นไปมากเข้า นี่ขอให้เราวัดผลของการศึกษาด้วยศีลธรรมหรือด้วยสันติภาพ
เมื่อเรามีหลักการอย่างนี้ก็เป็นอันว่าการศึกษานี้เป็นการศึกษาที่แท้จริง เป็นการศึกษาที่บริสุทธิ์ ที่ถูกต้อง ที่ตรงตามความต้องการของพระเป็นเจ้า คือกฎของธรรมชาติอันสูงสุดนั้นมีอยู่ ถ้าผิดจากนี้มันต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าผิดจากนั้นต้องเป็นอย่างนู้น มันเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย ตรงตามเรื่องราวของตัวมันเอง
นี่ท่านทั้งหลายเป็นครูบาอาจารย์ก็มี กำลังจะเป็นครูบาอาจารย์ต่อไปก็มี เรียกว่าเป็นผู้ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่าการศึกษา ขอได้มองดูการศึกษาอย่างที่ว่ามาแล้ว การศึกษาในขอบเขตหรือความหมายอันแคบก็คือที่เรียนกันอยู่แล้ว ที่สอนกันอยู่แล้วตามหลักสูตร แล้วก็มาที่นี่ มาที่สวนโมกข์นี่ มันมีหลักสูตรอีกระดับหนึ่งเป็นหลักสูตรของใครก็บอกไม่ได้นะ ถ้าเกณฑ์ให้บอก มันก็จะบอกว่าเป็นหลักสูตรของธรรมชาติ ที่มีอำนาจเฉียบขาดสูงสุดตายตัวที่สุด มันต้องการอย่างนี้แล้วมันมีกฎอย่างนี้ อย่างที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ นี่ที่จะเรียกว่ามันถูกต้องและสมบูรณ์ ฉะนั้นเราก็หาโอกาส ทำให้มันถูกต้องและสมบูรณ์ตามที่เราจะทำได้ แม้ว่ามันจะนอกเหนือจากระเบียบ จากหลักสูตรที่กระทรวงกำหนดให้ ก็ไม่เป็นไร มันเป็นส่วนที่ไม่ขัดกัน นี้เป็นส่วนที่จะให้ได้ผลหรือคุณค่ามากกว่า เราก็ทำไปได้ จึงได้พยายามที่จะพูด พูดเท่าที่จะพยายามได้ ให้เป็นที่เข้าใจไว้ เพื่อว่าให้ชีวิตเรี่ยวแรง อะไรของท่านทั้งหลายนี่มันมีประโยชน์มากที่สุดเท่าที่มันจะเป็นไป อย่าได้จำกัดขีดสั้นของมันไว้แต่ในวงอันแคบ ก็จะเรียกว่าได้กำไรมหาศาลเพิ่มออกไป โดยที่ไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่มขึ้นได้ คือทำตามที่ทำอยู่ให้ดี ให้ถูกต้องตามเจตนารมณ์ของสิ่งนั้น ให้ลึก ให้ไกลออกไปตามที่มันต้องการจะมีจะเป็น เราก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้สร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในโลกนี้ เป็นบุคคลที่มีค่า ก็ได้พูดมาแล้วในการบรรยายครั้งแรกๆ ว่าไอ้โลกนี้มันสร้างขึ้นมาด้วยการศึกษา ไม่ใช่จะประจบนักการศึกษา แต่ว่ามันต้องเป็นนักศึกษาที่ถูกต้อง ที่มันสามารถจะสร้างหัวใจมนุษย์ขึ้นมาในลักษณะที่ถูกต้อง เพราะว่าโลกก็คือหัวใจของมนุษย์นั่นเอง ความรู้สึกในจิตใจของทุกคนนั่นนะมันรวมกันเป็นสิ่งที่เรียกว่าโลก ฉะนั้นมันจะเป็นอย่างไรมันก็แล้วแต่การศึกษาได้รับมาอย่างไร ถ้าเราให้การศึกษาไปอย่างไร มันก็เกิดความรู้สึกในจิตใจของคนขึ้นมาอย่างนั้น โลกมันก็เป็นอย่างนั้น เพราะวัตถุทั้งหลายมันขึ้นอยู่กับจิตใจของคน เดี๋ยวนี้จิตใจของคนมันน้อมกลับมาบูชาวัตถุเสียเอง เป็นทาสของวัตถุ วัตถุล่อไปในทางที่จะเป็นทาสของวัตถุมากขึ้นๆ มันก็ได้โอกาสแก่กิเลสมากขึ้นๆ ศีลธรรมมันก็หายไปๆ ไอ้กิเลส ไอ้ศีลธรรมแบบกิเลสนั้นมันก็ไม่เรียกว่าศีลธรรม