แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
(เสียงท่านพุทธทาส) ท่านที่เป็นราชภัฎผู้ลาบวชทั้งหลาย ในการบรรยายเป็นครั้งที่ ๔ นี้ ผมจะพูดโดยหัวข้อว่า “ความเป็นมุนีในความเป็นมนุษย์” หัวข้อของการบรรยายนี้เดินมาตามลำดับ ทั้งหัวข้อที่บรรยายครั้งแรกที่ว่าราชภัฎผู้ลาบวชควรจะได้อะไรจากการบวชกลับไป คือว่าเมื่อบวชจะได้อะไรจากการบวชและกำลังจะกลับออกไปเป็นฆราวาสแล้วควรจะได้อะไร ขอให้เข้าใจว่า ไอ้สิ่งที่เราได้รับระหว่างที่บวชนี่ไม่ใช่มันจะเลิกกันในเมื่อลาสิกขากลับออกไป มันต้องมี มีอะไรเหลืออยู่มากแม้ไม่เต็มที่ กลับไปด้วย ฉะนั้นทุกหัวข้อที่ได้พูดไว้ในการบรรยายครั้งแรกนั้นเราจะทำความเข้าใจกันใหม่โดยละเอียดเป็นข้อ ๆ ไป อย่างที่ท่านทั้งหลายก็จะเห็นได้ว่า หัวข้อที่ ๑ ปรทัตตูปชีวี แม้ว่าจะลาสึก ลาสิกขากลับออกไปแล้ว ก็ยังเป็นสิ่งที่จะตั้งประพฤติปฏิบัติ โดยส่วนตัว ขยายออกไปถึงทั้งครอบครัว ทั้งหมู่บ้าน ทั้งประเทศ ทั้งโลก กลายเป็นลัทธิลัทธิหนึ่ง ซึ่งไม่อยากจะเรียกว่า ปรัชญา ปรัชเยอ หรืออะไรให้มันฟุ้งซ่าน แต่อยากให้มองในแง่ของศีลธรรม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของศาสนา ถ้าว่าเรามีลัทธิปรทัตตูปชีวีกันทั้งโลก คือต่างฝ่ายต่างยอมให้เป็นผู้ถูกเลี้ยงและเป็นผู้เลี้ยงตอบพร้อมกันไปในตัว โลกนี้ก็จะมีความสงบสุขโดยง่ายดาย ขึ้นถึงระดับที่เรียกว่าโลกของพระศรีอารย์ได้ คือไม่มีการเบียดเบียนกันเลย ถ้าฟังอย่างลวก ๆ สะเพร่า ๆ ปรทัตตูปชีวีก็หมายถึงเปรตที่ต้องกินส่วนบุญ ไม่มีความหมายหรือไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวข้องกับคนเราตามธรรมดา แต่พอเขยิบมาถึงภิกษุ ว่าภิกษุก็เป็นปรทัตตูปชีวี มันก็ยิ่งมีความหมายเดินออกไปอีกทางหนึ่ง เป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่ด้วยการเลี้ยงดูของผู้อื่นเพื่อมีโอกาสจะทำสิ่งที่มีค่าสูงสุดแก่ผู้อื่นหรือแก่คนทั้งโลก และถ้าว่าดูต่อไปอีก ก็อยากจะให้เป็นเรื่องของการถ่อมตัว ไม่ยกหูชูหาง ให้ถือว่าเราอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ ฉะนั้นต้องให้ผู้อื่นเลี้ยงในลักษณะใดลักษณะหนึ่งที่สมควรกัน และเราก็เป็นฝ่ายต้องเลี้ยงผู้อื่นในลักษณะใดลักษณะหนึ่งอีก มันก็กลายเป็นเรื่องที่ทุกคนจะต้องสนใจและทำให้มากตามที่จะทำได้ ฉะนั้นการที่เข้ามาบวชเพื่อลองชีวิตแบบปรทัตตูปชีวี นี้มันก็เป็นเรื่องเมื่อยังอยู่ในเพศบรรพชิตนี้ พอกลับออกไปมันจะติดออกไปได้อย่างไร ก็อย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว กลายเป็นลัทธิอันหนึ่งซึ่งใช้ได้แก่ทุกคนและขยายลงไปถึงแม้แต่สัตว์ เช่น สุนัขและแมว เป็นต้น อย่าลืมว่าเราเลี้ยงมัน มันถูกเลี้ยง แต่มันก็เลี้ยงเราในปริยายอันหนึ่งแม้จะโดยอ้อมมันก็อยู่ในสภาพที่ว่ามันเลี้ยงเรา เพื่อให้เราได้รับความปลอดภัยหรือได้ไม่มีความยุ่งยากลำบากใจด้วยสิ่งที่แมวมันช่วยป้องกันหรือกำจัดให้ ดูให้ดีถึงความผูกพันกันในระหว่างสิ่งที่มีชีวิต นี่คือแง่หรือมุมที่อยากจะให้สังเกตให้เห็นว่า เรื่องที่เราได้ศึกษา ได้รู้ ได้ทดลอง ได้ชิมในขณะที่บวชนี่ ต้องเป็นเรื่องที่ติดกลับออกไปด้วย เมื่อกลับไปสู่ความเป็นฆราวาส โดยที่จะรู้จักมันดียิ่งขึ้นกว่าที่เคยรู้มาแล้วบ้าง หรือไม่เคยรู้มาเลย ก็จะได้รู้ขึ้นบ้าง ว่าเราจะเอาอะไรกลับออกไปจากวัดพาไปบ้าน และเป็นสิ่งที่มีค่า ลึกซื้งและก็สูงสุด
ในครั้งถัดมาก็พูดถึงเป็นอยู่อย่างต่ำ มีการกระทำอย่างสูง นี่ก็อย่างเดียวกันอีก ให้เข้ามาอยู่อย่างกินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู ให้อยู่อย่างที่เรียกว่าต่ำที่สุดเท่าที่จะอยู่ได้ ตามแบบของบรรพชิต และชินกับความเป็นอยู่อย่างต่ำ แต่ในขณะนั้นพร้อมกันไปนั้น มีจิตใจที่สูง ความคิดที่สูง การกระทำที่สูง เป็นอยู่จากสูงในด้านจิต ด้านวิญญาณ ถ้าไม่ลองมาบวชดูสักทีหนึ่งก็ยากที่จะเข้าใจ ได้ชิมรสของธรรมข้อนี้ ฉะนั้นบวช ชิมรสของหลักปฏิบัติข้อนี้ให้ติดกลับออกไปเมื่อกลับไปอยู่ที่บ้าน ยังคงใช้ได้ต่อไปตามเดิม และอาจจะเอาไปใช้ปรับปรุงให้เกิดความพอเหมาะพอดีของการเป็นอยู่ในเพศฆราวาสนั้นก็ได้
ทีนี้ในครั้งนี้จะพูดถึงความเป็นมุนี คือการบวชนี้มีการลองเป็นอยู่อย่างมุนี อย่างพระ ก็แล้วแต่จะเรียก แต่อยากจะฟื้นเอาคำว่า “มุนี” เป็นหลัก ฉะนั้นเราจะต้องพิจารณากันโดยละเอียด บางคนก็จะตั้งข้อแย้งขึ้นในใจเสียตั้งแต่ทีแรกแล้วว่า จะเป็นมุนีอยู่ในครอบครัวได้อย่างไร เดี๋ยวขอให้ลองฟังดู
ถ้าเราจะตั้งหลักสำหรับศึกษาเกี่ยวกับเรื่องที่เรากำลังพูดกันอยู่นี้ ขึ้นเป็นหัวข้อสัก ๓ ข้อ ก็ดูจะง่ายขึ้น สำหรับทุกเรื่องด้วย หัวข้อว่ามันคืออะไร มันเป็นได้อย่างไร และจะติดตัวไปสู่ชีวิตคฤหัสถ์ได้อย่างไร หลักปฏิบัติข้อใดก็ดี ศึกษาดูจนเรียนรู้ว่ามันมีลักษณะอย่างไร มีเจตนารมณ์อย่างไร มีหลักการอย่างไร ทีนี้ก็ดูอีกทีว่ามันเป็นไปได้อย่างไร โดยวิธีใด และดูอีกทีว่าส่วนไหนที่มันจะติดตัวออกไปเป็น เมื่อ เมื่อออกไปเป็นคฤหัสถ์หรือฆราวาสได้ ได้อย่างไรหรือเท่าไรด้วย ฉะนั้นมุนีคืออะไร เป็นมุนีได้อย่างไร ความเป็นมุนีจะติดตัวออกไปสู่ชีวิตคฤหัสน์ได้อย่างไร ขอให้ฟังดู อย่าเพิ่งเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องบ้าหลังอะไรอย่างหนึ่ง คือจะเป็นมุนีอยู่ในฆราวาส นั่นมันคือสำหรับผู้ที่ไม่รู้ว่าคำว่า “มุนี” นั้นคืออะไร ในชั้นแรกเราศึกษาเรื่องนี้ เรื่องของมุนีนี่ โดยพยัญชนะกันก่อน คือโดยตัวหนังสือกันก่อน คำว่า “มุนี” มีรากศัพท์ว่า ยาเน (นาทีที่ 12:48) คือในเป็นไปในความรู้ พันธเน (นาทีที่ 12:51) เป็นไปในความผูกพัน นี่เป็นเรื่องของบาลี ไม่รู้ก็ได้ รู้ก็ดีเหมือนกัน ทีนี้ถอดรูปออกมาเป็นมุนี ทำให้คำว่ามุนีนี้มี เอ่อ, คำแปลได้เป็น ๓ คำ คือผู้รู้ คำหนึ่ง และก็ผู้นิ่ง อีกคำหนึ่ง ผู้ผูกจิตไว้ไม่ให้ตกไปสู่อำนาจของกิเลส อีกคำหนึ่ง ๒ คำแรกคือผู้รู้และผู้นิ่งนี่มาจากรากศัพท์ที่ว่า ยาเน เป็นไปในความรู้ อย่างหลังคือผูกจิตไม่ให้ตกไปสู่อำนาจของกิเลสนี่ มาจากรากศัพท์ที่มีความหมายว่า พันธเน คือผูก มุนีแปลว่าผู้มีโม นะ (นาทีที่ 14:02) โมนะแปลว่าความรู้ ผู้มีโมนะชื่อว่ามุนี มุนีคือผู้มีความรู้ ที่โมนะแปลว่าความนิ่ง ผู้อยู่ด้วยความนิ่งก็ชื่อว่าผู้มีโมนะคือมุนี คือผู้ผูกจิต โดยรากศัพท์ มุ แปลว่า พันธะ เอ้อ, มุ มีความหมายว่า พันธเน หรือ ผูก ผู้มีมุนะ ชื่อว่า มุนี คือผู้มีการผูกจิตมิให้ตกไปสู่อำนาจของกิเลส ที่ใช้มากก็คือความหมายว่าผู้รู้ ส่วนผู้นิ่งหรือผู้ผูกจิตไม่ให้ตกไปสู่กิเลสนั้นใช้น้อย ที่คุ้น คุ้นหูของเราก็เช่นคำว่า มุนินทะ จอมมุนี มหามุนิ มหามุนี โงนะปัต โต (นาทีที่ 15:15) พูดถึงซึ่งความเป็นแห่งมุนี มีใช้มากในภาษาบาลี และก็อยากจะให้นึกถึงคำที่จะช่วยให้เข้าใจง่าย ช่วยให้เข้าใจคำว่ามุนีได้ง่ายขึ้นอีก ก็คือคำที่ใช้ในทางศาสนาโดยเฉพาะฝ่ายคริสเตียนหรือแม้แต่ศาสนาอื่นคือคำว่า Saint ที่แปลว่านักบุญ และคำว่า Sage ซึ่งแปลว่านักปราชญ์หรือมุนีนั่นเอง Saint เป็นนักบุญนี่มันเล็งไปถึงการเสียสละ การอุทิศ หรือความบริสุทธิ์ จนกลายเป็นนักบุญ ส่วน Sage นี่หมายถึงมุนี คือผู้มีความรู้ซึ่งจะเป็น Saint ด้วยหรือไม่ก็ได้ หรือบุคคลบางคนจะเป็นทั้ง Saint ทั้ง Sage ที่เป็นทั้งมุนีและนักบุญรวมกันไปในตัวคราวเดียวกันก็ได้ ที่เราถือเอาคำว่า Sage เอส เอ จี อี ก็เป็นคำที่แปลว่ามุนี และควรจะหลับตาเห็นภาพ เพียงแต่ว่าเป็นผู้รู้อยู่ในรูปร่างของคนที่ห่อร่างกายอยู่ในผ้าขี้ริ้วก็ได้ หรือทำอาชีพอย่างใดอย่างหนึ่งที่พอเลี้ยงชีวิตไปวัน ๆ หนึ่ง แต่เป็นผู้เต็มไปด้วยความรู้หรือเป็นมุนีก็ได้ แม้แต่ปรมาจารย์อย่าง Tolstoy ที่ตายตามสถานีรถไฟ นี่ก็เป็นมุนีได้ นี้รู้จักความหมายของมุนีอย่างคร่าว ๆ กันอย่างนี้ก่อน ตามตัวหนังสือก็แปลว่าผู้รู้ ผู้นิ่ง ผู้ผูกจิตไม่ให้พลัดไปสู่อำนาจของกิเลส นี่คือมุนี
ทีนี้จะพูดกันถึงผู้รู้ กับผู้นิ่ง กับผู้ผูกจิต นี่มันต่างกันมาก มันสัมพันธ์กันอย่างไร แล้วพูดตามธรรมชาติจะฟังง่ายกว่า ถ้ามันเป็นผู้รู้จริง รู้ลึกซึ้งถึงที่สุดจริง มันคงจะต้องหุบปากทุกคน ลองไปคิดดู เพราะว่าสิ่งที่มันรู้ ถ้ามันลึกซึ้งจริงน่ะ มันก็รู้สึกว่าไม่รู้จะพูดอย่างไรออกมาเป็นคำพูดให้คนเข้าใจได้ตามนั้น หรือว่าจะพูดออกไปก็เข้าใจได้นิดเดียว ก็เลยไม่อยากพูด คนโบราณเขาเคยพูดกันว่า รู้จริงนิ่งเป็นใบ้ ผมก็เคยได้ยินมานานแล้ว แต่เพิ่งมาเข้าใจเมื่อศึกษาคำว่ามุนี ทำไมมุนีจึงแปลว่าผู้นิ่งด้วย ถ้ามันรู้จริง มันพูดไม่ได้หมดตามที่มันรู้ มันก็เลยต้องนิ่ง เพราะรู้จริงทำให้ต้องนิ่ง ที่มันนิ่งไม่ใช่มันนิ่งอย่างท่อนไม้ไม่มีความรู้สึกอะไร มันมีการกระทำชนิดที่การ มีการกำหนดจิตอยู่กับสิ่งที่มันรู้ มันก็เท่ากับผูกจิตไม่ให้ตกไปสู่อำนาจของกิเลสอยู่นั่นเอง มันเลยเป็นคนเดียวกันไปหมด คนผู้นิ่ง เอ้อ, ผู้รู้รู้แล้วมันก็เลยนิ่ง การนิ่งอยู่มันคือการผูกจิตอยู่กับภาวะอันหนึ่งซึ่งไม่ตกต่ำไปสู่กิเลสได้ และเราได้ความหมายคำว่ามุนีเป็น ๓ ชั้นด้วยคำพูดว่ามุนีเพียงคำเดียว เหมือนกับพูดว่า แล้วก็กล่าวได้ว่าเป็นผู้รู้จนต้องถึงกับนิ่งอยู่ด้วยการกำหนดจิตไม่ให้ตกไปในทางต่ำ นี่คือมุนีโดยพยัญชนะโดยคำพูด ที่ว่ามุนีหมายถึงอะไร
