แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เป็นโอกาสลาไว้เสียก่อนตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ในการที่พวกคุณจะลากลับนี้ก็มีเรื่องที่จะพูดกันบ้างสักเล็กน้อย ในชั้นแรกก็ขอแสดงความรู้สึกในการที่กลุ่มนักศึกษามหิดล มาเพื่อรับคำแนะนำหรือการอบรมสั่งสอนบางอย่างในระหว่างปิดภาค นี่ก็ขอแสดงความยินดีอย่างที่ได้เคยบอกกล่าวมาแล้ว ยินดีในข้อที่ว่าจะช่วยให้โครงการของการกลับมาแห่งศีลธรรมหรือไม่สูญหายไปหมดแห่งศีลธรรมมันเป็นไปได้ การที่พวกคุณถือโอกาสหรือฉวยโอกาสเท่าที่จะฉวยได้ มาเกี่ยวข้องการศึกษาธรรมะนี้ ถ้าทำสำเร็จตามนั้นมันก็นับว่ามีค่ามาก ผมยินดีก็ในข้อนี้แหละ จึงต้องขออภัยพูดซ้ำๆ ซากๆ ในข้อนี้ ถ้าการศึกษาทั้งหลายในโลกทั้งโลกเวลานี้มันสรุปอยู่แค่อาชีพ ค้นคว้าวิเศษวิโสยังไงมันก็แค่เพื่ออาชีพหรือเพื่อการงานอยู่ในโลก ไม่มีสักแขนงเดียวที่เพื่อจะรู้จักตัวเองภายใน รู้จักกิเลสซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความเดือดร้อนทั้งตนเองและผู้อื่น คุณไปดูในการศึกษาแขนงไหนบ้างที่มันจะทำให้รู้จักตัวเองในแง่ของกิเลสและความทุกข์ แม้จะมีไอ้พวกปรัชญา เกี่ยวกับกิเลสและความทุกข์นี้บ้าง มันก็ไม่ตรงจุดที่ทำให้คนเหล่านั้นรู้จักตัวกิเลสและความทุกข์ นี่ผมก็พยายามอย่างยิ่งที่จะเข้าใจเรื่องนี้สังเกตเรื่องนี้ แล้วมันก็เห็นผลแต่อย่างนี้ คือยังไม่สำเร็จประโยชน์ ที่จะช่วยให้มนุษย์เรามีความรู้จักตัวเอง และสร้างสันติภาพขึ้นมาได้ การรู้จักทำมาหากิน รู้จักอาชีพ รู้จักประดิษฐ์เครื่องไม้เครื่องมืออะไรต่างๆ มันก็ไม่เคยแสดงว่าจะมีทางทำให้โลกมีสันติภาพ นำไปสู่การสงครามมากกว่า สงครามแล้วสงครามอีก สงครามแล้วสงครามอีกอยู่นั่น มันไม่มีทางที่จะสันติภาพ ที่จะมีสันติภาพ เราก็พลอยติดร่างแหกันทุกคน เมื่อโลกมันเป็นอย่างไรมนุษย์ทุกคนมันก็พลอยติดร่างแห นี่เราก็เลยนึกถึงธรรมะนึกถึงพระศาสนาเพื่อจะแก้ปัญหาข้อนี้ ถ้าใครจะมีความคิดและต้องการแต่เพียงว่ามาเรียนรู้ธรรมะบ้าง เพื่อให้เราเล่าเรียนดีขึ้น ให้มีอาชีพดีขึ้น อย่างนี้มันไม่พอมันน้อยเกินไปสำหรับค่าของศาสนา แต่มันก็จริงร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าใครรู้ธรรมะ รู้จักอบรมจิตตามหลักของศาสนา เขาก็จะต้องเรียนดีขึ้นหรือประกอบอาชีพได้ดีขึ้น แต่ส่วนนั้นมันไม่พอ มันไม่รู้จักแก้ไขส่วนที่ทำให้เกิดความทุกข์ ถ้ายังไม่เข้าใจก็จำเอาไปคิดด้วย คือผมจะสรุปให้เป็นใจความสั้นๆ ว่า เดี๋ยวนี้เรามีหรือประสบความสำเร็จทุกอย่าง นอกจากอย่างเดียวคือความรู้ความสามารถที่จะทำให้เราไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะสิ่งที่เรามี เรามีทุกอย่างขาดอย่างเดียวแต่สิ่งที่จะ ป้องกันไม่ให้เกิดความทุกข์เพราะสิ่งที่เรามี คุณมีปัญญาเล่าเรียนอย่างไรก็ได้แต่ก็ไม่มีความรู้ที่จะป้องกันไม่ให้เกิดความทุกข์เพราะการเล่าเรียน หรือว่าต่อไปนี้มีปัญญาประกอบอาชีพ แสวงหาได้ทุกอย่างที่จะต้องแสวงหา แต่ยังขาดความรู้ที่จะทำให้ไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะสิ่งที่หาได้มา ขอให้สังเกตคนที่เขาไปแล้วก่อนหน้าเรา ระดับที่เขาออกไปประกอบอาชีพ เป็นเจ้าใหญ่นายโตเป็นอะไรต่างๆ ที่ประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงในทางอำนาจวาสนานี่ก็ยังขาดไอ้ความรู้ข้อนี้ คือที่จะไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะสิ่งที่เขามีหรือได้มาหรือเป็นอยู่ พวกฝรั่งก็ยิ่งเป็นอย่างนี้ เรายิ่งไปตามก้นเขาเราก็ยิ่งได้ความเป็นอย่างนี้กลับมาเพิ่มให้มากขึ้นอีก ก็ไปตามก้นกันในสิ่งที่จะหา จะได้ จะมีตะพึด ไม่มีความรู้ที่จะป้องกันไม่ให้เกิดความทุกข์เพราะสิ่งที่ตนมี นี่หมายถึงเรื่องทางจิตใจโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นความมุ่งหมายใหญ่ แต่แม้เรื่องทางวัตถุเล็กๆ น้อยๆ มันก็ยังเป็นอย่างนี้ เรารู้จักแต่จะกินให้ดีจะอยู่ให้ดีแล้วเราก็ไม่รู้จักป้องกันความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นเพราะการที่จะกินดีอยู่ดี ก็เลยสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น แม้จะกินดีอยู่ดีอย่างไรก็ยังมีปัญหามากเข้าไปอีก ยิ่งกินดีอยู่ดี ไม่ใช่ว่ามีตึก มีรถยนต์ มีอุปกรณ์อะไรต่างๆ อย่างที่มีอยู่แล้วมันจะดับทุกข์ได้ ขอให้สังเกตดูในข้อนี้บ้าง พวกมหาเศรษฐี พวกเศรษฐี พวกมีอำนาจวาสนาอะไรก็ตาม มันยังเต็มไปด้วยความเดือดร้อนใจ กระวนกระวาย ระส่ำระสายหม่นหมอง หวาดกลัว หาความสุขมิได้นอกจากหัวเราะอย่างโง่ๆ วันหนึ่งหลายๆ หน มันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง ผมมีแต่อย่างนี้สำหรับจะพูดหรือจะบอก อย่างอื่นมันไม่มีเหมือนกัน ว่าเรามันกำลังมีทุกอย่างแต่เราขาดอย่างเดียวคือเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ที่จะป้องกันว่าอย่าให้เกิดความทุกข์ขึ้นเพราะเงินที่เรามี เพราะเกียรติที่เรามี หรือเพราะอำนาจวาสนาที่เรามี เมื่อทุกคนมันขาดข้อนี้แล้วมันก็แน่นอนมันก็รวมกันสร้างความทุกข์ ความพูดกันไม่รู้เรื่อง ความยากลำบากต่างๆ นานา เรื่องส่วนตัว เรื่องการบ้านการเมือง เรื่องส่วนรวมของโลก นี่เป็นการชักชวนทีเดียวให้มองกันทั้งโลกว่าโลกกำลังเป็นอย่างนี้ แล้วมันพิสูจน์ได้อย่างหลับตา มันไม่มีทางจะผิด คือวิกฤตการณ์ในโลกมันเพิ่มขึ้น คุณเอาเหตุผลหรือหลักฐานตรงไหนมาพิสูจน์ว่าโลกมันมีสันติภาพมากขึ้น เท่าที่เห็นอยู่ มันเห็นอยู่ชัดๆ มันมีวิกฤตการณ์เพิ่มขึ้น แล้วกำลังจะเพิ่มขึ้นๆ เต็มไปด้วยความหวาดกลัวมากขึ้น เต็มไปด้วยความระแวง มีจิตใจชนิดที่ไม่สมประกอบมากขึ้น นี่ปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นมาพร้อมกันไปหมด จนเดี๋ยวนี้เรามีปัญหาทางเศรษฐกิจกันทั่วโลก ก็เป็นโรคเส้นประสาท เป็นโรคจิตอะไรกันเพิ่มขึ้นทั่วไปทั้งโลก มีอาชญากรรมอย่างที่ไม่เคยมีและไม่ควรจะมีเพิ่มขึ้นทั้งโลก อ่านข่าวฟังข่าวแล้วก็ทางเมืองนอกก็ยิ่งร้ายไปกว่าในเมืองเราในประเทศเราซึ่งก็บ่นว่าร้ายเหลือเกินเหมือนกัน นั่นนะเราจะต้องดูตัวเราเองว่าเรากำลังอยู่ที่จุดไหน กำลังเป็นอยู่ที่จุดไหน เราอยู่ในจุดที่ว่าเรามีหรือหวังว่าจะมีในทุกสิ่งที่อยากจะมี แต่เราก็มีความทุกข์เพิ่มขึ้นเท่ากับที่เรามี เพราะขาดสิ่งๆ เดียวคือธรรมะ ถ้าเข้าใจข้อนี้ก็ต้องรู้ได้ทันทีว่ามีธรรมะ ทำไมกัน ธรรมะทำไมกัน ถามกันนัก ถ้าเข้าใจข้อนี้จะรู้ได้ทันทีว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องมีธรรมะ เพื่อป้องกันความทุกข์ ทุกแง่ทุกมุมทุกระดับที่มันกำลังมา เพราะเรา เพราะการที่เราขาดความรู้ในด้านนี้ คือด้านกิเลส ตัณหานี่ คือขาดความรู้ แล้วก็ยิ่งดูถูกเรื่องของทางศาสนา