แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในวันนี้เราจะได้เริ่มพูดแบบที่เรียกว่า ธรรมะปาฏิโมกข์กันอีก คุณคงจะฟังประหลาดว่ามันคืออะไรที่เราพูดว่า ธรรมะปาฏิโมกข์นี่มันไม่เคยมีใครพูด แต่มันเป็นคำที่เป็นหลักและมีประโยชน์ เขามีแต่พูดกันแต่วินัยปาฏิโมกข์อย่างที่คุณไปลงมาแล้วเมื่อตะกี้นี้ สำหรับวินัยปาฏิโมกข์อย่างที่ไปลงมาเมื่อตะกี้นี้ก็หมายถึง ปาฏิโมกข์ทางวินัย คำว่าปาฏิโมกข์นั้นแปลยาก ตามความรู้ของผมแปลว่า หลักที่เด่นขึ้นมาเป็นหลักๆ ถือเอาตามความหมายก็คือว่า วินัยมีมากตั้งหลายร้อยหรือตั้งพัน ถ้านับโดยสิกขาบทมีตั้งพันที่เอาแต่ที่เป็นหลักๆ สำคัญๆ ได้เพียง ๒๒๗ ข้อ ๒๒๗ หลัก ดูทีหนึ่งมันก็เหมือนหลักกรุย คือมีเป็นหลักที่ติดต่อกันไปเนื่องกันไปว่ามันต้องกรุยอย่างนี้ ให้เดินไปตามกรุยอันนั้นจะเอามาหมดไม่ไหว ก็เลยเอามาแต่เพียง ๒๒๗ ในพันข้อเห็นจะได้ ที่สวดปาฏิโมกข์ เอาปาราชิกขึ้นมาก่อนแล้ว สังฆาทิเสสแล้ว ปาจิตตีย์ไปตามลำดับนี้เป็นเรื่องจัดทีหลัง ตัวครั้งแรกวินัยไม่ได้เกิดขึ้นมาอย่างบัญญัติปาราชิก สังฆาทิเสส เป็นลำดับไปอย่างนี้ วินัยเกิดขึ้นมาตามเหตุการณ์ที่ได้เป็นไปจริง คือเมื่อพระสาวกออกไปเผยแผ่พระศาสนาทำให้มีคนเข้ามาบวชมากขึ้น ปัญหาแรกก็คือ ปัญหาที่จะอยู่กันอย่างไร จะปฏิบัติต่อกันอย่างไร นี่ก็เรียกว่า วัตร(วัด-ตะ-ระ) วัตรที่จะปฏิบัติต่อประชาอาจารย์ ต่อเพื่อนฝูง ต่อสิ่งของ ต่ออะไรต่างๆ ให้มันสมกับที่เป็นพระนี่ วินัยเหล่านี้เกิดขึ้นก่อนมากมายหลายปีจนก่อนจะเกิดเรื่องถึงขนาดที่เป็นปาราชิก สังฆาทิเสสอะไรขึ้นมา รวมกันทั้งใหญ่ทั้งเล็กทั้งขนาดกลางมันต้องสักพันสิกขาบทเห็นจะได้ พอจะต้องทำปาฏิโมกข์มาฟังพร้อมๆกันเป็นหลักๆ นี่เอามาเพียง ๒๒๗ จึงเห็นได้ว่าเหมือนกับหลักใหญ่ๆปักไว้สัก ๒๒๗ ดุ้น เหมือนเมื่อเขาเปลี่ยนการปกครองใหม่ๆ ก็ใช้กันว่าหลัก ๖ ประการอย่างนั้นน่ะ
มันเป็นหลักที่วางไว้เป็นหลักสำหรับให้ข้อปลีกย่อยมันจะได้มาเกาะมาอาศัย เราจึงกล่าวได้ว่า สิกขาบทเล็กๆ น้อยๆ พวกอภิสมาจารมันยากนั้น มันมาสงเคราะห์รวมกันได้กับข้อใหญ่ๆที่เรียกว่าตัวปาฏิโมกข์ ๒๒๗ ข้อทั้งนั้น ฉะนั้นขอให้คุณหลับตาเห็นปาฏิโมกข์นั่นคือหลักเป็นดุ้นๆ ที่สำคัญๆ ปักไว้ ๒๒๗ ดุ้น ถ้าว่าตามพระบาลีแท้ๆ มีเพียง ๑๕๐ คือ เสขิยาวัตร ๗๕ กับ ปาฏิเทสนียะ ๔ มิได้มีมิได้รวมอยู่ พิจารณาดูก็เห็นได้จริงว่าเป็นอย่างนั้นเพราะว่า เสขิยวัตร ๗๐ นี่มันเป็นเรื่องเบ็ดเตล็ดเอาออกไปได้ และปาฏิเทสนียะก็เป็นเรื่องที่ไม่แน่คือ อนิยต ๒ มันเป็นเรื่องที่ไม่แน่เหลือเพียง๑๕๐ ถูกแล้ว เมื่อกี้อนิยต ๒ กับ เสขิยวัตร ๗๕ เอาออกไปเสีย ๗๕ กับ ๒ ๗๗จึงเหลือ๑๕๐ ยังมีพระบาลีว่าสิกขาบททั้งหลาย ๑๕๐ ที่มาสู่ เทศน์ทุกหนึ่งเดือน กระทั่งพุทธกาลแท้ๆไอ้หลักดุ้นๆในพระวินัยมี๑๕๐ดุ้น เดี๋ยวนี้เราเพิ่มๆขึ้นเป็น๒๒๗ นี่คือปาติโมกข์
ขอให้หลับตามองเห็นภาพว่าคำว่าปาติโมกข์นั้นคืออะไร ทีนี้ปาติโมกข์ในส่วนวินัย อย่างที่เราทำไปแล้ว นี่ผมเองเห็นว่าควรจะมีปาติโมกข์เกี่ยวกับ พระธรรมซึ่งเป็นคู่กันกับพระวินัย พระศาสนาแบ่งเป็นสองส่วนคือส่วนพระธรรมกับส่วนพระวินัย นี่มันตอนแรก โดยพระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนี้ คือธรรมะและวินัย แล้วจึงอยากจะมีปาติโมกข์ส่วนธรรมะ แล้วทีนี้มันจะมีอะไรมียังไงก็มีอย่างเดียวกับวินัยปาติโมกข์ คือมีหลักดุ้นๆๆใหญ่ๆ ปักไว้เป็นหลักเป็นดุ้นๆ สำหรับจะได้ศึกษาแม่นยำจดจำไว้ เป็นที่อาศัยของปัญหาปีกย่อยทั้งหลาย แต่ผมไม่อาจจะบอกได้ว่ามันจะมีสักกี่หลัก กี่สิบหลักไม่เหมือนกับพระวินัยที่มันเป็นที่ยุติแล้วมี๑๕๐หลัก ในสมัยพุทธกาล และมี๒๒๗หลักในสมัยปัจจุบันนั้น ๒๒๗หลักสมัยปัจจุบันดังนั้นผมพูดไปตามที่นึกได้ก็แล้วกัน ว่ามันมีหลักอะไรบ้างที่เป็นหลักใหญ่ๆสำหรับพระธรรมแล้วก็เอามาพูด สองสามปีทีแล้วมาก็เคยพูด เห็นว่าไอ้หลักใหญ่ที่สุด สำคัญที่สุด นั้นก็คือหลักไม่ยึดมั่นถือมั่นนั้นตัวตน โดยพูดเรื่องนี้เสียสักปีสองปี แต่เดี๋ยวนี้ผมเกิดความคิดใหม่ว่าเราจะพูดในรูปแบบ อย่างวินัยปาติโมกข์ เอาหลักใหญ่ๆมาพูด ให้ทั่วๆไปทุกๆหลักให้สะดวกแก่การศึกษาจดจำและเอาไปใช้เป็นประโยชน์ในอนาคตด้วยแม้ว่าจะลาสิกขาออกไปเป็นฆราวาสแล้วก็ยังใช้ได้มันจึงได้เป็นหลักใหญ่ๆสำหรับพระพุทธศาสนานั้นเองก็เรียกว่าธรรมปาติโมกข์
ซึ่งก็ได้พูดกันวันนี้เป็นวันแรกสำหรับชุดนี้ ก่อนนี้เคยพูดกันหน้าบนหน้ามุกบนหินอ่อน รู้สึกว่ามันยังไกลต่อเจตนารมณ์ ของความเป็นบรรพชิต พระพุทธเจ้าท่านก็ประชุมสงฆ์ ทำสังฆกรรมบนพื้นดิน ไม่มีหลังคาฝนตกต้องเลิก แล้วก็บนพื้นดินตรงไหนที่มันสะดวกจะนั่งกันได้เป็นวงกว้างพอแล้วฟังกันได้ถนัดโดยไม่ต้องมีเครื่องขยายเสียง แต่ถ้าว่าที่จริงสังฆกรรมนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับการใช้สิทธิของสงฆ์เป็นเรื่องทางวินัย มันจึงเกี่ยวกับขอบเขตของสิทธิ คือว่าภิกษุอยู่ในขอบเขตเท่าไรที่จะจำเป็นจะต้องมาร่วมประชุม มันก็จึงสมมุติสิ่งที่เรียกว่า สีมา เช่น สมมุติ สีมาทั้งเมืองไชยาเป็นหนึ่งสีมาไรอย่างนี้ พระทั้งเมืองไชยาจะต้องมาร่วมประชุมจึงจะเป็นอันประชุมอย่างนี้เป็นต้น นั้นเป็นเรื่องวินัยแล้วนี่เราเป็นเรื่องธรรมะไม่ต้องเกี่ยวกับสีมา ไม่ต้องเกี่ยวกับระเบียบอย่างนั้น เอาแต่ว่าให้ได้สะดวกที่จะฟังสิ่งที่ควรจะได้ฟังและเห็นว่านั่งกันกลางดินอย่างนี้มันทำให้ระลึกนึกถึงอารมณ์หรือบรรยากาศในสมัยพระพุทธกาลได้ง่าย ว่าที่จริงท่านทำกันกันอย่างเป็นธรรมชาติ ธรรมดาที่สุดไม่ได้ทำอย่างสมาคมมีเกียรติใหญ่โตระโหฐานยกป้ายเหมือนอย่างเดี๋ยวนี้ ความจริงท่านจะทำกันอย่างเดี๋ยวนี้ที่เรียกกันว่าแก๊งค์อะไรอย่างนั้นอย่างมากกว่า คือทำไม่ได้โฆษณาอึกทึกครึกโครมคราม ไม่ได้ทำอย่างครึกครื้น ไม่ได้ทำอย่างที่เรียกว่าจะเอาหน้าเอาตา เพียงแต่ทำเอาเนื้อหาจริงๆ ฉะนั้นเราก็ควรจะคิดอย่างนั้น ฉะนั้นคราวนี้ผมก็เลยคิดลองนั่งกลางดินกันดูบ้างเผื่อจะเกิดอารมณ์อันใหม่จะเกิดหรือไม่เกิด ก็คงจะรู้แก่จิตใจของคุณอยู่เองได้เอง ผมขอนั่งอย่างนี้โดยถือเอาประโยชน์พิเศษสักหน่อย เพราะไม่ค่อยสบายก็ยกประโยชน์ให้แก่คนป่วย ที่เรานั่งอย่างนี้ นั่งพับขาเดี๋ยวก็เกิดขัดข้องเรื่องเลือดลมขึ้นมาอีกเดี๋ยวจะพูดไม่ได้ขึ้นมาก็ได้และเป็นอันว่าในเรื่องธรรมะปาติโมกข์นั้นก็จะพูดถึงหลักที่สำคัญเป็นหลักๆดุ้นๆที่ปักไว้เหมือนกับหลักกรุยทางของพระธรรมในพระพุทธศาสนา
