แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านพุทธทาส : บอกเขาหน่อยสิว่า มาจากไหน ทำอะไรอยู่ที่ไหน ไม่ต้องมีผู้แนะนำตัว อาตมาชื่ออะไร มาจากไหนว่าไปเลย//
พระรูปที่ ๑ : กราบขอนมัสการท่านอาจารย์ด้วยความเคารพ และขอเจริญพรพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย อาตมภาพ เขาเรียกชื่อว่าพระมงกุฎ ปฏิสัมภิโท มีความเลื่อมใสในท่านพระอาจารย์//
ท่านพุทธทาส : มาจากไหน มาจากไหนก่อนสิ คุณมาจากไหน//
พระรูปที่ ๑ : ออกเดินทางมาจากจังหวัดสุรินทร์ อาตมภาพได้ฟังท่านอาจารย์อรรถาธิบายถึงเหตุการณ์ต่างๆ ของโลกของชีวิตและธรรมะแล้ว รู้สึกว่าท่านได้ให้ความสว่างไสวแก่พวกเราว่าอะไรเป็นเหตุให้เกิดอะไร และเหตุปัจจัยแต่ละอย่างนั้นได้เนื่องกันที่จะส่งให้เกิดเหตุปัจจัยต่อไปอย่างไร เราทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัทย่อมเข้าใจแล้วว่า แท้ที่จริง สัตว์ บุคคล ไม่ได้มี มีแต่ธาตุที่หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไป ความหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปนี้ เป็นไปตลอดกาลและแม้ขณะนี้ทุกสิ่งทุกอย่างก็กำลังเปลี่ยนไป กระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่มีใครยับยั้งได้ และเมื่อตัวเราของเรา ใครๆ ไม่ได้มีอยู่ในโลกนี้ มีแต่กระแสแห่งธาตุทั้งหลายที่เปลี่ยนแปลงและปฏิกิริยาไป จึงไม่มีอะไรน่ากลัวและน่าเป็นทุกข์ เราทั้งหลายเห็นว่าไม่มีอะไรน่ากลัวและน่าเป็นทุกข์ แต่ว่าการทำงานเท่าที่อาตมาเคยทำมานั้นก็คือการที่ได้รวบรวมกันตั้งสมาคมขึ้น เป็นสมาคมที่มุ่งหมายอยู่ที่สัมมาทิฏฐิ เพราะเราพิจารณาเห็นว่าสัมมาทิฎฐิเท่านั้นที่จะช่วยให้โลกนี้ได้พ้นไปจากความหวาดผวาและความตกทุกข์ทรมาน จึงมีการชุมนุมกันขึ้นในบรรดาพระภิกษุสามเณรและก็คฤหัสถ์ที่มีความเห็นว่าโลกนี้มีธรรม หรือพระเป็นเจ้าเท่านั้นที่ยิ่งใหญ่ แม้อำนาจของใคร อำนาจของอาวุธต่างๆ ที่มนุษย์ได้ประดิษฐ์ขึ้นมานั้นจะมีแสนยานุภาพสักเพียงใด ก็ไม่อาจที่จะต้านทานแสนยานุภาพของธรรมะได้ เราไม่ได้กลัวแสนยานุภาพเหล่านั้น แต่เรากลัวแสนยานุภาพของพระเป็นเจ้าเท่านั้น เราจึงรวบรวมกันขึ้นต่อสู้เพื่อที่จะเรียกร้องให้เพื่อนมนุษย์ร่วมโลกของเราได้วางอาวุธเสีย ให้เขาวางศัตราวุธที่จะประหัตประหารกัน เพราะการประหัตประหารกันนั้นไม่มีประโยชน์อะไร เราไม่อาจจะล้างความชั่วด้วยความชั่วได้ ความดีเท่านั้นที่จะชนะความชั่ว ก็อยู่ที่ว่าเราทั้งหลายไม่อยู่แต่เพียงการขยับริมฝีปากและก็กระดิกลิ้น การดำเนินงานครั้งนี้เราจะต้องลงมือทำอย่างชนิดที่ว่าเราได้มอบกายถวายชีวิตให้แล้วแก่พระเป็นเจ้า เหมือนกับว่าเราได้เดินไต่บันไดขึ้นไปสูงๆ แล้วเราก็ได้มองเห็นแล้วว่าเราควรจะเสียสละ เราก็ปล่อยมือทั้งสองให้ทิ้งลงมาทั้งร่างกายและจิตใจ ยอมที่จะเหลวแหลก ยอมสละแล้วทุกสิ่งทุกอย่างเท่านั้น จึงจะสามารถที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้อย่างแท้จริง คือการเสียสละอย่างหมดจิตหมดใจ นี้ก็เป็นความคิดเห็นที่รู้สึกต่อว่าเราจะต้องสืบต่ออุดมคติของท่านอาจารย์นี้ตลอดไปด้วยการลงมือทำ ขอขอบคุณทุกท่านเพียงเท่านี้/
ท่านพุทธทาส : เอ้า, ใครอีกล่ะ ใครอีก ที่หายไปนานๆ ออกมาพูดกันบ้าง ที่อยู่ไกล หายไปนานแล้ว //
พระรูปที่ ๒ : ขอกราบนมัสการท่านเจ้าคุณอาจารย์ที่เคารพ ขอเจริญพรท่านสาธุชนผู้มีใจเป็นธรรมทั้งหลาย อาตมาชื่อเดิม ชื่อว่าพระมหาจำนันท์ มนาโป ปัจจุบันนี้ได้รับสมณศักดิ์แต่งตั้งจากบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า เป็นพระครูศรีธรรมนิเทศก์ เป็นเจ้าอาวาสวัดจันทราวาส อำเภอสวี จังหวัดชุมพร แล้วก็เป็นเจ้าคณะตำบลปากแพรก อำเภอสวี จังหวัดชุมพร เป็นประธานสภาธรรมทูตจังหวัดชุมพร แล้วก็ปีนี้เป็นปีแรกที่ได้มีโอกาสมาร่วมทำบุญล้ออายุกับท่านอาจารย์ แล้วก็รู้สึกมีความปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง ตั้งแต่เกิดมาเป็นพระคือตั้งแต่บวชมา ไม่เคยอดอาหารเลย เพิ่งจะอดในวันนี้ รู้สึกว่าแปลกคือไม่รู้สึกหิวเลย ตั้งแต่เริ่มว่าจะอดอาหารตั้งแต่เช้า ก็รู้สึกว่าอิ่มๆ คือไม่รู้สึกว่าจะหิวกระหาย หรือหิวโหยเหมือนกับวันปกติธรรมดา คือเมื่อวานนี้เดินทางมา พอขึ้นรถไฟก็รู้สึกชักจะหิวแล้ว แต่ว่ามาวันนี้รู้สึกว่าแปลกไม่รู้สึกหิวตั้งแต่ตอนเช้าจนกระทั่งบัดนี้ แล้วก็ได้ให้ของขวัญในวันเกิด ได้ถวายของขวัญในวันเกิดกับพระเดชพระคุณท่านอาจารย์รู้สึกว่า ไม่ใช่ให้ คือว่าได้กับตัวเอง คือว่าได้ความปีติ ได้ความรู้สึกที่เป็นความอิ่มอกอิ่มใจหรือเรียกว่าปีติก็คงจะได้ สำหรับเรื่องที่พระเดชพระคุณได้แสดงในวันนี้ทั้งหมด รู้สึกว่าเป็นข้อที่เร้าใจปลุกใจให้เกิดมีพลังในการที่จะปฏิบัติกิจพระศาสนา เพราะเท่าที่ปฏิบัติงานมาแล้ว รู้สึกว่าเราจะต้องผนึกกำลังร่วมกำลังกัน อาตมาคิดว่าพวกเราที่เป็นศิษย์สวนโมกข์นี้ทั้งฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์กระจายกันอยู่ทั่วประเทศ ถ้าหากว่าพวกเราได้ร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อที่จะต่อต้านอธรรม ซึ่งกำลังมีมากขึ้นในโลกปัจจุบันนี้ อาตมาเชื่อแน่เหลือเกินว่า คงจะเป็นพลังมหาศาลที่จะสามารถต่อต้านพลังของพวกอธรรมได้ แต่ว่าเท่าที่เป็นอยู่กระจัดกระจายอยู่นี้ ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างก็เป็นไปตามสัจจาภินิเวสของแต่ละท่านๆ ถ้าหากว่าพวกเราทั้งฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์ จะร่วมผนึกกำลังกันเหมือนกับที่ท่านอาจารย์ไสวเคยเสนอเมื่อตอน ดูเหมือนจะเป็นตอนบ่าย ถ้าหากว่าพวกเราแต่ละท่าน แต่ละคน แต่ละองค์ ได้ผนึกกำลังกันตั้งเป็นกลุ่มขึ้นจะเรียกว่าเป็นกลุ่มศิษย์สวนโมกข์อะไรก็ได้ แล้วก็ต่างคนต่างก็มีแผนมีนโยบายแล้วก็ร่วมแสดงความคิดความเห็น รวมทั้งอุปสรรคของการทำงานด้วย อย่างเช่นที่เราทำไปนี้รู้สึกว่าอะไรเป็นอุปสรรค เป็นข้อขัดข้อง แล้วเราจะร่วมกันแก้ไขปรับปรุงส่งเสริมอย่างไร แล้วเราก็ร่วมกัน แล้วก็หาอุบายหรือหาวิธีการในการที่จะแก้ไขปรับปรุงงานนั้นให้ก้าวหน้าต่อไป อย่างเช่น อาตมาได้ประสบการณ์มาเกี่ยวกับเรื่องงานของธรรมทูต รู้สึกว่ามีมากเหลือเกิน อุปสรรคข้อขัดข้องต่างๆ ซึ่งจะต้องอาศัยกำลังหลายๆ ท่าน หลายๆ คนร่วมกัน อย่างเช่นที่จังหวัดชุมพรนั้น อาตมาได้จัดตั้งสภาธรรมทูตขึ้น รวมกลุ่มกันขึ้น ผู้ที่มีคุณวุฒิ มีความรู้ความสามารถ ในการที่จะแสดงความคิดเห็นในทางธรรม เรียกว่าเป็นพระธรรมทูต ก็มารวมกลุ่มกันขึ้น จะเรียกกันว่าเป็น teamwork อะไรก็แล้วแต่ แล้วก็รู้สึกว่า เท่าที่ได้ปฏิบัติมาเป็นเวลาหลายปี คือตั้งสภาธรรมทูตมาก็หลายปี แล้วก็ร่วมกันจริงๆ ผนึกกำลังกระจายกันจริงๆ ทำกันจริงๆ ก็รู้สึกว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจเหมือนกัน คือว่าพวกที่เป็นมิจฉาทิฎฐิ คือความคิดเห็นที่ผิด ที่นอกแนวนอกทางของศาสนาของธรรมะนี้ ก็รู้สึกว่าจะกลายเป็นสัมมาทิฎฐิขึ้นเป็นจำนวนมาก ถ้าหากว่าเราที่เป็นศิษย์สวนโมกข์หรือออกไปจากสวนโมกข์ ทุกกลุ่มทุกท่านได้ร่วมแรงร่วมใจกันจริงๆ อาตมาเชื่อแน่เหลือเกินว่า กองทัพของพวกอธรรมนี้จะต้องวินาศ แล้วก็ธรรมนี้จะต้องชนะในที่สุด นี้เป็นความคิดเห็นของอาตมา ฉะนั้นก็จึงขอฝากความคิดความเห็นอันนี้ไว้สำหรับผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นศิษย์สวนโมกข์ เพราะเห็นว่าสถานการณ์หรือเหตุการณ์ของโลก แม้แต่ในกลุ่มพุทธบริษัทเองนี้ ก็เรียกว่ายังต่อต้านอยู่ คือเรียกว่าต่อต้านผลงานของสวนโมกข์ อย่างเช่น ผู้ที่มีความรู้ความ อย่าว่าแต่คนธรรมดา เท่าที่อาตมาได้ประสบมา แม้แต่เป็นเถระมหาเถระในเมืองหลวงเอง ก็ยังต่อต้านก็มี คือเรียกว่าต่อต้านผลงานของสวนโมกข์ อย่างเช่น ต่อต้านเรื่องจิตว่าง คือเขาหาว่าจิตว่างไม่มี แล้วก็จิตว่างไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น นี้ก็เป็นแสดงการต่อต้านผลงานของสวนโมกข์เหมือนกัน ฉะนั้นพวกเราที่เป็นผู้ที่นิยมชมชอบศรัทธาเลื่อมใสในผลงานของพระเดชพระคุณท่านอาจารย์นี้ ควรที่จะได้หาวิธีการหรือแนวทางที่จะความเข้าใจกับท่านเหล่านั้น อย่างเช่น พระก็มีหน้าที่ในการที่จะทำความเข้าใจกับท่านเหล่านั้นให้ถูกต้อง แล้วฆราวาสหรือคฤหัสถ์ก็หาวิธีการหรือแนวทางที่จะต่อต้าน เรียกว่าต่อต้านพวกอธรรมให้วินาศไป ซึ่งผลสุดท้ายก็จะต้องธรรมะย่อมชนะอธรรม อย่างที่พระเดชพระคุณท่านแสดงไปแล้ว เพราะฉะนั้นก็เกล้ากระผม แล้วก็อาตมภาพก็มีความคิดเห็นเพียงแค่นี้ แล้วก็ใคร่ที่จะขอฝากข้อคิดอันนี้เอาไว้เพื่อที่จะได้ร่วมประสานงานกันให้ก้าวหน้าต่อไป ขอเจริญพร//
ท่านพุทธทาส : เอ้า, เรื่องนี้ต้องขอพูดหน่อย ก็ขอบใจที่มีเจตนาดี แต่ที่จะตั้งกลุ่มชื่อว่าศิษย์สวนโมกข์นั้น รู้สึกว่ามันเป็นสังคมนิยมที่นิดเกินไป อย่าทำอย่างนั้นเลย ให้ตั้งชื่ออย่างอื่นซึ่งมันแสดงความหมายของสังคมนิยมที่กว้างขวางครอบไปทั้งโลก มันจะเป็นสังคมนิยมที่สมบูรณ์ มีข้อแนะหน่อยหนึ่งเท่านี้ ใคร ใครอีก//
