แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ก็พยายามป้องกันแก้ไขอย่าให้ไก่มันหัวเราะเอา แม้แต่สุนัขก็เหมือนกันแหละ อย่าให้สุนัขมันหัวเราะเอา มันจะอายสุนัข อย่างนี้มันจะช่วยได้ ที่ทั้งสองฝ่ายนี่ ทำไมจึงไม่สามารถที่จะใช้อุดมคติอย่างมนุษย์หรือของมนุษย์ ทำไมต้องใช้อาวุธ ทำไมต้องใช้กำลัง ทำไมต้องใช้ความคดโกง อีกมากมายหลายประการในการเอาเปรียบกัน ทำลายกัน ทำไมไม่ใช้อุดมคติอย่างมนุษย์ ของมนุษย์ เพื่อจะแก้ปัญหาเหล่านี้ หรือว่าทำไมไม่ใช้การทำความเข้าใจซึ่งกันและกันอย่างถูกต้องมาแก้ปัญหาเหล่านี้ ทำไมจะต้องใช้กำลัง ทำไมจะต้องใช้อาวุธ มันผลุนผลันหรือว่ามันโง่ไปแล้วกระมัง หรือว่าทำไม มันไม่ใช้ความเกลี้ยกล่อมปรับทุกข์กันมาเป็นเครื่องแก้ปัญหาเหล่านี้ เกลี้ยกล่อมซึ่งกันและกัน ปรับทุกข์กัน ว่าเราก็เป็นสัตว์ เพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ทำไมจะต้องมาฆ่าฟันกัน ล้างผลาญกัน ทำไมไม่ใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือแก้ปัญหา ทำไมจะต้องแก้ปัญหาด้วยกำลัง หรือด้วยอาวุธ ด้วยเลือด นี่มนุษย์แก้ปัญหาซึ่งมนุษย์สร้างขึ้นเองไม่ได้ แล้วจะเป็นมนุษย์ไปทำไม สัตว์เดรัจฉานมันไม่ได้สร้างปัญหาขึ้นมาเลยในหมู่สัตว์เดรัจฉาน แต่มนุษย์ในหมู่มนุษย์ สร้างปัญหาสำหรับมนุษย์ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว รุนแรง เผ็ดร้อน แล้วมนุษย์ก็แก้ปัญหานี้ไม่ได้ แต่จะไปแก้กันด้วยเลือด ด้วยการฆ่าฟัน นี่สัตว์เดรัจฉานหัวเราะ ขออย่าทำให้สัตว์เดรัจฉานหัวเราะ อย่าทำให้ผีหัวเราะ พยายามแก้ปัญหาได้ด้วยความเป็นมนุษย์ของตน มีใจสูง ประกอบไปด้วยคุณธรรมอย่างมนุษย์
ทีนี้ทำไม กว้าง ๆ อีกที มีปัญหาว่าทำไม อย่างกว้าง ๆ ครอบคลุมจักรวาลอีกที ว่าทำไมคนจึงแก้ปัญหาไม่ได้ ทำไมคนจะต้องเลวกว่าสัตว์ หรือทำไมคนจะต้องเลวกว่าผี ทำไมคนจะต้องเลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน เพราะแก้ปัญหาที่สร้างขึ้นเองไม่ได้ ขอให้ช่วยย้ำคิดหน่อยว่า สัตว์เดรัจฉานไม่สร้างปัญหา หรือว่าสร้างปัญหา มันก็แก้ของมันได้ แต่มนุษย์นี้สร้างปัญหา แล้วก็สร้าง แล้วแก้ปัญหาที่ตนสร้างขึ้นมาไม่ได้ ทำไม มันเลวกว่ามนุษย์หรืออย่างไร มันเลวกว่าสัตว์เดรัจฉานหรืออย่างไร จะทำอย่างไร หรือทำไมไม่ ไม่ ไม่รู้จักพ้นสาปกันเสียที พระเจ้าได้สาปไว้ให้มนุษย์นี่ ตั้งแต่มันฆ่าน้องของมันแล้วนี่ อย่าให้มันพูดกันรู้เรื่อง ให้มันพูดภาษาต่างกัน ให้มันแยกกันไกล ไกลจนจำไม่ได้ เห็นเข้าทีไรก็เป็นปรปักษ์กันทุกที นี้เป็นคำสาปของพระเจ้า จนคนหนึ่งเดินไปทางยากจน คนหนึ่งเดินไปทางความมั่งมี แล้วก็พูดกันไม่รู้เรื่องแล้วก็มุ่งแต่จะฆ่ากัน นี้คือคำสาปของพระเจ้า ทำไมไม่แก้ปัญหานี้ให้พ้นคำสาปของพระเจ้าเสียที มาอยู่ในมนุษย์ที่ว่า มีอะไรเหมือนกันเลย ดิน น้ำ ลม ไฟ อะไรเหมือนกัน มีความเป็นทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกัน มีปัญหาอย่างเดียวกัน มีหัวอกอย่างเดียวกัน ทำไมไม่ทำให้พ้นสาป คำสาป คำแช่งของพระเจ้าเสียที นี่สัตว์มันคงที่ มันไม่สร้างปัญหา มนุษย์มันสร้างปัญหา จนเตลิดเปิดเปิง เตลิดไปจนกลายเป็นเลว ถ้าอย่างนี้หละสัตว์มันดีกว่ามนุษย์ เพราะมันไม่เคยถูกสาป ไม่ถูกพระเจ้าสาปแช่งให้มันมีแต่ความเลวร้าย ด้วยการฆ่าฟันกัน ด้วยการทำลายล้างกัน นี่คือทำไม ทำไม นะ ช่วยไปคิดว่าทำไม ทำไม สรุปความอีกทีว่า ทำไมคนจนจะต้องทำลายล้างคนมั่งมี ไม่มีฝีไม้ลายมือยกตัวเองหรืออย่างไร ทำไมไม่ทำลายอบายมุข อย่างรวมหัวกันสไตร์ค ทำลายอบายมุขให้หมดไปจากโลก ทำไมไม่ยอมรับอำนาจของธรรมชาติ ที่จะต้องแบ่งแยกให้สัตว์แตกต่างกันไปตามกรรมของตน จนบ้าง มีบ้าง สวยบ้าง ไม่สวยบ้าง สามารถบ้าง ไม่สามารถบ้าง ทุพพลภาพบ้าง แข็งแรงบ้างอะไรอย่างนี้ ต้องยอมรับ ทำไมจึงไม่ยอมรับ ทีนี้คนมั่งมีทำไมจะต้องถูกฆ่า ทำไมจึงจะต้องให้ความโง่ของตนเองทำให้เขาเกลียดชัง ทำไมไม่สร้างความมั่งมีลงบนการสงเคราะห์คนยากจน ทำไมต้องไปก่อเวรไม่สิ้นสุดกันระหว่างคนสองฝ่ายนี้ ทำไมจะต้องให้ผีหัวเราะ ทำไมจะต้องให้สัตว์เดรัจฉานหัวเราะ ทำไมไม่ใช้คุณสมบัติของมนุษย์เพื่อจะแก้ปัญหา ด้วยอุดมคติ ด้วยการทำความเข้าใจ ด้วยการเข้าถึงความจริงด้วยกันทั้งสองฝ่าย ทำไมมนุษย์จะต้องดูว่า มันเลวกว่าสัตว์ สร้างปัญหาขึ้นมาแล้ว แก้ปัญหาของตนไม่ได้ ทำไม สิ่งที่เรียกว่าทำไม ที่ควรจะตอบและต้องตอบให้ได้ว่า ทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้น
