แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
(เสียงท่านพุทธทาส) ท่านที่เป็นราชภัฎผู้ลาบวชทั้งหลาย ในการบรรยายครั้งที่ ๓ นี้ ผมจะกล่าวด้วยหัวข้อว่า การเป็นอยู่อย่างต่ำ และมุ่งกระทำอย่างสูง ซึ่งก็เป็นหัวข้อที่ได้เอ่ยถึงมาแล้วในการบรรยาย ครั้งที่ ๑ ซึ่งเราได้พูดกันถึงเรื่องว่าควรจะได้อะไรจากการบวช และก็ได้พูดว่าเราจะได้ลองชินชีวิตแบบปรทัตตูปชีวี เราจะได้ลองเป็นอยู่อย่างต่ำสุด เพื่อมีการกระทำสูงสุดนั้นเป็นหัวข้อ ที่นี่ก็จะได้พูดกันโดยรายละเอียด ที่จริงมันก็ไม่ค่อยจะมีรายละเอียดที่เร้นลับอะไรนัก แต่ถ้าจะดูกันให้มันลึกซึ้งสักหน่อย มันก็มีอยู่เหมือนกัน และก็เป็นประโยชน์ไม่น้อย ขอให้ลองสังเกตดู คือพยายามฟังดูให้ดีดี และก็สังเกตดูจะพบว่าแม้คำพูดคำนี้ก็มีความหมายอะไรบางอย่างซ่อนเร้นอยู่มาก เป็นคำพูดที่พูดกันมานานแล้ว พวกฝรั่งก็พูดมากด้วย Learn living high thinking อะไรทำนองนี้ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้มองกันให้ลึกในแง่หนึ่ง มุมหนึ่ง เหมือนที่เรากำลังจะมอง แล้วเราก็จะมองเป็นพิเศษให้ดี คือในส่วนที่มันจะเป็นประโยชน์แก่ศีลธรรม เราถือว่าศีลธรรมเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในโลกในเวลานี้ที่จะต้องมี โลกกำลังจะวินาศเพราะว่าศีลธรรมกำลังเสื่อมไป เสื่อมไป โดยไม่มีใครสนใจ หรือไม่รู้สึกค่าของศีลธรรม ก็ไปมองว่าพลเมืองมันเกิดขึ้นมามาก วัตถุพัฒนามาก เศรษฐกิจจัดไม่ดี การเมืองไม่ถูกต้อง โลกจึงระส่ำระสายหาความสุขไม่ได้ ผมเห็นว่ามองอย่างนั้นน่ะมันเป็นการมองผิวเผินมาก สิ่งที่เลวร้ายเหล่านั้นทุกสิ่งมันมีมูลมาจากความที่มันไม่มีศีลธรรม ถ้ามีศีลธรรม คนมีศีลธรรมแล้ว มันถึงกับไม่ต้องมีกฎหมายก็ได้ เศรษฐกิจก็ไม่มีใครคดโกงใครเอาเปรียบใคร การเมืองก็ไม่มีใครตลบแตลงกับใคร ทุกอย่างมันเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ทุกอย่างถูกต้องไปหมด เดี๋ยวนี้มันไม่มีศีลธรรม และก็จะจัดสิ่งต่าง ๆ ให้มันเป็นไปด้วยสันติสุขมันก็น่าหัว มันเป็นเรื่องที่กลับกันอยู่ เราจะมองธรรมะอะไรก็ตาม ขอให้มองในแง่ที่มันเป็นประโยชน์แก่ศีลธรรม แม้ท่านทั้งหลายที่เป็นมิตร เป็นผู้ลาบวชชั่วครู่ เป็นราชภัฎก็ยังมีทางที่จะมองมาก มองได้มาก และก็ใช้เป็นประโยชน์ได้มาก ตัวอย่างที่ได้พูดไปเรื่องปรทัตตูปชีวี ถ้าเราถือลัทธิที่ว่าขอให้ต่างฝ่ายต่างเลี้ยงซึ่งกันและกันจะเกิดความรักใคร่กัน เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เท่านั้นแหละปัญหามันก็ไม่มี เดี๋ยวนี้ต่างคนต่างจะเอาเปรียบ เห็นแก่ตัว จะเลี้ยงแต่ตัว จะไม่เลี้ยงผู้อื่น และยังเห็นสามีบ้าบออะไรก็ไม่รู้ เอาเงินไปซื้อเหล้ากินหมด จนลูกเมียไม่ต้องกินอาหารกันก็มี ก็คิดดู แล้วมันจะมีต่างฝ่าย มีอาการที่ต่างฝ่ายต่างเลี้ยงกันอย่างไร ศีลธรรมมันก็ไม่มีรากฐานที่จะตั้ง คือไม่มีความรักอย่างว่า ทุกคนเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย นี้ก็ฆ่ากัน ขโมยกัน อะไรกัน อย่างกับว่าเป็นศัตรูกัน หรือเป็นเหยื่อของเรา
นี้ในวันนี้ก็เหมือนกันแหละ จะพูดกันถึงเรื่องการเป็นอยู่อย่างต่ำ และก็มุ่งทำอย่างสูง ในลักษณะที่จะเป็นประโยชน์แก่ศีลธรรม คือความมีอยู่แห่งศีลธรรม หรือการกลับมาแห่งศีลธรรม เพื่อที่ยอมรับว่าการที่ศีลธรรมจะกลับมาต้องอาศัยเหตุปัจจัยในแง่มุมต่าง ๆ หลาย ๆ มุม แม้อันนี้ก็เป็นมุมหนึ่งแง่หนึ่งที่จะทำให้ศีลธรรมกลับมา ถ้าเราเป็นอยู่อย่างต่ำ และมุ่งกระทำกันแต่อย่างสูง ศีลธรรมจะกลับมาเร็วที่สุด เพราะเป็นตัวศีลธรรมในรูปหนึ่งอยู่แล้ว และก็จะดึงเอาศีลธรรมในรูปอื่น ๆ เข้ามาได้อีกมาก คำว่าเป็นอยู่อย่างต่ำ มุ่งทำอย่างสูง มันไปพ้องกับคำว่า กินอยู่อย่างต่ำ ถ้าเราพูดว่าเป็นอยู่อย่างต่ำ ความหมายมันกว้างกว่าที่จะพูดว่ากินอยู่อย่างต่ำ ฉะนั้นขอให้ใช้คำว่าเป็นอยู่อย่างต่ำและก็มันรวมเอาคำว่ากินอยู่อย่างต่ำเข้าไปไว้ในนั้นด้วยตัวเอง นี้การเป็นอยู่นี้มันก็หมายถึงทุก ทุกสาขาของการที่มีชีวิตอยู่ ดูเหมือนเขาจะเรียกกันว่า Mode of living อะไรทำนองนี้ หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่จะรวมกันเข้าเป็น Mode of living เพราะฉะนั้นเราจะใช้คำว่าการเป็นอยู่ นี้ระบบของการเป็นอยู่ก็ควรจะมองกันว่าตั้งแต่เกิดจนตายแล้ว ทีนี้ว่าเมื่อยังทำอะไรไม่ได้ ก็จะตัดออกไปไม่ได้ มันก็ต้องโตพอที่จะทำอะไรได้ ถ้าเป็นทารกนอนเบาะอยู่ก็แล้วแต่ผู้เลี้ยง แต่พอเป็นตัวเองขึ้นมาทำอะไรได้ด้วยตนเอง เราก็ตั้งต้นเรียกว่ามันเป็นระบบการเป็นอยู่ของคนคนนี้
นี้ผมอยากจะระบุให้ระบบการเป็นอยู่ลงไป ๔ ระยะ คือหนึ่งการศึกษา สองการงาน สามการพักผ่อน สี่ก็การบริโภค บริโภคผลของการงาน แต่ละคำมีความหมายกว้าง เช่นคำว่าการศึกษาก็ศึกษาในโรงเรียน ตั้งเป็นลูกเด็ก ๆ จนโต ก็ศึกษาอย่างผู้ใหญ่ กระทั่งศึกษาชีวิตจิตใจ มันศึกษาได้กระทั่งจนแก่เฒ่าเข้าโลงไปก็มีการศึกษาอยู่ส่วนหนึ่งเสมอ ทีนี้การงาน เราก็มีการงานทำตั้งแต่เป็นเด็ก ๆ แม้แต่การช่วยเหลือพ่อแม่นั้นก็เป็นการงาน ยกการศึกษาออกไปเสียก็เป็นการงานหมด จะมีการศึกษาในฐานะที่เป็นการงานก็ได้เหมือนกัน นี้การพักผ่อนนี้มีสลับกันไปกับการงาน นี้ข้อสำคัญที่สุดก็คือการบริโภค ดูเหมือนจะพูดได้เลยว่าไอ้ที่ทำกันก็เพื่อกิน กินทางปากเป็นส่วนใหญ่ กินทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็เรียกว่าเป็นการกิน เป็นการบริโภค ฉะนั้นจึงเล็งให้การบริโภคนี่ก็เป็นปัญหาที่สำคัญที่จะนำมาถึงความผิดหรือความถูก อย่างหัวข้อที่พูดนี้ ถ้ามันกินอยู่หรือบริโภคสูงไป แล้วมันจะผิดอย่างไร ถ้ากินอยู่หรือบริโภคให้ต่ำ ๆ เข้าไว้นี้มันมีผลดีอย่างไร ฉะนั้นเราจึงหยิบไอ้ตัวการบริโภคนั้นมาเป็นตัวปัญหาของเรื่องนี้ ถ้าจะพูดว่าให้มันต่ำเข้าไว้เถิด แล้วมันก็จะได้มีโอกาสที่จะทำงานที่สูง เป็นชีวิตที่สูงได้ ทีนี้สำหรับการบริโภคนี้ หมายความว่ามันก็บริโภคแต่สิ่งที่เรียกกันว่าปัจจัย อย่าเล็งถึงแต่บริโภคอาหารหรือก้อนข้าวคำข้าวนั้นมันแคบไป คำว่าบริโภคใช้ได้กว้างขวาง บริโภคทางปาก ทางธรรมดานี้ก็มี บริโภคทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ นั้นก็มี ฉะนั้นสิ่งใดที่เข้าไปเป็นปัจจัยให้สำเร็จการบริโภค เราก็เรียกว่าสิ่งนั้นแหละเป็นปัจจัย ในที่นี้ นี้การบริโภคมีปัจจัย ๒ ประเภทคือปัจจัยที่จำเป็นเรียกว่าปัจจัยแท้ ปัจจัยแท้คือปัจจัยที่จำเป็น อย่างที่สองเป็นปัจจัยเทียม ปัจจัยเทียมนี้ไม่จำเป็น คือไม่ควรจะพูดว่าจำเป็นแต่ก็เป็นเรื่องที่คนอดทนไม่ได้เรื่องที่มันไม่จำเป็นจนต้องเรียกว่าปัจจัยเทียมเพื่อความเล้าโลม ปัจจัยแท้นี้เพื่อความเป็นอยู่ให้ได้ นี้ปัจจัยแท้จำเป็นต้องมี เมื่อพูดถึงทางร่างกาย มันก็คือที่เรียกกันว่าปัจจัย ๔ เดี๋ยวนี้รู้จักกันมากแล้ว แม้แต่หนังสือพิมพ์ก็เอาไปพูดได้ ก่อนนี้รู้กันอยู่แต่ในวัด ปัจจัย ๔ ก็คืออาหารอย่างหนึ่ง เครื่องนุ่งห่มหรือที่มันเกี่ยวกับเครื่องนุ่งห่มอย่างหนึ่ง แล้วก็ที่อยู่อาศัยและเครื่องใช้สอยที่มันเนื่องกับที่อยู่อาศัยอย่างหนึ่ง เครื่องบำบัดโรคอีกอย่างหนึ่ง เป็น ๔ อย่าง เดี๋ยวนี้เราพูดกันแต่เพียงทางฝ่ายร่างกายหรือการเป็นอยู่อย่างธรรมดาสามัญมีปัจจัย ๔ แต่ถ้าพูดทางฝ่ายวิญญาณเพิ่มเข้ามาด้วย ต้องมีปัจจัยสำคัญอีกอันก็คือธรรมะ พระธรรมที่เป็นอาหารของจิตใจ ปัจจัย ๔ อย่างที่กล่าวไปแล้วนั้น เป็นเรื่องของทางร่างกายทางฝ่ายวัตถุ ใน ๔ อย่างนี้เรียกว่าปัจจัยที่จำเป็น มันก็มีทางที่จะทำให้สูงหรือให้ต่ำหรือให้พอดีอะไรก็ได้ ได้มากอยู่เหมือนกัน นี้ปัจจัยเทียมไม่จำเป็นโดยแท้จริง แต่จำเป็นสำหรับคนที่เป็นทาสของมัน เพื่อความเล้าโลม ก็จะระบุไปสัก ๓ ประเภท หนึ่งก็คือกามารมณ์ เรื่องทางเพศ เรียกว่าเพศรส สตรีรส บุรุษรส อะไรก็ตามใจใจ นี้ก็เรียกว่า เพศรส นี้สองมหรสพ สามคือสิ่งเสพติด นี้เป็นปัจจัยเทียม ไม่จำเป็นแต่มันกลับมีบทบาทยิ่งกว่าที่จำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกปัจจุบันนี้ ปัจจัยเทียมกำลังมีบทบาท ครอบงำโลกหรือว่าเป็นปัญหาในโลกยิ่งกว่าปัจจัยแท้ คืออาชญากรรมทั้งหลาย ความเลวร้ายทั้งหลาย วิกฤิตการทั้งหลายมาจากปัจจัยเทียมนี้ทั้งนั้น