ทีนี้มาดูผู้รู้ (นาทีที่ 20:47 หันไปพูดกับคนอื่นเป็นภาษาใต้) เอ้า, ทีนี้ดูคำว่ารู้กันอีกทีหนึ่ง (นาทีที่ 21:04 หันไปพูดกับคนอื่นเป็นภาษาใต้) เอ้า, ทีนี้ก็ดูคำว่ารู้ พิจารณากันที่คำว่ารู้ ก็เพื่อจะรู้จักมุนีอีกนั่นเอง เราจะแบ่งการรู้ออกเป็นสัก ๔ ระดับ หนึ่งก็คือรู้เพราะจำได้จากการอ่านหรือการฟัง นี่คือการศึกษาทั่วไปที่เรียกว่าสุตะ สุตะ ก็คือการได้ฟัง นี่คือการศึกษาอย่างสมัยโบราณที่ไม่มีกระดาษดินสอจะเขียนหนังสือหนังหาอะไรกัน ก็เลยใช้คำว่าฟังนี่เป็นคำที่มันเล็งถึงการศึกษาที่เราใช้กันอยู่เวลานี้ มีกระดาษ มีดินสอ มีหนังสือสำหรับอ่าน พอได้อ่านได้ฟังก็รู้ขึ้นมา นี่ก็เป็นความรู้ระดับนี้ และจำได้ ก็พูดไปตามที่จำได้ ที่สองรู้เพราะเข้าใจ นี่ต้องใช้การคำนึงด้วย เอ้อ, คำนวณด้วยเหตุผลในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมา จนรู้ขึ้นมาอีกระดับหนึ่งเรียกว่าความเข้าใจ ทีนี้การรู้ไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้นโดยเฉพาะในพระพุทธศาสนาไม่ถือว่า ๒ อย่างนี้เป็นความรู้ด้วยซ้ำไป ตามหลักของพระพุทธศาสนาจะเอาความรู้ในชั้นถัดไปจากนี้คือ สามรู้เพราะการสัมผัสสิ่งอันนั้นด้วยสติ ด้วยการเจริญภาวนา คือการปฏิบัติลงไปในสิ่งนั้น ตามหลักการอันนั้นจนถึงที่สุด ผลปรากฎขึ้นในใจอย่างไรอันนี้เราเรียกว่าความรู้ ซึ่งเป็นความรู้แจ้งแทงตลอด ในการสัมผัสด้วยจิตใจในสิ่งที่ได้กระทำลงไปจนสำเร็จ พูดสั้น ๆ ก็ว่าการปฏิบัติสิ่งนั้น ๆ ลงไปจนได้สัมผัสผลของมันด้วยจิตใจของตนเอง ก็เรียกว่าภาวนา ฉะนั้นจึงมีคำกล่าวในทางฝ่ายวัด วัดวานี้ว่า สุตามัยยะ เอ้อ, สุต มัยปัญญา (นาทีที่ 24:07) ปัญญาเกิดมาจากการเล่าเรียน จินตมัยยะปัญญา ปัญญาเกิดมาจากการคิด ภาวนามัยปัญญา ภาวนาเกิดมาจากการภาวนา ตรงกับหลักหลักที่ว่ามานี้ แต่มันใช้คำว่าปัญญา คือมันรู้ รู้ถึงที่สุด ทีนี้อันที่สี่ ซึ่งออกจะแหวกแนวหรือว่านอกแบบ อยากจะเรียกว่ารู้เมื่อเข้าถึงความเป็นอันเดียวกันกับธรรมชาติ คือเราทำตัวให้เป็นอันเดียวกับธรรมชาติ ลืมตัวเองเสียลืมอะไรเสีย ไปอยู่ในท่ามกลางของธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง ให้หนักเข้า ๆ จนเป็นธรรมชาติไปด้วยกัน นั้นมันรู้ของมันเอง มันรู้ของมันขึ้นมาเองทุกกระเบียดนิ้วว่าอะไรเป็นอย่างไร ในส่วนที่มันเกี่ยวกับธรรมชาติ มีอาจารย์ทิเบตคนหนึ่งชื่อ มิลาเรปะ เรื่องของผู้นี้ก็เล่าเอาไว้ว่าไปนั่งอยู่กลางดง เอามือป้อง ป้องหูฟังเสียงธรรมชาติ แล้วก็ได้ยิน แล้วก็แต่งเป็นโคลง เป็นกลอนไว้สำหรับกันลืม เพื่อบอกให้คนที่เขาไปเยี่ยมไปพบ นี่มันก็แปลกออกไปหน่อยหนึ่งที่ว่าไม่ได้ตั้งใจจะคิดจะนึกจะอะไรมาก คือปล่อยตัวเองให้สลายไปหมด ไม่มีความคิดของตัวเอง มันมีเคล็ดลับอยู่ที่ว่าเราจะไม่มีความคิดของเราเอง ปล่อยให้ธรรมชาติครอบงำ เมื่อเกิดเป็นความรู้สึกอะไรขึ้นมาคือเรียกว่าธรรมชาติบอก ทีนี้ก็ไปไกล ไปไกลโดยโดยอาศัยวิธีการเป็นตัวธรรมชาติเสียเอง แล้วก็รู้ธรรมชาตินั้น ๆ นี่ยังไม่ ไม่เคยพบในบาลี แต่พอจะเทียบกันได้กับข้อความบางแห่งที่ว่าเมื่อจิตเป็นสมาธิตั้งมั่นอย่างดีแล้ว อยากรู้อะไร มันก็รู้ออกมาได้ ฉะนั้นในความรู้ ใน ๔ เอ้อ, ในความรู้ทั้ง ๔ ระดับนี่ก็จะเรียกว่าเป็นมุนีด้วยกันได้เหมือนกัน ได้ทั้งนั้นน่ะ มุนีอย่างอ่าน ฟังเอามา มันก็เป็นมุนีแบบนั้นน่ะ แบบเรียนไว้ ท่องจำไว้ อะไรไว้ เป็นมุนีชั้นอมมือ เด็กอมมือก็ได้ เดี๋ยวคิด นึก คล่องแคล่วด้วยเหตุผลแห่งการ วิธีการคิดนึก มันก็รู้อะไรมากไปกว่านั้นก็เรียกว่าเป็นมุนีวัยรุ่นขึ้นมาได้ ถ้าเป็นมุนีแท้จริง มันก็เป็นเรื่องที่ปฏิบัติผ่านไปแล้วรู้เรื่องสิ่งนั้น ๆ โดยสมบูรณ์ ยิ่งถ้าเป็นชั้นสูงสุด ทำตัวเป็นธรรมชาติไปเลย เป็นผู้รู้โดยธรรมชาติในตัวมันเองเลย ยิ่งเก่งมาก ละเอียดและประณีตมาก
ทีนี้นี่ที่เป็นภิกษุบวชอยู่ในพุทธศาสนานี่จะเป็นมุนีกันได้ในระดับไหนก็ดูเอาเองก็แล้วกัน เรียน ๆ สอบ ๆ ชั้นนั้น ชั้นนี้ไปมันก็เป็นไอ้มุนีอย่างที่เรียกว่าเพราะการศึกษา ได้ยิน ได้ฟัง ไม่ค่อยจะขึ้นไปถึงการคิดนึกด้วยเหตุผล ต่อบวชไปนาน ๆ เข้าบางทีก็ไปถึงการใช้เหตุผล และก็น้อยคนที่จะไปถึงการปฏิบัติสมาธิภาวนาจนรู้สิ่งนั้นด้วยอำนาจของสมาธิ และก็จะกล่าวได้โดย โดยขออภัยสักหน่อยว่าไม่ใช่ดูถูกกัน มันน้อยคนถึงจะออกไปได้ถึงกับว่าทำตัวเป็นธรรมชาติเสียเลย ให้รู้ ตรัสรู้เอาเองโดยเข้าถึงธรรมชาติแล้วนี้จะหายาก การที่มาลองเป็นมุนีในการบวชดูสักระยะหนึ่งนี้ ใครจะไปได้ถึงไหนก็รู้เอาเอง เพียงแต่ฟังผมพูดให้ฟัง ก็มีพวกแรกคือมุนีที่ยังอมมืออยู่ ต้องเอาไปทำให้มันเป็นมุนีที่รู้จักใช้เหตุผล คือมันต้องไปปฏิบัติให้มันปรากฎแก่จิตใจ ถ้าทำได้อย่างไรก็เป็นมุนีอย่างนั้น ได้เท่าไรก็เป็นเท่านั้น มันควรจะเหลือติดกลับไปบ้าง ลาสิกขาออกไปได้บ้าง ซึ่งจะไปพิจารณาดูว่ามันจะเป็นอย่างไร สรุปความว่า ไอ้ความรู้นี่ที่เป็นมุนีนี่เป็นเรื่องของภาวิตปัญญาคือความรู้ที่เรา อ่า, ภาวิตญาณ ดีกว่า ภาวิตญาณ ญาณที่ถูกกระทำให้เกิดมีขึ้นมา มันไม่ลงไปถึงระดับสัญชาตญาณ สัญชาตญาณคือความรู้ที่มันเกิดของมันเอง คือคำ คือสิ่งที่เรียกว่า Instinct ทั้งหลาย ที่มันถ่ายทอดมาโดยยีนโดยอะไร มันทำเป็นกันทั้งนั้น เช่นนกกระจาบทำรัง หรือว่าปลวกทำรัง ผึ้งทำรัง หรือทำอะไรได้อีกหลาย ๆ อย่าง แม้คนก็ทำอะไรโดยสัญชาติญาณได้หลาย ๆ อย่าง อย่างนี้ไม่ใช่ ไม่ใช่ญาณเพื่อความเป็นมุนี เพราะมันเป็นเพียงสัญชาตญาณ มันต้องเป็นภาวิตญาณ เป็นความรู้ที่พัฒนามาจากสัญชาตญาณนั้น ออกมาจากสัญชาตญาณนั้น ไกลออก(นาทีที่ 31:35 ) ไปได้ เรียกว่าภาวิตญาณ ภาวิตะ แปลว่า ถูกกระทำให้มีขึ้นมา
ทีนี้ก็ดูให้ดีว่า ไม่จำเป็นจะต้องเป็นพวกฤษี มุนี นักบวช อะไรไปเสียหมด ก็จะมีมุนีชาวนา มุนีชาวป่า มุนีชาวดง มุนีชาวทะเล นี้ชาวนาก็เป็นนักปรัชญาได้ ถ้าอยู่ในพวกที่เป็นมุนีได้ แล้วบางทีจะแยบคายกว่านักปรัชญาในมหาวิทยาลัยเสียอีกในบางแง่นะ มีคนพูดถึง เอ่อ, เอ่อ, Farmer philosopher อย่างนี้ เป็นนักปรัชญากลางทุ่งนา เขียนไว้แปลก ๆ นะ แต่ถึงอย่างไรก็ดีเราจะต้องหลับตาเห็นภาพของมุนีอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ เป็นเกลอกับธรรมชาติ ไม่มีมุนีในวิมานบนสวรรค์ ไม่มีมุนีในวิมานบนตึก ๗ ชั้นท่ามกลางกามารมณ์ อิฏฐารมณ์อะไรเลย อย่างน้อยมันก็ต้องอยู่ตามธรรมชาติ กับธรรมชาติ เพราะถ้ามันไปหลงอยู่กับไอ้อิฏฐารมณ์ กามารมณ์ แล้วมันไม่เป็นมุนีไปได้ แม้จะมีความรู้ก็ไม่ควรจะจัดว่าถึงขนาดว่าจะเป็นมุนี เพราะยังไปหลงรสอร่อยของอิฏฐารมณ์เหล่านั้น นี่สรุปความมุนีกันสักทีก็ว่า ผู้รู้ด้วยวิธีการรู้อย่างใดอย่างหนึ่ง คือรู้เพราะศึกษาเล่าเรียน รู้เพราะการใช้เหตุผล รู้เพราะการได้ผ่านสิ่งอันนั้นไปแล้วด้วยตนเอง รู้เพราะว่าเป็นอันเดียวกันกับธรรมชาติ รู้ไปทั้งเนื้อทั้งตัว และถ้ารู้จริงถึงขนาด ก็จะต้องนิ่ง ก็ยากที่จะอธิบายเป็นตัวหนังสือ ก็นิ่งอยู่ได้ด้วยการทรงตัวไว้ได้อย่างดีที่สุด คือไม่พลัดตกไปในทางต่ำ พูดอย่างสมัยใหม่ก็มีจุดยืนที่ทรุดไม่ลง นี่คือมุนี ระหว่างบวชนี่เป็นมุนีกันได้เท่าไรก็รู้กันอยู่แล้วเฉพาะตน ๆ
นี่ด้วยเหตุดังที่กล่าวมาแล้วนั่นแหละ มันจึงแต่ มันพอที่จะเห็นได้ว่ามุนีนี่มีได้ทุกเพศ เพศบรรพชิตหรือเพศฆราวาส ก็มีเป็นมุนีได้ทั้งนั้นแหละ แม้แต่มุนีชาวนา มุนีกลางทะเล มุนีในผ้าขี้ริ้ว เอาฟุตบาธ ไปตายที่สถานีรถไฟอย่าง Tolstoy ที่มีมุนีได้ทุกเพศ คือทั้งเพศหญิงและเพศชาย อย่าคิดแต่จะเป็นเพศชาย เพศหญิงก็มีได้ แต่จะต้องน้อยธรรมดา ถ้าเพศหญิงนี่มันก็มีอะไรที่ผิดจากเพศชาย แต่ก็ไม่ถึงกับว่าจะไม่มีผู้รู้ ผู้ฉลาดอะไรเสียเลย ที่เป็นภาษาบาลี เป็นพุทธภาษิตก็มี พูดถึงว่าไม่ใช่ว่า บุรุษน่ะจะเป็นบัณฑิตไปเสียในที่ทุกหนทุกแห่ง ผู้หญิง สตรีนี่ก็เป็นบัณฑิตได้เหมือนกัน ฉะนั้นจึงถือว่าเป็นได้ทุกเพศ คือเพศบรรพชิต เพศฆราวาส เพศหญิงหรือเพศชาย ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งคนแก่ เด็กบางคนมีไอคิวสูงมาตั้งแต่เล็ก มันมีเชื้อแห่งความเป็นมุนีมาก มุนีที่เรารู้จักกันดีในเพศฆราวาสก็เช่น เหลาจื้อ ขงจื้อ พวกฝรั่งเรียก ขงจื้อ เหลาจื้อ ว่าเป็น Sage ทั้งนั้น ไม่เป็น Saintไปได้ คนฉลาดตั้งแต่เด็ก ถ้าเคยอ่านในชาดก เล่มมโหสถชาดกจะสนุกมาก ท่านเป็นมุนีตั้งแต่เด็ก พระมโหสถบัณฑิต ขอให้ถือว่า อย่าคิดว่าเป็นฆราวาสแล้วจะเป็นมุนีไม่ได้ เป็นฆราวาสแล้วอย่าคิดว่าผู้หญิงเป็นไม่ได้ เราอาจจะหาพบครอบครัวที่เป็นมุนีกันทั้งผัว ทั้งเมีย เผื่อไว้ และควรจะหัดสนใจด้วย ลักษณะที่จะเห็นได้ชัดของความเป็นมุนีนี่พอจะพูดได้ว่า มันมีความรู้ มีความฉลาด และมีปฏิภาณ ไอ้ความรู้น่ะคือสิ่งที่จะต้องรู้หรือควรรู้ก็รู้ รู้อย่างพอตัว เอากันแต่สิ่งที่ควรรู้ ไม่ต้องเฟ้ออย่างเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้การศึกษาเฟ้อไปในทางรู้สิ่งที่ไม่ต้องรู้และสิ่งที่ควรจะรู้นั้นไม่พอ ไอ้โลกนี้จึงไม่มีสันติ อย่างที่ผมพูดไม่ใช่เป็นการประชดประชันด่าทอใคร พูดว่าปริญญายาวเป็นหางมาจากเมืองนอก ไม่มีความรู้ในส่วนที่ควรจะรู้ที่เพียงพอ ไปเอาความรู้เฟ้อเกินไปมามาก ทีนี้ความฉลาดนั้น หมายถึงมีวิธีการที่ใช้ความรู้ให้มันถูกต้อง มันไม่ใช่ตัวความรู้ เพราะว่าเรามีความรู้แล้วใช้มันไม่ได้ก็มี ใช้ได้น้อยเกินไปก็มี ฉะนั้นที่ไปเรียน ๆ กันมา ใช้ไม่ค่อยได้ เพราะมันไม่มีความฉลาดในการใช้ความรู้ นี้ที่เรียกว่าปฏิภาณ นั้นคือการใช้ได้ทันเหตุการณ์เรียกว่าทันควัน บางคนมีความรู้ ใช้ความรู้แต่งุ่มง่าม โอกาสก็ผ่านไปแล้ว ก็เลยไม่ได้ใช้ความรู้ ทั้งที่มีความรู้และฉลาดในการใช้ความรู้ แต่มันงุ่มง่าม เพราะว่ามันไม่มีปฏิภาณ คำว่าปฏิภาณนี่ ถ้าตามตัวหนังสือมันแปลว่า โต้ตอบได้ทันควัน ผู้มีปฏิภาณคือผู้ใช้ความรู้ทันควันแก่การถามและแก่การถูกรุมซักถาม รุมล้อม ถ้าเรามีแต่ความรู้ไม่มีความฉลาดก็ไม่ไหว ไม่มี ไม่มีปฏิภาณด้วยก็ยิ่ง ยิ่งไม่ ไม่ ไม่ปลอดภัย ฉะนั้นการที่ให้พรกันอย่างสมบูรณ์เขาก็มักจะให้พรว่าให้มีปฏิภาณด้วย เสมอ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ถ้าไม่เข้าใจคำว่าปฏิภาณก็คงจะเห็นว่าไม่สู้จำเป็น และบางคนก็เข้าใจผิดว่าปฏิภาณนั้นเป็นแต่เพียงไหวพริบในการจะพูดจาเท่านั้น มันต้องไหวพริบในการพูดจาของบุคคลที่มีความรู้ และฉลาดในการจะใช้ความรู้ ถ้าจะเรียกว่าเป็นกันมุนีจริง ๆ ก็ต้องเป็นผู้รู้ ก็ต้องเป็นผู้ฉลาด เป็นผู้มีปฏิภาณ ครบทั้ง ๓ อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นมุนี มีความรู้ มีความฉลาด มีปฏิภาณในทุกกรณีที่มนุษย์เราจะต้องเกี่ยวข้อง เช่น ในการป้องกัน ในการแก้ไข ในการสร้างสรรค์ ในการกำจัดในสิ่งที่ควรกำจัด เรื่องการบ้านการเมืองการทุกอย่างมันก็มีปัญหาอย่างนี้ จะป้องกันอย่างไรแก้ไขอย่างไร สร้างขึ้นมาอย่างไร ทำลายมันลงไปเสียอย่างไร หรือว่าในวงกว้างกว่านี้ก็ว่าในการศึกษาเป็นเบื้องต้นในการแสวงหาหรือประกอบอาชีพตามการศึกษาและก็การได้มา ซึ่งผลของการทำงาน การบริโภคผล การรักษาสิ่งนั้น ๆ ไว้ในลักษณะของการสะสม นี่คือตัวชีวิตที่ไปลอง ลองไปพิจารณาดู ในชีวิตของเรามันประกอบอยู่ด้วยลักษณะ ๔ -๕ ประการนี้เอง คือ เรียน แล้วก็ทำงาน ก็ได้ผลงาน แล้วก็บริโภคผลงาน แล้วก็รักษามันไว้ สะสมมันไว้ บุตรภรรยาสามีถูกนับรวมไว้ในสิ่งนี้ การแสวงหามา การได้ การบริโภค การรักษา นี่ต้องเป็นมุนีในทุกกรณีอย่างนี้ ในการศึกษา ในการแสวงหา ในการได้ผลแห่งการบริโภค ผลการได้รวบรวมไว้ ต้องรู้ ต้องฉลาด ต้องมีปฏิภาณ ฉะนั้นฆราวาสที่สมบูรณ์ที่สุด มันต้องทำหน้าที่เหล่านี้สมบูรณ์ที่สุด ก็ด้วยความเป็นมุนีที่สุดแหละ เป็นมุนีอย่างสูงสุดก็จะเป็นฆราวาสที่ดีที่สุด เป็นมุนีอย่างฆราวาส รู้ ใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์ อยากจะให้ตัวอย่างสักอย่าง คือสามารถทำสิ่งร้ายให้กลายเป็นดีไปหมด ไม่มีอะไรที่ร้าย ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ร้าย ที่ผิด ที่เสียสำหรับเรา อะไรเข้ามาในลักษณะที่เขาถือกันว่าได้หรือเสีย ว่าฉิบหายหรือว่าวินาศนี่มันกลายเป็นได้สำหรับเรา ฉะนั้นผู้ด่า เราถือว่าเป็นผู้ที่มาทำให้เราได้บุญ นี่มุนีจะทำได้ถึงอย่างนี้จะ Sublimate อะไรต่าง ๆ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ Sublimate การด่าให้กลายเป็นบอกขุมทรัพย์ หรือการทำให้เราได้บุญ ถ้าไม่เป็นมุนีทำไม่ได้หรอก จะทำการ ทำผู้ด่าให้กลายเป็นผู้ที่มาทำให้เราได้บุญ หรือว่าทำให้ความตายนี่เป็นสิ่งที่มาสอนให้เรารู้จักความไม่ตาย มันก็สูงสุดเป็นเท่านั้นแหละ นี่คือมุนีแท้ ผมเคยบอกให้หลายคนตามไปคิดนึกเสมอว่า ดูให้ดี มีแต่ได้ไม่มีเสีย ดูให้ดี มีแต่ได้ไม่มีเสีย นี่มีลักษณะ เป็นลักษณะของมุนี มีเรื่องยืดยาว ไว้พูดกันคราวอื่น ไว้คิดกันคราวอื่น ที่เขาว่าได้ ที่เขาว่าฉิบหายหรือเสีย หรือขาดทุนหรือไร เราทำให้มันกลายเป็นได้หมดได้ การขาดทุนมันทำให้เราฉลาดขึ้นถึงจะไม่ขาดทุนต่อไป เราไม่มานั่งร้องไห้อยู่เพราะการขาดทุน มุนีมีทุกเพศมีทุกวัย มีลักษณะเป็นผู้รู้ ผู้ฉลาด ผู้มีปฏิภาณ ในการศึกษา ในการแสวงหา ในการได้ ในการบริโภค ในการสะสม จะยิ่งเห็นชัดทุกทีแม้ฆราวาส ชีวิตฆราวาสก็ต้องการความเป็นมุนี
เอ้า, ทีนี้จะพูดกันถึงข้อที่ว่าเป็นมุนีกันได้อย่างไรดีกว่า ถ้าจะถามว่าเป็นมุนีกันได้อย่างไร ก็ต้องย้อนทบทวนไอ้หลัก หลัก ๓ ประการข้างต้นของมุนี คือ รู้ รู้จนนิ่งพูดออกมาไม่ได้ นิ่ง นิ่งอยู่ในทำนองที่จิตผูกอยู่กับความว่างหรือนิพพาน มันไม่นิ่งเปล่านะ มันนิ่งด้วยจิตที่มันอยู่กับนิพพานหรือความว่างจากกิเลสและความทุกข์ ให้เห็นว่า ๓ ประการนี้เนื่องกัน ไม่แยกจากกันสำหรับผู้เป็นมุนี มีความรู้ไม่ต้องถึงขนาดสูงสุดน่ะ ผมเชื่อว่าท่านทั้งหลายคงเคยประสบมาแล้ว ผมนี่ไม่ใช่ว่าอวดดี ผมรู้อะไรบางอย่างหลาย ๆ อย่างจนพูดให้คนอื่นฟังไม่ได้อยู่บ่อย ๆ ไม่ใช่เรื่องพระนิพพานหรือเรื่องอะไรนัก แต่มันออกจะลึกซึ้งหน่อย เชื่อว่าทุกคนน่ะเคยผ่านมาแล้ว ไอ้ที่ว่าเรารู้มากจนพูดออกมาให้คนอื่นฟังถึงขนาดนั้นไม่ได้ มันก็มี ทีนี้ถ้ามันเป็นเรื่องที่สูงสุดจริงถึงที่สุดมันก็ยิ่งพูดไม่ได้ ยิ่งเป็นเรื่องทางจิตใจที่ต้องสัมผัสด้วยจิตใจล้วนล่ะก็ยิ่งพูดไม่ได้ เพราะฉะนั้นนักปราชญ์เช่น เหลาจื้อ ผู้กล่าวลัทธิเต๋า ประโยคแรกของเขาจึงว่าไอ้เต๋าที่เอามาบรรยายให้ผู้อื่นฟังได้นั้นไม่ใช่เต๋า เต๋าคือสิ่งสูงสุด ความจริงหรือธรรมะที่สูงสุด ถ้าเอามาบรรยายได้นั้นก็เรียกว่ายังไม่ใช่เต๋า นี่ก็เป็นหลักเดียวกับในพุทธศาสนา เช่นนิพพาน ถ้าบรรยายได้ยังไม่ใช่นิพพานนะ และก็เป็นเรื่องอะไรที่พูดฟุ้งไปเท่านั้นเอง นิพพานที่มันรู้สึกอยู่จิตใจจริงล่ะก็มันบรรยายไม่ได้ แม้แต่เรื่องทางวัตถุแท้ ๆ อย่างเช่นเกลือ เช่นน้ำตาล เป็นต้นนี่ กินเข้าไปเค็ม หวาน ทีนี้ไปบรรยายให้คนที่มันไม่เคยกินเกลือไม่เคยกินน้ำตาลให้รู้จักเค็มหรือหวานได้อย่างไร มันก็บรรยายไม่ได้เหมือนกัน ทีนี้เรื่องนิพพาน ในเรื่องของเต๋ามันไปไกลมากกว่านั้นมาก ให้ลองพยายามศึกษาให้ลึกเข้าไป ลึกเข้าไป ไปถึงขนาดที่ว่ารู้สิ่งที่พูดให้คนอื่นฟังเป็นคำพูดไม่ได้นี่ มากเรื่องขึ้นทุกที ขึ้นทุกที นี่จะเป็นมุนี ฝึกความเป็นมุนี นี้รู้จริงมันต้องนิ่งเพราะว่ามัน มัน มันพูดไม่ได้ แบบรู้จริงนิ่งเป็นใบ้ มันก็ถึงกับว่าเราจะพยายามพูดเท่าไร มันก็ฟังไม่ถูก จนที่สุดต้องยอมแพ้ ต้องยอมแพ้ด้วยการนิ่ง ถ้าพูดถึงสิ่งที่ต้องรู้ ที่ควรรู้ก็ไม่มีอะไรดีกว่า รู้ว่าเกิดมาทำไม หรือจะพูดให้ชัดกว่านั้นก็ต้องพูดว่า สิ่งที่ดีที่สุดที่ควรจะได้นั่นคืออะไร ถ้ารู้จักสิ่งนี้จะเป็นมุนีที่สมบูรณ์ แต่มันต้องรู้ครบหมดว่าทำอย่างไรจึงจะได้ด้วย สิ่งนั้นคืออะไรทำอย่างไรจึงจะได้ นี่รู้การประกอบ การกระทำ การฝึก อะไรสักอย่างที่มันถูกต้อง จนได้สิ่งนั้นคือสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ มันจึงต้องรู้ถึงสิ่งที่ดีที่สุดจริง ๆ จะมาเอากันเพียงแค่ทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ ชื่อเสียง อำนาจวาสนา อันนี้ไม่พอ มุนีอาจจะถ่มน้ำลายรดเอาก็ได้ ทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ ชื่อเสียง อำนาจวาสนานี่ บางคนจะบูชาเป็นสิ่งสูงสุด ถึงเราเองก็ดูให้ดี เมื่อเด็ก ๆ ก็อาจจะคิดอย่างนั้น ความร่ำรวย เกียรติยศชื่อเสียง ได้ยกหูชูหาง อำนาจวาสนาที่ทำอะไรก็ได้ พอโตขึ้นมาจึงค่อย ๆ เห็นว่า มันก็ไม่วิเศษสูงสุดเสียแล้ว มีอะไรที่ดีกว่านั้น จึงคิดไปทางอะไรมันเป็นสิ่งที่ดีที่สุด และก็มักจะตายด้านอยู่เพียงเท่านั้นละ ขออภัย อย่าหาว่าด่าทอประชดประชัน มันจะตายด้านโดยที่ไม่รู้ว่าสิ่งอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ จึงเป็นมุนีไม่ได้โดยสมบูรณ์ เป็นมุนีตายด้าน แต่ก็ยังดีกว่าไม่เป็นมุนีเสียเลย
