แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในครั้งนี้มานั่งกันพิเศษ แปลกไปจากทุกที นั่งกันกลางดิน สิ่งแรกก็อยากจะพูดสักนิดหนึ่งถึงเรื่อง “ดิน” เผื่อว่าบางคนจะยังไม่ทราบ ส่วนมากก็ทราบกันอยู่ แต่บางคนอาจจะไม่ทราบว่าดินนี่มีความหมายแก่พวกเราอย่างไร พระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน แล้วตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็กลางดิน นิพพานก็กลางดิน พยายามศึกษาดู สวนลุมพินีที่ประสูติก็ประสูติกลางดินเวลาบ่าย ตรัสรู้ที่ริมแม่น้ำเนรัญชราโคนต้นโพธิ์ ท่านนั่งกลางดิน นิพพานประทับนอนก็กลางดินที่ป่าไม้สาละ ในอุทยานของพวกกษัตริย์มัลละ ที่ท่านสอนสาวกทั้งหลายโดยทั่วๆไปก็กลางดิน แม้เดินทางอยู่ก็สอน จะยืนสอนบ้างก็ได้ ที่เรียกว่า ธรรมสภา ในวัดของท่านก็พื้นดิน แล้วในที่สุดกุฏิที่ท่านอยู่ก็พื้นดิน ไปดูได้ที่ประเทศอินเดีย ที่สำคัญก็เช่นที่เชตวัน ยังมีซากกุฏิพื้นดิน บนภูเขาคิชฌกูฏก็พื้นดิน ล้วนแต่พื้นดินไปหมด นี่เรียกว่าพระพุทธเจ้านี่ท่านเป็นผู้คุ้นเคยกับพื้นดิน นี่เราก็ไม่ค่อยจะชอบ ไม่รู้จัก หรือพอจะต้องนั่งกลางดินบ้างก็จะกระสับกระส่ายเสียด้วยซ้ำไป ฉะนั้นขอให้นึกถึงเรื่องที่พระพุทธเจ้าท่านเกี่ยวข้องกับแผ่นดินอย่างไร นั้นเราจะได้สบายใจบ้างเมื่อนั่งกับพื้นดิน นอนกับพื้นดิน โดยถือว่านี่เป็นอาสนะที่นั่งที่นอนของพระพุทธเจ้า ลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าก็พอใจ เดี๋ยวนี้ผู้ที่เรียกตัวเองว่าลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้านั้นชอบอยู่บนตึกบนวิมาน จะทำบุญอะไรสักนิดหนึ่งก็อุทิศให้ได้เกิดในวิมาน เพราะมันเสียดพื้นดินหรืออย่างไรคิดดูให้ดี มันจะพบกันกับพระพุทธเจ้าได้อย่างไร ฉะนั้นขอให้เป็นอยู่คล้ายๆพระพุทธเจ้าไว้ก่อนเถอะ จะได้มีจิตใจเหมือนกัน แล้วความคิดมันก็จะได้เกิดขึ้นคล้ายๆกัน หรือว่าจะฟังที่ท่านสอนไว้อย่างไรนั่นแหละเข้าใจได้ง่าย เพราะจิตใจมันคล้ายๆกัน นี่คือเรื่องที่ขอพูดเป็นพิเศษประเดิมเรื่องแรก เพราะวันนี้เราก็มานั่งกันกลางดิน ยังมีแง่ของถ้อยคำที่จะพูดให้ลึกลงไปอีกชั้นหนึ่งก็ได้ ว่าธรรมะนั้นนะมันเปรียบเหมือนกับพื้นดิน แต่มันพื้นดินทางวิญญาณ รองรับจิตใจ แผ่นดินเป็นที่ตั้งอาศัยของสิ่งที่มีชีวิต ถ้าไม่มีแผ่นดินมันก็ไม่มีอะไรจะอาศัยได้ คนก็ไม่มีที่อยู่ สัตว์ก็ไม่มีที่อยู่ ต้นไม้ก็ไม่มีที่เกิด ไม่มีแผ่นดินก็ว่าเลิกกัน นี่ทางฝ่ายวัตถุ ทีนี้ทางฝ่ายจิตใจ ธรรมะเหมือนกับแผ่นดินสำหรับจิตใจ จิตใจจะได้ตั้งอาศัยอยู่บนธรรมะ เหมือนร่างกายอาศัยอยู่บนพื้นดิน ฉะนั้นนพระธรรมก็มีความหมายเหมือนกับพื้นดิน พื้นแผ่นดินสำหรับรองรับสัตว์ ดินมันมีความหมายอย่างนี้ ถ้าว่าเราเข้าใจกันอย่างนี้ไว้บ้างแล้วคงจะสนใจธรรมะมากขึ้น
ทีนี้ก็จะได้พูดเรื่องติดต่อกันไปกับเรื่องที่ได้พูดมาแล้วคือเรื่อง พระธรรม หรือ ธรรมะนั่นเอง ในวันนี้จะพูดโดยหัวข้อว่า “ธรรมะมีอยู่ ๒ ระดับ” คือธรรมะระดับโลก และระดับเหนือโลก พอพูดว่าระดับเหนือโลกก็ดูชักจะท้อถอย คือชักจะไม่สนใจ เพราะมันฟังไม่ออกว่าเหนือโลกนั้นเหนือได้อย่างไร แล้วจะมีประโยชน์อะไรถ้าเราจะไปขึ้นเหนือโลก นี่ไม่ให้เสียทีที่เป็นนักศึกษาก็จะได้พูดกันเสียบ้างว่า ธรรมะเหนือโลกนั้นมันเป็นอย่างไร ก็ต้องพูดคู่กันพร้อมกันไปว่าธรรมะในระดับโลก และธรรมะในระดับเหนือโลก อย่าลืมว่าในครั้งแรกที่สุด ได้พูดว่าสิ่งที่เรียกว่าธรรม หรือธรรมะนั่นนะหมายถึง ทุกสิ่งเลย ไม่ยกเว้นอะไร แม้แต่ตัวโลกนั้นมันก็เรียกว่า ธรรมะที่เป็นรูปธรรมชนิดหนึ่งเหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้คำว่าธรรมะที่เรากำลังจะพูดนี่หมายถึง หลักธรรม หรือว่ากฎของธรรมชาติที่เกี่ยวกับหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องปฏิบัติ ยังคงความหมายไว้ตรงที่ว่าหน้าที่ ธรรมะคือ หน้าที่ มีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติในระดับโลก ก็เรียกว่าธรรมะในระดับโลก หน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติเหนือโลกขึ้นไป ก็เรียกว่าธรรมะระดับเหนือโลก อาตมาเคยถูกเขาด่าว่าเอาธรรมะระดับเหนือโลกมาสอนคนหนุ่มๆ แม้กระทั่งสอนเด็กๆ พวกที่กรุงเทพแหละด่าจัด ด่าว่าเอาธรรมะระดับเหนือโลกมาสอนชาวบ้าน ที่บ้านนอกไม่ค่อยด่าหรอก เพราะบ้านนอกเขาชักจะรู้มากกว่าพวกกรุงเทพ คือรู้ว่าเหนือโลกมันเป็นอย่างไร แล้วก็เคยชินกันมาแต่เดิม เรื่องเหนือโลก เรื่องนิพพานนี่บ้านนอกคุ้นเคยมาก ที่กรุงเทพเรียกว่าไม่คุ้นเคยชินแต่เรื่องระดับโลกจึงคัดค้านมาก ที่บ้านนอกไม่มีใครคัดค้าน ธรรมะระดับโลกหมายความว่า จะต้องปฏิบัติหน้าที่ในระดับที่ว่าจะอยู่ในโลกให้เต็มมาตรฐานของมัน จะมีความสุขความเจริญรุ่งเรืองได้อย่างไรในโลก ก็ทำหน้าที่นั้นให้สมบูรณ์ สิ้นสุดลงที่ไหนลองทายกันเองก็ได้ ก็คือมีทรัพย์สมบัติ มีเกียรติยศชื่อเสียง มีมิตรสหายพร้อมพรั่ง นี่มันก็เท่านี้ระดับโลกมันมีเท่านี้ มีทรัพย์สมบัติมากนี่ก็หมายความว่า มีปัจจัยทุกอย่างที่จะกิน จะอยู่ จะใช้ แม้แต่ว่าครอบครัวในภาษาธรรมะ ก็เรียกว่าเป็นทรัพย์สมบัติด้วยเหมือนกัน เมื่อมีทรัพย์สมบัติแล้วก็จะหาครอบครัวหาอะไรได้ มีกินมีใช้กระทั่งมีสิ่งที่เกินจำเป็นคือเรื่องกามารมณ์ ได้มาโดยง่ายเพราะทรัพย์สมบัติ ทีนี้เรื่องเกียรติยศชื่อเสียงนั่นก็หมายความว่าถ้าทำดี เป็นที่ถูกใจคนทั้งหลายในโลกก็มีเกียรติยศชื่อเสียง เดี๋ยวนี้ยังขยักไว้อีกชั้นหนึ่งก็คือ มีเพื่อนที่ดี มีกัลยาณมิตรที่ดีอย่างพร้อมพรั่ง นี่ต้องรู้จักแยกกันสักหน่อย เพราะบางทีมีทรัพย์สมบัติมากแต่ไม่มีชื่อเสียงก็มีนะ ฉะนั้นอย่าไปคิดว่ามีทรัพย์สมบัติมากแล้วจะมีชื่อเสียง ร่ำรวยแต่มีคนเกลียดก็ยังมี หรือไม่นับถือหรือเฉยๆก็มี ร่ำรวยแล้วต้องทำให้ดี ให้ถูกต้องอีกทีหนึ่ง ให้มีชื่อเสียงด้วย นี่มีทั้งทรัพย์ ทั้งชื่อเสียง ทั้งอำนาจ แต่คนบางคนมันไม่เล่นด้วย เพราะเขาวางตนไม่เหมาะสมที่จะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ ก็เลยไม่มีเพื่อนที่ดีก็มี อย่าอวดดีว่ามีทรัพย์สมบัติ มีเกียรติยศชื่อเสียงแล้วจะมีเพื่อนที่ดีได้ มันจะมีแต่เพื่อนกินเพื่อนเล่นเพื่อนอบายมุขกันมากกว่า ต้องมีเพื่อนที่ดีอีกทีจึงจะเรียกว่าสมบูรณ์ในการเป็นอยู่อย่างระดับโลก ฉะนั้นที่เราอุตส่าห์เรียนกันมา เราจะประกอบอาชีพ แล้วก็จะมีทรัพย์สมบัติ แล้วทำให้ดีก็จะมีชื่อเสียง