ย้อนมาดูโดยรายละเอียด อาหารเป็นปัจจัยแท้มันมีต่ำมีสูงในหลายแง่หลายมุม แล้วแต่เราจะเอากันในความหมายไหน ต่ำในทางเกียรติหรือฐานะหรือของเลว ๆ เมื่อก่อนนี้ ปลาทูอยู่ทะเล ปลาขี้เหร่ไม่น่ากิน ซื้อเขาเบาราคา ปลาขี้ข้าใช่ผู้ดี นี้ปลาทูปลานั้นต่ำ แต่เดี๋ยวนี้หากินไม่ค่อยจะได้ นี้เราเกียรติ สูงต่ำทางเกียรติ เพราะว่ากระทั่งปลาทูอยู่ทะเล ปลาขี้เหร่ใช่ผู้ดี ซื้อเขาเบาราคา ปลาขี้เหร่ไม่สู้ดี ซื้อเขาเบาราคา ปลาขี้ข้าแต่ผู้ดี เมื่อผมเด็กๆ เรียนหนังสือเรื่องนี้ นี้มันสูงหรือต่ำทางราคาก็มี ก็พัฒนาอาหารสูงคือราคาแพง อาหารต่ำราคาถูก นี่ก็ไปคิดดูให้ดีเถิด ว่ามันยังมีสูงหรือต่ำในทางคุณภาพ เอ้อ, คุณสมบัติ เราจะกินอยู่ต่ำ ๆ กินอาหารต่ำ ๆ มันก็ต้องมีคุณภาพดีที่จะเลี้ยงชีวิตได้ แต่ไม่ต้องหรูไม่ต้องแพงไม่ต้องมีศิลปะ ไม่ต้องเสียเวลาหรือหมดเปลืองนี่มันจึงเรียกว่าต่ำ อาหารต่ำกลับจะถูกอนามัยดีกว่าอาหารสูง ดูเองก็แล้วกันเวลานี้ อาหารยิ่งสูงยิ่งแพงหรือว่าจะให้โทษ อาหารง่าย ๆ มันไม่ปรุงไม่ประดิษฐ์ประดอยให้มากนัก กลับจะมีคุณค่าทางอาหารดี ฉะนั้นขอให้ไปคิดเอาเองอย่างนี้ เครื่องนุ่งห่มก็เหมือนกัน นุ่งห่มอย่างต่ำ ผ้าขี้ริ้วก็ได้ ถ้าว่าที่จริง แต่ในที่นี้เราหมายถึงว่า ที่มันไม่หมดเปลืองในการหามา ในการรักษา ในการซ่อมแซมอะไรต่าง ๆ อย่าให้มันเปลือง ให้มันง่าย ยกตัวอย่างเช่นจีวรของภิกษุนี้ เรามันทำผิด ผิดเสียหมดจนไม่รู้ความมุ่งหมายเดิม จีวรที่ภิกษุใช้นี้เป็นการแสดงถึงความต่ำในทางผ้า หรือในทางอะไร ของเครื่องนุ่งห่ม แต่มันมีสูงในทางจิตใจ ที่ว่าต่ำในทางผ้า ในทางวัตถุนั้น จีวรนี้ต้องไม่ตัดไม่เย็บให้เป็นรูปเป็นร่าง เพราะมันหาง่ายมันถูกกว่า เอาเศษผ้ามาปะชนชุน มาปะมาชนกันเข้าเย็บติดกันเป็นผืนธรรมดา แล้วก็มันไม่มีค่าสำหรับพวกโจรจะมาลักเอาไปขาย จีวรเดี๋ยวนี้มันผิด ผิดหลักเกณฑ์ ผ้าเนื้อดี ผ้าเนื้อบาง เป็นผืนใหญ่ ขโมยยังลักเอาไปขาย ไปทำอย่างอื่นได้ แล้วยิ่งกว่านั้นยังจะต้องย้อมสี เพื่อความทนทาน ไม่ใช่เพื่อความสวยงาม นั้นจีวรนั้นมันจึงอยู่ในระดับที่ต่ำ โดยคุณค่า เอ้อ, โดยวัตถุหรือโดยราคาอย่างชาวโลก แต่มันสูงในทางจิตใจหรือความหมายอย่างอื่น นี้ที่อยู่ที่อาศัยกับเครื่องใช้สอยต่าง ๆ นั้น อย่างพระพุทธเจ้าบัญญัติวินัย ไว้มัน ๗ คืบ ๑๒ คืบ ๗ ฟุต ๑๒ ฟุต แล้วก็ไม่ให้มีอะไรที่มันไม่จำเป็นอยู่ในนั้น เดี๋ยวนี้เราก็ทำผิดกันในข้อนี้มาก เพราะมันมีความปลี่ยนแปลง จนมีกุฎิใหญ่สวยงามหรูหรา มีสิ่งที่ไม่จำเป็นเต็มไปหมด นี้เรียกว่าทำไม่ถูกพระพุทธประสงค์ ไม่เอื้อเฟื้อต่อพระพุทธโอวาทเสียแล้ว ฉะนั้นจึงขอให้นึกถึงข้อนี้ ถ้าจะถือหลักเป็นอยู่อย่างต่ำ นั้นมันก็ที่ มีที่อยู่อย่างพอจำเป็น มีเครื่องใช้สอยแต่ที่จำเป็น เดี๋ยวนี้เราเอาสิ่งที่ไม่จำเป็นมาใส่ไว้มากเกินไป เครื่องนุ่งห่มของฆราวาสนี้ก็มีลักษณะที่ไม่จำเป็นอยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งไอ้ลวดลายประดับประดา ยักย้ายต่าง ๆ นั้นมันไม่จำเป็นต้องทำ มันเปลืองเปล่า ๆ แล้วมันชำรุดเร็ว แล้วมันแสดงจิตใจที่ต่ำ เสื้อผ้าที่สวยแสดงจิตใจที่ต่ำ ก็เป็นไปด้วยความยั่วยวน เพราะมันเป็นคนเลวอยู่ในตัวแล้ว เพราะแต่งตัวสวยท่าทางจะอ้อน นั้นมันเป็นโสเภณีอยู่โดยกำเนิดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคนชนิดไหน ถ้ามันมีอะไรเพื่อความยั่วยวนล่อหลอกผู้อื่นแล้ว นั้นมันเป็นโสเภณีอยู่ในตัวแล้วจะเป็นคนชนิดไหนก็ตาม หรือว่าถ้ามันลวดลายประหลาด ๆ เสื้ออะไรกัน ผมก็เรียกไม่ค่อยถูก เสื้อฮาวายเสื้ออะไรก็ไม่รู้ ที่มันมีลายแบบประหลาด ๆ นั้น มันมีจิตใจต่ำไปในทางที่มันไม่มีอะไรดี มันต้องใช้ลวดลายเป็นเครื่องอวดกันหรือเป็นเครื่องขู่ผู้อื่น มันเป็นสัญชาตญาณของสัตว์ อย่างเสือ ปลา อย่างเสือยกตัวอย่างเสือนะ มันต้องมีลายที่หน้ากลัวที่หนัง เพื่อจะขู่สัตว์อื่น ที่มนุษย์ไม่ต้องการอย่างนั้นใส่เสื้อเกลี้ยง ๆ สีขาวก็พอแล้ว นี่ย้อนไปใส่เสื้อลายน่ากลัวอย่างสัตว์อีก มันก็กลับไปเป็นสัตว์โดยจิตใจ มันหมดท่าที่จะทำอะไรที่ให้ถูกต้อง หรือว่าถ้ามันเป็นสีสวยเช่นผีเสื้อ มันเพื่อจะอวดกัน แล้วคนมันก็จะไปใส่เสื้อสวย ๆ อย่างผีเสื้อ คนมันก็ไม่เป็นคน มันก็เป็นผีเสื้อ นี่มันเตลิดไปอย่างนี้ มันไกลจากความถูกต้อง หรือความบริสุทธิ์ชนิดที่จะคงไว้ซึ่งสันติ เครื่องนุ่งห่มก็ดี เครื่องใช้สอยในบ้านในเรือนก็ดีนี่ มันเป็นแต่ในทางที่จะดึงไปหาความยุ่งยากสับสนวุ่นวาย เป็นต้นเหตุแห่งอาชญากรรมนานาประการ สำหรับเครื่องบำบัดโรคนี้ดูไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงเท่าไร แต่ก็มีลักษณะสำอางค์มากขึ้น จะไม่ต้องขมบ้าง จะไม่ต้องเจ็บบ้าง เป็นเรื่องสำอางค์ ก็ดี แต่ว่ามันทำให้เข้าใจผิดได้ ให้เสียนิสัยได้ ฉะนั้นอย่าบูชากันนัก ไอ้ยาที่ไม่ขม ไม่เหม็น หรือการกระทำที่ไม่เจ็บไปปวดนี่ อย่าไปพอใจกันนัก ให้มันเจ็บปวดขมเหม็นอะไรบ้าง จะรู้อะไรได้ดีกว่าเครื่องไม่สำอางค์ นี่ปัจจัยจำเป็นแท้ ๆ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ใช้สอยและการบำบัดโรคนี่ให้ต่ำไว้ในทางค่าหรือทางราคาหรือทางที่ไม่ต้องมีเกียรติหรูหรา ให้ต่ำไว้ แล้วเราจะมีโอกาสที่จะสูงในทางอื่น ในทางจิตใจ นี่ปัจจัยจำเป็น ๔ อย่าง อย่างนี้ ส่วนธรรมะที่เป็นความจำเป็นแห่งจิตใจนั้นไม่รวมในข้อนี้แยกออกไปพูดในกรณีอื่น
นี้ปัจจัยเทียมคือปัจจัยเล้าโลม ไอ้กามารมณ์นี่ก็หมายถึงเพศรส แล้วก็จะคู่กันกับไอ้สิ่งมึนเมา นี่จะได้คิดพิจารณากันโดยละเอียด เพราะกำลังเป็นปัญหามากที่สุดในโลก และมันมีความหมายเป็น ๒ ชนิด เพศรสคือรสที่เกิดจากเพศตรงกันข้าม มีความหมายเป็น ๒ ชนิดคือ ต่ำและสูงอีกเหมือนกัน ถ้าต่ำก็ของคนโง่ คนหลง ถ้าสูงก็คือของคนที่มีสติปัญญาลึกซึ้งเพียงพอ นี้มันก็เป็นปัจจัยที่ว่ามันหลีกไม่พ้น เพราะธรรมชาติมันสร้างวัตถุสำหรับเกิดความรู้ เอ้อ, ต่อม Gland สำหรับเกิดความรู้สึกทางนี้ขึ้นมาในคน ในสัตว์ มันก็ต้องมี แต่ว่ามีอย่างไร เรียกว่ามีอย่างต่ำ ๆ มีอย่างไรเรียกว่ามีอย่างสูง ๆ เดี๋ยวจะวินิจฉัยดู ให้สรุปความว่าไอ้เรื่องรสเกิดจากเพศตรงกันข้ามนั้นเป็นสิ่งที่หลีกไม่ได้ ก็ต้องทำให้ดี ให้ถูกต้อง ทีนี้ที่เรียกมหรสพนั้น คือพวก Entertainment ทั้งหลาย คือสิ่งประเล้าประโลมใจทั้งหลาย อะไรก็ได้รวมกันเรียกว่ามหรสพทั้งนั้น จะโดยทางตา ทางหู ทางจมูก อะไรก็ได้ มันเป็นความหมายเพียงแต่ประเล้าประโลมใจ ยิ่งเป็นของจำเป็นมากสำหรับคนสมัยนี้ จนหลงกันอย่างไม่น่าจะหลง แล้วทำลายเศรษฐกิจ หรือทำลายอะไรมากเหลือเกิน แม้แต่การกีฬาถ้าทำเพื่อประเล้าประโลมใจก็อยู่ในข้อนี้ ไม่ได้อยู่ในเรื่องอนามัยหรือเรื่องบำบัดโรคภัยไข้เจ็บ ฉะนั้นปัญหาเรื่องมหรสพนี้ก็มีเรื่องสูงเรื่องต่ำ เราเรียกโรงหนังนั้นว่าโรงมหรสพทางวิญญาณก็เล็งเอาความหมายนี้ ให้รู้จัก Entertainment ในระดับสูงแก่วิญญาณ อย่าไปสู่สิ่งลามกอนาจาร ตอนนี้กำลังมี กำลังนิยมกันอย่างรุนแรงในโลก เวลานี้ ที่กรุงเทพฯ พวกคุณก็เห็นกันอยู่แล้วว่าเป็นอย่างไรไอ้เรื่องพวกมหรสพ เป็นเรื่องต่ำทรามไปถึงเรื่องลามกอนาจาร เป็นเรื่องกามารมณ์ปนกันไปด้วยก็มี ถ้าจะมีมหรสพก็มีให้มันสูง อย่ามีให้มันต่ำ นี้สิ่งเสพติด นี้มันก็เป็นเรื่องที่มันหลีกไม่พ้นเหมือนกัน เพราะว่าสิ่งเสพติดนี้มันก็มีค่าตามปกติของมันก็คือการกระตุ้น ฉะนั้นคนเรามันก็ชอบกระตุ้น มันกระตุ้นกันไปคนละทาง กามารมณ์กระตุ้นไปทางหนึ่ง มหรสพกระตุ้นไปทางหนึ่ง สิ่งเสพติดมันก็กระตุ้นไปทางหนึ่ง นี้สัญชาตญาณของสัตว์มันชอบกระตุ้น นั้นก็ไปสู่สิ่งเสพติดได้เป็นข้อแรก และยังมีสิ่งเสพติดชนิดที่มันมีประโยชน์อย่างหลอกลวง หรือประโยชน์ชนิดที่ไม่คุ้มค่าก็มี กินเข้าไปแล้วมันก็มีเรี่ยวมีแรง หรือกินเข้าไปแล้วมันก็ทำให้กล้าหาญขึ้นมา หรือว่าทำ เอ้อ, กินเข้าไปแล้วมันทำให้คิดสนุกสนานไป เมื่อผมเด็ก ๆ ได้ยินคนแก่เขาพูดว่า ไอ้เหล้า มันพูดว่าเอาวา แล้วกัญชามันพูดว่า อย่าเพิ่งก่อน ยาฝิ่น ก็บอกว่า เอ้า, คิดเสียใหม่ให้แน่นอน แล้วไอ้กระท่อมมันพูดว่า หาบคลอนเอาไว้ให้กูเอง นี่เขาพูดกันอยู่อย่างนี้ นี่สิ่งเสพติดทั้งนั้น ว่าคนแต่โบราณเขารู้จักใช้ประโยชน์จากสิ่งเสพติด ชนิดที่ว่าเอาเหล้ากระตุ้นให้มันกล้าหาญ เอากัญชาไว้ยับยั้งความรู้สึกที่ผลุนผลัน เอาฝิ่นไว้สำหรับคิดให้มันละเอียดลออ กระท่อมไว้ให้มีเรี่ยวมีแรงทางร่างกาย มันก็เลยเข้าไปในขอบเขตของความเสพติดไม่ทันรู้ตัว ก็เลยหลีกมันไม่ได้ ที่มนุษย์จะไม่เข้าไปแตะต้องกับสิ่งเสพติด เดี๋ยวนี้เรามีสิ่งเสพติดมาก ที่มากที่สุดก็เรื่องเหล้า เรื่องบุหรี่อย่างนี้ กระทั่งว่าซึ่งอาหาร ซึ่งกาแฟ อะไรต่าง ๆ มันก็มีส่วนเสพติด มหรสพให้สูงไว้ สิ่งเสพติดก็ให้มันสูงไว้ คือมาเสพติดธรรมะกันดีกว่า เสพติดในรสของธรรมะกันดีกว่า
นี่เป็นการวางรูปโครงให้เห็นว่าการเป็นอยู่นั้น มันมีรูปโครงอย่างนี้ มีการศึกษา และมีการงาน มีการพักผ่อน และมีการบริโภค การบริโภคนี้แยกออกเป็น ๒ ฝ่าย คือฝ่ายปัจจัยแท้กับฝ่ายปัจจัยเทียม เราหลีกไม่ได้ทั้ง ๒ ฝ่าย ทั้งปัจจัยแท้และปัจจัยเทียม นี่เรียกว่ารูปโครงของการเป็นอยู่ ต้องให้มันสูงในทางความหมาย ให้มันต่ำในทางวัตถุ โดยหลักว่าถ้ามันสูง เอ้อ, ถ้ามันต่ำในทางวัตถุแล้วมันก็เหลือแต่จะสูงในทางจิตใจ ถ้ามันสูงในทางวัตถุเสียแล้ว มันก็มีแต่จะต่ำในทางจิตใจ คงไปละโมบโลภลาภ ไปเป็นทาสเป็นบ่าวของวัตถุเสียแล้ว มันต่ำลงไปขนาดนั้น คือวัตถุมันสูง มันอยู่เหนือ เหนือ เหนือศีรษะของคนเสียแล้ว นี้คนก็มีแต่ต่ำ เพราะวัตถุมันเหยียบเรา มันเหยียบศีรษะเรา ถ้าเรามันเหยียบศีรษะวัตถุ เหยียบวัตถุอยู่ เรามันก็สูง นี้เป็นอยู่ให้มันต่ำ ๆ การกระทำทางความคิดทางพูดจาอะไรก็ดี มันก็สูง ถ้ามันต่ำสูงนี่ดูกันได้อีกทีหนึ่ง คำว่าต่ำ ว่าสูงนี่ ในทางวัตถุ วัตถุต่ำ วัตถุสูง วัตถุไม่มีค่า วัตถุมีค่า นี่ก็เป็นเรื่องทางวัตถุ ดูสูงต่ำกันในแง่ของวัตถุ ทางร่างกายดี ไม่ดี ทีนี้สูงต่ำในทางมรรยาทในการแสดงปรากฏออกมาทางกิริยาอาการ มรรยาททั้งหลายนี้มันก็มีสูงและมีต่ำ นี้คำพูดมันหลอกลวง อย่างที่ผมเคยพูดแล้วพูดอีกว่าระวังให้ดี คำพูดนี้มันเริ่มเล่นตลก มันเริ่มจะหลอกจะลวง มันสับปลับ ทำให้ยากแก่การศึกษา ถ้ามรรยาทต่ำ มันก็มี ๒ ความหมาย ต่ำคือถ่อมตัวก็ได้ มรรยาทต่ำคือมรรยาทเลวก็ได้ ระวังให้ดี ถ้าพูดว่ามรรยาทต่ำ คนนี้มันหยาบคายไร้สมบัติผู้ดีไปบ้าง นี้มรรยาทต่ำคือมันอ่อนน้อมถ่อมตัว มันลงต่ำลงไปอ่อนน้อม คือเป็นคนอ่อนน้อม นี้คำว่าต่ำมันตลก เล่นตลก มันหลอกลวง ต้องรู้จักให้ดี
