แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การบรรยายครั้งนี้เป็นการบรรยายต่อจากการบรรยายครั้งที่ ๕ ที่พูดค้างอยู่เพราะฝนตกลงมาเสียก่อน ในครั้งที่แล้วมา เราได้พูดถึงเหตุผลที่เราต้องเป็นเกลอกับธรรมชาติ โดยเหตุผลหลายข้อด้วยกัน แต่ก็เนื่องกันไปหมด คือเราไม่สามารถจะฝืนธรรมชาติ เราก็ต้องเป็นเกลอกับธรรมชาติ เราไม่สามารถจะเลิกร้างกฏของธรรมชาติก็ต้องเป็นเกลอกับธรรมชาติ ดังนี้เพื่อปรับตัวเราให้เข้ากับธรรมชาติ จะได้ไม่เกิดข้อขัดแย้งกัน และเพื่อใช้ธรรมชาติให้เป็นประโยชน์อย่างที่ธรรมชาติไม่ต้องเสียอะไรไปมากมาย คือทำกันอย่างเป็นเกลอ และข้อสุดท้ายที่ค้างอยู่ก็คือว่า เพื่อเราจะเข้าถึงธรรมชาติอันเฉียบขาดในลักษณะที่เป็นพระเจ้า ดังนั้นเราพูดกันถึงพระเจ้าเท่าที่จะเป็นประโยชน์ได้มากที่สุดเพียงไร
พุทธศาสนาเขาถือกันว่าไม่มีพระเจ้า นั้นมันเป็นความหมายหนึ่ง ซึ่งเขาเล็งถึงพระเจ้าอย่างเป็นบุคคล เหมือนกับพระเจ้าในศาสนาต่างๆ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องถือว่าพระพุทธศาสนาไม่มีพระเจ้า แต่ถ้าเอาใจความ และคุณค่าของสิ่งที่เรียกว่าพระเจ้าเป็นหลักแล้วก็ เรามีพระเจ้า เช่นสิ่งซึ่งเป็นปฐมเหตุ ถ้าพูดถึงพระเจ้าก็จะยกข้อนี้ขึ้นมาก่อน ปฐมเหตุสิ่งแรกที่สุดที่มีอยู่เพื่อสิ่งทั้งหลายจะได้มีขึ้นมานั่นคือพระเจ้า พวกที่ถือว่าพระเจ้าสร้างก็มีพระเจ้า และพระเจ้าก็สร้าง เราก็มีปฐมเหตุ คือ กฏของธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็กฎของ อิทัปปัจจยตา เป็นปฐมเหตุที่มีอยู่สำหรับให้สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นมาอย่างครบถ้วน พวกที่มีพระเจ้าอย่างบุคคล เขาไม่ยอมให้ถามว่าพระเจ้ามาจากไหน เพราะว่าถ้าพระเจ้ามาจากไหน แล้วก็พระเจ้าก็ไม่ใช่ปฐมเหตุ ก็ไม่ยอมให้ถาม ดังนี้เราก็ไม่ยอมให้ถามว่ากฎแห่งอิทัปปัจจยตานี้มาจากไหนหรือใครตั้งขึ้นมา ในความหมายอย่างเดียวกันกับพระเจ้านี่ไม่ยอมให้บัญญัติว่าใครสร้างพระเจ้า กฏอิทัปปัจจยตาเป็นปฐมเหตุทำให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น นี่กฏอิทัปปจยตานี้คือธรรมชาติในแง่ที่เป็นกฎ นั้นเมื่อเข้าถึงธรรมชาติก็เข้าถึงพระเจ้า ดังนี้ก็มีเรื่องที่อยากจะบอกว่า ผมก็เลยถือโอกาสบอกกับพวกคริสเตียนที่เป็นกันเอง พวกคริสต์ที่เป็นกันเองว่า พวกพุทธเราก็มี God แต่เราเรียกกันสั้น หดเสียงให้สั้น เราเหลือกฏคือกฏแห่งอิทัปปัจจยตา เราก็มี God ก็เหมือนกับเขาเหมือนกัน ก็เลยหัวเราะ ก็ค้านก็ไม่ได้นะสิ ก็เลยพุทธนี้ก็มี God ที่ออกเสียงสั้นเป็นกฏ การเข้าถึงธรรมชาติ เข้าถึงพระเจ้านั่นเอง คือปฐมเหตุของสิ่งทั้งปวง เราพูดค้างไว้เมื่อครั้งที่แล้วมาถึงตอนนี้
ทีนี้เหตุผลต่อไปอีกที่จะยกเอาประโยชน์ขึ้นมาเป็นเครื่องอ้าง เพื่อประโยชน์อะไรที่เราจะต้องเป็นเกลอกับธรรมชาติ ต่อว่าเพื่อการรู้จักธรรมสัจจะทั้งหลายที่เกี่ยวกับธรรมชาติในทุกแง่ทุกมุม ในธรรมสัจจะนี้คงจะเป็นคำแปลกอยู่ คือผมเห็นว่าเป็นคำเหมาะสมเอามาใช้ ตัวแท้แห่งธรรม ธรรมสัจจะนี้แปลว่าตัวแท้แห่งธรรม ตัวแท้แห่งธรรมนี้มีอยู่เป็นแง่ๆ เรื่องนั้น เรื่องนี้ เรื่องโน้นก็มีแต่ ล้วนแต่มีธรรมสัจจะด้วยกันทั้งนั้น แต่แล้วมันก็ไม่พ้นไปจากเรื่องของธรรมชาติ ก็เป็นอันว่าธรรมสัจจะของธรรมชาตินี้มีมาก จะต้องเข้าไปเป็นเกลอกับธรรมชาติ แล้วก็จะรู้ธรรมสัจจะในทุกแง่ทุกมุม ในข้อนี้สรุปไว้ด้วยคำว่า เพื่อสมบูรณ์ด้วยความรู้ สมบูรณ์ด้วยความรู้
ทีนี้ต่อไปก็เพื่อการรู้จักใช้ธรรมชาติให้เป็นประโยชน์และถึงที่สุด เราต้องเข้าไปเป็นเกลอกับธรรมชาติแล้วเราจะรู้ธรรมสัจของธรรมชาติทั้งหมด จึงจะสามารถใช้ธรรมชาติให้เป็นประโยชน์ ให้ถึงที่สุด นี่เป็นความสมบูรณ์ด้วยประโยชน์หรือผลประโยชน์ ทีนี้ต่อไปอีก เมื่อเข้าถึงความเป็นอันเดียวกันกับธรรมชาติ ในชั้นสูงสุดแล้วก็จะถึงขั้นที่ว่าอยู่เหนือประโยชน์โดยประการทั้งปวง คนที่ไม่เคยฟังก็จะรู้สึกว่าสับสนหรือกลับกลอก ผู้ที่จะศึกษาพระพุทธศาสนาก็ควรจะเข้าใจเสีย อย่าให้มันกลายเป็นเรื่องที่ดูกลับกลอกหรือสับสน เมื่อเรายังมีกิเลสเป็นคนธรรมดา ก็ต้องการประโยชน์อย่างนั้น ประโยชน์อย่างนี้สูงขึ้นไปตามลำดับ ถ้าเป็นพระอรหันต์ก็กลายเป็นไม่ต้องการประโยชน์ หรืออยู่เหนือประโยชน์ มีจิตใจที่ไม่ต้องการประโยชน์ เพราะฉะนั้นคุณค่าในลำดับที่ ๓ ก็คือเพื่ออยู่เหนือประโยชน์ทั้งปวง ประโยชน์นั่นแปลว่าสิ่งผูกพันอยู่หรือประกอบกันอยู่ ถ้าฟังดูตามตัวหนังสือ ตามความหมายของคำๆ นี้ในทางภาษาธรรมแล้ว สิ่งที่เรียกว่าประโยชน์นั้นคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือสิ่งที่ทำหน้าที่ผูกพันมนุษย์ คน อะไรก็ตาม ให้ติดอยู่ในปัญหาที่ยุ่งยาก ลำบากสารพัดอย่าง รวมทั้งความทุกข์ด้วย โยชนมันแปลว่าผูกพัน ประแปลว่าครบถ้วน ประโยชน์ก็คือมันผูกพันอย่างครบถ้วน ประโยชน์อย่างโลกก็ผูกพันให้ติดอยู่ในโลก ถ้าอย่างโลกนี้ก็ติดอยู่ในโลกนี้ โลกอื่นก็ติดอยู่ในโลกอื่น ถ้าทำลายประโยชน์ให้หมดสิ้นไป ไม่มีค่า นั่นนะคือจะอยู่เหนือประโยชน์ พ้นจากประโยชน์ เป็นความหลุดพ้น แต่คำพูดที่เอามาพูดกันอยู่ มันชวนให้เข้าใจผิด ประโยชน์โลกนี้ ประโยชน์โลกหน้า ประโยชน์สูงสุดคือพระนิพพานอย่างนี้ เป็นคำพูดที่บ้าบอชอบกล เอาพระนิพพานเป็นประโยชน์ เพราะพระนิพพานนั้นจะต้องอยู่เหนือความต้องการของประโยชน์ หรือความผูกพันของประโยชน์ แต่เราก็ได้พูดกันแล้วและพูดกันอยู่ ว่าปรมัตถ์ประโยชน์บ้าง ประโยชน์สูงสุดคือพระนิพพานบ้าง ให้รู้ไว้เถอะว่า คำว่าประโยชน์นั้นเป็นข้าศึกคือเป็นสิ่งที่ผูกพัน ดังนี้ภาษาพูดทำให้เกิดการสับสน ฟังดูกลับกลอก ฟังดูตลบตะแลง นี่เรื่องประโยชน์คำเดียว ขอให้จำไว้เป็นหลักสำหรับพุทธบริษัท เบื้องต้นเรารู้จักธรรมสัจจะเกี่ยวกับธรรมชาติเพื่อสมบูรณ์ด้วยความรู้ เพื่อจะหาประโยชน์นั่นเอง นี้ถัดมารู้จักใช้ธรรมชาติให้เป็นประโยชน์ถึงที่สุด มันก็ได้ประโยชน์ ถ้าในชั้นสุดท้ายจริงๆ ก็คือเข้าถึงธรรมชาติอันสูงสุดที่อยู่เหนือประโยชน์ก็คือนิพพาน พูดให้สั้นอีกทีก็ว่า มีความรู้ก็หาประโยชน์ ขั้นต่อมาก็ได้ประโยชน์มา ขั้นที่ ๓ ก็อยู่เหนือประโยชน์ คือไม่ต้องการประโยชน์ ไม่อยู่ใต้อำนาจของประโยชน์ ถ้าพูดอย่างภาษาโลกๆ ก็ประโยชน์คือสิ่งสูงสุดที่มนุษย์ต้องการมีอยู่หลายๆ ชั้น จนเดี๋ยวนี้ที่ไหนก็พูดกันว่าประโยชน์ ประโยชน์สำคัญ ประโยชน์อย่างนั้นอย่างนี้ ภาษากฎหมาย ภาษาอะไรก็ดี มันมี มีค่าหรือมีความหมายในฐานะเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ แต่พอพูดในภาษาธรรมะแล้ว ประโยชน์ก็กลายเป็นสิ่งผูกมัดรัดตรึง เป็นกิเลส เป็นข้าศึกขึ้นมาทีเดียว รู้จักธรรมชาติก็จะได้ผลดีใน ๓ สถานอย่างนี้ มีความรู้ในเรื่องของธรรมชาติ แล้วก็ทำประโยชน์เกิดขึ้นจากธรรมชาติ และเข้าถึงธรรมชาติอันสูงสุดที่อยู่เหนือประโยชน์ทั้งปวง มีจิตที่เกลี้ยงเกลา ไม่เกาะเกี่ยวอยู่ในประโยชน์ใดๆ นี่คือทั้งหมดนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเราต้องเป็นเกลอกับธรรมชาติ