ทีนี้ก็มาถึงเรื่องที่ว่าเรามาถึงปัญหาที่ว่าจะพูดเรื่องอะไรก่อน ในวันแรกนี้ผมคิดว่าจะพูดถึงเรื่อง พระรัตนตรัยฟังดูแล้วมันออกจะเป็นการกระทำ ตามแบบฉบับหรือตามธรรมเนียมอยู่สักหน่อย ธรรมเนียมว่าเมื่อจะพูดถึงศาสนาก็ต้องพูดเรื่องพระรัตนตรัยกันก่อน เช่นรับสมาคมก่อนอะไรอย่างนี้เป็นต้น แต่ผมไม่ได้มุ่งหมายที่จะพูดโดยอาศัยหลักตามธรรมเนียมอย่างนั้นจะพูดโดยอาศัยเหตุผลที่มากกว่านั้น ก็ขอให้กำหนดจดจำเอาไปใช้เอาไปเป็นประโยชน์ให้ได้ ที่จริงผมควรจะใช้คำที่เป็นกลางระหว่างศาสนาด้วยซ้ำไป ถ้าเราใช้คำว่าตรีรัตน หรือ รัตนตรัย มันก็มีใช้กันอยู่ในวงพุทธศาสนาสิ่งที่คล้ายกันนั้นหรืออย่างเดียวกันนั้นในศาสนาอื่นเขาก็เรียกอย่างอื่นเช่นในศาสนาฮินดู ในประเทศอินเดีย เขาก็เรียกว่าตรีมูรติซึ่งแปลว่าหลัก สามหลักหรือว่าเป็นพระเจ้าสามองค์ก็เหมือนกัน ตรีมูรติ ที่เป็นของศาสนาคริสเตียน รวมทั้งศาสนายิว และที่มันเนื่องกัน เรียกๆรวมกันว่าศาสนาของพวกเซเมติก คือหมายถึงพวกยิวทั้งหมดและพวกอาหรับตอนตะวันออกกับตะวันตกเฉียงใต้ ทั้งประเทศอาหรับนั้นเป็นเครือเดียวกันหมดเรียกว่าพวกเซเมติก ศาสนาของพวกเซเมติกนี้ก็มีไอ้สิ่ง ที่เป็นสามอย่างนี้เหมือนกัน ถ้าจะเรียกกันเป็นภาษาอาหรับหรือภาษายิวอย่างไรผมก็ไม่ทราบ แต่ที่ทราบคือที่เขาเรียกกันใหม่กันสากลซึ่งเรียกว่า ตรีนิตี้ ตรี สาม นิตี้ ภาวะ ตรี ตรี ภาวะสาม เดี๋ยวนี้ก็แปลกันในประเทศไทยเรียกว่า ตรีเอกานุภาพ อานุภาพสามอย่าง ซึ่งรวมเป็นหนึ่งมันก็คือ สาม สามอานุภาพนั่นเอง เขาเรียกกันว่าสามอานุภาพ ในบ้านเราเรียกว่าแก้วสามดวงหรือพวกฮินดูจะเรียกว่าพระเจ้าสามองค์ นี่ขอให้เข้าใจเป็นหลักในเบื้องต้นสักทีหนึ่งก่อนว่า ทุกศาสนาจะมีหลักสำคัญในฐานะเป็นหัวใจในฐานะเป็นหลักเกณฑ์ ในฐานะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือในฐานะอย่างอื่นอีกก็ได้ ก็มีอยู่เรื่องหนึ่งล้วนแต่เป็น สามตรงกันหมดอย่างน่าอัศจรรย์ อย่างคริสเตียนก็มีตรีเอกานุภาพ พระบิดา พระจิต พระบุตร อย่างฮินดูก็มีตรีมูรติ มี พระพรหม พระนารายณ์ พระอิศวร คือพระเจ้าผู้สร้าง พระเจ้าผู้ควบคุม พระเจ้าผู้ทำลายล้าง ไอ้เราก็มีตรีรัตน ตรีรัตน สามมีพระพุทธเจ้า มีพระธรรม มีพระสงฆ์ นี่ขอให้เข้าใจไว้เป็นหลักพื้นฐานชั้นหนึ่งก่อนว่าทุกศาสนามีตรีเอกานุภาพก็แล้วกัน ยืมคำของ คริสเตียนมาใช้สะดวกกว่า คือมีสิ่ง สิ่งสามสิ่งซึ่งรวมเป็นสิ่งเดียว คุณมีความรู้ทางภาษายังไงก็เอาไปพูดเอาเองก็ได้ แต่นี่เรายืมคำของพระที่ใช้กันในหมู่คริสเตียนมาใช้ว่าตรีเอกานุภาพ ตรงกับภาษาพุทธเราว่าตรีรัตน หรือแก้วสามดวง เป็นว่าทุกศาสนา มันมีสิ่งหนึ่งซึ่งประกอบด้วยสิ่งทั้งสามเป็นสำคัญที่สุด ขาดไม่ได้ โดยเขาเปรียบเหมือนกับไม้สามอัน อิงกันตั้งอยู่ได้ถ้าเอาออกสักอันหนึ่งมันล้ม เอาออกสองอันนั้นไม่ต้องพูด แต่ถ้าในเมื่อมันมาอยู่กันสามอันมันอิงกันอยู่ได้ ไอ้สามขานี้มีอยู่ทุกศาสนานี่ที่เรากำลัง ถือว่าเป็นศาสนาที่มีอยู่ในโลกนับตั้งแต่ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาฮินดู หรือศาสนาไหน แม้แต่ครั้งพระพุทธกาลนู้นก็มีหลักสามอย่างนี้ในทุกศาสนา พูดให้มันง่ายก็คือมันต้องมีผู้ค้นพบ ผู้เผยแผ่ แล้วก็มีสิ่งที่นำมาเผยแผ่ แล้วก็มีผู้รับเอาไปศึกษาปฏิบัติ มันต้องมีครบอย่างนี้มันจึงจะเป็นศาสนา ฉะนั้นสรุปความว่าในทุกศาสนาจะมีไม้สามขาอยู่ชุดหนึ่งเสมอ พูดอย่างนี้เพื่อจำง่ายไม่ใช่พูดเพื่อจ้วงจาบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผมมันถูกด่าว่าพูดจ้วงจาบสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ตลอดเวลานั่นละ เพราะผมนั้นชอบพูดอะไรๆให้คนฟังจำง่าย ได้ยินทีเดียวก็จำได้ ฉะนั้นในที่นี้ในทุกศาสนามีไม้สามขาอยู่ชุดหนึ่งเสมอเป็นสิ่งแรกที่เราจะต้องรู้จัก อย่างที่พูดไปแล้วในพุทธเราก็มีตรีรัตนแก้วสามดวง นี้ผมจะพูดเรื่องแรกนี้สำหรับในวันแรกนี้ให้เป็นที่เข้าใจ
ประเด็นแรกที่จะพูด พูดถึงเรื่องความสัมพันธ์กันในระหว่างสิ่งทั้งสามนี้ เข้าใจว่าพวกคุณก็คงจะมองเห็นได้ว่ามันสัมพันธ์กันอย่างไร แต่ผมจะพูดซ้ำให้มันง่าย ให้มันไม่ลำบากแก่คุณที่จะนึกเอาเองไปเสียทั้งหมด เขาจะดูความสัมพันธ์กัน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สัมพันธ์กันอย่างไร มันมีความสัมพันธ์กันในหลายแง่หลายมุม แต่ที่มุมที่ใหญ่เป็นหลักสำคัญที่สุดก็พระพุทธเจ้า ก็เป็นผู้ค้นพบและเปิดเผย สิ่งๆหนึ่งและสิ่งๆหนึ่งนั้นก็คือพระธรรมและก็มอบให้แก่ ผู้ที่รับเอาไปเป็นประโยชน์ นี่ขอให้ใช้คำธรรมดาอย่างนี้ ทำความเข้าใจอย่างนี้จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ชัดเจนและลึกซึ้งพอ ไม่เป็นแบบภาษาวัด ผมจะไม่พูดอะไรแบบภาษาวัด เพื่อความขลังความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งทำให้มันสลัว เลยพูดภาษาธรรมดาชัดๆลงไปว่า มันมีผู้ค้นพบและเปิดเผยสิ่งๆหนึ่งฉะนั้นมันจึงมีสิ่งๆหนึ่งเข้ามาอีก แล้วมันก็มีผู้ที่ได้รับประโยชน์จากสิ่งๆนั้นขึ้นมาเห็นได้ว่ามันสัมพันธ์กันอย่างขาดไม่ได้ถ้ามันไม่มีผู้ค้นพบสิ่งๆหนึ่งมันก็ไม่ปรากฏมีแต่ผู้ค้นมันก็ไม่พบสิ่งๆหนึ่งแล้วถ้าค้นพบแล้วไม่มีประโยชน์แก่ใคร ไม่มีค่าอะไรไม่มีความหมายอะไร ป่วยการมันต้องมีผู้ได้รับประโยชน์อย่างท่านพระพุทธเจ้านั้นท่านทรงย้ำนักย้ำหนาว่าเป็นประโยชน์แก่ มหาชนทั้งเทวดาและมนุษย์ คำว่าทั้งเทวดาและมนุษย์ขอให้คุณถือใจความว่า มันทุกพวกที่มีอยู่ในสากลจักรวาลนี้ ใช้คำว่าเทวดาและมนุษย์จะหมายความว่ามันทุกพวกในบรรดาสัตว์มนุษย์ที่มีชีวิต ทุกพวก พูดภาษาการเมืองกันหน่อย เทวดาก็คนที่ไม่รู้จักเหงื่อ เขาก็มีปัจจัยมากก็ไม่ต้องรู้จักเหงื่อ มนุษย์นี่ต้องเป็นผู้อยู่ด้วยเหงื่อ ก็ต่างกันอย่างนี้ เรามีผู้พบสิ่งๆหนึ่ง และมีผู้ได้รับประโยชน์จากสิ่งๆนั้น นั้นคือความหมายของพระรัตนตรัยหรือแก้วสามดวง