ให้ดีต่อไปอีกก็จะมีคนเคารพนับถือ มีมิตรสหายที่ดีที่งามมาก เรียกว่าสมบูรณ์ในส่วนโลก ระดับโลก จะต้องทำอย่างไรบ้างนั่นแหละคือธรรมะระดับโลกแหละ หน้าที่ระดับโลก ธรรมะระดับโลกจะต้องทำอย่างไรบ้าง ตั้งแต่เป็นเด็กมาก็ต้องเป็นเด็กที่ดี ประพฤติตัวให้เป็นเด็กที่ดี เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เพื่อนนักเรียน ถ้าทำได้ดีอย่างนี้ก็เรียกว่าปฏิบัติธรรมะ คือ เป็นหน้าที่ในชั้นโลกในระดับต้นๆนี่ดี ทีนี้เท่าที่เห็นๆกันอยู่ไม่ค่อยจะได้อย่างที่ว่า มีเด็กเกเร ล้มเหลวในการเล่าเรียน เรียนไม่สำเร็จนี่เสียเป็นส่วนมาก แล้วก็มักจะแก้ตัวว่ายากจน ไม่มีอะไรจะเรียนนั้นไม่จริง ถ้ามันดีแล้ว เป็นทำตัวเป็นเด็กที่ดีแล้วก็จะต้องมีคนเอ็นดูรักใคร่ ช่วยเหลืออุ้มชูให้ได้เล่าได้เรียนไปจนได้ ความดีของเด็กตัวเล็กๆ มันจะช่วยให้มันได้รับความช่วยเหลือยิ่งๆขึ้นไปจนได้เรียนมากๆก็ได้ อย่างที่เป็นเด็กวัดอย่างนี้ ก็ยากจนเหมือนกันแหละ ถ้ามันเป็นเด็กที่ดีมันก็มีโอกาสเรียนสำเร็จได้ ลูกคนร่ำรวยเหลวไหลเกเรมันก็เรียนไม่สำเร็จเหมือนกัน ถ้าสำเร็จก็ต้องสำเร็จด้วยโกงเขาทุกอย่างทุกทาง ฉะนั้นธรรมะที่เด็กจะต้องประพฤติปฏิบัติให้เป็นเด็กที่ดีนี่ก็เรียกว่าธรรมะในระดับโลกขั้นต้นที่สุด ขอให้ผ่านมาให้ดี เดี๋ยวนี้มาเป็นหนุ่มแล้ว เรียนอย่างคนหนุ่มแล้วก็เรียนให้ดี มีความประพฤติดี มีธรรมะที่บังคับตัวเองได้ดี ตอนนี้จะเน้นหนักตรงที่ว่าการบังคับตัวเองได้ สำหรับคนหนุ่มคนสาวนี้มันมีธรรมะสำคัญอยู่ข้อหนึ่งคือ การบังคับตัวเองได้ อยู่ในร่องรอยของความถูกต้องได้ ถ้ามันมีการเสียหายมันก็เสียหายตรงนี้ ตรงที่บังคับตัวเองไม่ได้ เหลวไหลในการเรียนหรือว่าทำชั่วมากยิ่งขึ้นไปกว่านั้นมันก็ล้มเหลว ฉะนั้นขอให้สนใจธรรมะระดับโลกในขั้นไฟหนุ่มนี่ คือ การบังคับตัวเองไว้ให้ได้ พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องนี้ว่าให้มันบังคับจิตให้ได้ เหมือนกับควานช้างชั้นดีเลิศบังคับช้างตกน้ำมันได้ กลับกลายเป็นพลาดเอาเองก็แล้วกัน ต้องเป็นควานช้างชั้นดีเลิศในทุกประการ ถ้าสามารถบังคับช้างให้ตกน้ำมันได้ตามความประสงค์ นี่คนหนุ่มนี่ต้องบังคับจิตของตนซึ่งเปรียบเหมือนกับช้างตกน้ำมัน แล้วบังคับจิตนั้นให้ได้ ก็ต้องมีธรรมะที่เข้มแข็ง จิตนี่มันผลัดกัน เดี๋ยวเป็นจิตอย่างนั้น เดี๋ยวเป็นจิตอย่างนี้ เดี๋ยวเป็นจิตอย่างโน้น ถ้าเป็นจิตที่มีธรรมะเข้มแข็งอยู่แล้วจิตชนิดที่เกเรมันก็มีไม่ได้ จะสร้างสรรค์ให้จิตที่เข้มแข็งด้วยธรรมะ ด้วยความถูกต้องนี่ให้มั่นคงเข้าไว้ แล้วจิตชนิดนี้มันก็จะคอยชินบังคับจิตที่เหลวไหล เกเรโลเลได้ ก็ต้องต่อสู้กันระหว่างจิต แล้วก็ต้องมีความอดทน เหมือนอย่างว่าเราอยากจะไปดูหนังดูละคร อยากจะไปเที่ยวเสเพล อยากจะเสพยาเสพติด หรือว่าเริ่มติดเข้าแล้วมันก็จะต้องอยากเสพต่อไปอีก ต้องบังคับกันอย่างเหมือนกับว่า ควานช้างชั้นเลิศต้องบังคับช้างที่ตกน้ำมัน ขอให้ช่วยจำคำนี้ไว้บ้าง ต้องบังคับตัวเองให้ได้เหมือนควานช้างที่เขาบังคับช้างตกน้ำมัน แล้วมันจะไปทำผิดทำชั่วทำเลวบังคับไว้ให้อยู่ นึกถึงอะไรก็ได้ มีอยู่หลายอย่าง ถ้าชอบพระพุทธเจ้าก็นึกถึงพระพุทธเจ้า ก็จะช่วยให้เกิดกำลังใจที่จะบังคับสิ่งเหล่านี้ได้ ถ้าว่าชอบเกียรติยศของลูกผู้ชายทั้งที ก็เอาอุดมคติลูกผู้ชายนี่บังคับความเกเรไว้ให้ได้ ให้มันเป็นลูกผู้ชายที่ดี ที่แท้ ที่สมชื่อ อย่าไปเป็นลูกผู้ชายที่เขาให้ความหมายเก๊ๆ ไม่กินเหล้าไม่ใช่ลูกผู้ชาย ไม่สูบบุหรี่ไม่ใช่ลูกผู้ชายนั้นไม่จริงทั้งนั้นแหละ ลูกผู้ชายมันต้องบังคับตัวได้ ไม่กินเหล้าก็ได้ ถ้าจะบังคับให้กินก็ได้เหมือนกัน แต่จะบังคับให้ไม่กินต้องได้ด้วย แล้วในที่สุดก็บังคับไว้ไม่ให้ไปในทางที่มันเสื่อมเสีย ไร้ประโยชน์ นี่เขาชอบอุดมคติอย่างว่าลูกผู้ชาย ไม่ให้เสียทีที่เกิดมาเป็นลูกผู้ชาย บังคับตัวไว้ให้ได้ รักษาเกียรติของลูกผู้ชายไว้ให้ได้ ถึงลูกผู้หญิงก็เหมือนกันแหละ มีอุดมคติอย่างไรก็บังคับไว้ให้ได้ มันจะไม่เกิดเรื่องยุ่งยากลำบากเหมือนที่กำลังเป็นอยู่เวลานี้ จนศีลธรรมเสียไปหมดระหว่างหนุ่มสาวเดี๋ยวนี้เพราะบังคับตัวไม่ได้ แล้วเรื่องอื่นๆมันก็จะติดตามมาอีกมากมายหลายซับหลายซ้อน เป็นความลำบากไปหมดทั้งบ้านทั้งเมือง นี่เพราะไม่มีธรรมะในระดับโลก ถ้ามีธรรมะในระดับโลกมันก็ขจัดสิ่งเหล่านี้ไปได้ จนรอดตัวไป ไม่ทำผิดทำชั่ว ในชั้นที่เป็นหนุ่มเป็นสาว
ทีนี้ก็มาถึงขั้นที่มีครอบครัว ก็บังคับตัวได้อย่างเต็มที่ เป็นครอบครัวที่ดี เป็นพ่อบ้านแม่เรือนที่ดี พอจะร่ำรวยขึ้นมา จะมีเกียรติยศชื่อเสียงขึ้นมา จะมีคนดีๆเป็นเพื่อนเป็นฝูงพร้อมพรั่งไปหมด ไปถึงจุดที่เรียกว่าจะเต็มของความเป็นชาวโลก กระทั่งว่าอยู่ไปถึงแก่ชรา ก็เป็นคนแก่ชราที่มีประโยชน์ที่สุด คือรู้อะไรมากสมกับที่ว่าเกิดมามีอายุมาก ๙๐ ปี ๑๐๐ ปี แก่ก็รู้อะไรมาก ถึงสามารถช่วยเป็นผู้แนะนำตักเตือน เป็นที่ปรึกษา ฉะนั้นอยากจะบอก หรือถึงกับขอร้องว่าอย่าดูถูกคนชรา คนเฒ่าคนแก่ อย่าไปดูถูกว่าเขาไม่เคยเรียนในมหาวิทยาลัย ในวิทยาลัย เขาไม่เคยจริงละ แต่เขาเข้ามหาวิทยาลัยของธรรมชาติมาเป็น ๙๐ ปี ๑๐๐ ปี ฉะนั้นเขารู้อะไรส่วนที่เรายังไม่รู้อีกมากนัก ต้องมีบางส่วนแน่นอนที่เราจะต้องคุยกับคนแก่ ขอความคิดความเห็น ข้อแนะนำอะไรจากคนแก่ แล้วก็ทำไปด้วยความรักความสงสารความเอ็นดูคนหนุ่ม เขาจะพูด จะชี้แจง จะยกเรื่องราวต่างๆมาให้ฟัง แล้วก็ประกอบกันเข้ากับความรู้ของคนหนุ่มที่เรียนได้จากโรงเรียน จากวิทยาลัย มันก็เป็นความรู้ที่สมบูรณ์ นี่เรื่องของโลกก็จะสมบูรณ์อย่างนี้ หรือเพียงเท่านี้ในความหมายทั่วๆไป แม้ไม่ร่ำรวยเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีก็เรียกว่า สมบูรณ์ คือขอให้เป็นพ่อบ้านแม่เรือนที่ดี เป็นพลเมืองที่ดี เป็นสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้าอยู่ในบ้านในเรือนนั่นนะ ให้ถึงที่สุดเรียกว่ามันสุดกันแล้วในระดับโลก ถ้าจะเกณฑ์ให้ไกลไปถึงสวรรค์ ก็ขอให้ถือเอาความหมายว่ามันมีความสุขความพอใจ เย็นอกเย็นใจ นับถือตัวเองได้ ยกมือไหว้ตัวเองได้ มันเป็นสวรรค์ที่แท้จริงอยู่ที่นั่น สวรรค์ต่อตายแล้วนั้นไม่ต้องพูดก็ได้ ขอให้ได้สวรรค์กันจริงๆที่นี่เดี๋ยวนี้ ให้มันยกมือไหว้ตัวเองได้เมื่อไร ก็เป็นสวรรค์เมื่อนั้น ถ้ามันได้สวรรค์อย่างนี้ ที่นี้แล้วไม่ต้องกลัว เมื่อตายไปแล้วมันต้องไปสวรรค์แน่นอนถ้ามันมี ถ้าไม่มีก็แล้วไป ถ้ามีก็ต้องได้แน่นอน ฉะนั้นนรกนี่ก็อยู่ที่นี่ได้ พอทำผิดร้อนใจเหลือประมาณก็เป็นนรกที่นี่ กว่าจะขึ้นมาได้ก็คงจะแย่เหมือนกัน ทีนี้สวรรค์เมื่อทำถูกก็พอใจ ยินดีปรีดา ไม่ต้องมีใครมาชม มายกย่อง มันก็ยกย่องตัวมันเองได้ ไหว้ตัวเองได้เขาเรียกเคารพตัวเองได้นี่เป็นสวรรค์ ความเคารพตัวเองได้เรียกว่าสวรรค์หรือว่าดีที่สุดเลย นี่เรื่องโลก ธรรมะในระดับโลกเขาสิ้นสุดกันอย่างนี้