ทีนี้ข้อสุดท้ายที่จะต้องพูดก็คือการกลับมาแห่งศีลธรรม ได้ ได้ขอร้อง ได้ชักชวนให้ดู ให้มันทั่วถึงเสียก่อน ว่าปัญหามันได้เกิดขึ้นแล้วในหมู่มนุษย์ในปัจจุบันนี้อย่างไร มีลักษณะแห่งปัญหาต่าง ๆ อย่างไร และมันมาจากมูลเหตุอย่างไร ให้ย้อนดูประวัติศาสตร์ทางจิต ทางวิญญาณของมนุษย์เรา จนกระทั่งตอบปัญหาว่าทำไม ทำไม ทำไม เหล่านี้ได้ ถ้ามาถึงจุดนี้แล้ว ก็คงจะพูดกันรู้เรื่องในการที่ว่าทำอย่างไรศีลธรรมจะกลับมา ซึ่งเป็นหัวข้อที่ตั้งใจสำหรับจะพูดในวันนี้ว่าการกลับมาแห่งศีลธรรม ก็เผลอไปพูดเรื่องปลีกย่อย เรื่องประกอบเสียมากมายจนรู้สึกเหนื่อยแล้ว แต่ก็จะทนพูดต่อไปให้มันจบเรื่องว่า การกลับมาแห่งศีลธรรมมันเป็นอย่างไร สิ่งที่ต้องรู้ ต้องเข้าใจ และต้องปฏิบัตินั่นแหละคือศีลธรรม พูดกำปั้นทุบดิน เอาเปรียบหน่อย แต่ก็พอจะมองเห็นได้ เมื่อถามว่าศีลธรรมคืออะไร ก็จะตอบว่า ไอ้สิ่งที่มนุษย์ต้องรู้ ต้องเข้าใจ และต้องปฏิบัตินั่นแหละคือศีลธรรม นอกนั้นไม่ต้อง นอกไปจากศีลธรรมแล้วไม่ต้องไปรู้ ไปเข้าใจ หรือไปปฏิบัตินั้น ศีลธรรมมันเลยมีความหมายกว้างไปทุกอย่าง เรื่องทำให้รอดชีวิตอยู่ รอดชีวิตอยู่อย่างไรจึงจะมีความผาสุก ถ้าปัญหาเกิดขึ้นแล้วจะต้องแก้ไขอย่างไร นี้เรียกว่าเป็นความรู้เรื่องศีลธรรมทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจึงตอบอย่างเอาเปรียบว่า ศีลธรรมคือสิ่งที่มนุษย์ต้องรู้ ต้องเรียนรู้ ต้องเข้าใจมันอย่างทั่วถึง และก็ต้องปฏิบัติมันให้ได้ นั่นแหละคือศีลธรรม ซึ่งจะต้องกลับมา เดี๋ยวนี้มนุษย์มันไม่รู้ มันเกิดมาทีหลังเมื่อศีลธรรมเสื่อมแล้ว มันไม่รู้ ไอ้ลูกเด็ก ๆ นี่น่าสงสาร เกิดมาในภาวะที่เต็มไปด้วยความไร้ศีลธรรม ก็เข้าใจผิดได้ ฉะนั้นช่วยเหลือกันให้ดี ๆ ประคับประคองลูกเด็ก ๆ ให้ดี อย่าให้เกิดความเข้าใจผิดในข้อนี้นะ เดี๋ยวมันจะเข้าใจไปว่าศีลธรรม คือสิ่งที่เขาทำ กระทำกันอยู่ในบัดนี้ แล้วมันจะฉิบหายหมด ให้เขารู้ว่าศีลธรรมน่ะมันคือตรงกันข้ามกับที่เขาทำกันอยู่โดยมากในบัดนี้
ทีนี้จะพูดถึงความหมายที่สมบูรณ์ สมบูรณ์โดยใจความ สมบูรณ์โดยใจความของคำว่าศีลธรรม ศีลธรรมแปลว่าภาวะปรกติ เพราะฉะนั้นจึงแปลว่า ข้อหนึ่ง ภาวะปรกตินั่นแหละคือศีลธรรม เพราะศีล (สี-ละ) นั้นแปลว่าปรกติ ช่วยจำไว้ด้วย บางคนก็รู้ดีแล้ว บางคนก็ยังไม่ทราบว่าคำว่าศีล ศีล นั้นมันแปลว่าปรกติ ไม่ระส่ำระสาย ไม่วุ่นวาย ไม่มีปัญหา และศีลธรรมก็คือภาวะ หรือสิ่งที่เป็นอย่างนั้น ทีนี้ปรกตินี้ขยายความออกไปได้ว่า ทุกสิ่งเลย ถ้ามันปรกติแล้วก็ต้องเรียกว่ามีศีลธรรม แม้ไม่มีชีวิตก็ได้ ถ้าคนปรกติก็คนมีศีลธรรม สัตว์ปรกติก็สัตว์มีศีลธรรม มีภาวะแห่งศีลธรรม พืชพรรณธัญญาหาร ต้นไม้ ต้นไร่ อยู่อย่างปรกตินี้ก็เรียกว่า มีภาวะลักษณะแห่งศีลธรรม กระทั่งก้อนหิน ก้อนดิน กรวดทรายทั้งหลาย ถ้ามันอยู่อย่างปรกติ เพราะมันอยู่ในภาวะแห่งศีลธรรม แต่นี่สิ่งที่ไม่มีชีวิตเช่น ก้อนหิน ก้อนดินนี้มันไม่มีปัญหา มันไม่ต้องพูดถึงก็ได้ ยกออกไปซะเลย และมันก็จะมีความปรกติเป็นศีลธรรมอยู่ตามธรรมชาติ เว้นไว้แต่มนุษย์อันธพาล จะไปทำลายมัน จะไปคุ้ยเขี่ย ยื้อแย่งมัน มันจึงจะเสียความปรกติของแผ่นดินโลก ทีนี้ไอ้พืชพรรณธัญญาหาร ต้นไม้ ต้นไร่ทั้งหลาย ถ้าปล่อยไปตามเรื่องมันก็ปรกติ ต้องมีอะไรมาแทรกแซงมันจึงจะผิดปรกติ แต่เดี๋ยวนี้มนุษย์เป็นผู้ทำลายมากที่สุด จนต้นไม้ พืชพรรณทั้งหลาย มันเสียความเป็นปรกติ ทีนี้สัตว์เดรัจฉานทั่วไปทั้งในป่า ในบ้านอะไรก็ตาม ถ้าปล่อยไปตามเรื่อง มันก็ปรกติ ทีนี้มนุษย์ก็ไปแทรกแซงจนเสียปรกติ ทีนี้คน ถ้าอยู่อย่างคน อย่างมนุษย์มันก็ปรกติ เดี๋ยวนี้กิเลสมันเข้ามา เพราะว่าความเจริญอย่างกิเลสนั้นมันก้าวหน้า คนก็เลยสูญเสียความปรกติในลักษณะต่างๆ อย่างที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น เพราะเดี๋ยวนี้เราไม่มีศีลธรรมกันอย่างไร ถ้าเอาไอ้ภาวะไร้ศีลธรรมออกไปเสีย มนุษย์ก็จะกลับมีความปรกติเหมือนเช่นเดิมได้ สรุปความแล้วก็คือว่า ศีลธรรมนั้นคือภาวะปรกติ ซึ่งมีได้ทั้งแก่คน แก่สัตว์ แก่ต้นไม้ และแก่วัตถุที่ไม่มีชีวิตวิญญาณทั้งหลาย นี่ข้อที่หนึ่ง