ทีนี้วิญญาณสูงหรือวิญญาณต่ำ จิตใจสูงหรือจิตใจต่ำ ถ้าสูง เอ้อ, ถ้าต่ำในทางคุณค่าก็ไม่ไหว ถ้าต่ำในทางไม่ทะเยอทะยาน ไม่ใฝ่สูงไม่อะไรมันก็ดีของมัน เล็งถึงคุณภาพของจิตว่ามีมากหรือมีน้อย นั่นแหละแน่นอน คุณค่า คุณสมบัติของวิญญาณมันมีต่ำหรือมันมีสูง ถ้าต้องการวิญญาณสูงก็ต้องมีร่างกายต่ำเราจะถือหลักอย่างนี้ มีการเป็นอยู่แสดงภายนอก กินอาหารต่ำ มรรยาทต่ำ อะไรต่างๆ แล้วก็มีจิตใจสูง มีวิญญาณสูง แต่ขอให้สังเกตไว้เถิดว่าไอ้คำพูดนี้กลับไปกลับมาได้ หลอกลวงได้ ให้ถือเอาความหมายเป็นหลัก ในภาษาบาลีก็มีประโยคอยู่ประโยคหนึ่งว่า ไอ้ตัวพยัญชนะไม่สำเร็จประโยชน์ ความหมายอัตถะ อัตถะคือความหมาย ต่างหากที่จะทำให้สำเร็จประโยชน์ ยึดถือตัวหนังสือและมีทางผิดได้ แล้วก็ไม่สำเร็จประโยชน์ด้วย ไอ้ความหมายที่ถูกต้องอย่างไรนั้นมันจะทำให้สำเร็จประโยชน์ เดี๋ยวนี้มันมีคำว่าสูงว่าต่ำ สับสนกันไปหมด ต้องดูเอาความหมายเอง ต่ำทรามนี้ก็อย่างนึง ต่ำอย่างอ่อนน้อมนั้นมันก็อีกอย่างหนึ่ง มันตรงกันข้ามเลย ไอ้ต่ำทรามอย่าเอา แต่ต่ำอ่อนน้อมรีบเอาเข้าไว้ แล้วคนนั้นจะสูง ภาษาทางภาคอีสานเขาว่า ก้มศีรษะจนหัวจรดกิ่งยาง หรือว่าเงย เงยศีรษะจนหัวจรดดิน มันเงยศีรษะแต่หัวกลับจรดดิน ถ้ามันก้ม หัวมันกลับไปจรดยอดยาง ยอดต้นยาง เป็นคำพูดที่มีความหมายดีมาก ในคำสอนเหล่านั้น แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจ ผู้ที่ถ่อมตัวมันน่ารัก น่านับถือ ผู้ที่จองหองมันน่าเกลียด น่าชัง ฉะนั้นมันขืนเงยไปเถิด มันขืนยกหัวไปเถิด มันจะจรดดิน ขืนก้มเอาไว้ มันก็จะจรดยอดต้นยางอย่างนี้เป็นต้น ขอให้สังเกตเอาเองเถิด ผมยกมาเพียงเป็นตัวอย่างเท่านั้น เพราะไอ้ต่ำสูงคู่นี้มันหลอก มีความหมายที่หลอกได้ แล้วแต่เราเล็งถึงอะไร เล็งถึงวัตถุ หรือเล็งถึงมรรยาท กิริยาอาการหรือว่าเล็งถึงจิตถึงวิญญาณ และเราก็จำกัดความกันไปได้ว่าควรจะถือเอาอย่างไร แล้วก็ถือเอา ให้มันเข้ากันกับหลักที่ว่า ถ้าเป็นอยู่อย่างต่ำ แล้วจิตนั้นก็จะมุ่งไปกระทำอย่างสูงเสมอ ถ้าจิตมันมุ่งสูงที่การเป็นอยู่เสียที่นี่ แล้วก็จิตมันต้องต่ำเป็นธรรมดา
นี้เราก็จะดูไอ้คำว่าสูงหรือต่ำกันต่อไป โดยเอาหัวข้อที่ว่ากินอยู่ เป็นอยู่อย่างต่ำมุ่งกระทำอย่างสูงนั้นแหละ มาพิจารณากันอีกให้ละเอียดขึ้น ยกตัวอย่างหลักเกณฑ์ที่เราถือกันอยู่ที่นี่เป็นตัวอย่าง นี่หมายความว่ากล่าวอย่างอื่นก็ได้ พูดอย่างอื่นก็ได้ โดยหลักเกณฑ์อันอื่นก็ได้ จะเอาอย่างที่นี้ง่าย ๆ ให้เป็นตัวอย่าง เป็นอยู่อย่างต่ำมุ่งกระทำอย่างสูงนั้น ในความหมายของคำว่าเป็นอยู่อย่างต่ำนั่น กล่าวว่า หนึ่งกินข้าวจานแมว สองอาบน้ำในคู สามเป็นอยู่อย่างทาส นี่จะเป็นอยู่อย่างต่ำ กินข้าวจานแมวฟังดูแล้วมันก็ ก็สลัว ๆ อยู่ ไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ บางคนฟังไม่เข้าใจก็เกลียดหัวเราะเยาะ กินข้าวจานแมวเอาแต่เพียงว่ากินง่าย กินง่าย อย่าต้องกินลำบากเหมือนปัญหาที่เกิดขึ้นแก่คนร่ำรวย แล้วคนไม่ร่ำรวยมันก็เอาอย่าง มันขี้ตามช้าง คือคนจนมันไปเอาอย่างคนร่ำรวยเรื่องกิน มันก็ประสบความวินาศ กินข้าวจานแมวนี้ ผมพูดด้วยคำคำนี้ ว่าเอาข้าวกับกับใส่กันง่าย ๆ แล้วก็ฉันอย่างพระพุทธเจ้าฉัน หรือพระอรหันต์ทั้งหลายในกาลก่อนฉัน เป็นรูปข้าวจานแมวทั้งนั้น แล้วก็ไม่ใช่อย่างดี อย่างประณีต อย่างที่ข้าวราดแกงตามตลาด มันเป็นข้าวเลว ๆ เป็นกับเลว ๆ เป็นกับเหลือเดนก็มี เขาใส่ลงไปในบาตร แล้วมันก็ปนกันอย่างน่าเกลียด ไม่ใช่อย่างจานบุฟเฟ่ต์ คำว่าจานแมวนี้มันง่าย ๆ ง่าย ๆ แต่ก็เป็นอาหารที่มีค่าทางอาหารเพียงพอ อาบน้ำในคูนี่ก็คือให้มันเป็นอยู่คือว่าไม่ต้องมีห้องน้ำราคาตั้งแสน นี้ไอ้ในการที่จะอาบล้างทั่ว ๆ ไป ก็ทำตามธรรมชาติธรรมดาให้มาก ๆ เข้าไว้ก็ แต่ไม่ถึงกับไปอาบในคูสกปรก นี้ก็มีห้องน้ำอะไรพอสมควร ให้ถือความหมายเหมือนกับเราไปอาบน้ำในลำธาร ในคูตามธรรมชาติ อยู่ที่นี่ก็ง่ายนะ ถ้าจะไปอาบน้ำในลำธาร ก็เข้ากันกับบทนี้ ในคู มันจะเป็นเกลอกับธรรมชาติมากและธรรมชาติจะควบคุมจิตใจไว้ จะช่วยควบคุมจิตใจไว้ให้อยู่ในระดับที่ไม่หลง ไม่ฟั่นเฟือน อะไรอย่างไร อะไรเท่าไร อะไรก็อยู่ได้ อะไรก็ไม่จำเป็นต้องให้มันมากไปกว่านั้น มันเปลืองเปล่า ๆ นี้ บอกให้อย่างนี้ ธรรมชาติมันจะบอกให้อย่างนี้ อาบน้ำในคูก็เป็นเกลอกับธรรมชาติ ก่อนนี้ผมก็ไปอาบที่ลำธารเหมือนกันนะ เดี๋ยวนี้มันก็ไปไม่ค่อยไหวแล้ว คุณก็สังเกตเอาเองว่ามันเกิดความรู้สึกต่างกันอย่างไร อาบในห้องน้ำ อาบในบ่อ กับอาบในห้องน้ำอย่างสมัยใหม่ นี่มันต่างกันอย่างไร นี่ก็แสดงให้เห็นอยู่มากแล้ว แต่เดี๋ยวนี้เอาความหมายว่า เช่นการอาบน้ำเป็นต้น ก็ให้มันง่ายที่สุดจึงใช้คำว่าในคู ไอ้ข้อที่ว่าเป็นอยู่อย่างทาส นี่ก็เอาความหมายว่าต่ำเหมือนกัน ถ้าว่าทาสก็คือต่ำ ไม่โงหัว ไม่จองหอง ไม่ยกหูชูหาง และก็ไม่ปริปาก ใช้ได้แม้แก่ผู้ถูก ผู้ที่เป็นฝ่ายถูกก็ขออย่าได้ปริปากเลย เราเป็นฝ่ายถูกแท้ ๆ อย่าไปเถียงกับมัน อย่าไปเอาชนะกับมันเลย ยอมแพ้หุบปากเสียดีกว่า แล้วก็จะชนะทีหลัง จะหัวเราะทีหลัง ไม่ใช่ว่าเราจะต้องไปเป็นทาสแต่เราเอาคติหรือเยี่ยงอย่างทาสมาพิจารณาดูว่า ไม่ปริปากที่จะเถียง จะคัดค้าน ไม่ยกหูชูหางต่อคนอื่น นี้เรียกว่าเป็นอยู่อย่างต่ำ
ที่นี้มุ่งกระทำอย่างสูงนี่ เรามีหัวข้อไว้แล้วสำหรับที่นี่ว่า มุ่งมาดความวาง ทำอย่างตายแล้ว กุมแก้วในมือ คือดวงจิตว่าง คืนหมดทุกอย่าง นี้ที่เคยเขียนไว้เต็มรูป เต็มขั้นนะเขียนไว้อย่างนี้ มุ่งมาดความวางนี่เองหมายถึงว่าจะเป็นอยู่อย่างทาส แต่ด้วยใจมันมุ่งมาดความปล่อยวาง คือภิกษุเป็นอยู่อย่างทาส ไม่ปริปาก ไม่เรียกร้อง ไม่ Strike ไม่อะไรต่าง ๆ นี่ เพราะหัวใจมันมุ่งมาดความปล่อยวาง คือวิมุติ ความปล่อยวาง เพราะพูดกันแล้ว รู้กันแล้วว่าปล่อยวางคือดับทุกข์หรือพ้นทุกข์ หัวใจมุ่งมาดความปล่อยวางคือสิ่งสูงสุดในพระพุทธศาสนาหรือของมนุษย์ ปล่อยวาง สลัดของหนักทั้งหลายออก ถ้าเป็นชั้นสูงสุดก็สลัดกิเลส ตัณหา อุปทาน แล้วก็ดับทุกข์เป็นนิพพาน เรียกว่าปล่อยวาง มุ่งมาดความวาง ฉะนั้นบทสวดที่ว่าขันธ์ ๕ เป็นภาระหนัก คนแบกภาระอยู่ แบกอยู่มันก็หนัก โยนทิ้งเสียมันก็เบา แล้วก็ต้องมีการกระทำอย่าง ทำอย่างตายแล้ว ถ้ามุ่งมาดความวางต้องทำอย่างตายแล้ว นี่จะไม่เข้าใจ เรามีคำพูดอีกคำหนึ่งว่า ตายเสียก่อนตายคือไม่มีตัวกูของกูเหลืออยู่ ไม่ เฉพาะเวลานั้นก็ยังไปทำได้ (นาทีที่ 46:15) นี่ตัวกูมันตายไปแล้ว ร่างกายยังไม่ทันตาย ตัวกูตายแล้ว นี่ตายเสียก่อนตาย ความรู้สึกว่าตัวกูอลังการ อหังการ Egoism อะไรต่างๆ นี่หมดแล้ว ก่อนแตกร่างกายนี้ตาย นี่เรียกทำอย่างตายแล้ว คนก็ฟังไม่ถูกนึกว่ากลัวให้มาสอนให้ตาย แกล้งทำตาย ที่ตายแล้วนี่เป็นตายแห่งตัวกูของกู ร่างกายยังอยู่ ตายชนิดนี้มันสูงมันเป็นความตายที่สูง มีค่าสูง กุมแก้วในมือ ถ้าอย่างตายแล้วก็ต้องกุมแก้วในมือ เอาแก้วพระรัตนตรัยก็ได้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่ถือไว้เป็นหลัก อย่าให้ผิดได้ อย่าให้พลาดได้ ตามหลักของคำว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีดวงแก้วอยู่ในมือ ในฐานะที่เป็นเครื่องคุ้มครอง หรือเป็นอาวุธ หรือเป็นอะไรก็แล้วแต่จะเรียก แต่ต้องมีอยู่ในมือ สรุปลงก็คือดวงจิตว่าง จะมีอะไรอย่างนั้นก็ สรุปคือดวงจิตว่าง ให้จิตมันว่าง ไม่มีความทุกข์ ไม่มีกิเลส ไม่มีตัวตน ถ้ามีจิตว่างแล้วมันก็ไม่มีกิเลส ถ้าไม่มีกิเลส มันก็ทำอะไรถูกหมดโดยอัตโนมัติ พูดกันเป็น Logic ไปหน่อย แต่ไม่ใช่ Logic คือถ้าจิตว่างจากกิเลสแล้วก็ทำอะไรถูกหมดไม่มีผิดเลย ฉะนั้นก่อนใจคุณจะทำอะไร ก็ทำจิตว่างเสียก่อนแล้วจะทำถูกหมด คือจะคิดถูก จะพูดถูก จะทำถูก จะตัดสินใจถูก ถ้าจิตมันมีอะไรมาครอบงำ มายื้อแย่งไปแล้วมันไม่ว่าง คือมันวุ่นวายแล้ว มันตัดสินใจผิด คิดผิด พูดผิด ทำผิด เราจึงมีจิตว่างนี่เป็นหลักสำคัญในการที่จะทำอะไร จนถึงกับพูดว่าทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง หรือยกผลงานให้ความว่างทุกอย่างสิ้น กินอาหาร ความว่างอย่างพระท่านกินก็ ตายเสร็จสิ้นแล้วในตัวแต่หัวชี (นาทีที่ 48:50) มีคนถามมากที่สุดว่าทำอย่างไร กินอาหารความว่าง ได้อะไรมาก็ไปมอบให้ความว่าง และเมื่อทำแล้วก็ทำด้วยจิตว่าง หาอ่านเอาเองในหนังสือที่เขียนไว้แล้ว อธิบายไว้แล้ว คือเรามีชีวิตอยู่ด้วยจิตว่าง การพยายามที่จะมีชีวิตด้วยจิตว่าง นี่คือมุ่งอย่างสูง จะทำอย่างสูง ให้มันได้อย่างสูง ข้อถัดไปก็คืนหมดทุกอย่าง คืนเจ้าของหมดทุกอย่าง ความทุกข์ก็คืนไปให้แก่ต้นเหตุของความทุกข์ สิ่งที่ยึดถือเป็นอุปทาน เป็นตัวตนของตน ก็คืนให้ธรรมชาติไป สังขารทั้งหลายเป็นของสังขาร เป็นของธรรมชาติ ฉะนั้นคืนให้สังขารไป ก่อนนี้เอามาเป็นตัวตนของตน ว่ารูปของตน เวทนาของตน สัญญาของตน สังขารของตน วิญญาณของตน มันโง่ไป ต่อมา มันก็รู้ว่า เอ้า, นั่นเป็นไปตามธรรมชาติ ตามกฎของธรรมชาติ คือกฏอิทัปปัจจยตา ฉะนั้นเราไม่ไปเป็นขโมย โจร ปล้นใครแล้วโว้ย เราคืนให้เจ้าของเดิมหมด ถ้าคืนให้หมดทุกอย่าง กลายเป็นผู้ไม่โกง ไม่คดโกง เป็นผู้สูงสุด เป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่มีกิเลสและความทุกข์ ข้อปฏิบัติในพระพุทธศาสนาในด้านจิตใจจะมีคำว่าสลัดคืนอยู่เป็นข้อสุดท้ายเสมอ ไปสังเกตดูในบทสวดอานาปานสติ บทสุดท้ายจะเป็น ปะฏินิส สัคคานุปัสสี อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ (นาทีที่ 50:40) ให้มันคืน คืนเจ้าของอยู่ทุกหายใจเข้าออก อย่าไปดึงเอามาเป็นของกู ตัวกู นี่มุ่งกระทำอย่างสูง