ดูถูกบรรพบุรุษว่างมงายอยู่กับศาสนา ลองพูดกันตรงๆ ว่าเป็นคนโง่ที่อยู่ด้วยความสงบสุข กับเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องอย่างเดี๋ยวนี้ที่นอนอยู่บนกองไฟ อันไหนมันจะดีกว่ากัน ปู่ย่าตายายของเราอาจจะโง่กว่าเรามากเพราะเขาไม่ได้เรียนอะไร แต่ทั้งบ้านทั้งเมืองมันยังมีความสงบสุข เดี๋ยวนี้เราก็ฉลาดมากแต่มันยิ่งเต็มไปด้วยปัญหา ไอ้ความทุกข์ เสร็จแล้วก็มีทางออกแก้ตัวโยนปัญหาไปให้ว่าเพราะคนมันมากขึ้นเพิ่มมากขึ้น ไม่ถูกหรอกมันเป็นเรื่องข้อแก้ตัว ถ้ามีธรรมะแล้วแม้คนจะเพิ่มมากขึ้นหรือมากกว่านี้ก็ยังอยู่ด้วยความสงบได้ เดี๋ยวนี้ไม่มีศาสนาไม่มีธรรมะ พวกที่ถือพระเจ้าก็ว่าพระเจ้าตายแล้ว ไม่ต้องนึกถึงเหลืออยู่ที่พระเจ้าเงิน พระเจ้าอาวุธ พระเจ้าไอ้กามารมณ์ พระเจ้ามันอยู่ที่นี่ พระเจ้าอย่างในพระคัมภีร์ศาสนานั้นตายหมดแล้ว พวกที่ไม่ถือพระเจ้าหรือไม่มีพระเจ้าก็ว่าศาสนาไม่จำเป็น ไว้สำหรับคนไม่มีสมรรถภาพ ไว้สำหรับคนโง่เขลาต่างหาก ศาสนาไม่จำเป็น เดี๋ยวนี้ก็มีอยู่อย่างนี้ ถ้าว่าไอ้คนเหล่านั้นมันอยากจะเรียนศาสนาบ้าง หรือเรียนปรัชญาของศาสนาบ้างก็เพื่อประโยชน์อย่างอื่น เพื่อทำให้ปัญหามากขึ้นเวียนหัวมากขึ้น เรียนศาสนาในฐานะเป็นโบราณคดี ทางคิดนึกทางวัฒนธรรม มันไม่ช่วย ไม่มีทางจะช่วยให้คนเรามีจิตใจดีขึ้น จนสามารถจะอยู่ด้วยจิตใจที่สงบสุข ผมไม่ได้บังคับให้คุณเชื่อ หรือยิ่งกว่านั้นอีกผมก็ไม่ขอร้องให้คุณเชื่อ ขอร้องเพียงว่าคุณเอาไปคิดนึกดูแล้วก็มีอิสระที่จะตัดสินเอาเองว่าคุณจะทำอะไร เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าศาสนาหรือธรรมะนี้ แต่ทางฝ่ายผมนี้ยืนยันอยู่อย่างยิ่งตลอดเวลาว่าจำเป็นที่สุดที่มนุษย์จะต้องมาสนใจสิ่งๆ นี้ คือสิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั่นเอง นับตั้งแต่รู้จักตัวเองรู้จักกิเลส รู้จักความทุกข์ รู้จักอะไรต่างๆ แล้วก็ควบคุมสิ่งเหล่านี้ไว้ให้ได้ เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ หรือการกระทำอย่างนี้ ไม่มีใครมาช่วยได้ ไม่มีเพื่อนมาช่วยได้ ไม่มีเครื่องจักรหรือไม่มีไอ้ความรู้อะไรอย่างโลกๆ มาช่วยได้ นอกจากความรู้สึกของตัวคุณนั้นเอง รู้จักควบคุมสติต่างๆ ของจิตใจที่จะปรุงขึ้นมา เปลี่ยนไปตามกระแสของความไม่รู้คืออวิชชา แล้วจะเกิดกิเลส จะได้เกิดความทุกข์ ถ้าไม่เข้าใจถึงชั้นนี้ก็เรียกว่าไม่เข้าใจพุทธศาสนา ไม่เข้าใจธรรมะในลักษณะที่จะเป็นประโยชน์ได้ การที่เราจะมาอบรมธรรมะกันที่นี่ซักปี สองปี สามปี ก็ยังไม่มีประโยชน์อะไร ถ้ายังไม่จับจุดตรงนี้ให้ได้แล้วก็ไปคอยควบคุมพฤติทางจิตต่างๆ ที่เป็นอยู่ภายในไว้ได้ เราอาจจะพูดกันไม่กี่วันก็ได้ถ้าเข้าใจเรื่องนี้ได้แล้วก็ไปทำให้ได้อย่างนั้น นี่มันเป็นข้อแตกต่างกันระหว่างการศึกษาตามวิถีทางพระศาสนา และการศึกษาตามวิถีทางปรัชญาเป็นต้น ซึ่งเพ้อ ซึ่งเพ้อเจ้อ ซึ่งเฟ้อเกินจำเป็น ต้องเรียนธรรมะในลักษณะที่รู้จักตัวเอง แล้วบังคับตัวเอง บังคับกายวาจาใจได้ หรือบังคับการปรุงแต่งทางจิตที่จะเกิดขึ้นได้ เท่านี้มันพอ ไอ้พวกที่เรียนปรัชญา แม้ปรัชญาทางศาสนาเป็นเล่มๆ สิบเล่ม ร้อยเล่ม เป็นตู้ๆ มันก็ช่วยอะไรไม่ได้ จริงไม่จริงก็ไปคอยสังเกตดูต่อไปในอนาคต ก่อนนี้ผมก็ดีใจมาก เมื่อมีคนคนหนึ่งเขาพูดว่า หนังสือปรัชญาของเขาทั้งตู้ยกให้ผม