แก้วดวงที่หนึ่งคือผู้ค้นและพบ แก้วดวงที่สองคือสิ่งๆนั้นที่ถูกค้นพบ แล้วดวงที่สามเป็นผู้ได้รับประโยชน์ เป็นผู้มีคุณค่าสูงสุดมาก นี่ความสัมพันธ์อันนี้ไม่ต้องอธิบายกันก็ได้แล้วมั้ง ความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น แยกกันไม่ได้ ระหว่างพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทีนี้กริยาอาการนั้นมีมากไปกว่านั้น ก็จะยกมาดูเป็นตัวอย่าง ซึ่งคุณก็ฟังให้เข้าใจ ในชุดนี้ จะใช้คำว่าผู้ดับทุกข์ได้ก่อน แล้วก็วิธีดับทุกข์ แล้วก็ผู้ที่ดับทุกข์ได้ตาม ดับทุกข์ตามได้ แก้วดวงที่หนึ่งก็คือผู้ที่ดับทุกข์ได้ก่อน แล้วแก้วดวงที่สองก็คือวิธีดับทุกข์นั่นเอง แก้วดวงที่สามก็คือผู้ดับทุกข์ตามได้ นี่ก็พูดเป็นบุคคลมากขึ้นพูดเป็นเรื่องของประโยชน์มากขึ้น นี่อีกสายหนึ่งอยากจะพูดด้วยคำว่า ผู้ข้ามได้ก่อน และก็วิธีข้าม แล้วก็ผู้ที่ร่วมข้ามได้ด้วย ไอ้ข้ามคำนี้หมายถึงข้ามน้ำข้ามทะเล คือข้ามความทุกข์นั่นเอง ใช้กันอยู่กันหลายศาสนาในอินเดียไม่เฉพาะพระพุทธศาสนา ไอเรื่องข้ามน้ำข้ามทะเลข้ามวัตรสงสารนี้เขาก็มีในศาสนาอื่นที่เป็นผู้แข่งขันกับพุทธศาสนา แล้วเรียกว่าผู้ข้ามได้ก่อนคนแรกก็มีวิธีข้ามเครื่องข้ามอะไรที่เขาใช้ให้เขาแสดงแก่พวกอื่นที่ต้องการจะข้ามก็เกิดมีผู้ข้ามได้ด้วย นี่คือความสัมพันธ์ ระหว่างไม้สามขาในพุทธศาสนา
นี่ศาสนาอื่นก็อย่างเดียวกันอีก ศาสนาที่พ้องสมัยกับพระพุทธเจ้า ก็มีอยู่เช่น เต๋า ลัทธิเต๋า ของเหล่าจื๊อ นี่เรียกว่าพ้องสมัยกับพระพุทธเจ้าเลย คือพวกเหล่าจื๊อมีชีวิตอยู่พ้องสมัยกับพระพุทธเจ้าตามที่เรื่องราวเขาเขียนไว้จะแท้จริงมันก็สุดแท้ แต่ว่าเชื่อกันอย่างนั้น พระพุทธเจ้านิพพานได้เมื่อขงจื๊ออายุได้ เจ็ด-แปดปี นี่เหล่าจื๊อมันก่อนนั้นในฐานะเป็นอาจารย์ของขงจื๊อ ดังนั้นเหล่าจื๊อจึงพ้องสมัยกับพระพุทธเจ้า ลัทธิของเหล่าจื๊อก็มีอย่างเดียวกัน เหล่าจื๊อก็คือผู้เปิดเผยเต๋าแล้วมันก็มีเต๋าเป็นตัวธรรมแล้วก็มีผู้ที่ได้รับเอาเต๋าไปได้เป็นประโยชน์ได้ นี่ก็เรียกว่ามีเรื่องอย่างเดียวกันรูปแบบอย่างเดียวกัน ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ของไม้สามขาที่ต้องมีอยู่ในที่ใด ที่เรียกกันว่าศาสนาเราเห็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สัมพันธ์กันอย่างนี้ ทีนี้เพื่อความเข้าใจยิ่งๆขึ้นไปเกี่ยวกับศาสนาอื่นที่มีไม้สามขาเหมือนกันอย่างที่ว่าแล้ว อย่างในศาสนาคริสเตียนซึ่งเราชาวพุทธ ควรจะรู้ไว้บ้าง เพื่อเป็นประโยชน์ในการทำความเข้าใจแก่กันและกันเพื่อทำโลกนี้ให้มีสันติภาพ เพราะฉะนั้นเราต้องรู้เข้าใจลัทธิศาสนาของเพื่อนมนุษย์ ที่เป็นลัทธิอื่นบ้าง ศาสนาของพวกโซเมติก ก็มีพระเจ้า ในฐานะเป็นพระบิดา เรียกว่า God the father แล้วก็มีพระวิญญาณ นี่ตามที่เขาใช้กันอยู่ในประเทศไทยในเวลานี้เรียกว่าพระจิตหรือพระวิญญาณ ภาษาที่ภาษาอังกฤษที่ฟังแล้วน่าตกใจใช้คำว่า โฮลี่โกส โกสที่แปลว่าผี นี่หมายถึงวิญญาณโฮลี่โกส นี่คือพระจิตคือพระวิญญาณซึ่งสถิตอยู่กับพระเจ้า ซึ่งคือพระจิตของพระเจ้าก็ได้ แล้วก็มีพระบุตร god the son คือพระเยซูเป็นต้น
ก็มีพระบิดา พระจิต พระบุตร พระบิดาก็คือต้นกำเนิดทั้งหมด เป็นผู้สร้างเป็นเดอะเฟริส คอส เป็น ปฐมเหตุ แล้วก็มีพระจิต พระวิญญาณ ผมพิจารณาดูแล้วมันตรงกับคำว่าพระธรรมนั่นเอง คือไม่ได้หมายถึงผีสางอะไรหมายถึง คุณธรรม คุณค่า คุณธรรม หลักธรรมหลักประพฤติปฏิบัติอะไรก็ตาม เรียกว่าพระจิต ตรงกับคำว่าพระธรรม ผมอธิบายอย่างนี้พวก คริสเตียนบางคนเขาสั่นหัว เขาก็อยากเป็นอะไรที่ศักดิ์สิทธิ์กว่านั้น พูดกันไม่ค่อยรู้เรื่องกับพวกคริสเตียน เพราะเขาไม่ยอมให้ลดความศักดิ์สิทธิ์ของเขาแม้แต่สักนิดเดียว จะเอามาพูดเป็นธรรมดาไม่ได้ แต่นี่ผมพูดกับพวกคุณเขาก็พูดกันอย่างที่ผมรู้สึกว่าพระจิตคือพระวิญญาณคือพระธรรมนั่นเอง ซึ่งมันอยู่กับพระบิดา ทีนี้พระเยซูพระบุตรนั้นคือผู้ที่ เป็นสื่อ เป็นสื่อให้พระวิญญาณหรือพระจิตนั้นมาถึงประชาชน พระเยซู ต้องยอมเสียสละชีวิตจึงเกิดผลทำให้ พระจิตหรือพระธรรมมันถึงประชาชนได้ในเรื่องที่คล้ายกันมากๆค่อยพูดกันวันหลังเดี๋ยวมันจะไม่ตามไปรูปโคลงนี้ ดังนั้นเรารู้แต่เพียงว่าเขามีไม้สามขาคือ พระบิดา พระจิต และพระบุตร
พระบิดาคือต้นเหตุของทั้งหมด พระจิตก็คือ พระธรรม หรือว่าวิญญาณของพระบิดาที่แบ่งมาสู่มนุษย์ได้ให้รู้จักพระจิตของเขาอย่างนั้นถูกต้อง คือพระวิญญาณหรือพระจิตที่จะแบ่งมาให้มนุษย์ได้ ทีนี้พระเยซูก็เป็นผู้ทำหน้าที่อันนี้ทำให้พระจิตนั้นมาถึงมนุษย์ได้มันก็เลยมีความสัมพันธ์กันอย่างที่แยกกันไม่ได้เหมือนกันว่า พระบิดา พระจิต และพระบุตรเรียกว่าไม้สามขาของคริสเตียน ไม้สามขาของความเป็นคริสเตียน หรือคริสตังแล้วแต่จะเรียกทีนี้ คุณก็ไปคำนวณดูกันเอาเองว่าจะทำความเข้าใจรักใคร่กลมกลืนกันกันพุทธศาสนาได้อย่างไร โดยไม่ต้องทะเลาะกัน หรือดูถูกกันก็ยอมรับว่าเราก็มีสิ่งสูงสุดซึ่งมีอำนาจทุกอย่างทุกประการที่จะช่วยดับทุกข์ได้เขาเรียกว่าพระบิดา อนุภาพอันนั้นจากพระบิดาจะต้องมาถึงมนุษย์ ก็คือพระธรรมและคนนำมาก็คือพระบุตรหรือพระเยซู ถ้าจะเทียบกันโดยตัวหนังสือไม่ตรงกันได้เพราะพระพุทธเจ้าคือผู้ค้นพบ ส่วนพระเยซูไม่ใช่ผู้ค้นพบเป็นผู้นำอะไรจากพระบิดามาสู่ประชาชนดังนั้นตัวหนังสือตรงกันไม่ได้แต่พอมีความหมายที่ไปด้วยกันได้ว่ามีอะไรอยู่ที่ต้นกำเนิดและก็แบ่งมาสู่มนุษย์โดยบุคคลหนึ่ง ดังนั้นพระศาสดาอย่างพระเยซูนี้ ใช้คำๆเดียวกับพระพุทธเจ้าคงไม่ได้แล้วเขาก็ไม่ได้ใช้คำๆเดียวกันเขาใช้คำว่า เดอะโปรเฟสอะไรทำนองนี้ผู้เปิดเผยอะไรออกมาเอาของพระเจ้ามาแจก