พระรูปที่ ๓ : ขอกราบเท้าพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอาจารย์ที่เคารพอย่างสูง และขอเจริญพรแด่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่าน อาตมา พระขันธ์ สิริวณฺโณ เจ้าอาวาสวัดมงคลโสภิต (ต้นสน) จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งได้เดินทางมาทำวิสาขบูชากับท่านเจ้าคุณอาจารย์ปีนี้เป็นปีแรกเหมือนกัน รู้สึกซาบซึ้งแล้วก็พอใจเป็นอย่างยิ่ง องค์ที่ได้ลงไปเมื่อประเดี๋ยวนี้ก็คือมหาจำนันท์ ขณะนี้ท่านได้เป็นพระครูสัญญาบัตรและก็เป็นเจ้าคณะตำบลแล้ว ท่านพระครูมหาจำนันท์ องค์นี้ก็มาอยู่สวนโมกข์ปีเดียวกับอาตมา ดูเหมือนจำได้ว่าปีที่อาตมา มาอยู่สวนโมกข์น่ะ ปี ๒๕๐๑ มีพระและเณร ๑๒ รูป ฉะนั้นก็จะขอเล่าแค่นี้ คือจะได้พูดความรู้สึกในใจของอาตมาให้ท่านทั้งหลายได้ฟังต่อไปเลย อาตมภาพรู้สึกพอใจคำว่าจริง จริง นี้มาก และรู้สึกสนใจมานานแล้ว วันนี้ก็ได้ยินคำพูดของท่านพระเดชพระคุณว่าธรรมสัจจะ หรือสัจธรรมนี้เป็นความจริง และมาตรงกับใจที่แท้จริงของอาตมาด้วย ก็เลยอยากจะขอพูดความจริงสักเล็กน้อย ความจริงที่อาตมาจะกล่าวให้ท่านทั้งหลายได้ทราบต่อไปก็คือว่าพวกเราทั้งหลายทั้งเพื่อนสหธรรมิกและญาติโยมกระทั่งอาตมาด้วย อาตมายังรู้สึกว่าเราปฏิบัติธรรมกันยังไม่จริง มีความรู้สึกอย่างนี้อยู่เสมอว่ายังไม่จริง ทีนี้เราจะจริงกันน่ะ มันจะจริงแค่ไหน เราจะทำให้มันจริง มันจะเอากันจริงแค่ไหน ความจริงที่อาตมาได้คิดแล้วก็ได้มีความรู้สึกอยู่ว่า คือจริงที่อาตมากำลังคิดอยู่ก็คือ จริงขณะที่เรานี้หรือท่านทั้งหลายนี่ ต้องเอาชีวิตเข้าไปแลก ถึงจะเรียกว่าความจริง แต่ว่าการเอาชีวิตเข้าไปแลกในที่นี้ ก็ขอบอกให้ท่านทั้งหลายได้ทราบไว้ก่อนว่า เอาชีวิตเข้าไปแลกในทำนองไหน ก็ในทำนองที่ว่าเราต้องถวายชีวิต ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าธรรมะนี่มีคุณค่า ไม่มีอะไรที่จะเอามาเปรียบ จะเอาเพชรพลอยนิลจินดาอะไรมาเปรียบก็เห็นจะไม่ได้ค่ากับธรรมะ เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายอยากจะได้ธรรมะคือความจริงแล้ว เราก็ต้องเอาชีวิตเข้าไปแลก ถ้าเราเอาของอื่นมาแลกกับธรรมะ นี่เห็นจะไม่ได้ คือเห็นจะไม่มีหวังได้ เพราะฉะนั้นมีสิ่งเดียวเท่านั้นก็คือเอาความจริง คือเอาชีวิตนี่เข้าไปแลก แล้วธรรมะอันนั้นก็จะเกิดขึ้นแก่ท่านทั้งหลาย ถ้าหากว่าเราจะทำอะไรก็ตาม เช่น รักษาศีล เรารักษากันจริงๆ มันก็ได้ของจริง ถ้าเราจะทำสมาธิ ทำกันจริงๆ เราก็ได้สมาธิที่จริง ถ้าจะเจริญวิปัสสนา ถ้าเอากันจริงๆ ก็ได้ปัญญาที่จริง แต่อาตมายังรู้สึกว่าตัวของอาตมาเองกับญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายนี้ ยังทำเล่นๆ กันอยู่มากคือมันยังไม่จริง ถ้าใครทำเล่นมันก็ได้ของเล่น เช่นว่าเรารักษาศีลเล่นๆ มันก็ได้ศีลเล่นๆ ถ้าเราทำสมาธิเล่นๆ มันก็ได้สมาธิเล่น ๆ เจริญวิปัสสนาเล่นๆ มันก็ได้วิปัสสนาเล่นๆ ไม่จริง มันเป็นอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้น ความจริงอันนี้ที่อาตมากำลังพอใจอยู่ก็คือ ต้องจริงขนาดที่ว่าถ้าเราอยากจะได้ธรรมะอันแท้จริงแล้ว ต้องเอาชีวิตของเรานี้เข้าไปแลก ความจริงจึงจะเกิด ดังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ท่านจริงเหลือเกิน จริงขนาดเอาชีวิตเข้าแลก เราจะเห็นว่าวันที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ วันนั้นไปนั่งโคนต้นโพธิ์ ท่านพูดองค์เดียวเท่านั้นเอง ไม่มีใครอยู่ในที่นั้น พอนั่งโคนต้นโพธิ์ลงไปแล้วท่านเปล่งคำพูดของท่านออกมาว่าถ้าเลือดเนื้อในร่างกายนี้มันจะเหือดแห้งไปก็ตามที จะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ถ้ามันไม่เกิดอะไรจริงๆ ขึ้นมาแล้วจะไม่ยอมลุกจากที่นั้นเป็นเด็ดขาด นี่ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ท่านทั้งหลายลองคิดดูสิว่าพระพุทธเจ้าท่านเอาอะไรเข้าไปแลก พอพระพุทธเจ้าตั้งใจจริงอย่างนี้แล้ว ปฐมยามน่ะ เกิดอะไรขึ้นแก่ท่าน ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือระลึกชาติได้ก็เกิดขึ้นมาแก่พระพุทธองค์ นี่เอาชีวิตเข้าแลกจริงๆ ท่านทั้งหลายจะเห็น แล้วต่อไปนั้นเป็นมัชฌิมยาม เอาความจริงเข้าไปแลก เอาความตายเข้าไปแลกอีก มัชฌิมยามเกิดอะไรขึ้นมาแก่พระพุทธเจ้า ยามนี้เป็นยามกลาง ก็เกิดจุตูปปาตญาณขึ้นมาแก่พระองค์ คือสามารถที่จะไปเห็นความจุติของสัตว์โลกทั้งหลายนี่เกิดมาด้วยอำนาจของอะไร นี่ก็เพราะเอาชีวิตเข้าแลกเหมือนกัน แล้วปัจฉิมยามต่อไปคือยามสุดท้าย ใกล้รุ่ง พระพุทธเจ้าก็ได้อาสวักขยญาณ คือญาณสุดท้ายนี่ เป็นญาณที่หมดอาสวกิเลสจริงๆ คือโลภ โกรธ หลงก็ไม่มีในพระองค์ เพราะฉะนั้นญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายจะมองเห็นความสำคัญว่าธรรมะที่จะได้นี่ไม่ใช่ทำเล่นๆ ต้องทำกันจริงๆ ขนาดเอาชีวิตเข้าไปแลก ดังที่ท่านทั้งหลายกำลังมาทำบุญล้ออายุของพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอาจารย์วันนี้ อุตส่าห์อดข้าวเพื่อเป็นของขวัญนี่ ก็หมายความว่าทำกันจริงเหมือนกัน แต่จริงของอาตมาที่นึกคิดอยู่ หรือว่าที่คิดมาเรื่อยๆ นี้ บางท่านอาจจะว่า แหม,จะเอาจริงแบบพระพุทธเจ้านั้น อาตมาคิดว่าพวกท่านทั้งหลายยังไม่ต้องจริงถึงอย่างนั้น แต่ว่าเราเอาจริงแต่เพียงว่า เราจะรักษาศีลนี่ แค่นี้ เราเอาชีวิตเข้าไปแลกว่าจริง เราจะไม่เลิกรักษาเรื่อยตลอดไป หรือว่าเราจะทำสมาธิ เราก็ทำกันจริง ไม่ไปเลิกกลางคัน หรือว่าเจริญวิปัสสนากรรมฐานก็ตาม เราก็เอากันจริง ไม่ไปเลิกกลางทาง คือเอาชีวิตมาเป็นเดิมพันนั่นเอง อันนี้เรียกว่าจริง เพราะฉะนั้นความจริงของอาตมาที่มีความคิดเห็นในวันนี้ก็มีเพียงแค่นี้ ก็ขอฝากไว้แก่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทเพียงเท่านี้//
ท่านพุทธทาส : เอ้า,ใครอีก นิมนต์ นี่มาจากไหน ไม่มีใครรู้นะ บอกกันหน่อยนะ ผมยังนึกไม่ออกเลยคุณมาจากไหน//
พระรูปที่ ๔ : ขอกราบนมัสการพระเดชพระคุณอาจารย์ที่เคารพอย่างยิ่ง ตลอดทั้งพระเถรานุเถระทั้งหลาย เจริญพรญาติโยมทั้งหลายที่ได้มานั่งประชุมกัน ณ สถานที่นี้ อาตมภาพ กระผมชื่อว่า พระชวลิต อตฺตมโน วัดสารพัดนึก อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นปีแรกที่ได้เดินทางมาเยี่ยมสวนโมกข์ เหตุที่จะให้กระผมหรืออาตมาได้มาพบสวนโมกข์นี้ ก็เนื่องจากว่าได้มีความเลื่อมใสในพระเดชพระคุณนี้มาเป็นเวลา ๔-๕ ปีมาแล้ว เนื่องจากว่าได้รับคำสอนของท่านโดยการอ่านหนังสือซึ่งเป็นคำสอนที่ให้อาตมานี้ได้รู้และเข้าใจซาบซึ้งเนื้อแท้ของพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก และเป็นเหตุให้อาตมภาพได้นำธรรมะเข้ามาเป็นเครื่องปฏิบัติในกิจประจำวันของอาตมาได้มากที่สุด จนทำให้ชีวิตของพรหมจรรย์ของอาตมาได้เจริญคืบหน้าขึ้นมาถึงกระทั่งบัดนี้ ซึ่งในระยะก่อนนั้น การศึกษาธรรมะ นักธรรมตรี,โท, เอกนั้น ก็รู้สึกว่ามันจะเป็นไปในทางการศึกษาทฤษฎีหรือว่าการท่องการจำมาก และไม่รู้วิธีที่จะนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว อาตมาจึงตั้งปณิธานไว้ว่า ขอนับถือท่านพระเดชพระคุณนี้เป็นอาจารย์คนที่ ๒ รองจากพระพุทธเจ้าลงมาตั้งแต่เวลา ๔ ปีผ่านมาแล้ว และก็ตั้งความในใจมาว่า ถ้าว่ามีโอกาสแล้วสักวันหนึ่ง จะได้ไปนมัสการและปฏิญาณตนต่อหน้าท่านอีกครั้งหนึ่งในใจมา ต่อมาๆ ก็พยายามติดตามอ่านหนังสือของท่านมาโดยตลอด ทำให้เข้าใจดีและรู้สึกจับใจในคำที่ว่าเรื่องจิตว่าง หรือว่าการทำงานด้วยจิตว่างนี้แหละ ได้นำมาใช้ในชีวิตประจำวันมากที่สุด และอีกอันหนึ่ง ต่อมาก็ได้รับหนังสือที่เป็นเกี่ยวกับประวัติและผลงานของท่าน ก็ได้อ่านดูรู้สึกว่ามีความซาบซึ้งในปฏิปทาของท่านเป็นอย่างมาก ซึ่งอาตมาพิจารณาดูแล้วว่าเป็นชีวิตที่คล้ายๆ กับชีวิตของพระพุทธเจ้าเลยทีเดียว ซึ่งพระเดชพระคุณนี้ได้ออกมาต่อสู้ด้วยตนเองและผู้เดียวมาเป็นเวลาหลายปี กว่าจะมีเพื่อนยอมรับและมีลูกศิษย์ลูกหามากมายมาเป็นลำดับถึงขณะนี้ เพราะฉะนั้นปฏิปทาอันนี้แหละจึงเป็นศรัทธาเพิ่มให้อาตมานี้ได้มีความรู้สึกซาบซึ้งขึ้นในพระพุทธศาสนาอีกมากมาย ทำให้อาตมามีความรู้สึกว่าจะขอรับใช้พระพุทธศาสนาไปจนกระทั่งชีวิตจะหาไม่ ซึ่งเป็นความรู้สึกในใจขึ้นมาอีกข้อหนึ่ง ซึ่งยึดเอาหลักปฏิบัติและปฏิปทาของพระเดชพระคุณนี้เป็นตัวอย่าง เพราะฉะนั้นเมื่อได้โอกาสแล้วก็จึงได้เดินทางมาสู่สวนโมกข์โดยคนเดียว โดยองค์เดียว ไม่เคยรู้มาก่อนว่าอำเภอไชยานี้อยู่ที่ไหน และภาคใต้ก็ยังไม่เคยมาสักที แต่อาศัยดูแผนที่ก็เลยมา มาตามรถไฟ มาลงที่ไชยา แล้วก็เข้ามาที่นี้ แต่ก่อนที่เข้ามาที่นี้นั้น ได้ไปที่สำนักคณะธรรมทานก่อน แล้วก็ได้รับการแนะนำแล้วก็จึงเดินทางมาที่นี่ ก็พอดีมาครั้งนี้ก็รู้สึกว่าได้รับประโยชน์อันยิ่งใหญ่หลายอย่าง เช่น พอดีมาประจวบกับงานสำคัญคือวันวิสาขบูชาและงานทำบุญล้ออายุพระเดชพระคุณนี้อีก ก็รู้สึกว่าได้รับพระธรรมเทศนาจากท่านมากพอสมควร และก็ได้รู้สึกมีความปีติยินดีเป็นอันมากที่ได้ร่วมทำบุญล้ออายุกับท่านในวันนี้ และก็ทำให้รู้เข้าใจดีว่าการทำบุญล้ออายุนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งแต่ก่อนได้รู้แต่ในหนังสือว่าท่านทำบุญล้ออายุ ๖๐ ปี ๖๑ ปี ๖๒ ปี เป็นลำดับมา ก็ยังไม่รู้ว่าการล้ออายุนั้นเป็นอย่างไร เพิ่งจะมารู้ได้ในวันนี้ว่าการล้ออายุนั้นคือการทำดังที่เราประจักษ์อยู่เดี๋ยวนี้ ทำให้ซาบซึ้งและก็ได้ยินเพื่อนว่าจะถวายของขวัญกับท่านอาจารย์ในวันพรุ่งนี้ก็ยังไม่ทราบว่าของขวัญนั้นเป็นชนิดใด พอตอนเย็นวานนี้ ก็พอดีได้รู้ขึ้นมาว่า ของขวัญคือการอดข้าว ทำให้อาตมาก็รู้สึกอยากถวายด้วยเหมือนกัน จึงตั้งปณิธานว่าวันนี้จะต้องอดข้าวเพื่อเป็นการถวายของขวัญท่านพระเดชพระคุณเนื่องในวันล้ออายุนี้ด้วย ก็จึงได้ตั้งใจตั้งแต่เช้ามา และก็มีความคิดว่าในการที่ล้ออายุ การอดข้าวครั้งนี้ แม้จะมีอะไรเป็นไปในทางเวทนาเกิดขึ้น จะถึงแก่ จะโง่ถึงกับอดข้าวถึงตาย คิดว่าก็จะขอถวายชีวิตนี้แก่พระเดชพระคุณ มีความปรารถนาอย่างนี้จึงได้อดมา แต่ก็รู้สึกว่ามีสภาพปกติและได้รับประสบการณ์ทางจิตมามากพอสมควร ซึ่งว่าเป็นการศึกษาที่ดียิ่งที่สุดสำหรับอาตมา เพราะฉะนั้นความรู้สึกของอาตมามีอย่างนี้ สำหรับการเผยแพร่คำสั่งสอนคำสอนของพระเดชพระคุณนั้น เดี๋ยวนี้อาตมายังไม่ได้มีโครงการที่จะตั้งเป็นศูนย์เผยแพร่หรืออะไรทำนองนั้น เพราะว่าอาตมามีคนเดียวมีคณะน้อย ก็เลยเผยแพร่ไปตามญาติโยมที่รู้จักใกล้เคียง ในรูปของพระธรรมเทศนา การเผยแพร่ตามเขตตามที่ตนจะทำได้โดยแนวของพระเดชพระคุณนี้เอง แต่ว่าก็มีความปรารถนาต่อไปอยู่เหมือนกันว่าจะพยายามที่สุดที่จะทำให้แนวการปฏิบัติศาสนานี้ตามแนวของพระเดชพระคุณนี้ให้แผ่ไพศาลมากออกไปยิ่งๆ ขึ้นจนทั่วประเทศนี้ แต่ว่าระยะนี้อาตมานี้เป็นผู้ที่ยังมีพรรษาอ่อน อายุพรรษาก็ยังน้อยไป ก็จึงมีเวลาพยายามที่จะฝึกฝนตัวเองหรือปฏิบัติด้วยตัวเองให้รู้ยิ่งเห็นจริงมากๆ ขึ้นไปกว่านี้ แล้วงานการเผยแพร่จึงจะตามมาภายหลัง เพราะเหตุนั้น ความคิดเห็นก็มีอย่างนี้ เพราะฉะนั้นก็ขอถวายความคิดเห็นแต่เพียงเท่านี้//