ทีนี้ข้อที่สองศีลธรรมคือ การปฏิบัติเพื่อให้เกิดภาวะปรกตินั้น ๆ หรือเช่นนั้น นี้หมายถึงตัวการปฏิบัติ ที่ต้องปฏิบัติทางกาย ทางวาจา ทางใจ ที่ทำให้เกิดความปรกติขึ้นในหมู่มนุษย์ ฉะนั้นการปฏิบัตินี้คือศีลธรรม
ทีนี้อันที่สาม ผลที่มันเกิดขึ้นมาจากการปฏิบัตินั้น นั่นเป็นตัวศีลธรรมแท้ คือภาวะปรกติแท้ มนุษย์อยู่ด้วยความสงบผาสุก ไม่มีเบียดเบียนกันเลย นั่นคือศีลธรรมในแง่ของผลแห่งการปฏิบัติ สรุปอีกทีหนึ่งว่า ศีลธรรมคือภาวะปรกติ และการปฏิบัติเพื่อให้เกิดภาวะปรกติ และภาวะปรกติที่ได้เกิดขึ้นมาจริง ๆ นี้คือศีลธรรม
เอ้า, ทีนี้ เราต้องการภาวะปรกติ แล้วมันมีไม่ได้ เพราะว่าเราเจริญในวัตถุมากเกินไป หล่อเลี้ยงกิเลสมากเกินไป ถ้าเราจะมีศีลธรรมเราต้องขจัดไอ้สภาพที่ไร้ศีลธรรมเหล่านั้นเสีย ทีนี้เราจะทำอย่างไร เราก็ควรจะรู้ไอ้รากฐานอันแท้จริง หรือมูลเหตุอันแท้จริงของศีลธรรมกันบ้างตามสมควร รากฐานอันสำคัญ อันสำคัญที่สุด ยกขึ้นเป็นประธานหรือเป็นหลักอันใหญ่ของศีลธรรมนั้น อาตมาอยากจะกล่าวลงไปว่า การยอมรับสัจจะที่ว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น นี่พูดกันหลายครั้งแล้ว คงจะจำได้แล้วว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น อันนี้เป็นสัจจะ อันนี้เป็นความจริงของธรรมชาติ พอไม่ยอมรับข้อนี้เท่านั้นจะเกิดการเบียดเบียน แล้วก็อยู่กันไม่เป็นผาสุกเลย ทั้งสัจจะ ของสัจจะ ของธรรมชาติ ของอะไรก็แล้วแต่จะเรียก มันมีอยู่ว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ขอให้ดูเหอะ มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ทุกคนเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย มีปัญหาเหมือนกัน มีอะไร ๆ เหมือนกัน มีหัวอกเดียวกัน ทีนี้ก็เขยิบออกไปถึงสัตว์เดรัจฉาน มันก็เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ลองไม่มีสัตว์เดรัจฉาน โลกนี้ก็ยากที่จะมีอยู่ได้ ไปถึงต้นไม้ก็เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายกับเรา ไม่มีต้นไม้เราก็อยู่ในโลกนี้ไม่ได้ ลองไม่มีต้นไม้ โลกนี้ก็เป็นไฟแล้วก็ตายหมด แม้สัตว์เดรัจฉานที่ทำให้ต้นไม้อยู่ได้ เช่นนกทั้งหลายที่ปราบศัตรูของต้นไม้ ต้นไม้อยู่ได้นั้นก็เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายของต้นไม้ แล้วก็เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายของมนุษย์ด้วย ถ้าไม่มีสัตว์เหล่านี้ ต้นไม้ก็ไม่มี แล้วคนก็ต้องตาย เราเลยถือเอาว่าแม้แต่สัตว์เดรัจฉาน แม้แต่ต้นไม้นี่ก็เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายของคนเราด้วย เพราะมันเป็นสิ่งที่มีชีวิต ก็เลยพูดเสียว่าบรรดาสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายก็ต้องเป็นเพื่อนร่วมชีวิตแก่กันและกันทั้งหมดทั้งสิ้น นี้เป็นสัจจะ ที่ต้องยึดถือเป็นข้อแรกว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ในฐานะที่มันเป็นธรรมสัจจะ คือเป็นของจริงตามธรรมชาติ ธรรมดา นี้เราเรียกว่า ธรรมสัจจะ เรายอมรับธรรมสัจจะว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น และต้องรับสัจจะนี้ในฐานะเป็นบรมสัจจะ คือสัจจะสูงสุด สูงสุดกว่าสิ่งใดในทุกแง่ทุกมุม สัจจะนี้สูงสุดกว่าสิ่งใดในทุกแง่ทุกมุม ไปคิดเถอะ สำหรับมนุษย์ที่จะเป็นอยู่อย่างมนุษย์นี่ อันนี้จะเป็นสัจจะสูงสุด และก็ยังจะเป็น อันติมสัจจะ คือสัจจะที่เฉียบขาด เด็ดขาด ไม่ยอมให้โต้แย้ง โต้แย้งไม่ได้ที่ไม่ยอมรับข้อนี้ ถ้าโต้แย้งคือไม่ทำตามแล้วมนุษย์จะวินาศเอง อย่างนี้เราเรียกว่า อันติมสัจจะ เป็นสัจจะที่เฉียบขาดถึงที่สุด จะดูมันในแง่ของธรรมสัจจะเป็นของจริง ของธรรมชาติก็ได้ จะดูมันในฐานะเป็นบรมสัจจะ สัจจะสูงสุดไม่มีอะไรยิ่งกว่าก็ได้ หรือจะดูมันในแง่ของ อันติมสัจจะ สัจจะที่เฉียบขาด มีในที่สุด ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่านี้ คือมันไม่ยอมให้ใคร มัน Absolute truth มันจริงอย่างเฉียบขาด ก็ต้องมีความหมายอย่างเดียวกันว่า สัตว์ทั้งหลายต้องอยู่กันอย่างเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น พอใครไม่ยอมรับข้อนี้ ทำให้ผิดไปจากข้อนี้ ก็คือต่อสู้กับสัจจะ แล้วก็จะวินาศเอง หรือจะพลอยวินาศตาม ๆ กันไปด้วย หลายทิศทางก็ได้