ทีนี้ก็อยากจะพูดไปเสียเลยว่า อย่าทำอะไรบ้าง อย่าเป็นพวกที่ปากว่ารักธรรมชาติ แต่ก็เป็นอยู่อย่างทำลายธรรมชาติ หรือฝืนธรรมชาติอยู่ตลอดเวลา นี่ก็เป็นสิ่งที่จะต้องคิดดูให้ดี เหมือนจะทุกคนจะพูดว่ารักธรรมชาติ แต่เข้าใจธรรมชาตินิดเดียว เลยไปทำลายธรรมชาติอยู่ทั้งที่ปากพูดว่ารักธรรมชาติ แล้วทำตนอย่างฝืนธรรมชาติอยู่ ในการกิน ในการอยู่ ในการนุ่ง การห่ม กระทำเป็นประจำวัน หรือว่าอย่าทำตนให้เป็นผู้ที่กำลังถูกธรรมชาติตบหน้า หรือลงโทษอยู่อย่างสาสม พูดได้เลยว่ามนุษย์ในเวลานี้จะทั้งโลกก็ว่าได้ ถูกธรรมชาติตบหน้าลงโทษอยู่อย่างสาสม คือเต็มไปด้วยวิกฤตการณ์ตลอดเวลา ดูในโลกนี้มันมีวิกฤตการณ์เต็มอยู่ตลอดเวลา ในลักษณะที่เรียกว่ายิ่งแก้ไขยิ่งเข้าลึก ยิ่งแก้ไขยิ่งเข้าลึก เพราะไม่สนใจแก่ธรรมชาติซึ่งเป็นพระเจ้าสูงสุด หรือโดยเฉพาะจะชี้ให้เห็นว่า เมื่อนิยมวัตถุก็ทำลายธรรมชาติเรื่อยไป ไม่รู้เรื่องทางจิตใจซึ่งเป็นการทำลายธรรมชาติแต่น้อยที่สุด พวกวัตถุนิยมคือพวกที่ทำลายธรรมชาติสุดเหวี่ยง เขารู้แต่วัตถุ รู้แต่ค่าของวัตถุ รู้แต่ความเจริญทางวัตถุ รู้จักการแสวงหาอำนาจและใช้วัตถุเป็นเครื่องมือ ดังนั้นจึงตั้งหน้าตั้งตารวบรวมสะสมแต่อำนาจทางวัตถุ จนในโลกนี้มีบุคคลที่เรียกว่าพวกนายทุน หรือศักดินาหรืออะไรทำนองนี้ ขอให้แหวกดูหัวใจของนายทุนหรือศักดินาทั้งหลาย พบว่าเข้าใจแต่วัตถุ บูชาแต่วัตถุ มุ่งหมายแต่เรื่องวัตถุ เพราะไม่รู้จักธรรมชาติอันเป็นนามธรรมเสียเลยนั่นเอง พระเจ้าเป็นพวกที่นิยมตรงกันข้าม คือนิยมเรื่องจิต เรื่องธรรมะ อย่างนี้จะทำลายธรรมชาติน้อยที่สุด น้อยจนเรียกว่าไม่ทำลายก็ได้ เพราะมันหาประโยชน์ที่เป็นที่พอใจได้จากเรื่องทางจิต หรือเรื่องนามธรรมโดยทำลายธรรมชาติน้อยที่สุด ไม่ต้องพูดถึงว่าเอาธรรมชาติมาเป็นเครื่องบำรุงบำเรอกามารมณ์อะไรต่างๆ แม้จะเป็นอยู่ตามธรรมดาสามัญของเรานี่ก็ทำลายธรรมชาติน้อยที่สุด ดังนั้นเราอย่าปล่อยให้เป็นถึงอย่างนั้น เพราะว่ารู้จักเป็นเกลอกับธรรมชาตินั่นเอง ทั้งหมดนี้เป็นการมองกันในทุกแง่ทุกมุมทุกด้านให้รู้ว่าธรรมชาติมันเป็นอย่างไร เราจะเป็นเกลอกับธรรมชาติเพื่อประโยชน์อะไร ในลักษณะอย่างไร ซึ่งสรุปความได้ว่า เป็นอยู่อย่างสมคล้อยกับธรรมชาติ แล้วก็เป็นเกลอกับธรรมชาติ และก็เป็นอันเดียวกับธรรมชาติในที่สุด ทีนี้สิ่งที่เหลืออยู่ต่อไปก็คือจะชี้ให้เห็นว่าจะทำได้โดยวิธีใด คือจะพูดถึงหัวข้อ ๓ หัวข้อนั้นให้มันละเอียดออกไป ว่าจะทำได้โดยวิธีใด
ข้อแรก ที่ว่าเป็นอยู่ให้สมคล้อยกับธรรมชาติที่สุด ก็เรียกว่าเป็นขั้นต้น ขั้นตระเตรียม ถึงเป็นเกลอก็เป็นเกลอขั้นห่าง ๆ เพียงการเป็นอยู่ที่สมคล้อย ในข้อแรกจะวางหลักลงไปว่า จะผลิตหรือจะบริโภคปัจจัยทั้ง ๔ โดยไม่เป็นการทำลายธรรมชาติ แต่กลับเป็นการส่งเสริมธรรมชาติ ปัจจัย ๔ นี้ก็รู้กันดีอยู่แล้วว่า อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย แล้วก็การบำบัดโรคภัยไข้เจ็บ เรียกว่า ๔ ปัจจัย เขาจะผลิตและจะบริโภคปัจจัยนี้ ในลักษณะที่สมคล้อยกับธรรมชาติ คือไม่ทำลายแต่กลับส่งเสริม เดี๋ยวนี้เราไม่รู้จักธรรมชาติ ไม่คิดจะเป็นเกลอกับธรรมชาติ ก็ไม่ได้นึกถึงข้อนี้ แล้วปล่อยให้เป็นมาเรื่อยในลักษณะที่ไม่เป็นเกลอกับธรรมชาติเรื่อยมา ตั้งแสนๆ ปีมาแล้วจนกระทั่งมาถึงทุกวันนี้ มันก็ทิ้งไกลกับธรรมชาติ แต่เป็นสิ่งที่เราโทษใครก็ไม่ได้ เราก็จะไปห้ามก็ไม่ได้ ควบคุมก็ไม่ได้ มันก็เป็นมาแล้วอย่างนี้จนไกลกับธรรมชาติ นับตั้งแต่ว่าเป็นสัตว์ แล้วก็มาเป็นสัตว์ ครึ่งสัตว์ครึ่งคน แล้วก็มาเป็นคนป่า คนสมัยหิน สมัยป่าเถื่อนเรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้นะ มันไม่มีอะไรที่ว่า นอกจากมันทิ้งธรรมชาติไกลมาทุกที ทุกที โดยทั่วไปเราก็เห็นได้ว่า เราก็มีปัญหาอย่างมนุษย์ปัจจุบันคือทิ้งธรรมชาติไกลมาอย่างนี้ โดยรูปร่าง รูปลักษณะ กริยาอาการ การเกี่ยวข้องการกระทำต่างๆ ก็ทิ้งธรรมชาติไกลมาทุกที ปัญหามันก็มีมาก ปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นในลักษณะที่เป็นการลงโทษจากธรรมชาติ ให้มนุษย์เป็นอยู่อย่างลำบากยากเย็น เป็นส่วนใหญ่อยู่ส่วนหนึ่งทีเดียว ทีนี้ก็ต้องกระทำ คิดที่จะกระทำอย่างที่เรียกว่า ทะลุไปข้างหน้า ไปตายกันดาบหน้า ก็แก้ไขต่อไป โดยให้มันสมคล้อยกับธรรมชาติ เพื่อว่าไอ้ความทุกข์มันจะได้น้อยลง อย่าอวดว่าเราอาจจะเลิกร้างธรรมชาติหรือฝืนธรรมชาติ มันเพียงแต่ทำให้มันกลมกลืนกันไปได้ บาปมันก็ตกอยู่กับลูกหลานชั้นหลังปัจจุบันนี้ ที่จะต้องแก้ไขในการเป็นอยู่ของคนมันกลมกลืนไปได้กับธรรมชาติ ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะเกิดปัญหามากขึ้นไปอีก ปัญหาในลักษณะที่แก้ไขได้ยากจะนำมาซึ่งความวินาศ หรือว่ามันไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย ผมก็ได้พูดแล้วพูดอีกว่ามาบวชนี่เพื่อมาลองชิมอะไรที่ลึกๆ หลายๆอย่าง ให้ได้ความรู้เรื่องนี้แล้วไปใช้เป็นประโยชน์จนตลอดชีวิต เรามาบวชเป็นภิกษุ เป็นอยู่ด้วยปัจจัย ๔ อย่างง่ายที่สุด อย่างต่ำที่สุด ให้กลับย้อนถอยหลังไปหาธรรมชาติ ใกล้ธรรมชาติให้มาก ก็เพราะว่ามันอยู่ได้ และบางที่จะเป็นผลดี ไม่มีปัญหาชนิดที่มันเป็นเรื่องไม่จำเป็นจะต้องมี ไปสำรวจตรวจตราดูเอาเองก็แล้วกัน จะกินอาหารอย่างไร จะนุ่งห่มอย่างไร จะมีที่อยู่อาศัยอย่างไร หรือแม้สุดแต่จะบำบัดโรคภัยไข้เจ็บอย่างไร ก็อย่าให้มันทิ้งพระเจ้าคือธรรมชาติ เพราะเราไม่อาจจะฝืนกฏของธรรมชาติ ที่เป็นมาแล้วธรรมชาติเป็นฝ่ายชนะเสมอ แต่เราก็โง่ว่าเราเป็นฝ่ายชนะเสมอ มันจึงตกบ่อได้ลึกลงไป ลึกลงไป ลึกลงไป คือพ่ายแพ้แก่ธรรมชาติโดยที่คิดว่าชนะธรรมชาติ ไปปรับปรุงการผลิตและการบริโภคปัจจัย ๔ เสียให้สมคล้อยกับธรรมชาติ โดยส่วนตัวบุคคลก็จะมีความสงบสุข โดยส่วนรวมของโลกทั้งโลกก็จะมีความสงบสุขยิ่งขึ้นกว่าที่กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้ ซึ่งยุ่งยากลำบากมากขึ้นทุกที ในแง่ของเศรษฐกิจ ในแง่ของการผลิต