ถ้าศีลธรรมแล้วมันก็ต้องอยู่เหนือกิเลส ซึ่งเป็นเหตุให้วุ่นวายหรือไม่ปกติ ถ้าเรามีการศึกษาชนิดที่ถูกต้อง มันก็ควบคุมกิเลส ควบคุมตัวเอง เราทำละเมอๆ ไป เพียงแต่ให้มันรู้หนังสือเร็วๆ ให้ฉลาดเร็วๆ ให้มันเก่งกล้าสามารถในการแสวงหาประโยชน์ มันก็พลัดตกลงไปเป็นทาสของกิเลส ไปเป็นทาสของวัตถุ ไปเป็นทาสของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็เลยเห็นแก่ตัว มันก็เลยเห็นการทำลายผู้อื่นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง อย่างที่กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้
ประเทศใหญ่ๆในโลกนี้ก็ถือว่า ความยุติธรรม คือทางรอดของเขา อยู่ได้ของเขา หรือประโยชน์ของเขานั่นคือความยุติธรรม นั้นเขาเป็นประเทศใหญ่ๆ เขาก็ทำได้ ไอ้เราประเทศเล็กๆ ทำไม่ได้ ก็เลยเป็นลูกพ่วงว่าทางนั้นที ทางนี้ที นี้คือผลที่โลกได้รับ มันเกิดมาจากการศึกษาไม่สมบูรณ์หรือไร้ศีลธรรม ฉะนั้นขอให้รู้สึกว่า โชคดีที่ได้มีอาชีพเป็นครู คือเป็นอาชีพที่มีโอกาสจะสร้างบุญกุศลได้อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด พูดแล้วเดี๋ยวก็จะว่าประจบพวกครู แต่ก็มีทางที่จะพูดแก้ตัวได้ว่า อาตมาก็เป็นครู ทีนี้ก็คงไม่ได้ประจบใครมั้ง พระทั้งหลายก็เป็นครู ก็เป็นผู้รับใช้พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นบรมครู ฉะนั้นพูดว่าอาชีพครูนั้นเป็นอาชีพที่มีบุญที่สุด เป็นกุศลที่สุด ก็ควรจะพูดได้ ถ้าเป็นครูที่แท้จริงจะเป็นครูที่สมบูรณ์แบบ นำมาซึ่งการศึกษาที่สมบูรณ์แบบ ในโลกนี้มีศีลธรรมและมีสันติภาพ ครูก็เป็นปูชนียบุคคล เพราะเราสร้างหัวใจสร้างกำเนิดเนื้อแท้ของมนุษย์ในโลกขึ้นมา ในแนวแห่งความถูกต้องแล้วก็เป็นมนุษย์ที่ดีที่สุดที่มนุษย์มันจะเป็นไปได้ ฉะนั้นก็เป็นสันติภาพสูงสุดในโลกนี้ แล้วจะไม่เรียกว่าดี ว่าวิเศษ ว่าประเสริฐ สูงสุดอย่างไร เคยนึกและเคยพูดไปแล้วว่าอาชีพที่เป็นปูชนียบุคคลก็มีอยู่หลายอาชีพ พูดกับพวกตุลาการก็มักจะชี้ในแง่นี้ ว่าเราได้ทำอาชีพที่ค่ามีเกียรติที่สูงสุด คือผดุงความเป็นธรรมของโลก ถ้าเขาเป็นตุลาการที่แท้จริงนะ พูดกับพวกหมอก็เคยพูด ว่าเป็นอาชีพที่ช่วยบำบัดความทุกข์ร้อน มันก็มีส่วนที่จะเป็นอาชีพที่ประเสริฐกว่าธรรมดาสามัญ อาชีพอื่นๆ ก็ยังมีอีกบ้าง แต่ในที่สุดรู้สึกว่าไม่มีอาชีพไหนที่มันจะประเสริฐสูงสุดไปกว่าอาชีพผู้นำในทางวิญญาณ อย่างที่กล่าวมาแล้ว ว่าครูคือผู้เปิดประตูทางวิญญาณ หรือผู้นำทางวิญญาณ หรือค้นหาไม่ได้ว่าอาชีพไหน มันจะประเสริฐไปกว่าอาชีพนี้ อาชีพตุลาการมันก็เท่านั้นแหละ ก็มีหน้าที่เพียงตัดสินไอ้เรื่องที่มันเป็นปัญหาขึ้นมา รักษาความเป็นธรรมเอาไว้ มันก็ไม่ใช่เรื่องสูงสุดทางวิญญาณอะไร อาชีพอื่นๆ ก็แม้ว่ามันว่าจะเป็นไปเพื่อความสุขของผู้อื่น มันก็ยังไม่ได้เป็นการนำในทางวิญญาณ ไม่ได้ให้แสงสว่างในทางวิญญาณไม่เหมือนกับอาชีพครู เมื่อครูเป็นครูที่แท้จริงแล้ว แสงสว่างที่นำวิญญาณให้เป็นไปถูกต้อง