นี่สัจจะนี้เป็นรากฐานของศีลธรรมในชั้นที่เป็นประธาน เป็นประมุข ขอร้องให้ท่านทั้งหลายไปทบทวนดูใหม่ ตลอดวันตลอดคืน มองความจริงข้อนี้อยู่เสมอว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น พอสัจจะข้อนี้ถึงใจมนุษย์แล้ว สถาบันนายทุนและชนกรรมาชีพจะสลายหายวับไปกับตาไม่มีเหลือ และเราก็สามารถจะช่วยแก้ไขให้มันหายลับไปกับตาได้ในเวลาอันรวดเร็ว นี่ยกตัวอย่างเพียงเท่านี้ดีกว่า มองว่าเป็นสัจจะกี่มากน้อย ไปเร่งทำความเข้าใจข้อนี้เถอะ ก็เหมือนกับพระเจ้าในทุก ๆศาสนามาโปรดให้มนุษย์นี้รอดได้ รวมทั้งพุทธศาสนาด้วย คือบรมธรรมมันมาช่วย ให้มนุษย์มีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องแล้วก็แก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ ไม่มีมึง ไม่มีกู ไม่มีของมึง ไม่มีของกู โดยอำนาจสัจจะอันนี้ แล้วมันก็เลิกปัญหาต่าง ๆ ได้
ทีนี้ก็รากฐานชนิดที่เป็นองค์ประกอบทั้งหลาย ที่กล่าวไปแล้วนี้เป็นรากฐานชั้นประธาน ชั้นประมุขนะว่าสัจจะที่ว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ เป็นองค์ประธานของรากฐานแห่งศีลธรรม ทีนี้รากฐานในชั้นเป็นองค์ประกอบ เป็นเครื่องมือก็มีอยู่มาก จะยกมาพอสมควรแก่เวลา
ข้อหนึ่ง การบังคับความรู้สึก ซึ่งเราเคยเรียกกันว่า การบังคับตัวเอง หรือบังคับจิตก็ตาม บังคับความรู้สึก เป็นศีลธรรมโบรมโบราณ สุดที่จะกล่าว กำเนิดของศาสนาทุกศาสนามีมูลขึ้นมาด้วยรากฐานอันนี้คือบังคับความรู้สึก สอนให้บังคับความรู้สึก ความรู้สึกที่เป็นความโลภก็ได้ ความโกรธก็ได้ ความหลงก็ได้ เป็นความรู้สึกที่ต้องบังคับ เดี๋ยวนี้คนไม่บังคับความรู้สึกเพราะว่าเป็นทาสของวัตถุ ที่มันยั่วความรู้สึก ที่พูดมาแล้วข้างต้นว่าโลกเจริญในวัตถุ วัตถุสวยงามอะไรต่าง ๆ มาทำให้คนรู้สึก แล้วคนก็ไม่อยากจะบังคับความรู้สึก ก็จะได้เอร็ดอร่อย สนุกสนานไปตามความรู้สึก ฉะนั้นจึงปล่อยไปตามความรู้สึก อยากกำหนัด อยากโลภะก็ทำไป อยากโกรธก็ทำไป อยากโง่ อยากหลงใหลก็ทำไป ขอระบุว่าหากการศึกษาของคนไทยเรามันผิดเพราะไปตามก้นฝรั่ง ฝรั่งสมัยก่อนบังคับความรู้สึกเก่งกว่าคนไทยเพราะมันเคร่งครัดในศาสนาเหมือนกัน ศาสนายิวบังคับความรู้สึก ศาสนาคริสเตียนก็บังคับความรู้สึก เมื่อฝรั่งเขายังเคร่งในศาสนาเขาก็บังคับความรู้สึก เป็นตัวอย่างที่ดี ที่สุด นั้นฝรั่งเองนั่นแหละจึงมองหาแต่การบังคับความรู้สึก บังคับตัวเองได้ ในมหาวิทยาลัยทั้งหลายเช่น Oxford Cambridge เมื่อ ๓๐๐ ปีมานี้ เขาก็มีเป้าหมายของการศึกษา จบมหาวิทยาลัย คือเป็นสุภาพบุรุษผู้บังคับความรู้สึกได้ เท่านั้นแหละ มีเท่านั้น แล้วก็หมดปัญหาสำหรับเป็นมนุษย์ เดี๋ยวนี้เปลี่ยนหมด ค่อย ๆ เปลี่ยนไปหาเทคโนโลยี หาความเก่ง ความกาจ ในทางประกอบอาชีพ ในแขนงต่าง ๆ กัน ศีลธรรมเรื่องบังคับความรู้สึกก็หายไป มหาวิทยาลัยทั้งหลายเป็นเรื่องอาชีพไปหมด ไม่มีศีลธรรมที่บังคับความรู้สึก เหมือนแต่ก่อน นี่ฝรั่งเริ่มเปลี่ยน คนไทยก็ตามก้นฝรั่งด้วยความโง่เขลา ไปรับเอาระบบการศึกษาที่ไม่บังคับความรู้สึกเอามา ดังนั้นลูกเด็ก ๆ ในโรงเรียนก็ ฮา ฮา ฮา เมื่อครูพูด เมื่อครูสอน ไม่มีการบังคับความรู้สึก มันก็เลยลุกลามไปถึงไม่บังคับความรู้สึกทั้งหลายที่เกิดขึ้น สิ่งที่ไม่เคยทำก็ทำขึ้นมา สิ่งที่เคยเห็นว่าน่าเกลียด น่าชัง มันก็นิยมกันขึ้น จนไม่เห็นว่าน่าเกลียด น่าชัง เพราะฉะนั้นฝรั่งสมัยโบราณโน้นก็บังคับความรู้สึก เดี๋ยวนี้ไม่บังคับความรู้สึก มันต่างกัน ทีนี้เราพูดว่าตามก้นฝรั่ง ตามก้นฝรั่งสมัยปัจจุบันซึ่งไม่บังคับความรู้สึก อยากจะจูบกันที่ไหน เมื่อไรก็ได้ ที่สนามบินก็ได้ ที่รถไฟก็ได้ ท่าเรือก็ได้ ตามถนนก็ได้ ห้องรับแขกก็ได้ ไอ้คนไทยเราฝ่ายตะวันออกนี่ทำไม่ได้ เมื่อก่อนนี้มันทำไม่ได้ อย่างผัวเมียจากกันนาน ๆ มาถึงวันนี้ก็จะทำอย่างนั้นไม่ได้ ต้องรอให้ค่ำมืดเสียก่อน แต่พวกฝรั่งเขาจะจูบกันระทางมาตั้งแต่สนามบิน ท่าเรือ ขึ้นรถ บันได แล้วเราก็ไปตามก้นเขา พ่อจะไปทำงานที่ออฟฟิศต้องจูบภรรยาที่หัวบันไดเสียก่อนแล้วถึงไปนี่ มันตามก้นมากอย่างนี้ที่ว่าไม่บังคับความรู้สึก นี่ภูตผีปีศาจแห่งการไม่บังคับความรู้สึก มันก็ลุกลามถึงที่สุดในข้อนี้ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องกามอารมณ์ เรื่องราคะอย่างเดียว เรื่องโทสะก็ต้องบังคับ อย่างสมัยก่อนเขาก็บังคับไม่ให้ใครรู้ว่าเราโกรธ หรือเรื่องที่จะไปโง่ ไปหลง ไปบูชานั่นนี่ ก็บังคับ ก็เป็นบังคับทั้งโลภะ โทสะ โมหะหมด เดี๋ยวนี้ก็ไม่บังคับ อยากรักก็รัก อยากโกรธก็โกรธ อยากจะหลงใหลอะไรก็หลงใหลโดยไม่ต้องมีใครมาห้ามปราม ฉะนั้นพอเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วมันก็ไปสูบเฮโรอีนบ้าง เป็นฮิปปี้บ้าง เป็นอะไรบ้าง เพราะมันไม่บังคับความรู้สึกอย่างเดียวเท่านั้น
เดี๋ยวนี้ที่น่าเกลียดที่สุดก็คือหัวเราะ เพราะโรงเรียนสอนมาผิด เด็ก ๆ หัวเราะมากเกินไป สอนผิดมาตั้งแต่ชั้นอนุบาล ลูกเล็ก ๆ เลย เมื่อก่อนนี้ก็หัวเราะเมื่อครูสอนไม่ได้หรอก เมื่ออาตมาเป็นเด็ก ๆ นี้ไม่ได้ ถูกตี จะไปหัวเราะเมื่อครูสอน ทีนี้มันเปลี่ยนหมดเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ ทุกคนมาที่นี่ เต็มไปด้วยการหัวเราะ นักเรียนชั้นโรงเรียนเตรียมฯ ก็มี ชั้นมหาวิทยาลัยก็มี คอยแต่จะหัวเราะเรื่อย อาตมาพูดอะไรไม่ทันจะขัน มันก็หัวเราะ เตรียมจะหัวเราะแล้ว ไอ้ที่พูดเข้าใจไว้ดี ๆ น่ะ มันหัวเราะฮาเดียวมันเลือนหมด หายหมด นี้อันตรายมาก พร้อมที่จะหัวเราะ เพื่อจะลบให้มันหายไปหมดในความรู้สึกที่ได้สร้างขึ้นมาดีแล้ว เอ้า, ไหน ๆ เล่าแล้ว ก็เล่าเสียเลยว่า เมื่อไปสอน ประชาชน ๑๔ จังหวัดเมื่อหลายปีมาแล้วนี้ ประสบปัญหาอย่างนี้จนอ่อนใจ ประชุมราษฎรแล้วก็สอนให้เห็นไอ้โทษของอบายมุข จนเขาก็กลัวและเศร้า ให้มี สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ เพื่อจะแก้ปัญหาเหล่านั้น เขาก็เข้าใจและพร้อมที่จะปฏิบัติ พออาตมาพูดเสร็จ จบหน้าที่อาตมาแล้วทีนี้ก็พวกอนุศาสนาจารย์ของกระทรวงเขาก็บรรยายต่อ เขาเล่านิทานเรื่องกินลูกหมาบ้าง เรื่องปลดกระเบนรับศีลบ้าง อะไรบ้าง หัวเราะฮา ๆ จนหมดเลย ไอ้ที่อาตมาพูดไว้มันเลือนหายหมด ไอ้ความเครียด ไอ้ความเข้าใจมันหายหมด ไปหัวเราะกัน ยี่สิบครั้ง สามสิบครั้งมันก็เลือนหายหมด ทุกหนทุกแห่งที่ไปสอน จึงถือว่ามันไม่ได้ผลจนกระทั่งบัดนี้ เราไปสอน เราไปสร้างขึ้นให้มันเกิดความสังเวช ความตั้งใจที่จะปฏิบัติ เขาก็ไปลบรอยหายหมดด้วยการทำให้ฮา จึงขอประกาศ ประกาศสงครามดีกว่า แก่การฮา การหัวเราะนี้ ว่าเป็นสิ่งที่เลวร้าย ซึ่งมนุษย์ไม่เคยมีมาแต่ก่อน ถ้าเป็นหญิงสาวอย่างสมัยโบราณทำอย่างนี้ก็ถูกแช่งตาย เดี๋ยวนี้หญิงสาวสมัยนี้ก็ ฮา ๆ ๆ เหมือนกับเด็กผู้ชาย ไปทำอะไรที่ไม่น่าดู เพราะไม่บังคับความรู้สึก
นี่ก็ขอพูดอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งอย่าถือว่าลามปามอะไรมากนัก พอที่จะ จะพูดให้คิดว่าเป็นการพูดที่เป็นที่ระลึกมากกว่า และสมทบไอ้การทำอะไรที่มันจะเป็นเครื่องบูชาคุณของในหลวงรัชกาลนี้ เนื่องด้วยการหัวเราะ เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ก่อนหน้าวันเฉลิมฯ มีคนไปเฝ้าถวายพระพรในหลวงถึงวังจิตรลดาตั้งสองพันคน ในหลวงท่านให้โอวาท ต้อนรับ ปราศรัย เมื่อท่านพูดถึงคำว่า เดี๋ยวนี้เขาหาว่าไทยแลนด์นี้ กลายเป็น ตายแลนด์แล้ว ไทยแลนด์ กลายเป็น ตายแลนด์แล้ว มีเสียงฮา ในวิทยุ ได้ยินมาถึงที่นี่ ว่าคนฟังเหล่านั้นมีฮา ฮาว่าในหลวงพูดคำนี้ อาตมาสงสัยว่าวิทยุของเรามันจะบ้าหรือว่ามันจะพิลึกกระมัง มันเกิดเสียงซู่ซ่าอะไร ไปถามคนอื่นก็เหมือนกันแหละ ก็ได้ยินเสียงฮาเหมือนกัน ก็เป็นที่เชื่อได้ว่ามีคนฮาเมื่อในหลวงพูด ตรัสข้อความนี้ มาถึงคำว่าฟันปลอมก็มีฮา และอื่น ๆ อีกสี่ ห้าฮา กว่าในหลวงจะตรัสจบนี่มี สี่ ห้า ฮา สมัยก่อนทำได้ที่ไหน แล้วก็ดูว่าไอ้ความรู้สึกนั้นเป็นอย่างไร การฮานั้นมันทำให้กลบเกลื่อนลืมเลือนหายไปหมด