หรือเนื่องไปถึงแง่ของการเมือง มันมาแต่เรื่องนี้ทั้งนั้น พูดอีกโวหารหนึ่ง พูดว่าทำสหกรณ์กับธรรมชาติ เหมือนกับที่เราทำสหกรณ์กันในหมู่มนุษย์ ถ้าเราทำเป็นข้าศึกแก่กัน แล้วก็ไม่มีทางจะสำเร็จ ทำสหกรณ์คือให้มันร่วมทำกันไปโดยไม่ขัดขวางกัน แล้วประโยชน์มันแบ่งกัน อย่าฝืนธรรมชาติ ธรรมชาติก็จะไม่สร้างปัญหาอะไรให้ และส่งเสริมธรรมชาติ มันก็จะอยู่อย่างสงบสุข เดี๋ยวนี้เราทำลายแม้แต่ทางวัตถุ วัตถุธรรม เช่นทำลายป่า ทำลายแม่น้ำลำธารอะไรต่างๆ มันก็ไม่ทำสหกรณ์กับธรรมชาติ เขาก็เลยได้รับความเสียหาย ร่องรอยของแม่น้ำลำธาร ห้วยหนองคลองบึงบางเหลืออยู่มากมายแต่แห้งไม่มีน้ำ ก็เลยมีปัญหา เราทำเองไม่ได้ เราจะควบคุมบังคับทุกคนให้ทำอย่างเราก็ไม่ได้ แต่เราควรจะปรึกษากันเสียใหม่ว่า ต่อไปนี้มันเปลี่ยนหลักการใหม่ มาในรูปที่ว่าเป็นสหกรณ์กับธรรมชาติ หรือส่งเสริมซึ่งกันและกันดีกว่า อย่าทำอย่างที่กำลังทำอยู่เดี๋ยวนี้ คือกำลังทำอยู่กับธรรมชาติอย่างเลวที่สุด เลวยิ่งกว่าที่เรียกว่าฆ่าช้างเอางาเสียอีก ฆ่าช้างเอางานี่เป็นภาษาคำพังเพยสุภาษิต ฆ่าช้างตายไปทั้งตัวเสียประโยชน์มากเพื่อจะเอางานิดเดียว คนที่เห็นแก่ตัว เหมือนกับคนบางคนเขาต้องการผลไม้สักกระจาดกระบุง เขาโค่นต้นลงมาทั้งต้นบะเร่อบะร่า เพื่อจะเอาลูกไม้หาบเดียว เดี๋ยวนี้มนุษย์ก็กำลังทำกับธรรมชาติในลักษณะอย่างนี้ เพื่อประโยชน์ทางกามารมณ์อันไม่มีที่สิ้นสุด ก็มีเพื่อประโยชน์แก่สงคราม การทำสงครามอันไม่มีที่สิ้นสุดก็มี คือเราอาจจะใช้คำว่าไม่มีที่สิ้นสุด แก่สิ่งทั้ง ๒ นี้ได้ คือกามารมณ์ของมนุษย์ที่จะพัฒนาต่อไป และการสงครามที่จะต้องมีไม่มีที่สิ้นสุด สำหรับมนุษย์ที่มีการศึกษามีการคิดนึกอย่างปัจจุบันนี้ และอย่างมีอันตรายหรืออุปัทวะอื่นๆอีกมากที่จะไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งทำลายธรรมชาติมากมาย แล้วเอามาใช้ในลักษณะที่ไม่มีประโยชน์อะไร ไอ้การเป็นอยู่ฟุ่มเฟือยเนื่องไปถึงกามารมณ์นี่ มันเปลืองเท่าไรก็ลองไปสำรวจดูเอาเองก็แล้วกัน แต่เมื่อเกิดนิยมกันเสียแล้ว มันก็เห็นเป็นความดีไปเสีย แล้วจะเห็นคนๆ หนึ่งนั่งรถยนต์คนเดียว เสียน้ำมันตั้งมากมายไปธุระนิดเดียว จนถนนแน่นไปด้วยรถติดแจกันไปหมด เขาก็คิดว่าเขาถูก เขาก็มีสิทธิที่จะทำได้ แล้วเขาก็มีเงินพอที่จะทำได้ ไปดูให้ดีว่ามันมีความหมายแก่ธรรมชาติอย่างไร ต้องไปขุดเอาน้ำมันมา ต้องไปขุดเอาโลหะที่จะประกอบเป็นรถยนต์มา อะไรมา ก็ไม่ได้ทำอะไรให้มนุษย์ดีขึ้นหรือมีความสุขขึ้น อย่างนี้มีมากเรียกว่าแบบฆ่าช้างเอางา ทำลายธรรมชาติเสียมากมาย เพื่อประโยชน์นิดเดียว ก็อย่าทำอย่างนั้น ขอให้เข้าใจว่าคำบรรยายนี้ มันเล็งถึงทั้ง ๒ ฝ่าย คือทั้งฝ่ายบุคคลแต่ละคน ละคน และฝ่ายโลกทั้งโลกคือทุกคนที่รวมกันเป็นโลก มีหลักเกณฑ์อย่างเดียวกันที่เกี่ยวกับธรรมชาติ นี้เราทั้งโลกนี้กำลังบ้าหลัง ทำกับธรรมชาติอย่างกับฆ่าช้างเอางา และก็จะทำเลวยิ่งกว่าฆ่าช้างเอางาไปเสียอีกก็มี ขอให้ทำในใจไว้เสมอคือทำในใจให้ถูกต้องไว้เสมอ แล้วการกระทำมันก็จะเป็นไปถูกต้อง เพราะมีหลักในใจถูกต้อง การกระทำมันก็ถูกต้อง ที่สำคัญที่สุดจะต้องรู้ตามที่เป็นจริงว่า การสมดุลหรือความสมดุลของธรรมชาตินั้นคือ การเกิดทุกการอยู่รอดของมนุษย์ การที่มนุษย์จะเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมา หรือมนุษย์จะอยู่รอดตลอดไปนั้นต้องอาศัยความสมดุลของธรรมชาติ ที่แล้วมามันก็เป็นอย่างนั้น และเป็นอย่างยิ่ง คือส่วนใดไม่สมดุลกับธรรมชาติ ส่วนนั้นสาบสูญไปแล้ว ตายไปแล้ว สูญพันธุ์ไปแล้ว อะไรไปแล้ว ที่ส่วนที่มันสมดุลกับธรรมชาติอยู่ หรืออยู่บ้างนี่ มันจึงรอดมาเป็นมนุษย์อย่างที่กำลังมีอยู่เดี๋ยวนี้ ที่จะมองกันในระยะสั้น การเกิดของคนๆหนึ่ง รอดออกมาจากท้องแม่ได้คือความสมดุลของธรรมชาติ แล้วเขาจะอยู่ต่อไป รอดชีวิตอยู่ได้ เพราะการสมดุลของธรรมชาติ ในส่วนที่มันเกี่ยวข้องเด็กคนนั้นหรือบุคคลคนนั้น พูดในระยะยาวเป็นแสนๆ ปีมันก็อย่างนี้ พูดในระยะสั้นชั่วอายุคนหนึ่งก็เป็นอย่างนี้ สำหรับคน ๆเดียวก็เป็นอย่างนี้ สำหรับคนทั้งโลกก็เป็นอย่างนี้ ความสมดุลของธรรมชาตินั้นคือความรอดมีชีวิตอยู่ได้ของมนุษย์ ถ้าเรามีหลักในใจอย่างนี้ก็ มันก็จะช่วยให้เกิดความถูกต้องต่อไปอีกในการกระทำอย่างอื่นที่มันเนื่องกัน เดี๋ยวนี้เรายังมีการทำลายธรรมชาติทั้ง ๒ ชนิด คือ โดยเจตนาก็มี โดยไม่รู้ตัวก็มี แต่การทำลายธรรมชาติโดยไม่รู้ตัวนี่ก็มากเหลือเกิน เราไม่รู้ว่าเราทำผิด เราทำไปตามสบายสะดวก ไปตามอารมณ์ของกิเลส ตามความรู้สึกของมิจฉาทิฎฐิ ที่ทำให้รู้สึกว่าอย่างนี้ถูกแล้ว ถูกต้องแล้วก็ทำไป อย่างนี้ก็เป็นการทำลายธรรมชาติโดยไม่เจตนา แล้วก็มีมากกว่าที่เจตนาด้วยซ้ำไป และที่ทำลายโดยเจตนานั้นก็มากไม่น้อยอยู่แล้ว คิดดูให้ดีๆ เรียกว่าอย่าใช้ความโง่ของตนทำลายธรรมชาติโดยไม่เจตนา นี้อย่างหนึ่ง และอย่าใช้ความเป็นทาสของเนื้อหนังนี้ เป็นเครื่องทำลายธรรมชาติ นี้หมายถึงเจตนา เราเป็นทาสของเนื้อหนัง เนื้อหนังในที่นี้เป็นคำแทนชื่อของกามารมณ์ในทุกระดับ เราเป็นทาสของกามารมณ์และทำลายธรรมชาติโดยเจตนา อันนี้เป็นปัญหาที่กำลังหนาแน่นอยู่ในโลกเวลานี้ แล้วคนก็ไม่มองกัน ไม่ได้มาทดลองบวชให้รู้ว่าเราอยู่อย่างไม่ทำลายธรรมชาติ อะไรก็ยังได้ กับจะส่งเสริมธรรมชาติเสียอีกก็ยังได้ เดี๋ยวนี้คนเป็นทาสของเนื้อหนังคือกิเลส แล้วทำลายธรรมชาติอย่างทารุณที่สุด คือในรูปที่ว่าทำลายธรรมชาติมากและเพื่อความสุขสนุกสนานนิดเดียวซึ่งไม่จำเป็นเลย หรือว่าจะมองดูกันอย่างทั่วๆไป ขอให้มามองในแง่ที่ว่า อบายมุขทั้งหลาย คือการทำผิดธรรมชาติ ไม่สมดุลกับธรรมชาติหรือฝืนธรรมชาติ แต่คนก็เห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ผมขอร้องขอวิงวอนให้ศึกษาและให้สังเกตดูให้ดีว่าอบายมุขทั้งหลายนั่นน่ะ คือการผิดอย่างลึกซึ้งต่อธรรมชาติ และก็อย่างยืดเยื้อถาวร อย่างลึกซึ้งที่สุด เราจะพูดอย่างนี้ก่อนก็ได้ว่าในประเทศไทยเรานี้ ถ้าพลเมืองทุกคนเว้นอบายมุขอย่างเดียว ในประเทศก็จะมีสันติสุข มีสันติภาพอย่างบอกไม่ถูก ก็ไม่มีใครสนใจที่จะแก้ไขในเรื่องนี้ รัฐบาลไหนก็ไม่เคยเหลือบมอง มายังไอ้สิ่งที่จะต้องแก้ไขอบายมุขทั้งหลายก่อน ทีนี้เราจะบอกให้เห็นว่าอบายมุขมันเป็นการเหยียบย่ำธรรมชาติ ตบหน้าพระเจ้าอย่างแรง ดังนั้นพระเจ้าจึงตบหน้ากลับมา หรือเหยียบย่ำมนุษย์อย่างแรงบ้าง คนที่จะสึกท่องพิธีปฏิบัติ จำได้กันอยู่แล้วว่าอบายมุข ๖ นั่นคืออะไร คือดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงานนี่ นี้ข้อไหนบ้างที่มันสมคล้อยกับธรรมชาติ หรือถูกต้องตามความต้องการของธรรมชาติ ไอ้ดื่มน้ำเมานี่มันเรื่องโง่ เรื่องบ้าชัดๆ และธรรมชาติก็ไม่ได้ต้องการ และยิ่งไม่ประสงค์ให้คนต้องดื่มน้ำเมา การไปฝืนทำน้ำเมาขึ้นมาดื่มก็เป็นเรื่องผิดธรรมชาติ ไม่เคารพธรรมชาติ ตับไตไส้พุงของมนุษย์ก็ไม่ได้ต้องการน้ำเมา ทุกส่วนในร่างกายของมนุษย์มันก็ไม่ได้ต้องการน้ำเมา มันต้องการน้ำเฉยๆ มากกว่า และเราก็อุตส่าห์ทำน้ำเมาให้วิเศษ ให้ประเสริฐอะไรขึ้นมา ล้อเลียนธรรมชาติ แล้วกินดื่มน้ำเมากันเป็นการใหญ่ เที่ยวกลางคืนมันก็ไม่ใช่ความต้องการของธรรมชาติ ซึ่งต้องการให้คนมันนอน กลางคืน มันก็ไปเที่ยวกลางคืนหามรุ่งหามค่ำ วัฒนธรรมไทยเสียไปหมด เขาก็มีสถานที่เริงรมย์ตลอดคืน นั้นกลายเป็นเที่ยวกลางคืนอย่างท้าทาย เยาะเย้ยพระเจ้าคือธรรมชาติ ไอ้คนนั้นมันก็ฉิบหาย เสื่อมสุขภาพในทางกาย เสื่อมเสียในทางจิต ทางวิญญาณ มีความเห็นแก่ตัวจัด เป็นทาสของกิเลส ทำนาบนหลังคนอื่น ตามความหมายของคำว่านายทุนหรือศักดินา เกิดขึ้นมาเพราะความหลงใหลอย่างนี้
ดูการเล่น นี่ก็ต้องดูกันให้ดีๆ อบายมุขที่ ๓ คือดูการเล่น เล่นหัว กินน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น ไอ้การเล่นในที่นี้มันมีความหมาย มีสปิริตอยู่ที่ตรงไหน ก็คือเพื่อกระตุ้นให้มันเกิดอารมณ์แรง จนได้หัวเราะกันในที่สุด คือได้รู้สึกเอร็ดอร่อยทางความรู้สึก ทางประสาทที่มันถูกกระตุ้น ทางตาก็ได้ ทางหูก็ได้ ทางจมูกลิ้นอะไรก็ได้ ในการเล่นทั้งหลายมีเจตนารมน์เพื่อจะกระตุ้นประสาท กระตุ้นอาตยนะเหล่านี้ แต่ธรรมชาติมันต้องการให้สงบ ให้มันอยู่อย่างสงบ อย่ามีอะไรมากวน มาแหย่ มากระตุ้น มาเชิดมันให้มันฟุ้งซ่าน ยุ่งยากลำบาก ธรรมชาติไม่ได้ต้องการให้เราหัวเราะต้องการให้อยู่นิ่งๆ มากกว่า เราเคยมีการเล่น การหัว การที่ทำให้หัวเราะและให้เคลิ้มไปตามอารมณ์นั้นๆ มันก็กบฏธรรมชาติ นี่อบายมุขที่ ๓ ก็เป็นกบฏต่อธรรมชาติ คือการเล่นที่กระตุ้นเร้าอารมณ์ทั้งหลาย ยิ่งเล่นการพนันข้อนี้ก็น่าหัว อบายมุขข้อที่ ๔ เล่นการพนัน มันมีสปริตลึก ต้องดูว่ามันมีอะไรในสิ่งที่เรียกว่าการพนัน มันมีความอร่อยด้วย ไม่ใช่จะเพื่อได้เงินได้ทรัพย์ ไอ้การพนันนั้นมันก็เล่นเพื่อว่าจะได้ทรัพย์ เพื่อชนะแล้วก็ได้ทรัพย์ แต่ที่แท้มันยังมีอีกสิ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ถูกกระตุ้นให้เกิดความหวังและเป็นความอร่อยในจิตใจ เป็นอร่อยชนิดหนึ่งซึ่งไม่เหมือนอร่อยอย่างกามารมณ์ แต่มีลักษณะคล้ายกันคือการถูกกระตุ้นให้เกิดความหวัง แล้วอร่อยอยู่ด้วยความหวัง นี่ก็ผิดธรรมชาติเหลือเกิน ระบบของประสาทถูกกระตุ้น ถูกกระตุก ถูกกระชากให้ผิดจากธรรมชาติมากเกินไป การเล่นการพนันก็มีความรู้สึกเหมือนกับเป็นผีชนิดหนึ่ง ไม่ใช่เป็นคน เพราะมันถูกกระตุ้น กระชากด้วยความหวังนั่นแหละ ต้องถือว่าทำลายธรรมชาติ ทำลายปกติภาวะของธรรมชาติ ส่วนที่มันมีผลวินาศ ฉิบหาย เป็นอันตรายแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกันนั้น มันอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก เดี๋ยวนี้ผมพูดแต่ในแง่ที่ว่ามันผิดธรรมชาติ และมันก็จะต้องเกิดความเสียหายขึ้นในส่วนลึกนั้น นี่คบคนชั่วเป็นมิตร นี่เป็นศีลธรรมมากขึ้นจะเอามาอธิบายให้เป็นธรรมชาติได้อย่างไร ก็ต้องเล็งถึงเจตนา การคบคนชั่วเป็นมิตรมันก็ผิดหลักของธรรมชาติ ซึ่งต้องการจะอยู่รอด หรืออยู่อย่างผาสุก มันเหมือนกับได้อาหารที่เป็นพิษ ต้นไม้ได้ปุ๋ยที่เป็นพิษ อะไรได้การกระทำที่เป็นพิษ ชักจูงไปหาความวินาศ ก็เลยถือว่าไม่ใช่ความประสงค์ของธรรมชาติ ซึ่งต้องการจะวิวัฒนา คือการเสพกับสิ่งที่เป็นข้าศึก ไม่ใช่เจตนาของธรรมชาติ ที่นี้ผลทางสังคมทางอื่นมันก็มีอยู่แล้ว ทางศีลธรรมมันก็ปรากฏชัดอยู่แล้ว เป็นความผิด ความชั่ว นำมาซึ่งความวินาศ แต่เดี๋ยวนี้เรามองกันในแง่ของธรรมชาติก็จะมองเห็นได้เหมือนกันว่า มันไม่ใช่เรื่องที่จะสมคล้อยกับธรรมชาติที่จะไปเสพคบกับสิ่งที่มันผิดๆ ถ้าไปดูให้ละเอียดสักหน่อย มันก็เป็นเรื่องของการกระตุ้นชนิดหนึ่งเหมือนกัน กระตุ้นจิตใจชนิดหนึ่งเหมือนกัน เพราะว่าคนชั่วคนไม่ดีนั้น เขาจะต้องมีอะไรที่เป็นเหยื่อสำหรับกระตุ้นคนที่ดี ให้ไปลองดู
ข้อสุดท้ายก็เกียจคร้านทำการงาน ลองเดาเองว่ามันจะผิดธรรมชาติหรือไม่ผิดธรรมชาติ ธรรมชาติต้องการให้นอน หรือว่าธรรมชาติต้องการให้ลุกขึ้นทำงาน การทำการงานในความหมายอันลึกซึ้งของธรรมชาติ ก็คือการขวนขวาย พยายาม หรือกระทั่งว่าดิ้นรนและต่อสู้เพื่อชีวิตรอดอยู่ นั่นน่ะคือการงาน ทีนี้ธรรมชาติที่มีชีวิต ที่จะรอดชีวิตอยู่ได้ก็มีการดิ้นรนขวนขวายต่อสู้ เพื่อให้ชีวิตรอดอยู่ เช่นการหาอาหาร เป็นต้น นั้นคือการงาน ดังนั้นโดยธรรมชาติแท้จริงสำหรับสิ่งที่มีชีวิตต้องทำงาน ถ้าไม่ทำงานหรือเกียจคร้านทำการงานก็หมายความว่า ไม่ทำสิ่งที่จะเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต จึงผิดความมุ่งหมายของธรรมชาติ ที่มีไว้สำหรับสิ่งที่มีชีวิต จะต้องทำการหล่อเลี้ยงชีวิตนั้นไว้ การเกียจคร้านการทำงานจึงเป็นการขัดแย้งกับธรรมชาติ แต่นี่มันลึกเกินไป คนสมัยนี้เขาไม่ยอมมองหรือเขาไม่ยอมเห็นด้วย เขาก็ไม่กลัว เพราะที่มันจะยากจนข้นแค้นจนไม่มีอะไรจะกิน เขาก็ยังไม่กลัว ทำไมเขาจะมากลัว นี่มันขัดกับธรรมชาติ แต่เดี๋ยวนี้เอามาพูดให้ฟังว่าทุกอย่าง ทุกเรื่องที่มันเกี่ยวกับมนุษย์นั้น มันไม่มีอะไรเลยที่ไม่ต้องทำให้สมคล้อยกันกับหลักของธรรมชาติ จะยกตัวอย่างเรื่องอบายมุขมาให้ฟัง ก็ขอให้ไปคิดกันดูและก็ช่วยกันคนละไม้ละมือให้เพื่อนมนุษย์ของเรารู้จักข้อเท็จจริงอันลึกซึ้งนี้ ผมอยากจะพูดที่อาจจะเลยไปก็ได้ ว่าปู่ย่าตายายของเราคงจะมองเห็น ธรรมชาติที่มีอำนาจอย่างยิ่งนี้มาอย่างดีแล้วด้วยเหมือนกัน แต่เราไม่เข้าใจเขา กลับหาว่าเขาเป็นคนงมงาย เพราะเราโง่ต่อสิ่งที่ปู่ย่าตายาย เขาวางไว้สำหรับให้เราโง่นั่นเอง ดังนั้นเราจึงดูถูกปู่ย่าตายายว่างมงาย แต่ถ้าเราแปลความหมายของเขาให้ถูกต้อง เราจะพบว่าเราน่ะโง่เอง นี่เกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณี โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับธรรมชาติ คือขนบธรรมเนียมประเพณีหรือลัทธิอะไรก็ตาม ที่เขาให้บูชาแม่โพสพ ข้าวเปลือกในนา บูชาแม่คงคา แม่น้ำลำธารทั้งหลาย บูชาแม่ธรณี แผ่นดินนี่ก็ต้องบูชา บูชาพระไพร พระป่า เจ้าป่า เจ้าพ่อเขาเขียว