นี้อันสุดท้ายอีกอันหนึ่งที่ว่าจะสูงโดยสมบูรณ์ในอันดับสุดท้าย ก็ว่าแจกของส่องตะเกียง นี่หมายถึงผู้อื่น หมายถึงกระทำแก่ผู้อื่น ขอให้มันสูงด้วย ไม่ใช่สูงสุดแต่ประโยชน์ของตน ให้สูงสุดไปถึงประโยชน์ของผู้อื่นด้วย ก็กลายเป็นผู้แจกของส่องตะเกียง ขอให้ทุกคนมีความหมายมั่นว่า ให้เราจบชีวิตลงด้วยความเป็นผู้แจกของส่องตะเกียง คือส่วนตัวเราเราทำเสร็จแล้ว ไม่มีปัญหา ไม่มีความทุกข์แล้ว นี้มันยังไม่ตาย ก็เลื่อนชั้นกันไปอีกชั้นหนึ่งเป็นผู้แจกของส่องตะเกียง ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยวัตถุนี้เรียกว่าแจกของ ช่วยเหลือผู้อื่นในทางสติปัญญา ทางจิต ทางวิญญาณนี้เรียกว่าส่องตะเกียง ช่วยในทางวัตถุเรียกว่าแจกของ ช่วยในทางจิตทางวิญญาณเรียกว่าส่องตะเกียง ถ้าทำหน้าที่นี้สำเร็จบริบูรณ์อีกทีหนึ่งก็พอ คนเราก็พอ เกิดมาทีหนึ่ง ทำประโยชน์เต็มที่ทั้งส่วนตนเองและผู้อื่น กินอยู่ต่ำ ๆ แล้วมุ่งทำอย่างสูงคือทำอย่างนี้ นี่จะซ้ำให้ฟังอีกทีหนึ่งว่ากินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู เป็นอยู่อย่างทาส นี่อยู่ต่ำ ๆ มุ่งมาดความวาง ทำอย่างตายแล้ว กุมแก้วในมือ คือดวงจิตว่าง คืนหมดทุกอย่าง นี่คือทำอย่างสูง แล้วก็แจกของส่องตะเกียง จบ นี่พูดเป็นตัวอย่างอย่าง อย่างที่เราพูดอธิบายกันอยู่ที่นี่ ใช้คำอย่างนี้ กินอยู่อย่างต่ำ มุ่งกระทำอย่างสูง
ทีนี้ดูว่าต่ำหรือสูงกันอย่างไรอีกทีหนึ่ง ที่ว่าต่ำมันก็มีได้อย่างเอาสัญชาตญาณเป็นหลัก หรือเอาสติปัญญาเป็นหลัก สูงก็เหมือนกันแหละ เอาสัญชาตญาณเป็นหลัก หรือว่าเอาสติปัญญาเป็นหลัก อย่างสัญชาตญาณ เราก็มีมาสำหรับหาอาหาร หนีอันตราย หรือว่าต่อสู้ หรือสืบพันธุ์ อย่างนี้ถ้าตามสัญชาตญาณก็ไม่ได้ถือว่าเป็นอะไร มันเป็นไปตามสัญชาตญาณ คือตามธรรมชาติ ถ้าเป็นสัญชาตญาณแล้วก็มีลักษณะบริสุทธิ์ อย่างที่เรียกว่า Innocence Innocence มันบริสุทธิ์ในความหมายหนึ่งนะ ไม่ได้บริสุทธิ์เพราะเราทำมันนะ ไอ้บริสุทธิ์อย่างปฏิบัติธรรมนี่มันบริสุทธิ์ในความหมายอื่น คือต้องทำขึ้นมา แล้วก็บริสุทธิ์ในความหมายที่บัญญัติกันไว้อย่างไร ถ้าตามสัญชาตญาณแล้วก็บริสุทธิ์อย่างลูกทาเร็ก เอ้อ, ลูกเด็กๆ ทารก มันบริสุทธิ์ Innocence นั้นเราจึงไม่คิดถึงว่าที่เราหาอาหาร หรือว่าการสืบพันธุ์ หรือว่ามีอันตรายนี้เป็นของผิดของต่ำอะไร แต่พอมาถึงเรื่องของสติปัญญา เรากลับพบว่าเราต้องทำอะไรให้ดีกว่านั้น ถ้าทำเพียงสัญชาตญาณ เราก็จะไปจัดมันว่าต่ำเสียอีก เดี๋ยวนี้มันเป็น Intellect ขึ้นมาแล้ว มันก็ต้องมีระดับอื่นหรือความหมายอื่นสำหรับต่ำหรือสูง ฉะนั้นพูดว่าต่ำ พูดว่าสูง ก็ต้องเล็งดูว่ากำลังพูดกันในแง่ไหน ถ้าพูดถึงสัญชาตญาณ มันก็ระดับทั่วไป แล้วเมื่อสูงในแง่ที่มันบริสุทธิ์อย่าง Innocence ถ้าเป็นอย่างสติปัญญา มันก็ผิดธรรมชาติ มันมีความสูงหรือความบริสุทธิ์ที่มันบัญญัติขึ้นไว้ใหม่ ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ ต้องเป็นพระอรหันต์ คือมันต้องละอิทธิพลแห่งสัญชาตญาณได้ มันถึงจะสูง นั้นเราจะไม่ทะเลาะกันในข้อนี้ คือเราต้องรู้กันให้เสียก่อนว่าเราต้องพูดกันในระดับของสัญชาตญาณ หรือว่าระดับของสติปัญญา คือสัญชาตญาณที่ถูกพัฒนาแล้ว ตัวอย่างเช่นความโง่ ความโง่นี่ มันโง่ได้ตั้ง ๓ ชนิดเป็นอย่างน้อย มันโง่ได้ตั้ง ๓ ชนิดเป็นอย่างน้อย โง่อย่างอันธพาล คนเลว คนอันธพาล คนกักขฬะ นี่มันโง่ของมันไปแบบหนึ่ง เพราะว่ามันเป็นทาสของกิเลส ที่ทำให้มันโง่ มันเห็นแก่ตัว มันก็ทำอย่างน่าเกลียดน่าชัง นี้ความโง่ของคนอันธพาล ชั้นต่ำ นี้ถ้ามันโง่อย่างสัญชาตญาณ อันดับที่สองมันโง่อย่างสัญชาตญาณ มันอยู่ตรงกลาง มันเป็น Innocence คือมันบริสุทธิ์ไม่ประสีประสา ไปตามธรรมชาติ นี่ถ้ามันโง่ มันยังน่ารักนะ แล้วมันก็จะต้องโง่แน่นอนเพราะว่าตามสัญชาตญาณจะรู้สึกอะไรหมดไม่ได้ ยิ่งมาถึงยุคนี้ ปัจจุบันนี้แล้วความรู้เพียงแค่สัญชาตญาณมันไม่พอ และถูกจัดไว้ในระดับที่มันยังโง่อยู่ แต่ความโง่นั้นบริสุทธิ์อย่าง Innocence ในทางศาสนาคริสเตียนคำว่า Innocence นี้มีค่ามากคือเป็นคำสูงสุดเลย นี้อันสุดท้ายคือโง่อย่างคนฉลาดที่อวดดี คนฉลาดเรียนมาปริญญายาวเป็นหาง มันฉลาดทุกอย่าง และบางเวลามันก็เผลอสติหรือประมาทขึ้นมา มันก็โง่ อันนี้ร้ายกาจที่สุด นั้นขอให้เราระวังความโง่ของความฉลาดทั้งหลาย ระวังไอ้ความฉลาดของเราจะแสดงบทบาทออกมาเป็นความโง่ที่เลวร้ายกว่าไอ้ความโง่ ๒ อย่างข้างต้นเสียอีก หรือเราจะระวังความโง่ของผู้อื่น ก็ระวังความโง่ของคนฉลาดนั่นแหละ เมื่อคนฉลาดเขาคิดจะทำอะไรให้เลวทราม แล้วเขาทำได้มากได้ลึก ถ้าเขาโกง เขาโกงได้ลึก ถ้าเขาจะทำลายล้างผู้อื่นเขาก็ทำลายล้างได้ลึก ความโง่ครอบงำเขา แล้วคนฉลาดก็ทำอะไรที่เป็นอันตรายที่สุด นี่ยกตัวอย่างให้เห็นว่าคำพูดมันมีความสับปลับอย่างนี้ นั้นผมคิดว่าที่พวกคุณจะต้องสนใจต่อไปก็คือ เรื่องความสับปลับของภาษที่ใช้พูด สนใจให้มาก ถ้าไม่อย่างนั้นจะไม่เข้าใจธรรมะที่ถูกต้องลึกเพียงพอ เพราะภาษามันสับปลับ ภาษาธรรมะก็สับปลับเหมือนกันไม่ใช่ว่าสับปลับอย่างเลวทรามอย่างเจตนาไม่ใช่ มันเป็นเรื่องของมันอย่างนั้นเอง ตามธรรมชาติของภาษาที่ใช้พูดกันมา ถ่ายทอดกันมาเป็นพัน ๆ ปี หรือใช้พูดกันอยู่ในระหว่างชนชั้นหมู่พวกที่มันมีอะไรไม่เหมือนกัน มันมีระดับต่างกันมาก คำเดียวใช้ คำเดียวด้วยกันแต่ใช้ความหมายต่างกันมาก
ทีนี้ก็จะไปต่อไปถึงหัวข้อที่จะพูดค้างไว้เมื่อตะกี้นี้ ก็เป็นเรื่องความสับปลับของคำพูดอีกเหมือนกันนี่แหละ นี่จะพูดกันถึงระดับของจิตใจ ที่ว่าต่ำหรือสูงที่พูดค้างไว้ในกรณีที่เกี่ยวกับกามารมณ์ ที่เป็นปัจจัยเทียมข้อที่หนึ่ง ที่กำลังเป็นทางมาแห่งอาชญากรรมทั้งหลาย ถ้าจะพูดพิจารณากันให้ละเอียดสักหน่อยก็จะดูกันที่นี่ คือพูดถึงระดับของจิตใจ ของแต่ละคน ๆ ที่เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่ากามารมณ์ กามารมณ์ในที่นี้หมายถึงรสของเพศตรงกันข้ามโดยตรง ไม่เล็งถึงความใคร่อย่างอื่น ๆ ในตัวอย่างนี้กามารมณ์ทางเพศมันจะมีอยู่หลายชั้นในจิตใจของคนที่ต่าง ๆ กัน เช่นคนคนหนึ่ง จำพวกหนึ่งรู้สึกต่อกามารมณ์และบูชากามารมณ์อย่างสูงสุด ไปนึกเอาเองว่าใครบ้าง ไอ้คนชนิดไหนบ้างที่มันบูชากามารมณ์อย่างสูงสุด ถึงขนาดที่กล่าวหาคนที่ไม่บูชากามารมณ์ว่าเป็นคนบ้า เป็นคนโง่ เป็นคนจิตผิดปกติ นี่ระดับต่ำสุดของผู้ที่บูชากามารมณ์ ผมเข้าใจว่าในกรุงเทพฯ น่ะ หาได้เป็นฝูง ๆ ที่บูชากามารมณ์ขนาดนี้ ก็มันเป็นของสูงสุด ถ้าใครไม่บูชากามารมณ์เป็นคนโง่ เป็นคนบ้า เป็นคนจิตผิดปกติ เขาหาว่าถ้าไม่บูชากามารมณ์จิตผิดปกติ แล้วคือเป็นคนบ้า นี่พวกที่สองหย่อนลงมาหน่อย ก็คือพวกที่บูชากามารมณ์พอประมาณหรือตามธรรมดา บูชากามารมณ์ตามธรรมดา ไอ้พวกแรกที่มันบูชาขนาดสูงสุดนั่น มันจะถึงกับขนาดถ้าผิดใจนิดเดียวมันก็ฆ่าตัวมันตาย ฆ่าคู่รักตาย ฆ่าอะไรตาย แล้วก็ใครไปสอนในทางตรงกันข้ามมันด่าเลย แต่พวกที่สองนี่ค่อยยังชั่วพวกบูชากามารมณ์ตามธรรมดา ก็ถือว่าจิตใจมันสูงขึ้นมานิดหนึ่ง ที่นี่พวกที่สามก็ถือว่ากามารมณ์ก็เป็นเพียงของอร่อยชนิดหนึ่ง ที่จำเป็นและไม่ควรขาดสำหรับคนธรรมดา นี่ไม่ถึงกับบูชานะ จัดว่าเป็นของอร่อยชนิดหนึ่งที่ไม่ควรขาดสำหรับคนธรรมดา นี่ก็ต้องมีจิตใจสูงกว่าไอ้คนที่สองหน่อยแล้ว ทีนี่คนที่สี่จะพูดว่ากามารมณ์นี่เป็นของธรรมดาของสัตว์ ที่จะต้องมีตามสัญชาตญาณหรือตามธรรมชาติ แต่ไม่ยืนยันว่าขาดไม่ได้ มันมีไปตามธรรมดา ใครจะเอากับมันเท่าไรก็ว่าเอาเอง ตัดสินเอาเอง กามารมณ์เป็นของธรรมดาของสัตว์ที่ต้องมีตามธรรมชาติ ทีนี่พวกที่ห้ามันมีความรู้สึกสูงขึ้นมาหน่อยหนึ่งว่ากามารมณ์เป็นของธรรมดา ถึงเว้นเสียก็ไม่เป็นไร เว้นเสียได้ก็จะยิ่งดี คนพวกนี้มันจะถือว่ากามารมณ์เป็นของธรรมดาถูกแล้ว แต่ว่าถึงเว้นเสียขาดเสีย ไม่ต้องมีก็ได้ ไม่เป็นไร คือไม่ตาย นี่ถ้าเว้นเสียได้ก็ดี ทีนี้พวกที่หกพวกสุดท้าย กามารมณ์นี้มันเป็นเหยื่อหรือเป็นค่าจ้างที่ธรรมชาติหรืออะไรก็ตามมันจ้างให้สัตว์สืบพันธุ์ อำนาจลึกลับ สิ่งลึกลับที่เรียกว่าธรรมชาติ กฎของธรรมชาตินะ มันมีกามารมณ์เป็นค่าจ้างหรือเป็นเหยื่อล่อให้สิ่งที่มีชีวิตทำการสืบพันธุ์ ถ้าไม่อย่างนั้นไอ้ชีวิตนี้มันก็เป็นไปไม่ได้ คือมันไม่สืบพันธุ์ แล้วมันก็สูญไปแล้วไม่เหลืออยู่จนกระทั่งบัดนี้ นั้นไปเรียนเรื่องชีววิทยาบ้าง