ทีนี้มาดูถึงในประเทศอินเดียกันบ้าง ซึ่งถือพระเจ้าเป็นเจ้าของคำว่าตรีมูรติ เขาก็มีพระเจ้าสามพระองค์ พระเจ้าผู้สร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมานี้องค์หนึ่ง เขาเรียกชื่อกันว่าพระพรหม แล้วพระเจ้าผู้ควบคุมสิ่งเหล่านี้ให้เป็นไปอย่างเรียบร้อยอย่างถูกต้องตามความประสงค์ก็เรียกว่าพระนารายณ์ และก็มีพระเจ้าทีปิดฉากเสียคราวหนึ่งๆคือยกเลิกทำลาย ให้สิ้นไปในรอบหนึ่งเขาเรียกว่าพระเจ้าผู้ทำลายก็คือพระอิศวร พระพรหมสร้างขึ้นมา พระนารายณ์รักษาประคับประคองควบคุมไว้ เมื่อถึงคราวที่ควรจะสิ้นสุดสักทีหนึ่งก็คือพระอิศวร เพื่อจะสร้างขึ้นมาใหม่ มันก็กฎธรรมชาติ อิทัปปัจจยตานี่เอง แต่ถ้าเราไปพูดอย่างนั้นก็ไปดูถูกเขาเดี๋ยวเขาจะโกรธเอามีเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไปตามกฎเกณฑ์ของ อิทัปปัจจยตา แต่เรามาแยกส่วนนี้เป็นหน้าที่ของพระพรหมคือสร้างขึ้นมา เป็นพระสร้างขึ้นมา แล้วกฎของกรรมเป็นผู้ควบคุมไว้นี่เป็นพระนารายณ์และถึงวาระสุดท้าย อิทัปปัจจยตาฝ่ายดับมาถึงเข้าก็เป็นพระอิศวร ก็มีพระพรหมเป็นผู้สร้าง ธรรมนองเดียวกับพระบิดาของคริสเตียน จัดพระพรหมให้เป็น เดอะ เฟิส คอส คือ ปฐมเหตุ เขาเรียกปฐมเหตุอันแรก ที่จะให้มีอะไรออกมา ออกมาแล้วเป็นไปตามกฎอันหนึ่งในบังคับบัญชาของสิ่งหนึ่งเรียกว่าพระเจ้าผู้ควบคุมคือพระนารายณ์ จนกว่าจะดับลงธรรมชาติอันนั้นเรียกว่าพระอิศวร
นี่มันก็ไม่ผิดไปจากหลักของพระพุทธศาสนา ถ้าเราถือเอาตามความหมาย แต่ถ้าเราอยากจะไม่ให้เข้ากันได้แล้วเราอายัด อายัดคำพูดในทางภาษาคนที่ที่เขาพูดเป็นทางภาษาคนแล้วมีความเป็นคนๆ อยู่อย่างนี้เราไม่มีทางจะคัดค้านได้ว่ามันไม่เป็นไปได้ ให้มันเป็นคนเหมือนกับคนนี่ ดังนั้นพระเจ้าเป็นเหมือนคนนี่เป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุผล พระเจ้ามีความรู้สึกอย่างคน โกรธอย่างคน รักอย่างคน อะไรอย่างคนนี่เป็นไปได้ นี่ไม่มีเหตุผลเพราะเขาพูดอย่างภาษาคนมากเกินไป แต่พอพูดเป็นภาษาธรรม มันก็คือธรรมชาติอันแท้จริงอย่างหนึ่งซึ่งมันทำให้เกิดผลอย่างนั้นอย่างนี้ก็พูดกันได้สมัยก่อนผมเป็นอันธพาลเกเร ผมคัดค้านไอที่พวกพูดพระเจ้าอย่างคนนี่เอากันเรียกว่าสุดเหวี่ยงเลย เดี๋ยวนี้ผมเลิกแล้ว แล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปคัดค้านเรื่องที่พระเจ้าไว้อย่างคน ฉะนั้นคุณก็ไปหาหนังสือไอ้ที่เขียนยุคนั้น ยุคที่เป็นอันธพาล ยุคที่คัดค้านพระเจ้าอย่างคนพูดอย่างหั่นแหลกเหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้ไม่ทำแล้ว คือจะแปลความหมายของคำว่าพระเจ้า คือ กฎแห่งธรรมชาติเช่น กฎอิทัปปัจจยตาเป็นต้น เอาละแล้วเดี๋ยวนี้ต้องการจะพูดเฉพาะในประเด็นแรกว่าคือมันสัมพันธ์กันอย่างไรคือระหว่างพระเจ้าทั้งสามองค์เรารู้จักของเราคือตรีรัตน พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า ภาษาโบราณของปู่ตายาย เรียกว่า พระพุทธเป็นเจ้า พระธรรมเป็นเจ้า พระสงฆ์เป็นเจ้า ซึ่งคำนี้พวกเราเลิกใช้และคริสเตียนยืมไปใช้ และก็ยังใช้กันจนถึงทุกวันนี้ คำว่าพระเป็นเจ้าก็หมายถึงอันนี้เหมือนกัน เคยใช้ในภาษาไทยในสมัยโบราณให้รู้ว่าพระเจ้าทั้งสามนี่มันมีในทุกศาสนาเหมือนไม้สามขา และไม้สามขาก็สัมพันธ์กันอย่างแยกกันไม่ได้เช่นเดียวกับไม้สามขาเอามาพิงกันดูสิเอาออกอันหนึ่งมันล้มให้เห็นถึงขณะนั้น มันมีความจำเป็นทุกศาสนานี่มันต้องมีไม้สามขามันจึงตั้งอยู่ได้
นี่เรียกว่าเราพูดกันโดยความสัมพันธ์ของสิ่งทั้งสามคือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์สัมพันธ์กันจนเป็นอันเดียวกันแก้วทั้งสามดวงนั้นสัมพันธ์กันจนเป็นแก้วดวงเดียวกัน แล้วก็เปรียบเทียบกับศาสนาอื่นไว้ด้วย เพื่อคุณจะได้ไม่ไปทะเลาะกันกับพวกเหล่านั้นมันเสียเวลา ไปทำความเข้าใจ ความรักใคร่ ความสามัคคีกันทำโลกนี้ให้สงบสุขนั้นดีกว่า
เอาทีนี้ประเด็นที่สองผมก็จะพูดถึงพระพุทธเจ้าโดยตรง ในพุทธศาสนาเรามี พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า มีพระสงฆ์เจ้า นี่ก็จะพูดถึงพระพุทธเจ้าแล้วก็พูดถึงพระธรรมเจ้าและก็พระสงฆ์เจ้าต่อไปตามลำดับ พระพุทธเจ้าเรียกสั้นๆว่าพระพุทธ เมื่อกล่าวโดยวิภาคที่มีอยู่ในหนังสือ ปกรณ์วิเศษบางฉบับ เขาแบ่งเป็นสี่ คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอนุพุทธและก็สุตพุทธ ไม่เคยพบในพระไตรปิฎก แต่เป็นหลักเกณฑ์ที่ควรรับฟัง เพราะมันไม่ขัดกับเหตุผลอย่างอื่นครูบาอาจารย์นักปราชญ์ เขาเคยศึกษาพิจารณาดีแล้วเขาพูดไว้อย่างนี้เป็นหลักอยู่อย่างนี้เราไม่จำเป็นต้องเป็นต้องไปขัดคอไม่มีประโยชน์อะไรนับถือตามนั้นมันง่ายกว่าสะดวกกว่า ที่จะเอามาพูดจาเอามาศึกษาเอามาปฏิบัติ
พระพุทธเจ้าที่สำคัญที่สุดในระดับสูงสุดนี่เรียกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่คงได้ยินกันมามากแล้ว นี่ระดับรองลงไปเรียกว่าพระปัจเจกพุทธเจ้านี่คงบางคนคงจะไม่เคยได้ยิน รองลงไปอีกเรียกว่าอนุพุทธะ รองไปสุดต่ำสุดลงไปเรียกว่าสุตพุทธ คงจะไม่เคยได้ยินส่วนมากคงจะไม่เคยได้ยินคำว่า สุตพุทธ ระดับแรกอันดับแรกสูงสุด พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้ ชอบพร้อมครบด้วยพระองค์เอง โดยเหตุที่ท่านรู้ถูกต้อง รู้ครบแล้วก็ด้วยพระองค์เองก็เลยมีความหมายสูงสุด ถ้าเรียกสมัยนี้เขาเรียกมีเครดิตสูงสุด ควรจะมาเป็นอันดับหนึ่งไม่มีใครสอนเรื่องนี้ ท่านตรัสรู้เอง และถูกต้องแล้วครบตามที่มนุษย์ควรจะได้รู้ นี่เรียกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมีคราวละองค์ ในพุทธธันดรจะมีเพียงได้คราวละองค์ คราวละองค์ จะมีพร้อมกันสององค์ไม่ได้อย่างที่เราบวชอุทิศท่านนี่ เราทั้งหลายบวชอุทิศพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีนามว่า สิทธัตถะ โคตม นั่นเป็นเรื่องประวัติ เราเพ่งเล่งเรื่องหนึ่งของพระองค์ท่าน ก็คือท่านตรัสรู้ครบ ถูกต้องและก็โดยตนเอง นี่จำความหมายไว้อย่างนี้ก่อน ทีนี้ถัดลงไประดับที่ต่ำลงไป เรียกว่า ปัจเจกพุทธ คำนี้แปลว่า หนึ่งเฉพาะ คำว่าหนึ่งนั้นคือ เฉพาะตัว ปัจจะแปลว่า เฉพาะ เอก แปลว่า หนึ่ง พระพุทธเจ้านี้รู้เองได้เหมือนกันเป็นได้เองเมื่อ อุปนิสัยแก่ถึงบารมีถึงคราวรู้มันก็รู้ขึ้นมาเองได้แต่ไม่ครบ ไม่พร้อมไม่ครบพอที่จะทำประโยชน์แก่คนทั้งโลกได้ และท่านก็ไม่ขวนขวายมาก ไม่คิดมาก ไม่ค้นมาก ไม่อะไรมากในขณะที่จะไปสอนคนทั้งโลกได้ ดังนั้นจึงไม่ขวนขวายเพื่อจะสอน ฝรั่งเขาแปลคำนี้ว่าพระพุทธเจ้าเงียบ เพราะท่านอยู่เงียบ ไม่สอนไม่พูด แต่ท่านก็รู้สิ่งที่สูงสุดคือการดับทุกข์ได้เช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน เนื้อหาสาระของเรื่อง