ทีนี้ระดับเหนือโลก ความหมายมีอีก เหนือโลกนี่หมายความว่าสิ่งต่างๆในโลกหรือปัญหาที่มันเกี่ยวกับโลกจะไม่มีขึ้นมาเป็นอุปสรรคขัดขวางคนๆนี้ ที่เห็นกันได้ง่ายๆก็เช่นว่า เมื่อเราทำงาน ประกอบการงาน เกิดไม่ได้ผลตามที่ต้องการแล้วก็นั่งร้องไห้อยู่ นี่ก็เรียกว่ามันขาดธรรมะชนิดเหนือโลกที่จะมาช่วย ฉะนั้นเขามีหลักธรรมะเหนือโลกที่ให้รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นเอง มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยอย่างนั้นเอง หรือว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอย่างนั้นเอง อย่าไปเสียใจมันเลย แม้จะเจ็บจะไข้ก็รู้จักพิจารณาอย่าให้มีความทุกข์ใจเลย มันจะเจ็บปวดที่ร่างกายไปก็เป็นไป แต่ใจอย่าไปทุกข์ เจ็บเนื้อเจ็บตัว ปวดหัวปวดฟันอะไรก็ตามให้มันเจ็บไปตามธรรมชาติที่เรียกว่าความเจ็บ แต่ใจอย่าไปยึดถือเป็นความทุกข์ เป็นความทุกข์ของเรามันจะเจ็บมาก นี่ธรรมะส่วนนี้ธรรมะที่เรียกว่าเหนือโลกหรือนอกโลกที่จะเข้าไปช่วยแก้ปัญหาในโลก ฉะนั้นต้องศึกษาเรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่นกันเรื่อยๆไปให้รู้ให้เข้าใจ นี่ยกตัวอย่างพอเป็นเครื่องสังเกตสำหรับธรรมะเหนือโลก คือจิตไม่ยึดมั่นถือมั่นต่อโลกนี้ โลกนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ เช่นว่ามันจะต้องเจ็บไข้นี่มันเป็นธรรมดาโลก ในโลกต้องมีเจ็บไข้ ทีนี้เราก็ทำอย่าให้ความเจ็บไข้นี่มันมีอำนาจมาครอบงำใจเราให้เป็นทุกข์ ถึงเราจะรักษาเยียวยาก็ทำไปได้โดยที่จิตไม่ต้องเป็นทุกข์ ต้องสังเกตกันให้ละเอียดสักหน่อย เมื่อว่าเราเจ็บอะไรขึ้นมา ถ้าเรากลัวหรือถ้าเราคิดว่า กูเจ็บ กูจะตายอย่างนี้มันก็มีความหมายมากทีเดียว มันจะเป็นความเจ็บใหญ่หลวงขึ้นมาทีเดียว พูดกันตรงนี้คงไม่เข้าใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก ต้องไปดูเอาเองเมื่อมันเจ็บเข้ามา จะถูกอะไรบาดเจ็บสักนิดหนึ่งนะถ้าเราไปมีความคิดเป็นทำนองว่าเราเจ็บ เราจะตาย เราอะไรอย่างนี้แล้วมันสะดุ้ง หวาดเสียว กลัวต่อความตายมันเจ็บมาก ถ้าเรามีความรู้ธรรมะชนิดที่เรียกว่าเหนือโลกนั้นนะก็จะพิจารณา แล้วก็แยกออกจากกันว่าความเจ็บนั้นก็เจ็บไปที่กาย จิตใจอย่าไปโง่หลงว่าเป็นตัวกูเจ็บกูจะตายก็แล้วกัน ท่านสอนกันอย่างนี้เพื่อให้จิตใจมันออกมาเสีย อย่าเข้าไปติดอยู่กับโลก คือร่างกายที่มันจะต้องเจ็บ มีอุทาหรณ์ที่เสียบไว้ในพระคัมภีร์คำสอนของพระพุทธเจ้า ว่าเหมือนกับถูกยิงด้วยลูกศร ทีแรกก็ถูกยิงด้วยลูกศรธรรมดาไม่ได้อาบยาพิษ มันก็เจ็บอย่างธรรมดาอย่างนั้นแหละ ทีนี้ว่าลูกศรอีกลูกหนึ่งอาบยาพิษมาเสียบเข้าอีก มันก็จะเจ็บหลายเท่าพันทวีทีเดียว สังเกตข้อนี้เถอะ ถ้าเราคิดเป็น มันจะเจ็บเท่าที่เหมือนกับลูกศรธรรมดาไม่มียาพิษ แต่พอเราคิดผิดนะมันจะมีความเจ็บเท่ากับลูกศรอีกดอกหนึ่งมียาพิษมาเสียบเข้า มันจะเจ็บขา ปวดฟัน มีแผลมีหนอง มีอะไรก็ตามที่ส่วนร่างกาย หรือจะเป็นโรคร้ายที่ลึกซึ้งไปกว่านั้น เราจงให้มันเจ็บหรือมันมีอำนาจเพียงว่ามันเจ็บส่วนร่างกาย หรือส่วนจิตใจที่มันติดอยู่กับร่างกายที่มันรู้สึกเจ็บก็ได้ แต่จิตใจส่วนลึก ส่วนสติปัญญา สติสัมปชัญญะนั้นอย่าให้เสียไป ให้ดึงออกมาไว้ให้ได้ว่ามันเจ็บแค่นั้นล่ะ มันเจ็บเท่านั้นล่ะ กูไม่เจ็บ กูไม่ตาย กูจะไม่ต้องตาย แยกออกมาเสียอย่างนี้ นี่ธรรมะในระดับเหนือโลกมันเข้ามาช่วยให้เจ็บน้อย หรือถ้าว่าจิตมันเข้มแข็งจริง มันบังคับให้ไม่รู้สึกเจ็บเลยก็ได้ แต่อย่างนั้นต้องฝึกกันมากหน่อย นี่เป็นเรื่องเจ็บกาย โรคภัยไข้เจ็บ ทีนี้ถ้าเป็นเรื่องเจ็บใจ เป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง มันรบกวนอยู่เสมอ มันก็ต้องมีธรรมะระดับเหนือโลกเข้ามาแก้ไข การทำการงานอยู่ในโลกนี้มันมีทั้งขาดทุนและได้กำไร ฉะนั้นก็ต้องมีจิตใจที่ปกติ อย่าให้ขาดทุนมันมาทำให้เป็นทุกข์ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ที่เป็นกำไรนั้นก็อย่าให้มันมาทำให้เราเผลอลิงโลดจนคล้ายกับเป็นคนบ้าไป เหมือนกับว่าถูกลอตเตอรี่นัมเบอร์ใหญ่นี้ จิตใจมันหวั่นไหวคล้ายกับเป็นบ้าไปทีเดียว เพราะมันไม่มีธรรมะชนิดเหนือโลกเข้ามาช่วยประคับประคองจิต แล้วว่าขาดทุนมันก็เศร้าอย่างกินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะไม่มีธรรมะระดับเหนือโลกเข้ามาช่วย
ฉะนั้นอยู่ในโลกนี่มันกลับต้องการธรรมะระดับเหนือโลกให้ลงมาช่วยอยู่บ่อยๆ อย่าให้เราต้องมีความทุกข์ในเรื่องที่มันมีอยู่ในโลก ท่านจึงสอนว่าให้รู้จักทำตนให้ปกติ อย่าให้หวั่นไหวไปตามโลกธรรม โลกธรรมมีอยู่ ๔ คู่ คู่แรกก็ได้ลาภก็เสื่อมลาภ ได้ลาภก็อย่าให้มันมาทำให้ใจของเราฟุ้งซ่าน ถ้าเสื่อมลาภก็อย่าให้มันทำใจของเราเป็นทุกข์ ได้ยศและเสื่อมยศก็เหมือนกัน ได้สุขได้ทุกข์ก็เหมือนกัน ได้นินทาได้สรรเสริญก็เหมือนกัน ให้ใจมันอยู่ตรงกลางเป็นปกติไว้ได้ นั่นนะเขาเรียกธรรมะระดับเหนือโลกเข้ามาช่วยคนที่อยู่ในโลกอย่างที่ไม่ต้องมีความทุกข์ คนที่จะเป็นเศรษฐีร่ำรวยชนิดไหน มีอำนาจวาสนาชนิดไหนมันก็ยังมีเรื่องเสื่อมลาภได้ลาภ นินทาสรรเสริญ สุขทุกข์ ได้ยศเสื่อมยศอยู่นั่นเอง ให้เป็นชั้นมหาจักรพรรดิมันก็ต้องประสบกับไอ้ ๔ คู่นี้อยู่นั่นแหละ ก็ต้องมีธรรมะชนิดเหนือโลกมาช่วยให้จิตใจปกติอีกทีหนึ่ง ฉะนั้นธรรมะเหนือโลกก็จำเป็นที่คนที่อยู่ในโลกจะต้องรู้สำหรับแก้ปัญหาชนิดที่มันนอกโลกหรือมันเหนือโลก คือ เหนือวิชาความรู้ทางโลกๆมันจะช่วยได้ อย่างเราเรียนมาในมหาวิทยาลัย รู้กันจบเกณฑ์ทุกแขนงวิชาก็ดำรงอยู่ในโลกนี้มันก็ยังมีประสบอันนี้ เดี๋ยวได้ลาภก็เสื่อมลาภ เดี๋ยวได้ยศก็เสื่อมยศ เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวนินทาเดี๋ยวสรรเสริญ เดี๋ยวเจ็บเดี๋ยวไข้เดี๋ยวสบาย หรือว่าต้องประสบกับศัตรูมุ่งร้าย คนดูถูกดูหมิ่นอะไรก็ตาม เพราะในโลกมันต้องมีอย่างนี้ แม้จะร่ำรวยอย่างไร จะไปมีอำนาจวาสนาอย่างไรก็ต้องประสบกับสิ่งนี้ ก็ต้องมีธรรมะชนิดที่จะแก้ไขสิ่งนี้ได้ แก้ไขเรื่องร้ายที่มันมีอยู่ในโลกนี่ให้มันระงับไปได้ ส่วนนั้นเขาเรียกธรรมะเหนือโลกทั้งนั้นนะ เพราะฉะนั้นอย่าได้ดูถูกคำว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือว่า นิพพานอะไรก็ตามใจ ในเมื่อไม่เข้าใจก็อย่าเพิ่งดูถูก มันเป็นเรื่องนอกโลกที่เขามีไว้เพื่อจะขจัดความทุกข์ในโลก ถ้าไม่มีธรรมะส่วนนี้แล้วก็จะต้องนั่งร้องไห้ จะต้องฆ่าตัวตาย หรือไม่อย่างนั้นก็จะเป็นโรคประสาทหรือเป็นบ้าไป ธรรมะชั้นสูงที่ชั้นเหนือโลกนั้นจะมาช่วย ไม่ให้ต้องร้องไห้ไม่ต้องหัวเราะ ไม่ต้องดีใจไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องขึ้นไม่ต้องลง ไม่ต้องเป็นโรคประสาทไม่ต้องเป็นบ้า ไม่ต้องฆ่าตัวตาย