กระทั่งต้นไม้ มาถึงสัตว์และคนนี่ มันมีต่อม Gland สำหรับความรู้สึกในการสืบพันธุ์ มันดิ้นร้นที่จะสืบพันธุ์ และขณะที่สืบพันธุ์นั้นเป็นเวลาที่รู้สึกสูงสุดในทางความรู้สึกที่พูดกันว่าเป็นสุขที่สุด เอร็ดอร่อยที่สุด อย่างเป็นสัตว์ที่มีชีวิตนี่ โดยเฉพาะเวลาหลั่งน้ำเชื้อของเพศตัวผู้เป็นเวลาสูงสุดของความรู้สึก นั้นใครทำมาให้ ธรรมชาติมันทำมา ถ้าไม่อย่างนั้นมันไม่สืบพันธุ์แล้ว มันตายหมดแล้ว มันสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว แล้วก็ต้องเอาของที่มันมีรสอร่อยที่สุดใส่ไว้ที่นั่น เพื่อว่าคน เอ้อ, สัตว์จะทำอย่างนั้นแล้วมันจะเกิดการสืบพันธุ์ออกมา นั้นเราจึงถือว่าเป็นเหยื่อ เป็นค่าจ้างที่จัดไว้โดยธรรมชาติ มีต่อม Gland อะไรต่างๆ ที่เรารู้สึกในตัว เป็นค่าจ้างให้สืบพันธุ์ด้วยการกระทำที่ไม่น่ากระทำ กิริยาอาการหรือสืบพันธุ์นั้นไม่น่ากระทำ จนมันเป็นกิริยาที่น่าเกลียด น่าชังที่สุด จนต้องทำในที่ปกปิด เป็นอาการที่น่าเกลียดและเป็นอาการสกปรก เป็นอาการ เป็นการกระทำที่เหน็ดเหนื่อย ก็เพื่อความบ้าลูกเดียว มันก็เสร็จตามความต้องการของธรรมชาติแล้ว คือมันให้มีพันธุ์ได้แล้ว และก็ได้พืชพันธุ์มาสำหรับเป็นภาระเลี้ยงดูต่อไป ไม่ต้องเอามนุษย์ ดูสัตว์เดรัจฉานก็แล้วกัน มันรักลูกอย่างไร มันอดทนอย่างไรในการเลี้ยงลูก ผมเห็นค่างที่อยู่บนยอดไม้ แหม, มันเลี้ยงลูกอย่างเป็นภาระที่สุด มันก็คือความลำบาก เพราะไปกินเหยื่อเข้านั่นเอง ถ้าไปกินเหยื่อหรือไปรับค่าจ้างเข้า มันก็ต้องให้ได้ลูกมาเลี้ยง การกระทำนั้นมันน่าเกลียดที่สุด สกปรกที่สุด เหน็ดเหนื่อยที่สุด เพื่อความบ้าลูกเดียว ฉะนั้นคนชนิดนี้ก็ไม่ไปยุ่งกับกามารมณ์ในทางเพศที่เป็นเรื่องเพศโดยตรง คือการสืบพันธุ์ทางเพศ
นี่ทบทวนดูสิ คำว่ากามารมณ์เกี่ยวกับเพศรสอย่างเดียวนั้น มันมีคุณค่าหรือมีคุณลักษณะที่ทำให้เกิดความรู้สึกแก่คนเราอย่างน้อยได้เป็น ๖ ชั้นอย่างที่บอกแล้ว พวกที่หนึ่งมันบูชาสูงสุด ถึงกับหาว่าพวกที่ไม่บูชากามารมณ์เป็นคนมีจิตผิดปกติ แม้พระอรหันต์ก็ถูกสงสัยอย่างนี้ แม้พระพุทธเจ้าก็ถูกด่าอย่างนี้ ผมเคยอ่านพบในหนังสือหลายเล่มที่ฝรั่งเขียน หาว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนมีจิตวิปริตโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับทางเพศหรือทางกามารมณ์ ไอ้คนนั้นมันมากเกินไปแล้ว นี้สองมันบูชากามารมณ์พอประมาณตามธรรมดา สามรู้สึกว่าเป็นเพียงของอร่อยชนิดหนึ่งธรรมดา ๆ ไม่ควรขาดสำหรับคนเรา นี่พวกที่สี่บ้าง เป็นตามธรรมดาสำหรับสัตว์ตามธรรมชาติ อย่าให้ อย่าให้ค่าของมันมาก อย่าให้ค่าแก่มันมากนักเลย พวกที่ห้าเป็นของธรรมดาที่เว้นเสียก็ได้ ไม่ตาย แล้วก็จะยิ่งดีเสียอีก นี่พวกที่หกว่ามันเป็นเหยื่อหรือค่าจ้างที่อย่าไปกินเข้า อย่าไปรับเข้า นี่จะเป็นเครื่องเปรียบเทียบให้เราเห็นความสูงหรือต่ำแห่งจิตใจของคนเรา เป็นชั้น ชั้น ชั้น ชั้น โดยยกตัวอย่างมาเพียงอย่างเดียวคือคำว่ากามารมณ์ของเพศ กามารมณ์ทางเพศ ที่เกี่ยวกับเพศตรงกันข้าม แล้วตรงไหนต่ำ ตรงไหนสูง พูดไม่ได้ ถ้าพวกที่หนึ่งที่มันบูชากามารมณ์ มันก็ว่าพวกที่ไม่สนใจกามารมณ์เป็น พวกบ้า พวกบอ พวกต่ำ พวกอะไร พวกเขาแหละสูง เพราะเขามีกามารมณ์ทำนองนั้น นั้นต่าง ต่างพวกก็จะมองดูกันในทางที่ตรงกันข้าม แล้วแต่ทิฏฐิ การรู้สึก การยึดถือของเขาเป็นอย่างไร นี่เป็นการแสดงให้เห็นพร้อมกันเข้าไปในตัวทั้ง ๒ อย่างว่า คำพูดนั้นมันสับปลับ เพราะความหมายก็บัญญัติไว้เฉพาะแห่งตน เป็นระดับ ๆ ไป แล้วว่าสิ่งสิ่งเดียวกันนั้นถูกรู้สึก แตกต่างกันตั้ง ๖ ระดับเป็นอย่างน้อย เช่นคำว่ากามารมณ์ทางเพศอย่างนี้เป็นต้น นั้นเมื่อเราพูดว่ามีความเป็นอยู่อย่างต่ำ และมุ่งกระทำอย่างสูง ในกรณีของกามารมณ์นี่เราจะเอาสูงกันอย่างไร มันก็อยู่ที่บุคคลนั้นอีกนั้นแหละ นั้นบุคคลนั้นจะจัดตัวของตัวไว้ในระดับตรงไหน ความสูงหรือต่ำกว่านั้นมันก็จะเกิดขึ้น ถ้าจัดตัวไว้ผิดเป็นพวกที่หนึ่ง แล้วก็มันก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจไอ้หลักเกณฑ์ของเราได้ ที่ว่ามุ่ง กินอยู่อย่างต่ำ เป็นอยู่อย่างต่ำ มุ่งกระทำอย่างสูง นี่ก่อนที่จะจัดอะไรว่าต่ำว่าสูง ควรดูตัวเองว่าได้ถูกวางไว้ที่ตรงไหน จุดยืนที่ตรงไหนอย่างนี้เป็นต้น จึงจะรู้ไอ้คำว่าต่ำว่าสูง
ทีนี่เกี่ยวกับเรื่องนี้ เราจะเห็นคำพูดของไอ้ จะเห็นความสับปลับของภาษาที่ใช้พูดละเอียดยิ่งขึ้นไปอีก ทีนี้เราก็จะเทียบความรู้สึกระหว่างคนกับสัตว์ สัตว์เดรัจฉานนะ ไอ้คนก็เป็นสัตว์ แต่เป็นสัตว์มนุษย์ นี่จะเทียบระหว่างคนกับสัตว์ สัตว์นี้ถือว่าทำอะไรไปตามสัญชาตญาณส่วนคนนั้นมี Intellect ที่พัฒนาถ่ายทอดกันมา ตกทอดกันเป็นมรดกมานาน มันก็มี Intellect เป็นทรัพย์สมบัติ ส่วนสัตว์มันก็มีสัญชาตญาณ Instinct อะไรทำนองนี้เป็นทรัพย์สมบัติ นี่สัตว์เดรัจฉาน ไม่มี ไม่มี ไม่มีกามารมณ์เฟ้อหรือกามารมณ์เกิน ที่เรียกกันว่า Oversexed Oversexed กามารมณ์ส่วนเกินที่เกิน สัตว์เดรัจฉานไม่มีและไม่อาจจะมี แล้วคนป่าสมัยหินสมัยก่อนนี้มันก็ไม่มี เชื่อกันว่าไม่มี มันเกิดบัญญัติกันขึ้นมาแล้วว่าเป็นของเลวของชั่ว แล้วก็กลัวเพราะ Oversexed นี่จะทำให้วินาศฉิบหายหมดในหมู่คณะนั้น และให้ทุกคนปฏิบัติถืออย่างเคร่งครัดว่าจะไม่มีการกระทำที่เรียกว่า Oversexed นี่ คนป่าเถื่อนยุคโน้นก็ดี สัตว์เดรัจฉานก็ดี ไม่มี Oversexed เดี๋ยวนี้มนุษย์สมัยนี้ที่เต็มไปด้วยสติปัญญานี้มีและยิ่งมี Oversexed ผมไม่ต้องอธิบายนะ คุณก็รู้ได้เองว่า Oversexed สำหรับคนยุคนื้คืออะไร ความไม่มีจุดเพียงพอในเรื่องกามารมณ์ของคนสมัยนี้นั้นมันมีเท่าไร ก็เพราะว่าคนมันมีสติปัญญา มันคิดได้ด้วยมันสมอง ความคิดมันเดินไปทุกแง่ ทุกมุม มันเดินในทางกามารมณ์มันก็เกิด Oversexed ขึ้นมา นี้เราดูกันในแง่นี้ก่อนว่าอันไหนมันดีกว่ากัน ไอ้สัตว์ที่ไม่มี Oversexed นี่ ก็ไม่มีความทุกข์เกี่ยวกับกามารมณ์เลย และมนุษย์นั้นมีทั้งความทุกข์และมีทั้งปัญหาของสังคม มีปัญหาของโลก เกิดเพราะ Oversexed ถ้ามองกันเพียงเท่านี้นะ คือมองเพียงกิริยาปรากฏการณ์ภายนอกนี่ ก็จะต้องพูดว่าไอ้คนนี้มันเลวกว่าสัตว์มาก จริงหรือไม่จริงลองไปคิดดู คนมันจะเลวกว่าสัตว์มากในข้อนี้ เมื่อเรามองกันอย่างนี้
อ้าว, ทีนี้ขั้นต่อไป ถ้าว่าคนนี้แหละมันเกิดควบคุม Oversexed ได้ เกิดไม่มี Oversexed ขึ้นมา มันกลับดีกว่าสัตว์เดรัจฉานที่ไม่มี Oversexed อยู่แล้ว สัตว์เดรัจฉานไม่มี Oversexed ดีเท่านั้น นี้คนไม่มี Oversexed กลับดีกว่าสัตว์เดรัจฉานนั้นหลายเท่า เพราะว่าคนมันทำด้วยสติปัญญาในการที่จะไม่มี Oversexed นี่สัตว์เดรัจฉานมันไม่ Oversexed ตามธรรมชาติ แล้วก็จะพูดได้ว่าสัตว์เดรัจฉานสำเร็จความใคร่โดยตนเองก็ยังทำไม่เป็น คือทำไม่ได้ แต่คนนี่มันยิ่งทำจนเป็นอันตรายแก่ตน ผมเคยอ่านจากหนังสือที่หนังสือพิมพ์ที่เขาถามพวกหมอ ผมจึงสันนิษฐานหรือคาดคะเนเอาว่า มนุษย์สำเร็จความใคร่ด้วยตนเองน่ะ มันมากเกินไป ในเมื่อสัตว์เดรัจฉานมันทำไม่ได้ ฉะนั้นถ้ามนุษย์มันเกิดทำการควบคุมได้ไม่มี Oversexed มันก็ต้องเก่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน เพราะมันทำด้วยสติปัญญา ด้วยความสามารถของเขา คนจะต้องดีกว่าสัตว์อยู่เสมอไป จะสูงกว่าสัตว์อยู่เสมอไป ถ้าเขาทำได้ นี่ถ้าทำไม่ได้มันก็ต้องเลวกว่าสัตว์ เพราะเขาไม่ได้สามารถใช้สติปัญญาเลย ปล่อยไปตามสัญชาตญาณส่วนเกิน นี่สัตว์เดรัจฉานมันทำไม่ได้ เดี๋ยวนี้เรามีสติปัญญาที่สูงกว่าสัตว์ เราสามารถบังคับได้ เพราะฉะนั้นไม่ควรจะถือว่าไอ้คนที่มันควบคุม Oversexed หรือเซ็กส์ธรรมดาได้นั้นไม่ใช่คนบ้า ไมใช่คนมีสติวิปลาส ไม่ใช่มีคน ไม่ใช่เป็นคนมีจิตผิดปกติ ฉะนั้นอย่าได้สงสัยว่าพระอรหันต์เป็นคนมีจิตผิดปกติ เพราะไม่มีเรื่องเซ็กส์ เรื่อง Oversexed เป็นต้น เพราะมันเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ด้วยสติปัญญาของมนุษย์ที่พัฒนามาอย่างสูงสุดนั่นเอง เพราะฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่าคำพูดคำเดียวที่ว่าสูง สูงนี่ มันมีความหมายต่างกันระหว่างคนกับสัตว์ เพราะคนมันขึ้นอยู่กับ Intellect สัตว์มันขึ้นอยู่กับสัญชาตญาณ ถ้าเราพูดว่าสูงก็ดี ต่ำก็ดี ความหมายมันต่างกัน ต้องรู้เองข้อนี้ให้เพียงพอ เพราะว่าคนและสัตว์มันมีกฎเกณฑ์สำหรับกำหนดระดับกันคนละอย่าง แต่อย่างไรก็ดีสิ่งที่ต้องระวังยังมีอยู่ว่า อย่าให้คนเลวกว่าสัตว์ได้ คืออย่าให้คนมันเป็นทุกข์มากกว่าสัตว์แล้วกัน ก็จะละอายมัน ผมเลี้ยงสุนัข เลี้ยงแมว เลี้ยงปลา เลี้ยงต้นไม้ พร้อมกับศึกษาไอ้สิ่งเหล่านี้ทั้งนั้นอย่างยิ่ง จนบ้างครั้งรู้สึกว่าไอ้คนนี่ควรจะละอายสิ่งเหล่านี้ หรือสัตว์เหล่านี้ กินเหยื่อของธรรมชาติ หรือเป็นลูกจ้างของธรรมชาติจน จนเกินไปที่เรียกว่าโอเวอร์ จึงมี Oversexed มีการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองอะไรต่าง ๆ ธรรมชาติหรือสัญชาตญาณนั้นมันไม่มี ทีนี่เมื่อคนมีสติปัญญามากถึงขนาดนี้ ทำไมไม่ใช้มันให้ถูกต้อง คือให้มันไปในทางสูงสุดได้จริง ต้องมีการควบคุมให้ถูกต้อง นั้นยอมให้มันต่ำในส่วนนี้ ในส่วนปัจจัยแท้ ปัจจัยเทียมอะไรก็ตาม ยอมให้มันต่ำ ๆ ไว้เถอะ แล้วคนก็จะเอาชนะสิ่งเหล่านั้นได้ และมันก็จะมีความสูงในทางความหมายหรือทางจิตใจ