อย่าไปออกชื่อดีกว่า พอมาถึงเดี๋ยวนี้ผมอยากจะเอาไปเผาไฟ อยากจะบอกให้เขาเอาไปเผาไฟอย่าเอามาให้ผมเลย ต้องการไอ้ความรู้ที่มันตรงไปยังไอ้ตัวเรื่องของจิตของคนโดยตรงซึ่งไม่อยู่ในรูปของปรัชญา แต่อยู่ในรูปของศาสนา คือรู้จักตัวจริงที่เป็นอยู่ข้างในแล้วแก้ไขให้ได้ อย่างนี้เป็นวิถีทางพระศาสนา แต่ถ้าหลับตาพูด คำนวณเรื่อยไป คำนวณเรื่อยไป ด้วยเหตุผล ด้วยความรู้นั่นนี่โยงกันให้ยุ่งไปหมดกี่ปีก็ไม่จบ นี่มันเป็นเรื่องของปรัชญา มันไม่ช่วยมนุษย์ได้ เคยบอกหลายหนแล้วว่าเดี๋ยวนี้นักศึกษานักปราชญ์คนฉลาดในโลกกลายเป็นขี้ยาไปหมด ติดเฮโรอีนปรัชญา นี่เขาเสพติดในเรื่องของปรัชญาเป็นขี้ยา อย่างขี้ยาฝิ่นขี้ยาเฮโรอีน เพราะว่าเขาติดปรัชญา หนังสือทางปรัชญาจะมีมากขึ้นแล้วก็ขายมากขึ้น แล้วก็น่าอ่านมากขึ้น จนคนทั้งโลกมันติด ไอ้ส่วนทางศาสนาแท้ๆ ที่ว่าทำลงไปอย่างไรกับจิตใจนี่มันหายไป หายไป หายไป เพราะไม่มีใครอยากอ่าน คัมภีร์พระศาสนาก็เป็นหมัน เป็นหมันในหน้าที่ของ ของ ของศาสนา ถ้าเขาจะเรียนพระไตรปิฎกกันบ้าง เขาก็ไปอ่านกันในแง่ของโบราณคดีบ้าง ปรัชญาบ้าง จิตวิทยาบ้าง กระทั่งแม้จะศึกษาคัมภีร์ไบเบิ้ล ส่วนใหญ่ก็จะมีแง่ของปรัชญา ก็ทำให้เป็นปรัชญาจนได้ นี่ไม่ใช่จะดูถูกคัมภีร์ไบเบิ้ล มีแง่ศาสนาตรงๆ ปฏิบัติตรงๆ มากกว่าเป็นเรื่องทางจิตวิทยาหรือปรัชญา อย่างไอ้คัมภีร์พระไตรปิฎกของเรา พวกนักศึกษาสมัยใหม่ก็ไม่เรียนคัมภีร์ไบเบิ้ลอย่างเป็นเรื่องทางศาสนาที่จะดับทุกข์ในใจ มันก็อุตส่าห์หันให้เป็นเรื่องของปรัชญาไปจนได้ แล้วก็เหลวคือไม่สำเร็จประโยชน์อะไร ทั้งที่ว่าคัมภีร์ไบเบิ้ลนี้ถูกพิมพ์ขึ้นมากหลายร้อยภาษา แต่ละภาษาไม่รู้กี่ล้านๆ ฉบับ มันก็ยังช่วยโลกไม่ได้ จะไปโทษใคร โทษที่มนุษย์มันไม่รู้จักใช้สิ่งนั้นให้ตรงตามความมุ่งหมาย สรุปความก็ว่าไอ้เรื่องระบบของศาสนามันหายไป ส่วนระบบของปรัชญามันเข้ามาแทน เรื่อยเจื้อยกันไปเรื่อย ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ก็ช่วยไปคิดดูให้ดีก่อนนะ ระบบศาสนากับระบบปรัชญามันหันหลังให้แก่กันอย่างไร ที่ผมพยายามพูด กับพวกคุณและก็สังเกตดูว่าคุณก็ตั้งใจฟังดีอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังกลัวว่า คุณจะรับเอาไปแต่ในแง่ของปรัชญา มีเงื่อนงำของปรัชญาหรือเป็นความคิดทางการเมือง เลยไปเสียอีก ไม่อยู่ในรูปหรือในแง่ของศาสนาโดยเฉพาะพุทธศาสนา ที่ต้องการจะเล่นงานกับความรู้สึกประเภทตัวกูของกู ซึ่งพวกฝรั่งมันก็กลัวเดี๋ยวนี้ กลัวไอ้สิ่งที่เรียกว่า egoism หรือ logic conscious ทุกชนิดที่เป็นเหตุให้เห็นแก่ตัว มีตัวกูตัวสู แต่ก็ไม่ศึกษาสิ่งนี้ในระบบของศาสนาที่จะแก้ไขได้ แตะต้องสิ่งเหล่านี้ในวิถีทางปรัชญา กี่ปีๆ มันก็แก้ไม่ได้ เราจึงไม่เห็นคนในโลกลดหย่อนความเห็นแก่ตัว ซึ่งศาสนาคริสเตียนก็เกลียดนักเกลียดหนา ประณามสิ่งเหล่านี้ คือความเห็นแก่ตัวนี่ แล้วก็ในโลกนี้ก็ยิ่งเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว แปลว่าศาสนาไม่มีโอกาสที่จะยึดครองจิตใจของมนุษย์ มนุษย์เขาก็ไปหาแต่เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ เป็นเบื้องหน้า ถ้าเขาจะฉลาดสามารถ มันสมองแหลมบ้างก็ไปคว้าเอาศาสนาแต่ในรูปของปรัชญา ซึ่งรวมไปถึงจิตวิทยา ตรรกวิทยา อะไรด้วยที่มันเครือๆ เดียวกัน แต่แล้วก็ไม่ใช่ศาสนา