ไปๆมาๆธรรมะเหนือโลกมันก็อยู่ที่ตรงนี้ อยู่กับโลกนี้ มันคอยแก้ปัญหาในโลกมีอยู่ในโลก คอยแก้ปัญหาในโลก นี่เรียกว่าธรรมะมีอยู่ ๒ ระดับ รู้ว่าธรรมะหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัตินั้นมีอยู่ ๒ ระดับ ระดับหนึ่งสำหรับให้ได้รับประโยชน์อย่างโลกๆนี่เต็มที่ อีกระดับหนึ่งจะช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่จะเกิดขึ้นแก่การที่จะบำเพ็ญประโยชน์อย่างโลกๆ มันไปสูงสุดอยู่ที่ความเกิดความแก่ความเจ็บความตาย คนจะร่ำรวยอย่างไร จะมีอำนาจวาสนาอย่างไร มันก็มีปัญหาเรื่องเกิดเรื่องแก่เรื่องเจ็บเรื่องตาย กลัวกันอยู่ทั้งนั้น เดือดร้อนกันอยู่ทั้งนั้น ถ้ามีธรรมะชนิดเหนือโลกจริงๆจะทำให้ไม่กระทบกระเทือนจิตใจ ถือว่าความเกิดความแก่ความเจ็บความตายจะไม่มาข่มขู่จิตใจให้หวาดเสียว ให้สะดุ้ง ให้เป็นทุกข์เป็นร้อน นี่เรายังไม่เคยเล่าเรียนในส่วนนี้ ฉะนั้นฟังไว้ก่อน ค่อยไปศึกษาต่อในข้างหน้า เราจะเดือดร้อนเพราะไม่ได้อย่างใจ แล้วมันจะมีอะไรมาให้ได้อย่างใจไปเสียทุกอย่างเหรอ ในโลกนี้มันต้องมีที่ไม่ได้อย่างใจมากกว่าที่จะได้อย่างใจ เราจะต้องมีของแก้ เมื่อมันไม่ได้อย่างใจแล้วก็ไม่เป็นไร ไม่ทุกข์ไม่ร้อน แก้ไขให้ดีทำต่อไปอีก แล้วมันก็จะค่อยๆได้อย่างใจมากขึ้นทีหลัง พอไม่ได้อย่างใจแล้วก็ไปทุกข์ไปร้อนหรือเป็นบ้าไปเสียเลย ฆ่าตัวตายเสียเลยอย่างนี้มันก็หมดเลย มันก็จบกันทั้งนั้น ให้รู้ว่าในโลกนี้มันจะมีสิ่งที่ไม่ได้อย่างใจนี่มากกว่าที่จะได้อย่างใจ นี่ก็เพราะว่าใจมันคิดมากเกินกว่าที่จำเป็นจะควรคิด เพราะฉะนั้นมันก็ต้องไม่ได้อย่างใจมาก คือไม่ได้คิดอย่างธรรมดาๆนี่มันก็มีส่วนที่ไม่ได้อย่างใจมากกว่า เพราะว่ามันยากกว่านี่ที่จะได้อย่างใจ แล้วสิ่งแวดล้อมทั้งหลายมันก็มีกฎเกณฑ์ของมัน มีปกติธรรมดาของมัน มันไม่มาตามใจเรา เช่นเราจะทำก้อนหินนี่ให้เป็นขนมปังขึ้นมานี่มันทำได้ที่ไหน แม้เราจะคิดแล้วคิดอีก มันไม่ได้อย่างใจอย่างนี้ แม้จะทำเอาได้นี่เนื้อหนังร่างกายของเรานี้มันก็ยังทำไม่ได้อย่างใจ เดี๋ยวมันอย่างนั้นเดี๋ยวมันอย่างนี้ ฉะนั้นรู้จักสิ่งที่เรียกว่าไม่ได้อย่างใจ ปรารถนาอย่างไรแล้วไม่ได้อย่างนั้นนะ รู้จักไว้ให้ดีๆนะ อย่าให้มันมาทำอันตรายเรา อย่าให้ต้องเป็นทุกข์เพราะข้อนี้ ให้รู้สึกทันท่วงทีว่า อ้าว มันอย่างนี้เอง มันอย่างนี้เอง แล้วจะทำอย่างไรต่อไปก็ทำ ทำให้มันดีขึ้น ให้มันถูกมากขึ้น เดี๋ยวมันก็จะได้ตามที่ต้องการมา ได้อย่างใจนี่ไม่ได้ง่ายๆหรอก จะต้องต่อสู้ต้องขวนขวายเดี๋ยวต้องเฉลียวฉลาดอะไรกันไปเรื่อยๆ จึงจะได้ตามที่ต้องการ ได้ที่ต้องการแล้วก็ไม่หลงใหล ไม่ทำจิตใจให้มันฟุ้งซ่านให้มันฟั่นเฟือนไปเสียอีก เรารู้จักว่าเราควรจะต้องการอะไร อย่างไร เท่าไร เพียงไร เมื่อไรให้ดีๆ ให้มันถูกต้อง เราก็มีหวังจะได้ แต่ถ้าเรามันคิดผิด มันหวังเกินไป มันก็ยิ่งไม่ได้อย่างใจมากขึ้น ฉะนั้นยิ่งหวังมากเท่าไรมันก็ยิ่งไม่ได้ตามหวังมากขึ้น ให้รู้จักหวังแต่พอดีให้ตรงตามเป้าหมาย ให้พอดี นี่เรียกว่าความรู้มันประสานกันดี ทั้งความรู้ในระดับโลกและความรู้ในระดับเหนือโลกมันเข้ามากลมเกลียวกันอยู่ในชีวิตของเรา เราก็มีปัญหาน้อย มีความทุกข์น้อย มีความสบายใจมาก มีความยินดีในชีวิตนี้ได้มากได้ง่าย ธรรมะที่จะต้องพูดกันมันก็มีอยู่อย่างนี้ ระดับโลกมันก็แบบหนึ่ง ระดับเหนือโลกแบบหนึ่ง แล้วมาช่วยกันแก้ไขการอยู่ในโลกนี้อย่าให้ต้องเป็นทุกข์ร้อนไปตามแบบของโลก
ก็ได้พูดมา ๓ ครั้งแล้วให้รู้จักธรรมะในขั้นพื้นฐาน ให้รู้จักธรรมะในส่วนที่คนเขาเข้าใจผิด ไม่ให้ความยุติธรรมต่อธรรมะ มองธรรมะผิดๆ เดี๋ยวนี้เราก็จะมองธรรมะให้มันถูก ตั้งต้นมองให้มันถูกและให้ถูกยิ่งๆขึ้นไป แล้วเราต้องทำให้ถูกทั้ง ๒ ฝ่าย ฝ่ายธรรมะระดับโลกก็ยังผิด แล้วมีธรรมะฝ่ายระดับเหนือโลกเข้ามาควบคุม มาแก้ไข ป้องกันไม่ให้ธรรมะระดับโลกนี่มันกลายเป็นศัตรู เป็นยาพิษ หรือเป็นความทุกข์ขึ้นมาอีก แล้วมีเงินมากนี่อย่าเหมาหรือว่าอย่าหลงไปว่ามันจะมีความสุขได้ ถ้ามีไม่เป็น มันก็จะมีความทุกข์ หรือมีอันตรายถึงกับเป็นบ้าหรือตายได้ ถ้าจะมีเงินมากต้องมีให้เป็น อย่าให้มันเกิดอันตรายทางจิตใจ คือระดับเหนือโลก ยิ่งมีเงินมากยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งมีเงินมากยิ่งโลภมาก ยิ่งกลายเป็นจะต้องตายเพราะความมีเงินมาก มหาเศรษฐีชั้นเลิศของโลก อย่าออกชื่อเขาเลย ไม่ต้องออกก็ได้ มันเกือบจะตาย เพราะมันหลงในความมั่งมี แล้วทีหลังมีคนมาให้สติ เขาก็นึกได้ เขาก็เปลี่ยนความคิด เขาก็เลยรอดตาย แล้วก็ทำบุญใหญ่โต มีมูลนิธิทั่วโลกสำหรับช่วยเหลือคน คนนี้เกือบจะตายหวุดหวิดจะตายอยู่เพราะความหลงใหลความโลภในทรัพย์สมบัติ ถึงอย่างเราๆก็เถอะระวังให้ดี อย่าให้เรื่องมีเงินหรือมีอะไรนั่นนะมันเป็นเรื่องที่ทำให้หลงทาง ทำให้คิดผิด ส่วนที่ทำให้คิดถูกมันเป็นธรรมะสูงขึ้นไป ให้ชนะโลก ฉะนั้นอย่าเข้าใจผิดว่าธรรมะนั้นต้องหนีโลก ต้องออกไปจากโลก ธรรมะนั้นเขามีไว้สำหรับช่วยให้อยู่ในโลกนี่ ไม่ต้องหนีโลก ไม่ต้องไปไหน แต่ชนะโลก อยู่ในโลกโดยไม่ต้องมีความทุกข์ ที่เขาพูดว่าสละโลกนั้นนะหมายถึง ชั่วคราว ออกไปค้นหาเรื่องที่มันเหนือโลกนั่นแหละมาเพื่อจะแก้ปัญหาในโลก ถ้าใครจะบวช หลีกจากโลกสักชั่วคราวไปศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้วก็มาใช้แก้ปัญหาในโลก ถึงพระพุทธเจ้าก็ที่ว่าสละโลกหนีไปบวชนี่ก็เพื่อไปรู้เรื่องที่มันจะมาแก้ปัญหาทั้งหมดในโลก แล้วพระองค์ก็สอนให้ทุกคนรู้จักแก้ปัญหาในโลก