ท่านก็ถึงที่สุดเพียงแต่คุณสมบัติประกอบอื่นๆนั้นไม่ต้องมี คือไม่มีหน้าที่ ที่จะไปสอนใคร จึงมักจะอยู่สงบโดยตามลำพัง มีเรื่องจะพบปะคุยกันมั่ง ก็น้อยเต็มทีในหมู่พระ ปัจเจกพุทธเจ้า จึงถูกเรียกว่าพระพุทธเจ้าเงียบ แต่ก็ประเสริฐวิเศษในระดับพระพุทธเจ้า คือหมดกิเลสหมดความทุกข์ เอาคำนั้นเป็นหลักคือหมดกิเลส หมดความทุกข์ก็ด้วยตนเอง หรือจะด้วยเล่าเรียนมาอย่างธรรมดาสามัญแล้วไปปรุงเอาเองและในระดับที่สามถัดไปอีกเรียก ว่าอนุพุทธะ นี่คือพระสาวกผู้ได้สดับตรับฟัง แล้วก็ปฏิบัติตามแล้วก็รู้ได้เต็มที่ปฏิบัติได้เต็มที่จนหมดกิเลสหมดทุกข์ได้เหมือนกัน ถ้าเปรียบเทียบข้อแตกต่างมันไม่แตกต่างในส่วนกิเลสและดับทุกข์ แต่มันแตกต่างในข้อที่ว่า ท่านไม่สามารถที่จะรู้เอง ท่านจะต้องได้ยินได้ฟังมาจากคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จึงเรียกว่า อนุพุทธะ แปลว่า พระพุทธเจ้าผู้รู้ตาม พระพุทธเจ้าผู้ตาม นี่คือพระอรหันต์ทั้งหลายที่ไม่ใช่พระศาสดา เรียกว่าเป็นพุทธะ ชนิดที่รู้ตาม ในพุทธภาษาบาลีก็แปลว่า ก็เรียกว่าพุทธะในภาษาไทยก็เลยไปถึงเจ้าด้วย ก็เลยเป็นพระพุทธเจ้า จะเรียกว่าพระพุทธเจ้าก็ยังได้ในความหมายที่แคบออกไปก็อยู่ในความหมายที่นับถือสูงสุดเหมือนกัน พระอรหันต์ทั้งหลายที่ยังไม่ถึงพระศาสดาเรียกว่า อนุพุทธะ การรู้ของท่านรับไปจากพระพุทธเจ้า
นี้สามองค์นี้เหมือนกันนะดูให้ดีนะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี อนุพุทธก็ดี ท่านหมดกิเลสและก็หมดทุกข์ ในความหมายอย่างนี้ถึงไม่หมดเดี๋ยวนี้ก็หมดข้างหน้าแน่นอนที่ท่านไม่ถอยหลังกลับ ทีนี้ก็มาถึงพระพุทธเจ้า คือพุทธบุคคลอันสุดท้ายระดับสุดท้าย คือเด็กๆเขาเรียกว่าที่โหล่ ก็คือสุตพุทธะ นี่คือพระพุทธเจ้านักศึกษา ให้พูดอย่างเดียวก็คือ สุตต ก็คือศึกษานั่นเอง พระพุทธเจ้าแบบนี้ไม่น่าจะเรียกว่าพระพุทธเจ้า เรียกว่าพุทธบุคคล สุตพุทธะนี่เป็น พุทธบุคคลที่เขาจัดไว้ในพวก พุทธะ ด้วยเหมือนกันไม่เล็งถึงดับกิเลสและดับทุกข์ แต่ท่านทรงเรื่องราวระดับของความหมดกิเลสและดับทุกข์ไว้เต็มที่ พวกสุตพุทธ นี่ดับกิเลสไม่ได้ด้วยตนเองหรือจะได้ก็ได้แต่ก็ไม่ใช่ความมุ่งหมาย ความมุ่งหมายของท่านสุตตพุทธคือท่านรอบรู้โดยทางความรู้ในเรื่องของดับกิเลสและดับทุกข์ไว้ครบถ้วนเหมือนกัน นั้นการยกพุทธะเป็นระดับหนึ่งนั้นมีเหตุผล มีความสมควร เป็นพุทธบุคคลอันดับสุดท้าย ไม่หมดกิเลส ไม่หมดทุกข์ แต่มีความรู้เรื่องหมดกิเลสและหมดทุกข์เต็มที่ ถ้าพูดอย่างสมัยเดี๋ยวนี้ก็คือผู้ที่รอบรู้ในเรื่องปริญัติเต็มที่ร้อยเปอเซนต์อย่างนั้น รู้พระไตรปิฎก อย่างแท้จริงถูกต้องแต่ไม่ได้ดับกิเลสและดับทุกข์ มันก็มากมีอะไรมากพอที่จะยกขึ้นมามากพอเป็นระดับพุทธบุคคลได้ด้วยเพราะมันยังเนื่องกันอยู่ระหว่างดับกิเลสและดับทุกข์เหมือนกัน
ย้ำอีกทีหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าสามพวกแรกนั้น พระสัมมาสัมพุทธะ พระปัจเจกพุทธะ อนุพุทธะนี้ ท่านรู้จนหมดกิเลสและหมดทุกข์ ส่วนสุตพุทธะนั้นเพียงแต่รู้เรื่องหมดกิเลสและหมดทุกข์มีความรู้ เรื่องหมดกิเลสและหมดทุกข์จิตใจยังไม่หมดกิเลสและหมดทุกข์หรือจะหมดก็ยังไม่ใช้ความหมายของคำๆนี้ แต่ว่าท่านรู้เรื่องหมดกิเลสและหมดทุกข์เอาละเป็นอันว่าเรามีพระพุทธเจ้า หรือพุทธบุคคลถึงสี่จำพวกจำไว้เถอะมันมีประโยชน์อย่าให้เป็นเรื่องเหลวไหล มันจะเข้าใจอะไรได้ในอนาคต โดยง่ายว่ามีพระพุทธเจ้าอยู่สี่จำพวก สัมมาสัมพุทธะ ปัจเจกพุทธะ อนุพุทธะ และสุตพุทธะคือคนผู้คงแก่เรียน พระพุทธเจ้าตามที่กล่าวมานี้เรียกว่ากล่าวโดยภาษาคน ทั้งสี่จำพวกที่กล่าวมานี้เป็นการกล่าวโดยภาษาคน มันจึงเล็งถึงตัวบุคคลเดี๋ยวเกิดเดี๋ยวตาย ตามแบบอะไรๆของบุคคลอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดาของเราที่ว่า สิทธัตถะ โคตม นี้เขาตายแล้ว เผาแล้ว จริงไหมมันก็เป็นเรื่องพูดว่าตายแล้วเผาแล้วเหลือแต่กระดูกแล้ว นี่พระพุทธเจ้าภาษาคนเป็นอย่างนี้
ทีนี้พระพุทธเจ้าโดยภาษาธรรมเมื่อพูดโดยภาษาธรรม หมายถึงคุณค่าหรือคุณสมบัติอันนี้ซึ่งไม่รู้จักตายโดยภาษาธรรม พระพุทธเจ้ายังไม่ตาย ยังอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง แล้วจะเห็นแล้วจะมีพระพุทธเจ้าเช่นนี้ได้โดยการเห็นธรรมและมีธรรม เมื่อจิตเห็นธรรมและมีธรรมก็คือจะมีพระพุทธเจ้าชนิดนี้ ดังนั้นพระพุทธเจ้าโดยภาษาธรรมนั้นมันไม่รู้จักตายไม่ถูกเผา ไม่เหลือแต่กระดูกได้ แต่จะอยู่ตลอดอนันตกาล แล้วก็มีที่อยู่ไม่ได้อยู่ที่ตลาดมีอยู่ที่หัวใจของคน ไม่ได้อยู่ตามแผ่นดิน ไอ้คนปากจัดคนหนึ่งเขาพูดว่า ถ้าพบพระพุทธเจ้า มาเดินอยู่ตามถนนก็ช่วยกันตีเสียให้ตาย เขาว่าอย่างนั้น เพราะว่าพระพุทธเจ้าที่แท้จริง จะไม่มาเดินอยู่ตามกลางถนน อยู่ในหัวใจคน นี่เขาเข้าใจมันกี่มากน้อยคุณก็ลองคิดดูเองแล้วจะถือหลักอันนี้ได้สักเท่าไร พระพุทธเจ้าอยู่ในหัวใจคน มาเดินเกะกะอยู่ตามถนนไม่ได้ ช่วยกันตีเสียให้ตายนี้ เมื่อกล่าวโดยภาษาธรรม พระพุทธเจ้าอยู่ตลอดอนันตกาลและอยู่ในหัวใจเรา นี่ช่วยคิดกันต่อสักหน่อยเมื่ออยู่ในหัวใจเราแล้วผลมันจะเกิดอะไรขึ้น เราสามารถมีพระพุทธเจ้าได้ อย่างแท้จริง ยิ่งกว่านั้นเราก็เป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง ในเมื่อหัวใจของเรามีคุณธรรมชนิดที่เป็นพระพุทธเจ้า รู้อย่างเดียวกับที่พระพุทธเจ้า ท่านรู้ ท่านเห็นท่านบรรลุเราก็เป็นพระพุทธเจ้าได้เอง นี่โดยภาษาธรรมมันมีประโยชน์ถึงขนาดนี้
เมื่อกล่าวโดยภาษาธรรมพระพุทธเจ้าไม่ได้นิพพาน หรือตายไปไหนยังคงอยู่และก็อยู่ในใจของคนและทำให้คนนั้นมีหรือได้พระพุทธเจ้าที่แท้จริงจนกระทั่งว่าคนนั้น เขาเป็นพระพุทธเจ้าเสียเองคนหนึ่ง ถ้าเขาเป็นไปถึงที่สุดคือพระอรหันต์ก็คือเป็น อนุพุทธะ พระพุทธเจ้าในระดับที่สามก็เป็นพระพุทธเจ้าเสียเองแม้ไม่เป็นสัมมาสัมพุทธะ ก็ยังเป็นพระพุทธเจ้าได้ นี่โดยภาษาธรรมเป็นอย่างนี้คุณจำไว้ง่ายๆสรุปไว้ง่ายๆแล้วก็ไปบอกเด็กๆให้เกิดสนใจขึ้นมาว่าถ้าพูดโดยภาษาคนนั้น พระพุทธเจ้าตายแล้วเผาแล้วเหลือแต่กระดูกแล้ว แต่ถ้าพูดโดยภาษาธรรมแล้วพระพุทธเจ้ายังอยู่กับเรา ในหัวใจของเรา คอยคุ้มครองเราเหมือนกับพระเจ้าในศาสนาอื่นๆ นี่เรื่องของพระพุทธเจ้าหรือดวงแก้วดวงที่หนึ่งมีใจความเป็นหลักๆอย่างนี้หรือจะเรียกไม้สามขาอันที่หนึ่งคือพระพุทธเจ้ามีใจความที่เป็นหลักๆอย่างนี้ นี้ประเด็นต่อไปก็จะพูดถึงพระธรรมหรือที่เรียกพระธรรมเจ้า พวกนักปริญัติก็สนใจแต่จะวินิจฉัยตามตัวหนังสือ และเตลิดเปิดเปิงจนเข้า เข้าจุดไม่ถูกเข้าใจความศูนย์กลางไม่ถูกมันก็ไม่รู้ เราจะไม่พูดกันโดยเรื่องพยัญชนะอย่างนั้นให้มัน มันเหน็ดเหนื่อยสมอง พระธรรมก็คือสิ่งที่พระพุทธเจ้า ค้นพบและนำมาสอนอย่างนี้ดีกว่า