ถ้าเราจะตีความหมายอย่างตรงไปตรงมาด้วยสติปัญญา แล้วควรจะตีไปในทางมองเห็นว่า เขาต้องการให้เราเอาใจใส่กับธรรมชาติหรือขอบคุณธรรมชาติ รักษาธรรมชาติ ส่งเสริมธรรมชาติมากกว่า แต่ถ้าพูดด้วยคำพูด โวหารธรรมดา ไอ้ลูกหลานมันไม่เชื่อ จำเป็นต้องพูดด้วยโวหารที่มันขลัง หรือศักดิ์สิทธิ์ เป็นพระเจ้า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรไปเลย คือใส่พระเข้ามา พระเจ้าคงคา พระแม่คงคา พระแม่ธรณีอะไรก็ตาม ให้สิ่ง ให้เอาใจใส่กับสิ่งเหล่านี้ และก็ให้มากเข้าไว้ ไอ้เรื่องให้มากเข้าไว้นี่เป็นคำที่ควรจะสนใจ ยิ่งที่ถ้าทำกับเด็กๆ แล้วก็ยิ่งให้มากเข้าไว้ เพราะว่าเด็กๆ เขาจะไม่ทำตรงเต็มตามที่เราสั่ง เขาจะทำน้อยกว่า ดังนั้นเราพูดให้มากเข้าไว้ก็ไปลดเสียบ้าง มันก็จะเหลือพอดี ทีนี้คนที่ไร้การศึกษา ก็เหมือนกับเด็กๆ ก็ต้องพูดให้มากเข้าไว้ ขลังเข้าไว้ แล้วไปเชื่อก็ทำตามเท่าที่เขาจะได้ มันก็จะพอดีได้ อย่างแม่ธรณีนี้ถ้าถือตามคติโบราณ ก็ต้องเคารพ ต้องบูชา จะถ่ายอุจจาระปัสสาวะลงไป ต้องนึกถึง ต้องขอโทษ แต่ความมุ่งหมายมันเป็นอย่างอื่น ให้ช่วยกันรักษาธรรมชาติไว้มากกว่า เจ้าพ่อเขาเขียว คิดดู ถ้าภูเขามันยังเขียวอยู่ ฝนมันตกแน่ พอไปทำลายมันเป็นเจ้าพ่อเขาแดง แล้วฝนมันก็ไม่ตก นี่มันก็แสดงว่าเรามันโง่ ต่อสิ่งที่ปู่ย่าตายายเขาทำไว้ให้เราโง่ เราก็โง่โดยไม่รู้สึกตัวได้ สำหรับข้อนี้ผมก็จะขอฝากไว้ว่าให้ไปพิจารณากันเสียใหม่ สิ่งใดที่เป็นขนบธรรมเนียมประเพณี ที่เขามีไว้อย่างไรนั้นอย่าไปปัดทิ้งทันทีทันควัน หมดออกไปว่ามันเรื่องโง่เขลางมงาย เขารอดกันมาได้เพราสิ่งเหล่านี้ นี่ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างที่เรียกว่า เราเป็นอยู่อย่างสมคล้อยกับธรรมชาติ ทำสหกรณ์กับธรรมชาติ ผลิตหรือบริโภคปัจจัยที่มัน ลักษณะที่มันสมคล้อยกับธรรมชาติ บวชแล้วก็พิจารณา ปะฏิสังขา โยนิโส ปฏิเสวามิ มีอยู่แล้ว กินอาหารนี้กินเพียงเพื่อร่างกายนี้อยู่ได้ ไม่ใช่เพื่อเล่น เพื่อมัวเมาเหมือนที่คนทั้งหลายเขากินกันในบ้านในเมือง นี่โดยวิธีนี้เราจะสมคล้อยกับธรรมชาติ
อันดับที่ ๒ ที่สูงขึ้นไป เป็นเกลอกับธรรมชาติ เป็นได้โดยวิธีใด ให้อยู่อย่างใกล้ชิดกับธรรมชาติ ซึ่งมันร้องบอกหรืออย่างน้อยก็กระซิบ อย่างมากก็ตะโกนบอกอยู่เสมอถึงเรื่องธรรมสัจจะทั้งหลายที่มนุษย์ควรจะทราบ ให้คิดถึงข้อที่ว่าพระศาสดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระพุทธองค์ของเรา ท่านประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน นิพพานกลางดิน สอนกลางดิน เป็นอยู่กลางดิน เพราะกุฏิบนพื้นดิน ดังนี้เรียกว่าเป็นเกลอกับธรรมชาติ ไปทางเนื้อหนังร่างกาย ต้องมีจิตใจไปตามธรรมชาติเหล่านั้นมันแวดล้อมให้ ซึ่งธรรมชาติแวดล้อมก็เพื่อแวดล้อมให้รู้จักธรรมชาตินั่นเอง ควรจะมองกันอย่างนี้ ไม่มีพระศาสดาแม้ของศาสนาไหนที่ว่าจะตรัสรู้เป็นพระศาสดาบนวิมาน บนสถานเริงรมย์ ล้วนแต่เป็นพระศาสดากลางดิน อย่างดีก็ในถ้ำ บนภูเขา ก็คือกลางดินด้วยกันทั้งนั้น นี่เป็นอยู่อย่างใกล้ชิดกับธรรมชาติ ขนาดที่เป็นเกลอกันทีเดียว เป็นเหตุให้ได้ยินเสียงจากธรรมชาติ ซึ่งตะโกนอยู่บ้าง กระซิบอยู่บ้าง แล้วแต่กรณี เรื่องไหนมันใหญ่ เรื่องไหนมันเล็ก ถ้าเราอยู่อย่างใกล้ชิดธรรมชาติเราจะได้ยินเสียงเหล่านี้ ร้องบอกอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือว่าร้องบอกว่า ความยึดมั่นถือมั่นนั้นเป็นตัวความทุกข์ คือว่าพอเราทอดตัวลงบนดินอย่างนี้ ในป่า ความคิดมันเกิดขึ้นอีกอย่างหนึ่ง ไม่เหมือนที่กับเราทอดตัวลงบนเตียง บนฟูก บนที่นอนอันเพื่อประโยชน์แก่ความสุขความสบาย นี่ถ้าเรานอนบนหญ้า เราจะนึกถึงพระพุทธเจ้าได้ง่ายกว่าที่เราจะนอนบนเตียง นุ่ม อ่อนนุ่ม สบาย นี่มันเคยปรากฏแก่ผมมาแล้ว ว่าผมอยู่ที่กุฏินั้น นอนเปิดหน้าต่าง บางทีมันโผล่หน้าต่างมา มันมาถูกต้นไม้ ต้นบอน ต้นเฟิร์นที่อยู่ที่หน้าต่าง มันสะดุ้งถึงพระพุทธเจ้า มันประหลาด แต่ว่ามันเป็นความจริงที่มันได้มีจริงแก่ผม ไอ้มือมันโผล่ไปนอกหน้าต่างไปถูกต้นเฟิร์น ทำไมใจมันสะดุ้งนึกไปถึงพระพุทธเจ้า ว่าพระพุทธเจ้าท่านมีชีวิตอย่างอยู่กลางดิน นี่เป็นข้อที่จะอ้างมาเป็นเหตุผลเพียงว่า ถ้าเราอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ความคิดนึกมันก็จะแล่นไปในทางแต่ของธรรมชาติ นี่ก็คิดออกไปตามเรื่องของธรรมชาติ เป็นธรรมสัจจะทั้งหลายของธรรมชาติเขามีอยู่ ตามธรรมชาติและก็มาปรากฏแก่จิตใจของเรา ทำตนให้เป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ต่อกันและกันให้ถึงที่สุด เมื่อพูดว่าทำตนให้เป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ต่อธรรมชาติ ระหว่างกันและกันให้ถึงที่สุด ฟังดูก็จะเป็นคำพูดที่บ้าบอ อย่างที่เขาจะเคารพหมาตัวนี้เป็น Idealist มากเกินไปแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้หรือมีความหมายตามปกติแล้ว แต่ผมก็เห็นว่าไม่ใช่ ไม่ใช่ idealist วิเศษวิโสอะไร มันเป็นธรรมดานี่ เราลองซื่อสัตย์ต่อธรรมชาติ และธรรมชาติก็ซื่อสัตย์ต่อเรา เราก็จะคิดถูก จะมีสัมมาทิฐิได้โดยง่าย อะไรได้โดยง่าย นี่ก็ขยายความเลยไปถึงว่าเคารพธรรมชาติ ซื่อสัตย์ต่อธรรมชาติ เปิดเผยตรงไปตรงมากับธรรมชาติ ตลอดถึงมีความจงรักภักดีต่อธรรมชาติ อย่างว่าเป็นพระเจ้าเลยทีเดียว นี่หมายความว่าเป็นเพื่อน กลายเป็นเพื่อนที่ดี คือเป็นเพื่อนที่เคารพซื่อสัตย์ เปิดเผย จงรักภักดีต่อธรรมชาติด้วย เราจะเป็นอย่างไร มนุษย์นี้จะเป็นอย่างไร มนุษย์ทั้งโลกจะเป็นอย่างไร เดี๋ยวนี้เราพูดถึงเรื่องเฉพาะคนและเกี่ยวกับเรื่องทางใจ ว่าให้เป็นเกลอกับธรรมชาติ แล้วก็จะรู้ธรรมะง่ายและเร็ว ว่าทิ้งกันไม่ลงแยกกันไม่ได้แหละ ขอให้คิดอย่างนั้น โดยเอามือลูบเข้าไปดูที่ตัวว่าเราประกอบอยู่ด้วยธรรมชาติ พูดอย่างหลักที่ใช้ในทางศาสนาก็ว่า มนุษย์คนหนึ่งนี้ประกอบอยู่ด้วยธาตุ ๖ อย่าง คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุอากาศ ธาตุวิญญาณ เอามือลูบเข้าไปที่ตัวก็พบว่า อ้าว, มันก็เป็นประกอบอยู่ด้วยธาตุตามธรรมชาตินั้น แต่ละธาตุก็เป็นธรรมชาติ รวมกันแล้วก็ยังคงเป็นธรรมชาติ มิใช่ว่า ๖ อย่าง ๖ ธาตุนี้ประกอบกันเข้าแล้ว เป็นมนุษย์แล้ว มันจะไม่ใช่ธรรมชาติ มันก็ยังคงเป็นธรรมชาติ ดังนั้นเราจึงไม่อาจจะแยกกันได้ มีแต่จะต้องประพฤติต่อกันและกันให้มันถูกต้อง เพียงเท่านี้ก็จะกล่าวได้ว่าเป็นเกลอเข้าไปแล้วโดยสมบูรณ์ สูงไปกว่าอันดับที่ ๑ ที่ว่าเป็นเพียงสมคล้อยไปกับธรรมชาติ มาในขั้นนี้ก็เกลอกับธรรมชาติโดยสมบูรณ์ จะเข้าถึงธรรมชาติได้อย่างไร จะเข้าถึงให้มากที่สุดอย่างนั้น ในระหว่างบวชนี่มันทดลองความเป็นเกลอธรรมชาติได้ง่าย ขอให้ตั้งข้อสังเกตให้ดีๆ ให้ถือเอาประโยชน์ส่วนนี้ให้ได้ จะไม่เสียทีที่บวช ซึ่งต้องเสียเวลาลงทุนหรืออะไรมากเหมือนกัน ให้เป็นเกลอกับธรรมชาติและชิมรสความเป็นเกลอธรรมชาติ