ไม่ใช่ system ของศาสนา คือไม่ฝากไว้กับความคิดลึกๆ เอาที่เนื้อ ที่ตัว ที่กาย ที่วาจา ที่ใจ ด้วยความรู้สึกที่รู้สึกอยู่จริงๆ แล้วแก้ไขมันให้ได้ นี่คือระบบของศาสนา สิ่งใดที่ผมได้พูดไป และคุณก็จดไว้แยะ ทำโน้ตไว้ ขอให้เอาไปสางกันใหม่ให้ออกมาในรูปของศาสนา ของธรรมะในพระศาสนา เพื่อรู้จักตัวเอง รู้จักสิ่งเหล่านั้นที่มีอยู่ในตัวเอง แล้วเพื่อจะจัดการให้ออกไปจนได้ ไม่ใช่เป็นความรู้สำหรับพูดสำหรับคิดตามวิถีทางปรัชญา นี่เราพูดกันมาก็หลายวันแล้ว สำหรับชุดนักศึกษามหิดล นี่ก็พูดเป็นการปิดชุดนี้ โดยถือเอาไอ้คำพูดวันนี้ไปเป็นบทสรุปของไอ้ทุกครั้งที่บรรยาย เรียกว่าโมกขธรรมะประยุกต์ คือเอาธรรมะในพระศาสนาชั้นสูงสุดที่เรียกว่าโมกขธรรม มาใช้ประยุกต์กับในชีวิตประจำวันให้ได้ เพื่อว่าให้มันมีระบบของศาสนาอยู่ในชีวิตประจำวันของคน ของพวกเรา หรือทั้งโลกได้ก็ยิ่งดี อย่าลืมเตือนไอ้ข้อนี้ว่าหัวข้อธรรมะในพระพุทธศาสนานั้นเป็นสิ่งที่เอามาประยุกต์ใช้ให้เป็นเรื่องในชีวิตประจำวัน อย่าให้เป็นเรื่องทางพระคัมภีร์ทางปรัชญาเป็นต้นเลย ถ้าพูดถึงว่าชีวิตก็ขอให้เป็นชีวิตจริงๆ ที่รู้สึกจริงๆ ไม่ใช่ชีวิตคำพูดหรือว่าชีวิตคำนวณ แม้ว่าไอ้การพูดหรือบทบาลีต่างๆ มันจะพูดไว้ในลักษณะ เหมือนกับว่าเป็นนิยายหรือเป็นอุปมาหรือเป็นอะไรก็สุดแท้ เราต้องเอามาทำเป็นเรื่องจริงให้จนได้ เช่นเราพูดกันเรื่องชีวิตเป็นการเดินทาง ในรูปอุปมา ก็มาประยุกต์ให้มันเห็นว่าชีวิตมันเปลี่ยนไป ก้าวหน้าไป วิวัฒนาการไปเป็นการเดินทาง ก็ช่วยให้มันถึงจุดหมายปลายทาง ในชาตินี้นะไม่ใช่ต่อตายแล้ว สำหรับบุคคลหนึ่งถ้าทำถูกวิธีมันก็เดินทางทันในชีวิตนี้ เช่นว่าผ่านระดับพรหมจารี ไปสู่คฤหัสถ์ วรรณะ.. (นาที 31:25) นี่พูดอย่างนี้สำหรับบุคคลคนหนึ่ง ถ้าพูดรวมของมนุษยชาติมนุษย์ทุกคนในโลกก็พูดอีกแบบหนึ่งว่าลูกหลานเหลนข้างหลังมันจะเดินต่อไป จนว่ามนุษย์ในโลกนี้มันมีคนที่ขึ้นไปถึงยอดสุด ปลายสุดของธรรมะ ที่เรียกว่าบรรลุมรรค ผล นิพพานก็ตาม หรือที่เรียกว่าเข้าไปอยู่ในเมืองของพระเจ้าเป็นอันเดียวกันกับพระเจ้า หรืออาตมัน ปารมาตมัน อะไรก็ตาม มันได้ทั้งนั้น แล้วแต่จะเรียก คือให้มันถึงจุดหมายปลายทางที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ก็แล้วกัน เรียกว่าคนหนึ่งๆ ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบศาสนา มนุษยชาติทั้งหลายมันก็ยังมีการเข้าถึงสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะเข้าถึงอยู่นั่นเอง นี่เพียงเท่านี้คุณก็พอจะมองเห็นได้ว่า เราไม่ได้พูดกันชั่วสองสามวันนี้หรือเพื่อจะใช้ประโยชน์เพียงแค่คุณบวชอยู่นี้หรือออกไปเล่าเรียนให้สำเร็จโดยเร็วแล้วก็เลิกกัน มันเป็นเรื่องตลอดชีวิตของคนหนึ่งๆ แล้วก็ยังตลอดนิรันดรของสิ่งที่เรียกว่ามนุษยชาติ ถือกันว่ามนุษย์นี่ มันจะมียืนยาวไปเท่าไรก็ไม่ทราบได้ เรียกว่านิรันดรก็แล้วกัน มนุษย์ที่จะยืนยาวไปตลอดกาล นิรันดรก็ขอให้มนุษย์นี่ได้พบกับสิ่งที่ดีที่สุด เรื่อยๆ ไป คืออยู่ด้วยความผาสุก ด้วยความมีความสงบสุขนั่นแหละ ถ้าไม่มีปัญหาอะไรมันก็เหมือนกับอยู่ในแผ่นดินพระเจ้า เป็นแต่เพียงว่าไม่เบียดเบียนกันนี่ก็เป็นสุขเท่าไหร่ในโลกนี้ ไม่เบียดเบียนกันโดยประการทั้งปวง แล้วก็รู้เท่าทันไอ้กิเลสในจิตใจที่เกิดขึ้นที่ทำให้ร้อน ร้อนเพราะราคะ ร้อนเพราะโทสะ หรือร้อนเพราะโมหะมันไม่มี เท่านี้มันก็พอแล้ว ภายในไม่มีความร้อนของกิเลส ภายนอกทางสังคมก็ไม่มีการเบียดเบียนกันเลย เดี๋ยวนี้มันยังไกล ไกลยิ่งกับฟ้ากับดิน ในโลกนี้เวลานี้ที่ไกลกับเป้าหมายอันนี้ มันยิ่งเบียดเบียนหนักขึ้น มีเหยื่อมาทำให้คนมีราคะ โทสะ โมหะ มากขึ้น บางคนอาจจะคิดว่าเป็นโชคร้ายเสียแล้ว ที่เรามาเกิดในยุคนี้ ไม่มีทางจะแก้ไขได้ อย่าไปคิดอย่างนั้น สำหรับบุคคลหนึ่งๆ เอกชนคนหนึ่งๆ แล้วมีทางที่จะเอาชนะได้ขอให้ศึกษาให้รู้จักไอ้สิ่งที่เรียกว่าศาสนา จะใช้ได้ทุกศาสนาด้วยซ้ำไป ที่เราจะดำรงจิตใจไว้ในลักษณะที่มันไม่เกิดโลภะ โทสะ โมหะได้ แล้วก็มีทำไปอะไรได้ทุกอย่าง นี่เขาไม่ค่อยเชื่อ เราจะทำงานได้ทุกอย่าง ดีกว่าไอ้คนที่เขามีกิเลสทำ ทำจนตัวเองล้นเหลือแล้วก็ยังทำเพื่อผู้อื่นได้ เพื่อคนทั้งโลกก็ได้ เมื่อเรายังนั่งอยู่ในบรรยากาศอย่างนี้เราอาจจะมีความคิดอย่างนี้ แต่พอเรากลับไปที่มันมีบรรยากาศอย่างอื่นที่เต็มไปด้วยสิ่งยั่วยวน ความคิดอย่างนู้นที่เข้ากันได้กับอย่างนู้น มันชุ่มคอความคิดหมด คือสมัครที่จะไปลุ่มหลงในเรื่องอย่างนั้น ในโลกนั้น ถือสรณะในเรื่องปาก เรื่องท้อง เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติเป็นพระเจ้าไปเลย ในเมื่อนั่งอยู่ที่นี่มันถือความสงบสุข ความสะอาด สว่าง อะไรเป็นสรณะ นี่ก็ลองสังเกตไว้ให้ดีๆ สังเกตไว้ให้ดีๆ อย่าให้มันไปฟั่นเฟือนกันหมด เรากำลังจะต้องเผชิญปัญหาที่แก้ยาก เราเสร็จการเล่าเรียนเราก็ต้องประกอบอาชีพ หน้าที่การงานแล้วก็จะลงไปในสังคมที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว มีแต่ความหลอกลวงมีแต่ความเอาเปรียบ และในครอบครัวก็มีปัญหาเรื่องบุตร ภรรยา อะไรต่างๆ อีกมากมาย ถ้าทำผิดในอย่างใดอย่างหนึ่งก็เหมือนตกนรกทั้งเป็น นรกทั้งเป็นนี่น่ากลัวหรืออันตราย ยิ่งกว่านรกที่จะตกต่อตายแล้ว อย่างที่เขาเขียนไว้ที่ฝาผนังโบสถ์นั้น นรกทั้งเป็นนี่ร้ายกาจมากกว่านรกนี้ร้อยเท่า พันเท่า หมื่นเท่า แสนเท่า อย่าได้ตกนรกทั้งเป็น มีธรรมะ คือการดำรงตนอยู่อย่างถูกต้อง เป็นเครื่องประกันไม่ให้ตกนรกทั้งเป็น ถ้าทำผิดมันก็หลงเห็นนรกเป็นสวรรค์ แล้วมันถึงที่สุด แล้วก็ไม่รู้ตัวด้วย ข้อนี้คุณกลับไปก็ลองสังเกตดูใหม่ โดยมีมาตรฐานสำหรับมนุษย์อย่างนี้ แล้วก็ไปดูเพื่อนฝูงทั้งหลายที่กรุงเทพ หรือไม่ใช่เพื่อฝูงก็ตาม ดูคนหนุ่มคนสาว ดูไอ้คนทุกคนที่มันไม่รู้จักตัวเองไม่รู้จักธรรมะ ไม่รู้จักสิ่งที่ควรต้องการ กระทั่งมีอาชีพแปลกๆ เช่นอาชีพเปลือย เป็นต้น คุณไปมองดูก็จะรู้ว่าเขากำลังเป็นอย่างไร หรือแม้ไม่ถึงกับอาชีพเปลือย อาชีพที่มันอุตตริวิตถารอย่างอื่นก็มีอีกมากซึ่งมนุษย์ไม่ควรจะไปทำ แล้วเขาก็หยิ่งตัวเองว่าได้มีอย่างนั้น ได้กินอยู่อย่างนั้น ได้แต่งเนื้อแต่งตัวอย่างนั้นเพราะเขามีอาชีพชนิดนี้ เขาก็บูชากันทางนี้ ถ้าไม่ได้อย่างนี้ก็ยินดีจะฆ่าตัวตาย ไม่รู้ว่าไอ้ช่องทางที่เราไม่ต้องเร่าร้อน เราไม่ต้องทำอย่างนั้น หรือไม่ต้องฆ่าตัวตายนั้นมีอยู่ นี่เพราะว่าเขาบูชาเนื้อหนัง ความเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนังยิ่งกว่าพระเจ้า จึงมองไม่เห็นเรื่องของพระเจ้าอันแท้จริง เป็นธรรมะ เป็นศาสนา ไปดูได้ว่าตั้งแต่คนที่มีอาชีพอุตตริวิตถาร ลามก อนาจาร คนที่มีอาชีพเป็นอาชญากร