ถ้าจะพูดอย่างนักเลงปริยัติ เขาก็จะพูดว่าพระธรรมมาจาก ธารธาตุ แปลว่าในความทรงไว้ ทรงตัวเองไว้ ทรงผู้ปฏิบัติไว้ แล้วตั้งบทวิเคราะห์ตามแบบของภาษาบาลี อีกหลายสิบข้อ พอดีเวียนหัวง่วงหลับไปเลย เพื่อฟังบทวิเคราะห์ของคำว่าธรรม ผู้ทรงไว้ ผู้ทรงอะไรไว้ ทรงอันนี้ไว้นี่เราไม่พูดอย่างนั้น พระพุทธ พระธรรมคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบและนำมามอบให้เท่านี้พอ แล้วสิ่งนั้นก็ถูกแล้ว ทรงผู้ปฏิบัติไม่ตกไปในที่ชั่ว ดังที่เราจะพบใน นวโกวาท ครั้งแรกของการอ่าน การเรียน นวโกวาท นี้พระธรรม ก็มีอยู่ได้หลายรูปแบบ อย่างเดียวกับพระพุทธเจ้าหลายรูปแบบ พูดมาแล้ว ทีนี้พระธรรมมีหลายรูปแบบยังไง พระธรรมในฐานะที่เป็นความรู้หรือเป็นหลักวิชา ทางทฤษฎี ทางความรู้ นี่เขาเรียกว่าปริยัติ พระธรรมในฐานะเป็นความรู้ คือพระปริยัติธรรม นี้พระธรรมสองในฐานะตัวการปฏิบัติ นี่ต้องปฏิบัติด้วยกาย วาจาใจ นี่เรียกว่า ปฏิบัติธรรม ทีนี้พระธรรมในฐานะที่สามในฐานะที่เป็นผลที่ได้รับจากการปฏิบัติ มันเป็นเรื่องธรรมดาหลักธรรมดาในวิชาการธรรมดา ในโลกนี้เมื่อเราจะทำอะไรเป็นผลแก่เราเราต้องมีความรู้ก่อน เราก็ทำลงไป แล้วก็ได้รับผลจากการกระทำนั้นแม้เรื่องวิทยาศาสตร์ เรื่องวัตถุ วัตถุหาประโยชน์จากวัตถุมันก็ต้องมีความรู้แล้วก็มีการกระทำลงไปก็ได้รับผลเป็นวัตถุนั้นขึ้นมา หลักเกณฑ์เป็นอย่างนี้ ในศาสนานี้ก็เหมือนกัน โดยหลักการเกณฑ์อันนี้เราต้องมีความรู้ เรียกว่าพระธรรมในฐานะที่เป็นความรู้แล้วก็ ลองปฏิบัติในฐานะที่เป็นการปฏิบัติ แล้วพระธรรมในทางที่ผลของการปฏิบัติคือการดับกิเลสดับทุกข์ได้ตามสมควรแก่การปฏิบัติและเป็นสามระดับอยู่เหมือนกัน
พระธรรมระดับความรู้ พระธรรมระดับการปฏิบัติพระธรรมระดับที่เป็นผลของการปฏิบัติ พระธรรมระดับที่เป็นความรู้มันเป็นเรื่องการศึกษาที่เรียกว่าปริยัติ ที่เรียนนัก เรียนบาลี เรียนอะไรก็ตามที่เต็มรูปเต็มแบบของคำๆนี้ก็คือพระไตรปิฎก คือการเรียนพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกนั้นมีวินัยปิฎก สุตันตปิฎก อภิธรรมปิฎก เป็นการแบ่งกันทีหลัง ทีแรกไม่ได้แบ่งอย่างนี้ ทีแรกทีเดียวไม่ได้มี๓ปิฎก มีแต่ว่าเรื่องยาว เรื่องขนาดกลาง เรื่องสั้น เรื่องเป็นหมวดๆแล้วก็เรื่องเบ็ดเตล็ด พระวินัยกับพระอภิธรรมปัจจุบันชั้นหลังนี่มันอยู่ในหมวดเบ็ดเตล็ด ของการแบ่งทีแรก ทีแรกแท้ๆเขาแบ่งเป็น ทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย พุทธนิกาย ขุททกนิกาย พระวินัยกับพระอภิธรรมไปรวมอยู่กับ ขุททกนิกาย แต่เดี๋ยวนี้พักหลังนี้ เขาไม่ทำอย่างนั้นแล้ว เขาเอาวินัยทั้งหมดมาเป็น วินัยปิฏก เอาอภิธรรมไปเป็น อภิธรรมปิฎก เอาออกไปเสียจากขุททกนิกาย ที่เหลือเหล่านั้นก็เป็นสุตันตปิฎก เราจึงได้พระวินัยปิฏก พระสุตันตปิฎกและพระธรรมปิฎก ในฐานะที่เป็นพระธรรมโดยหลักปริญัติ นี่พระธรรมในรูปของปริญัติ หรือความรู้หรือหลักวิชา
ทีนี้พระธรรมในรูปแบบของการปฏิบัติ นี่ไม่ได้เล็งถึงตัวความรู้ แต่เล็งถึงการกระทำโดยกาย วาจา ใจ มีหมวดหมู่ที่จัดไว้เป็นระบบที่เรื่องว่าศีลสิกขา จิตตสิกขา ปัญญาสิกขา เรียกง่ายๆว่าศีล สมาธิ ปัญญา ปฏิบัติในส่วนศีลนั้นคือการปฏิบัติกายกับวาจา ให้ถูกต้อง ปฏิบัติในส่วนจิตหรือสมาธินั้น หรือปฏิบัติเกี่ยวกับจิตให้มันถูกต้อง แล้วปฏิบัติที่สามปัญญาให้ปฏิบัติเกี่ยวกับ ฐิถิ ให้มันถูกต้อง ดังนั้นกายวาจาใจถูกต้องเรียกว่ามีศีล มีระบบจิตถูกต้องเรียกว่าสมาธิ มีระบบฐิถิถูกต้องเรียกว่ามีปัญญา เราเรียกสั้นๆว่าศีล สมาธิ ปัญญานั้นคือ องค์พระธรรมในส่วนที่เป็นตัวการปฏิบัติ ถ้าอธิบายรายละเอียดกว่านี้มีอยู่เยอะ หาอ่านเอง นี่บอกให้รู้แต่โดยหลักๆ และก็หลักปักกรุยหลักดุ้นใหญ่ๆปักให้โผล่พ้นๆน้ำไว้ให้เล็ง เป็นจุดเล็งไป หาได้โดยง่ายหรือจะรับประกันการศึกษาโดยการปฏิบัติให้มันถูกต้อง ทีนี้พระธรรมในฐานะที่สามคือในฐานะที่เป็นผลที่ได้รับ เมื่อการปฏิบัติเป็นไปถึงอย่างที่สุด ผลก็ต้องมี ไม่มีใครห้ามได้ มันเหมือนปฏิกิริยาย่อมเกิดขึ้นเมื่อมีปฏิกิริยา ไม่มีใครห้ามกันได้ เมื่อปฏิบัติถูกต้องอย่างถึงที่สุดแล้วก็มีผลของผู้ปฏิบัติ คือที่ กาย วาจา ใจของผู้ปฏิบัติ ดับกิเลส ดับทุกข์ได้ เขานิยมเรียกกันว่ามรรคผลแห่งนิพพาน มรรคคือการที่ปฏิบัติ มันทำลายกิเลส ทำลายบาป ทำลายอกุศลนี่เขาเรียกว่ามรรค ทำลายแล้วมันมีผลขึ้นมาอย่างไรนี่เรียกว่าผล และทั้งหมดนั้นมันเป็นไปเพื่อนิพพาน ธรรมชาติที่เป็นนิรันดร อันหนึ่งคือความเย็น หรือ ว่างหรือเย็นเพราะว่างจากกิเลสและความทุกข์ ที่เรียกว่านิพพาน สามารถที่จะแยกกันได้เป็นสามอย่างเป็นมรรคเป็นผลและเป็นนิพพาน
มรรคคือการที่ธรรมะทำลายกิเลสผล คือผลที่ได้รับจากกรรมเป็นอย่างนั้นและนิพพานก็คือความเย็นที่จิตจะได้สัมผัสหลังจากที่ได้รับผลของการปฏิบัติเขาเรียกว่ามรรคผลนิพพาน ในบทสวดมนต์นี่ก็มีเขาเรียกว่าโลกุตรธรรมเก้ามรรคมีสี่ ผลมีสี่นิพพานนั้นหนึ่งรวมกันเป็นเก้า ประชาชนชั้นปู่ย่าตายายเขาคล่องปากกันนัก พระโลกุตรธรรมเก้า สมมุติเป็นแก้วเก้าดวงอะไรขึ้นมา มีพระธรรมในฐานะที่เป็นผลของการปฏิบัติ นี่ก็เป็นการกล่าวตามหลักธรรมดา ธรรมดา คล้ายๆว่าเป็นภาษาวัตถุ ภาษาคนอยู่เหมือนกันมีพระธรรมเป็นสามระดับมีพระธรรมในฐานะที่เป็นความรู้ พระธรรมในฐานะที่เป็นการปฏิบัติ พระธรรมในฐานะที่เป็นผลที่ได้รับจากการปฏิบัติ ที่นี้ผมจะพูดเผื่อไว้ให้สักอย่าง พูดเผื่อโดยภาษาธรรม นั้นพูดโดยภาษาธรรมดาภาษาคนไปแล้วทีนี้จะพูดโดยภาษาธรรม ซึ่งผมปรุงขึ้นมาเองไอ้ระบบนี้ หลักเกณฑ์อันนี้ในความหมายของธรรม สี่ประการแล้วก็ไม่เห็นมีใครค้านมีแต่คนชอบ พวกฝรั่งที่เพิ่งพบก็ยังชอบ ว่าธรรมะสี่ความหมาย ความหมายที่หนึ่งธรรมะคือ ตัวธรรมชาติทั้งหลาย เรียกว่าธรรม ทีนี้ตัวกฎของธรรมชาติ ก็เรียกว่าธรรม หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติก็เรียกว่าธรรม แล้วผลที่ได้จากการปฏิบัติหน้าที่นั้นก็เรียกว่าธรรม