ท่านพุทธทาส : เอ้า, มีใครอีก เร็วๆ //
พระรูปที่ ๕ : ขอกราบนมัสการพระเดชพระคุณท่านอาจารย์ที่เคารพอย่างสูง และขอกล่าวคำว่าเจริญพรแก่บรรดาญาติโยมและบรรดาพุทธศาสนิกชนทั้งหลายที่มานั่งประชุมกันในที่นี้ อาตมภาพขอกล่าวสั้นๆ และจะไม่พูดมาก เดินทางมาจากจังหวัดชัยนาท ซึ่งเป็นการเดินทางมาครั้งแรกและก็ได้มากัน ๒ องค์และก็โยมคนหนึ่งและขอบอกชื่อว่า ชื่อพระภิกษุบุญเรือง ปภสฺสโร อยู่วัดศรีวิชัยวัฒนาราม จังหวัดชัยนาท ซึ่งเป็นวัดเจ้าคณะจังหวัด และขณะนี้ก็กำลังเรียนนักธรรมและบาลีอยู่ และก็ได้มาเมื่อก่อนวันวิสาขะ การที่อาตมามาที่นี้ก็ได้รับความรู้อะไรแปลกๆ ขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นกำไรชีวิตของอาตมามากทีเดียวและก็ได้เกิดความคิดเห็นอย่างหนึ่งซึ่งผุดขึ้นมาในสมอง ซึ่งนับว่าคงจะไม่มีใครเหมือน และก็จะขอถวายความคิดเห็นนี้แด่พระเดชพระคุณท่านอาจารย์ที่เคารพ ก็หวังว่าคงจะไม่เป็นที่รบกวน คืออาตมามาฟังท่านอาจารย์ท่านบรรยายธรรมะก็มีความคิดเห็น ตลอดทั้งจนอาจารย์ระวีท่านขึ้นมาพูด ก็มีความคิดเห็น ก็เลยอยากจะขอพูดว่าที่สวนโมกข์นี้ อาตมาฝันเหลือเกินคืออยากจะให้เป็นโรงเรียนที่เกิดขึ้นมาสักหลังหนึ่ง คือโรงเรียนที่มีสภาพคล้ายๆ กับของโรงเรียนที่ท่านรพินทรนาถ ฐะกอร์ นั้นสร้างไว้ในอินเดีย คือว่าสวนโมกข์นี้มีธรรมชาติที่ชักชวนจิตใจของมนุษย์เราหรือว่าของผู้ที่มาเที่ยวให้สนใจได้มากทีเดียว ฉะนั้นถ้าที่นี่เกิดเป็นโรงเรียนขึ้นมาได้ จะนับว่าเป็นโรงเรียนที่ดีที่สุดของเมืองไทยเรา เพราะว่า (๑) มีธรรมชาติที่งดงามและเยือกเย็น (๒) ที่นี่ก็เต็มไปด้วยบัณฑิตไม่ว่าทั้งฆราวาสหรือว่าบรรพชิต ทุกคนล้วนแล้วแต่มีความรู้สูง เป็นบัณฑิตด้วยกันทั้งนั้น อาตมามาในที่นี้จึงรู้สึกว่าภาคภูมิใจมาก เพราะได้มาอยู่ในหมู่บัณฑิต แล้วก็อีกอย่างหนึ่ง คนทางกรุงเทพฯ ก็มาเที่ยวกัน แล้วก็มาช่วยอาจารย์ทำงานหรือว่ามาอะไรก็แล้วแต่ ทุกคนก็ล้วนแต่มีความรู้สูงทั้งนั้น ล้วนแล้วแต่อยากจะให้พระพุทธศาสนาเจริญ ฉะนั้นอาตมาจึงมีความคิดเห็นว่าถ้าที่นี่รับพระรับเณรให้อยู่ได้มากที่สุด และตั้งโรงเรียนคือว่าสอนไปในแนวที่ท่านอาจารย์ท่านสอนนี้ให้มากที่สุด พุทธศาสนาก็จะเจริญขึ้นอีกไม่น้อยทีเดียว เพราะที่นี่มีอะไรแปลกๆ ไม่เหมือนที่อื่น ดังเช่นโรงละครมหรสพทางวิญญาณ หรือว่าภาพปั้นอะไรเช่นนี้เป็นต้น อาตมาไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ก็เพิ่งจะมาเห็นที่นี้แหละ แล้วก็ขอบอกเสียก่อนว่าธรรมชาติที่นี่นับว่างดงามมากทีเดียว แล้วก็กว้างขวางมาก เมื่อก่อนที่อาตมาจะมาที่นี่ ได้เดินทางไปเขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งนับว่าเป็นสวนอุทยานแห่งชาติ ที่โน่น ธรรมชาติเขาก็สวย แต่ที่นี่ก็สวยไม่แพ้ทีเดียว มาตอนแรกอาตมาก็ชมอยู่เรื่อยว่าที่นี่มีธรรมชาติ มีดอกไม้ต้นไม้ไม่แพ้เขาใหญ่ สวนอุทยานแห่งชาติ ที่นี้จึงนับว่าเป็นดิสนีย์แลนด์ได้ ดังที่หนังสือพิมพ์เขาเคยลงไว้ว่าสวนโมกข์เป็นดิสนีย์แลนด์ แต่ท่านอาจารย์ท่านก็ได้พูดแล้วว่าถึงสวนโมกข์นี้จะเป็นดิสนีย์แลนด์ ก็ขอให้เป็นดิสนีย์แลนด์ทางวิญญาณ ซึ่งท่านพูดได้จับใจอาตมาเหลือเกิน เพราะการพูดของท่านนี้ ก็บ่งบอกถึงว่าท่านมิใช่มุ่งไปในทางวัตถุ แต่ว่ามุ่งไปในทางวิญญาณ หรือว่าทางจิต พุทธศาสนาของเราก็เช่นเดียวกัน ฉะนั้นอาตมาจึงขอแสดงความคิดเห็นซึ่งอาจจะรบกวนท่านอาจารย์ไปบ้างก็ขออภัยด้วย แล้วในที่สุดอาตมาก็ไม่มีอะไรจะพูด ก็คือว่าเป็นโรคคอเจ็บด้วย ไม่อยากจะพูดมาก แล้วก็ขณะนี้ทางโรงเรียนของอาตมาก็เปิดแล้วแต่ยังไม่อยากกลับ เพราะว่ายังติดใจที่นี่อยู่ ตั้งใจว่าเสร็จงานนี้แล้วก็จะกลับ แล้วก็หวังว่าปีหน้าก็คงจะได้มาพบญาติโยม และได้มาฟังธรรมของท่านอาจารย์อีก เอาล่ะ, ขอกล่าวคำว่า สวัสดี //
พระรูปที่ ๖ : กราบนมัสการพระเดชพระคุณท่านอาจารย์ อาตมามีความรู้สึกอย่างหนึ่งในวันนี้ คือว่า ในเมื่อวันนี้เราสามารถอดข้าว ๒๔ ชั่วโมงแล้ว เราไม่มีความรู้สึกอะไรเกิดขึ้น ถ้าวันหลังถ้าเราจะทำอะไรผิดหรือจะหลงในสิ่งที่ผิด เราก็จงหวนนึกถึงวันนี้ว่า เราไม่กินอะไร ๒๔ ชั่วโมง เรายังอยู่ได้ แล้วเราจะทำในสิ่งที่ผิดไปทำไม แค่นี้ครับ//
พระรูปที่ ๗ : อาตมาเป็นบรรพชิตใหม่ เป็นนิสิตจุฬาฯ จบปีนี้ เป็นประธานนักศึกษาคณะเภสัชศาสตร์ มีความรู้สึกว่าสำหรับความคิดเห็นของอาตมาในวันนี้ การอดอาหารในวันนี้ เพียงแต่เราอดอาหารวันนี้นี่ มันยังไม่เป็นผลเท่าไหร่เลย ถ้าจะเป็นของขวัญของอาจารย์จริงๆ เราต้องคิดว่าวันนี้เป็นวันแรกที่เราได้ต่อสู้กับกิเลสคือการกินนี้ และถ้าเราคิดว่าเรารักอาจารย์จริงแล้ว เราต้องสร้างอุดมคติที่อาจารย์ได้ตั้งไว้นี้ ช่วยกันสร้าง คือเราต้องต่อสู้กิเลสต่อไป ข้อสำคัญมากที่สุดคือไม่ใช่แต่พวกเราได้แต่อภิปรายพูดๆ กัน ข้อสำคัญที่สุดเราต้องปฏิบัติ แม้กระทั่งเราจะนับถือใครก็ตาม ถ้าผู้นั้นได้แต่พูด อย่างเช่นอาจารย์นี้เมื่อก่อนนี้กระผมก็ยังไม่ทราบว่าอาจารย์เป็นนักปฏิบัติ ก็ได้แต่ศรัทธาในปัญญาของอาจารย์ ทั้งๆ ที่ยังไม่เห็นตัว เพราะการที่เราจะศรัทธาอะไร เราอย่าได้ศรัทธาเฉพาะตัวบุคคลรูปร่างอย่างนั้น แม้กระทั่งพระพุทธเจ้าเองก็ตาม เราควรจะศรัทธาในปัญญาคำสั่งสอน เราเพียงแต่ฟังคำสั่งสอนนี้ เราซาบซึ้งจริง แต่เราต้องมองดูคนที่สั่งสอนเรา ถ้าคนที่สั่งสอนเราปฏิบัติได้ นั่นแหละเราก็ควรจะเคารพ อาตมาก็เคยได้ทราบข่าวการปฏิบัติตัวของอาจารย์ แต่ก็ยังไม่แน่ใจจนมาบวชที่นี่ หลายครั้งที่อาตมายอมรับว่าไปแอบมองท่านอาจารย์หลายหนเลย ที่อาจารย์กระทำตัว ก็เลยเกิดความศรัทธาจริงๆ ฉะนั้นถ้าพวกเราจะช่วยกันแก้ไขปัญหาสังคมจริงแล้ว สิ่งที่จะต้องแก้ไขคือ หน่วยแรกของสังคมคือในครอบครัวของเราเอง เราทำตามฐานะ อย่างอาตมานี้มีโยมพ่อโยมแม่ ก็จะพยายามแนะนำ โยมพ่อโยมแม่ให้รู้จักปฏิบัติธรรม โยมเองทั้งหลายทุกคนเองก็ตาม แม้กระทั่งลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ในสวนโมกข์นี้ก็ตาม เราต้องปฏิบัติตัวให้ดีก่อน ก่อนเราจะสั่งสอนคนอื่น ไม่อย่างนั้นคนอื่นก็จะไม่นับถือเรา พ่อแม่ก็ตาม ถ้าสั่งสอนลูกว่าให้เป็นคนดีประพฤติธรรมไม่เห็นแก่ตัว แต่พ่อแม่นี่ยังแสดงความเห็นแก่ตัวให้ลูกเห็น ลูกมันก็จะไม่ปฏิบัติตาม ฉะนั้นจึงขอฝากไว้ว่าขอให้ทุกคนอย่าได้แต่ฟังอย่างเดียว จงเอาไปปฏิบัติด้วย และลูกศิษย์ของอาจารย์ไม่ว่าจะเป็นสมณเพศหรืออะไรก็ตาม เราจะสั่งสอนใครนี่ ตัวเราต้องปฏิบัติให้ได้ด้วย ไม่ใช่ดีแต่มาพูด ฉะนั้นสิ่งที่อาตมาได้จากที่นี้คือธรรมะ แต่ก็ยังคิดว่าประโยชน์ได้จากการฟังอย่างเดียวนี้คิดว่ามันก็ยังได้ไม่มากเท่ากับว่าถ้าอาตมาเอาไปปฏิบัติเอง นั่นหละถึงจะได้ผล และจะได้ผลต่อไปก็ต่อเมื่อเราปฏิบัติแล้วให้คนนับถือเรา เมื่อคนนับถือเราแล้วนี่ เราก็สามารถที่จะสั่งสอนให้เขาปฏิบัติตาม ฉะนั้นขอย้ำได้คำเดียวว่าจงปฏิบัติ ไม่ใช่ฟังอย่างเดียว เจริญพรทุกๆ คน//
พระรูปที่ ๘ : นมัสการท่านอาจารย์ เจริญพร อาตมามาจากประเทศอังกฤษนะครับ วัดพุทธประทีป ชื่อ สุขสมฺปนฺโน แต่อาตมาตั้งชื่อเองว่าพระปวารณา อาตมาได้ศึกษาพระธรรมจากหนังสือพระไตรปิฏกและทุกอย่างมา สิ่งที่สนใจที่สุดก็คือหนังสือของอาจารย์พุทธทาส เป็นหนังสือที่เข้าใจง่ายและปฏิบัติมาตลอด ส่วนมากก็เป็นหนังสือที่เข้าใจกันไม่ยากนัก แต่การจะเข้าใจหนังสือนั้นมันก็ไม่สำคัญเท่ากับประสบการณ์ที่เราผ่านมา ประสบการณ์เท่านั้นที่สอนให้เราเป็นคนขึ้นมา จากความเป็นคนก็เป็นมนุษย์ขึ้นมา อาตมามาที่นี่ก็มาได้ ๕๕ วันแล้ว ก็มาเพื่อจะมานมัสการท่านอาจารย์เพราะท่านเป็นผู้ให้แสงสว่างกับอาตมาอย่างมากที่สุด จากชีวิตที่ใช้อยู่ในเมืองนอก อาตมาเพิ่งมาเห็นชีวิตที่มีคุณค่าที่สุดคือชีวิตที่เป็นบรรพชิต เพราะอาตมาเห็นแล้วว่าการเป็นบรรพชิตนี้เป็นชีวิตที่ไม่แคบ การเป็นฆราวาสนั้นรู้สึกว่าจะเป็นการแคบเกินไปสำหรับจะดำเนินชีวิต อาตมามาที่นี่ มาแบบว่าไม่มีภาระเลย ทุกอย่างมันไม่ใช่ว่าจะเป็นอย่างที่เราคิดกัน มันมีทุกอย่าง มีความลำบาก มีความสุขเป็นบางครั้ง การเป็นพระต้องต่อสู้ทุกด้าน พวกเราเอาแต่พูดๆ กันแต่ไม่เคยมีใครจะกระทำกัน เป็นการลำบากมาก ถ้าเวลาจะมาแต่พูดกัน การเป็นพระคือเป็นการแสดงตัวอย่างให้บุคคล คนซึ่งเป็นฆราวาสเห็น เรามักน้อย เราก็แสดงให้เขาเห็นว่าเราเป็นผู้ที่มักน้อยจริง ถือสันโดษ ก็สันโดษจริงๆ ไม่ใช่ว่าสันโดษด้วยปัจจัยที่ ๕ ที่ ๖ ขึ้นไปทุกอย่าง อาตมา ชีวิตฆราวาสอาตมา พวกญาติพวกโยมก็อาจจะคิดว่าอาตมาคงจะไม่ค่อยเต็มเต็งเท่าไหร่ก็ได้ อาตมาอยู่อเมริกามา ๘ ปี ใช้ชีวิตอยู่ในอเมริกามา มีการมีงานทุกอย่าง จากชีวิตที่แคบ คับแคบใจ ไม่ใช่คับแคบเฉยๆ ทุกคนก็คิดว่าเป็นชีวิตที่สนุก การอยู่เมืองนอกนั้นมันสนุกจริงครับตอนแรก แต่พอเผชิญเข้าไปๆ ความเซ็งมันมีในตัว พอถึงสุดยอดของมัน ท่านจะเต้นรำหรือ เต้นรำสัก ๒ ปี ๓ ปี มันก็ไม่เอาแล้ว จะทานเหล้าหรือ ๕ ปี เมาแอ๋ทุกวัน ทุกเสาร์ ทุกอาทิตย์ มันก็แค่นั้น อาตมามาเป็นในเพศบรรพชิตรู้สึกมีความสบาย ไม่ต้องใช้เหล้าคอยช่วย เพราะว่าเรารู้จักการใช้จิตว่างให้เป็นประโยชน์ รู้จักการจะใช้จิตว่างของเราให้เป็นประโยชน์ คือแทนที่เราจะเอาสิ่งที่เป็นอบายมุขเข้ามาแทนในระหว่างที่เรามีความ lonesome เอ้, ความอะไรนะ ว้าเหว่ใจ ความว้าเหว่ใจนี่เป็นภัยสำหรับวัยรุ่นมาก แต่อาตมามาที่นี่รู้สึกว่ามีความสบายใจ ใช้เวลา ๕๕ วันนี่ สำรวจทั่วจากเหนือล่องใต้ เดินไปบ้าง ขึ้นรถไปบ้าง ใช้แบบว่า ใช้เงินน้อยที่สุด ญาติโยมเขาให้เงินมา ๓,๐๐๐ อาตมาใช้ไปสัก ๒๐๐ บาท ส่วนที่เหลือก็คืนเขาไป แต่ก็เห็นแล้วว่าชีวิตบรรพชิตนี้ ปัจจัยไม่มีความสำคัญเลย เช้ามาก็ออกบิณฑบาต กลับมาก็มีที่อยู่ ที่ก็ไม่ต้องมากนัก เครื่องนุ่งห่มก็มีแล้ว เภสัชหรือ ถ้าเรารู้จักรักษาตัวของเราเอง โรคภัยไข้เจ็บก็ไม่มี นี่ครับ เป็นชีวิตที่สันโดษที่สุด คือการปลดเปลื้องชีวิตที่เป็นภาระ ชีวิตฆราวาสคือชีวิตที่มีบ่วง ๓ บ่วงมาคอยผูกเราไว้เสมอ บ่วงบนก็คือบุตร บ่วงกลางก็คือภรรยา บ่วงล่างก็คือทรัพย์สินของเรา ผู้ที่มีทรัพย์สินก็คอยระแวงตลอดเวลานะ ว่าเดี๋ยวเขาจะมาเอา เดี๋ยวใครเขาจะมาขโมยบ้าง นี่อาตมาก็เพิ่งมาทราบนี่เองว่าทรัพย์สินมันไม่ใช่ทุกอย่าง เพิ่งมาทราบนี้ว่าทรัพย์สินมันอยู่ในตัวของเรานี่เอง คุณค่าของความเป็นมนุษย์ของเรามันมีอยู่ที่นี่ ความเป็นมนุษย์ของเรามันไม่ใช่ว่าต้องไปหาที่ไหน มันอยู่กับตัวของเรานี่เอง อาตมามาวันนี้ก็ตั้งใจจะมาอยู่ มาเยี่ยมท่านอาจารย์ และอยากจะศึกษาบางสิ่งบางอย่าง อาตมามาก็เพื่ออยากจะมาที่สุด ก็คือจุดมุ่งหมายของการมาครั้งนี้ เพื่อจะมาศึกษาการเผยแพร่ เป็นนักเผยแพร่ เพราะอาตมาโอน(owned,เป็นหนี้) อาตมาเป็นหนี้มากสำหรับคนต่างประเทศที่สอนให้อาตมารู้จักคุณค่าของความเป็นมนุษย์ขึ้นมาได้ ทุกอย่างนี่มันประสบการณ์เท่านั้นที่สอนกัน สิ่งที่เราจะทำกัน เราคิดแต่เราต้องทำ สิ่งนั้นก็จะเป็นความจริงขึ้นมาได้ สิ่งนี้มันจะหนีไปไม่พ้นจากความพยายามของเรา ไม่ทราบว่าจะคุยอะไรดีนะครับ เจริญพร//