ไอ้คำบรรยายนี้มันคล้าย ๆ กับสอนไวยากรณ์ไปในตัว สอนภาษาไปในตัว แต่โดยที่แท้ต้องการจะสอนธรรมะ ในแง่ของธรรมะ แต่มันหลีกไม่พ้นที่จะสอนไอ้เรื่องภาษาไปในตัว เพราะว่าความสับปลับของภาษาทำให้เราเข้าใจธรรมะไม่ได้ นี่ขอให้จำไว้ตลอดกาลต่อไปข้างหน้า ระหว่างความสับปลับของภาษาที่ใช้อยู่ในการพูดจาสั่งสอนเทศนาอะไรก็ตาม ถ้าถือเอาความหมายผิด มันก็ผิดได้
ทีนี้ตอนสุดท้ายนี้ก็อยากจะพูดกันถึงความหมายและคุณค่าในทางศีลธรรม ของสิ่งที่เรียกว่าเป็นอยู่อย่างต่ำ มุ่งกระทำอย่างสูง สิ่งนี้มีความหมายอย่างไรในทางศีลธรรม มีคุณค่าอย่างไรในทางศีลธรรม เราเอากันแต่ที่ประยุกต์ได้ อย่าเอาให้มันเฟ้อเป็นปรัชญา ถ้าจะมองกันไปตรง ๆ เห็นว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่คนมองข้าม มองไม่เห็น มันเป็นหลุมพราง หรือว่าสิ่งพรางตาอะไรอย่างหนึ่งซึ่งคนมองไม่เห็น คนธรรมดาก็มองไม่เห็น คนโง่ก็มองไม่เห็น คนตะกละก็มองไม่เห็น ถ้ามันตะกละเรื่องกินเรื่องอยู่อะไรมากเกินไป จะเอาเอร็ดอร่อยสวยงาม สนุกสนาน มันตะกละขนาดนี้ มันก็จะมองไม่เห็นความจริงข้อนี้ ที่ว่าเป็นอยู่อย่างต่ำ และก็จะมีการกระทำอย่างสูง เพราะคนตะกละนี้ เขาตะกละในทางกามารมณ์มากเกินไปก็มองไม่เห็น นี้คนโง่แม้ไม่ตะกละก็มองไม่เห็น ถึงแม้คนธรรมดาตามปกติก็ไม่ค่อยมองเห็น มองไม่ค่อยจะเห็น คนธรรมดาสามัญที่เรายอมรับกันว่าธรรมดานี่ก็ยังมองไม่ค่อยเห็น ว่าเป็นอยู่อย่างต่ำและมันจะมีการกระทำอย่างสูงขึ้นมาได้อย่างไร ถามว่าสิ่งนี้คืออะไร ก็จะตอบแบบกำปั้นทุบดินว่าคือสิ่งที่คนธรรมดามองไม่เห็น คนโง่มองไม่เห็น คนตะกละในอารมณ์จะมองไม่เห็น
นี้ดูกันอีกมุมหนึ่งก็จะเห็นว่าสิ่งนี้มันจะจมอีกไม่ได้ เพราะว่าเราได้เป็นอยู่อย่างต่ำเสียแล้ว มันต่ำลงไปอีกไม่ได้ มันจมไปอีกไม่ได้ และมันก็คือสิ่งที่จะเลวลงอีกไม่ได้ จะต่ำไปอีกไม่ได้ แน่นอนว่ามีแต่จะสูงขึ้น ถ้ากินอยู่สูง เป็นอยู่สูง มีทางที่จะพลัดตกลงไปสู่ที่ต่ำ เดี๋ยวนี้มันต่ำอย่างถูกต้องเสียแล้ว มันไม่มีทางที่จะตกหรือจมไปอีก มันมีแต่จะลอยไปอยู่ที่สูงอย่างแน่นอนที่สุด อย่างปลอดภัยที่สุด นั้นจึงขอให้ยึดถือเอา เป็นอยู่อย่างต่ำ อย่างถูกต้องอย่างที่ว่ามาแล้วนี้ไว้เป็นหลักประจำ ต่อไปนี้จะมีแต่สูง นี้ค่าของศีลธรรมมันจะมีอย่างนี้ ถ้าเรามองดูว่ามันเป็นอะไร มันเป็นอย่างไร นี้มองดูอีกแง่หนึ่งว่ามันมาจากอะไร เนื่องจากอะไรที่มนุษย์เราจะต้องมีหลักเกณฑ์อันนี้ มันก็มองเห็นไม่อยากหรอก เพราะเดี๋ยวนี้เรื่องปรากฏอยู่เฉพาะหน้าสด ๆ ร้อน ๆ ทั่วไปในโลกนี้ มันมีปัญหาหรือมีวิกฤตการณ์หรืออะไรเกิดขึ้นมาในโลก เพราะความทะเยอทะยานของคนในโลกที่จะกินอยู่อย่างเทวดา กินอยู่อย่างเทวดาในภาษาไทยนะ พูดภาษาไทยเราดีกว่า ทุกคนมันกำลังมุ่งหมายจะกินอยู่อย่างเทวดา แล้วสิ่งที่ไม่ต้องกิน มันก็ยังอยากจะกิน คือพูดได้ว่าทั้งปัจจัยแท้และปัจจัยเทียม ทั้ง ๒ ประเภทนี้น่ะ มันอยากจะให้มากมายฟุ่มเฟือยอย่างกับเป็นเทวดา คือปัจจัยแท้ที่จะกินเข้าไปบริโภคเข้าไปเพื่อผลอันถูกต้อง นี้มันก็ยังจะต้องการให้ฟุ่มเฟือยอย่างกับเทวดา ทีนี้ปัจจัยเทียม เช่นกามารมณ์ เช่นมหรสพ เช่นสิ่งเสพติด นี้มันก็ต้องการให้เป็นอย่างเทวดา นั้นโลกมันจึงเป็นโลกที่ ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว จะเรียกว่าเป็นโลกที่บ้าบอที่สุดมันก็ยังน้อยไปและก็ไม่มีคำอะไรจะเรียก
สมัยผมเด็ก ๆ ปัญหาเรื่องเด็ก ๆ ไปแตะต้องยาเสพติดนั้นมันไม่มี แล้วเด็ก ๆ กลัว กลัวคำว่าฝิ่น กลัวคำว่ากัญชา กลัวคำว่าอะไรต่าง ๆ มันกลัว แต่พอมาถึงสมัยนี้เขาให้การศึกษากันอย่างสูงสุด แล้วทำไมเด็กจึงไม่กลัว เด็กที่มีการศึกษามัธยม เตรียมอุดมอะไร แต่มันก็ยังไปเป็นทาสของยาเสพติด แล้วประเทศที่มันนำหน้าด้วยการศึกษา ทางยุโรป อเมริกา อะไรก็ดี มันสอนกันอย่างไร ที่พอเรียนแล้วมันไปบูชาไอ้สิ่งเสพติดได้ นี่คือสิ่งที่เป็นปัญหาอยู่ก็การศึกษามันเป็นอย่างไรไปแล้ว ถ้าโง่อย่างสมัยก่อนนั้นไม่มีปัญหาเรื่องที่จะต้องปรามยาเสพติดกันเหมือนกับเดี๋ยวนี้ เด็กมันกลัว เดี๋ยวนี้เด็กมันจะอยากลอง หรือมันกล้าต่อยาเสพติด มันถือว่าการศึกษาไม่ถูก เมื่อการศึกษาไม่ถูกแล้วทุกสิ่งมันจะผิดไปหมด นี่เราจึงมีภาระ มีปัญหา มีความทุกข์ทรมานอยู่ที่ตรงที่ ไอ้คนในโลกมันทะเยอทะยานที่จะเป็นอยู่อย่างเทวดาโดยไม่มีเหตุผล โดยไม่รู้จักว่านั้นน่ะคือความต่ำทรามแห่งจิตใจ แต่เขาก็ถือว่าเป็นการสูงสุดทางฝ่ายเนื้อหนัง อยู่อย่าง อยู่บนวิมาน มีกามารมณ์ในทุกแง่ ทุกมุม บำรุงบำเรอ นั้นมันก็เป็นการเพียงพอที่จะสรุปเอาว่ามันเพราะเหตุอันนี้ เราต้องมาสนใจเรื่องนี้ เพราะโลกกำลังมีปัญหาอย่างนี้ เราจึงต้องมาสนใจกันในข้อที่ว่าเป็นอยู่อย่างต่ำ มุ่งกระทำอย่างสูง ประโยคนี้ที่เป็นภาษาอังกฤษ ผมได้ยินมาแต่เล็ก ๆ และก่อนหน้านั้นคนก็สนใจกันมาก่อนแล้วมากทีเดียวก็ได้ นี้มาศึกษาพุทธศาสนาเท่ากับพบว่า อ้าว, แม้ในพุทธศาสนาเราก็มีหลักอย่างนี้อย่างยิ่งแล้ว
นี้ดูในแง่ว่าเพื่ออะไรกันบ้าง เราสนใจหลักเกณฑ์อันนี้ พากันประพฤติ ปฏิบัติตั้งอยู่ในหลักเกณฑ์อันนี้เราจะได้อะไร ก็อย่างที่เคยพูดกันแล้วในการบรรยายครั้งที่แล้วมา ว่าถ้าเราเป็นปรทัตตูปชีวีมีลัทธิถือกันอย่างนี้แล้ว โลกก็จะได้อะไร อย่างน้อยไอ้เศรษฐกิจมันก็จะดีขึ้น ทั้งทางวัตถุ ทางกาย ทางจิต ทางวิญญาณ คือเราไม่กิน ไม่บริโภคเกินจำเป็น และก็มุ่งเป็นอยู่อย่างต่ำ ๆ แล้วผลได้ทางจิตใจมันสูง เพราะฉะนั้นมันไม่หมดเปลืองปัจจัย ไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ทำให้อะไรขาดแคลน ที่เรียกว่าไม่มีการถลุงกันเปล่า ๆ วัตถุมันก็ไม่เปลือง ร่างกายมันก็ไม่ ไม่สะบักสะบอม จิตใจมันก็ไม่กระสับกระส่ายฟุ้งซ่าน แล้ววิญญาณมันก็บริสุทธิ์เพราะมันมีความเข้าใจถูกต้อง คุณอาจจะเห็นว่าผมพูดประหลาด ๆ เศรษฐกิจทางวัตถุ เศรษฐกิจทางกาย เศรษฐกิจทางจิตใจ เศรษฐกิจทางวิญญาณ นี้ใช้คำ ไปยืมคำเขามาใช้คือคำว่าเศรษฐกิจ ถ้าเราลงทุนน้อยได้ผลมาก ได้ผลดีที่สุดเราจะใช้คำว่าเศรษฐกิจ ในด้านจิตด้านวิญญาณก็เหมือนกันถ้าเราลงทุนน้อย ได้ผลมาก ได้ความเจริญมาก เรียกว่าเป็นเศรษฐกิจทางวิญญาณ คือช่วยให้ถึงพระนิพพานได้ง่ายขึ้นหรือเร็วขึ้นโดยลงทุนน้อยที่สุด โดยการเป็นอยู่อย่างต่ำ ๆ และมุ่งกระทำอย่างสูง มันลงทุนน้อยที่สุด และมันก็ได้สิ่งที่มีค่าสูงสุดออกมา หรือถือว่าเป็นเศรษฐกิจที่ดีทางวัตถุ สิ่งของ ที่ไม่มีชีวิตนะ ก็ทางร่างกาย เนื้อหนังนี่ แล้วก็ทางจิตใจด้วย แล้วก็ทางวิญญาณด้วย โลกจะมีสันติไม่ยื้อแย่งกันอย่างเดี๋ยวนี้ ถ้ามันต้องการเป็นอยู่อย่างต่ำ มันก็ต้องการวัตถุปัจจัยน้อย ไม่ต้องรบยื้อแย่งฆ่าฟันกัน มันมีคนส่วนหนึ่งที่มีอำนาจ เป็นชาติที่พัฒนาแล้ว มันต้องการจะเป็นอยู่อย่างเทวดา มันก็สูบหรือดูดเอาไปจากพวกที่ยังไม่พัฒนา ไปเป็นปัจจัยของเขาสำหรับจะเป็นอยู่อย่างเทวดา แล้วกลับมาถือลัทธิอันนี้เสียการกระทำอย่างนั้นมันก็ไม่มี มันก็เป็นผลดีแก่โลก อันนี้มาพูดกันในวงแคบว่าในครอบครัวดีกว่า ถ้าครอบครัวไหน สามี ภรรยาถือหลักอย่างนี้ ครอบครัวนั้นจะเป็นครอบครัวของพระอริยะเจ้า อย่างน้อยก็เป็นพระโสดาบัน พ่อแม่ลูก หลานอะไรกันในครอบครัวนั้น มันถือหลักเป็นอยู่อย่างต่ำ มุ่งกระทำอย่างสูงกันทุกคน โดยไม่ขัดแย้งกัน ครอบครัวนั้นจะเป็นครอบครัวของพระอริยะเจ้า ไปลองดู ไปสังเกตดู ไปทดลองดู นี่เพื่อประโยชน์อย่างนี้จึงยกเรื่องนี้ขึ้นมา นี้ถ้าเราถามว่าสำเร็จได้โดยวิธีใด อุดมคตินี้จะสำเร็จได้โดยวิธีใด คำตอบกำปั้นทุบดินมีอยู่ ใช้ได้แก่ทุกคำถาม คือมีสัมมาทิฏฐิในเรื่องนี้เถิด มีความเข้าใจถูกต้องในเรื่องนี้เถิด จะแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง นี่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อย่างนั้น เมื่อต้องการจะให้อะไรสำเร็จตามอุดมคติอันนั้น ก็จงมีสัมมาทิฏฐิในเรื่องนั้นให้เพียงพอ แล้วมันก็ทนอยู่ไม่ได้ คือมันจะลงมือปฏิบัติ แล้วก็ปฏิบัติไปจนได้รับผลอันนั้น อย่าเห็นว่ามันเป็นของ น่าระแวง หรือน่าเกลียดที่จะให้เป็นอยู่ต่ำ ๆ คนมันจะมองไปในแง่ที่มันน่าเกลียดน่าชัง หรือน่าระแวงว่ามันจะไม่คุ้มค่า จะไประแวงถึงกับว่าถูกหลอกแล้วโว้ย, เรา ถูกหลอกแล้ว ให้เป็นอยู่ต่ำ ๆ แล้วก็มีสัมมาทิฏฐิเพียงพอ เขาก็เชื่อตัวเขาเองได้ และสามารถปฏิบัติถูกต้องตามหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ของเรื่องนี้ที่ว่าเป็นอยู่อย่างต่ำอย่างไร แล้วการกระทำ การคิด การพูดอะไร มันจะสูงของมันไปเอง นี่เป็นหลักที่ควรจะจำไว้ตลอดกาล พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้อย่างนี้ ซึ่งในครั้งที่แล้วมาผมก็อ้างพระพุทธภาษิตนี้ สัมมาทิฏฐิ สมาทานัง สัพพัง ทุกขัง อุปัจจคุง คนเราจะก้าวล่วงความทุกข์ทั้งปวงได้ เพราะสมาทานสัมมาทิฏฐิ สมาทานสัมมาทิฏฐิก็คือการปฏิบัติในสัมมาทิฏฐิอยู่ มีอยู่จริงไม่ได้พูดแต่ปาก ก็แก้ปัญหาได้ทุกปัญหา โทษทุกข์ทั้งปวงคือปัญหาทั้งปวง แก้ได้โดยเพราะมีสัมมาทิฏฐิ นั้นต่อไปก็จะไม่ต้องพูดข้อนี้กันอีกก็ได้ เพียงเอ่ยชื่อถึงก็พอว่า มีสัมมาทิฏฐิในเรื่องนั้น