ฉะนั้นถ้ามีธรรมะแล้วก็มีเพื่อจะอยู่ในโลกด้วยชัยชนะ อย่าไปฟังผิดๆเหมือนที่เขาพูดผิดๆกันว่าถ้าจะเรียนธรรมะแล้วก็ต้องหนีโลก ต้องสละโลก ต้องออกไป มันเป็นคนละเรื่องกันอย่างนี้ไม่ถูก อยู่ในโลกด้วยธรรมะแล้วก็จะชนะโลก แล้วนั่นก็กลายเป็นเหนือโลกอยู่ในตัว เรายังคงอยู่ในโลก เรามีจิตใจอยู่เหนือปัญหาในโลก โลกจะมีปัญหามีอันตรายมีอะไรกี่ร้อยอย่างพันอย่าง คนที่มันชนะโลก มีธรรมชนะโลกนั้นมันอยู่เหนือปัญหาเหล่านั้นหมด นี่อยู่ในโลกนี้โดยไม่มีปัญหา โลกนั้นทำอะไรไม่ได้ เรียกว่าอยู่เหนือโลก มีแต่ชัยชนะเรื่อยไปในทุกกรณี ก็แปลว่า สมบูรณ์ในการเป็นมนุษย์ เกิดมาทีหนึ่งชนะได้หมดทุกอย่าง กว่าจะชนะได้หมดทุกอย่างนี่คงจะหัวหกก้นขวิด ร้องไห้หัวเราะกันไปไม่รู้กี่ครั้งกี่หน ช่วยจำไว้ด้วย เราจะต้องร้องไห้หัวเราะกันอีกไม่รู้กี่ครั้งกี่หนจึงจะรู้จักสิ่งเหล่านี้ดี เราจึงแบ่งแยกกันให้เห็นเป็น ๒ เรื่องชัดๆ ว่าธรรมะระดับโลก ธรรมะระดับเหนือโลกเอามาปนกันเข้าแล้วก็จะอยู่ในโลกอย่างมีชัยชนะทุกๆประการ
เมื่อคืนถามว่า วิศวะ แปลว่าอะไร ตอบได้หรือยัง ศึกษากันแล้ว วิศวะ แปลว่าอะไร ถึงเวลาที่จะตอบปัญหาและคุยกัน ตั้งคืนแล้วนะ ตั้งวันตั้งคืนแล้วนะ ถามกันบ้างอะไรกันบ้างก็เลยยังไม่รู้ว่าวิศวะ แปลว่าอะไร วิศวกรรมแปลว่าอะไร วิศวกรแปลว่าอะไร หรือละอาย ไม่กล้าบอก หรือไม่รู้เลย ไม่รู้เลยแล้วก็ละอายแล้วก็ไม่กล้าบอกรวมกัน โชคดีที่เราได้เรียนหรือได้เป็นวิศวกรรม วิศวกร อยากจะให้ถือเอาคำนี้แหละเป็นอุดมคติ แล้วมันก็จะดีเลิศ คือ ไม่ใช่ว่าดีเลิศอย่างบ้าหลัง ดีเลิศอย่างพอดีอย่างถูกต้อง “วิศวะ” เขาเป็นภาษาสันสกฤต ถ้าเป็นภาษาบาลีมันว่า “วิสสุ” วิสสุ ภาษาบาลี สันสกฤตเป็น วิศวะ คำนี้แปลว่า หมดทุกอย่าง หมดทุกอย่าง ถ้า “วิศวกรรม” แปลว่า การกระทำที่ครบหมดทุกอย่าง “วิศวกร” แปลว่า ผู้กระทำได้หมดทุกอย่าง ยอมแพ้ไหม คงจะยอมแพ้ หัวเราะนี่ยอมแพ้นะ อ้าว แล้วจะทำได้หมดทุกอย่างเหรอ จะยืนยันว่าจะทำให้ได้หมดทุกอย่างเหรอ นี่ถ้ายืนยันต้องสนใจธรรมะแหละ ธรรมะนี่จะช่วยให้ทำได้หมดทุกอย่าง ไม่ยกเว้นอะไร นี้ไม่ใช่เป็นเรื่องเอามาหลอกมาล้อกันเล่นนะ ไปดูเอาเถอะ ดูปทานุกรมไหนก็ได้ วิศวะ แปลว่า ทุกอย่าง วิศวกรรม แปลว่า กรรมทุกอย่าง วิศวกร แปลว่า ผู้กระทำได้ทุกอย่าง เอากันแต่เพียงว่าสิ่งใดที่มนุษย์มันควรจะทำได้เขาจะทำได้ทุกอย่าง จะให้ทุกอย่างอย่างพระพุทธเจ้านี่คงจะไม่ถึง แต่ว่าให้ทุกอย่างเท่าที่คนอย่างเราๆควรจะทำได้ มีเทวดาตนหนึ่งเขาชื่อว่า วิสสุกรรม หรือว่า วิศวกรรมนี่ ถ้าเรียกอย่างบาลีก็ต้องเรียกว่า วิสสุกรรม นี่เรียกอย่างสันสกฤตต้องเรียกว่า วิศวกรรม เป็นเทวดาที่ทำได้ทุกอย่าง ถ้าพระอินทร์ต้องการให้เขาทำอะไร เขาจะทำได้หมดทุกอย่าง เทวดาที่ชื่อวิสสุกรรม หรือว่าวิศวกรรม ก็กลายเป็นเรื่องช่าง นี่เป็นเรื่องทางวัตถุนะ เทวดาองค์นี้มีหน้าที่ทำทางวัตถุ ทำได้ทุกอย่างตามคำสั่งของพระอินทร์ จะให้สร้างอะไรก็ได้ ทำอะไรก็ได้ แล้วทำได้ในพริบตาเดียว คงจะเป็นเหตุนี้เขาจึงได้ยืมชื่อของเทวดาองค์นี้มาเป็นชื่อแขนงวิชาของพวกเรา คณะวิศวกรรมศาสตร์ วิศวกร ถ้าจะพูดธรรมดาสามัญก็ต้องเรียกว่าสารพัดช่าง นั่นแหละคือ วิศวกร กรรมกรด้วย ยิ่งกว่ากรรมกรด้วย ทุกอย่างด้วยจึงจะเป็นวิศวกร เพราะว่าวิศวะแปลว่าทุกอย่าง ครบทุกอย่างที่ควรจะทำหรือจะต้องทำ นี่ทางวัตถุก็ควรจะทำได้ทุกอย่างตามที่มันอัตราที่พอดี ไม่ต้องมากมายอะไรนัก สิ่งใดที่มนุษย์ควรจะทำได้ มีประโยชน์แล้วทำให้ได้ทุกอย่าง ทีนี้ส่วนจิตใจนี่สำคัญ จะต้องทำได้ทุกอย่าง ที่จะแก้ปัญหาทุกอย่างในทางจิตใจได้ด้วย จึงจะเป็นสมนามว่าทุกอย่าง ทุกอย่างทั้งทางกาย ทั้งทางจิต ทางวัตถุ ทั้งทางนามธรรม ทั้งแก่ตัวเราเองและทั้งแก่ผู้อื่น ทั้งเพื่อโลกนี้ ทั้งเพื่อเหนือโลก จึงเอาเรื่องเหนือโลกเอามาพูดด้วยให้มันครบ เมื่อทำได้ถูกต้องทุกอย่างมันก็ไม่มีความทุกข์เหลืออยู่เลย วิศวกรมันควรจะเป็นผู้สร้างสรรค์ในทุกสิ่งที่จำเป็นแก่มนุษย์ มันครบทุกอย่าง ถ้าเราจะเป็นวิศวกรทางวัตถุ มันก็เอาเป็นเรื่องวัตถุไปให้ครบทุกอย่าง แต่มันควรจะเป็นวิศวกรทางจิตใจด้วยมันจึงจะไม่มีปัญหาอะไรเหลืออยู่ เรื่องวิศวกรทางวัตถุจะไม่พูดแล้ว จะเอามะพร้าวมาขายพวกเธอ แต่วิศวกรทางธรรมะทางจิตนี่ยังมีเรื่องที่จะต้องพูดอยู่อีกมากว่าเราจะทำอย่างไรจึงจะไม่มีปัญหาเกี่ยวกับจิตใจ ก็มีข้อธรรมะมากๆ อีกมากแหละที่จะต้องพูด จะต้องศึกษาอีกต่อไปศึกษาให้ครบตามที่ควรจะศึกษา รู้ธรรมะให้ครบตามที่ควรจะรู้ คือเราสร้างสิ่งที่ควรจะสร้างในทางฝ่ายจิตใจให้มันครบถ้วน เลยเป็นวิศวกร ๒ เท่า เก่งกว่าพวกฝรั่งที่เป็นครูบาอาจารย์ทางวิศวะ เรื่องทางวัตถุอย่างเดียว อาจารย์ฝรั่งชั้นดีเลิศที่เรียกว่า วิศวกรมาสอนได้เรื่องวัตถุอย่างเดียว เราจะเป็นวิศวกรกันเสียทั้งทางวัตถุและทั้งทางจิตใจนี่ แล้วก็เลยเก่งกว่าพวกฝรั่ง ๒ เท่า ฉะนั้นไม่เสียทีนะที่จะมาสนใจเรื่องธรรมะ เอ้า มีปัญหาอะไรถามได้ ถามเพื่อให้มันครบทุกอย่างนะ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะอยากเรียกตัวเองว่าวิศวกรนี่มันต้องทำได้ทุกอย่างให้สมชื่อวิศวกร ทำไมไม่มีปัญหาเหรอ กลายเป็นรู้หมด ไม่มีปัญหา รู้ทุกอย่าง คำนี้มันแปลกนะ เอ้า ถามอะไร
นักศึกษา : วันแรกที่พวกผมมา พวกผมได้ยินท่านอาจารย์พูดว่าวันนี้เป็นวันตักบาตรเทโว และเป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากการจำพรรษาจากสรวงสวรรค์ คำว่าสวรรค์ในที่นี้หมายถึงอะไรครับ
ท่านพุทธทาสภิกขุ : ก็พูดตามที่เขาพูดสืบๆกันมาตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้า ก่อนมีพระพุทธเจ้าก็มีเรื่องสวรรค์เรื่องอะไรครบถ้วนแล้ว สวรรค์ นรก หรือพรหมหรืออะไรก็ตามมีพูดอยู่ก่อนพระพุทธเจ้าครบถ้วน ความหมายทั่วไปสวรรค์ก็คือ ที่อยู่ของคนที่มันเป็นสุขสนุกสบายอย่างภาษาโลก คือเต็มไปด้วยสิ่งที่น่ารักน่าพอใจ ชั้นธรรมดาสามัญก็คือ กามคุณ จะให้ความสุขสนุกสนานทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางจิตใจ จนไม่มีความทุกข์ ไม่รู้สึกว่าเป็นทุกข์ สภาพอย่างนั้นเขาเรียกว่าสวรรค์ แล้วเขาสอนว่ามันมีอยู่ มันมีได้ ถ้าเราจะทำดีให้เพียงพอแล้วไปเกิดในสวรรค์ ต้องไปศึกษาเอาจากหนังสือต่างๆที่เขาพูดถึงเรื่องสวรรค์ชนิดนั้น กระทั่งภาพเขียนฝาผนังโบสถ์ก็มี ความหมายของสวรรค์ตามธรรมดาเป็นอย่างนั้น ก็รวมเอาแต่ใจความก็แล้วกันว่าเป็นที่ที่เขา เป็นที่ที่อยู่ของพวกที่ไม่มีปัญหา ไม่ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ เรียกว่าเขามีบุญ เขามีอะไรๆชนิดที่ทำให้ไม่ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ แล้วก็ได้สนุกสนานเพลิดเพลินอยู่แต่อย่างนั้นตลอดเวลา นั่นแหละความหมายของสวรรค์ แต่อย่าเข้าใจว่าไม่เปลี่ยนแปลงนะ แล้วมันก็มีการเปลี่ยนแปลง ในที่สุดมันก็ตายจากสวรรค์ หรือสวรรค์มันก็เปลี่ยนแปลง แต่โดยเหตุที่ว่า เดี๋ยวนี้มันมีสิ่งที่น่ารักน่าพอใจเต็มไปหมดก็เรียกว่าสวรรค์ ถ้าไปศึกษาถึงคำว่าสวรรค์กันแล้วมันกลายเป็นน่าสะดุ้ง คำว่าสวรรค์แปลว่า ที่เกาะเกี่ยว คาบไปแล้วมันเกี่ยวติดอยู่เลย ออกมายาก คือสมบูรณ์ไปด้วยความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อย เรียกว่าสวรรค์ พอเข้าไปมันก็เกี่ยวเอาไว้ หรือเราก็อยากจะเกี่ยวกับมัน นี่ความหมายของสวรรค์เป็นอย่างนี้ ถ้าจะให้มีในโลกนี้ ถ้าจะให้มีได้ก็ต้องว่าเอานะ สมมติว่ามีคนๆหนึ่งหรือว่าพวกหนึ่งอะไรก็ตามเขามีบุญ ไม่ต้องทำอะไรให้มันเสียเหงื่อไคล เล่นหัวไปได้ตลอดวันตลอดคืนตลอดสมัยหนึ่งนะ เอาละ จะกี่ปีกี่สิบปีอะไรก็ตามใจ ระยะนั้นนะมันเป็นสวรรค์ของเขา นี่คือเกิดแบ่งกันเป็นพวกมนุษย์กับพวกเทวดา พวกเทวดาก็คือ พวกที่ไม่ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ แล้วก็พอใจอยู่ได้ สรวลเสเฮฮาอยู่ได้ นี่พวกมนุษย์นี่จะต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ ต้องมีหยาดเหงื่อแรงงานนี่มันจึงจะเป็นมนุษย์ตามความหมายที่อยู่ตรงกลางๆ เดี๋ยวก็มีความสุขบ้างมีความทุกข์บ้าง เป็นคนธรรมดาสามัญ มีปัญหาเรื่องอาชีพอยู่ตลอดเวลา ถ้าเป็นเทวดาก็คือไม่มีปัญหาอย่างนี้ แต่อย่าลืมว่าเขาก็จะต้องเปลี่ยนแปลงหรือเขาจะต้องตาย ถ้าเขาผิดจากความเป็นอย่างนั้นก็มาเป็นมนุษย์ธรรมดา ฉะนั้นที่อยู่ในสวรรค์นั้นไม่เท่าไรมันก็ต้องจุติจากสวรรค์มาเป็นมนุษย์ธรรมดา เขาจะต้องมาศึกษาในโลกมนุษย์จึงจะได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ในเมืองสวรรค์ไม่มีทางที่จะศึกษาเรื่องมรรคผลนิพพาน เขามีแต่เรื่องสนุกสนาน เรื่องพอใจตามประสาคนหนุ่มสาว ก็เลยแยกกันว่าสวรรค์หรือเทวโลกนั้นมันก็สำหรับพวกที่ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับอาชีพ มนุษย์มีปัญหาเกี่ยวกับอาชีพ นี่พระพุทธเจ้าท่านเป็นครูผู้สั่งสอนได้ทั้งแก่มนุษย์และเทวดา ใครจะอยู่อย่างมนุษย์ท่านก็สอนให้ได้เป็นอยู่อย่างมนุษย์ ใครอยากเป็นอยู่อย่างเทวดาท่านก็สอนให้ได้ เมื่อประพฤติตามนั้นแล้วก็ไปอยู่เป็นเทวดา แต่มันก็พักเดียว ชั่วพักชั่วสมัยเท่านั้น แล้วก็จะต้องจุติเป็นมนุษย์อีก แต่ในขณะที่เขายังไม่จุตินี่ก็ต้องแยกเอาไว้อีกพวกหนึ่งเรียกว่า เทวโลก ทีนี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ขึ้นมาท่านสอนคนธรรมดา สอนคนที่ยิ่งเกินกว่าธรรมดา กระทั่งสอนคนชั้นสูง ชั้นราชามหากษัตริย์ ชั้นคนที่เป็นสูงสุด ไม่มีความทุกข์ ไม่มีปัญหาเรื่องอาชีพนี่จบแล้ว มันจบหน้าที่ของท่านแล้ว ท่านก็ยังกลับมาสอนในระดับธรรมดา คนธรรมดาทั่วไปอีก ถ้าพูดอย่างเรื่องที่เขาเขียนไว้ไม่ใช่พระพุทธภาษิต ไม่ใช่มีในพระไตรปิฎกนะ เรื่องนี้ไม่มีในพระไตรปิฎกหรอกที่พระพุทธเจ้าขึ้นไปอยู่กับพวกเทวดาแล้วลงมาในวันนี้ เป็นเรื่องที่เขาเขียนขึ้นชั้นหลัง อธิบายข้อความนี้ให้คนสนใจทำความดีเพื่อไปเกิดในสวรรค์ ในเทวโลก พระพุทธเจ้าประสบความสำเร็จในการสอนพวกเทวดาแล้ว ท่านก็กลับมาสู่มนุษย์บนโลกธรรมดาสามัญ เพื่อให้คนเชื่อว่ามีทั้งเทวโลกและทั้งมนุษย์โลก ถ้าอยากจะอยู่ในเทวโลกก็ต้องปฏิบัติศีลธรรมให้ดีแล้วเราจะได้ไปเกิดในเทวโลก ก็ต้องปฏิบัติธรรมะอย่างที่พูดนี่ ทำไว้ให้ครบถ้วนเถอะแล้วคนนั้นจะไม่มีความทุกข์เลย จะเป็นเทวโลกขึ้นมาได้ อยากจะพูดต่ออีกหน่อยนะว่าถ้าเราคนป่าคนดงคนเยิงอะไรก็ตาม หรือยิ่งสมัยหินได้ก็ยิ่งดี มาเปรียบกับพวกฝรั่งสมัยปัจจุบันที่มันเป็นอยู่กันอย่างเทวดานั้นนะ ดูความแตกต่างสิ จะรู้สึกว่ามันตรงกันข้าม แล้วก็พวกคนป่าคนเยิงคนดอยอะไรนั่นจะรู้สึกว่าเขาเป็นเทวดาแหละ ไม่ใช่อย่างเรา เพราะว่าเราต้องไปขุดเปลือกมัน ไปจับงูจับปลาอะไรมาแทงกินด้วยความยากลำบาก ส่วนพวกเทวดานั่นมีคนมาเสนอเสร็จมาเลย นั่งกินนอนกิน สรวลเสเฮฮาอยู่ ถึงเวลามันก็มีคนใส่ถาดใส่จานมาให้ สวรรค์ชั้นสูงสุดก็เรียกว่า “ปรนิมมิตวสวัตตี” คำนี้แปลว่า คนอื่นเนรมิตให้ครบถ้วน คอยบำรุงบำเรออยู่อย่างครบถ้วน ปรนิมมิตวสวัตตี สวรรค์ชั้นที่ ๖ สูงสุด เป็นชั้นเลิศของสวรรค์ แล้วพระยามารที่มาผจญพระพุทธเจ้าในที่เรื่องผจญมาร มารนี้ก็มาจากสวรรค์ชั้นนี้ พระพุทธเจ้าจะเป็นพระพุทธเจ้าอยู่หยกๆแล้ว มารมาจากชั้นปรนิมมิตวสวัตตีมาทำลายความพยายามของพระพุทธเจ้าให้เลิก ให้เลิกเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้า เขาอธิบายกันง่ายๆ ว่าความรู้สึกระลึกไปถึงความที่มันเคยสบายอย่างพระราชามหากษัตริย์ในราชวัง ทำให้จิตใจรวนเรไปพักหนึ่ง ในที่สุดก็ชนะได้ ก็ตัดสินใจเป็นอย่างฝ่ายเป็นพระพุทธเจ้าเป็นโลกุตตระไปเลย
ให้ลองนึกเทียบดูอีกครั้งหนึ่ง คนป่าคนเยิงคนดอยสมัยหินที่เขาเป็นอยู่อย่างนั้นนะเราก็รู้เรื่องอยู่แล้ว แล้วมาเทียบกับว่าชั้นเศรษฐี ชั้นมหาเศรษฐีอย่างสมัยใหม่ที่สุดที่เขามันจะไม่รู้จักว่ามันจับปลาอย่างไร มีคนคอยบำรุงบำเรออยู่ตลอดเวลา มีความต่างกันอย่างจะตรงข้ามอย่างนี้คือ มนุษยโลกกับเทวโลก พระพุทธเจ้าท่านชนะหมด ท่านสอนได้หมด แล้วก็ไม่ติดอยู่ในสวรรค์ เมื่อสอนคนชั้นสูงสุดชั้นพวกเทวดาเทวโลกเสร็จแล้วก็กลับมาอยู่ในสภาพปกติเพื่อสอนคนทั่วๆไป พระพุทธเจ้ามีพระชนมายุหลังจากที่เป็นพระพุทธเจ้าแล้วนั่น ๔๕ พรรษานะ ๔๕ ปีนะ ท่านไปยุ่งกับพวกเทวดาปีเดียว พรรษาเดียวเท่านั้น ๓ เดือนเท่านั้นนะ แล้วกลับมาหามนุษย์อีก เป็นเรื่องนิดเดียว ท่านก็ประสบความสำเร็จในการสอน ในการช่วยคนชั้นสูงสุดนั่นแหละ แต่ท่านก็ไม่ไปเกี่ยวข้องกับคนเหล่านั้น มาอยู่กับชาวไร่ชาวนา ไม่ไปติดต่ออยู่แต่กับพระราชามหากษัตริย์หรือเทวดาชนิดไหนก็ตาม มาช่วยเหลือชาวนาชาวบ้านยากจนเข็ญใจตามธรรมดาอยู่จนตลอดชีวิตของท่าน ฉะนั้นถ้าให้ตีความว่าเทโวโรหนะลงมาจากเทวโลก ก็คือการที่พระพุทธเจ้าท่านสำเร็จเสร็จกิจในการสอนคนชั้นสูงสุดแล้ว ชั้นเทวดาแล้ว ท่านก็มาอยู่กับคนธรรมดาสามัญ มนุษย์ธรรมดาสามัญอยู่จนตลอดชีวิตของท่าน นี่เป็นเรื่องใจความ นี่เขาพูดให้น่าอัศจรรย์ก็เป็นเรื่องว่าให้มันมีเทวโลกจริงๆ พระพุทธเจ้าท่านสามารถจริงอะไรจริง เราจะได้นับถือพระพุทธเจ้ามากขึ้น แล้วคนอยากจะไปอยู่ในเทวโลกก็อุตส่าห์ทำบุญทำกุศล ปฏิบัติชนิดที่จะให้ไปอยู่ในสวรรค์ก็ได้ เรื่องเป็นอย่างนี้ มันก็มีคนดีทางศีลธรรม อย่าไปคัดค้านเขา อย่าไปยกเลิกเรื่องนี้ของเขา มีไว้สำหรับคนระดับหนึ่งซึ่งเขาจะได้อยากเป็นเทวดาก็จะประพฤติดีมีศีลธรรม ในที่สุดอย่าลืมว่าแม้เทวดาเขาต้องตาย แม้เทวดาก็จะต้องเปลี่ยนแปลง เราก็ไม่ได้ติดใจในความเป็นเทวดา จะลองดูบ้างครั้งๆคราวก็ได้ แต่ก็ไม่พ้นไปจากความเกิดแก่เจ็บตาย นี่เรื่องลงจากเทวโลกในวันออกพรรษาเป็นอย่างนี้ เป็นการสอนศีลธรรมอย่างแน่นแฟ้น