นี่เราพูดกันแต่โดยย่อ มีเวลาน้อย จำกัดไว้เฉพาะเรื่อง ก็พูดได้แต่หัวข้ออย่างนี้เอง นี้ทางมาแห่งความรู้หรือปัญญา ทางมาแห่งความรู้ ตามหลักพุทธศาสนามันก็ต้องมาจากการประกอบหรือการกระทำ เพราะคำว่ามุนีที่มันมาจากรากศัพท์ว่า มุ คือพันธเน คือผูกพันนี่ มันก็บ่งไปหาความประกอบหรือการกระทำอยู่แล้ว พระบาลีมีอยู่ว่า โย คา เว ชายเต ภูริ (นาทีที่ 52:43) ภูริคือปัญญาสูงสุด ย่อมเกิดมาจากโยคะ ฉะนั้นโยคะแหละเป็นทางมาแห่งความรู้ โยคะนี้มันเป็นคำที่ใช้กันอยู่ ๒ ความหมาย ความหมายหนึ่งเป็นชื่อของกิเลส ผูกพันอยู่ในสิ่งที่ไม่ควรผูกพัน โยคะอย่างนี้เป็นชื่อของกิเลส ยังผูกพันอยู่ในกาม ในกามารมณ์ เรียกว่ากามโยคะ ผูกพันอย่างนี้ติดอยู่ในกิเลส นี้ถ้าผูกพันอยู่ในอารมณ์อันเป็นที่ตั้งของความรู้ เช่น อารมณ์ของวิปัสสนา อารมณ์ของสมาธิ ก็เลยได้ความรู้มา ถ้าผูกพันอยู่ด้วยเหยื่อของกิเลส ก็ได้กามหลงมา กามติด กามมักโง่ กามไม่รู้มา ถ้าผูกพันอยู่ในอารมณ์เป็นที่ตั้งของความรู้ก็ทำให้ได้ความรู้มา คืออารมณ์ที่ทำให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยเฉพาะ แต่ถึงอย่างไรก็ดีเราอาจจะมองเห็นได้ว่า สิ่งใดก็ตามถ้าผูกพัน คือไปกำหนดโดยถูกวิธีแล้วมันเกิดความรู้ได้ แม้กามารมณ์ที่สมบูรณ์ที่สูงสุด ถ้าเข้าไปผูกพันด้วยปัญญาตามวิถีทางที่จะเกิดปัญญาหรือโยคะที่ถูกต้องแล้ว ก็จะเห็นความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของกามารมณ์นั้น ๆ ก็ถอยมาจากกามารมณ์ได้ คำว่าโยคะมันจึงเป็นความหมายที่ดิ้นได้ แล้วแต่ว่าจะเข้าไปผูกจิตไว้กับสิ่งใด ในลักษณะอย่างไร ผูกไว้ในลักษณะที่ให้โง่ให้หลง หรือผูกไว้ลักษณะที่จะให้รู้อย่างแจ่มแจ้ง คำว่าโยคะเป็นคำกลางแปลว่าผูก ผูกก็ติดกันไว้ นี่เรียกว่าโยคะ ยืมมาจากภาษาชาวบ้าน ซึ่งเขาผูกวัวให้ติดกับแอกแล้วก็ไถนาได้ ถ้าวัวไม่ยอมให้ผูกติดกับแอกก็ไถนาไม่ได้ ฉะนั้นความหมายของโยคะมันจึงมีประโยชน์อย่างนี้ ขอเตือนว่าอย่าลืมว่าภาษาธรรมะ คำบัญญัติเฉพาะฝ่ายธรรมะนี่ยืมมาจากภาษาชาวบ้าน กี่คำกี่คำก็ล้วนแต่เป็นคำที่ยืมมาจากภาษาชาวบ้าน ที่เขาพูดกันอยู่ก่อน ถึงต้องทำโยคะประกอบจิตติดเข้าไปไว้กับสิ่งที่จะให้ความรู้ เดี๋ยวนี้เราเรียกว่าทำสมาธิ ทำวิปัสสนาก็จะเกิดความรู้ เกิดปัญญาออกมา บทวิเคราะห์ภาษาบาลีของคำว่ามุนี มันมีว่า อัตตโน จิตตัง มุนาติ มวติ พันธะติ (นาทีที่ 56:06 ) ย่อมผูกพัน หรือว่า คือมันใช้แทนคำว่าผูกพันได้น่ะ มุนาติก็ผูกพัน มวติก็ผูกพัน พันธะติก็ผูกพันซึ่งจิตของตน ราคะ โทสาทิ วะสังทันตุง นะเทติ (นาทีที่ 56:34) คือยอม คือไม่ยอมให้ไปสู่อำนาจของราคะ โทสะ เป็นต้น นี่คือคำว่า “มุนี” คือผู้ที่ผูกจิต กำหนดจิต ทำจิต ตั้งจิตอะไรของตนไว้ ไม่ยอมให้ไปสู่อำนาจของกิเลส มีราคะ โทสะ เป็นต้น ฉะนั้นเราทำความเป็นมุนีโดยการรักษาจิตไม่ให้โอกาสแก่มันที่จะเข้าไปเกิดกิเลสเช่นราคะ เป็นต้น ฉะนั้นบวชอยู่ก็ต้องทำอย่างนี้ ต่อให้สึกออกไปก็ต้องทำอย่างนี้ ถ้าไม่ลองไม่ทำเถอะ จะเห็นดำเห็นแดงกันเป็นแน่ คือไม่รักษาจิต ควบคุมจิต ผูกพันจิต ไว้ในลักษณะที่จะไม่ให้เกิดราคะหรือโทสะเป็นต้น เมื่อฝึกอยู่อย่างนี้และไปอยู่ที่บ้านก็ยังทำอย่างนี้ สามีก็ทำ ภรรยาก็ทำ ก็เลยเป็นมุนีกันทั้งสามี ทั้งภรรยาไปถึงลูกหลานด้วยก็ได้ ถ้ารู้จักสอนให้เขาทำความรู้อันลึกซื้งที่จะดึงจิตไว้ ไม่ให้เข้าไปตกเป็นทาสของกิเลสตัณหาทั้งหลาย ฉะนั้นผมจึงเห็นว่าถ้าจะสึกออกไปเป็นฆราวาสก็ยังต้องเป็นมุนี อย่างน้อยก็ในระดับนี้
ทีนี้ที่กล่าวไว้เมื่อตะกี้ว่าแม้ผู้หญิงก็เป็นบัณฑิตได้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ อิถีติ ปันฑิตา โหติ ตัทถะ ตัทถะ วิจักขณา (นาทีที่ 58:30) แม้ผู้หญิงก็เป็นบัณฑิตได้ ถ้าเป็นผู้มีวิจักขณา ในกรณีนั้น ๆ มีวิจักขณาตาม พูดไปตามบาลีเลย แปลอาจจะ อาจจะเขวได้ ฉะนั้นผมก็จะใช้คำบาลีว่า วิจักขณา จะมีอยู่ในปทานุกรมของภาษาสมัยใหม่ที่เขาใช้บัญญัติกันในวงการศึกษาหรือไม่ก็ไม่ทราบ อาจจะมีก็ได้ ผมนึกไม่ออก แต่ในบาลีน่ะมีคำว่า วิจักขณา วิจักขณานี่หมายถึง พิจารณา รู้เท่าทัน มีปฏิภาณ รวมกัน ก็คือคุณสมบัติของมุนี วิจักขณะ วิจักขณะ วิมันแปลว่าแจ่มแจ้ง วิ อย่างยิ่ง ครบถ้วน ไม่ขาด ไม่ขาดตกบกพร่อง และ จักขณะ ก็มาจากเห็น มาจากศัพท์ที่แปลว่าเห็น ซึ่งไม่ได้เห็น ไม่ได้หมายถึงเห็นด้วยตาธรรมดานี่ มันเห็นด้วยสติปัญญา และการเห็นชนิดนั้นจะต้องทันควันด้วย ยังไม่พบคำบัญญัติในภาษา หรือในปทานุกรมสำหรับคำนี้ ฉะนั้นขอให้จำไว้ก็แล้วกันว่าวิจักขณาก็ช่วยได้ เห็นแจ่มแจ้ง ครบถ้วน ทันควัน ทันท่วงที มีปฏิภาณ มีความไหวพริบเต็มที่ คือผู้หญิงก็เป็นบัณฑิตได้ถ้ามีวิจักขณาในกรณีนั้น ๆ ก็ควรจะนึกถึงครอบครัวแห่งความเป็นมุนีทั้งสามีทั้งภรรยา พูดถึงผู้หญิงนี่ก็ลำบาก เดี๋ยวนี้ก็กำลังทวงสิทธิเสมอภาคเท่ากันเหมือนกัน นี่คงจะลำบาก ถ้าถือตามหลักบาลีหรือว่าพุทธภาษิตนี้มีเป็นส่วนน้อยนะ ไม่ใช่เป็นแต่บุรุษ ถึงผู้หญิงก็มีได้ แต่มันเป็นส่วนน้อยนะ เพราะในที่อื่น พระพุทธ พุทธภาษิตก็มีอยู่ว่า ผู้หญิงไม่อาจจะเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้หญิงไม่อาจจะเป็นจักรพรรดิ จักรวรรดิ (นาทีที่ 01:01:47) ตามบทบัญญัติอย่างอินเดียในครั้งโน้นผู้หญิงไม่นั่งในสภา ผู้หญิงไม่ไปสู่แคว้นกัมโพช (นาทีที่ 01:01:58) สภาที่ประชุมกันเพื่อปรึกษาเกี่ยวกับกิจการบ้านเมืองนี่ก็มีแล้วตั้งแต่ครั้งพุทธกาลรู้จักกันดี เขาเชิญบัณฑิตทั้งหลายในทุกแง่ทุกมุมมานั่งประชุมเป็นสภา บางประเทศ เช่น ประเทศศากยะนี่จะเชิญแต่พวกศากยะเท่านั้นที่เป็นบัณฑิตมาประชุมกันในสภาของพวกศากยะ ในกรณีอื่นอาจจะเชิญกว้างออกไปแต่ไม่เชิญผู้หญิง ฉะนั้นผู้หญิงไม่มี ไม่มีการนั่งในสภาอย่างสภาผู้แทนอย่างเราในเวลานี้ และผู้หญิงไม่ไปแคว้นกัม โพชะ (นาทีที่ 01:02:40) หรือไม่ไปศึกษาที่ต่างประเทศ การที่ผู้หญิงไม่เป็นสัมมาสัมพุทธะนี่ก็พอเห็นชัดก็ต้องมีอะไร มาก (นาทีที่ 01:02:58) กว่าผู้หญิงจะเป็นได้ ผู้หญิงก็มีความอ่อนแออ่อนไหว รู้สึกไว เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความหนักแน่น เข้มแข็ง บึกบึนพอที่จะเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่มาทวงสิทธิให้เสมอกัน ทำงานเหมือนกัน ความรู้สึกของผมยังไม่มองเห็นว่ามันเป็นการถูกต้อง และยังจะเลยไปถึงว่า ถ้าทำเหมือนผู้ชายเสียแล้ว ก็ไม่มีหญิงไม่มีชาย เป็นกระเทยไปหมด โลกนี้ก็ไม่มีพ่อมีแม่ที่จะทำหน้าที่กันให้ถูกต้องตามหน้าที่ของบิดาฝ่ายหนึ่ง ทำหน้าที่ของมารดาฝ่ายหนึ่ง โลกนี้ก็จะเป็นโลกบ้าบออะไรชนิดหนึ่ง ไม่มีมารดาสำหรับอบรมจิตใจของลูกเด็ก ๆ ในแง่ของมรรยาท วัฒนธรรม ศีลธรรม อะไรให้ดี ทีนี้มันมีไม่ได้เพราะแม่มันไปเป็นผู้ชายเสียแล้ว บิดาทำหน้าที่อย่างหนึ่งที่จะคุ้มครองรักษาแสวงหาป้องกัน อะไรก็ตาม หรือถ่าย พืชพันธุ์ให้มาแต่โดยพืชพันธุ์ภายใน (นาทีที่ 01:04:07) พอออกมาแล้ว ผู้หญิงมารดานี่จะต้องทำทุกอย่างที่ให้เป็นมนุษย์ที่ดีที่พร้อมจะไปให้ถึงที่สุดความเป็นมนุษย์ ฉะนั้นหน้าที่นี้สำคัญมาก ก็ต่างกันคนละอย่างกับฝ่ายบิดา ฉะนั้นเก็บมารดาไว้ทำหน้าที่มารดา เก็บบิดาไว้ทำหน้าที่บิดา โลกนี้จึงจะสมบูรณ์ นี่ก็พูดกันถึงในแง่ที่ว่า ผู้หญิงก็เป็นมุนีได้ เป็นมุนีในการเป็นมารดา ผู้ชายก็เป็นมุนีได้ ก็เป็นมุนีในการเป็นบิดา ก็เป็นมุนีได้ด้วยกัน ฉะนั้นเราอาจจะมีครอบครัวแห่งมุนีที่น่าชื่นอกชื่นใจที่สุด มีลูกมีหลานมีเหลนที่ดี ขอแต่อย่าทำให้เป็นกระเทยกันเสียหมดอย่างกำลังบ้าหลังกันอยู่ในเวลานี้ เวลานี้จะมีมุนีไม่ได้เพราะกำลังเป็นกระเทยกันเสียหมด ทั้งบิดาและมารดาจะทำอะไรให้เหมือนกัน ไปเรียกร้องสิทธิเท่ากัน เป็นอย่างเดียวกัน อะไรอย่างเดียวกัน เป็นเรื่องบ้าบอที่สุด
สรุปความก็ว่า เป็นมุนีได้ทุกเพศทุกวัย มีความรู้ให้เพียงพอในหน้าที่ของตน ๆ พ่อรู้อย่างพ่อ แม่รู้อย่างแม่ ลูกรู้อย่างลูก หรือว่านายจ้างรู้อย่างนายจ้าง ลูกจ้างรู้อย่างลูกจ้าง แล้วไม่มีวันที่จะกระทบกัน คือไม่มีวันที่จะเกิดเป็นนายทุนและชนกรรมาชีพขึ้นมา ถ้าคนมันเป็นมุนี โลกนี้มันก็จะไม่มีปัญหาเพราะว่าคนมันเป็นมุนี ขอให้หวังว่าเราจะได้เห็นมุนีมากขึ้นในครอบครัวของประเทศไทยเรา นี่คือคำว่ามุนี และความเป็นมุนีมีอยู่ในมนุษย์ มีอยู่ในความเป็นมนุษย์ พูดไปก็ยิ่งเป็นการสอนบาลีมากขึ้น แล้วผมก็ได้บอกแล้วนะ ยอมสารภาพว่าให้บรรยายธรรมะนี้เป็นการสอนบาลีไปในตัว คือจะชี้ให้เห็นว่า มุนีกับมนุษย์น่ะ รากศัพท์จะเป็นอันเดียวกันเสียแล้ว มุนะ มุนี ก็แปลว่ารู้ มนุษย์ก็มาจากมานะ มานะที่แปลว่าใจ ก็แปลว่า รู้ คำว่า มะโน มนะ มนัส อะไรก็ตามแล้วแต่อยู่ในรูปไหน ก็แปลว่ารู้ เป็นมนุษย์ก็คือก็เป็นคนรู้ คือมีใจสูง ใจจะสูงไม่สูงก็ตามใจ แต่ถ้าว่ามันเป็นใจอันแท้จริงแล้วนี่จะต้องมีความรู้ รู้ตามธรรมชาติ ถ้ามีมนะ หรือมนัส หรือใจในความหมายที่ต้องเป็นธาตุรู้และมันจะต้องรู้ มันพร้อมที่จะรู้ ถ้าเป็นมนุษย์ก็คือพัฒนามัน พัฒนาความรู้ให้มันสูงสุด ก็เป็นมนุษย์ มีใจสูง มีความรู้สูง บางคนเขายึดหลักว่าคำว่ามนุษย์นี่มาจากคำว่า เหล่ากอของพระมนู เขาไม่ ไม่ ไม่แปลว่าใจสูง ก็ได้เหมือนกัน ถ้าแปลว่าเหล่ากอของพระมนู ไอ้มนูก็แปลว่ารู้อีกแล้ว มัน มันหนีไปไหนไม่พ้น เหล่ากอของมนูคือเหล่ากอของผู้รู้ มนุษย์มันหลีกความรู้ไปไม่พ้น ถ้าไม่มีความรู้ก็ไม่เป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้นมนุษย์ก็คือมุนี คือความรู้ คือผู้รู้ ฉะนั้นเป็นมุนีก็คือเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์ก็คือเป็นมุนี ถ้าไม่เป็นมุนีก็ไม่เป็นมนุษย์ นี่ถึงพูดว่าความเป็นมุนีมีอยู่ในความเป็นมนุษย์