สิ่งที่ตั้งใจจะพูดให้เข้าใจ ให้สลด สังเวช ให้เตรียมพร้อมเพื่อแก้ไขนี่มันลบไปหมดด้วยการฮา และแสดงความไม่เคารพด้วย วัฒนธรรมนี้เสื่อมมากแล้ว พร้อมที่จะฮา และฮาในเมื่อบุคคลที่สูงสุดกล่าวนี่มันไม่ไหวแล้ว ใครจะโกรธ จะด่าอาตมา จะแช่งอาตมาก็ยอมรับบอกว่า ไม่ไหวแล้ว เมื่อมันมีฮาถึงขนาดนี้แล้ว ก็ไม่มีอะไรเหลือแล้ว ไปช่วยคิดกันใหม่เถอะ ว่านี่คือการไม่บังคับความรู้สึก เป็นอันตรายอย่างยิ่ง ของสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรม ต้องบังคับความรู้สึก อยู่ในความหมายของคำว่าหัวเราะ คือฟุ้งซ่าน คือไม่มีสมาธิ และก็ได้พูดให้มีความเป็นสมาธิ มีความหมายมั่น มีจุดประสงค์อันแน่นอนนี้มันลบเลือนหมด ด้วยการหัวเราะ คือความฟุ้งซ่าน นี่คงเป็นอย่างนี้กันทั้งโลกมาแล้วก็ได้ เพราะว่าคนไทยนี้ชอบตามก้นคนอื่น นี่คงไปตามก้นฝรั่งเอามา ที่ฮาแม้แต่ในหลวงตรัส
มีตัวอย่างอย่างอื่นที่คล้ายกันยังมีอีกมาก นี่ยกตัวอย่างที่น่าเศร้ามาพูดให้ฟัง ว่าศีลธรรมมันเสื่อมถึงขนาดนี้แล้ว ฉะนั้นถ้าเราจะต้องให้ ถ้าเราต้องการให้กลับมา เราต้องทำในลักษณะที่ตรงกันข้าม จึงขอร้องให้ท่านทั้งหลายทุกคนนี่ บังคับความรู้สึก ต่อไปนี้ ในฐานะเป็นของใหม่ สำหรับปีใหม่ เน้นถึงการบังคับความรู้สึก อยากจะโลภ อย่าโลภ อยากจะกำหนัด อย่ากำหนัด อยากจะโกรธอย่าโกรธ อยากจะโง่หลง อย่าไปโง่หลง บังคับความรู้สึกแล้วไอ้ความชั่วร้ายจะหายไปจากโลก ความเลวร้ายทั้งหลายเกิดขึ้นในโลกเพราะมนุษย์ไม่บังคับความรู้สึก ถ้าคุณผู้ชายเหล่านี้บังคับความรู้สึกได้ โรงอาบอบนวดและโสเภณีทั้งหลายมันปิดเองแหละ ไม่ต้องมีใครปิด เพียงแต่เราบังคับความรู้สึก ไอ้สิ่งเลวร้ายก็มันปิดตัวเองได้ กระทั่งคุกตะรางก็ปิดได้ บังคับความรู้สึกได้แล้วใครจะไปฆ่าใครหละ ใครจะไปลักของใคร จะไปประพฤติผิดในกามของใครได้อย่างไร ถ้าบังคับความรู้สึกได้ นั้นศาลก็ไม่ต้องมี คุกตะรางก็ไม่ต้องมี ตำรวจก็ไม่ต้องมี ถ้าเราบังคับความรู้สึกได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ฉะนั้นขอให้พอใจ สนใจ และพยายามบังคับความรู้สึก ที่โลกมันกำลังเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือในเรื่องนี้คือ ยิ่งไม่บังคับความรู้สึกกันยิ่งทุกที เพราะการศึกษามันตั้งเป้าหมายผิด มันไปถือว่าให้ปล่อยความรู้สึกถ้าบังคับความรู้สึกแล้วมันเป็นทุกข์ มันกดดัน ภาษาของเขาไพเราะมากนะ แต่มันโง่ทั้งนั้นแหละ บังคับความรู้สึกแต่กดดันบ้างก็ทนเอาหน่อย มันจะได้เดินไปถูกทาง เดี๋ยวนี้ไม่บังคับความรู้สึก โลกเปลี่ยนจนเป็นว่า มันหนาแน่นไปด้วยกิเลส ตัณหา หนาแน่นไปด้วยความไร้ศีลธรรม
ทีนี้ข้อสอง ความอดกลั้นอดทน คนสมัยนี้ไม่อยากอดกลั้นอดทนเพราะถือว่าการอดกลั้นอดทนเป็นความพ่ายแพ้ ความโง่เดินไกลเท่านั้นน่ะ ไม่อดกลั้นอดทน ถือว่าอดกลั้นอดทนเป็นความพ่ายแพ้ แล้วมันก็จะเบ่งเอาที่ว่าจะข่มเหง จะไม่อดกลั้นอดทน อดกลั้นอดทนนี้ดูให้ดีมันมีหลายระดับ อดทนต่อธรรมชาติ ภายนอก ภายใน ธรรมชาติภายนอก เช่นความหนาว ความร้อน ความอะไรต่าง ๆ ที่เราต้องทน ดินฟ้า อากาศ ภายนอก หรือการกระทบกระทั่งของศัตรู นี้ก็เรียกว่าภายนอก ก็ต้องอดกลั้นอดทน ทีนี้ภายใน ความเจ็บ ความไข้ ความที่สังขารมันไม่เป็นไปตามความประสงค์ นี่ก็ต้องอดกลั้นอดทน ทีนี้ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คืออดกลั้นอดทนต่อการบีบบังคับของกิเลส กิเลสมันต้องการให้ไปทำชั่ว เราไม่ไป เราทนได้ มันจะให้ไปดูหนัง เราไม่ไป มันจะให้สูบบุหรี่ เราไม่สูบ มันจำทำอะไรชนิดที่ทำให้เราเจ็บปวดเราก็ทนได้ นี้เรียกว่าอดกลั้นอดทนต่อการบีบคั้นของกิเลส จะทำให้มีศีลธรรมดีในเรื่องระหว่างเพศ หรืออาชญากรรมอื่น ๆ ทีนี้อย่างหนึ่งก็ต้อง รอได้ คอยได้ การงานมันก็จะให้ผล คนที่รอไม่ได้ คอยไม่ได้ ในการที่การงานจะให้ผลนี้ จะไปลักไปขโมยทั้งนั้นน่ะ แล้วก็ไม่ยอมเหนื่อย มันก็ไปลักไปขโมยอย่างนั้นน่ะ ไม่ยอมอดกลั้นอดทนต่อคำสบประมาทของคนอื่น มันก็เกิดเรื่อง เดี๋ยวนี้เราขาดความอดกลั้นอดทน ไม่สามารถจะประกอบกิจกรรมระยะยาวกว่าจะได้ผล มันเรียนลัด ตัดลัด เอาคดโกง เอาคอร์รัปชันมา ถ้าอดทนได้ มันก็ไม่ต้องคอร์รัปชัน ไม่ต้องคดโกง นี้เรียกว่าความอดกลั้นอดทน หรือ ขันตี นั้นน่ะ เป็นทางมาแห่งศีลธรรม จะรักษาศีลธรรมเอาไว้ได้ มันเสียไปมากแล้ว ขอได้ช่วยกันเรียกกลับมาใหม่ คือความอดกลั้นอดทน