ในประเทศอินเดียเขามีที่ ที่ที่ถือกันว่าพระพุทธเจ้าลงจากสวรรค์ตรงนั้นเลย เรียกว่าตำบลสังกัสสะ หรือหินสลักที่จารึกภาพเป็นรูปภาพพระพุทธเจ้าลงจากดาวดึงส์ก็ทำขึ้นแล้ว เสร็จแล้ว ราวพ.ศ.สี่ห้าร้อยก็มีหินสลักภาพนี้กันแล้ว เชื่อมั่นอย่างแน่นแฟ้นในประเทศอินเดียแล้ว หินสลักภาพนี้เราจำลองเอาไว้ที่นี่ สนใจก็ไปดูได้ อยู่ที่ที่โรงหนังด้านทางฝ่ายโน้น ที่มีบันไดลงมาจากสวรรค์สองสามแบบ แบบเมืองสาญจีก็มี แบบเมืองภารหุตก็มี เพื่อให้คนมีศีลธรรมแน่นแฟ้น ไม่สงสัยไม่ลังเล ไม่สอบถามไม่อะไรหมด อยากจะมีศีลธรรม ประพฤติศีลธรรมอย่างสุดชีวิตจิตใจ เพราะฉะนั้นชาวอินเดียมันจึงมีศีลธรรมแน่นแฟ้นมาก จนเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ค่อยคลาย เอ้า ไหนๆพูดแล้วก็พูดต่อไปอีกได้ ประเทศอินเดียจนกระทั่งวันนี้ยังมีศีลธรรมแน่นแฟ้นถึงขนาดที่เขาจะพูดว่าเป็นขอทานดีกว่าขโมย เป็นขอทานดีกว่าเป็นขโมย เมื่อเราไปเองนี่พบตั้งหลายหนหลายคน บางทีก็ชวนพูดก็ถามอย่างนั้นว่าทำไมคุณไม่ขโมย เราพร้อมที่จะให้คุณขโมย เขาบอกขอทานดีกว่าเป็นขโมย เพราะฉะนั้นไม่ขโมย มันจริงอย่างนั้นนะ มันหาขโมยทำยายากในอินเดีย นานๆจึงจะมีเรื่องขโมย โดยทั่วไปมันยอมเป็นขอทาน ฉะนั้นขอทานมันเต็มไปหมด ขโมยหาทำยายาก ผิดกับเมืองไทย มีขโมยเต็มไปหมด ขอทานก็มีแต่ยังไม่มากเท่าอินเดีย อย่างในเมืองหลวงมันก็ยังเต็มไปด้วยขโมย อย่างที่อินเดียแม้ในป่า เขาไปเที่ยวดูสถานที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ในป่าในที่เปลี่ยวนะ เรายังไม่ถูกแย่งชิงไม่ถูกขโมย หนักเข้าเรายังกล้าให้เด็กๆคนหนุ่มที่อยู่ในแถวนั้นในบ้านป่านั้นนะช่วยถือ ถือกล้องถ่ายหนัง ถือกล้องถ่ายรูป ช่วยถืออะไรต่างๆนี่ อย่างที่เมืองไทยเราจะไม่กล้า กลัวมันจะพาวิ่งหนีไปเสีย ที่นั่นมันกลับกล้า คนที่เขาไปก่อนๆนี่เขาไว้ใจเลย เราไปทีหลังเราว่าทำไมทำอย่างนั้นล่ะ เดี๋ยวมันพาวิ่งหนีไปเสียว่ายังไง เขากลับหัวเราะเรา เพราะเขาไม่เคยถูก นี่ขอทานดีกว่าเป็นขโมย ทำไมรู้สึกอย่างนั้น เพราะศีลธรรมมันถูกฝังแน่นลงไปในสายเลือดหลายศตวรรษมาแล้ว นี่ความเชื่อเรื่องบุญเรื่องบาป เรื่องนรกเรื่องสวรรค์นี่มันดีอย่างนี้ ทำให้คนเขามั่นอยู่ในศีลธรรมได้ ทีนี้พอเราเลิกเรื่องนี้เราก็มีแต่อาชญากรทุกประการทุกประเภท ถึงเดี๋ยวนี้ก็เถอะ ถ้าไม่กลับไปหาศีลธรรมกันใหม่ก็ยังจะต้องเดือดร้อนอยู่อย่างนี้ เรื่องเกี่ยวกับอาชญากรรมทั้งหลาย จึงเป็นการถูกแล้วที่ว่าเขามีแผนการมีนโยบายมีอะไรมากมายที่จะให้คนยึดแน่นในศีลธรรม จึงสร้างเรื่องสวรรค์เรื่องขึ้นสวรรค์เรื่องลงสวรรค์อย่างพระพุทธเจ้านี้ขึ้นมา และยังมีอีกมากเหลือเกินที่เป็นอุปกรณ์สำหรับทำให้คนยึดมั่นแน่นแฟ้นในเรื่องนรกสวรรค์ เรื่องศีลธรรม ฉะนั้นเราไม่เลิกเรื่องนี้ เอ้า มีปัญหาอะไรอีก เวลายังมีพอจะถามได้อีกปัญหา ๒ ปัญหา
นักศึกษา : อาจารย์ครับ ทำไมมารถึงผจญพระพุทธเจ้าครับ
ท่านพุทธทาสภิกขุ : นี่เรื่องเดียวกันนะ เรื่องต่อกันกับเรื่องนรกสวรรค์ มารไม่ได้ผจญแต่พระพุทธเจ้า ผจญทุกๆคนตามมากตามน้อย ตามสูงตามต่ำ คือความรู้สึกที่ดึงไปในทางต่ำ ดึงไปในทางที่จะให้พินาศในที่สุดเขาเรียกว่ามาร เมื่อคนเราเกิดความรู้สึกอย่างนี้ ก็คือมารมาผจญดึงไปในทางต่ำ ความรู้สึกอย่างนี้มันก็ไม่รู้ว่าจะเขียนรูปภาพอย่างไร หรือจะเปรียบกับอะไรดี ก็เลยตั้งเปรียบกับมาร เปรียบกับยักษ์กับมารดุร้ายทำลาย พระพุทธเจ้า เป็นถึงขนาดพระพุทธเจ้าก็ยังมีมารขนาดสูงสุดที่จะผจญพระพุทธเจ้า ก่อนแต่ที่จะเป็นพระพุทธเจ้า พอหลังจากที่ท่านเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว มารก็ไม่อาจจะผจญท่านอีกต่อไป แม้จะมารบกวนบ้างก็ท่านก็รู้เสียว่ามารก่อนหน้านั้นไม่มีความหมายอะไร เมื่อครั้งจะตรัสรู้ใหม่ๆนั่นหวุดหวิดถึงกับมารมาผจญได้ ท่านจิตหวั่นไหวชั่วขณะหนึ่ง แล้วท่านก็ชนะมาร ชนะมารก็เป็นพระพุทธเจ้า ต่อจากนั้นมารไม่มีทางที่จะผจญท่านอีก คือความคิดฝ่ายต่ำ ฝ่ายกิเลสนี้ไม่สามารถจะรบกวนท่านได้อีก ก็เหลือแต่พวกเรานี่ รู้จักมารไว้ให้ดีๆ ความคิดที่จะดึงไปในทางเสื่อมเสียนั่นเรียกว่า มาร มันเป็นนามธรรม เขาจะให้เขียนรูปความรู้สึกอันนั้นจะเขียนว่าอย่างไร จะเขียนรูปร่างอย่างไร ก็ต้องเขียนเป็นยักษ์เป็นมาร นี่ถ้าต้องเขียนภาพก็เขียนภาพเป็นมาร แต่ตัวแท้ก็มันก็ความรู้สึกฝ่ายต่ำที่จะดึงไปหาฝ่ายต่ำ นี่เราก็ไม่ถึงกับขนาดเป็นพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเราอย่าประมาท มารมันจะลากเราไปสู่อำนาจของมัน ขอให้ทุกๆคนระวังสิ่งที่เรียกว่ามาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ กิเลสนะ ความรู้สึกฝ่ายต่ำ ความรู้สึกที่ชั่วที่จะดึงไปฝ่ายต่ำแล้วก็ไปสู่ความเสื่อมนั้นเรียกว่ามาร แปลว่า ผู้ฆ่าให้ตาย ความดีมีเท่าไรมันก็ทำลายหมด ฆ่าตายหมด นี่เขาเรียกว่ามาร กระทั่งชีวิตก็เอาไปอย่างนี้ก็เรียกว่า มาร ทำไมมารจึงผจญพระพุทธเจ้า มันก็แม้ไม่ใช่พระพุทธเจ้ามันก็ผจญอยู่ ผจญอยู่ จนกระทั่งหวุดหวิดจะเป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ยังเกิดขึ้นมาผจญกระทั่งสุดท้าย นี่ปัญหาเหลืออยู่ที่พวกเรานี่ ระวังมารกันให้ดีๆ มารในการเล่าเรียน มารในการประกอบอาชีพ แล้วมารในการดำรงตนอยู่อย่างปลอดภัยนี่ ไปรู้เอาเองก็ได้ มารชนิดไหนบ้าง เอ้า มีปัญหาอะไรอีก ถ้าอยากรู้ละเอียดเรื่องนี้มันก็มีเรื่องมากนะ เราพูดกันแต่เรื่องมารดุร้ายที่จะทำให้ตาย ทำให้ฉิบหายในความหมายรวมๆกันไป แต่ถ้าว่าจะให้แจกเป็นละเอียดแล้วมันมีมาก มากมาย นอกจากกิเลส กิเลสมารแล้วมันยังมีธรรมชาตินี้ก็เป็นมาร เช่น ร่างกายนี้ก็เจ็บไข้เรื่อย มันจะตายอยู่เรื่อยนี่ก็เป็นมาร เพราะความคิดที่ชั่วที่ว่าคิดไม่เข้ารูปเข้ารอยนี้ก็เป็นมาร ผลกรรมแต่หนหลังก็เป็นมาร กระทั่งว่าเทพบุตรก็เป็นมาร คือพวกเทวดาที่มีจิตใจเลวทรามนั่นนะก็คอยกลับมาทำเป็นผู้ขัดขวาง คนที่สบายแล้วกลับมาทำเป็นผู้ขัดขวาง เดี๋ยวพูดไปก็ไปออกนายทุนอีกแล้ว อย่าพูดดีกว่า มีปัญหาอะไรอีกว่ามา