ทีนี้นที่เรามาบวชนี่เพื่อที่จะพัฒนามันทั้งนั้น พัฒนาไอ้พืชพันธุ์อันนั้น คือมันมี Germ (นาทีที่ 01:08:02) มีเมล็ดพืชพันธุ์อะไรอยู่แล้วคือมนะ ธาตุรู้ ทีนี้ถ้ามาบวชนี่เรียกว่ามีโอกาสพัฒนามาก พัฒนาเร็ว ก็คงจะได้ผลในการพัฒนานี้ ทีนี้กลับสึกออกไป มันก็ต้องมีความเป็นผู้รู้ที่มากกว่า ให้สูงกว่า จะไปเป็นมนี ไปเป็นมุนีก็ได้ จะเป็นมนุษย์ก็ได้ อยู่ที่บ้านที่เรือน ให้ดีกว่าที่จะไม่เคยบวช ถ้าหากว่าไอ้ความบวชนั้นหมายถึงว่าบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง ก็เป็นการทำให้ความเป็นมนุษย์นั้นมีความเป็นมุนีมากขึ้น ฉะนั้นเราก็เป็นมุนีกันจนตลอดชีวิต นี่คือข้อที่ผมอยากจะให้เข้าใจหรือมองเห็น เข้ามาบวชนี้ มาลองความเป็นมุนี ชิมรสของความเป็นมุนี ลาสิกขากลับออกไปก็มีความเป็นมุนีติดออกไป ให้พอใช้ อย่างน้อยพอใช้ ที่มันเกินจำเป็นก็ให้มันล่วงไป เหลือที่มันจำเป็น เขาไปเป็นมนุษย์ที่ทำอะไรถูกต้อง ทำอะไรไม่ผิดพลาด รู้จักแก้ไขสิ่งร้ายให้กลายเป็นดีให้หมด นี่เรียกว่าความเป็นมุนีอยู่ที่นี่ ไม่ต้องพูดถึงวิกฤติการณ์อะไร ๆ ในครอบครัว ในบ้านเมือง ในโลก ทุกอย่างรอดตัวได้เพราะความเป็นมุนี จึงขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้
(เสียงผู้ชาย) ผมขอกราบเรียนถาม ๒ หัวข้อ หัวข้อที่ ๑ ว่าที่อาจารย์บอกว่า ผู้หญิงถ้าจะเป็นมุนีได้ก็ให้เป็นมุนีในความมารดา ทีนี้ผู้หญิงที่เก่ง ๆ อยู่เดี๋ยวนี้ อย่างเป็นต้นว่าเป็นประธานาธิบดี หรือเก่งในทางเป็นการปกครองต่าง ๆ และมีความอดทน มีปัญญาเฉียบแหลมได้พวกนี้ จะจัดไว้ในเป็นพวกอะไร ข้อที่ ๑ จะเรียกมุนีได้ไม่ได้ และก็ข้อที่ ๒ ก็ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้หญิงไม่สามารถที่จะเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าได้นั้น มี ใช้อะไรเป็นการตัดสินหรือมีหลักเกณฑ์อะไร หรือว่าเล็งญาณเห็นว่าปัญญาผู้หญิงมันมีแค่นั้นหรืออย่างไร ครับ ๒ หัวข้อ
(เสียงท่านพุทธทาส) ผู้หญิง เอ่อ เป็นผู้รู้ ก็ควรจะรู้หน้าที่ของผู้หญิงจึงจะเป็นยอดมุนีของผู้หญิง นี้ถ้าไปเป็นประธานาธิบดี ก็เป็นกระเทย โดยความหมายในทางจิตทางวิญญาณ เพราะไม่ได้ทำหน้าที่อย่างผู้หญิง นี้เราก็ไม่ได้ ไม่ได้ต้องการอย่างนั้น แต่เราก็ไม่ได้คัดค้านว่าเขาจะเป็นประธานาธิบดีไม่ได้ ถ้าผู้ชายมันโง่ลง ๆ ในบางกรณี ผู้ชายมันเป็นไม่ได้ก็ให้ผู้หญิงเป็นก็แล้วกัน ก็เลยยกให้ผู้หญิงคนนั้นอยู่เหนือความเป็นผู้หญิงก็ได้ ให้ผู้หญิงนี่มันหน้าที่อย่างผู้หญิง เป็นมุนีก็ให้รู้อย่างผู้หญิง จึงจะเรียกว่า ตรงตามที่ธรรมชาติต้องการ ถ้าผิดจากนั้นก็ต้องถือเป็นกรณีพิเศษ ก็เป็นได้ ทำไมจะเป็นไม่ได้ เป็นรัฐมนตรี หรือว่าเป็นอธิบดี เป็นผู้ใหญ่บ้าน เป็นทหาร อย่างที่เขาให้เป็นกันเดี๋ยวนี้ เป็นตำรวจ เป็นอะไรก็เป็นกัน ก็ไม่ใช่ตรงตามความหมายคำว่าสตรีหรือบุรุษ แล้วก็จะไม่เป็นไปเพื่อความสมบูรณ์ของมนุษย์ ของโลกที่จะต้องมีผู้ทำหน้าที่อย่างผู้หญิงที่สมบูรณ์ ผู้ทำหน้าที่อย่างผู้ชายที่สมบูรณ์ ถ้านี้เรียกว่ามุนีก็ได้เหมือนกัน ถ้าเป็นประธานาธิบดี เขาก็รู้ในการเมือง แต่มุนีอย่างนี้มันไม่ได้ครึ่งหรือไม่ได้เศษหนึ่งส่วนสิบหก ถ้าพูดตามอย่างบาลีก็ว่าไม่ได้เศษหนึ่งส่วนสิบหกของความหมายของคำว่ามุนี ถ้าเป็นมุนีอะไรไปแบบหนึ่ง หรือไม่ควรจะใช้คำว่ามุนีก็สุดแท้
เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการบัญญัติไปตามไอ้ความรู้ หรือความหยั่งเห็น เพราะหน้าที่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันมีมากจนเหลือวิสัยที่ผู้หญิงจะเป็นได้ ด้วยสติปัญญาที่จะตรัสรู้ขึ้นมาด้วยตนเองอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ ผู้หญิงจะยังขาดอยู่ ก็เป็นได้แต่สาวกผู้ได้ยินได้ฟังและปฏิบัติเป็นพระอรหันต์ได้ แต่จะเป็นอรหันต์ด้วยตนเองนี่ไม่ได้ข่าวว่า ก็ถือว่ามีไม่ได้ ฉะนั้นถ้าไปเล็งถึงคุณสมบัติที่ทำความเป็นพระพุทธเจ้านี่ยังจะ จะรู้สึกว่าผู้หญิงจะไม่สมบูรณ์ จะขาดอยู่ อาธิษฐานะ ความเข้มแข็งแห่งจิต คำอธิษฐานจิต ความเข้มแข็งอย่างจิต เพราะมันคงมีได้ยากสำหรับเพศที่มันมีความอ่อนไหวอย่างผู้หญิง ความเข้มแข็งบึกบึน ความอ่อนไหว อ่อนแอ มันต่างกันอยู่ในข้อนี้ ตามธรรมชาติอันแท้ ๆ เราก็จะรู้สึกว่า ตัวผู้นี่เข้มแข็งบึกบึนกว่าตัวเมีย ดูฝูงสัตว์ฝูงวัว ฝูงควาย กา ไก่ สุกร ตัวผู้นี่มันเข้มแข็งกว่าตัวเมีย ฉะนั้นอย่างอื่น ๆ มันก็อย่างเดียวกันอีก เพราะผู้หญิงเขาคงจะต้องเอาโลหิต กำลังเอาโลหิต ไปใช้หล่อเลี้ยงส่วนอื่น นอกจากจะหล่อเลี้ยงมันสมองส่วนเดียวเหมือนผู้ชาย เหมือนตัวผู้ นี่เพียงแต่ทางฟิสิกส์ทางร่างกายนั้นมันก็ต่างกันมาก เพราะมีโลหิตที่หล่อเลี้ยงร่างกายเท่ากัน ผู้หญิงต้องเอาไปใช้เลี้ยงส่วนอื่นเกี่ยวกับเพศหญิง ผู้ชายเอามาเลี้ยงมันสมองหมดให้เข้มแข็งบึกบึน คำนวณโดยลักษณะอย่างนี้จะพบว่าผู้หญิงต้องไปอีกแบบหนึ่ง ผู้ชายไปอีกแบบ คัมภีร์ไบเบิ้ลเขาเขียนว่าพระเจ้าสร้างผู้ชายจากดิน และสร้างผู้หญิงจากกระดูกซี่โครงของผู้ชาย ในสมัยนั้นก็ยอมรับความต่างกันมากระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย ถึงเราก็มองไปก็พอมองเห็นเค้าอยู่ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญก็เลยไม่ได้คิด คิดมองต่อไป ไม่เถียงแทน ไม่ได้คิดจะเถียงแทนผู้หญิงก็เลยหยุดคิดเสีย แต่ในใจก็ยังเชื่ออยู่นะว่าผู้หญิงจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้หรือเป็นโดยยากเหลือเกิน โลกในสมัยนั้นผู้หญิงเขาจัดให้ทำหน้าที่อย่างผู้หญิง ไม่นั่งในสภาฯ ไม่ไปศึกษาเมืองนอก เดี๋ยวนี้มันเกิดมีผู้หญิงนั่งในสภาฯแล้ว ผู้หญิงไปศึกษาเมืองนอกจะมากกว่าผู้ชายด้วย ก็ต้องเปลี่ยน ไอ้โลกนี้ต้องเปลี่ยน ความสับสนกันระหว่างหน้าที่ของผู้หญิงผู้ชายก็ยังมีมากขึ้น ทำอะไรเหมือนกันหมดก็ไม่มีใครทำหน้าที่แบ่งแยก ก็เลยเป็นกระเทย แล้วก็จะยุ่งเพราะโลกนี้มันจะยุ่ง เพราะภาระหน้าที่ที่แบ่งกันไว้ดีแล้ว ไม่มีใครทำโดยสมบูรณ์ แต่ถึงอย่างไร ๆ ก็คงทำให้ผู้ชายคลอดบุตรไม่ได้ จะให้ผู้หญิงทำหน้าที่ให้เกิดบุตรไม่ได้ มันก็ไปอย่างนั้น ผมยังรู้สึกว่าสู้ทำให้มันไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติหรือคล้อยตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ มันคล้ายกับว่าบวกกับลบนี่ต้อง ต้องมีทั้ง ๒ อย่างแล้วมันเนื่องกันเข้าแล้วจึงจะเกิดพลัง เกิดกำลังหรือพลัง ผู้ชายก็จะเป็นพลังหนึ่งซี่งทำหน้าที่ฝ่ายหนึ่ง สูงสุดเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ครั้งหนึ่งผมไปฉายสไลด์ที่ USIS สมาคมอเมริกัน ได้พาภาพปริศนาธรรมชุดนั้น เผอิญมันติดไอ้ภาพที่ว่าผู้หญิงถูกเปรียบด้วยมนุษย์ในโลกที่ต้องตามหลังพระหรือเณรไป มีโจรไล่ตามหลังไล่ฆ่า นี่อธิบายว่าผู้หญิงต้องพึ่งศาสนา ก็คือพระเณรที่เดินไปข้างหน้า พวกสัตว์โลกมันต้องพึ่งพระศาสนา เพราะตัวเองมันช่วยตัวเองไม่ได้ เพราะฉะนั้นเขาจึงเขียนรูปภาพสัตว์โลกนี้เป็นรูปผู้หญิงในลักษณะเพราะเป็นผู้อ่อนแอ และมีโจรตามฆ่ามาข้างหลังก็ฆ่าไม่ได้เพราะเขาไปกับพระหรือเณรคือศาสนา มิสซิสรีเยค เกอร์ (นาทีที่ 01:20:35) ลุกขึ้น ทำท่ายกมวย ชกมวยให้ดู เพราะผู้หญิง เดี๋ยวนี้ผู้หญิงก็ชกมวยต่อสู้ป้องกันตัวเอง ผู้หญิงไม่ได้อ่อนแออย่างที่ว่าในภาพ ตามที่บรรยาย (นาทีที่ 01:20 :53) แต่นั่นผู้หญิงเขาไม่ยอมอ่อนแอ ไม่ยอมเป็นผู้อ่อนแอ
เอาละเรื่องนี้ไม่สำคัญน่ะ ยุติไว้ว่าผู้หญิงน่ะเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้เพราะเขากำหนดอะไรพิเศษ ผู้หญิงก็เป็นมุนียอดสุดของผู้หญิงไม่ได้ ถ้าไม่ทำหน้าที่ของมารดาให้สมบูรณ์ คือว่ากล่อมเกลาดวงวิญญาณของโลกให้ถูกทิศถูกทางของมัน คือมุนีผู้หญิงนี่
(เสียงผู้ชาย) ถามข้อนึงที่อยากนมัสการกราบเรียนท่านอาจารย์ ที่อาจารย์กล่าวว่าความเป็นมุนีนั้นอยู่ที่มีความรู้ในสิ่งที่ควรจะรู้ ซึ่งถ้าจะโดยความหมายทางธรรมะคือรู้ถึงเรื่องทุกข์ รู้ถึงทางที่จะให้พ้นจากทุกข์และปฏิบัติตนเพื่อพ้นจากทุกข์นั้น แต่ในอีกแง่หนึ่งเมื่อดูถึงโลกปัจจุบัน ในความที่เรามีปรทัตตูปชีวี คือมีชีวิตที่เนื่องด้วยผู้อื่น ปัญหาที่ความทุกข์ของผู้อื่นมีอยู่ในโลกปัจจุบันคือเป็นปัญหาเกี่ยวกับการหาอะไรต่าง ๆ นี้ก็จำเป็นที่จะต้องอาศัยความรู้ทางเทคโนโลยีปัจจุบันเพื่อจะมาใช้แก้ไข เป็นการแก้ไขความทุกข์ของ ช่วยให้คนอื่นพ้นทุกข์ บางที่อาจจะทำให้ ผู้ช่วยเพื่อให้คนอื่นพ้นทุกข์นั้นเป็นทุกข์ได้เหมือนกัน เพราะในการกระทำดังกล่าว อาจจะเลี่ยงไม่พ้นเกี่ยวกับความขัดแย้งในการปฏิบัติงานการดำเนินงานอะไรต่าง ๆ ซึ่งท่านอาจารย์เคยบอกว่าเป็นอิทธิบาท คือความขัดแย้งในวันตายาย กระผมจึงใคร่จะขอทราบถึงแนวทางกลาง ๆ ของความเป็นมุนีและความเป็นคฤหัสถ์ที่มีปรทัตตูปชีวี นี้ว่าจะมีทางออกอย่างไรบ้าง