ท่านพุทธทาส : เอ้า, ได้อีก ยังได้อีกหลายนาที มีใครล่ะ//
พระรูปที่ ๙ : ขอกราบนมัสการพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอาจารย์ที่เคารพอย่างสูงและพระเถรานุเถระ ตลอดถึงพระคุณเจ้าทุกๆ รูปบรรดาที่มาประชุมในวันนี้ พี่น้องเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหลาย อาตมภาพมีชื่อสมมติว่าพระเพชร โอวาทการี แห่งวัดพิพิธประสาทสุนทร ตำบลลาดขวาง อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา เมื่อครั้งหนึ่งอาตมภาพเคยมาประจำที่สวนโมกขพลารามนี้เมื่อปี ๒๕๐๑-๒๕๐๓ เมื่อปี ๒๕๐๔ อาตมภาพได้ติดตามพระเดชพระคุณท่านอาจารย์มหาสำเริง พุทฺธวาสี ไปประจำที่เกาะพะลวย หรือที่ท่านอาจารย์มหาสำเริงท่านตั้งชื่อใหม่ว่าเกาะรวยทอง ได้จำพรรษาที่เกาะรวยทองหรือเกาะพะลวย ๑ พรรษา และพรรษาปี ๒๕๐๕ ได้มาจำพรรษาที่สำนักสงฆ์บ่อม่วง เกาะแตน ซึ่งขึ้นกับอำเภอเกาะสมุย และเมื่อออกพรรษาแล้วปี ๒๕๐๖ อาตมภาพก็ได้เดินทางกลับยังวัดที่ไปจำอยู่เก่าคือวัดพิพิธประสาทสุนทร ลาดขวาง อาตมภาพที่มาในคราวนี้ก็เป็นเวลา ๑๒ ปี ตั้งแต่กลับจากเกาะสมุยไปเมื่อ ๒๕๐๖ เพิ่งมาอีกครั้งหนึ่งในปีนี้คือเป็นเวลา ๑๒ ปีแล้ว อาตมภาพรู้สึกซาบซึ้งใจที่ได้มาในคราวนี้ เพราะว่าไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน คือเมื่อวันที่ ๒๔ เดือนนี้คือเมื่อ ๒ วันนี้ เวลาประมาณ ๑๐ นาฬิกา พระเดชพระคุณท่านอาจารย์ขรรค์ สิริวณฺโณ เจ้าอาวาสวัดมงคลโสภิต ซึ่งท่านเคยมาประจำที่สวนโมกขพลารามเมื่อปี ๒๕๐๑ คือมาจำพรรษาอยู่พรรษาหนึ่ง พระเดชพระคุณท่านอาจารย์ขรรค์ได้มาชวนอาตมภาพ คือเวลาประมาณ ๑๐ นาฬิกาของวันที่ ๒๔ พฤษภาคมนี้ แล้วก็ท่านนัดให้เวลาไม่ถึงครึ่งวัน เกือบไม่ถึงครึ่งวัน ท่านนัดว่าเวลา ๑๕ นาฬิกาหรือบ่าย ๓ โมง เราออกเดินทางมา อาตมภาพก็ไม่ได้เตรียมตัว เนื่องด้วยได้ข่าวว่ามายังสวนโมกขพลาราม และอีกเรื่องหนึ่งที่อาตมภาพไม่ต้องเตรียมตัวหรือไม่ต้องเตรียมใจแต่อย่างใด เพราะได้ทราบข่าวว่ามาร่วมทำบุญล้ออายุของพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระอาจารย์ อาตมภาพก็ตัดสินใจทันที ซึ่งไม่ได้เตรียมตัวไว้มาก่อน ทีนี้ในโอกาสที่อาตมภาพได้มาพบพี่น้องกับทั้งหลาย ซึ่งท่านทั้งหลายก็ได้มากันหลายทิศหลายทาง มาหลายจังหวัด ไกลก็มี ใกล้ก็มี ตลอดถึงพระเถรานุเถระและพระคุณเจ้าบรรดาที่ได้มาประชุมในวันนี้ ก็ล้วนแต่มาจากหลายทิศหลายทางเช่นเดียวกัน อาตมภาพจึงขอเวลาสักเล็กน้อย คือขอให้ข้อคิดเห็นบางอย่างบางประการ แต่ความจริงนั้นท่านทั้งหลายบรรดาที่มาประชุมในวันนี้ ล้วนแต่ท่านผู้ทรงคุณวุฒิทุกเพศทุกวัย เพราะฉะนั้นอาตมภาพมากล่าวในขณะนี้ ก็อาจจะเข้าทำนองที่ว่าเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน เพราะเหตุที่อยู่ในหมู่ของผู้รู้ทั้งนั้น แต่อย่างไรก็ตาม อาตมภาพจะขอให้ข้อคิดเห็นสักเล็กน้อย คือว่าผู้ที่มีความรู้มากมายเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าขาดคุณธรรมคือการประพฤติปฏิบัติ เมื่อขาดการปฏิบัติแล้วถึงแม้ว่าจะรู้ มีความรู้อะไรมากมายก็ตาม ความรู้นั้นไม่อาจจะช่วยอำนวยประโยชน์สุขให้แก่ท่านทั้งหลายได้ เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายที่จะได้รับประโยชน์สุขหรือได้กำไรแก่ชีวิตให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ก็อยู่ที่เมื่อท่านทั้งหลายได้ศึกษา ได้สดับตรับฟัง เหมือนที่เราท่านทั้งหลายมาในวันนี้หรือมาตั้งแต่วันทำพิธีวิสาขบูชา ก็เป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้ว ล้วนแต่ได้ยินได้ฟังได้สดับตรับฟังจากท่านผู้ทรงคุณวุฒิทั้งฝ่ายบรรพชิตก็ดี ทั้งฝ่ายฆราวาสก็ดี ล้วนแต่ผู้มีทรงคุณวุฒิทั้งนั้น เพราะฉะนั้นอาตมภาพจึงขอฝากว่าท่านทั้งหลายได้สดับตรับฟังมามากจากหลายๆ ท่านผู้ทรงคุณวุฒินั้น แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับประโยชน์สุขอันแท้จริงก็คือได้ ขอฝากให้ท่านทั้งหลายได้น้อมนำสิ่งที่ท่านทั้งหลายได้ยินได้ฟังจากท่านผู้ทรงคุณวุฒิหลายๆ ท่านนี้เอาไปพิจารณาด้วยสติปัญญา แล้วก็ลงมือประพฤติปฏิบัติตามกำลังสติปัญญาสามารถของแต่ละท่าน หรือแต่ละคน ท่านทั้งหลายก็จะได้รับประโยชน์สุขจากการปฏิบัตินั้นๆ ตามกำลังสติปัญญาสามารถของแต่ละท่านแต่ละคน อาตมภาพ ขอกล่าวเท่านี้//
พระรูปที่ ๑๐ : สวัสดีท่านอาจารย์และก็เพื่อนสมณะทุกท่าน รวมทั้งญาติโยมผู้มีเกียรติทุกคน สำหรับผมเองก็ไม่ใช่นักพูดและก็นิยมพูดภาษาง่ายๆ คือไม่ชอบพูดภาษาอะไรให้มันยุ่งยาก ผมอยู่ที่วัดพัฒนาราม บ้านดอนนี่เอง เพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้ และก็อยากจะเล่าอะไรเท่าที่ว่า คือเมื่อเดือนที่แล้ว ประมาณเดือนมีนาปลายๆ เดือนแล้วก็เดือนเมษา ไปประชุมที่เชียงใหม่ ของโครงการอาศรมแปซิฟิก ก็อยากจะเล่าอะไรบางอย่างซึ่งอาจจะมีเรื่องบางเรื่องที่ตรงกับที่อาจารย์นั้น พูดไปในวันนี้ เพราะว่ามีปัญหาในสังคมมนุษย์ของเราที่กำลังยุ่งเหยิงสับสนในเรื่องที่ค่าของความคิด หรือที่เรียก สมัยใหม่เขานิยมใช้เรียกว่าจุดยืน คือคนเราสมัยนี้คนในยุคใหม่นี่ เราไม่พบว่าอะไรเป็นคุณค่าที่แท้จริงหรือจำเป็น หรือจุดยืนของเราอยู่ที่ตรงไหน เราไม่รู้ บางทีเราเกิดความสงสัย ทำให้เกิดดำเนินงานหรือการกระทำต่างๆ ที่ผิดพลาดขึ้นได้มาก ผมไปประชุมที่เชียงใหม่เมื่อประมาณเดือนมีนาคมปลายเดือน การประชุมเริ่มตั้งแต่ ๒๓ มีนา จนถึงวันที่ ๑๒ เมษายน มีผู้มาประชุมจาก ๘ ชาติด้วยกัน คือเป็นพระฮินดีองค์หนึ่ง มาจากอินเดีย แล้วก็พระญวนซึ่งไปอยู่ที่ฝรั่งเศส เป็นบุคคลสำคัญมากคือ ท่านไถ่ ติช ฮันห์ (Thich Nhat Hanh) แล้วก็เป็นแม่ชีองค์หนึ่งไปอยู่ฝรั่งเศสเหมือนกัน แล้วก็พระจากญี่ปุ่น แล้วนอกนั้นก็มีพวกศาสตราจารย์ซึ่งเป็นฆราวาส สอนวิชาศาสนาที่ฮาวาย แล้วก็จากฟิลิปปินส์ จากสิงคโปร์ มาเลเซีย แล้วก็ไทย ทีนี้มีพระไทยอยู่ ๓ - ๔ รูป ผู้ที่นั่งอยู่เป็นกรรมการที่เชิญไปในครั้งนี้ ก็คือ คุณสุลักษณ์ ศิวรักษ์ จากกรุงเทพฯนี่ เป็นผู้เชิญไป มีศูนย์คือที่อยู่ของอาศรมแปซิฟิกนี้อยู่ที่ปีนัง ปรากฏว่าการไปพูดนั้น คือพูดในแง่ที่ว่าความเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมในเอเซีย แล้วก็ปัญหาเรื่องความยุติธรรมในสังคมที่มันสูญเสียไปเนื่องจากเหตุใดนี่ ไปพูดกัน แล้วก็มีพูดกันถึงเรื่องศาสนา เรื่องความเสื่อมโทรมต่างๆ ที่เราจะแก้ไข จะมีวิธีการที่จะเอาศาสนานี่ไปใช้เป็นเครื่องมือเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคมอย่างไรบ้าง คือพูดเสียให้ง่ายๆ ก็หมายความว่า เราจะนำ คือศาสนานี่เราจะเอาไปใช้ประโยชน์หรือเอาไปรับใช้สังคมในแง่ไหนบ้างถึงจะเหมาะสมหรือจะไม่เป็นที่ครหานินทาเหมือนอย่างในปัจจุบันนี้ ปรากฏว่าองค์การทางศาสนานี่ได้ผิดพลาด ทำอะไรต่ออะไรต่างๆ ไม่เหมาะสมกับบทบาทของตนเองไปมาก อันนี้เราต้องยอมรับในฝ่ายพระของเรา แต่มีข้อที่น่าสังเกต คือว่าผมเองก็ได้นำมาบอกญาติโยมในที่ต่างๆ เท่าที่ผมได้รับฟังมา คือโดยเฉพาะพระญวน คือท่านไถ่ ติช ฮันห์ นี่ เป็นบุคคลที่ฟื้นฟูองค์การศาสนาขึ้นใหม่ในเวียดนาม แต่ว่าท่านได้กล่าวเตือน ท่านพยายามต่อสู้แล้วก็ได้กล่าวเตือน โดยเอาภาพยนตร์บ้าง โดยเอาข้อคิดข้ออะไรต่างๆ นี่ มาแสดงให้เราได้ทราบ ให้ได้ทราบว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ในประเทศไทยนี่ มันเหมือนกับเหตุการณ์ในเวียดนามหรือในเขมร เมื่อตอนเริ่มจะเกิดสงครามใหญ่หรือจะเกิดถึงขั้นที่ว่าบ้านแตกสาแหรกขาดต่อมาในภายหลังนี่ ในขณะนี้ประเทศไทยกำลังส่อแววเช่นนั้นอยู่แล้ว สถานการณ์เหล่านั้นกำลังคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ในญวน ในสมัยแรกที่จะเกิดเหตุการณ์รุนแรง ได้กล่าวเตือนว่าถ้าประเทศไทยยังมีความประมาท โดยเฉพาะองค์การทางศาสนานี่ ถ้ายังมีการนิ่งนอนใจไม่ปรับตัวเองให้ดีแล้ว เขาบอกว่าเป็นของแน่นอน ที่เราคิดว่ามันจะไม่เปลี่ยนแปลง จะไม่มีอะไรจะมาเปลี่ยนได้ นี่มันเปลี่ยน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นกฎตายตัว ไม่ว่าจะทางสังคมหรือจะทางอะไรก็ตาม มันอยู่ภายใต้กฎที่เรียกไตรลักษณ์ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเหมือนกัน เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงนี่ มันจะต้องเกิดขึ้น และในวงการทางศาสนาเดี๋ยวนี้ของเราเอง เขาเตือนไว้บอกว่าของเรานี่ยังดีกว่าของเขามาก แต่ของเรากำลังจะเริ่มๆ เป็นเหมือนของเขาแล้วในที่สุด องค์การอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งกำลังนิยมลัทธิที่เรียกว่าสังคมนิยมแบบบ้าคลั่งเหมือนที่อาจารย์ใช้ศัพท์ คือสังคมนิยมประเภทที่ว่ามันยังเป็นสีลัพพตปรามาสหรือที่เรียกว่าสัจจาภินิเวส คือมันยังไม่รู้ว่าสังคมนิยมที่แท้จริงนั่นคืออะไร มันรู้ผิดๆ แม้แต่ประชาธิไตยหรืออะไรก็ตาม มันไม่รู้ถึงแก่นแท้ของมัน เมื่อไม่รู้ถึงแก่นแท้มันก็ผิด คือรู้ผิดนี่เอง ที่เรียกภาษาพระว่าอวิชชา นี่เป็นผลที่ทำให้เกิดทำอะไรต่ออะไรที่นอกรีตนอกรอย