ทีนี้จะพูดอย่างเอาเปรียบบ้าง ว่าขอให้เป็นพุทธบริษัทให้ถูกต้องกันเท่านั้นเป็นเพียงพอ พวกที่เรียกตัวเองว่าเป็นพุทธบริษัทนี่ ขอให้เป็นพุทธบริษัทที่ถูกต้องเท่านั้นแหละ หลักเกณฑ์อันนี้จะวิ่งเข้ามาเอง เราทำใจเพียงเป็นพุทธบริษัทให้ถูกต้อง และหลักปฏิบัติเรื่องเป็นอยู่อย่างต่ำ มีการกระทำอย่างสูงนี่ก็จะวิ่งเข้ามาหาเอง ขอให้เป็นพุทธบริษัทที่เพียงพอเท่านั้น ปัญหาต่าง ๆ จะหมดไป นี่คือเรื่องที่ผมตั้งใจจะพูดในวันนี้ โดยหัวข้อสั้น ๆ แต่เพียงว่า เป็นอยู่อย่างต่ำ มุ่งกระทำอย่างสูง หรืออย่างพูดไปในทางผลของมันว่า เป็นอยู่อย่างต่ำ และการกระทำมันก็จะสูง เป็นอันว่ายุติการบรรยายในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้ ถ้ามีปัญหาอะไรก็ถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ ชั่วเวลาที่เหลืออยู่
(นาทีที่ 01:34:01 เริ่มช่วงถาม-ตอบ)
(เสียงผู้ชาย) กระผมอยากจะเรียนถามนะฮะ อาจจะนอกเรื่องจากที่พูดไปนิดหน่อย แต่ว่ามันจำเป็นที่จะต้องถาม เพราะว่าเป็นหลักสำคัญในการศึกษาปฏิบัติ (มีเสียงแทรก นาทีที่ 01:34:44) คือถ้าหากว่ามีผู้ถามท่านพระนวกะที่ได้เข้ามาศึกษาในพรรษานี้ว่า พุทธศาสนาคืออะไรมีขอบเขตความมุ่งหมายและหลักการสอนอย่างไรและเพียงใด พระนวกะที่บวชอยู่ในพรรษานี้ควรจะตอบว่าอย่างไร ถึงจะชัดเจนและก็สามารถที่จะเข้าใจได้ในคนทุกระดับ
(เสียงท่านพุทธทาส) สรุปสั้น ๆว่า พุทธศาสนานี้มีหลักเกณฑ์อย่างไร
(เสียงผู้ชาย) คืออะไร มีขอบเขตความมุ่งหมาย และหลักการสอนอย่างไร เพียงไร
(เสียงท่านพุทธทาส) มันอาจจะตอบรวมกันได้ว่าพุทธศาสนานี้มันมุ่ง มันมุ่งอยู่ที่อะไรอย่างหนึ่ง และทุกอย่างต้องหมุนไปหาจุดนั้น ถ้าจะพูดอย่างโฆษณาชวนเชื่อหน่อย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งแก่ สำหรับคนศาสนาอื่นที่เขาไม่รู้หรือไม่ได้ศึกษา หรือที่เขาจะเกลียดชังพุทธศาสนาก็ได้ เราก็จะตอบว่าพุทธศาสนานี้มีหลักการที่จะแก้ปัญหาของมนุษย์ในส่วนที่วัตถุแก้ให้ไม่ได้ วัตถุในที่นี้คือความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ ทรัพย์สมบัติ อำนาจวาสนา เกียรติยศ ชื่อเสียง พลังทางวัตถุ ทุกสิ่ง ทุกอย่าง สติปัญญาการศึกษาที่มนุษย์มีอยู่ในโลกนี้ แก้ไม่ได้ ปัญหานั้นแหละพุทธศาสนาจะช่วยแก้ คือมีหน้าที่ที่จะต้องแก้ ถ้าจะถามว่านั้นคืออะไรอีกแหละ คือปัญหาที่คนมันติดจมอยู่ในสิ่งที่หลอกลวงให้หลงเข้าไปยึดมั่นถือมั่น จนเกิดกิเลส จนเกิดความทุกข์ จนเกิดเบียดเบียนกัน ฉะนั้นสิ่งนั้นก็คือมนุษย์ ไม่มีความรู้ มีอวิชชา มีแต่อวิชชา แล้วก็ไปหลงติดในวัตถุซึ่งมีเหยื่อล่อ หรือกามารมณ์ที่มันมีเหยื่อล่อ และเป็นทาสของสิ่งนั้นแล้ว มันก็เห็นแก่ตัว แล้วมันก็เบียดเบียนกัน ทั้งตัวเองและผู้อื่นเดือดร้อนนั้น พุทธศาสนาจะช่วยแก้ปัญหานี้ ซึ่งสมรรถภาพของคนในโลกเวลานี้อย่างอื่น ๆ นั้น มันแก้ไม่ได้ ไม่อยากจะพูดว่า ถึงศาสนาอื่นเขาก็มุ่งหมายอย่างนี้เหมือนกัน คือมีความมุ่งหมายที่จะแก้ปัญหาทางจิตทางวิญญาณที่วัตถุแก้ไม่ได้ คือความสามารถทางวัตถุแก้ไม่ได้ ทำให้เกิด ทำให้มองเห็นความจำเป็นชัดขึ้นมาว่า จะช่วยแก้ปัญหาอีกครึ่งหนึ่งหรือ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ที่มนุษย์แก้เองตามลำพังไม่ได้ คือเรื่องโลก ๆ มันแก้ไม่ได้ ต้องไว้เป็นหน้าที่ธรรมะหรือศาสนาเข้าไปแก้ นี้ถ้าหากปฏิบัติอย่างไร นั้นก็สรุปแล้วก็ไปปฏิบัติเพื่อการเป็นอย่างนี้ คือเพื่อไม่ให้มุ่งหมายอะไรเป็นตัวกู เป็นของกู เป็นตัวตน เป็นของตน ให้เป็นสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ ที่เรียกว่าตามกฎแห่งอิทัปปัจจยตา แล้วคนเราไม่หลงใหลในสิ่งใด ไม่หมายมั่นในสิ่งใด ไม่เป็นทาสของสิ่งใด มันก็ไม่เกิดกิเลสที่จะทำลายตนเองหรือผู้อื่น วิธีปฏิบัติมันมีอย่างนี้ เรื่องนี้ก็เคยพูดไว้ในคำบรรยายชุดหนึ่ง ไปหาดู ว่าหลักสำคัญก็คือไม่ยึดมั่นว่าตัวตน ว่าของตน ถ้าเรียนก็เรียนอย่างนี้ ถ้าปฏิบัติก็เพื่ออย่างนี้ ถ้าได้ผลก็ต้องได้ผลอย่างนี้ ไม่ยึดมั่นความเป็นตัวตน และก็ไม่เกิดกิเลส แล้วก็ไม่ทำใจให้เป็นทุกข์ ตัวเองก็ไม่ทุกข์ คนอื่นก็ไม่ทุกข์ มันก็พอแล้ว เอาแต่ความสงบสุข เพราะความไม่มีทุกข์ นี่เป็นหัวข้อที่สรุป สั้นที่สุด และดีที่สุด ที่ควรจะกำหนดไว้แม่นยำ รายละเอียดไปหาเอาเองเถิด ถ้ามีอะไรส่วนไหนที่ยังไม่ชัดเจนก็ถามได้ในประเด็นหัวข้อนี้
(เสียงผู้ชาย) ผมขอเรียนถามอีกข้อหนึ่งนะฮะ เพื่อที่จะพยายามศึกษาให้เข้าใจว่าพุทธศาสนานี้มีจุดเริ่มต้นจากไหนไปถึงไหน คือว่าอะไรเป็นเหตุและเป็นปัจจัยของสิ่งเหล่านี้
(เสียงท่านพุทธทาส) ของอะไร ของอะไร เหตุปัจจัยของอะไร
(เสียงผู้ชาย) ของ ของสิ่งเหล่านี้นะฮะ ข้อ ก. อิทัปปัจจยตา ข้อ ข. ขันธ์ ๕ ของมนุษย์ ข้อ ค. สัญชาตญาณของมนุษย์
(เสียงท่านพุทธทาส) แล้ว นี่ก็คือปัญหาที่ตั้งไว้แล้ว (นาทีที่ 01:40:16) ไม่อยู่ในประเด็นที่เราพูดกันวันนี้แล้ว ก็ได้ แต่ว่านี้ ก็จะไม่ได้ถามเรื่องของประเด็นวันนี้นะ เรื่องอิทัปปัจจยตาอธิบายกันอย่างละเอียดในการบรรยายชุดใหญ่ซึ่งก็พิมพ์เป็นหนังสือชื่อนั้นอยู่แล้ว ใจความของมันก็คือ เพราะสิ่งนี้มี จึงมีสิ่งนี้ มันไม่มีจึงมีสิ่งนี้มี ไอ้ตั้งต้นที่สุดนั้นคือสิ่งที่เราขาดความรู้ในสิ่งนั้น ๆ คือเรียกว่าอวิชชา ไม่รู้หรือขาดความรู้ นั่นเป็นจุดตั้งต้น ไม่ใช่จุดตั้งต้นอย่างที่คนอื่นเขามุ่งหมายกันว่าไอ้โลกมาจากไหน อะไรมาจากไหนไม่ใช่ ไอ้โลกของเรามันอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วมันตั้งต้นเป็นปัญหาขึ้นมา เมื่อมันขาดวิชชา มันมีอวิชชา พอตาเห็นรูปเป็นต้น หูฟังเสียงเป็นต้นนี่นะ ได้ยินแล้ว เห็นแล้ว ตอนนั้นมันขาดวิชชา เอ้อ, อวิชชา คือมีแต่อวิชชา รู้ไม่ถูกต้อง มันจะตั้งต้นที่ตรงนี้ ที่จะทำความผิดพลาดขึ้นมา เป็นเวทนาสำหรับเป็นเหยื่อของตัณหา แล้วก็เป็นตัณหา เป็นอุปทาน เป็นทุกข์มันตั้งต้นที่ตรงนี้ นี่เรียกปฏิจจสมุปบาทตั้งต้นที่ตรงนี้ แล้วมันจะมีอีกอย่าง อิทัปปัจจยตา อะไรอีกอย่าง อ้อ, สัญชาตญาณ คำสุดท้ายสัญชาตญาณ ตั้งต้นที่ตรงไหน นี่มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ แล้วไปฝ่ายวัตถุไกลออกไป ตั้งตนมาตั้งแต่สิ่งที่มีชีวิต เริ่มมีชีวิตขึ้นมา ถ้าอธิบายตามความเห็นความรู้ของพุทธบริษัท ตามหลักเกณฑ์ของพุทธศาสนา เราก็ถือว่าไอ้สิ่งที่มีชีวิตนั้นต้องมีความรู้สึก จะไม่มีความรู้สึกไม่ได้ มันก็มีความรู้สึกดิ้นร้นไปตามสิ่งแวดล้อม มันก็มีหลาย ๆ ความรู้สึก หลาย ๆ แขนง แขนงไหนผิดมันก็ตายหรือสลายตัว แขนงไหนถูกมันก็อยู่ มันก็อยู่เรื่อย ๆ มาจนถึงบัดนี้ นี่ความรู้สึกนั้นมันก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ว่าต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ ต้องอย่างโน้น เช่นมันจะรู้สึกหดตัว เมื่ออันตรายมา มันก็ขยายมาเป็นวิ่งหนี เป็นอะไรกัน เป็นป้องกันตัวเป็นอะไรเรื่อย ๆ ขึ้นมา เป็นชั้นสูงสุด เป็นสัตว์ เป็นคน นั้นสัญชาตญาณทั้งหลายมันตั้งต้นมาจากผัสสะ ของสิ่งที่มีความรู้สึก
เดี๋ยวก่อน ขอแทรกว่าพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ในทำนองที่ว่าทุกอย่างมันตั้งต้นมาจากผัสสะ การเห็นผิด ความเห็นถูก หรือทุกอย่างมันตั้งต้นที่ผัสสะ คือตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ถ้าสมมติว่าตั้งแต่สมัยที่โลกมันยังไม่มีอะไรนอกจากสัตว์เซลล์เดียว เริ่มมีผัสสะ แล้วผัสสะมันไปกระทบอะไร ตั้งต้นอย่างไร รู้สึกอย่างไร นั่นแหละมันจะเป็นจุดตั้งต้น ของความรู้สึก ความดิ้นรนไปตามความรู้สึก กระทั่งเป็นความคิด เป็นทิฏฐิ จะตอบได้เลยว่าตั้งต้นที่ผัสสะ ญาณที่เป็นสัญชาตญาณอย่างนั้นก็ดี หรือญาณที่เป็นภา วิตญาณ (นาทีที่ 01:43:42) หรือ Intellect ทั้งหลายที่มนุษย์ประกอบกันทำขึ้นก็ดี ตั้งต้นที่ผัสสะทั้งนั้น แล้วไม่มีทางผิดน่ะ ไปดู ไปศึกษาดูทุกอย่างตั้งต้นที่ผัสสะ
(เสียงผู้ชาย) ผมขอความกรุณานิดหนึ่งฮะ คืออิทัปปัจจยตา นี่เป็น ระหว่าง ขอยกตัวอย่างว่า ถ้าระหว่างที่เกิดตัณหาขึ้นมา ในขั้นต่อไปนี้ต้องมีอุปทาน ในการเกิดตัณหาเกิดอุปทานอันนี้เป็นปฏิจจสมุปบาท แต่เหตุ แต่ว่าในระหว่างที่จะเกิดปัญหามาเป็นอุปทาน อันนี้มันเป็นอิทัปปัจจยตา
(เสียงท่านพุทธทาส) ตลอดสาย
(เสียงผู้ชาย) ใช่ไหมครับ
(เสียงท่านพุทธทาส) อิทัปปัจจยตาตลอดสาย
(เสียงผู้ชาย) ตลอดสาย แต่ว่า ปฎิญญานี้เราจะถือว่าเป็นปฎิญญาตามธรรมชาติ เป็นปฎิญญาของจิตตามธรรมชาติหรือว่าจะมีอะไรอยู่ที่เบื้องหลัง หรือว่ามี อำนาจลึกลับเหนือจาก จากที่เราจะเข้าใจได้ในสามัญสำนึกหรือว่า ปัญญาชน ปัญญาของปุถุชน
(เสียงท่านพุทธทาส) ถ้าอย่างนั้นต้องแยกกัน ว่าจะตอบอย่างพุทธบริษัท หรือตามหลักเกณฑ์ของพุทธบริษัท หรือว่าตามหลักเกณฑ์ของมนุษย์
(เสียงผู้ชาย) ตามหลักเกณฑ์ของพุทธศาสนาที่สอนไว้