ธรรมเลยมีความหมายสี่ความหมาย ถ้าจะพูดให้สั้น ให้ติดปากได้ง่ายๆก็ว่า ตัวธรรมชาติ ตัวกฎของธรรมชาติ ตัวหน้าที่ตามกฎธรรมชาติ แล้วตัวผลที่ได้รับตามหน้าที่ นี้คือตัวธรรม นี่ตัวกฏครอบจักรวาลและกล้าท้าแม้แต่พวกคอมมิวนิสต์ก็ต้องชอบถ้าเสนอ ธรรมะให้เข้าไปในลักษณะทั้งสี่อย่างนี้ พวกคอมมิวนิสต์ก็ค้านไม่ได้น่าจะตาม ชอบด้วยซ้ำไป ถ้าเราจะเผชิญหน้าคอมมิวนิสต์เอาของจริงๆอย่างนี้ใส่เข้าไป ว่าเรามีธรรมอย่างนี้โว้ย แกมีอะไรดีกว่านี้ก็ลองว่ามาดูในที่สุดมันก็ไม่มี มันต้องมีความรู้เรื่องธรรมชาติ กฎของธรรมชาติ และหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ เรื่องผลตามสมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ ธรรมจึงมีความหมายละเอียดในภาษาธรรมจะเป็นอย่างนี้เพื่อไม่ให้ทะเลาะกัน ระหว่างศาสนาและก็ได้ยกเลิกคำว่าศาสนา ผมพูดบทความเรื่องหนึ่ง เรื่องไม่มีศาสนามีแต่กฎ มีแต่ความเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ เป็นที่พอใจของพวกที่เขาไม่ชอบศาสนาเขาชอบแต่มีความจริง ซึ่งเป็นเรื่องของธรรมชาติ
เวลานี้มีผู้แปลอยู่ที่ประเทศเยอรมัน กำลังปรึกษาถ้อยคำบางคำที่เขาอยากจะแปลให้มันตรง เรื่องไม่มีศาสนานี้ เรื่องภาษาคน ภาษาธรรม เมื่อกล่าวเป็นภาษาธรรมไม่ต้องมีพุทธศาสนา คริสต์ศาสนา อิสลามศาสนาอะไรไม่ต้องก็ได้ มีแต่เรื่องของธรรม ธรรมชาติ กฎของธรรมชาติ หน้าที่ของธรรมชาติ และผลที่ได้รับตามกฎของธรรมชาติ ทีนี้เมื่อจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับพวกที่ถือพระเจ้าเขายึดมั่นในพระเจ้าเขาไม่ยอมปล่อยทฤษฎีที่ยึดมั่นในเรื่องพระเจ้า เรายิ่งทำง่ายคุณลองฟังให้ดีเพราะไอ้ตัวธรรมชาติทั้งหลาย
ในสากลจักรวาลนี้ กี่จักรวาลก็ตามใจ นั่นคือตัวร่างกายของพระเจ้า เนื้อหนังร่างกายของพระเจ้า ธรรมชาติทั้งหลายธรรมในฐานะร่างกายทั้งหลายคือร่างกายของพระเจ้า นี้ธรรมในฐานะที่เป็นกฎของธรรมชาตินั้นคือจิตของพระเจ้า หรือจะเรียกว่าพระจิตอย่างที่ คริสเตียนเขาเรียกก็ได้ กฎของธรรมชาติที่มีอยู่ในธรรมชาตินั้นคือจิตของพระเจ้า ตัวแผ่นดินตัวอะไรทั้งหลายนี่เป็นกายของพระเจ้า ทีนี้หน้าที่ตามกฎของพระเจ้า คือ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ กฎธรรมชาติและหน้าที่ตามกฎของธรรมชาตินั้นก็คือข้อเรียกร้องของพระเจ้า คำสั่งหรือความต้องการของพระเจ้า เกิดเป็นหน้าที่สำหรับสิ่งที่มีชีวิตขึ้นมา พระเจ้าเรียกร้องต้องการให้ปฏิบัติตามนี้ นี่คือประสงค์ของพระเจ้า เราต้องสนองประสงค์ของพระเจ้า คือปฏิบัติตาม นั้นในที่สุดก็ได้รับผลตามที่พระเจ้าประทาน ทำลงไปอย่างไร พระเจ้าก็จะประทานผลให้โดยสมควรแก่การกระทำ ไปปรนเปรอกันได้ถ้าเอาธรรมะอย่างนี้เป็นหลักก็จะเข้ากันได้ทุกศาสนา ไม่มีกระทบกระทั่งกับศาสนาไหนเลย พุทธศาสนาก็พลอยมีพระเจ้าไปด้วย แต่พระเจ้าในความหมายอย่างนี้
ถ้าคุณไม่ทราบผมจะบอกให้ทราบว่าในหลักปรัชญาของศาสนาที่พวกฝรั่งเขาจัดมาตามความชอบใจของเขานั้นเขาจัดให้พุทธศาสนาเป็น ศาสนา atheism คือศาสนาที่ไม่มีพระเจ้า ศาสนาอิสลาม คริสเตียนก็เป็น theism เป็นศาสนาที่มีพระเจ้า ส่วนพุทธศาสนาหรือศาสนาอื่นที่คล้ายกันก็จะเป็นศาสนาที่ไม่มีพระเจ้า ทีนี้ผมเห็นว่าอย่างนี้มันคงจะได้ต่อยกันสักวันหนึ่ง เพราะคนหนึ่งมีคนหนึ่งไม่มี เราทำให้มันเข้ากลมกลืนกันเสียดีกว่า อย่างที่ว่ามาแล้วนี้ ตัวธรรมชาติ คือกายพระเจ้า กฎธรรมชาติคือ จิตพระเจ้า หน้าที่ ที่ต้องปฏิบัติที่เรียกว่าปฏิบัติธรรม คือหน้าที่ ที่ต้องทำนั้นคือข้อเรียกร้องของพระเจ้าปฏิบัติแล้วก็ได้ผล ตามที่พระเจ้าประทานให้ พุทธศาสนาก็เลยมีพระเจ้า พวกฝรั่งมัน พวกนั้นมันคงไม่ยอมอย่างที่ผมพูดมันจัดพุทธศาสนาเป็นไม่มีพระเจ้าอยู่เรื่อย นี่เรามาทำให้ฝ่ายนู้นก็ครึ่งหนึ่งฝ่ายนี้ก็ครึ่งหนึ่งเข้ามาพบกัน แล้วแต่จะพูดโดยภาษาคนและภาษาธรรม ถ้าพูดโดยภาษาคนพุทธศาสนาก็ไม่มีพระเจ้า เพราะไม่มีพระเจ้าอย่างภาษาคน แต่พุทธศาสนาก็มีสิ่งที่เรียกว่าพระเจ้าโดยความหมายของคำว่าพระเจ้าเป็นอย่างนั้น ๆ แม้แต่ผู้สร้าง ผู้ควบคุม ผู้ทำลายนี้ก็มี กฎของธรรมะ จึงเป็นอย่างนั้น เรื่องนี้มีปัญหาทางการเมือง เพื่อประโยชน์แก่พวกคุณบางคน ที่ควรจะทราบ มันเกิดปัญหาที่ประเทศอินโดนีเซีย ประชาชนส่วนหนึ่งจำนวนมากเป็นสิบๆล้านเหมือนกัน มันอยู่ในฐานะที่นับถือพุทธศาสนาแต่มาก่อนนู้น ก่อนที่อินโดนีเซียเป็นอิสลามก็เลยเป็นคนว่าง ศาสนาอิสลาม เขาไม่ถือ ไม่ถืออิสลาม ถือพุทธศาสนา ถ้าคะยั้นคะยอให้ถือเขาถือพุทธศาสนา ทีนี้รัฐบาลอินโดนีเซียเขาถือว่าพุทธศาสนาไม่มีพระเจ้า คุณเป็นพระพุทธบริษัทคุณไม่มีพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นพวกคุณเป็นคนที่ไม่มีศาสนาดังนั้นคุณจึงไม่เป็นพลเมืองของอินโดนีเซียสมบูรณ์ตามกฎหมาย เพราะคุณไม่มีศาสนา เพราะคุณไม่มีพระเจ้า เงิน ทรัพย์สิน ที่คอยช่วยพลเมือง เขาไม่ให้เขาไม่ให้แก่ประชาชนเหล่านี้ เพราะเป็นผู้ที่ไม่มีศาสนา คือถือพุทธศาสนาหรือถืออะไรก็ไม่รู้ไม่มีศาสนาแล้วก็มีคณะกรรมการกลุ่มพุทธ กลุ่มหนึ่งเขาไปต่อสู้อย่างนี้ มีพระพุทธเจ้าในภาษาธรรมอย่างที่ผมว่าเขายอม และก็เลยยอมให้สิทธิต่างๆ เป็นประชาชนที่สมบูรณ์ตามกฎหมายก็ได้ ได้รับสิทธิตามกฎหมายดังนั้นมันเป็นถึงอย่างนั้น มันมีปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้นถึงอย่างนี้ ฉะนั้นเรื่องที่มีพระเจ้าหรือไม่มีพระเจ้านี่ไม่ใช่เป็นแต่เรื่องของทางศาสนาเป็นเรื่องทางการเมืองด้วย ฉะนั้นเราก็ควรจะรู้ไว้และควรจะพูดกับเขาให้มันถูกต้อง ถ้าเขาถามว่าพระพุทธศาสนามีพระเจ้าไหมก็บอกว่าถ้าโดยภาษาคน ภาษาeveryday languageนั้นไม่มี