เขาบอกว่าประเทศไทยนี้มีโอกาสจะเป็นอย่างเวียดนามหรือเขมรได้ และพวกที่ไปประชุมมีความเห็นว่ากำลังจะเป็นอย่างนั้น เพราะว่าเดี๋ยวนี้ในหลายๆ แห่ง เหตุการณ์กำลังเกิดขึ้น ขึ้นรุนแรงขึ้น แล้วก็มีนักศึกษา แม้แต่นักศึกษาเองก็ยังมีความแตกแยกในความคิด ความเห็นต่างๆ เป็นอันมาก และทีนี้พระเราเองที่เป็นตัวอย่างในเมืองใหญ่ๆ นี่ อันนี้อาตมาจะขอพูดในฝ่ายพระ คืออยากจะพูดว่ายังหลงลืมอะไรๆ บางอย่างหลายๆ อย่างไป ลืมความเห็นว่านึกว่าตัวเองอยู่โดยลำพังที่ไม่ได้พึ่งพาอาศัยจากชาวบ้านแล้วไม่ต้องให้อะไรชาวบ้านมาก เพราะว่าเป็นผู้ที่ชาวบ้านทำบุญนี่ได้ขึ้นสวรรค์แล้ว ได้พ้นจากการลงนรกไปอะไรอย่างนี้ ยังสอนให้ชาวบ้านเมาบุญ เมาสวรรค์ แทนที่จะให้เข้าใจในสิ่งที่ว่าทำบุญอย่างไรจึงจะเป็นบุญ พระส่วนมากไม่กล้าชี้แจงสิ่งเหล่านี้ อันนี้ทำให้ชาวบ้านในยุคใหม่เข้าถึงศาสนาน้อยลง ที่เป็นสัจธรรมก็ห่างเข้าๆ ในที่สุดคำว่าธรรมสัจจะหรืออะไรเหล่านี้มันก็เข้าถึงไม่ได้ ก็เป็นผลให้คนยุคใหม่โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ นี่ห่างออกไป ห่างศาสนาออกไป โดยเฉพาะอาจารย์สอนศาสนาที่มหาวิทยาลัยฮาวาย ชื่อ ดร. โรเบิร์ต ดับลิน นี่ก็สนใจงานของท่านอาจารย์มาก ก็คิดจะมาสวนโมกข์เหมือนกัน พอดีไม่มีเวลา เลิกประชุมเสร็จก็กลับไป ท่านบอกว่าในประเทศใหญ่ๆ ที่ท่านผ่านมา โดยเฉพาะในอเมริกาเองก็ดีหรือที่ไหนก็ดี มีปัญหาของคนรุ่นใหม่อย่างที่บอกแล้ว คือไม่รู้ว่าตัวเองนี่จุดยืนอยู่ที่ไหน หรือความคิดหรือความสับสนในเรื่องคุณค่านี่ มีความสับสนมาก จนไม่พบหรือแก้ปัญหาตัวเองไม่ได้ มันมืดมิดไปหมด มันเต็มไปด้วยอวิชชา อันนี้ทำให้เกิด เรามักจะหลง เขาบอกว่าวัตถุนิยมนี่เขามีสมบูรณ์มาก ทีนี้คนไทยโดยเฉพาะในประเทศที่ด้อยพัฒนานี่ มักจะขาดความเข้าใจ คิดว่าวัตถุนี้เป็นเครื่องสนองความต้องการของคนได้ จะทำให้ชีวิตของคนมีความสุขความสมบูรณ์อะไรได้ตลอดไปโดยไม่มีความทุกข์ แต่ความจริงเป็นความเข้าใจที่ผิด ถ้าเราพิจารณาให้ลึกซึ้งแล้ว วัตถุนิยมน่ะ ประเทศที่ร่ำรวยทั้งหลายนี้ สมบูรณ์ด้วยวัตถุนิยมทั้งนั้นแหละ ประเทศที่พัฒนาดีแล้ว เช่นอังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศสหรือในญี่ปุ่นก็ตาม ประเทศเหล่านั้นสมบูรณ์ด้วยวัตถุนิยม เขามีความสุขในเรื่องกิน กาม เกียรติเต็มที่ แต่เขาขาดอะไร ทำไมถึงฆ่าตัวตาย ทำไมถึงเป็นโรคประสาท ทำไมถึงมีอาการวิปริตต่างๆ ทำไมวัฒนธรรมที่มีระบบสิ่งที่เรียกว่าความสับสนวุ่นวายและมีความเลว ระบบฮิปปี้หรือระบบอะไรต่างๆ นี่ ระบบที่เปลี่ยนสามีภรรยากันได้หรืออะไรต่างๆ เหล่านี้ มันเละเทะในสังคมนี่จนสับสนไปหมด นี่ทำไมถึงเราและเขาหาความสุขไม่ได้นี่เพราะอะไร คนเราไม่ได้ขาดความสุขทางด้านวัตถุคือเรื่องกาม กิน เกียรติอะไรนี่ แต่ขาดอะไร ขาดสิ่งที่เรียกว่าสันติสุข คือคนเราต้องการสันติสุข ความสุขเป็นเรื่องของกาย แต่สันติสุขนี้เป็นเรื่องของจิตใจ เป็นส่วนลึก เป็นสิ่งที่อยู่ข้างในภายใน แต่นี่เรามองแต่รูปแบบภายนอก เรื่องของธรรมะก็เหมือนกัน ถ้าเรามองโดยเฉพาะธรรมะในแนวของท่านอาจารย์พุทธทาสนี่ ก่อนที่ผมจะเข้ามาหาศาสนานี่ เมื่อก่อนผมไม่ค่อยมีความ แม้จะเป็นเด็กวัดมาก่อนแต่ก็ไม่ค่อยสู้จะเลื่อมใสนัก เพราะเป็นคนที่หัวสมัยใหม่หรืออะไร มันโง่ มันยังโง่มากสมัยก่อน ยังถือดีอยู่ นี่เรามาพิจารณา ถ้าเรามองธรรมะโดยเฉพาะในแนวจิตว่างแบบของสวนโมกข์นี่ เรามองแต่รูป มองแต่ตัวพยัญชนะหรือตามภาษาที่เราภาษาชาวบ้านหรือภาษาธรรม ที่ท่านอาจารย์ใช้เรียกว่าทิฏฐธัมมิกโวหารนี่ มันจะไม่ได้อะไรมาก เราจะเข้าไม่ถึงตัวธรรมะที่แท้โดยเฉพาะธรรมชาตินี่ เพราะเราต้องมองให้เห็นภาษาธรรม อย่ามองแต่ภาษาคน ถ้ามองภาษาคนเราจะไม่เห็น ขอให้มองภาษาธรรมให้ได้ ให้พิจารณา ให้แยกออกไป จะเป็นเรื่องชาติ คือเรื่องการเกิด การแก่ การตายก็ดี นี่เรามองให้ถึงรูปแบบภายในคือมองไปที่จิต เพราะว่าทุกข์ทั้งหลายในศาสนาพุทธ ที่กล่าวแล้วว่า จิตนี้มันเป็นใหญ่ เพราะฉะนั้นจิตเมื่อมันเป็นใหญ่ โลกก็ดี อะไรก็ดี มันเกิดมาจากจิตนี่ จิตก็สำคัญ หรือทิฏฐิที่มันตั้งไว้ผิดนี่ เราจะพบว่าค่าย ๒ ค่าย หรือจะเป็นลัทธิไหนก็แล้วแต่ที่มันรบราฆ่าฟัน ก็เพราะว่ามันเป็นการต่อสู้ระหว่างสิ่งที่เรียกว่า สัจจาภินิเวส คือความงมงาย หรือความที่รู้ผิดหรืออวิชชาที่มันทิฏฐิที่ผิดๆ นี่ มันต่อสู้กันแล้วมันรบราฆ่าฟันกัน แม้แต่ในสังคมนิยม ขณะเดี๋ยวนี้มีผู้ที่ไปกลับมาจากจีนแดง เขาก็เคยเล่าว่า ความแตกต่างในลัทธิคอมมิวนิสต์เองที่ว่าไม่มีระบบชนชั้น เราเข้าใจหรือไม่ว่ามันไม่มีจริงๆ มันไม่มีในระบบชนชั้นเดียวกัน เช่นชนชั้นชาวนา มันไม่มี มันเท่าเทียมกัน แต่ในต่างชนชั้นกัน มันก็ยังมีความแตกต่าง เช่น ในสมาชิกพรรคขึ้นไป นี่มันต่างกัน มันยังมีความเป็นดีอยู่ดีขึ้นไปกว่าระบบชนชั้นชาวนา หรือระบบสมาชิกพรรคเหลือจน ๕๐๐ คน จน ๕๐ คน จน ๑๕ คนนี่ ระดับนี้เข้าไปเรื่อยๆ มันก็มีความแตกต่างกัน ทีนี้เราต้องคำนึงถึงอันนี้เหมือนกัน เราอย่าไปหลงว่าสังคมนิยมก็ดีหรือคอมมิวนิสต์ก็ดี มันจะเป็นโลกพระศรีอาริย์ขึ้นมาได้ ถ้าระบบใดก็ตามมันใช้ผิด ทีนี้ผมไปที่เชียงใหม่นี่ โดยเฉพาะประชุมนี้เลือกเอาวัดผาลาด เพราะเป็นวัดที่เรียบร้อยที่สุด ที่นั่นมีอาจารย์พงศ์ศักดิ์ ซึ่งก็เป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์เหมือนกัน คือมาอยู่ที่นี่เมื่อปี ๒๕๐๒-๒๕๐๕ คืออาจารย์พงศ์ศักดิ์ ธมฺมเตโช ท่านจัดสถานที่ไว้ดีมากเพื่อเป็นที่สงบสำหรับเป็นที่พักผ่อน สำหรับให้จิตใจหรือให้วิญญาณมันสงบลงบ้าง จะได้รู้จักพิจารณาธรรมชาติเป็น ทีนี้ผมอยากจะเล่าอะไรสักเล็กน้อย ที่ว่าเพิ่มเติมอีกสักเล็กน้อยคือทำไมผมถึงหันเข้ามาหาพุทธศาสนา ผมเมื่อก่อนนี้เคยเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ เรียนอยู่เหลืออีกวิชาเดียว มีความสับสน คือต้องต่อสู้กับชีวิตมาก เพราะว่าสภาพทางบ้านยากจน ก็ต้องทำงานหาเงินด้วยตนเองเรียนไป กลางคืนไปทำงาน กลางวันก็ไปเรียน เรียนภาคกลางวัน เรียนเศรษฐศาสตร์ แต่ปรากฏว่ามีความสับสนไม่รู้จะเลือกทางเลือกอย่างไร จะปรับตัวเข้ากับเพื่อนได้หรือกับใครๆ ได้ เพราะว่าเราไม่มีอะไรเหมือนคนอื่น เพราะเราไปคิดคือเราไม่รู้จักธรรมชาติของตัวเราเอง เราไปมองให้ค่านิยมกับสิ่งที่เรียกว่ามันเป็นของภายนอกเท่านั้นเอง เช่นค่านิยมเรื่องทรัพย์สินเงินทอง เรื่องอะไรนี่ เรื่องความมั่งคั่งร่ำรวย เรื่องเกียรติ เรื่องปริญญาอะไรนี่ เราให้สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะในสังคมเรานี่ ก็หลงสิ่งเหล่านี้กัน หลงปริญญาหรือหลงอะไรนี่ว่าเป็นเรื่องเลอเลิศ เลยมองคุณธรรมภายในนี่ต่ำไปจนเราไม่พบตัวเอง เมื่อไม่พบตัวตนที่แท้จริง ก็สร้างตัวตนผิดๆ ขึ้นมา นี่มันเป็นมิจฉาทิฏฐิเรื่อยไป เราก็ทำผิดเรื่อย ตอนหลังนี่ผมบางทีมีปัญหามากๆ คือผมก็ไม่เคยเชื่อเรื่องกฎของกรรมว่ามันมี ผมไม่เชื่อเรื่องกรรมเก่า เรื่องอะไรนี่ไม่เชื่อ ทีนี้ผมต่อมาก็เรียนมาเหลืออีกวิชาเดียว ผมสอบตั้งสองสามครั้งแล้ว มือผมเขียนหนังสือไม่ค่อยได้ คืออวัยวะทางด้านขวามันเสื่อมหมด เสื่อมไป คือตาผมก็เสีย ผมผ่าตัดแล้วก็ไม่หาย หูก็ไม่ได้ยิน แล้วมือก็แข็งเขียนหนังสือไม่ได้ใช้เวลาเขียนไม่ทัน มือข้างขวานี่ ผมไม่เชื่อ แล้วก็พยายามมีความน้อยใจในชีวิต เรียกว่าความคับแค้นใจที่ว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้สมหวังที่ตั้งไว้ ทั้งๆ ที่เรียนหนังสืออยู่ในเรียกว่าระดับดีมาก คะแนนเปอร์เซนต์อะไรก็ดีมาก พอสอบครั้งที่ ๓ นี่ เขียนหนังสือก็เขียนไม่ทันอีกแหละ ปรากฏว่าเคยคิดถึงอยากเล่าความจริงให้ฟังว่าเกือบอยากจะทำลายชีวิตตนเอง เพราะว่าความหลงว่าปริญญานี้เป็นสิ่งที่สูงสุดในชีวิต หรือมีอะไรหรือความหลงเหล่านั้นว่าได้รับจากในหลวงแล้วมันจะเป็นของที่เชิดหน้าชูตาอะไรนี่ ตามระบบที่คนอื่นเขาก็หลงๆ กันอยู่ นี่มี ปรากฏว่าได้อาศัยธรรมะที่เป็นแสงสว่างเพียงหนังสือเล่มเล็กๆ ๒ เล่ม ครั้งแรก คือหนังสือเรื่องภาษาคนภาษาธรรมนี่ ของทางสวนโมกข์นี่ แล้วก็หนังสือเล่มต่อไป เป็นเอกสารที่มองด้านในอีกเหมือนกันทั้งสองเล่ม คือเอกสารที่มองด้านในที่อ่านเล่มแรก ก็คือภาษาคนภาษาธรรม ต่อมาก็เป็นอิทัปปัจจยตา คือธรรมะที่ถูกมองข้ามที่อยู่ในนั้นเป็นหัวข้อว่าธรรมะที่ถูกมองข้ามอยู่ในเล่มเล็กๆ คือที่บอกว่าเพราะมีสิ่งนี้ สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆจึงเกิดขึ้นอะไรนี่ อ่านแล้วพิจารณาดู เพื่อนเป็นผู้เอามาให้อ่าน คุณทวีวัฒน์ นี่กำลังอยู่อเมริกาจะกลับนี่ แกเลื่อมใสและสนใจแนวของท่านอาจารย์มาก่อน แล้วนี่ปรากฏว่าเอามาให้อ่านๆ แล้วเกิดความสว่างวาบขึ้นมา คือที่ผมเลื่อมใสท่านอาจารย์พุทธทาสนี่ ไม่ใช่เป็นการยออะไร คือเป็นการพูดความจริงว่าธรรมะของท่านอาจารย์นี้ ต่างจากธรรมะของคนอื่นที่ผมเคยอ่านมามาก มันต่างกันตรงไหน ต่างตรงที่ว่าธรรมะของคนอื่นนั้นพูดไปตามปริยัติอย่างเดียว ตามตัวอักษร และบางครั้งได้พบความจริงว่าพระที่เรียนสูงๆ หรือเป็นเปรียญสูงหรือเป็นเจ้าคุณน่ะ แต่ท่านปฏิบัติการไม่ชอบ หรือไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามธรรมวินัย ก็ปรากฏว่าท่านบิดเบือนพุทธพจน์ของพระพุทธเจ้าให้เป็นไปตามใจชอบของตัวเองก็ได้ หรือบางทีก็กลับเป็นตรงกันข้าม บางทีไม่กล้าพูดความจริงเพราะว่าตัวเองปฏิบัติไม่ชอบ จะพูดความจริงไปก็ตะขิดตะขวงใจ จึงไม่กล้าพูดออกมา ก็ปรากฎว่าไม่ได้ความจริง หรือตัวที่เรียกว่าธรรมะสัจจะหรือสัจธรรม มันก็ไม่พบ เลยอ่านแล้วได้ของปลอมเรื่อยๆ มา มันก็เข้าใจผิดเรื่อยมา มันโง่เรื่อยมาตลอด เมื่อมาได้อ่านหนังสืออย่างนี้ที่ท่านอาจารย์ได้พูดมาตรงๆ จริงๆ นี่ เลยทำให้ มันให้ปัญญานี่ ไม่ใช่ให้อะไร นี่หนังสือของท่านอาจารย์ให้ตรงนี้เอง หรือคำสอนอะไรต่างๆนี่ให้ปัญญา สอนให้เรารู้จักคิด อันนี้เป็นลักษณะของชาวพุทธแท้ เพราะว่าพุทธศาสนาต่างจากศาสนาอื่นตรงนี้นิดเดียว ญาติโยมจะเห็นว่ามันต่างกันตรงไหน ตรงนี้ คือศาสนาทุกศาสนามักจะเอาศรัทธานำหน้าก่อน คือต้องมีศรัทธาเป็นอย่างมาก แล้วปัญญาถึงค่อยตามมา ต้องเชื่อเสียก่อนว่าพระเจ้ามี อย่างเช่น ในศาสนาที่มีพระเจ้า ถ้าไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีเสียก่อนแล้วมันก็ล้มเหลวในการที่จะเข้าถึง ถือว่าไม่ใช่เป็นศาสนิก หมดสภาพความเป็นศาสนิกไปเลย แต่ของพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในกาลามสูตร หรืออะไรต่างๆ ตั้ง ๑๐ อย่างว่าอย่า อย่าๆ อย่างนั้นๆ ให้คิดเสียก่อนด้วยเหตุผล ตรองแล้วเห็นแล้วว่ามันเป็นคุณ ปฏิบัติไปแล้วเป็นคุณจึงให้ปฏิบัติ ถ้าเป็นโทษให้ปฏิเสธเสีย นี้แสดงว่าพระพุทธเจ้าเอาปัญญามาก่อน และแม้แต่ในมรรคมีองค์ ๘ ก็เอาปัญญามาก่อน เป็นสัมมาทิฏฐิ เพราะฉะนั้นญาติโยมจะต้องมองตัวนี้ให้ออก พยายามใช้ปัญญาประกอบด้วย แล้วมาระยะหลังนี้ ตอนนี้อาตมาคือพูดง่ายๆ คือปฏิญาณว่าจะบวชตลอดชีวิต แล้วไม่คิดจะไปสอบอีกแล้ว จิตใจบวชแล้วได้รับความสงบ ปรากฎว่า หูก็ดี มือก็ดี มันดีขึ้นมา หายเป็นปกติ สบายขึ้น ปลอดโปร่งขึ้น และอุบายที่ว่าทำจิตให้มันว่างได้อะไรอย่างนี้ มันมีวิธีง่ายๆ มี ทีนี้เราอย่าไปมองให้มันสูง ให้มันลึกเกินไป ปรากฏว่าเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้เอง อาตมานั่งอยู่เงียบๆ ตามใต้ต้นไม้แล้วพยายามพิจารณาอ่านหนังสือแล้วก็เอาไปคิดดู และพยายามนึกไปๆ จิตใจมันโล่งไป และจะมองเห็นไปอีกอย่างหนึ่งว่าคำสอนในพระไตรปิฎกหรือของศาสดา ของพระพุทธเจ้าหรือของศาสดาไหนก็ตาม มันไม่ได้ออก มันออกมาจากธรรมชาตินี่เอง คือเอาธรรมชาตินี่ไปเขียน เขียนออกมาเป็นตัวหนังสือ ศาสดาเหล่านั้นอ่านธรรมชาติออกแล้วก็เขียน คือธรรมชาติของคน ธรรมชาติของสิ่งแวดล้อม ระหว่างบุคคลกับคน หรือระหว่างบุคคลกับสิ่งแวดล้อมนี่ แล้วเขียนออกมาเป็นคำสอน เป็นกฎเกณฑ์ว่าจะต้องปฏิบัติอย่างนั้นๆ อันนั้นแหละเป็นตัวธรรมสัจจะที่จะเข้าถึง คือเฉพาะเรื่องๆ ที่ไปเข้าถึงสัจธรรมอีกทีหนึ่ง อันนี้เขียนออกมา ทีนี้ถ้าใครหัดอ่านธรรมชาติให้เป็นเหมือนกับที่แบบมาสวนโมกข์เขาบอกว่า มาสวนโมกข์แล้วให้คุยกับก้อนหินได้ ต้นไม้ได้ ถ้าเราเข้าใจหลักอันนี้แล้ว อ่านธรรมชาติเป็น เราจะมัน รู้สภาวะนั้นแล้วมาเปรียมาเทียบกับตัวเอง มองเข้าหาภายในอีกที อย่าพยายามมองภายนอกให้มาก มองภายนอกแล้วต้องเปรียบเข้าไปหาภายใน หรือมองภายในแล้วพิจารณา ทำเช่นนี้บ่อยๆ ปัญญามันจะเกิดแล้วจะอ่านธรรมชาติออก เมื่ออ่านธรรมชาติออกแล้ว หนังสือปริยัติทั้งหลายมันจะจำเป็นน้อยลง ยกเว้นแต่เราต้องการศัพท์แสงเพื่อไปพูดอะไรให้มันหรูๆ หรืออะไรเหล่านั้นน่ะ ก็ควรอ่านมากๆ แต่ว่าถ้าเราอ่านธรรมชาติเป็นแล้วมันจะเบาสมองและอ่านง่าย และจิตมันว่างได้ เป็นเรื่องธรรมดา แล้วธรรมะนี่เอาได้แม้แต่กวาดขยะก็ได้ธรรมะ ลองพิจารณาให้เป็น เหมือนกับอ่านเว่ยหล่าง นี่ ให้เราเอามาใช้ในแง่ไหนๆ ก็ได้ อันนี้ก็ขอให้พิจารณา และทีนี้อีกอันหนึ่ง มาถึงวันนี้ว่าอดข้าว ที่อดข้าวหรือไม่อดข้าวก็ตาม บางคนกิน ๓ มื้อมันก็ยังหิวอยู่ ถึงฉันมื้อเดียว ๒ มื้ออะไรนี่ ขอให้เรากระทำไปด้วยปัญญา พิจารณาด้วย ไม่ใช่กระทำเพราะว่าเรามีศรัทธาอย่างเดียว หรือเพราะว่าเราจะได้อานิสงส์ในการปฏิบัติเช่นนั้น แล้วก็ทำ แล้วก็จะได้สวรรค์ จะได้อะไรต่ออะไร เราอย่าหวังอย่างนั้นก่อน ให้เรามองดูตรงประโยชน์ ในหนังสือหลายเล่มในหนังสือหลายเรื่องที่ท่านอาจารย์ย้ำว่าเราพยายามมองดูประโยชน์ของมัน ไม่ใช่ว่าเราศรัทธาเชื่อว่าจะเกิดอย่างนั้น อย่างนี้ ทีนี้อย่างอาตมาเคยถือปฏิญาณตั้งแต่ปีแรกมาว่าอดข้าว บวชเมื่อปี ๒๕๑๖ นี่ พอวันเกิดประมาณวันที่ ๒๖ ตุลานี่ อาตมาถือวันนั้นถือตามแบบอย่าง ไม่ใช่ว่าเป็นแฟชั่นอะไรอย่างนั้น คือเราถือแบบอย่าง การที่เรายึดบุคคลที่ดีหรือมีคุณธรรมเป็นแบบอย่างนั้น ไม่เป็นสิ่งเสียหาย กลับเป็นสิ่งที่ดีเสียอีก คือเรายึดเอาคุณธรรมมาปฏิบัติ ไม่ใช่ยึดมั่นถือมั่นอย่างงมงาย นี้เป็นเรื่องสำคัญ ปรากฏว่าได้เคล็ดลับว่า แม้จะอดฉันอาหารตั้งวันหนึ่ง ไปฉันวันรุ่งขึ้นตอนเพลก็ไม่หิว ได้มาพิจารณาดูพบความจริงอันหนึ่งว่า นี่ขอให้ญาติโยมทั้งหลายใช้ปัญญาพิจารณา อย่าอดเฉยๆ แล้วว่ามันได้แต่เพียงความปลื้มใจ มันยังไม่ได้อะไรมาก อาตมาได้พบความจริงว่าในการที่อดอาหารแล้วมันไม่ค่อยหิวนี่ เพราะอะไร ก็พบว่าหิวนี่มันอยู่ที่ไหน ขอให้คิดก่อน และอิ่มนี่มันอยู่ที่ตรงไหน ก็พบว่าอิ่มนี้มันอยู่ที่พอ เมื่อใดก็ตามคนเราที่เกิดความพอดีแล้วมันก็อิ่มทันที คือในการฉันอาหารของพระนี่ ให้สอนรู้จักพิจารณาการใช้ปัจจัยแม้แต่เรื่องอาหารนี่ พิจารณาให้รู้จักว่ามันเป็นอย่างไร ฉันเพื่ออะไร เพื่อว่าดับเวทนาเก่าและไม่สร้างเวทนาใหม่ เพื่อให้ร่างกายนี้ตั้งอยู่เพื่ออะไร เพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ถึงที่สุดอะไรนี่ พยายามพิจารณาว่าฉันแค่นี้พอไหมกับร่างกาย เมื่อเราพอแล้ว เราฉันแล้วเมื่อเราพอแล้ว มันรู้จักหยุดเป็น ที่เราไม่รู้จักพอมันก็หิวเรื่อย เพราะมันอยากเรื่อย มันหิวเรื่อย มันก็ไม่หยุด ทีนี้อาหารนี่ การกินนี่ เราต้องใช้หมด กินทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กินอะไร กินรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ นี่มันกินสิ่งเหล่านี้ มันกินเรื่อย ทีนี้อาตมาพยายามนึกดูว่าคนเรานี้กินย้อนหลังได้ไหม ได้ คนส่วนใหญ่นี้โง่ๆ มากๆ พยายาม อาตมาก็เคยเป็นคนโง่มาก่อนและโง่มากเสียด้วย บางทีเรากินย้อนหลังก็ได้ กินล่วงหน้าก็ได้ กินย้อนหลังอย่างไร ยกตัวอย่างเช่นว่า นานๆ เราจะได้กินอาหารดีๆ สักที หรือบางทีทุเรียนไม่มีกินนี่ คนชอบทุเรียนมากๆ นี่ บางทีมีคนเอาทุเรียนมาให้ แล้วปรากฏว่าวันก่อนๆ ไม่มีทุเรียนกิน ส่วนวันนี้มี ปรากฎว่าเรากินแล้ว นึกถึงเมื่อวานขณะที่กิน หรือหลังกินแล้ว นึกถึงว่าเมื่อวานถ้าได้กินอย่างนี้ก็ดี แต่แล้วจุดหนึ่งของเวลานั้นมันผ่านไปแล้ว เป็นเหตุการณ์ในอดีต บางทีเรายังนึกย้อนกินไปข้างหลังได้ มันกินไม่ได้ เรื่องจริงๆ มันหมดไปแล้ว ผ่านไปแล้ว บางทีกินล่วงหน้าก็มี อย่างเช่นโดยเฉพาะเรื่องของคนที่นอนฝัน ซื้อล๊อตเตอรี่แล้วฝันว่าจะได้อย่างนั้นอย่างนี้ บางทีรวมความชีวิตคนเรานี่ ยุ่งกับเรื่องกินมากที่สุด หรือเรื่องกิน เรื่องกาม เกียรติ มันกินทางต่างๆ มันกินมาก เมื่อกินมาก แสดงว่ามันหิวเรื่อย มันอยากเรื่อย เพราะจะกินสักกี่มื้อมันก็ไม่รู้จักพอ เพราะถ้าไม่รู้จักคำว่าพอ มันก็หยุดกินไม่ได้ มันก็ต้องกินอยู่เรื่อย เพราะฉะนั้นถ้าคนรู้จักพอมันก็อิ่มได้ แม้แต่อาหารวันหนึ่งจะเป็นเรื่องธรรมดา วันสองวันนี่ อาตมาคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เคล็ดลับอะไร เป็นเรื่องธรรมดาจริงๆ แต่ถ้าอดอย่างที่เขาประท้วงกันอย่างที่วัดอะไร วัดมหาธาตุฯ อะไรนั่นตอนนั้น บางทีก็ ๒ วัน ๓ วัน หรือวันแรกมันก็เป็นลมได้ เพราะว่าอดแล้วข้างในมันหิว ใจมันยังหิวอยู่ ข้างในมันอยาก เพราะฉะนั้นญาติโยมบังคับที่ใจ ไม่ใช่บังคับอะไร ทำอุบายให้รู้ มันมีอุบาย มีเคล็ดลับที่จะดับมันได้ นั่นแหละอิทัปปัจจยตาที่ท่านอาจารย์เอามาเทศน์ ที่บอกว่ามันมีเหตุ เพราะว่ามีเหตุอย่างนั้นๆ สิ่งนั้นๆ จึงเกิดขึ้น หรือมีปัจจัยอย่างนี้ๆ สิ่งนี้ๆ จึงมี นี่ เพราะมันมีทั้งฝ่ายที่ทำให้เกิด เมื่อมันมีฝ่ายที่ทำให้เกิดทุกข์ได้ ฝ่ายที่ทำให้ดับทุกข์ก็มีได้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นเมื่อมีเหตุที่เกิด เหตุที่ดับก็ต้องมี เพราะฉะนั้นญาติโยมใช้อุบายอันนี้ ใช้ปัญญาอันนี้ จะเกิดปัญญาและอ่านธรรมชาติให้ออก และจะอ่านหนังสือของท่านอาจารย์ก็ดีหรือฟังธรรมะของท่านอาจารย์ก็ดีเข้าใจง่ายขึ้น แล้วจะได้รับแสงสว่างของปัญญาเต็มที่ แล้วสันติสุขจะเกิดขึ้นในจิตใจของญาติโยมทุกคนโดยทั่วกัน ขอขอบคุณเพียงแค่นี้//
พระรูปที่ ๑๑ : ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบพระองค์นั้น ขอน้อมคารวะแด่พระเดชพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูง และขอคารวะแด่พระเถรานุเถระทั้งหลายที่นั่งอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ขอเจริญพรแด่ญาติโยมทุกๆ ท่าน อาตมาเองหรือเกล้ากระผม มีชื่อเรียกว่าพระทรงชัย อธิปญฺโญ ปัจจุบันอยู่วัดกาญจนาวาส เป็นพระลูกวัดเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา มีความรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง ที่ได้มาร่วมบำเพ็ญบุญในวันทำบุญล้ออายุของท่านอาจารย์ ซึ่งเกล้ากระผมหรืออาตมาได้เคยมาที่สวนโมกข์หลายครั้ง ได้รับความรู้ความเข้าใจ ความสว่างไสวในด้านธรรมะเป็นอย่างมาก และวันนี้ก็ได้มาทำความสว่างให้แก่ตัวเองอีกวาระหนึ่ง คือมาร่วมทำบุญล้ออายุในวันเกิดของท่านอาจารย์ และได้มีการถวายของขวัญให้แก่ท่านอาจารย์แล้วด้วยการอดอาหาร ซึ่งในชีวิตของเกล้ากระผมหรืออาตมา ยังไม่เคยอดอาหารตลอดเวลาตั้งแต่เช้าจนกระทั่งว่าจะต้องรุ่งไปถึงพรุ่งนี้ ซึ่งก็เป็นวันแรกในชีวิตเท่าที่จำความได้ และได้ถวายของขวัญในวันทำบุญล้ออายุให้แด่ท่านอาจารย์แล้ว และรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่สามารถกระทำได้อย่างนั้น สิ่งหนึ่งซึ่งได้ถวายให้แก่ท่านอาจารย์ในวันทำบุญล้ออายุที่แปลกออกไป ซึ่งหลายท่านอาจจะไม่ได้รับ หรือไม่ได้ถวายแด่ท่านอาจารย์ ก็คือว่าในขณะที่นั่งฟังท่านอาจารย์บรรยายธรรมด้วยความปีติยินดีอยู่นั้น ปรากฏว่าไม่ทราบว่าใครเอาไม้มาตีหัวอย่างแรง แต่พอหันไปดูที่ไหนได้ เจ้าลมพายุที่มันพัดมาอย่างแรงนั้น มันพัดพาเอาท่อนไม้ที่ผุๆ ขนาดเท่าท่อนแขน ยาวได้ประมาณสัก ๑ วา และโตเท่าแขน ตีลงไปเต็มเหนี่ยวบนหัว ซึ่งทำให้มึนไปจนเกือบมืดไปเลย แต่ก็สติสัมปชัญญะมันระลึกขึ้นมาทัน แล้วก็ปลงลงไปว่ามันสักแต่ว่าเป็นการกระทบของธาตุเท่านั้น เลยดับความรู้สึกที่มันไม่ดีหรือว่าจะเกิดทุกขเวทนาไปได้เป็นอย่างดี ซึ่งก็ปรากฏว่าเลือดไหลอาบไปเหมือนกัน พอลูบแล้วก็ปรากฏว่าเลือดติดที่ฝ่ามือ ซึ่งก็ได้ถวายเป็นของขวัญแด่ท่านอาจารย์ในวันทำบุญล้ออายุที่ออกจะไม่เหมือนใครเอาก็ได้ และบางท่านก็อาจจะพูดว่าเป็นโชคร้ายหรือโชคไม่ดี แต่สำหรับเกล้ากระผมหรืออาตมา รู้สึกว่าเป็นโชคดีที่สุดที่ได้มีโอกาสถวายของขวัญในวันทำบุญล้ออายุแด่ท่านอาจารย์ ชนิดที่ไม่มีใครได้ถวายอย่างนั้น แล้วก็เป็นการทดสอบกำลังใจตัวเองด้วยประการหนึ่ง แล้วก็เท่าที่ได้มาที่สวนโมกข์ ตลอดถึงได้ศึกษาผลงานของท่านอาจารย์ รู้สึกว่าท่านอาจารย์เป็นผู้ที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง เป็นบุคคลที่หาได้ยากในโลก เปรียบประดุจดังต้นไม้ใหญ่ใบหนา มีดอกและผลอย่างมากมาย ให้ประโยชน์แก่นานาสัตว์ชนิด ที่จะมาพึ่งพลอยอาศัยใบบุญจากร่มไม้ใหญ่ต้นนี้ และก็หวังอย่างยิ่งว่าเราท่านทั้งหลายก็ย่อมมีความปรารถนาที่จะให้ท่านอาจารย์มีพลานามัยสมบูรณ์ มีอายุยั่งยืนนาน เพื่อจะได้เป็นผู้ส่องแสงสว่างให้แก่ชาวโลกไปอีกนานเท่านาน และด้วยความรู้สึกของเกล้ากระผมหรืออาตมาในลักษณะที่กล่าวมานี้ ก็ขอตั้งสัจจาธิษฐานต่อหน้าท่านอาจารย์ว่า ชีวิตนี้ขออุทิศแด่พระพุทธศาสนา จะขอบวชให้นานเท่านานเพื่อศึกษาพระธรรมวินัยให้เข้าใจลึกซึ้ง เพื่อปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามความเข้าใจ และเพื่อช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป ด้วยสัจจวาจานี้ ขอให้ท่านอาจารย์มีพลานามัยสมบูรณ์ เพื่อจะได้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ให้แก่ชาวโลกตราบนานเท่านาน สวัสดีครับ//