นักศึกษา : ผมอยากจะทราบประวัติและสาเหตุการสร้างสวนโมกข์นี่ครับ
ท่านพุทธทาสภิกขุ : นี่ปัญหาออกไปนอกวงแล้ว ไม่ใช่ปัญหาธรรมะนะนี่ ปัญหาเรื่องการสร้างสวนโมกข์ ก็ได้ ถ้ามันไม่มีปัญหาอื่นแล้ว สวนโมกข์เกิดขึ้นเมื่อปี ๒๔๗๕ ปีเดียวกับเปลี่ยนการปกครอง แล้วเรายังแก่กว่า ๑ เดือน สวนโมกข์นี่แก่กว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๑ เดือน พอเราทำสวนโมกข์ขึ้นได้สัก ๑ เดือนก็มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทีนี้ความมุ่งหมายก็เกือบจะคล้ายๆกันแหละ การมีสวนโมกข์นี่ก็เพื่อจะปฏิวัติแก้ไขสิ่งที่มันไม่ค่อยจะถูกต้องให้มันเข้ามาถูกต้อง แล้วก็ส่งเสริมความถูกต้อง การศึกษาเล่าเรียนธรรมะนี่มันมีความหมายคล้ายๆกันนะ มันแต่เพียงระบบจิตใจ เปลี่ยนแปลงระบบจิตใจ แก้ไขระบบจิตใจให้มันดีขึ้น ก็เลยจำง่ายว่ามันปีเดียวกับเปลี่ยนการปกครอง เนื่องจากว่ามันไม่รู้จะทำอะไรดี ในตอนนั้นนะ ไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพ ไปปีกว่าๆมันก็เบื่อ ไม่ชอบ ไม่รู้จะทำอะไรดี ก็เลยมาคิดถึงว่าเราจะศึกษาของเราเอง มีสถานที่สำหรับให้ความสะดวกที่สุดเพื่อศึกษาค้นคว้าของเราเอง จะส่งเสริมความถูกต้องในการปฏิบัติธรรม สวนโมกข์มันจึงเกิดขึ้นในปีนั้นที่ตำบลพุมเรียง ไปดูกันหรือเปล่า จากนี้ไปราว ๑๐ กิโล จากตลาดไปอีก ๖ กิโล อยู่ที่ตำบลพุมเรียง เรียกว่าสวนโมกขพลาราม ทีแรก อยู่ได้ ๑๐ กว่าปีจึงมาที่นี่ เพราะที่นี่มันสะดวกกว่า กว้างขวางกว่า สวยงามกว่าอะไรกว่าเลยย้ายสวนโมกข์มาที่นี่ เมื่อมีสวนโมกข์ใหม่ๆก็มีแผนการลงดำเนินการที่จะส่งเสริมรื้อฝืนกิจการในพระพุทธศาสนา ในปี ๗๖ ก็ออกหนังสือพิมพ์พุทธศาสนาขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือของสวนโมกข์ ในการติดต่อ ในการปรับปรุง หนังสือพิมพ์พุทธศาสนาก็ยังออกมาจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็ยังออกอยู่ ออกในปี ๗๖ ทางค้นคว้าก็มี ค้นอะไรได้ก็เอามาเผยแผ่ในหนังสือพิมพ์พุทธศาสนา พอมากเข้าๆ พิมพ์เป็นหนังสือเล่มก็มี เราชอบคำว่า “โมกข์” ก็แปลว่า เกลี้ยง เกลี้ยงจากความทุกข์ เกลี้ยงจากกิเลส เกลี้ยงจากสิ่งที่มันไม่ดี เช่นสนิมอันนี้ถ้ามันเกิดขึ้นแล้วมันคือไม่เกลี้ยง ให้มันเกลี้ยงเสียจากสนิม ให้จิตใจมันเกลี้ยงจากกิเลส คำนี้เขาเรียกว่าโมกข์ เอาคำนี้เป็นหลัก ให้หลุดพ้นให้เกลี้ยงเสียให้หลุดเสียจากสิ่งสกปรกเศร้าหมอง เติมคำว่าพละเข้าไปแปลว่ากำลัง โมกขพละแปลว่ากำลังแห่งโมกข์ เพราะอารามนี่เป็นชื่อของป่าไม้ อารามแปลว่าป่าไม้ที่จัดไว้ให้ร่มรื่น โมกขพลารามแปลว่า ป่าไม้ที่เป็นกำลังของโมกขะคือพ้นทุกข์ ใช้ประโยชน์จากสถานที่อย่างนี้ไปช่วยให้ศึกษาง่าย ปฏิบัติง่าย เข้าใจง่าย ธรรมชาติช่วยมาก จนกระทั่งย้ายมาที่นี่ก็ยังมีหลักการเดิม แต่เพิ่มสิ่งอุปกรณ์มากขึ้น เช่นตึกโรงหนัง หรือว่าอะไรต่างๆที่ที่โน่นไม่มี นี่คืออุปกรณ์สำหรับช่วยให้มันโมกข์ไปพร้อมๆกันมากๆ ใครมาก็จะได้อาศัยฟัง ศึกษา เกิดความรู้ความเข้าใจ แม้ที่สุดแต่ธรรมชาติอย่างนี้มันก็ช่วย ลองมานั่งในท่ามกลางธรรมชาติอย่างนี้อย่างที่กำลังนั่งอยู่เดี๋ยวนี้ จิตใจมันจะไปแต่ในทางเกลี้ยง ถ้าเข้าไปในย่านตลาด ในโรงหนังโรงละครมันก็ไม่เกลี้ยง มันก็ยุ่งเหยิง พอมานั่งกับก้อนหินมันก็เกลี้ยง หรือมันเย็นหยุดไปอย่างก้อนหิน ต้นไม้มันก็เย็นหยุดอยู่อย่างต้นไม้ เรามานั่งอยู่ในบรรยากาศที่เย็นที่หยุด มันก็โมกข์ง่าย เป็นตัวอย่างเล็กๆน้อยๆขึ้นมาโดยง่าย ถ้าเราจับเท้าเงื่อนนี้ได้แล้วก็ทำต่อไปๆ ก็โมกข์มากขึ้นๆกว่าจะถึงที่สุด นี่เรื่องสวนโมกข์มันมีใจความย่อๆอย่างนี้ แล้วมันมีบังเอิญที่ว่า ที่โน่น สวนโมกข์นู้นก็ดี สวนโมกข์นี้ก็ดี มีต้นไม้มีอยู่ ๒ ชนิดเรียกว่าต้นโมกข์ ใกล้ๆที่พักนั่นมีหลายต้นนะต้นโมกข์ แล้วก็มีอีกต้นเรียกว่าต้นพลา นี่เช่นต้นนี้คือต้นพลา โมกขพลา โมกขพะลา นี่เป็นบาลีโกง แปลเอาว่าง่ายๆ โมกข์ต้นโมกข์ พลาต้นพลา ชาวบ้านเขาว่ามันมีต้นโมกข์ต้นพลา ก็เลยเรียกว่าสวนโมกขพลาราม โดยชื่ออย่างชาวบ้านเขาก็รู้ว่ามันมีต้นโมกข์ ต้นพลา แต่ความหมายทางธรรมะนี่เป็นกำลังแห่งโมกขะ ต้องมานั่งให้สงบ เอาแวดล้อมให้สงบ มีความคิดนึก ก้าวหน้าไปในทางของธรรมะได้ง่าย เป็นกำลังแห่งโมกขะ ฉะนั้นที่มากันทุกคนที่นี่คราวนี้ขอให้เข้าใจเรื่องนี้ ความหมายของคำว่าสวนโมกข์ พอมานั่งกันตรงนี้แล้วธรรมชาติมันช่วยทันที ช่วยให้จิตใจเกลี้ยง เพราะฉะนั้นควรจะมีจิตใจเกลี้ยงตามที่มันจะทำได้ เพราะเรามานั่งอยู่ในท่ามกลางธรรมชาติอย่างนี้ที่เรียกว่าเป็นกำลังแห่งโมกข์ แล้วก็รู้ต่อไปว่าพอเรามานั่งอย่างนี้จิตใจประเภทตัวกูของกูมันระงับไป จิตใจที่มันว่างจากตัวกูของกูมันก็มีขึ้นมา นั่นนะคือตัวธรรมะ ธรรมะแท้ ว่างจากตัวกูของกู ไม่เป็นกิเลส เป็นธรรมะแท้ ฉะนั้นเมื่อมานั่งตรงนี้แล้วให้สบายใจอย่ามองให้มันสบายใจเฉยๆ มองไปตามธรรมชาติอย่างนี้เอง ก็ถูกแล้ว อย่างนี้เอง แต่ให้ได้ความเข้าใจสักอย่างหนึ่งว่าที่อย่างนี้เองน่ะคือว่า ธรรมชาติมันไม่ยอมให้เกิดความคิดประเภทตัวกูของกูที่เป็นกิเลส ธรรมชาติเหล่านี้มันมีอิทธิพล บรรยากาศเหล่านี้มันมีอิทธิพลบังคับจิตให้อยู่ในสภาพที่ว่างจากตัวกูของกู เว้นไว้แต่กรณีพิเศษที่คนมันไม่ปล่อยให้ธรรมชาตินี้ปรุง แวดล้อมนั้นมันก็วุ่นวายได้ ฉะนั้นมานั่งตรงนี้อาจจะวุ่นวายก็ได้เป็นกรณีพิเศษ แต่กรณีธรรมดาแล้วมันจะช่วยให้ว่าง ให้เกลี้ยง ให้หยุด ให้เย็น ก็เลยเรียกว่ากำลังแห่งโมกขะ ถ้าได้พบความเย็นความว่างนี่บ้างแล้วก็ไปศึกษาเสียเลยว่า อ้าว มันไม่มีตัวกูของกู ฉะนั้นข้อปฏิบัติธรรมะทั้งหมดทั้งสิ้นในพุทธศาสนานี่ปฏิบัติเพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกประเภทตัวกูของกูอะไรทั้งนั้นคือกิเลสทั้งนั้น แล้วก็ได้ผลเป็นธรรมะ เป็นมรรคผลนิพพาน เราก็เลยรู้จริง รู้ดีกว่าการอ่านหนังสือนะ ศึกษาด้วยใจจริง รู้จักจากใจจริงนี่ดีกว่าการอ่านหนังสือมาก ฉะนั้นอย่าให้เสียที ขอร้องว่ามาแล้วก็ให้ได้ให้มากที่สุด ให้สมกับว่าเป็นวิศวะ ทำได้ทุกอย่าง รู้ทุกอย่างที่ควรจะรู้ได้ อะไรๆที่มีประโยชน์แล้วเก็บไปให้หมดเลย จะสมกับคำว่าทุกอย่าง วิศวกรรม หรือวิศวกร เขาทำได้ทุกอย่าง สร้างได้ทุกอย่าง มีได้ทุกอย่าง รวมไว้ได้ทุกอย่าง
๙ แล้ว ๓ ทุ่มแล้ว จะปิดประชุม เหนื่อย เหนื่อยกันนัก ไปพักไปนอน นี่ ๙ พอดี