ที่อันดับที่ ๓ เป็นอันเดียวกับธรรมชาติไปเสียเลย คือเป็นตัวธรรมชาติไปเสียเลย ให้ตัวเองเป็นตัวธรรมชาติไปเสียเลย และก็ไม่มีเรากับธรรมชาติเป็น ๒ อย่าง เป็นอย่างเดียวกันเสียแล้ว นี้ทำยาก ถ้าทำได้จะบรรลุธรรมะในขั้นที่เป็นพระอรหันต์เป็นอย่างน้อย ถ้าเข้าถึงธรรมชาติ มันก็หมดความโง่ที่ว่าตัวกูของกู มันมิได้มีอยู่เลย มันมีแต่ธรรมชาติตามธรรมชาติ เป็นเพียงกระแสแห่งอิทัปปัจจยตาด้วยกัน นี่เป็นแง่หนึ่ง ตัวอย่างนะ ที่จะดูว่าเรานี้เป็นอันเดียวกับธรรมชาติได้อย่างไร คือธรรมชาติทั้งหลายก็ไม่มีอะไร นอกไปจากกระแสแห่งอิทัปปัจจยตา แล้วคนๆ นี้มีอะไร คนๆนี้ก็ไม่มีอะไร นอกไปจากกระแสแห่งอิทัปปัจจยตา เรียกให้ถูกสำหรับความหมายที่กว้าง และก็เรียกว่ากระแสแห่งอิทัปปัจจยตา สังเกตดูในพระบาลี ในพระไตรปิฎกก็นิยมเรียกอย่างนั้น ถ้าจะให้ใช้เป็นหลักกลางทั่วไปได้ แม้กระทั่ง กรวด ดิน หิน ทรายอะไรก็ตาม เป็นกระแสแห่งอิทัปปัจจยตา เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี นี่เรียกอิทัปปัจจยตา ทั้งคนและสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ หรือไม่มีชีวิตด้วย แต่ถ้าเราจะจำกัดวงให้แคบเข้ามาสำหรับมนุษย์ที่มีความรู้สึก เป็นสุข เป็นทุกข์นี้ อิทัปปัจจยตานี้ จะเอามาเรียกเป็นปฏิจจสมุปบาท หรืออิทัปปัจจยตาชนิดปฏิจจสมุปบาท เป็นเรื่องเกิดขึ้นแห่งความทุกข์และดับลงแห่งความทุกข์อย่างไร แต่เนื้อหาของมันก็คืออิทัปปัจจยตานั่นเอง ธรรมชาติก็เป็นอิทัปปัจยตา เราก็เป็นอิทัปปัจจยตา ไม่มีอะไรต่างกัน เรียกว่าเป็นอันเดียวกัน หรือจะดูในลักษณะที่ว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ยังได้ ธรรมชาติทั้งหลายเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนสังขตะ สังขตธรรม ทีนี้เราทั้งเนื้อ ทั้งตัวก็มีแต่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็เลยไม่ต้องมีเขา มีเราแล้ว มีแต่ลักษณะแห่งอิทัปปัจจยตา ลักษณะแห่งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เต็มอยู่ ไม่ว่างเว้น หรือว่าจะดูอีกมุมหนึ่งก็ดูกระแสแห่งการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป พร้อมๆ กัน เรานี่ก็มีลักษณะแห่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป จะมองดูกันในส่วนย่อย หรือส่วนใหญ่ หรือส่วนรวม หรือส่วนใดก็ตาม มันมีแต่กระแสแห่งการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ธรรมชาติทั้งหลายก็มีกระแสแห่งการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นับตั้งแต่ ดิน ต้นไม้ สัตว์ คน อะไรขึ้นมาทุกส่วน ที่เป็นส่วนย่อย และทั้งหมดที่เป็นส่วนรวม มันมีแต่ภาวะแห่งการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อย่าไปสนใจเรื่องปลีกย่อยอย่างอื่น สนใจส่วนที่เป็นหัวใจ ก็จะเห็นว่ามันมีอยู่อย่างนี้ ก็เลยมีความเป็นอันเดียวกัน หรือจะดูว่ามันเวิ้งว้างอยู่ด้วยกัน ไม่มีตัวตนอยู่ด้วยกัน คือเป็นสุญญตาอยู่ด้วยกัน เวิ้งว้างจากตัวตน ไม่มีตัวตน นี่ก็เหมือนกัน นี่มันยากที่จะดู ไอ้ตาธรรมดามันดูไม่เห็นว่ามันเวิ้งว้างอยู่ด้วยกัน คือไม่มีอัตตา มีแต่สุญญตา ถ้าเมื่อดูถึงภาวะอย่างนี้แล้ว ก็จะเห็นได้เองว่า มันเป็นไปอย่างนั้นด้วยกัน ไม่ได้ขัดแย้งกันเลย คือไม่ใช่ว่าธรรมชาติเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วเราเป็นตรงกันข้ามหรือ เป็นนิจจัง สุขัง อัตตา คือมันไม่ได้ขัดแย้งกันแต่แม้นิดเดียว มันไปด้วยกันโดยกฎเกณฑ์อันนี้ ก็เรียกว่ามันเป็นอันเดียวกัน เพราะมันไม่ขัดแย้งกัน นี่เรียกว่าเป็นอันเดียวกันเสียแล้วกับธรรมชาติ ไม่มีอยู่เป็น ๒ อย่างสำหรับอะไรต่อกันแล้ว ดังนั้นในเบื้องต้นเราก็มี ๒ ฝ่าย คือฝ่ายเรากับฝ่ายธรรมชาติให้สมคล้อยกัน ดังนี้ต่อมาเราเข้ามาใกล้ชิดกันจนเป็นเกลอกันในระหว่างสิ่งทั้ง ๒ นี้ และต่อมาอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งเห็นสุญญตา เห็นอนัตตาโดยแท้จริงแล้วมันเป็นอันเดียวกันไปเลย ไม่มี ๒ สิ่งสำหรับจะทำต่อกันและกันเรียกว่าถึงที่สุด ดังนี้เรียกว่าทำโดยวิธีอย่างนี้ เราก็จะเป็นผู้ที่สมคล้อยกับธรรมชาติด้วย และก็เป็นเหตุให้เป็นเกลอกับธรรมชาติอีก และก็เป็นเหตุให้เข้าเป็นอันเดียวกันกับธรรมชาติในที่สุด ทีนี้จะดูผลพิเศษในอันดับสุดท้ายต่อไปอีกหน่อย ซึ่งจะมองดูว่ามันจะเป็นผลในส่วนบุคคลหรือว่าส่วนสังคม หรือว่ารวมกันทั้งหมด หรือว่าจะในกรณีเล็กๆ น้อยๆ หรือจะในกรณีสูงสุด คือดับทุกข์ทางจิต ทางวิญญาณ คือในกรณีไหนหมดที่เป็นปัญหาของมนุษย์แล้ว จะต้องมาสู่กฏเกณฑ์อันนี้ คือ การสมคล้อยกับธรรมชาติหรือการเข้ากันได้กับธรรมชาติทั้งนั้น
ฉะนั้นขอให้เข้าใจในความหมายแห่งความหมายหนึ่งว่า การสมคล้อยกับธรรมชาตินั่นแหละ คือ มัชฌิมาปฏิปทา ซึ่งเป็นหัวใจของพุทธศาสนา เรื่องนี้ไม่ต้องพูดก็ได้นะ คือว่ามัชฌิมาปฏิปทา คืออะไร เป็นหัวใจของพุทธศาสนาอย่างไรนี้ ถ้าพูดมันก็ยืดยาวและก็เคยพูดมาแล้ว เดี๋ยวนี้จะบอกแต่ว่า ความเป็นอยู่อย่างสมคล้อยกับธรรมชาตินั่นแหละคืออาการแห่งมัชฌิมาปฏิปทา ซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา คือเพื่อดับทุกข์ได้มัชฌิมาปฏิปทานี้ก็คือตรงกลางที่สมดุล ในความหมายไหนก็ได้ ไม่มากไป ไม่น้อยไป ไม่สูงไป ไม่ต่ำไป ไม่แห้งเกินไป ไม่เปียกเกินไปนี้จะคู่ไหนก็ได้ คือมันไม่สุดโต่งฝ่ายโน้น ฝ่ายนี้และเรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทาทั้งนั้น ที่ทรงแสดงไว้ในธรรมจักกัปปวัตนสูตร นั่นก็คือแสดงในแง่ที่ว่า อันหนึ่งมันเปียกเกินไป อันหนึ่งมันแห้งเกินไป กามสุขัลลิกานุโยคมันเปียกแฉะเกินไป อัตตกิลมถานุโยคมันก็แห้งเกรียมเกินไป มันต้องอยู่ตรงกลางพอดี เพราะฉะนั้นหลักอัตถังที่มรรคมีองค์ ๘ จึงเป็นเรื่องของการที่สมคล้อยกับธรรมชาติอย่างพอดี เอาไปสนใจในข้อที่ว่าสมคล้อยกับธรรมชาตินี่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา คือมัชฌิมาปฏิปทา ดังนี้เพื่อประโยชน์แก่การปฏิบัติที่ถูกต้องพอดี ไม่มากไม่น้อย ให้ได้ผลตามที่ควรจะได้ ไม่ใช่ว่ากิเลสต้องการอย่างไรแล้ว จะเอาอย่างนั้น