พระรูปที่ ๑๒ : ขอกราบคารวะแด่พระเดชพระคุณท่านอาจารย์ และพระเถรานุเถระทั้งหลาย และขอเจริญพรแก่ญาติโยม ทั้งที่ในฐานะผู้มีอายุปูนพ่อปูนแม่ และพี่ๆ น้องๆ ทุกคน ที่ได้มาร่วมทำบุญล้ออายุกับพระเดชพระคุณท่านอาจารย์ในสถานที่นี้ สำหรับเกล้ากระผมเองนั้น ความจริง นึกหรือคิดหาสิ่งที่จะมาพูด ก็รู้สึกว่ายากนัก มันจะเป็นเพราะไม่มีปัญญาก็ได้ และอีกอย่างหนึ่งที่มานี้ เพื่อนสหธรรมิกบางท่านก็เอามือผลักหลังบ้าง ขอร้องบ้าง บางทีก็ไปๆ ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร ก็จำเป็น ฉะนั้นสำหรับผู้ที่เป็นญาติโยมเอง รูปก็ขอโอกาสกล่าวถึงสถานที่อยู่และนามที่ปรากฏแก่เพื่อนร่วมโลก รูปมีนามว่าพระบัญญัติ อนุตฺตโร อยู่วัดป่าธรรมดา ตำบลหนองหว้า อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา อันนี้มิใช่ว่าจะพูดตลกอะไร ชื่อวัดชื่อว่าอย่างนั้น วัดป่าธรรมดา ถ้าหากท่านขึ้นไปสู่ทางภาคอีสานผ่านนครราชสีมาไป ก่อนจะถึงเขตขอนแก่น จะเห็นป้ายวัดอยู่ทางขวามือ ริมถนนมิตรภาพว่าวัดป่าธรรมดา และทีนี้เท่าที่มีชีวิตเกิดขึ้นมานั้น คิดกันง่ายๆ ก็ว่าความรู้เรียนแค่ชั้นประถมปีที่ ๔ สอบนักธรรมก็ยังไม่จบ สอบนักธรรมเอก ๒ ครั้ง ตก ก็เลยคิดหาทางเข้าป่า เรียนบาลีก็ไปไม่ได้ สอบได้ชั้นมูลหรือชั้นนาม แล้วก็ต่อมามาเรียนอาขยาต ก็เลยขยาดมาตั้งแต่โน่นแหละ ก็เลยไม่ได้เข้าหาบาลีอีก ทีนี้เกี่ยวกับความรู้ความสามารถนั้น รู้สึกว่าน้อยนัก มันจะเป็นเพราะส่วนสัดร่างกายมันน้อยหรืออย่างไรก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่จริงควรจะยกให้เรื่องสติปัญญาหรือความโง่มากกว่า เท่าที่บวชมาหรือก่อนจะบวชนั้น มิได้มีศรัทธาในการบวช ไม่เคยคิดว่าอยากจะบวช แม้แต่คำว่าประเพณี ก็ไม่เคยคิดว่าจะถือเอาตามประเพณี เห็นเพื่อนบวชก็ไม่เคยคิดว่าอยากจะบวชตามเพื่อน และไม่สามารถที่จะมองเห็นว่าการบวชนั้นเป็นช่องทางที่สบาย คล่องต่อการประพฤติปฏิบัติธรรม อย่างนี้ความคิดก็ไม่เกิดขึ้น แม้บวชมาได้กระทั่งว่าอยู่ถึง ๓ พรรษา ศรัทธาในการบวชก็ยังไม่เกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ว่าเรียนนักธรรมอยู่ สอบไปกับเพื่อนกับสนามเขาอยู่เหมือนกัน แต่บางท่านอาจแปลกใจว่า ถ้าไม่มีศรัทธาอย่างนั้น มาบวชได้อย่างไร อันนี้มันมีสิ่งจำเป็นคือว่าญาติผู้ใหญ่เห็นว่าอายุ ๒๑ ปีแล้ว ขืนปล่อยไปก็คงจะไม่ได้การ ระยะนั้นเป็นระยะที่ครึ่งผีครึ่งคน เรียกว่าถ้าพูดง่ายๆ ขาหนึ่งอยู่ในปากหลุมนรก ขาหนึ่งอยู่ในปากตาราง คิดแล้วก็น่าหวาดเสียวเหมือนกัน นี่แหละเป็นเหตุที่ให้ได้ดันเข้ามาทางศาสนา เพราะญาติเห็นว่าปล่อยไปไม่ได้ มันจะออกเป็นสัตว์เดรัจฉานคือเป็นเสือ นี่ชีวิตมันตั้งต้นมาแบบนี้ จนญาติทั้งหลายก็เห็นว่า เอ้า,ถ้าอยู่ได้พอ ๗-๘ วันก็มาปาดลิ้นกันเสีย เขาว่าอย่างนั้น ทีนี้อาศัยการว่าบวชแล้วไม่ได้อยู่ในถิ่น ครูบาอาจารย์พาย้ายสำนักไปอยู่ที่อื่น ก็อาศัยเหตุดังนี้แหละเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนขนาดใบสุทธิจะไม่มีที่ประทับตรา ก็ไปเรื่อย หนักเข้าแม้แต่ที่จะมาสู่สวนโมกข์นี้ ก็ไม่เคยรู้จักว่าสวนโมกข์อยู่ที่ไหน คืออะไร มีอะไรบ้าง เพื่อนก็ชวนมา ใบสุทธิก็ไม่ได้ย้าย เข้ามาอยู่สวนโมกข์ที่นี่ ๔ ปีกับ ๕ เดือน ถึงขนาดนั้นปัญญาก็ยังไม่เกิดขึ้น รู้สึกว่ามันทึบ ส่วนมากการงานนั้นก็สมัครมักจะเป็นกรรมกรเสียมากกว่า คือว่าบางทีก็เห็นขอนไม้มันล้ม ก็เลื่อยตัดเป็นท่อนทำเป็นฟืนมาเผาถ่านบ้าง บางทีก็คู่มือที่ดีที่สุดก็คือจอบ คืออีเต้อ ชะแลง ทำงาน เพราะโผล่เข้ามาก็มาได้อุดมคติว่า การงานคือการปฏิบัติธรรม ทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง แต่มันจะว่างหรือไม่ว่างค่อยฟังต่อไป และอีกอย่างหนึ่ง มาในคราวนี้ ที่จริงก็ได้กลับไปตั้งแต่ต้นปี ๒๕๑๒ ระยะเดือนเมษา พฤษภา นี่แหละ กลับไปก็เป็นเวลาหลายปีแล้วถึงได้กลับมาสวนโมกข์ กลับมาคราวนี้ ได้ยินพระเดชพระคุณท่านอาจารย์เทศนาแปลกๆ ท่านได้กล่าวถึงเรื่องธรรมสัจจะสงเคราะห์หรือสัจจาภินิเวส ขอบอกตรงๆ ว่า แม้ได้ยินแปลกๆ อย่างนี้ก็มีค่าเหมือนกับเป่าปี่ใส่หูควาย คือมันไม่เข้าใจเลย แต่ว่าควายเล็กตัวนี้มันตื่นๆ หน่อยว่าได้ยินเสียงแปลกๆ ที่ไม่เคยได้ยิน ก็เลยฟัง แล้วก็เอาไปคิดบ้างเท่าที่โอกาสมันจะให้ ในระยะงานในอดีตที่ผ่านมาที่อยู่สวนโมกข์ ตัดไม้มาเผาเป็นถ่าน เผาทุกครั้งเอาออกมา ถ่านนั้นก็ดำทุกที ยังดำอยู่ ก็นึกว่ามันจะดำแต่อยู่ในเตานี้ เคยเที่ยวไปหลายแห่ง ไปดู ก็ดำเหมือนกัน เอาไม้มาเผาถ่านมันดำ ก็ไปคิดอยู่ในเรื่องเตาถ่านในขณะที่เอาถ่านออก ถ่านนี้มันจะดำอย่างนี้หรือ พอไปดูที่เป็นถ่านขาวๆ คลำไปดู มันเป็นขี้เถ้า ไม่ใช่ถ่าน ก็เลยมั่นใจว่า เออ,ไม้ก่อไม้ข้อแลน หรือไม้อะไรก็ตาม เอามาเผาให้เป็นถ่านแล้วมันจะต้องดำอย่างนี้ อันนี้ก็มั่นใจอยู่ว่ามันจะเป็นสัจจะของถ่านอยู่เหมือนกัน เท่าที่สติปัญญามันจะบอกไปให้ ก็ทำ แต่ใจยังไม่ดำเหมือนถ่าน พอมีแสงสว่างขึ้นมานิดๆ พอรู้ว่า อ้อ,งานที่เราทำนั้น ก็ไม่ใช่ว่าทำเพื่อเรา ทำเพื่อทุกชีวิต จนกระทั่งว่าการขุดหิน เรียงอิฐ เรียงดิน เรียงหินที่หน้าโรงหนัง หรือหินโค้งนี่ร่วมกับเพื่อนๆ ขั้นแรกจิตใจมันก็วุ่นหนัก ไม่ใช่หนักแต่กาย หนักใจด้วย ความผิดพลาดก็มีมาก ทับเท้าบ้าง เรียงหินกั้นดินที่หน้าโรงหนังนี่เล็บหัวแม่มือหลุดไปอันหนึ่ง อันนี้เกือบจะเสร็จอยู่แล้วนะ เหลืออยู่นิดเดียว แต่แล้วมาถอดเล็บให้ดู แต่ส่วนเรื่องถลอกปอกเปิก หนังถลอกไปนั้นน่ะ ไม่ต้องนับ เพราะว่าถือเป็นธรรมดา หนักเข้า เอ้า,แขนมันชำรุด เพราะการดัดเหล็ก นี่มาคิดดูแล้ว เออ,นี่ก็เพราะความโง่ ทีนี้พอกลับมาคราวนี้ ก็เดินรอบเขาพุดทองไป ไปเจอรอยขุดหินยังไม่เสร็จที่จะต่อให้มันทะลุเป็นถ้ำในอนาคต ก็เลยมาอาสาสมัครอีก กราบเรียนพระเดชพระคุณท่านว่ามีโอกาสอยู่ ๒ เดือน แล้วจะขุดเอาหินที่ถ้ำนี้ออกมา แล้วจะนำหินไปทำอินเดียจำลอง พระเดชพระคุณท่านก็เห็นว่าดี แต่ทีนี้งาน ๒ อย่างที่รับว่าขุดถ้ำแล้วเอาหินไปทำอินเดียจำลองนี้ มันก็มาเกิดความคิดอีกว่าการขุดนี่ยากนัก ก็เลยมอบเวลา ๒ เดือนนี้ให้แก่การขุด เห็นว่าการเรียงหินที่อินเดียจำลองนั้น เพื่อนผู้อื่นคงจะทำได้ ถือว่าเป็นงานเบาหน่อย ก็เลยตั้งใจเสียสละการเรียงหินมาขุดถ้ำ ก่อนที่จะขุดถ้ำ ก็ได้ตั้งสัจจปฏิญาณขึ้นมาว่า ในเวลา ๒ เดือนนี้จะพยายามทะนุถนอม ไม่ให้เลือดมันออกแม้แต่หยดเดียว แต่ถึงขนาดนั้นก็ได้ไป ๒ แผล นี่ก็ยังมีความบกพร่องในการงานอยู่ ก็ได้รับโทษในส่วนที่ไม่ควรได้รับ ทีนี้เมื่อพิจารณาดู ทำไปๆ ทุกท่านที่ผ่านเข้ามาหรือเพื่อนสหธรรมิกอยู่ภายในวัด ท่านก็มาพูดว่า เออ,ท่านบัญญัติมาขุดหิน แหม,นี่ท่านบัญญัติขุดอย่างนั้นอย่างนี้ โยมก็เหมือนกัน ก็ว่าแต่ท่านบัญญัติขุด ที่จริงเพื่อนร่วมงานมีหลายท่าน ถ้าเป็นรูปเองก็คงจะน้อยใจนอนไม่หลับอยู่เหมือนกัน ทำไมไปยกให้แต่ผู้เดียว แต่ก็มั่นใจว่าท่านมีธรรมะพอสมควร ท่านจึงไม่หวั่นไหวทางจิตใจ สำหรับผู้กล่าวอยู่เดี๋ยวนี้ มันก็ทำท่าจะยินดี หน้าบานไปตามภาษาคำยกยอของผู้อื่นเหมือนกัน แต่มานึกได้มันจริงไหมล่ะ หรือจะโกงเอาแรงงานเขา พอคิดมาอย่างนี้มันก็คิดสลดใจเหมือนกัน ไม่กล้าที่จะรับความยินดีนั้นไว้ได้ เพราะมาพิจารณาดูแล้วว่างานนี้ไม่ใช่เราทำคนเดียว เป็นงานทำไม่ใช่เพื่อวัด สถานที่นี้หรือที่ไหน เพื่อคนทั้งโลก จิตใจมันเกิดขึ้นมาอย่างนี้ แล้วที่ทำไม่ใช่เราทำคนเดียว คนทั้งโลกเขาทำ ญาติโยมหลายคนและตลอดทั้งพระภิกษุสามเณรที่มาร่วมกันนี้ร่วมทำ ในข้อนี้บางท่านอาจจะว่าที่ไหนได้ไม่เคยไปหยิบหินช่วยท่าน ท่านทั้งหลายอย่าลืมนะ ชีวิตน้อยๆ ที่ทรงอยู่ได้นี้เพราะข้าวบ้านละ ๒ ทัพพีบ้าง ทัพพีหนึ่งบ้าง แกงกับจากเรือนน้อยเรือนใหญ่ จากท่านผู้สนใจได้ให้มาเป็นทาน ท่านให้มา แล้วก็บริโภคข้าวปลาอาหารในส่วนนั้น และทุกส่วนที่ได้มาจากท่านทั้งหลายนั่นแหละ เป็นเลือดเนื้อพละกำลังที่ให้มีพลังต่อต้านกับงานหรือทำงานไปด้วยความปลอดภัยเท่าที่ผ่านมานี้ นี่แหละจึงมั่นใจอยู่ว่าทุกท่านได้ร่วมในการทำงาน จึงไม่อาจที่จะโกงเอาคำสรรเสริญเยินยอนั้นมายินดีแต่ผู้เดียว ถ้าหากจะให้เกิดความยินดีขึ้นมาบ้าง ก็ขอให้ทุกท่านที่ได้เคยให้ข้าวปลาอาหารแก่พระในสถานที่นี่ เป็นผู้มีส่วนมีหุ้นที่สำคัญที่สุด เพราะปราศจากข้าวปลาอาหารไทยทานของพวกท่านแล้ว กองกระดูกอันนี้ทำงานไม่ได้ นี่แหละความรู้สึกมันก็เกิดอยู่อย่างนี้ แม้แต่จะขนหิน ขนดินไปทำอะไรที่ไหนก็ตาม ความคิดก็ไม่เคยได้คิดไปโกงเอาว่าตนเองนี้ได้พัฒนาตรงนั้นตรงนี้ เป็นแต่เพียงว่ารวมพลังเล็กๆ จากศรัทธาของผู้นั้นผู้นี้มาไว้ในจุดเดียว