มีอาชีพของคนเสพติดยาเสพติด ศึกษาธรรมะที่นั่นนะจะรู้ธรรมะที่แท้จริง ยิ่งกว่าที่จะอ่านจากในหนังสือ แล้วทำไมมันจึงมีจิตใจวิปลาสไปถึงขนาดนั้น ซึ่งเราก็ได้พูดกันครั้งหนึ่งเหมือนกัน เรื่องว่าวิปลาสแห่งจิตนี่ มันเป็นมากถึงขนาดนี้ เมื่อก่อนอาชีพวิปลาส อุตตริวิตถารนี่ มันก็ไม่ค่อยมี ช่วงที่คุณมีอายุสามสิบปีนี่คุณก็ยังสังเกตเห็นว่าเมื่อก่อนมันไม่ค่อยมีมันกำลังดกหนาขึ้น ถ้าอายุตั้งเจ็ดสิบปีอย่างผมเห็นมากกว่านั้น คนที่มีอายุแปดสิบปี ร้อยปี ยิ่งเห็นมากกว่านั้นเพราะมันไม่เคยมี สิ่งที่ลามก อนาจาร อุตตริ วิตถาร มาอยู่เต็มไปในที่ทุกหนทุกแห่ง โดยทางภาพ ทางตา ทาง ทุกหนทุกแห่ง โดยทางเสียงเข้ามาถึงในห้องนอน วิทยุ ทีวี อะไรต่างๆ ล้วนแต่ทำคนให้เมาในสิ่งเหล่านั้นจนไม่รู้ว่าเป็นคนทำไมกัน แล้วก็ได้เป็นคนผิดๆ คนที่เรียกว่าขุดหลุมฝังตัวเองก็ยังน้อยไป จุดไฟเผาตัวเองก็ยังน้อยไป จนไม่รู้ว่าจะพูดว่าอะไร คนสมัยนี้ที่ลุ่มหลงในความเจริญทางเนื้อหนังของสมัยปัจจุบัน ควรจะเหลือบดูไปในทางทิศนั้นแหละ แล้วก็ย้อนกลับมาดูทางทิศนี้คือทางธรรมะ จนกระทั่งให้รู้ว่าธรรมะนี้เป็นทุกอย่าง สำหรับมนุษย์ ที่จำเป็นจะต้องมี เรามีคำบรรยายชุดหนึ่งที่เรียกว่ามหิดลธรรม ธรรมะเสมือนพื้นแผ่นดินที่พิมพ์ไปแล้ว มันมีลักษณะเหมือนแผ่นดินสำหรับเป็นที่ตั้ง ถ้าไม่มีแผ่นดินอยู่ ไม่มีแผ่นดินเหยียบ ไม่มีแผ่นดินที่ตั้ง แล้วมันจะอยู่กันได้อย่างไร นั้นในข้อแรกธรรมะต้องมีความสำคัญอย่างนั้นเสียก่อน จึงได้เรียกว่ามหิดลธรรม ธรรมะเปรียบเสมือนพื้นแผ่นดิน แล้วจากพื้นแผ่นดินนั้นเองมันก็ปรุงขึ้นมาเป็นเนื้อเป็นหนังเป็นลูกเป็นดอกเป็นผลอะไรให้แก่ต้นไม้ให้แก่สัตว์ให้แก่อะไรต่างๆ ที่เรากล่าวแล้วทุกอย่างมันออกไปจากแผ่นดิน เป็นปัจจัย ในสิ่งแวดล้อมที่ถูกต้องเป็นความเจริญ ความวิวัฒนาการ ให้ถือธรรมะว่า ให้มองเห็น ให้รู้จักแก่ใจว่าธรรมะมันเป็นอย่างนี้ เปรียบเสมือนเป็นแผ่นดินเป็นที่ตั้งของสิ่งที่มีชีวิตทั้งปวง ถ้ามองเห็นอย่างนี้ก็เป็นอันกล่าวได้ว่า ไม่หลงทาง ชีวิตนี้ไม่หลงทาง ชีวิตนี้คือการเดินทางที่ถูกต้องแล้วไม่หลงทาง ไปถึงจุดหมายปลายทางของชีวิตได้ ภายในเวลาอันสมควร ไม่ต้องผลัดเอาไว้ว่าชาติหน้าชาติต่อไป ในชาตินี้ต้องถึงจุดที่ว่ามันเยือกเย็น สะอาด สว่าง สงบได้ อยู่เหนือปัญหาโดยประการทั้งปวง ยิ้มเยาะความไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงของสิ่งทั้งปวง รวมทั้งความตายด้วย ไม่ใช่ว่าจะให้เราเฉยไม่ทำอะไร เราทำอะไรได้ดีมากกว่า แล้วเราก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีรสไม่มีชาติ จืดชืดจนไม่มีอะไร มันยังไม่ถึงหรอก ดู คล้ายๆ ไม่มีรสไม่มีชาติ หมายความว่าไอ้สิ่งที่น่ารักเราก็ไม่รัก ไอ้สิ่งที่น่าเกลียดเราก็ไม่เกลียด สิ่งที่น่ากลัวเราก็ไม่กลัว มันปกติอยู่ได้อย่างนี้มันจืดชืดเกินไปหรืออย่างไร ถ้าใครจะกลัวจืดชืดเกินไปไร้ความหมายก็ตามใจ แต่ผมอยากจะพูดว่ามันยังเขลาเต็มที เหมือนกับลูกเด็กๆ มันชอบกินลูกกวาด ชอบกินขนม อยู่นั้น มันก็ไม่รู้จักหวังอะไรดีกว่านั้น สูงไปกว่านั้น ธรรมะนี้ถูกหาว่าเป็นเครื่องถ่วงความเจริญ คุณออกไปคุณก็จะประสบคำพูดเหล่านี้ ถ่วงความเจริญของบุคคล ของสังคม ของโลก มันเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นดอกบัวเป็นกงจักร กลับกันอยู่ ขอให้ตั้งสมมุติฐานสำหรับเชื่อเอาไว้ก่อนสักหน่อยก็ได้ เพราะถ้ามันไม่มีประโยชน์อะไรไม่เกิดขึ้นมาแล้วไม่เจริญงอกงามไม่เป็นปึกแผ่น มีอยู่อย่างเป็นระบบในพระศาสนานั้นๆ ยังเป็นความจริงอยู่แต่คนมันเปลี่ยนถึงขนาดเกลียดชังสิ่งเหล่านี้ เกลียดความสงบ สัตว์ที่ลุ่มหลงอยู่ในกามารมณ์มากเกินไปย่อมเกลียดความสงบ พอพูดขึ้นก็คงเห็นจริง ปัญหาก็ไปอยู่ที่คนนั้นมันหลงแต่กามารมณ์ มากเกินไปหรือเปล่า และยิ่งเวลานี้ในโลกนี้มันมีแต่ประดิษฐ์ ประดอยสิ่งที่ทำให้หลงใหลในกามารมณ์หนักขึ้นไป คนที่หลงใหลในกามารมณ์เหล่านี้ก็จะเกลียดธรรมะมากขึ้น เพราะสิ่งที่ไปมึนเมา ให้เกิดมึนเมาทางสัมผัสทางเนื้อทางหนังมันรุนแรง เรื่องกามารมณ์นี้จะต้องเทียบกันดูให้ดีว่ามันรุนแรงยิ่งกว่าเฮโรอีน หรือยิ่งกว่ายาเสพติดใดๆ มันยิ่งมีทางที่จะปรับปรุงให้มันมึนเมารุนแรงมากขึ้น แต่เอาละเป็นอันว่า ยึดหลักในส่วนที่ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ แล้วมันก็ต้องเปลี่ยนไป เปลี่ยนไป จนย้อนกลับไปยังซ้ำรอย จนเกลียดไอ้สิ่งเหล่านี้ขึ้นมาสักยุคหนึ่งอีกได้ หันไปชอบไอ้ความสงบสุข กันเป็นยุคๆ วนไปวนมา แต่ถ้าเราจะไปหวังอย่างนั้นมันยังนาน อีกนานนัก ไม่รู้อีกกี่หมื่นปี แสนปี ก็เปลี่ยนยุคภายในใจของเรานี้ให้มันกลับ กลับ กลับยุคให้มันเร็วๆ ให้รู้จักเข็ดหลาบเร็วๆ ให้รู้จักสิ่งทั้งหลายทั้งปวงอย่างถูกต้องเร็วๆ แล้วก็เปลี่ยนไปได้ทันแก่เวลา พบความสงบทันแก่เวลา อย่าให้เสียเปรียบนักติดเฮโรอีนบางคนมันละได้ทันเวลา นี้ก็มีอยู่ ชนิดติดเฮโรอีนอย่างแรงร้ายยังละได้ทันเวลาไม่ทันจะตาย คนเราสมัยนี้มันติดความเจริญทางเนื้อหนังมากไปแล้วก็ควรจะรู้เท่า ต้องละมันให้ได้ให้ทันแก่เวลาก่อนแต่จะตาย นี่เราเปลี่ยนยุคภายในมันทัน ก็มีหวังที่จะทำได้ แล้วก็อายุธรรมดาสามัญแปดสิบปี เก้าสิบปีนี้ นี่เรื่องธรรมะคืออะไร สำหรับมนุษย์ ถ้ามนุษย์ไม่รู้จักตัวเองว่ามนุษย์คืออะไร ธรรมะก็พลอยเข้าไม่ถูก ปรับกันไม่ได้ ประยุกต์ไม่ได้ใช้ให้เป็นประโยชน์ไม่ได้ รีบไปรู้จักธรรมะให้ดีๆ รู้จักตัวเองให้ดีๆ จึงจะเอามาประยุกต์ให้มันมีผลตรงตามความมุ่งหมายอันประเสริฐสูงสุดของสิ่งนี้ได้ นี่คือทั้งหมดของใจความที่เรามาพบกันแล้วมาพูดกันเรื่องธรรมะ ช่วยเหลือซึ่งกันและกันให้เข้าถึงธรรมะ นี่ก็เป็นอันว่า จบไปสำหรับชุดหนึ่งหรือคณะหนึ่ง คือคณะที่จะกลับพรุ่งนี้ อย่าเอาไปทิ้งเสีย อย่าทำให้มันฟั่นเฝือจนไม่รู้อะไรเป็นอะไร กลับไปด้วยความรู้ว่าธรรมะคืออะไร ชีวิตคืออะไร ในที่สุดนี้ก็ขอให้พรเป็นการทำไว้ล่วงหน้าเพราะว่าพรุ่งนี้อาจจะไม่มีเวลาก็ได้ถือว่าคุณก็ได้ลาแล้วเวลานี้ ผมก็ให้พรปิดการอบรมได้ ขออวยพรให้ทุกองค์นี้ ทุกคนนี้ ประสบความสำเร็จในความมุ่งหมายส่วนใหญ่ของการเกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนาหรือศาสนาอะไรก็ตาม โดยส่วนย่อยก็คือว่าธรรมะนี้จะเป็นเครื่องแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวัน แล้วแก้ไขปัญหาอันสำคัญที่สุดก็คือว่าเราได้ทุกอย่างแต่เราขาดอย่างเดียวคือสิ่งที่จะป้องกันไม่ให้เรามีความทุกข์เพราะสิ่งที่เราได้นั่นเอง ขอให้สิ่งนี้จงเป็นไปตรงตามจุดหมายขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จในจุดหมายอันนี้ มีความสุขความเจริญงอกงามก้าวหน้าไปตามทางของธรรมะนั้น จงทุกทิพาราตรีกาลเทอญ