มันต้องที่ควรจะได้ ที่สติปัญญาหรือความถูกต้องมันระบุ เราให้สมคล้อยกับธรรมชาติเป็นหลักใหญ่ที่จะเข้ามาสู่หลักมัชฌิมาปฏิปทา กระทั่งดับทุกข์ได้หรือไปนิพพาน นี่เป็นผลพิเศษที่ต้องเล็ง จะต้องทอดสายตาไปดูด้วย หรือว่าเมื่อเข้าถึงโดยความอันเป็นความเดียวกับธรรมชาติ จะเอาเปรียบหรือเบียดเบียนกันได้อย่างไร ระหว่างคนต่อคน ระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์ก็ดี ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติก็ดี ถ้าแต่ละคนมันเข้าถึงธรรมชาติ เข้าถึงความเป็นอันเดียวกับธรรมชาติแล้ว มันไม่มีทางที่จะเกลียดชังหรือจะเบียดเบียน ข่มเหงกัน เป็นปัจจัยอันลึกซึ้งที่สุด ที่จะทำให้คนมีเมตตากรุณา ที่ว่าให้เงินให้ของช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ บำรุงบำเรอแก่กันแล้วก็จะรักใคร่กันนั้นไม่จริง และก็ผิวเผินมาก แต่ว่าชาวโลกมันก็ทำได้เพียงเท่านั้น ทำมากกว่านั้นไม่ได้ ที่จะไม่เบียดเบียนกัน คือให้ผูกพันกันด้วยประโยชน์ ด้วยอะไรต่างๆ เดี๋ยวนี้เราไปไกลกว่านั้นมาก ให้ทุกคนแต่ละคนมาเข้าถึงตัวธรรมชาติ และมันเบียดเบียนกันไม่ได้โดยอัตโนมัติ ถ้ามาเข้าถึงความเป็นอันเดียวหรือความเป็นอย่างเดียวนั้นเสีย ฟังดูมันอาจจะเป็นเรื่องปรัชญามากไป เมื่อยังทำไม่ได้ก็เป็นปรัชญาไปก่อน พอทำลงไปได้มันก็เป็นวิทยาศาสตร์ขึ้นไปเอง เป็นศีลธรรมขึ้นมาเอง ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่าสามีกับภรรยาที่เข้าถึงธรรมะอันนี้ มันจะทะเลาะกันได้อย่างไร มันไม่มีทางที่จะ อะไรมาบังคับให้มันทะเลาะกันได้ หรือว่ามันจะรักกันอย่างบ้าหลัง มันก็เป็นไปไม่ได้ ซึ่งมันเกินไป หรือมันจะทะเลาะกันก็ไม่ได้ ซึ่งมันก็เกินไปทางหนึ่ง มันจะอยู่กันแต่พอดี ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ควรจะปฏิบัติ แล้วก็ไม่มีความทุกข์ ในปริยายไหนหมด ถ้าว่ายุวชนเขาเข้าใจหลักธรรมะข้อนี้ เขาจะยกพวกตีกันได้อย่างไร แต่คนก็จะค้าน โอ้ย ,มันไกลไปนัก ที่พวกยุวชนจะเข้าถึงธรรมะอันนี้ คือรู้จักธรรมชาติในลักษณะอย่างนี้ ก็ตามใจ เราพูดว่าถ้ามันเอาจริงกัน อบรมกันจริงมันก็พอจะรู้ได้ และยุวชนที่เข้าถึงธรรมะข้อนี้แล้วมันก็ยกพวกตีกันไม่ได้ มันจะเห็นว่าการยกพวกตีกันนั้นเป็นเรื่องบ้าบอที่สุด คือทำสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำ ถ้าว่าเข้าถึงธรรมะอันนี้ได้ นายทุนก็จะตายหมดกลายเป็นพระอรหันต์ไปหมดเลย ศักดินาก็จะตายหมดกลายเป็นพระอรหันต์ไปหมดเลย ดังนี้ไปคิดดูว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร เดี๋ยวนี้มนุษย์เรามันมีรากฐานของกิเลส คือความเห็นแก่ตัว กูของกู ตัวสูของสู คือมึงมึง กูกู มันก็เอาเปรียบกันอยู่เรื่อยไป และเบียดเบียนทำลายร้างกันในที่สุด เพื่อให้ตัวมันได้เปรียบกันมากที่สุด การบังคับด้วยกฎหมายมันก็เหมือนกับเด็กอมมือ การเกลี้ยกล่อมด้วยศีลธรรม เอานรกสวรรค์มาอันนั้นมันก็ชอบกลอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าการที่ชี้แจงให้เข้าถึงปรมัตถธรรมของธรรมชาติอันนี้แล้ว เห็นการกระทำที่แน่นอน เป็นการกระทำที่มีรากฐานที่จะช่วยให้มนุษย์โลกนี้มันอยู่อย่างมีสันติสุข สันติภาพที่แท้จริง ดังนั้นขออย่าได้เห็น ขออย่าได้เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยเลย ให้เข้าใจว่าเรื่องเข้าถึงธรรมชาติเป็นเกลอกับธรรมชาตินี้เป็นสิ่งที่สูงสุด ประเสริฐที่สุด และก็จำเป็นที่สุดด้วย มันจะไม่ชอกช้ำ มันจะไม่ระหกระเหิน มันจะไม่อะไรทุกอย่าง และมันจะอยู่อย่างสงบตามแบบของธรรมชาติที่บริสุทธิ์นั่นเอง ขอให้เป็นเกลอกันกับธรรมชาติ มีการประพฤติถูกต้องต่อธรรมชาติ กลายเป็นหลักรวมๆ กันว่า ในการศึกษาก็ดี ในการทำงานแสวงหาประโยชน์ก็ดี ในการได้รับผลของการงานก็ดี ในการได้บริโภคผลของการงานนั้นก็ดี ในการเก็บรักษาประโยชน์ทั้งหลายก็ดี ขอให้มันถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ เรื่องก็จะจบกัน ดังนี้คือคำอธิบาย ในข้อที่ว่าจะเป็นเกลอกับธรรมชาติได้อย่างไร เมื่อมาบวชนี้ก็ได้พยายามให้ชิมลองความเป็นเกลอกับธรรมชาติ อยู่แล้ว แล้วแต่ว่าใครจะสมัครใจทำได้มากน้อยเพียงไร ผมขอร้องให้พยายามที่สุด ที่จะศึกษาให้เสร็จก่อนที่จะลาสิกขา ให้รู้จักกับธรรมชาติ ให้เข้าใจถึงความเป็นเกลอกับธรรมชาติให้มากที่สุด มันก็จะเป็นความรู้ที่ติดไป สำหรับไปปรับปรุงความคิด ความนึกหรือการกระทำต่างๆ ให้สมคล้อยกับพระเจ้าอันสูงสุดคือกฏของธรรมชาตินี้
การบรรยายในวันนี้ก็พอสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้เท่านี้
(เสียงผู้ชาย) ผมขอเรียนนมัสการกราบเรียนด้วยความเคารพว่า ที่กระผมสงสัยก็คือ การเป็นอยู่อย่างสมคล้อยกับธรรมชาติก็ดี การเป็นอยู่เป็นเกลอใกล้ชิดกับธรรมชาติก็ดี จนรวมอยู่จนจะเป็นธรรมชาติเองก็ดีอย่างที่ปรากฏในมนุษย์บางกลุ่ม เป็นต้นว่าจะชาวป่าพื้นเมือง ลุ่มแม่น้ำอเมซอน ชาวป่าพื้นเมืองของทวีปออสเตรเลีย หรือแม้กระทั่งชาวเผ่าทาซาไดที่เพิ่งค้นพบในฟิลิปปินส์ในเร็วๆนี้ ก็ได้พบว่าชนชาติเหล่านั้น คนกลุ่มเหล่านั้นก็ยังคงมีชีวิตอยู่แบบใกล้ชิดธรรมชาติอย่างที่สุด แต่ผลปรากฏว่าการเจริญทางด้านวัตถุและจิตใจ ต่างก็หยุดนิ่งเหมือนมนุษย์เมื่อหนึ่งหมื่นกว่าปีมาแล้ว นี้จะเป็นผลดีอย่างไรต่อความเจริญของโลกมนุษย์ในปัจจุบัน
ท่านพุทธทาส : ขอบใจนะที่ถาม
ที่ว่ากลมกลืนกับธรรมชาติเป็นเกลอกับธรรมชาตินี้ ต้องหมายถึงทุกระดับ ไอ้ตัวธรรมชาติมันมีทุกระดับ หมายความว่าในส่วนวัตถุก็เป็นธรรมชาติ ที่มาเป็นร่างกาย เนื้อหนังของมนุษย์ก็ธรรมชาติ ที่เป็นจิตใจของคน ของสัตว์ก็ธรรมชาติ เป็นความรู้สติปัญญา ความคิดความเห็นก็ยังเนื่องกันอยู่กับธรรมชาติ มีหลายระดับ ที่ให้สมคล้อยกับธรรมชาติ ก็คือทุกระดับ ไอ้ร่างกายมันเปลี่ยนมา เปลี่ยนจากธรรมชาติมาโดยที่มันเป็นมาเอง ดังนั้นระบบทางจิต ทางวิญญาณก็ต้องเปลี่ยนตามให้มันสูงขึ้นมา พวกนั้นเรียกได้ว่า ไม่ได้ถูกตามกฏของธรรมชาติโดยสมบูรณ์หรอก แล้วก็เพียงด้านเดียว คือว่ามันจะสมคล้อยกับธรรมชาติแต่เพียงด้านวัตถุด้านเดียว มันจึงตายด้าน มันต้องเขยิบพร้อมกันเข้ามาโดยสัดส่วนที่สมควรกัน ธรรมชาติวัตถุ ทางกาย ทางจิต ทางวิญญาณ