(เสียงท่านพุทธทาส) (หัวเราะ) ไม่มี ไม่มี ไม่มีข้อ คือไม่มีความขัดแย้ง เป็นมุนีต้องรู้ ได้แก้ปัญหาทุกปัญหา ช่วยตนเองก็ดี ช่วยผู้อื่นก็ดี ไอ้เทคโนโลยีมันเป็นอุปกรณ์อันหนึ่งของความรู้สำหรับการช่วย ก็ช่วยในทางฝ่ายวัตถุ มุนีสูงสุดเอาไว้ดับทุกข์ทางจิตใจ พ้นทุกข์ตามทางธรรมะ บรรลุมรรคผลนิพพานนั้นมันก็ มันกล่าวไว้ในระดับสูงสุด ก็มีมุนีที่ต่อ ที่รอง ๆ ลงมา หรือจะช่วยแม้ในทางฝ่ายวัตถุ และคำว่ามุนีต้องมีความรู้ มีความรู้ในสิ่งที่ควรรู้ก็เพื่อที่จะแก้ปัญหาทุกอย่างที่มันมีอยู่จริง ที่จะต้องแก้ปัญหาขัดแย้งกันทุกอย่าง ทำไม่ให้เกิดข้อขัดแย้งขึ้น เป็นนายทุน เป็นชนกรรมาชีพ และถ้าเกิดข้อขัดแย้งขึ้นแล้ว มุนีก็ต้องมีความรู้ที่จะขจัดไอ้ความขัดแย้งนี้ได้ จึงจะเรียกว่าเป็นมุนี ฉะนั้นขอไอ้ ขอไอ้ เสริมความจำกัดความว่า มุนี นี่รู้ ที่แก้ปัญหาทุกอย่างได้ จึงเรียกว่าควรรู้ ความรู้ที่ควรรู้คือแก้ปัญหาทุกอย่างได้ ในทางวัตถุ ในทางร่างกายก็มีหน้าที่ที่จะต้องแก้เหมือนกัน ไม่ใช่จะไม่นึกถึงกันเสียเลย แต่ว่าส่วนใหญ่นั้นมันเล็งถึงด้านจิตใจ ถ้าเราแก้ทางด้านจิตใจหมดแล้ว ไอ้ทางด้านวัตถุนี่เกือบจะไม่เหลืออยู่สำหรับเป็นปัญหา ฉะนั้นคำพูดทั้งหลายมันจึงระดมไปยังเรื่องทางจิตใจเป็นส่วนใหญ่ เป็นหลักใหญ่จนฟังดูคล้าย ๆ กับว่าไม่คำนึงถึงปัญหาทางร่างกายกันเลย ก็นอกจากนั้นปัญหาของตัวแล้วก็ยังปัญหาของผู้อื่นคือสังคมนั้นด้วย ก็ต้องรู้จักแก้ปัญหาตัวเองและแก้ปัญหาสังคม คำว่ามุนีนี้ไม่มีทางที่จะขัดแย้งกับปัญหาที่มีอยู่ในโลกนี้ในยุคปัจจุบัน จะเป็นปัญหาทางการเมืองการอะไรก็ตามที่ทำให้มนุษย์ไม่มีความทุกข์ ให้มนุษย์ไม่มีความสุขแล้วก็จะต้องแก้ได้ ความรู้ของมุนีจะต้องแก้ได้ แต่โดยเหตุที่มันมุ่งหมายจะแก้ทางจิตใจหรือเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันนี้ปัญหาทางศีลธรรม แก้ปัญหาทางศีลธรรมได้ในโลกหมดปัญหาได้ มุนีควรจะสามารถ รู้และสามารถแก้ปัญหาทางศีลธรรมในโลกในปัจจุบันนี้ คือทำให้โลกมีศีลธรรมหรือให้ศีลธรรมกลับมาสู่โลกนี้ จึงมีความเข้าใจถูกต้องว่าชีวิตคืออะไร เพื่อนมนุษย์คืออะไร โลกนี้คืออะไร ไปรวมอยู่ที่ว่าไอ้ทางศีลธรรมก็ต้องอยู่บนรากฐานที่ว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น มันก็นำไปสู่หลักไอ้ที่ว่าปรทัตตูปชีวี ต่างฝ่ายต่างเลี้ยงกัน มันก็แก้ปัญหานั้น ทีนี้เราไม่ค่อยมองที่ต้นเหตุ มองแต่ที่ปลายเหตุ แก้ปัญหาไอ้ทางผลิตหรือการสร้าง หรือการอะไร ทางเศรษฐกิจ หรือทางเทคโนโลยี มันก็เป็นปัญหาที่ไม่สิ้นสุดเพราะไม่ได้แก้ในส่วนต้นตอหรือต้นเหตุ คือการที่มนุษย์เห็นแก่ตัวตัวใครตัวมัน มัน มันมีผลซับซ้อน มนุษย์มีกิเลสเห็นแก่ตัวนี่สร้างปัญหาขึ้นมาก ให้อะไร ๆ เป็นไปยาก เป็นไปในลักษณะที่พอดีถูกต้องนี่มันยาก เห็นแก่ตัวมันก็เอามาก มันก็คอยขัดขวาง คอย ไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าศีลธรรมดี ก็คิดดูก็แล้วกัน อะไรจะดีขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อพร้อม คือมันไม่มีใครคิดเอาเปรียบผู้อื่น อย่าว่าแต่คิดจะทำลายผู้อื่นเลย เดี๋ยวนี้คิดแต่ไปทำลายผู้อื่นให้พินาศไป มีศีลธรรม ไม่คิดแม้แต่จะเอาเปรียบผู้อื่นสักนิด
มุนีจะต้องรู้อีกส่วนหนึ่งว่าทำอย่างไรก็ต้องไม่เป็นทุกข์ เราเป็นอย่างไรก็ต้องไม่เป็นทุกข์ การปฏิบัติงานในโลกนี้มันก็จะมี มีความทุกข์คอยแซมอยู่ทุกหัวระแหง เกิดความไม่ได้อย่างใจ ความไม่ได้อย่างใจนั้นก็เป็นทุกข์ ข้อนี้ไม่ควรจะมี แม้กระทั่งมีความรู้จริงก็ต้องแก้ปัญหาได้ ไอ้เทคโนโลยี เทคนิคเชี่ยนทั้งหลายนี่ก็เป็นมุนีได้ในส่วนนี้ ที่จะแก้ปัญหาในส่วนของนั้น แต่คงจะแก้กันอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น เหมือนจับปูใส่กระด้ง เป็นมุนีที่จะแก้ปัญหาทางศีลธรรมได้จึงจะช่วยโลก ... (นาทีที่ 01:28:33) แต่มันก็ยังหวังยากว่าจะมีขึ้นมาได้อย่าง ถ้ามุนีที่ทำให้คนบรรลุมรรคผลนิพพานได้ก็ยิ่งดี ได้อยู่ด้วยความสงบ ด้วยความต้องการที่น้อยมาก ก็ได้แต่หวัง ได้แต่คิดด้วยเหตุผล แต่ แต่ไม่รู้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ที่ว่าเราจะมีมนุษย์ที่ดีและไม่มีการเบียดเบียน ไม่ต้องมีกฎหมาย ไม่ต้องมีคุกตะราง ไม่ต้องมีศาล ไม่ต้องมีเรือนจำ นั้นจะมีได้อย่างไร ถ้าใครทำดีได้คนนั้นเป็นยอดของมุนี ทีนี้ยังจะต้องสร้างเพิ่มมากขึ้นโดยเทียบส่วนโดย Ratio เทียบส่วน ก็ต้องสร้างคุกสร้างเรือนจำ สร้างโรงพยาบาล สร้างโรงพยาบาลโรคจิตมากขึ้นกว่าคิด เพราะเห็นได้ว่าไอ้ส่วนที่มันเป็นเหตุให้เกิดความเสื่อมเสียน่ะมันมากขึ้น เทียบส่วนของคนกินเหล้าก็แล้วกัน เอาตามจำนวนพลเมืองที่เพิ่มขึ้นแล้วเทียบส่วนที่ถูกต้อง คนกินเหล้ามากขึ้นกว่าศตวรรษที่แล้วมา ศตวรรษก่อนโน้น มันไม่เป็นมุนีกันเสียเลย ไปบูชาอบายมุข พวกเทคนิคเชี่ยนจะแก้ปัญหาทางวัตถุ ก็ถูก ก็ทำไปให้ถูก ให้ถูกต้องตามหน้าที่ตามสัดส่วน เทคนิคเชี่ยนจะผลิตวัตถุยั่วยวนตามอารมณ์ขึ้นมาให้เฟ้อให้เหลือ มันก็คงไม่ถูก ไอ้ที่มันจะแก้ปัญหาที่มันจะตายจะเป็นจะไปตายจะยุ่งยากลำบากก็ถูก มันไปขึ้นอยู่กับว่าเท่าไรจะพอดี เดี๋ยวมันก็เกินไปอีก ก็ไล่ไม่ทัน การผลิตไล่ไม่ทันความต้องการของมนุษย์ที่มันก้าวหน้า มันอยากก้าวหน้า ทะเยอทะยานก้าวหน้าก็เป็นปัญหาไม่รู้จบ ถ้ามุนีมาช่วยตัดสินมาช่วยวิเคราะห์สักเท่าไรจะพอดี นี่เป็นปัญหาจริง เป็นปัญหาที่น่า น่า น่าพิจารณาอย่างยิ่ง เช่น ถ้าเรามีไฟฟ้าใช้อย่างนี้ มันยังมีปัญหา นี่เขาจะต่อไฟฟ้าไปทุกหมู่บ้านทุกตำบล ทั่วประเทศ มันก็มีปัญหาเพราะอะไรมันจะดีขึ้น ความสะดวกสบายมันจะดีขึ้น แต่จิตใจของคนจะเป็นอย่างไรก็ยังมองยาก มันจะกลายเป็นอุปกรณ์สำหรับความฟุ้งเฟ้อ ความไปตามอารมณ์หรือไปเสียหรือไม่ นี่ผมก็ตอบไม่ถูกนะ ผมหวั่น ๆ อยู่มันจะเป็นในทางเกิน เร็วเกินไป มันจะไม่ทันกับไอ้วัตถุที่มี ไม่ ไม่พอดีวัตถุที่มีอยู่ หรือว่าคนที่มีจะเพิ่มขึ้น ก็คงจะยุ่งอีก ยุ่งในทางที่ขาดแคลนนั่นขาดแคลนนี่ ไปแบ่งเอาทางโน้น ทางนี้ขาดแคลน ไปแบ่งทางนั้นทางนี้ขาดแคลน ไม่มีที่สิ้นสุด ทางลดดูไม่มี ไม่มีใครคิดลด คิดแต่จะเพิ่ม ก็แปลว่าเราจะต้องยอมยุ่งมากขึ้น ที่เรียกว่าพอดีก็คือจะยุ่งมากขึ้น บัดนี้และต่อไป สมัยก่อนยุ่งน้อย อันไหนจะดีกว่า ดูเอา ก็อยู่อย่างนักบวช เป็น ปลาคังว่ายน้ำในคู (นาทีที่ 01:32:32) ก็ลองดูในทางที่มันจะยุ่งน้อยหรือมีน้อย ถ้าไปเปรียบเทียบกับสัดส่วนที่มันยุ่งมาก แล้วก็เฉลี่ยให้พอดี เฉลี่ยไปให้พอดี ความรู้ที่ถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ รู้ความพอดี รู้มัชฌิมาปฏิปทา รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้ประมาณ รู้กาล รู้คนสัตว์ รู้บุคคล อย่างสัปปุริสธรรม ๗ แต่พอดี
ตั้งแต่เรา ตั้งแต่โลกนี้มันก้าวเข้ามายุคปรมาณู ยุคสูงสุดพวกเทคนิค มันก็ไม่เห็นว่ามันมีสันติภาพเพิ่มขึ้น ออกจะหาย ๆ มากขึ้นไปเรื่อย ๆ ผมสะดุ้งวันนั้น ตามประสาของผม วันนั้น Nixon เขาเป็นผู้ประกาศ ว่าเมื่อวันเหยียบดวงจันทร์ ว่าโลก ว่ามนุษย์ชนะธรรมชาติแล้ว ถ้าภาษาของเราฟังไม่ได้ว่ามนุษย์ชนะธรรมชาติแล้ว แก ไปกล้าเหยียบดวงจันทร์เท่านั้นเอง (นาทีที่ 01:33:54) มันแพ้ธรรมชาติหนักเข้าไปอีก ถ้าไปเหยียบดวงจันทร์แล้วมีสันติภาพอะไรแปลกออกมามั่ง อ่านหนังสือพิมพ์ทำไมมันจึงได้แต่ข่าวร้าย มันไม่มีข่าวสันติภาพ ไอ้สันติภาพเขาไปซ่อนไว้เสียที่ไหนไม่เอามาลงหนังสือพิมพ์ อ่านประจำวัน ประธานาธิบดีอเมริกาเดี๋ยวอย่างงั้น เดี๋ยวอย่างนี้ คนจะฆ่าเสียบ้าง อะไรเสียบ้าง มันมีแต่ยิ่งไม่เข้าใจ มันขัดแย้งมากขึ้น เราจะไปเอาอย่างใคร ฉะนั้นการเจริญหรือศิวิไลซ์มันประหลาดดี เพราะว่ามันขาดมุนี