(เสียงท่านพุทธทาส) ก็จะถือว่าของธรรมชาติ ของกฎธรรมชาติ หรือของธรรมชาติ การที่สิ่งต่าง ๆ เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของอิทัปปัจจยตา เป็นธรรมชาติ เป็นกฏของธรรมชาติ เป็นอำนาจของธรรมชาติ ทำให้เป็นไปอย่างนั้นอย่างไม่น่าเชื่อ เราเรียกว่าธรรมาเฉย ๆ คือธรรมชาติ ศาสนาอื่นเขาเรียกว่าพระเจ้าหรือเรียกว่าอะไรตามใจเขาเถิด เขาก็เรียกได้เหมือนกัน เขาอยากจะเรียกมันพระเจ้า เพราะมันเข้าใจยากเต็มที แต่เราจะถือว่าธรรมชาติล้วน ๆ มีกฎของธรรมชาติ ทำให้เมื่อสิ่งนี้มีอย่างนี้ สิ่งนี้จะต้องมีอย่างนี้ สิ่งนี้เป็นเหตุปัจจัยแก่กันและกันเรื่อยไป คำว่าอิทัปปัจจยตาคือกฎอันนี้ กฎที่เมื่อสิ่งนี้มี แล้วสิ่งนี้จะมี แล้วสิ่งนี้จะมี แล้วสิ่งนี้จะมี เช่นอวิชชามีแล้วสิ่งนี้จะมี เรียกว่าเป็นความทุกข์ หรือว่าสิ่งที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่คน เป็นวัตถุ ต้นไม้ อะไรก็ตาม ไปตามกฎอิทัปปัจจยตาทั้งนั้นเลย แต่ถ้ามันเป็นเรื่องสำหรับคนเรา คนเราในระดับสูงสุด สัตว์สูงสุดนี้ เราจะเรียกเสียใหม่ว่าปฏิจจสมุปบาท อิทัปปัจจยตานั่นแหละ ให้ชื่อเสียใหม่ว่า อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท โท (นาทีที่ 01:46:20)สำหรับคน สำหรับมนุษย์ สุดท้ายทั่วไปไม่ว่าอะไรก็เรียกว่าอิทัปปัจจยตาเฉย ๆ ไม่ต้องใช้คำว่าปฏิจจสมุปบาท สำหรับคน และเกี่ยวความทุกข์โดยตรง หรือดับทุกข์โดยตรง จะใช้คำว่าปฏิจจสมุปบาท อิทัปปัจจยตาคือส่วนที่จะเรียกว่าปฏิจจสมุปบาท ให้มันแคบเข้ามาหน่อย ไอ้ที่เราสวดกัน ท่องกัน สอนกันคือ ปฏิจจสมุปบาท อิทัปปัจจยตา ส่วนที่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท ทำไมกินอยู่อย่างต่ำ จะทำให้เกิดเป็นอยู่อย่างสูง ก็เพราะปฏิจจสมุปบาท คือเพราะอิทัปปัจจยตานี่ เพราะกฏแห่งอิทัปปัจจยตาจะให้ผลออกมาเป็นอย่างนี้
วันนี้เราพูดกันเรื่องต่ำ เรื่องสูง ถึงการพูด การคิด การกระทำ การเป็นอยู่ และผลของมัน (เสียงหายไป นาทีที่ 01:47:42-01:47:45) ความจริงสัจธรรมของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นของสิ่งเหล่านั้นมันก็ส่วนหนึ่ง และธรรมะอีกส่วนหนึ่งคือที่มนุษย์เราจะต้องเอามาปฏิบัติ มาเรียน มาปฏิบัติด้วยธรรมะส่วนนี้ เป็นศีลธรรม หรือเป็นจริยธรรมที่เราจะต้องรู้ ต้องเรียน ต้องปฏิบัติ มันก็เรียกว่าธรรมะในส่วนนี้ คือธรรมะในส่วนที่ว่าอะไรเป็นอย่างไร อะไรเป็นอย่างไร ตามกฎของอะไร เป็นเรื่องของอะไรธรรมชาติล้วน ธรรมะในส่วนนั้น ซึ่งเราจะเรียนกันมาเหมือนกัน ธรรมะในส่วนนั้นเพื่อมารู้ธรรมะในส่วนนี้เพื่อที่จะต้องปฏิบัติอย่างไร อย่าให้มันขัด กฎของธรรมชาติก็ต้องเรียน และหน้าที่ของมนุษย์ต่อกฎนั้นมีอย่างไร ก็ต้องเรียน เรียนยิ่งขึ้นไปอีก แล้วก็ปฏิบัติให้มันได้ นี่ธรรมะส่วนที่เป็นหน้าที่ของมนุษย์ ธรรมะส่วนที่เป็นธรรมสัจจะของธรรมชาติ มันก็เป็นของธรรมชาติอยู่นั่นแหละ เรารู้เพียงเอามาทำให้รู้จักปฏิบัติส่วนที่มนุษย์จะต้องปฏิบัติ อิทัปปัจจยตาเป็นกฎของธรรมชาติ เป็นตัวธรรมชาติ มันมีอยู่อย่างนั้น เรารู้แล้วเรามาปฏิบัติอย่างไรที่เกี่ยวกับปัญหาของเราโดยตรง อย่าให้มันเกิดความทุกข์ขึ้นมาได้ รวมกันก็เป็นพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอนอย่างนี้ มีอย่างนี้ มีหลักอย่างนี้ ถ้าจะพูดแต่ชาวต่างประเทศหรือว่าคนที่มันไม่เคยรู้เสียเลย ก็พูดอย่างนี้ มันจะพูดถึงเรื่องกฎของธรรมชาติ สัจจะ สัจจะ ธรรมสัจจะทั้งหลาย แล้วพูดถึงหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎอันนั้น เพื่ออย่าให้ความทุกข์เกิดขึ้นมา นี่เรียกว่าธรรมะ ส่วนที่สำคัญและจำเป็นสำหรับมนุษย์ จะต้องรู้และก็สอนกันมากในส่วนนี้ แต่ เรียนพร้อม ๆ กันไปกับส่วนโน้น (นาทีที่ 01:49:49) เรียนอิทัปปัจจยตาเรียนพร้อม ๆ กันกับอัฏฐังคิกมรรค มรรคมีองค์ ๘ เรียนพร้อมกันไป
(เสียงผู้ชาย) กระผมขอกราบเรียนถามว่าตามที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวเรื่องเพศรสเมื่อตะกี้นั้น ตามที่ท่านอาจารย์ได้บอกว่า มนุษย์ได้รับค่าจ้างในเรื่องเพศรสและก็ต้องชดใช้งานเป็นภาระหนักหน่วงในเรื่อง อย่างเช่น ภาระการเลี้ยงเรื่องครอบครัวเป็นต้น แต่กระผมคิดว่าปัจจุบัน มนุษย์สามารถที่จะได้ค่าจ้างโดยไม่ต้องชดใช้ภาระอันนั้นเช่น ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในเรื่องการควบคุมการเกิดอย่างนี้ มนุษย์สามารถที่จะเสวยสุขจากเรื่องเพศรสโดยที่ไม่ต้องไปชดใช้การกระทำของตน กระผมอยากจะเรียนถามว่า ท่านอาจารย์คิดว่าจะมีแนวทางใดที่จะสกัดกั้นปัญหาที่เกิดขึ้นจากเรื่องนี้ได้บ้าง
(เสียงท่านพุทธทาส) นี้ก็มีคนเคยถามนะ เคยคิด เคยกินเหยื่อฟรี ไม่กินเบ็ด แต่อย่าลืมว่ามันจะเรียกร้องทางอื่น มันมีไม่ใช่แต่เพียงว่าเราจะต้องชดเชยด้วยการมีพืชพันธุ์ขึ้นมา และลำบากในการ การเลี้ยงพืชพันธุ์ มันไม่ใช่แต่อย่างนั้นอย่างเดียว เมื่อเราไปถลำลงไปในค่าจ้างอันนี้ กินเหยื่ออันนี้ ซึ่งธรรมชาติเขามีไว้สำหรับจ้างเพื่อให้ทำอย่างอื่น แต่ไปกินเข้าแล้ว เราก็หลงเข้าไป เราก็เป็นคนคดโกง กินเหยื่อแล้วไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ เพราะฉะนั้นก็ถูกลงโทษหนักขึ้นไปอีก ถ้ามันมีกิเลสหนา มีราคะหนา แล้วมันจะฆ่าฟันกันหรือมันจะทำผิดอย่างอื่น ๆ ซึ่งได้รับความเดือนร้อนเพราะไอ้ความหลงใหลในกามารมณ์นั้นน่ะ มากกว่าที่จะได้รับจากการเลี้ยงลูกเสียอีก นั้นอย่าไปลงโทษอะไรมันอีกเลย มันสาสมอยู่แล้ว มันพออยู่แล้วที่มันต้องได้รับโทษ มนุษย์จะต้องมีปัญหามากขึ้นเกี่ยวกับลุ่มหลงทางกามารมณ์ มันจะเสื่อมทางเศรษฐกิจทางการปกครอง ทางทุกอย่างน่ะที่จะหาสันติภาพและสันติสุขในโลกไม่ได้เพียงพอแล้ว เพราะสัตว์นี้มันคดโกง มันกินเอาค่าจ้างไปแล้วไม่ทำงานตามหน้าที่ เพราะแม้มันทำงานตามหน้าที่ มันก็ยังลำบากอีกส่วนหนึ่ง มองอย่างนั้นสิ ก็หมดปัญหา ฉะนั้นเราจะไปให้เขาหยุดเป็นคนคดโกงเรื่องค่าจ้าง อย่าคดโกงกันนี้ ก็ต้องชี้ให้เห็นสิว่าคนคดโกงก็จะยิ่งถูกลงโทษมากกว่าที่ทำไปตามธรรมเนียม ตามระเบียบเสียอีก ฉะนั้นไปช่วยกันเผยแผ่ศีลธรรม ว่าศีลธรรมมันเสียหายหมด เพราะคนมันไปหลงรสอร่อยของไอ้กามารมณ์ เนื้อหนังทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งกำลังบูชาสุดเหวี่ยง แล้ววัตถุก้าวหน้า เพราะสนใจพัฒนากันแต่วัตถุ แล้ววัตถุมันก็ก้าวหน้ายั่วมาก กามารมณ์มีความดึงดูดแรงขึ้นกว่าสมัยพุทธกาลหลายร้อยเท่า หลายพันเท่า มนุษย์ก็มีความทุกข์มากขึ้น เท่ากับที่อันนี้มันมากขึ้น ไม่เห็นน่ะ ไม่ลึกซึ้งไปพิจารณาดูจะเห็นนะ เพราะฉะนั้นทำผิดในเรื่องกิเลสมากขึ้นเท่าไร ก็จะมีความทุกข์มากขึ้น ไอ้เรื่องเลี้ยงลูกนี้ยังน้อยเสียอีก อย่างสัตว์ มันก็เลี้ยงของมันได้ ดูก็น่าสงสารนะ แต่มันไม่ร้ายกาจเท่าที่มนุษย์จะต้องฆ่าฟันกันเพราะเหตุนี้ ต้องเมียฆ่าผัว ผัวฆ่าเมีย เดี๋ยวนี้มันมีลูกฆ่าแม่ ฆ่าพ่อ แล้ว เพราะมีราคะกามารมณ์เป็นมูลเหตุ ไม่น่าเชื่อ
(เสียงผู้ชาย) ขอเรียนถามอีกคำถามหนึ่งครับ คือที่ท่านอาจารย์บอกว่า ให้เป็นอยู่อย่างต่ำ เช่นว่าการบริโภควัตถุต่าง ๆ ก็ควรเลือกบริโภคแต่เพียงของที่ต่ำ ๆ ธรรมดา แต่สภาพปัจจุบัน โดยเฉพาะความเจริญก้าวหน้าทางวัถตุ และผลิตสิ่งของที่ดียิ่งขึ้นทุก ทุกอย่าง อย่างนี้จะก่อให้เกิดปัญหาอย่างนี้ควรทำอย่างไรถึงจะกลับไปบริโภคไอ้ที่ของธรรมดาได้ เพราะของธรรมดาก็มีแต่จะหายาก
(เสียงท่านพุทธทาส) ผมคิดว่าไม่หายากหรอก หรือถ้าว่าเรามุ่งจะหา และถ้าคนมันเกิดนิยมกันขึ้นมา ไม่ไม่ซื้อของฟุ่มเฟือย ตลาดมันก็จะผลิตของธรรมดาออกมาขาย
(เสียงผู้ชาย) อีกอย่างหนึ่งจะเป็นการขัดขวางความก้าวหน้าทางวัตถุ เป็นการขวาง คือไม่ยอมหันตามความเปลี่ยนแปลงตามธรรมดาของโลกไปหรือเปล่าครับ
(เสียงท่านพุทธทาส) นั่นมันแน่นอนแหละ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องผิดเราก็ไม่ไปเอาด้วย ไอ้ความก้าวหน้าทางวัตถุในบางแง่นั้นมันผิดที่มันทำให้คนหลงใหลมากขึ้น หรือใช้กิเลสได้มากขึ้น ฉะนั้นเราไม่เห็นด้วยที่จะพัฒนาวัตถุในแง่นี้ แต่เราก็ไม่สามารถจะไปหยุดยั้งเขาได้ มันก็แยกทางกันเดิน เราเอาข้างถูกต้องไว้เสมอ มันน่าหัวนะ พอดีอาหารที่ใส่กระป๋องมาจากต่างประเทศ ส่งมาอย่างไม่น่าจะมีมา แล้วมันเลวจนหมาไม่กิน หมาผมทุกตัวนี้ไม่กินไอ้ของชนิดนั้น ไอ้คุกกี๋ คุกกี้ เค้กฝรั่งไม่กิน หมาไม่กิน จะถามว่าแพงที่สุดเหรอกระป๋องอย่างนี้ เป็นสิบ ๆ บาท มาขายเรา แต่หมาไม่กิน ของผม ๓ ตัวนี้จะไม่กินไอ้เค้กชนิดเจอคุกกี้ คุกกี้นี้ แล้วคนยังอุตส่าห์ซื้อมาแล้วก็แพง เราควรจะกินธรรมดานี้ ที่มันมีอยู่ตามหลักอนามัย ตามธรรมดา ผัก ผลไม้ ตามธรรมดา เดี๋ยวนี้เราก็ยอมรับว่า ที่มันมีประโยชน์ก็มี เช่นเดี๋ยวนี้เราก็ได้พึ่งความก้าวหน้าทางวัตถุของเขา ไมโครโฟนก็ดี เทปบันทึกเสียงก็ดี มันก็เป็นความก้าวหน้าทางวัตถุของเรา แล้วเราก็ไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้ เพราะมันจะช่วยเป็นประโยชน์ได้ แต่เขาเอาไปบันทึกเพลงทั้งนั้นแหละ ไม่ได้บันทึกธรรมะนี่ สถานีวิทยุที่ลงทุนมาก ๆ มันส่งเพลงไปให้ทำให้คนเลว ให้เด็กหญิงเลว ให้เด็กชายเลวทั้งนั้น ก็น่าเสียดาย ไอ้ความก้าวหน้าทางวัตถุ หมุนตลบมาเป็นเครื่องทำลายมนุษย์เสียอีก หมดเวลาแล้ววันนี้
[T1]ฟังไม่เข้าใจ
[T2]ฟังไม่เข้าใจ
[T3]ไม่แน่ใจตัวสะกด
[T4]ฟังไม่ชัด
[T5]ไม่แน่ใจตัวสะกด
[T6]ไม่แน่ใจตัวสะกด
[T7]ฟังไม่ชัด