ฉะนั้นอย่าเจียมตัว ลดลงมาเป็นลูกจ้างสอนหนังสือเลย อย่าคิดแต่เป็นลูกจ้างสอนหนังสือกินไปวันหนึ่งๆ ต้องกล้าคิดว่าจะทำให้เป็นผู้นำในทางวิญญาณตามมากตามน้อย ตามสัดส่วนแห่งความสามารถที่เราจะทำได้ นี้จะเป็นครูที่มีสังกัดขึ้นอยู่กับพระพุทธเจ้า แทนที่จะขึ้นอยู่กับกระทรวงศึกษาธิการ หรือการบริหารท้องถิ่น ไปคิดดูเอาเอง เมื่อเห็นว่า อาชีพครูนี้พิเศษ วิเศษ ประเสริฐ สูงสุด อย่างนี้ ก็ขอให้ช่วยกันถนอมไว้ คือให้ได้เป็นครูที่ดี ตรงตามเจตนารมณ์ของคำๆนี้ เรื่องมันก็จะจบไป ไม่มีอะไรดีไปกว่านั้นสำหรับมนุษย์
อ้าวที่นี้ก็เป็นการพูดครั้งสุดท้าย ก็ขอแสดงความรู้สึกบางอย่าง ว่าการที่อุตส่าห์มาจนถึงที่นี่ หวังจะได้รับประโยชน์มากกว่าใครเป็นพิเศษ ทั้งทางด้านวัตถุ ทางร่างกาย ทางจิตใจ กระทั่งทางด้านวิญญาณให้มีความเข้าใจถูกต้องเป็นสัมมาทิฐิ เป็นเรื่องทางวิญญาณ ก็ขอให้มีความสำเร็จตามความปรารถนา มานั่งอยู่ที่สวนโมกข์ ก็ให้รู้สึกว่ามันโมกข์ คือจิตใจมันเกลี้ยงไปจากไอ้สิ่งที่ห่อหุ้มทำให้มืดมัว เร่าร้อน ถ้าใจมันเกลี้ยงแล้วมันก็เห็นอะไรของมันได้เอง ฉะนั้นจะทำอะไรก็ตามใจ ขอให้ทำให้ใจมันเกลี้ยงเสียก่อน ต่อไปนี้ก็ไปปฏิบัติหน้าที่การงาน จะปฏิบัติหน้าที่การงานเรื่องอะไร ระดับไหนก็ต้องทำใจให้เกลี้ยงเสียก่อน เป็นอนุสรณ์ที่ได้ไปจากสวนโมกข์ โมกขะแปลว่าเกลี้ยง เกลี้ยงคือไม่มีอะไรมาแปดเปื้อน งั้นเราก็มีจิตใจที่เป็นโมกขะคือเกลี้ยง เหมือนกับนั่งอยู่เวลานี้มันก็เกลี้ยงมันก็สบาย มันก็ไม่มีปัญหา ไม่มีความทุกข์ ฉะนั้นจะคิดอะไรก็ต้องคิดได้ดี จะมองอะไรก็มองเห็นไกล มองเห็นแจ่มแจ้งดี ไม่ว่าจะไปปฏิบัติหน้าที่อะไรของครู ก็จงทำด้วยจิตใจที่มันเกลี้ยง จะลงโทษนักเรียนก็ขอให้ลงโทษด้วยจิตใจที่มันเกลี้ยง จะให้คะแนนหรือจะตัดคะแนน หรือจะสอบไล่หรือจะทำอะไรแก่นักเรียกก็ต้องทำด้วยจิตใจที่มันเกลี้ยง ปฏิบัติหน้าที่ประจำวัน ก็ทำด้วยจิตใจที่มันเกลี้ยง ทำหน้าที่เกี่ยวกับผู้บังคับบัญชาก็ทำด้วยจิตใจที่มันเกลี้ยง นี้ความเกลี้ยงนี้มันเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เป็นของสูงสุด เป็นเครื่องรางของพระพุทธเจ้าที่มอบให้แก่ทุกคน ถ้ามีจิตใจอย่างนี้แล้ว จะเป็นการคุ้มครองที่ดี ไม่มีความผิดพลาด ไม่มีความทุกข์ นั้นขอให้ทุกคนเข้าใจคำว่าเกลี้ยง คือโมกขะ ว่ามันมีลักษณะอย่างนี้ มีความหมายอย่างนี้ก็เพื่อประโยชน์อย่างนี้ ที่แท้มันก็เป็นใจความหรือเป็นแกน ของไอ้คำว่าการศึกษาที่สมบูรณ์แบบนั้น การศึกษาสมบูรณ์แบบก็เกิดความเกลี้ยงจากความผิดพลาดทั้งหลาย ไม่มีความผิดพลาดใดๆ เหลืออยู่เลย ผลออกมาเป็นศีลธรรมคือความสงบสุข นั้นก็คือความเกลี้ยง เพราะว่าความสงบสุขก็คือเกลี้ยงไปจากความทุกข์ นั้นเราคงจะได้รับประโยชน์จากการที่มาที่นี่ ตามสมควรแก่ กำลังสติปัญญาด้วยกันทุกคนเป็นแน่นอน นั้นจึงขออวยพร ให้ท่านทั้งหลายได้ตั้งตนอยู่ในหนทางที่ถูกต้องของการศึกษาที่สมบูรณ์แบบ มีความเจริญก้าวหน้าไปตามทางอันถูกต้องนั้น ทั้งโดยส่วนตัวและโดยส่วนรวมอยู่ทุกทิพาราตรีกาล เทอญ