(เสียงผู้ชาย) กระผมยังมีคำถามอีกข้อหนึ่ง ที่จะกราบเรียนถามท่านอาจารย์เกี่ยวเนื่องกับที่ท่านอาจารย์กล่าวเมื่อกี้ว่า การนิ่งอย่างมุนีก็มี การนิ่งอย่างคนโง่ก็มี ทำให้กระผมนึกถึงคำถามข้อหนึ่งที่อาจจะมีผู้เรียนถามท่านอาจารย์มาหลายครั้งแล้ว แต่กระผมยังไม่เคยทราบคำตอบที่แน่ชัด คือเกี่ยวกับ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครเจริญทางจิตใจ ละสังโยชน์แค่ไหน เป็นพระอริยะเจ้าถึงเพียงใด ด้วยจากเมื่อก่อนที่กระผมจะมานี่ได้เห็นบทความของนิสิตนักศึกษาบางฉบับ ได้พูดทำนองว่าคติพจน์ทางพุทธศาสนาเกี่ยวกับพระนิพพานนั้นไม่มีจริง พระอริยะเจ้าก็ไม่มีจริง ครั้งนี้กระผมพิจารณาดูเห็นว่า ด้วยเหตุอันหนึ่งคือเราไม่สามารถที่จะชี้ให้เห็นผลจุดหมายปลายทางได้แน่ชัดเหมือนอย่างเช่นทางวัตถุ ซึ่งอาจจะวัดได้จากตัวเลขหลักที่เขียนในธนาคารหรือว่ารถยนต์คันที่ ๓ อะไรทำนองนั้น ถ้าให้มีผู้เชื่อเป็น ๒ แนวทาง ซ้ายสุด และขวาสุด ถ้าขวาสุดก็ว่าพระอริยเจ้าพระอรหันต์นี่คงมีอยู่ตามที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เคยตรัสไว้ก่อนสิ้นพระชนม์ว่า สุภัททะ หากพวกเธออยู่โดยชอบแล้วโลกจะไม่ขาดพระอรหันต์เลย ในปัจจุบันนี้ก็ย่อมมีพระอรหันต์ บางคนก็ลือว่าท่านเจ้าคุณนรรัตน์บ้าง ท่านอาจารย์บ้าง และพระอาจารย์ทางวิปัสสนาหลายท่าน ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือบ้างก็ล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ด้วยกันทั้งสิ้น แต่อีกฝ่ายหนึ่งก็เชื่อทางซ้ายสุดว่าเป็นไปไม่ได้ ไม่มีเหตุไม่มีผล ไม่มีใครแสดงออก จะวัดได้อย่างไรทุกอย่างเป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ กระผมใคร่อยากจะขอทราบทัศนะของท่านอาจารย์เกี่ยวกับปัญหานี้ด้วยเหตุสำคัญมากที่ว่าในโลกปัจจุบันปัญหาทางด้านวัตถุจะยิ่งมากขึ้น เป็นปัญหายิ่งใหญ่ขึ้น เนื่องจากขาดแคลนทางอาหาร การเพิ่มทางประชากร การขาดแคลนที่ยึดเหนี่ยวทางใจ ทำให้มนุษย์ยิ่งห่างไกลไป ปัญหาทางด้านศีลธรรม มันอาจจะเป็นทางออกทางเดียว แต่กระผมคิดว่ากว่าถั่วจะสุกงาก็จะไหม้ เพราะว่าเราจะดึงมนุษย์พวกนั้นกลับมาได้อย่างไร กระผมคิดว่าคำถามของกระผมคงจะเป็นข้อคำถามสำคัญอันหนึ่งที่หลายคนคงยังไม่ถาม จึงขอกราบเรียนถามท่านอาจารย์ในที่นี้ด้วย
(เสียงท่านพุทธทาส) นี่มันหลายปัญหา รวมอยู่ในนี้หลายปัญหา แต่จะรู้จักว่าคนนิ่งนี้เป็นอรหันต์หรือไม่นี่ก็ปัญหาหนึ่ง รู้ได้อย่างไร แต่ปัญหาที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องศีลธรรม ศีลธรรมกลับมาไม่ทันเวลา นี้มันก็จะวินาศกันก่อน อันนี้ก็จะหลีกไม่ได้ ไม่มากที่น้อย ถ้ามันได้เปลี่ยนไปถึงขนาดที่จะต้องได้รับโทษ ถึงพูดกันไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวนี้เราไม่รู้เรื่อง ฝ่ายซ้ายกับฝ่ายขวาพูดกันไม่รู้เรื่อง ก็จะต้องมีโทษเกิดขึ้นเพราะการที่พูดกันไม่รู้เรื่อง กำลังมีการทำลายชีวิตซึ่งกันและกัน ถ้ามีมุนีที่รู้จริง สามารถจะทำให้พูดกันรู้เรื่องก็ดีไป สำหรับเรื่องเป็นพระอรหันต์หรือไม่ อย่าไปสนใจดีกว่าและก็ไม่มีทางจะรู้โดยอาการ โดยอากัปกิริยาจากที่เรียกว่าไอ้คนนิ่งชาวบ้านหาว่าเป็นพระอรหันต์ ที่จริงเป็นคนบ้าชนิดหนึ่ง จึงดูภายนอกไม่ได้ ก็ปล่อยเขา เราจะเอาประโยชน์จากพระอรหันต์ก็คือว่าท่านทำอย่างไรหรือท่านสอนอย่างไร แล้วเราลองปฏิบัติตามนั้นดู แล้วมันได้ผลชัดเจนอย่างนั้นจึงจะได้ จึงจะได้รับประโยชน์หรือมีประโยชน์ จะไปเชื่อเขาว่าเป็นพระอรหันต์แล้วก็ไม่ได้ทำอะไร มันก็ไม่มีประโยชน์ นี่หลักนี่ก็สอนไว้เพียงพอแล้ว ใคร ๆ ก็จะศึกษาเล่าเรียนให้ทำอย่างไรจึงจะชนะกิเลสเป็นพระอรหันต์ อย่าไปสนใจในข้อที่ว่าเดี๋ยวนี้ใครกำลังเป็นพระอรหันต์ ไม่มีประโยชน์ ในครั้งพุทธกาลก็มี พูดไปเดี๋ยวมันก็จะมากจนถึงว่าพระอรหันต์ก็ไม่รู้จักพระอรหันต์ด้วยกันก็มี มันมีเรื่องในพระคัมภีร์ พระอรหันต์รูปร่างไม่สมประกอบองค์หนึ่งถูกเขาเขกหัวเล่น และบางแห่งพูดไปก็จะยิ่งร้ายไปอีก คือว่าพระพุทธเจ้าเองก็ลืมไปหรือเผลอไป ไม่ทันรู้ว่าคนนี้เป็นพระอรหันต์ก็ยังมี ผมจดที่มา จำ ฉะนั้นอย่าดีกว่าที่จะไปดูพระอรหันต์ รู้จักพระอรหันต์ด้วยกิริยาท่าทางต่าง ๆ นี่ แต่สนใจว่าเขาสอนไว้อย่างไร คนจึงจะเป็นพระอรหันต์หรือเป็นคนที่อยู่เหนือความทุกข์ หรือเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ หรือว่าถ้าเป็นมุนี ก็เป็นมุนีสุดยอด พระอรหันต์เป็นมุนีสุดยอดในแง่ส่วนบุคคล จะระดมกำลังกันอย่างไรให้เกิดความรู้ ผู้รู้ชนิดนี้ขึ้นมาช่วยคุ้มครองโลกในปัจจุบันนี้ ผมว่ายากเพราะว่ามันเป็นจังหวะเหวี่ยงจะสุดอยู่ มันมาแรง มันต้องสุดก่อนที่จะไป (นาทีที่ 01:40::36 ) เดี๋ยวนี้ไม่มี ไม่มีคุณธรรมสำหรับความเป็นสัตบุรุษหรือเพื่อเป็นพระอริยเจ้า มันไม่มี มันหมด มันหมด มันหมดหนักขึ้น ศีลธรรมมันก็ไม่มีกลับมา กว่ามันจะกลับมา จะทำอย่างไรได้ล่ะ เขาทำแบบที่ว่า ไอ้เรื่องถั่วสุกงาไหม้ก็จะต้องมีไม่มากก็น้อย แต่ขอให้คนที่รู้ ผู้รู้น่ะ รู้จักหลีกออกมาเสีย ไม่ต้องไปเป็นความทุกข์ หรือถ้ามันจะมีไอ้ ปฏิกิริยามาถึงมา ถึงก็ต้องตายไปด้วยก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ อันนั้นก็ดีคือรู้จักทำให้ไม่มีรู้สึกเป็นทุกข์ ไม่มีความทุกข์สำหรับผู้นั้น ก็เรียกว่ามุนีได้แล้ว คือไม่มีตัวกู ตายหรือเป็นทุกข์มันก็เฉยไป ไม่มีความทุกข์ อยู่ที่ว่าเป็นมุนีแบบไหน แบบสูงสุด ถ้ามันยังไม่ต้องตายก็ขวนขวาย ช่วย ให้ทุกคนมันรู้จักเป็นอย่างนี้กันเสียบ้าง มากขึ้น ๆ สอนให้เป็นมุนีมากขึ้น ถึงว่าเราจะไปช่วยกันแก้ด้วยวัตถุให้มันสุดเหวี่ยงนี่มันก็แก้ไม่ได้ เพราะว่าต้นเหตุอยู่ที่กิเลสของคน คิดขึ้นมาเท่าไรก็ถลุงกันหมดเท่านั้น มันต้องเป็นมุนีด้านจิตใจด้วย และก็เป็นมุนีด้านวัตถุ ด้านเทคนิคด้วย โลกมันจึงจะเป็นโลกพระศรีอาริย์ เดี๋ยวนี้มันเป็นไม่ได้ แม้ว่าเราจะไปเร่งด้านวัตถุ ด้านจิตใจมันไม่มีแล้ว ไม่มีคนที่จะถือหลักธรรมะ ก็เป็นการได้เปรียบแก่คนที่มันสามารถ คนที่อ่อนแอก็ถูก ถูกเอาเปรียบนะ เป็นโลกของการได้เปรียบเอาเปรียบกันไปข้างหนึ่ง ทีนี้ว่าเรานี่จะอยู่อย่างไร จะอยู่นอกวงการเอาเปรียบและก็ถูกเอาเปรียบ ทำใจให้ดี ๆ จะอยู่นอกวงการถูกเอาเปรียบและเอาเปรียบ เป็นผู้ไม่มีปัญหาและก็ช่วยแก้ไข โลกที่มันกำลังหลงอยู่ในการเอาเปรียบและเสียเปรียบและต่อสู้ ปัญหานี้ดีเป็นปัญหาที่ควรจะเอาไป ไปวินิจฉัย ไปวิจัย ไปค้นคว้ากันอยู่เรื่อยไป พอให้มันพบจุดที่พอจะพูดลงไปได้สักครั้งหนี่งก่อนว่าจะเอากันอย่างไร ส่วนผมนี้มันก็ต้องยอมรับว่าเมาศีลธรรม เมาศีลธรรม หายใจเป็นศีลธรรม ช่วยโลกได้ แก้ปัญหาให้โลกได้ ในการผลิตนี่ถ้าไม่มีศีลธรรมก็ยิ่งเกิดความยุ่งยาก เกิดปัญหา
เราไม่ได้รังเกียจฝ่ายซ้ายหรือว่าความคิดอย่างฝ่ายซ้าย และฝ่ายซ้ายมีหลายแบบ ฝ่ายที่มันมุทะลุดุดันจะยื้อแย่งอย่างเดียว มันก็น่าสงสารมากกว่า ก็ทำไปแบบคนที่ไม่รู้อะไร ถ้าฝ่ายซ้ายที่มันฉลาด เป็นสังคมนิยมที่แก้ปัญหาได้มันก็มีอยู่เหมือนกัน ไปดู พอไปดูหนักเข้า อ้าว, มันพบศีลธรรมในสังคมนิยมที่ถูกต้อง เพราะว่าศีลธรรมมันก็เป็นสังคมนิยม สังคมนิยมมันเป็นศีลธรรม แต่มันต้องสังคมนิยมที่ถูกต้อง ทำไปด้วยความเมตตากรุณา ฉะนั้นถ้าเป็นเรื่องของการเมือง มันต้องบีบบังคับให้คนมีศีลธรรมมากกว่า ที่จะไปบีบบังคับให้ทำอย่างนั้นให้ทำอย่างนี้ ให้ก้มหน้าปิด ให้ก้มหน้าอะไรกันอย่างไม่รู้ว่าศีลธรรมอยู่ที่ไหน นี่จึงนำมาสู่ความยุ่งยากแบบกฏหมู่ มันเลยไม่มีศีลธรรมทั้ง ๒ ฝ่าย ฝ่ายเรียกร้องกับอีกฝ่ายที่จะอำนวยให้ ไม่มีศีลธรรมทั้ง ๒ ฝ่าย ต้องพูดกันให้มันรู้เรื่อง ให้มันเด็ดขาดลงไปว่าอย่างนี้สิมันถูกตามจริงหรือของธรรมชาติ แล้วผู้รู้เท่านั้นที่จะรู้เรื่องนี้ และเอาความรู้ของผู้รู้เป็นหลัก ยุติอย่างไรก็ต้องเอาอย่างนั้น และต้องอย่างเผด็จการ ต้องเป็นอย่างนั้น และต้องอย่างเผด็จการ เผด็จการในที่นี้เป็นเพียงวิธีการเพื่อให้สำเร็จวัตถุประสงค์ไม่ใช่อุดมคติ เพื่อกิเลสบ้า ๆ บอ ๆ อย่างที่ว่าคนที่มีอำนาจเขากอบโกยอย่างเผด็จการนั้นน่ะเราไม่ต้องการ เมื่อเราพบหลักธรรมะหรือจุดของศีลธรรมที่ถูกต้องแล้วก็ต้องให้เผด็จการ ให้ธรรมะเผด็จการ จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ นี่เป็นโอกาสที่ มีช่องโหว่อยู่แล้ว ใครเก่งก็กอบโกยไป ใครไม่เก่งก็ยอมเป็นผู้เสียเปรียบอยู่
เรื่องผลิตให้พอนั้นมันก็เป็นเรื่องที่น่านับ ถือคือว่าถ้าทำไปโดยบริสุทธิ์ใจมันก็ดี ผลิตอาหารให้พอ ผลิตอะไรให้พอ แต่มันยากที่จะให้อยู่ในกำมือของคนที่มีกิเลส ใช้เป็นโอกาสนั้นน่ะเอาเปรียบคนอื่นอีก เดี๋ยวนี้มันผลิตให้พอก็คือมันผลิตมาก ผลิตมากเพื่อจะได้เปรียบฝ่ายของตัว ปากก็ว่าเพื่อช่วยโลกให้ แต่การกระทำถ้าจริง มันเพื่อช่วย ช่วยตัว ช่วยพวกตัว อะไรที่เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับมนุษย์ เขาก็ยึดไอ้สิ่งนั้นไว้ให้มาก ๆ เพื่อที่จะสามารถบีบบังคับผู้อื่น ความไม่มีศีลธรรมอันใหญ่หลวงมันอยู่ที่นี่ เดี๋ยวนี้ผมก็จนปัญญาร้อยเปอร์เซ็นต์ที่ว่าจะทำอย่างไร พลเมืองประเทศไทยเราจะกลับไปหาศีลธรรม ... (นาที ที่ 01:48:03) แต่ก็ยังคิดอยู่ อยากจะลองอย่างนั้นอย่างนี้อยู่เรื่อย พร้อม ๆ กับที่ทำงานทางวัตถุ ผลิตทางวัตถุก็ทำไป แต่ทางจิตใจนี้ต้องทำให้มีศีลธรรม มั่นคงขึ้น มั่นคงขึ้น ถ้าศีลธรรมเข้ามา เป็น เป็น มันเป็นคำพูด ศีลธรรมเข้ามา ปัญหาก็หมดจริง แต่ทำอย่างไรจะให้มันเข้ามา เพราะว่าถ้าศีลธรรมเข้ามา นายทุนมันก็เปลี่ยนหมด เปลี่ยนเป็นผู้เมตตากรุณาไปหมด คนจนก็จะร่วมมือกับผู้มีทรัพย์สมบัติมีอำนาจวาสนา ไม่เกลียดเขาอย่างข้าศึก ศีลธรรมกลับมา ก็ต้องด้วยอำนาจของผู้รู้ และผู้รู้อยู่ที่ไหนก็ตามตัวไม่พบอยู่ ถ้าเป็นผู้รู้ต้องรู้ รู้หลักข้อเท็จจริงอันนั้นด้วย แล้วต้องรู้ขนาดที่ทำให้มันปฏิบัติอย่างนั้นได้ด้วย หรือรู้วิธีที่ทำให้ปฏิบัติในข้อนั้นสำเร็จได้ด้วย นี่เรามีแต่โครงการ ปฏิบัติไม่ได้ ต้องมีความรู้ถึงขนาดที่ว่าเมื่อสร้างโครงการขึ้นมาแล้ว ต้องสามารถปฏิบัติได้ การที่เขาพูดไว้แต่โบรงโบราณว่าไอ้โลกมันมีจังหวะ คือเป็นยุค มันเป็นกลียุคนี่มันสุดเหวี่ยง เป็นมิคสัญญีสูงสุดเหลือทนทานได้แล้วมันก็เลยกลับมา เขาก็พูดไว้อย่างนั้น ถ้าเรายิ่งคิดก็ยิ่งมองเห็นมันเป็นการเปลี่ยนที่ไปสุดเหวี่ยงแล้วจึงจะกลับมา นี้ปัญหามันก็เกิดขึ้น ถ้าเราจะให้มันกลับมาก่อนหน้านั้นเราจะทำอย่างไร ก็ตอบกำปั้นทุบดิน เอ้า, ทำไมศีลธรรมมันกลับมา แต่คนทุกคนในโลกมันก็เหวี่ยงกลับได้เหมือนกัน แต่เราก็จนปัญญา ทำอย่างไรคนทุกคนในโลกนี้จะมีศีลธรรม มันจนด้วยกันตรงนี้ คิดแล้วก็จนตรงนี้ ทำอย่างไรจะให้คนในโลกมันกลับมีศีลธรรมขึ้นมา แล้วการเหวี่ยงทางนั้นมันหยุดมันเหวี่ยงกลับมาทางถูกต้อง นี่ถ้าว่าประเทศหนึ่งมันทำได้ และอีกประเทศหนึ่งมันจะเป็นผู้จ้องโอกาสจะเอาเปรียบหรือไม่ มันก็ยังมีปัญหาอีก มันก็เลยมีปัญหาต่อที่ว่าต้องเป็นผู้รู้ถึงขนาดที่ว่าป้องกันไม่ให้คนอื่นเอาเปรียบได้อีก เดี๋ยวนี้มันไม่กล้าถือศาสนา ไม่กล้าถือพระเจ้า เพราะเขากลัวผู้อื่นเอาเปรียบ ผมสังเกตดู ผู้อื่นจะได้เปรียบ จะเป็นโอกาสให้ผู้อื่นเอาเปรียบ เช่น อเมริกันจะเกิดถือศาสนาถือพระเจ้าขึ้นมา ก็กลัวรัสเซียจะเอาเปรียบ หรือรัสเซียจะถือขึ้นมา ก็กลัวพวกอเมริกันเอาเปรียบ เป็นอย่างนี้ มันไม่มากินน้ำสาบานกันได้ง่าย ๆ ในระหว่างบุคคล ว่าเราจะไม่เอาเปรียบกัน จะช่วยกันกู้โลก ถึงประเทศไทยเราก็ปัญหาอย่างเดียว เราจะทำไปคนเดียวไหวหรือที่จะเป็นผู้มีศีลธรรม ประพฤติสุจริตในเมื่อ ประเทศรอบบ้านเรามันพร้อมที่จะเอาเปรียบ มันพร้อมที่จะเขมือบทุกขณะ ก็เกิดปัญหาแก่มุนีขึ้นมาอีก มันจะแก้อย่างไร มันก็อย่างนี้ จะทำพวกเหล่านั้นให้กลายเป็นผู้เข้าใจถูกต้องไปด้วย และจะทำได้หรือ เพราะเขากำลังเมาที่สุด พูด ถึงคนเมา (นาทีที่ 01:51:58) ถ้ามุนีจะเก่งจริงสารพัดอย่างหรือสัพพัญญูจริง แก้ปัญหาหลาย หลายประเภท หลายรายการ ที่ขาดใน (นาทีที่ ให้เข้มแข็ง ป้องกันตัวเองได้ก็แก้ไขให้มันถูกต้องมากขึ้น
เดี๋ยวนี้มันก็ เขาเรียกว่า ที่แล้วมามันก็ส่วนหนึ่ง ส่วนใหญ่มันก็ปล่อยไปตามเหตุปัจจัย ปะทะปะทังไปบ้าง เผอิญโชคดีมันเข้าถึงใคร ถ้ามาคิดเรื่องนี้มันก็สนุกเหมือนกัน มันก็ลืมเรื่องอื่นได้ มันก็เป็นผู้บูชาอุดมคติอันนี้ ยอมเสียสละ ไม่ ไม่ ไม่รู้เรื่องลูกเรื่องเมียเรื่องอะไรหมดนะ คิดจะแก้ปัญหาข้อนี้ เราอยู่ที่นี่ อะไรมันมาไม่ถึงใครมีปัญหา แต่พอเราเหลือบไปดูทางโน้น แม้แต่อ่านหนังสือพิมพ์ โอ๊ย, มันปัญหาเหลือเกิน และเราก็เชื่อว่าเราจะอยู่อย่างนี้ อยู่ที่นี่ในลักษณะนี้ไม่ได้ ถ้าไอ้นั้นมันคืบคลานเข้ามามันก็อยู่อย่างนี้ เราก็รู้ แต่ผมอาจจะพูดว่ามัน กว่ามันจะมาถึงผมก็ตายแล้ว มันก็ปัญหาส่วนตัวผม ทีนี้คนอื่นมันจะว่าอย่างไร โลกทั้งโลกมันจะว่าอย่างไร ฉะนั้นจึงตั้งปณิธานว่าขอให้ทุกคนทำความเข้าใจกันดี อย่าไปหลงในเรื่องของวัตถุนิยม มันจะบรรเทาความเห็นแก่ตัว พูดกันรู้เรื่อง ให้ทุกคนศึกษาศาสนาของตัวให้เข้าใจถึงที่สุด แล้วแต่ใคร แล้วแต่ประเทศไหนจะถือศาสนาอะไร คือทุกคนที่ว่าถือศาสนาอะไรก็เข้าใจศาสนาถึงที่สุด ถ้าเราทำได้ มีหลักสูตรที่จะบังคับ หรือชวนให้ทุกคนเข้าใจศาสนาของตนให้ถึงที่สุดนะ มันจะเปลี่ยนในส่วนนี้ ทางจิตใจ และพร้อมกันนั้นนักศาสนาทั้งหลายก็อย่าโง่ ถึงขนาดที่ว่าเห็นศาสนาของตัวเป็นอย่างหนึ่ง เห็นศาสนาของผู้อื่นเป็นอย่างหนึ่ง จนขัดกันเสียในระหว่างศาสนา ฉะนั้นการพยายามทำความเข้าใจกันระหว่างศาสนาให้มันถูกต้องแล้วมันจะเหมือนกัน คือตรงกัน ก็ต้องทำ ผมเคยคิดฝันอย่างนี้ เคยคิดฝันมาก จึงพยายามพูดแบบสิ่งที่ทำความเข้าใจระหว่างศาสนาอยู่ส่วนหนึ่ง และพูดแบบที่ให้ทุกคนเข้าใจศาสนาของตัวเองอย่างถึงหัวใจส่วนหนึ่ง พยายามพูดให้ทุกคนในโลกถอนตัวออกมาเสียจากความเป็นทาสในวัตถุ ถ้าทำได้เพียงเท่านี้ผมว่ามี โลกมีสันติภาพ อย่างยิ่ง อย่างที่ไม่มีอะไรมาต้านทานไว้ได้ แล้วโลกมันจะกลับไปสู่สันติภาพ ปัญหามันก็มามีอยู่ที่ว่าทำอย่างไรจะให้ทุกศาสนาเข้าใจกันได้ ให้ทุกคนสนใจศาสนาของตนจนถึงหัวใจของศาสนาของตน ก็จัดปรับปรุงได้ง่าย คืออย่าไปลุ่มหลงไอ้เรื่องเนื้อหนัง เดี๋ยวนี้เรามันมีสถานที่หรือว่าการกระทำต่าง ๆ ที่มันยุยงส่งเสริมให้ความมัวเมาในเนื้อหนังมากไป แล้วมันเร็วนักหนา มันเร็วอย่างในกรุงเทพนี่มันมี ไอ้เด็กวัยรุ่นมันทนไม่ไหว ถ้ามีอย่างนี้เด็กวัยรุ่นมันก็เป็นทาสเนื้อหนังหมด เราไปพูดกับมันไม่รู้เรื่อง แล้วมันยังมีอย่างอื่นอีก นอกจากเป็นทาสเนื้อหนังกามารมณ์แล้วยังเป็นทาสไอ้ลัทธิ ลัทธินิยมคอมมิวนิสต์บ้าง อะไรบ้างนี่ก็เป็นเรื่องของทาสลัทธิอย่างหลับหูหลับตาอีก ก็เลยคิดไปถึงว่าไอ้เรื่องลัทธินี่ว่าถ้าเอาให้เห็นจุดใกล้หัวใจจริง มันคงจะอย่างเดียวกับศาสนาอีกน่ะ มันจะไปด้วยกันได้ ทุกศาสนามันไปด้วยกันได้ถ้าเข้าถึงหัวใจ ลัทธิซ้ายก็ดี ลัทธิขวาก็ดี ขอให้มันไปเล็งที่จุดหัวใจบริสุทธิ์ คือต้องการสันติภาพด้วยกัน โดยแท้จริงมันคงจะรวมเป็นศาสนาเดียว เอ้อ, รวมเป็นลัทธิเดียวกันได้ ถือซ้ายหรือขวามันจะรวมกัน ทุกแขนง ซ้ายจะมีกี่แขนง ขวาจะมีกี่แขนง มารวมกัน เป็นธรรมาธิปไตย เป็นอะไรทำนองนั้น ไม่ใช้วิธีเฉียบขาดสำหรับเผด็จการ ฉะนั้นเราด่าจีนแดงว่าเผด็จการก็ระวังให้ดี เราจะโง่ลึก ถ้าเผด็จการเขามีศีลธรรมผมว่าถูก ถ้าเกิดจีนแดงมีศีลธรรมกว่าชาติไหน ๆ ทั้งหมดขึ้นมา มันคือผลของเผด็จการเผด็จการในส่วนวิธีการให้บรรลุวัตถุประสงค์ไม่ใช่เผด็จการทวยราษฎร์ ทรราช มีคนไม่เข้าใจคำว่าเผด็จการ ผมก็จะบอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นนักเผด็จการ อุดมคติเป็นสังคมนิยม แต่วิธีปฏิบัติงานของท่านคือเผด็จการ ต้องอย่างนี้อย่างอื่นไม่ได้ และตนเองอยู่ในกฎหมายด้วย หลักอันนี้ผมว่าก็ยังใช้ได้อยู่จนเดี๋ยวนี้ พระพุทธเจ้าอยู่เหนือวินัย อยู่เหนือกฎหมาย ทำอย่างเผด็จการ แต่อุดมคตินั้นสัตว์ทั้งหลายเป็นทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น พรหมจรรย์นี้เพื่อประโยชน์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เทวดาคือนายทุน มนุษย์คือชนกรรมาชีพ และลัทธินี้เพื่อประโยชน์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ทีนี้ถ้าเขาเข้าใจไปตามรูป เอาเทวดาไว้บนสวรรค์ ตายแล้วถึงไปถึง มนุษย์อยู่ที่นี่ มันก็ไม่มีทางที่จะตรงจุดของเรื่องราวอันแท้จริงนะ นี้ถ้าเราจะพูดส่วนดีของคอมมิวนิสต์คือเอาเนื้อแท้อันบริสุทธิ์เขามาพูด เราก็พูดถูกทางคอมมิวนิสต์ถูกตีตายไปก่อนก็ได้ ก่อนที่จะพูดจบ และคอมมิวนิสต์ก็ไม่รู้ว่าอะไรนะเดี๋ยวนี้ ผมดู ๆ ที่จริงรู้กันอยู่หลายแบบเหลือเกิน แล้วก็จนกระทั่งไม่รู้ว่าอะไรคือตัวคอมมิวนิสต์ ถ้าเอาศัพท์ก็คือเอาศัพท์หลักก็คือสังคมนิยม คอมมูน คอมมู หลาย ๆ คน มัน มันมีปัญหาร่วมกัน ก็คือมนุษย์ทั้งหลายมันมีปัญหาอย่างเดียวกัน คอมมิวนิสต์ที่แท้จริงคืออะไร ตัวอุดมคติมันว่าอย่างไร นี้รู้จักแต่ไอ้การปฏิบัติงานของคน สมุนคอมมิวนิสต์บ้า ๆ บอ ๆ ซึ่งมันก็ไม่รู้จักว่าคอมมิวนิสต์คืออะไร พวกผู้ก่อการร้ายมันก็ไม่รู้ว่าคอมมิวนิสต์คืออะไร บางทีมันก็ไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์
ถ้าเราสามารถทำความเข้าใจระหว่างศาสนา ทุกศาสนาเข้าใจกันได้อย่างเดียวกัน เราทำความเข้าใจระหว่างลัทธิการเมืองในโลก ทุกลัทธิเป็นหัวใจเดียวกัน เรื่องผลสำเร็จและใครจะพูดให้เชื่อ มันมีแต่ความระแวง ไม่ยอม แม้จริงก็ยังระแวง ไม่กล้า ไม่กล้ายึดถือหลักอย่างนี้เพราะกลัวฝ่ายโน้นจะเอาเปรียบ กลัวฝ่ายตัวเองถูกเอาเปรียบ ถ้ากลัวมากเกินไป เราก็ยิ่งทำไม่ได้ มันต้องยอม ยอมตายเพื่ออุดมคติบ้าง เช่นว่าเราจะไม่ฆ่าเขา นี่มันมีปัญหาเขากำลังจะฆ่าเรา นี่มันมีปัญหาอย่างนี้ ถ้าเราไม่ฆ่าคอมมิวนิสต์ คอมมิวนิสต์กำลังจะฆ่าเรา นี่มีปัญหาอย่างนี้ มันไม่กล้า กล้าทอดตัวว่า ฆ่าก็ฆ่า จะเอาจริง มันถูกต้องไว้เสมอนี่ มันไม่กล้า มันก็เลยต้องฆ่าตอบ บางทีฆ่าเสียก่อน ฆ่าด้วยความระแวง ทั้งสองฝ่ายมันจึงฆ่ากันด้วยความระแวงทั้งนั้น เรื่องจริงไม่มี นี่โลกกำลังถูกปกคลุมด้วยอวิชชาและโมหะ ลูกกำลังถูกครอบด้วยโมหะ จึงทำอย่างนี้ อยู่ในเวลานี้ มุนีคือผู้ไม่มีโมหะ คุณเกือบจะเข้าใจ คุณไปคิดเถอะ ปัญหาที่ถามอาตมา คุณเกือบเข้าใจ นะหมดเวลาแล้ว เลย ๕ โมงแล้ว เดี๋ยวก็จะได้ทำอะไรกันต่อไปอีก
[T1]ไม่รู้ตัวสะกด
[T2]ไม่รู้ตัวสะกด
[T3]ไม่รู้ตัวสะกด
[T4]ไม่รู้ตัวสะกด
[T5]ไม่แน่ใจตัวสะกด
[T6]ฟังไม่ชัด
[T7]ไม่แน่ใจตัวสะกด
[T8]ไม่รู้ตัวสะกด
[T9]ไม่รู้ตัวสะกด
[T10]ไม่รู้ตัวสะกด
[T11]ไม่รู้ตัวสะกด
[T12]ไม่รู้ตัวสะกด
[T13]ฟังไม่ชัด
[T14]ฟังไม่เข้าใจ
[T15]ไม่แน่ใจ
[T16]ไม่รู้ตัวสะกดชื่อ
[T17]ฟังไม่ชัด
[T18]ฟังไม่ชัด
[T19]ฟังไม่ชัด
[T20]ฟังไม่ชัด
[T21]ฟังไม่ชัด
[T22]ฟังไม่ชัด ท่านพูดไปด้วยหัวเราะไปด้วย
[T23]ฟังไม่ใช่ คุณคนที่แกะเทปครั้งแรกเขียนว่า “พุทธคุณเมา” แต่ก็ไม่คิดว่าจะใช่
[T24]ฟังไม่ชัด