ทีนี้ ข้อสามคือ การระบายข้าศึกของศีลธรรม ออกไปจากจิตใจอยู่เสมอ อะไรเป็นข้าศึกของศีลธรรม ระบายออกไปจากจิตใจของตนอยู่เสมอ การระบายข้าศึกของศีลธรรมนี้มีมากคือข้อธรรมะทั้งหลาย มันพูดไม่ไหวหละ พูดพอเป็นตัวอย่างก็แล้วกันว่า เชื่อฟังผู้ที่ควรเชื่อฟัง เช่นลูกเชื่อฟังพ่อแม่ ศิษย์เชื่อฟังครูบาอาจารย์ เชื่อฟังศาสนา เชื่อฟังพระเจ้า พระสงฆ์ เชื่อฟังไปก่อน ความถูกต้องที่ได้มีมา จนเป็นสถาบัน เป็นรูปเป็นร่างนี้ให้เชื่อฟังดูก่อน ไปคิด วิจัย ค้นคว้า ศึกษา พิจารณาแล้วจะยิ่งเห็นว่าน่าเชื่อฟัง เชื่อฟังการบังคับบัญชาของผู้บังคับบัญชานั้นน่ะ เดี๋ยวนี้มันไม่มีแล้ว มันมีแต่จะเป็นศัตรูกับผู้บังคับบัญชา พระ เณรในวัดก็ไม่ค่อยเชื่อฟังอุปัชฌาย์อาจารย์ นี่ มันเป็นเสียอย่างนี้ ศาสนาคริสตังยังดีมากในการเชื่อฟังผู้บังคับบัญชา ศาสนาพุทธนี้เลวลง เลวลง ในการเชื่อฟังผู้บังคับบัญชา เช่นพระสงฆ์ สามเณรทั้งหลายนี่ ไม่เชื่อฟังผู้บังคับบัญชามากขึ้น ยิ่งขึ้น ในเมื่อทางฝ่ายคริสตัง คริสเตียน ที่อาตมาได้ทราบมายังดีอยู่มากในการเชื่อฟังผู้บังคับบัญชา นี้สามารถบังคับให้สิ่งต่าง ๆ เดินไป เดินไปในทางความเจริญก้าวหน้าได้ง่ายกว่า นี่ชี้ให้เห็นว่าแม้แต่ทางศาสนานี่ก็ยังต้องการ การเชื่อฟังผู้บังคับบัญชาอย่างยิ่ง ทำไมกับเรื่องชาวบ้านซึ่งหนาไปด้วยกิเลสนี้ จะไม่ต้องเชื่อฟัง หรือว่าเชื่อฟังผู้บังคับบัญชา ขอไปคิดดูให้ดี มันจะนำมาซึ่งศรัทธา มันจะนำมาซึ่งความภักดี ต่ออุดมคติอันสูงสุดได้
ถัดไปก็ความเคารพ เดี๋ยวนี้ไม่เคารพผู้ที่ควรเคารพ ไม่ต้องอธิบาย เห็นได้แล้วมันเกิดผลอะไรขึ้นมา
ความเสียสละ เราเสียสละนั้น มันมีผลลึก คือทำลายความเห็นแก่ตัว เสียสละไปได้เท่าไร จะทำลายความเห็นแก่ตัวได้เท่านั้น และการเสียสละนั้นไม่เสียเปล่า เพราะเราไปช่วยผู้อื่น ผู้อื่นก็พลอยได้รับประโยชน์ ไม่ใช่เสียสละ เอาไปโยนทิ้งทะเล เอาไปเผาไฟนั้น มันก็ไม่ถูก มันเป็นการทำลายความเห็นแก่ตัวเหมือนกัน แต่มันโง่เขลา มันอย่าไปตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ อย่าไปทำอะไรอย่างงมงาย เรียกว่าเสียสละ เสียสละ มันงมงาย จงเสียสละไปในทางที่มันเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นเถอะ มันก็ได้ประโยชน์แก่ผู้อื่น แล้วเราก็ได้การทำลายความเห็นแก่ตัว ขูดเกลาความเห็นแก่ตัวด้วยการทำประโยชน์ผู้อื่น นี่คือรากฐานของศีลธรรมเกี่ยวกับสังคม สังคมจะดีเพราะศีลธรรมข้อนี้
นี่ข้อถัดไปอยากจะเรียกว่า ประพฤติพรหมจรรย์ตามสมควรแก่อัตภาพ ประพฤติพรหมจรรย์ตามสมควรแก่อัตภาพ คำว่าพรหมจรรย์นั้น ตามความหมายที่แท้จริงในภาษาบาลีนั้น ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับเพศหญิงชายอะไรอย่างเดียว คำว่าพรหมจรรย์หมายความว่า ประพฤติ กระทำอย่างสูงสุด ในส่วนที่ควรประพฤติกระทำ อะไรก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้ที่รู้จักกันมากก็คือ เรื่องเว้นจากการประพฤติกระทำทางเพศ เรียกว่าประพฤติพรหมจรรย์ นั้นก็ถูกเพราะมันทำยาก มันต้องอดกลั้น อดทนมากมันจึงจะทำได้ ทีนี้สิ่งใดก็ตาม ถ้ามันต้องการความบีบบังคับตัวเอง อดกลั้นอดทนมาก ก็เรียกว่าพรหมจรรย์ได้ทั้งนั้น ในบาลีเขายกตัวอย่างไว้มากมาย เช่นรักษาศีลนี้ก็เป็นพรหมจรรย์ ให้ทานก็เป็นพรหมจรรย์ถ้าทำอย่างอุกฤษฏ์ แม้จะฟังเทศน์ ถ้ามันอย่างอุกฤษฏ์มันก็ยังเป็นพรหมจรรย์ได้ อย่าให้มันขาดได้ นั้นถ้าทำอะไรให้สม่ำเสมอสูงสุดความสามารถอย่างยืดยาวแล้วก็เรียกเป็นพรหมจรรย์ได้ทั้งนั้น เดี๋ยวนี้ก็เอาเป็นว่า มีศีล มีทาน มีการกระทำที่ทำให้เกิดผลเป็นการทำลายกิเลสก็แล้วกัน ควรจะแบ่งเป็นเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลาย
เบื้องต้นนี่อย่างว่า ตั้งใจจะทำอะไรให้สม่ำเสมอ อย่าเหลวไหล อย่าเหลวแหลกนี้ก็เป็นพรหมจรรย์ได้ ลูกเด็ก ๆ เขาจะไปโรงเรียน ไหว้พ่อแม่ทุกวันอย่าให้ขาดได้นี้ก็ยังเป็นพรหมจรรย์ของเขาได้ แล้วเขาจะต้องทำอะไรก่อน ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน ทำได้อย่างไม่บกพร่องก็เป็นพรหมจรรย์ได้ นี้ผู้ใหญ่ก็เหมือนกัน ทำอะไรในขนาดนี้อย่าให้มันขาดสาย ขาดตอนได้ ก็เป็นพรหมจรรย์ เกี่ยวกับการงานในบ้าน ในเรือน ในสังคม คือพรหมจรรย์เบื้องต้น พรหมจรรย์ท่ามกลางก็มันสูงขึ้นไปกว่านั้น ซึ่งเรื่องที่มันทำยากขึ้นไปกว่านั้น ขอบเขตมันก็กว้างออกไป ช่วยเหลือสาธารณประโยชน์หรืออะไรที่มันสูงขึ้นไป พอพรหมจรรย์เบื้องปลายแล้วก็ประพฤติศีล สมาธิ ปัญญาเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน นี่พรหมจรรย์มีอยู่อย่างนี้ จงประพฤติพรหมจรรย์ ตามสมควรแก่อัตภาพของตน วัยเด็ก วัยผู้ใหญ่ คนเฒ่า คนแก่ ฐานะอะไรอย่างไรก็เรียกว่าอัตภาพของตนเป็นอย่างไร และประพฤติพรหมจรรย์อย่างใดอย่างหนึ่งให้เคร่งครัด เคร่งเครียด หนักแน่นโดยสมควรแก่อัตภาพของตนก็เรียกว่าประพฤติพรหมจรรย์
ตัวอย่างอันนี้พอแล้ว พอกันที แล้วก็พอกับที่อาตมาก็เหนื่อยแล้ว จะพูดไม่ไหวอยู่แล้ว ก็จงพยายามที่จะ ให้เกิดการกลับมาแห่งศีลธรรม ที่เป็นชั้นสุดยอดก็คือสร้างความรู้สึก ที่แท้จริงขึ้นมาในจิตใจ ว่าสัตว์ทั้งหลาย ชีวิตทั้งปวงเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ไปสร้างเถอะ มันยังขาดมากนัก ไปสร้างความรู้สึกอันนี้ว่า เพื่อนสัตว์ทั้งหลาย เพื่อนเป็น เพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีนายทุน ไม่มีกรรมกร ไม่มีอะไรที่มันจะเป็นคู่ปรปักษ์ต่อกัน แล้วก็ทำให้สำเร็จได้ด้วยการบังคับความรู้สึก บังคับตน บังคับจิต บังคับความรู้สึกอย่าให้พลุ่งขึ้นมาด้วยอำนาจของกิเลส แล้วก็ทนได้ ถ้าบังคับความรู้สึกแล้วมันทำให้เจ็บปวดก็ต้องทนเสมอแหละ มันต้องทนได้ ทีนี้ก็ระบายข้าศึกที่ทำให้ต้องทนนี่ออกไปเรื่อย ๆ พอสำหรับการกลับมาแห่งศีลธรรม มันเป็นรากฐานแห่งการกลับมาของศีลธรรม มันจะทำอะไรไปในลักษณะที่มีศีลธรรม งอกงาม ก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปทุกที นี่รากฐานของศีลธรรมจะทำให้เกิดการกลับมาแห่งศีลธรรม ซึ่งต้องการอย่างยิ่งสำหรับสมัยนี้ซึ่งเป็นสมัยที่ไร้ศีลธรรม หรือเสื่อมศีลธรรมหนักลงไปทุกที ๆ ในที่สุด ก็ให้ถือว่าเป็นยอดสุดของศีลธรรมก็คือความสงบสุข หรือสันติสุข หรือปรกติสุขในทุกความหมายของมนุษย์เอง ของสัตว์เดรัจฉาน ของต้นไม้ที่มีชีวิต กระทั่งของพื้นแผ่นดินที่มันไม่มีชีวิต ขอให้มันตั้งอยู่ในสภาพที่ปรกติเถิด นั่นน่ะคือนิพพาน ของมัน ของมัน ของมัน นิพพานของคน นิพพานของสัตว์ นิพพานของต้นไม้ กระทั่งนิพพานของก้อนดิน ก้อนหิน เม็ดกรวด เม็ดทราย คือมันหยุดและมันเย็น ฉะนั้นยอดสุดมันอยู่ที่นิพพาน ตามลำดับจนกระทั่งถึง อนุปาทิเสสนิพพาน นิพพานด้านจิต ด้านวิญญาณ ดับร้อนแล้วก็เย็นสนิท ถึงที่สุดนั่นน่ะคือนิพพาน นิพพานในทุกความหมาย นิพพานในทุกระดับ เป็นผลสุดท้ายของสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรม ขอท้าทายหรือขอเอาชีวิตเป็นประกัน ว่าไม่มีอะไรดีกว่านี้ นั้นอย่าไปหลงทำสิ่งที่ทำให้มันเกิดความวุ่นวาย ไปตั้งหน้าตั้งตา เสียสละทำสิ่งที่ให้เกิดความสงบเย็น
นี่วันสุดท้ายของปีนี้ ปีเก่านี้กำลังจะสิ้นไปหยก ๆ ในสองสามชั่วโมงนี้แล้ว ขอให้เข้าใจสิ่งนี้ไว้ ในฐานะของการเตรียมรับ หรือว่าต้อนรับปีใหม่ที่จะเข้ามาให้มันใหม่ด้วยการมีศีลธรรมเพิ่มขึ้น ถ้าปีเก่ามันมีศีลธรรมน้อย ปีใหม่มันมีมาก ก็ต้องเรียกว่าปีใหม่ได้จริง แล้วอุตส่าห์มาทำถึงสวนโมกข์ มีความหมายว่าเกลี้ยง ถ้ามีศีลธรรมใจมันก็เกลี้ยง ฉะนั้นมาสวนโมกข์ทีหนึ่งก็ขอให้มันเกลี้ยงกว่าเก่าสักระดับหนึ่งแล้วกัน และปีใหม่ที่สวนโมกข์ก็หมายความว่า จิตใจของปีเก่านี่ควรจะทำให้เกลี้ยง ให้เกิดเป็นจิตใจใหม่ สำหรับปีใหม่ขึ้นมา
นี่เป็นอันว่าอาตมาได้กล่าวถ้อยคำ บรรยายที่จะปรับปรุงจิตใจของท่านทั้งหลายให้กระทำพิธีผ่านปีเก่า ต้อนรับปีใหม่อย่างถูกต้อง คือให้ได้รับประโยชน์ให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้นั่นเอง จึงหวังว่าคงจะไม่เสียหลาย ในการที่ได้อุตส่าห์ถ่อร่างกายมาทำพิธีปีใหม่ที่สวนโมกข์นี้ อาตมาก็ขอยุติการบรรยายวันนี้ ครั้งนี้ ไว้เพียงเท่านี้ก่อน