แล้วเคลื่อนย้ายธรรมชาติ จะเป็นหินเป็นดินนี้ ไปสู่จุดต่างๆ เท่านั้นเอง กองกระดูกอันนี้ไม่ได้มีอะไรมาเพิ่มเติมให้แก่โลกนี้ จึงไม่ยินดีว่าตนเองได้พัฒนาที่ไหนบ้าง เพราะมานึกกระดากทางจิตใจ มันอายอยู่อย่างนี้ แล้วทีนี้เท่าที่อยู่นี้ เกล้ากระผมขอกราบถวายแด่พระเดชพระคุณท่านอาจารย์ ที่มีความกรุณาเหมือนกับลูกในอก แต่กระผมนั้นสติปัญญามันมีน้อย ไม่สามารถที่จะตอบสนองมหากรุณาได้อย่างเต็มที่ คิดอยู่เสมอว่าแม้จะออกไปอยู่ในสถานที่จะเป็นหลักเป็นแหล่งอยู่บ้างก็ตาม ก็ยังมั่นใจในพระคุณอยู่ มีโอกาสเมื่อใดก็จะมาตอบสนองรับใช้เป็นกรรมกรของประชาชนในสถานที่นี้อยู่เสมอ เท่าที่โอกาสมันจะอำนวยให้ แม้ออกไปในสถานที่อื่น มีการไถ่ถามบ้างหรือการแนะนำตัวบ้างจากเพื่อนสหธรรมิก ว่าท่านบัญญัติมาจากสวนโมกข์ เป็นลูกศิษย์ท่านพุทธทาส อันนี้ก็เกิดความกระดากใจ เพราะอะไรเล่า (๑) ปฏิปทาของตนเองนั้น ไม่เหมาะสมกับว่าที่จะรับเกียรติอันยิ่งใหญ่สูงสุดว่าออกมาจากสวนโมกข์ หรือเป็นลูกศิษย์ของท่านพุทธทาส เคยเบี่ยงบ่ายจากเพื่อนอยู่เสมอว่าอย่าไปพูดอย่างนั้น กระผมเองไม่ใช่พระที่ท่านรับรอง ไปอยู่ก็ไปอยู่อาศัย ใบสุทธิก็ไม่ได้ย้าย แต่อาศัยความเมตตาของท่านเท่านั้น มิฉะนั้นอย่าให้เกียรติสูงส่งของสวนโมกข์นี่ มามัวหมองเพราะกระผมเลย ญาติโยมที่เขาถามว่าท่านเคยไปอยู่สวนโมกข์ไหม ก็เป็นแต่เพียงบอกว่าก็เคยไปเยี่ยมบ้าง ไปอาศัยอยู่บ้างนิดๆ หน่อยๆ แล้วท่านสอนอย่างไร ก็บอกว่าพูดถึงคำสอนของท่านนั้น ก็มีแล้วอยู่ในหนังสือเกือบทุกเล่ม ให้ท่านดูเอาเถิด รูปเองไม่มีสติปัญญาพอที่จะแนะนำว่าท่านสอนอย่างนั้นอย่างนี้ นี่เพราะอะไร กลัวท่านพุทธทาสจะมีชื่อเสียงหรือ สวนโมกข์จะโด่งดังหรือ ข้อนั้นหามิได้ เพราะสติปัญญาไม่สามารถที่จะอ่าน ที่จะวิจัย ที่จะเข้าใจได้ในคำสอนอันลึกซึ้ง จึงไม่กล้าที่จะพูดอะไรไปได้เท่าที่ควรที่จะเป็นไปได้ อันนี้บอกกราบเรียนด้วยความบริสุทธิ์ใจ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นี่แหละเท่าที่ได้ยินศัพท์แปลกๆ ที่ว่า ธรรมสัจจะบ้าง สัจจาภินิเวสบ้าง ก็เป็นแต่เพียงของแปลกๆ ไม่สามารถที่จะเข้าใจอย่างนั้น แม้ที่จะได้รับฟังคำอธิบายหรือคำวิจารณ์ของเพื่อนร่วมประพฤติปฏิบัติธรรม ทั้งที่เป็นบรรพชิตและฆราวาสนั้น ก็ยังไม่สามารถเข้าใจจนกระทั่งบัดนี้ และยังคิดอยู่เสมอว่างานนั้นจะเป็นงานที่ไหนก็ตาม จะทำในที่นี่หรือที่อื่นก็ตาม ก็ขออย่างมากก็มีเกียรติเพียงแต่ว่าเป็นกรรมกรสำหรับชาวโลก หรือกรรมกรของธรรมะเท่านั้นเอง ทำไปเท่าที่สติกำลังมันจะช่วยไปได้ ฉะนั้นเท่าที่ปรากฏในผลงานที่ผ่านมานั้น จิตใจมันไม่เร่าร้อน หรือจะเป็นเพราะว่าอยู่ที่นี่ไม่ได้หาทุนก่อสร้างด้วยตัวเองก็ไม่รู้ คือว่าไม่มีมันสมอง ไม่ได้เกี่ยวกับความคิดว่าจะได้อะไรมาทำอะไรๆ มีอย่างเดียวแต่ว่า เดี๋ยวนี้ยืดแข้งยืดขาออกดูว่ากำลังมันจะพอไปไหวไหม ถ้าไหวก็ทำเท่านั้นแหละ เบาสมอง ง่าย แต่ปรากฏว่าวันนี้อดข้าว สุขภาพดูเหมือนไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นัก ก็ตอนค่ำๆ มานี่รู้สึกหิว อันนี้พูดตามความจริง สังเกตดูแล้ว การที่บูชาพระเดชพระคุณท่านที่ว่าเป็นของขวัญ ก็คงจะเป็นของขวัญที่ไม่สะอาดหมดจดเท่าไหร่นัก เพราะมีน้ำส้มไปขวดหนึ่งแล้วก็โกโก้ไปอีกกระป๋องหนึ่ง ที่จริงมันไม่ควรที่จะมีอะไรเลย นี่จึงไม่ค่อยสู้จะภูมิใจ แต่การอดนี้ เมื่อมาอยู่สวนโมกข์ก็เคยอด เคยฝึก ร่วมทำบุญล้ออายุมาหลายครั้ง และแม้วันไหนที่เป็นวันพระ ก็เคยขึ้นไปอยู่ที่เขานางเอ งดเว้นอาหารไม่ลงมาบิณฑบาต อันนี้ก็ถือเป็นการฝึก จะขึ้นรถลงเรือเหนือล่องใต้ ส่วนมากก็อาหารเช้าเพลก็มักจะถวายรถไป ก็อาศัยการฝึกอย่างนี้แหละเป็นกำลังใจ เพื่อที่จะต่อสู้ในโอกาสที่ไม่มีข้าวกิน ถ้าพูดตามภาษาชาวบ้าน ถ้าเป็นพระก็ไม่มีข้าวที่จะฉันได้หรือไม่มีภัตตาหาร นี่เป็นการฝึก ฉะนั้นบางท่านก็อาจจะหัวเราะว่านี่พูดไปได้ แทนที่จะเอาธรรมะอะไรลึกๆ อันนี้กระผมขอกราบถวายเป็นพิเศษครับ คือมันเหนือ เหนือความคิดเหนือสติปัญญาที่จะหาธรรมะลึกๆ มาพูดได้ ก็พูดเท่าที่มันมี เบี้ยน้อยหอยน้อยจะไปใช้จ่ายเงินร้อยตามเพื่อนไปไม่ไหว ฉะนั้นตามปกติแล้วชีวิตที่ผ่านมา ความจริงมันควรจะก้าวหน้าไปกว่านี้ เพราะอะไรแล้ว อยู่ๆ จู่ๆ เข้ามาก็ ๑๘ พรรษาล่วงมาแล้ว ดูสิ แต่ไปบางแห่งเขายังเรียกน้องเณรอยู่ อันนี้ก็จำเป็น แม้แต่ท่านพระเดชพระคุณท่านอาจารย์ที่ไปนั่งใกล้ๆ โต๊ะท่านวันนั้น มันจะค่ำสักหน่อย ท่านก็นึกว่าเณรมา อันนี้ก็จำเป็น แต่ก็ไม่มีความคิดที่ไปโกรธอะไรหรอก ไม่มีความคิดที่จะน้อยเนื้อต่ำใจ ใครจะเรียกอย่างไรก็ได้ เพราะรู้อยู่ว่าภาษาเรียกเป็นภาษาสมมติ คำว่าผิดหรือถูกนั่นก็ยกให้แก่ธรรมชาติ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะมันอยู่วัดป่าธรรมดา เห็นอะไรก็อยากจะธรรมดาๆไปเสียเรื่อยๆ นี่แหละ ถึงแม้ว่าบางท่านอาจจะนึกในใจว่า โอ้ย,หาสาระอะไรก็ไม่ได้น้อ พูดมาตั้ง ๙ นาที ๑๐ นาทีหรือเท่าไหร่ อันนี้ก็ขอให้ได้โปรดเมตตาเถิดเรื่องนี้ คือคนทุกคนนั้นจะให้พูดอย่างเดียวกัน ระดับเดียวกัน มันเป็นไปไม่ได้ ถึงแม้ว่าคำพูดคำจานี้มันจะต่ำต้อยไปบ้าง ก็ขอให้นึกถึงร่างกายอันเล็กๆ ต่ำๆ นี้บ้างเหมือนกัน อันนี้เป็นสิ่งที่เหลือวิสัยครับ แล้วทีนี้ เท่าที่ศึกษามานั้นรู้สึกว่าธรรมะบางส่วนขัดข้อง ขัดข้องกับความคิด เพราะมันคิดไปไม่ถึง แต่ก็ยังมีจิตใจมั่นอยู่ว่าจะต่อสู้ไปจนตลอดชีวิตเหมือนกัน ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่ได้อันนี้ จะให้รู้จักอะไรกว้างขวางเหมือนอย่างผู้อื่นนั้น มันรู้ไม่ได้ ยินดีในการรับฟังมากกว่าในการที่จะพูด ฉะนั้นจึงไม่เดือดร้อนอะไรนัก ก็รู้สึกว่าเท่าที่ผ่านงานมา ถึงแม้ว่างานมันจะหนัก แต่จิตใจมันก็เยือกเย็นลงไปมากกว่าเท่าที่ผ่านๆ มา จึงมั่นใจว่ามันก้าวหน้าขึ้นมานิดหน่อย เมื่อก่อนนั้นทำงานร่วมกับเพื่อน ความเห็นไม่ตรงกันก็มักจะขัดใจ งานหนักนิดหน่อยก็มักจะเหนื่อยทางกายทางใจพร้อมกันไป แต่ระยะนี้ก็รู้สึกว่ามันดีๆ ขึ้นมา เพื่อนจะทำงานอะไรไม่ดีไม่ชอบ จิตใจก็ไม่ค่อยจะขัดเคือง มีบ้างนิดหน่อยก็รู้ทัน มันก็หายไป ก็เลยมั่นใจอยู่แต่เพียงว่าการงานนี้ ถือว่าเป็นการประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง เพราะมันขจัดทางด้านจิตใจไปด้วย อาศัยการฝึกสติสัมปชัญญะ คือความรอบรู้ในงานบางอย่างไปด้วย ถ้าหากทำงาน หนึ่ง เล็บไม่ช้ำ หนังไม่ถลอก เลือดไม่ออก จิตใจไม่เศร้าหมอง ก็มั่นใจว่างานนี้เป็นธรรมะเต็มเปี่ยมร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่นี่มันก็ยังมีอยู่บ้างเพราะปัญญายังน้อย การผ่านชีวิตก็ยังน้อยอีกเหมือนกัน และส่วนมากเท่าที่ผ่านไป บางท่านอาจจะเห็นว่าได้ยินข่าวว่า ท่านบัญญัติออกเผยแพร่ธรรมตรงโน้นตรงนี้ ที่จริงนั้นเป็นแต่เพียงว่านำผลงานแห่งการประพฤติหรือการกระทำปฏิบัติจากที่นี่ไปเสนอแนะแก่ญาติโยมหรือเพื่อนกรรมกรร่วมทุกข์ในโลกนี้ บอกว่าเราควรที่จะทำกรรมฐานหรือศึกษาธรรมะกับด้ามจอบ ด้ามเสียม กับหางไถตามอาชีพของตนเอง ก็ได้แนะเท่าที่ปฏิบัติมา เอาไปใช้ก็รู้สึกว่าเป็นผลประโยชน์แก่ผู้ที่รับไป คือเขาเห็นอยู่ว่าถ้าผู้คงแก่เรียนนิดหน่อย ก็จะเห็นว่างานนี้เป็นปลิโพธ เป็นอุปสรรคต่อการประพฤติปฏิบัติธรรม แต่เมื่อแนะนำอย่างนี้ อย่าไปหวังบรรลุมรรคผลขั้นสูงอะไรเลย เพียงแต่ว่าความทุกข์ไม่เกิดขึ้นในขณะที่ทำงาน ทนแดด ทนฝนไป เขาก็ถามว่าท่านเคยทำไหมน่ะ ก็บอกว่าโยม ชีวิตนี้มันไม่ใช่จะมีชีวิตพระอย่างเดียว มีทั้งชีวิตวัวทั้งชีวิตควายมันสวมอยู่ในนี้ ชีวิตวัวนั้นมันทนต่อแดด อย่างเรือลำใหม่นี้ขุดหลุมกลางแดดเปรี้ยงๆ นี่ก็สวมชีวิตวัว มันทนแดดหน่อย ขุดหลุมลงเสาลงพื้น และอีกอย่างหนึ่งฝนตกลงมาก็ต้องสวมชีวิตควาย ควายมันทนน้ำ ก็สวมไป ทั้งวัวและทั้งควายนี่ เอาชีวิตพระเป็นผู้บัญชาควายกับวัว ๒ ตัวนั้น ก็รู้สึกว่าจิตใจมันเยือกเย็นสบาย ไม่เดือนร้อนเพราะธรรมชาติ บางครั้งก็ไปนึกถึงเนื้อเพลงที่เขาร้อง เรื่องฝนตกแดดออกนี่ ช่างมัน ปล่อยมันอีกเหมือนกัน ก็เห็นว่ามันมีประโยชน์ มันเรื่องของฟ้าของฝน อยู่ใต้ฟ้าใต้ฝนนี่ ใต้ฟ้ามันจะทนแดดทนฝนหรือหลีกไปไม่ได้ บางครั้งเพื่อนก็มาถามว่า เอ, นี่ฝนตกฟ้าร้องอย่างนี้ ไม่กลัวฟ้าผ่าบ้างหรือ บอกว่าถ้าหากฟ้าดินจะลงโทษแล้วผมไม่มีที่หลบ ก็สุดแท้ฟ้าจะประทาน ผลสุดท้ายก็ไปอย่างนี้แหละ จิตใจก็เลยสบาย ไม่หวั่นไหวต่อฝนตกฟ้าร้องฟ้าคะนอง ผ่าไม้อะไรก็ไม่ว่า ทำมันไป แต่ก็ระวังยากอยู่อย่างหนึ่ง ภูเขาทองนี่ หินก้อนหนักๆ เพราะว่าเขาพุดทองนี่ หินไม่จับก้อนเป็นแผ่นเดียว เผลอๆ มันอาจจะไหลมาตามกระแสน้ำฝนที่เซาะมาจะมาทับก็ได้ อันนี้จำเป็นก็ต้องหลีกหน่อย แต่ถ้ามันเป็นก้อนเดียวทึบ การขุดค้นงัดแงะหินนี่ คงจะไปยาก ก็เลยเห็นดีว่า เอ้อ,ก้อนเล็กก็ดี ก้อนใหญ่ก็ดี ก็เลยดีไปหมด นี่แหละเท่าที่เก็บเล็กผสมน้อย เท่าที่สติปัญญาหรือมันสมองอันน้อยๆ นี่มันผ่านมา ก็มาเล่าถวายพระเดชพระคุณท่านอาจารย์และเป็นของฝาก ถ้าหากท่านเห็นว่ามันควรที่จะเป็นข้อคิดก็ขอให้นำไปคิด ถ้าเห็นว่ามันไม่เป็นประโยชน์ ก็ขอให้มันทิ้งอยู่กับหินโค้ง มันก็อาจจะดับหรือเสื่อมไปตามกาลเวลาหรือความจริงของมัน จิตใจอันใดที่ไม่สมประกอบ ที่ท่านอาจจะคิดว่าไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวอันนี้ ก็ขอให้เป็นอโหสิกรรม อภัยโทษให้แก่ผู้น้อยๆ แต่จิตใจยังมั่นว่าอยากจะใหญ่อยู่เหมือนกัน ก็ขอยุติแต่เพียงเท่านี้ สุดท้ายนี้ก็ขอระลึกถึงพรอันวิเศษที่จะให้แก่เพื่อนมนุษย์ร่วมโลกด้วยกัน ที่ได้เคยได้ยินได้สดับมาบ้างว่าขอให้พวกเราทั้งหลายจงประสบพรพิเศษ ผู้เกิดก่อนจงตายก่อน ผู้เกิดทีหลังก็จงตายทีหลัง ทุกท่านเทอญ//
ท่านพุทธทาส : ตีหนึ่งแล้ว ต้องปิดประชุมเสียที ดี ได้ฟังทุกๆ องค์บรรยายอะไรออกมานี้ เป็นการผสมโรงล้ออายุด้วยกันได้ทุกคนเลย คนฟังเขาก็ได้รับประโยชน์ไม่มากก็น้อย ก็ไม่เป็นเรื่องที่เสียหลายอะไร สิ่งที่เราตั้งใจจะทำในวันนี้ มันก็มีผลบ้างเป็นแน่นอน ควรจะพอใจ ควรจะปิดประชุม สำหรับปีนี้ไว้ เท่านี้ก่อน