ทีนี้มาดูพวกที่ว่าเจริญในทางวัตถุ ก้าวหน้าทางวัตถุ แต่ทางจิตใจก็ไม่ถูกต้อง ไม่พอดี ไม่สมคล้อยกับธรรมชาติ นี่เรียกว่ามันยุ่ง ทีนี้ดูให้ดีมันจะเกินไปเสียอีก อารยธรรมทางวัตถุในสมัยปัจจุบันนี้มันเกินกว่าที่ควรต้องการ หรือเกินกว่าที่ธรรมชาติจะต้องการ แม้ว่าร่างกายเขาเจริญกว่าคนป่า แต่สิ่งบำรุงบำเรอร่างกาย มันยังเกินระดับที่พอดี ไอ้คนป่านั้นมันหยุดแม้แต่ในทางร่างกาย หรือว่าทางร่างกายของเขาก็จะมีส่วนเจริญโดยปริยายเพราะว่าเขาอยู่ร่วมโลกของสมัย สมัยนี้ ทีนี้ทางวัตถุก็เจริญไม่ทันก็ต้องเรียกว่ายังขาด เมื่อความสมคล้อย ความพอดี หรือมัชฌิมาปฏิปทาเป็นหลักแล้ว พวกนั้นมันยังขาด ในเมื่อพวกในเมืองนี้มันเกิน ก็ต้องแสวงหาพวกหนึ่งซึ่งมีความพอดี มีความถูกต้องพอดี เมื่อพูดว่าธรรมชาติ อย่าเล็งถึงแต่ธรรมชาติทางวัตถุ ดิน ฟ้า อากาศ หรืออะไรอย่างเดียว เพราะส่วนที่ลึกกว่านั้นมันก็ยังมี มีร่างกายแล้วก็ต้องมีจิตใจ สิ่งที่มีชีวิต ต้องมีทั้งร่างกายและต้องมีทั้งความรู้สึก ก็ต้องพัฒนามาด้วยกัน เพื่อสูงขึ้นมาพร้อมๆกัน ถึงจะเรียกว่าสมคล้อยตามธรรมชาติ ของธรรมชาติที่กำลังมีวิวัฒนาการ
ทีนี้ก็อยาก ยังอยากจะแนะให้ไปสังเกตดูให้ดีๆ ในข้อหนึ่งว่า ถ้าเขาไม่มีความทุกข์ ไม่มีปัญหา ไม่มีความทุกข์ก็ควรจะยอมเขาสักอย่าง ไอ้เรายิ่งเจริญ ยิ่งมีปัญหา ยิ่งมีความทุกข์ แล้วคนป่าไม่เจริญ หยุดอยู่ แต่ กลับไม่มีความทุกข์และไม่มีปัญหา จะต้องคิดกันใหม่ พิจารณาดูให้ดีๆ เขาอาจจะไม่มีความทุกข์มากเหมือนคนสมัยนี้ เพราะว่าแม้แต่ความตายก็ไม่มีปัญหา เราจะเข้าใจไปว่า คนป่าเหล่านี้มันจะกลัวความเจ็บไข้ ความตาย ความทุกข์มากมาย อาจจะมีลัทธิ มีอะไรเขาถือ xxx (นาทีที่ 1:22:31) กลับไปศึกษากันในด้านนี้ด้วย เพราะเขามีความสุข ถ้าเขาพอใจในการเป็นอยู่อย่างนั้น ไม่มีความทุกข์ทางกายเรียกว่าได้เปรียบเรามาก คนยากจนในประเทศอินเดีย สังเกตดูว่าทำไมมันจึงไม่มีความทุกข์ หรือมันจะมีความทุกข์เสียจนว่า นอนใจว่าไม่แก้ ไม่แก้ไข และถ้าไปคุยกับเขา เขาก็บอกว่าไม่มีความทุกข์ เขาเห็นว่าไอ้อย่างนี้ มันเท่านี้ เขาต้องการที่ดีกว่านี้ โมกษะ โมกษะความหลุดพ้น มันเป็นลัทธิของคนจน ของคนที่ยังไม่เจริญ ลัทธินั้นก็ช่วยเขาได้ เขาก็จึงอยู่ได้กับความเจ็บ ความไข้ ความขาดแคลน ความอะไรต่ออะไร xxx (นาทีที่ 1:23:25 แล้วเราก็ไปมองดูเขาในฐานะ xxx (นาทีที่ 1:23:30) ว่าโง่เขลา ทีนี้โง่เขลาอาจจะถูก แต่มันอาจจะฉลาดหรือไม่โง่เขลา แต่ที่ควรมองคือ เขามีความทุกข์ xxx ไปศึกษา ไอ้เรานี่จะมีความทุกข์ชนิดที่บอกไม่ได้ เพราะมันเห็นง่ายๆ ว่าไอ้ที่มันเป็นโรคเส้นประสาทที่มาที่นี้ มันมากขึ้น เกิดขึ้นในหมู่คนป่าจะหาไม่ได้ ผมก็ไม่เคยดื่ม เคยเที่ยวไปสักที อ่านหรือฟังหรือสังเกต ในหมู่คนป่าหรือในกลุ่มคนทำสมาธิ จะไม่รู้จักโรคเส้นประสาท ขอให้เป็นเรื่องที่ทดสอบ แต่ขอในชั้นนี้ขอให้ถือหลักว่าคำว่าธรรมชาติ ไม่ใช่หมายถึงแต่เพียงวัตถุ ธรรมชาติหมายถึงร่างกาย สติปัญญา เจริญไปพร้อมๆ กัน ให้จำไว้ว่าคำว่าธรรมชาตินี้หมายถึงทุกสิ่ง มันเขยิบขึ้นมาถึงไหนแล้วมีความถูกต้อง สมดุลขึ้นมาถึงระดับธาตุกับธรรมชาติในระดับหนึ่ง ทีนี้มนุษย์จะเกินไปในบางอย่าง ขาดเหลือประมาณในบางอย่าง ไม่สมคล้อยกับธรรมชาติ ก็ถูกธรรมชาติลงโทษอย่างแรง มันมีส่วนที่มองข้ามหรือยังไม่ได้มอง ผมก็สงสัยไปตามประสาที่ไม่รู้จะคิดนึกอย่างไร ผมเป็นโรคฟันผุ ก็คิดว่าทำไมสุนัขมันไม่เป็น ก็คิดอยู่แต่อย่างนี้ แล้วแมวก็ไม่เป็น แล้วมันก็ไม่ได้แปรงฟันเลย ไม่ทำอะไรหลายอย่าง มันใครมันผิดธรรมชาติกันแน่ หรือเพราะอะไร จึงเป็นอย่างนี้ ต้องศึกษาให้ลึกไปอีก แต่ถึงอย่างไรก็ดี เรื่องนี้เป็นเรื่องทางวัตถุ ยังไม่ค่อยเท่าไรนัก คือเป็นเรื่องทางกาย ไม่ค่อยเท่าไหร่นัก ไปสนใจเรื่องทางจิต ทางวิญญาณ มันมีความถูกต้องกันให้มาก เดี๋ยวนี้ก็พอทน ฟันผุก็ไม่ถอน ก็รู้จักวิธีทำอย่าให้มันปวด คนป่าเขาพบซากศพ พันปี สองพันปี ไม่ใช่คนป่านะ ก็ไม่ปรากฏว่าเป็นโรคฟันผุที่ซากศพ ความเจริญมันไม่ถูกกับธรรมชาติบางอย่าง คนเราจึงเป็นโรคนั้น โรคนี้ อย่างที่ไม่เคยเป็น การกินอยู่นุ่งห่มอะไรมันเปลี่ยนไป ร่างกายมันก็เปลี่ยนไป โรคภัยไข้เจ็บมันเปลี่ยนไป ไม่รู้อันไหนเป็นจุดที่ถูกต้อง แต่พูดได้ว่า ถ้ามันเกิดปัญหาขึ้นมาต้องถือว่าไม่ถูกต้อง ถ้าไม่มีสันติสุขส่วนบุคคล ไม่มีสันติภาพส่วนสังคมก็เรียกว่านี้ไม่ถูกต้อง ต้องมีส่วนผิดความจริง ผิดธรรมสัจจะของธรรมชาติ ถ้าพวกฝรั่งเขาจะมาสนใจอย่างนี้กันบ้าง ผมคิดว่าคงทำได้ดี ถือเป็นครูเรา สอนเราได้ แต่เขาพวกฝรั่งเขาสนใจกันแต่ทางวัตถุมากกว่า ไม่ค่อยสนใจเรื่องทางจิตทางวิญญาณ เดี๋ยวนี้การกินอยู่ที่สบาย มันดึงไปหมด มันดึงความคิดของมนุษย์ไปหมด ไปหาที่อยู่ที่กิน จนไม่รู้จะสบายอย่างไร หรือจะอร่อยอย่างไร ไอ้เรื่องที่เลิกเลิกเสียได้นะ รอไว้ก่อนก็ยังได้ เรื่องต่างๆ ที่เขากำลังทำกันทุกฝ่าย เรื่องกีฬา เรื่องอะไรต่าง ๆ คล้ายเรื่องนี้ก็รอไว้ก่อนก็ได้ มาสนใจเรื่องจิตใจก่อน ทั้งเรื่องหนัง เรื่องละคร เรื่องไนต์คลับนี้รอไว้ก่อน อย่างเพิ่ง มาสนใจเรื่องธรรมชาติที่แท้จริง ที่นี้ไปหลงแต่เรื่องนั้น จนกระทั่งว่าเลิก เลิกขายเหล้าก็ไม่ได้ รัฐบาลเลิกขายเหล้าก็ไม่ได้ รัฐบาลเลิกออกล็อตเตอรี่ก็ไม่ได้ ความจำเป็นบีบบังคับ ให้ทำในสิ่งที่เป็นภัยแก่มนุษย์ ก็ว่าตกไปในหลุมของพญามาร ผูกมัด ที่นี้มันหาประโยชน์ด้วยอบายมุข รัฐบาลในโลกหาประโยชน์ด้วยอบายมุข เป็นรายได้ที่ดี ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเต้นเล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร ผมถือว่าไอ้ที่ทำกันอยู่ด้วยการคบคนชั่วเป็นมิตรทั้งโลก คือมีมิจฉาทิฐิไปหลงในวัตถุนิยม เอร็ดอร่อยทางเนื้อหนังกันทั้งโลก นี้ถือว่าคบคนชั่วเป็นมิตรกันทั้งโลก เกียจคร้านการงานให้เครื่องจักรทำ นี่ก็ไม่ถูก คนจะนอนมากขึ้น มันไม่ถูก มันเสียความเป็นมนุษย์ที่สมดุล เราทำอะไรกันไม่ได้ แต่เรามานึกคิดกันดู ถ้าเผื่อใครจะทำได้ เราจะได้บอกเขาได้ว่าน่าจะลองอย่างนี้ดู ถ้าสามารถทำให้วงการที่มันมีอำนาจ คือประเทศมหาอำนาจที่มันเบื่อการสงคราม เบื่ออะไรแล้ว มาเข้าใจกันใหม่ มาจัดการศึกษากันใหม่ ดึงคนมาทางนี้ โลกนี้ก็จะเป็นโลกที่น่าดูขึ้นมาอีกครั้ง แต่ระหว่างนี้ยังไม่มองเห็น เป็นแต่เรื่องวัตถุ การฆ่าฟันกันจะกลายเป็นของธรรมดาสามัญมากขึ้นทุกที น่าแปลกที่ว่าประธานาธิบดีอเมริกา ถูกยิง ๒ หน ในระยะอันสั้นถูกยิง ๒ หน มันอบรมกันอย่างไร มันสั่งสอนกันอย่างไร มันใช้งานกันอย่างไร ระยะไม่ถึงเดือนถูกยิง ๒ หน หรือว่าโป๊ปมาที่อินโดนีเซียถูกยิง มันเป็นอย่างไร มนุษย์มันเป็นอย่างไร ทำไมมานึกดู ที่ฟิลิปปินส์ ที่โป๊ปถูกยิงไม่น่าเชื่อ มันสอนกันอย่างไร อบรมกันอย่างไร ผิดธรรมชาติ