แต่ถ้าพูดโดยภาษาธรรมถ้าเรา mix language คืออย่างนี้ๆ เหมือนที่ผมว่าเมื่อตะกี้นี้ ฉะนั้นเขาก็ทำอะไรไม่ได้ เราจะเรียกร้องสิทธิอะไรในฐานะที่เป็น พลเมืองที่สมบูรณ์ก็ได้ คือมีศาสนา นี่คือพระธรรมที่แท้จริง มีอยู่สี่ความหมายเป็นตัวธรรมชาติ เป็นตัวกฎของธรรมชาติ ธรรมะที่แท้จริงมันคือความจริงเกี่ยวกับธรรมชาติ ตอบอย่างนี้แล้วไม่มีใครจะค้านได้ ความจริงเกี่ยวกับธรรมชาตินั้นคือพระธรรม นี่ยังเหลือพระสงฆ์ขอเวลาอีกนิดหนึ่ง มันจะได้ครบกันเสียที ทีนี้มาถึงประเด็นที่ห้า คือว่าพระสงฆ์ คำว่าพระสงฆ์ในภาษาคน มันก็คือคนที่โกนหัว นุ่งเหลือง ห่มเหลืองแล้วก็นั่งกันอยู่ที่นี่ นี่พระสงฆ์ในความหมายนี้มันแคบมันไม่ตรงความหมายของคำว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คำว่าพระสงฆ์ในความหมายของคำว่ารัตนตรัยนั้นหมายถึงหมู่ ที่ลืมหู ลืมตาดำรงตนอยู่ในความถูกต้อง ในการขจัดความทุกข์และปัญหาต่างๆ ออกไป คุณจะหาคำบัญญัติที่ดีกว่านี้ก็ได้ตามใจคุณแต่ถ้าคุณหาไม่ได้ คุณลองจำอย่างนี้ไปดูก่อนดีกว่า พระสงฆ์คือหมู่คนที่ลืมหู ลืมตา มีความประพฤติกระทำอันถูกต้อง ขจัดปัญหาและความทุกข์ให้หมดไป เป็นฆราวาสก็ได้เป็นบรรพชิตก็ได้ จงนึกถึงเมื่อยังไม่มีศาสนาโดยเฉพาะพระพุทธศาสนา มนุษย์ก็เหมือนอยู่ในความมืดบอด ไม่ลืมหูลืมตา มีความรู้ไม่ไกลกว่าสัตว์เดรัจฉานนัก คือหิวก็หากิน และก็มีเรื่องเป็นไปตามสัญชาติญาณ นี่เรียกปุถุชนเต็มที่ไม่ลืมหู ลืมตา แล้วก็จัดบุคคลชนิดนั้นไว้พวกหนึ่ง ต่อมาเกิดศาสนาพระศาสดาทรงเปิดเผย ให้คนบางพวกลืมหู ลืมตารู้จักอะไรเป็นอะไร และจับกลุ่มกันรวมกันเป็นหมู่คนที่มีความรู้เรื่องนี้ปฏิบัติอย่างเดียวกันดับทุกข์ ดับกิเลสได้เรียกว่า พระสงฆ์ หมู่สงฆ์ในพระพุทธศาสนา ในครั้งแรกทีเดียวท่านก็ไม่ได้หมายที่จะให้มาบวชกันอย่างนี้ เกิดเป็นฆราวาสก็ได้ขอแต่อย่าให้มีความทุกข์ ให้รู้เรื่องของความดับทุกข์อยู่กันอย่างเป็นผู้ มีความสุข ยิ่งกว่าพวกที่มันหลับหู หลับตา ดังนั้นมันจึงหมายถึงอยู่บ้านเรือน ครองบ้านครองเรือนก็ได้ แต่ก็มีความรู้เรื่องนี้เพียงพอ ควบคุมกิเลสและความทุกข์ได้ เป็นสงฆ์จะเรียกว่าสาวกกับสงฆ์ดีกว่า เป็นฆราวาสอยู่ที่บ้านก็ได้ ถ้าเรียกว่าภิกษุสงฆ์มันจะจำกัดแต่ที่บวชและอยู่วัด คุณรู้จักความหมายว่าสาวกกับสงฆ์ ไว้สักคำหนึ่งและนี่เป็นฆราวาสก็ได้ ดังนั้นความหมายของคำว่าภิกษุสงฆ์ จึงได้แต่พวกบวชเท่านั้น นี่พระสงฆ์จะมีอยู่โดยกว้างขวางอย่างนี้ ผู้ครองเรือนมีมาก ฆราวาสผู้ครองเรือนมันมีมาก และก็ได้รับประโยชน์จาก พระพุทธศาสนา จากพระพุทธเจ้า นี่ก็มากเพราะจำนวนมันมากกว่าผู้ที่มาบวช ถ้าเราทำให้ฆราวาสเขารู้ธรรมะในระดับแรก ระดับที่เรียกกันว่าเดินทางผิดอีกไม่ได้ หรือเรียกว่าโสดาบัน มันก็มีจำนวนมาก มากมายทีเดียว เป็นสาวกกับสงฆ์ เป็นแค่ฆราวาส แต่ทีนี้มันไม่สูงโดยคุณธรรม มันจึงมีผู้ที่ต้องการเอาให้มากกว่านั้น ดีกว่านั้น ไกลกว่านั้น จึงออกบวช เพื่อประพฤติกันเต็มที่ อย่างนี้เขาเรียกว่าบรรพชิต แต่อย่าลืมว่าจะเป็นบรรพชิตหรือฆราวาส ก็ตามแต่ต้องดีกว่าระดับปุถุชนธรรมดา ที่มันไม่รู้อะไร หรือก่อนแต่ที่จะรับธรรมะ หรือรับพุทธศาสนามันอยู่อย่างหลับหูหลับตา เพราะฉะนั้นผมจึงใช้คำบัญญัติว่า พระสงฆ์คือหมู่แห่งบุคคล ผู้ลืมหูลืมตา เป็นอยู่อย่างถูกต้องในการประพฤติ ปฏิบัติเพื่อขจัดปัญหาและความทุกข์ ของมนุษย์ธรรมดาได้
นี้จะพูดถึงความแตกต่างระหว่างสงฆ์บรรพชิต กับสงฆ์ฆราวาส ให้เห็นบ้างไม่เสียทีที่คุณอุตส่าห์บวชกันทั้งที คือจะบอกให้รู้ว่าสงฆ์บรรพชิตนี่มันทำอะไรได้มากกว่า พวกสงฆ์ฆราวาสครองเรือน คือมันจะสอนคนอื่นได้ นำคนอื่นได้ กระทั่งนำบิดา มารดาของตัวก็ได้ ทีนี้เป็นผู้นำได้และเป็นผู้สืบอายุพระศาสนาได้ดีกว่าด้วย เราทุกคนมีหน้าที่สืบอายุพระศาสนาให้ตกทอดไปถึงคนชั้นหลัง ที่ๆเรียกบวชกันเป็นบรรพชิตนี่คือโอกาสมีความสามารถ มีความเหมาะสมหลายๆอย่างที่จะสืบอายุพระศาสนาได้ดีกว่า ดังนั้นเขาจึงยกพระสงฆ์อย่างบรรพชิตนี่ขึ้นเหนือกว่าพระสงฆ์ อย่างฆราวาส จนถึงกับมีหลักที่ใครกล่าวก็ไม่รู้นะ แต่ก็ถือกันมาเป็นหลักว่า พระสงฆ์ฆราวาส ไม่ว่าจะเป็น สกิทาคา อนาคา ก็ต้องไหว้พระสงฆ์ ที่เป็นบรรพชิตแม้ไม่ได้บรรลุมรรคผล ชั้นไหนมันเอาระดับเกรด เป็นหรือชั้นเป็นหลักโดยให้ยอมรับว่า การเป็นบรรพชิตนี้เสียสละมาก พยายามมาก ทำหน้าที่ให้สูงกว่า ให้เป็นผู้นำโลกให้เป็นผู้สืบอายุ พระศาสนา นี่รวมความว่าไอ้หมู่คน หมู่คนหมู่หนึ่งที่ดีกว่าระดับธรรมดานี่คือพระสงฆ์ พูดอย่างนี้เกือบหมดค่าไหม ไอ้คณะบุคคลคณะหนึ่งที่ดีกว่าระดับธรรมดา คือพระสงฆ์ ถ้าระดับธรรมดาก็ยังเป็นปุถุชน เหมือนเคยที่ยังไม่รู้จักธรรมะ รู้จักอะไรเลยนี่ ระดับธรรมดา ทีนี้คือผู้ที่ได้รู้จักอะไรเป็นอะไรพอที่จะดีกว่าระดับธรรมดา มีจิตใจสูงกว่า ต่อสู้กิเลสและความทุกข์ได้ อย่างอื่นก็ดีกว่าระดับธรรมดาเลยพูดให้เป็นกำลังใจแก่ทุกคนว่า
พระสงฆ์โดยภาษาธรรม เมื่อกล่าวโดยภาษาธรรม คือผู้ที่มีระดับดีกว่าธรรมดา เป็นฆราวาสก็ได้เป็นบรรพชิตก็ได้ ภิกษุสงฆ์ก็เป็นบรรพชิต สาวกกับสงฆ์ก็เป็นฆราวาสก็ได้ นี่คือพระสงฆ์เป็นเอาว่าเราได้พูดกันถึงเรื่อง พระรัตนตรัยเป็นวันแรกนี้คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ชี้ให้เห็นใจความว่าเหมือนกันไม้สามขา ในหัวใจของพระพุทธศาสนา ต้องตั้งอยู่ได้โดยไม่ล้ม และเพื่อประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ร่วมโลก นี่ก็พูดให้เห็นว่าศาสนาไหนก็มี ไม้สามขาในหัวใจของศาสนาไหนก็มี แล้วก็มีอย่างชนิดที่จะเข้ากันได้ กับเพื่อนศาสนาอื่นไม่ต้องทะเลาะวิวาทกัน ดังนั้นเราอย่าไปดูถูกดูหมิ่น ศาสนาอื่นเลย เมื่อเขาพูดไว้ในภาษาคนมากเกินไปเราก็เฉยเสีย เราตีความเป็นภาษาธรรมแล้วมันก็จะเข้ากันได้กับศาสนาเราซึ่งนิยมภาษาธรรมเป็นหลัก คือภาษาธรรมจริง ประเด็นสุดท้ายที่จะพูดเหลืออยู่นิดเดียวว่ามันมีประโยชน์อะไร พระรัตนตรัยนี้มีประโยชน์อะไร อย่าให้ผมต้องพูดนักก็ได้ คุณคิดเอาเองก็มองเห็นว่ามีประโยชน์อะไร
ถ้าเรามีพระรัตนตรัยหรือเราเป็นพระรัตนตรัย โดยเอกเทศมันจะมีประโยชน์อะไร ก็บอกว่ามันดีกว่าธรรมดา มันดีกว่าธรรมดาพูดแล้วมันก็ไม่น่าจะปลื้มใจอะไร แต่มันมีค่ามาก มันดีกว่าธรรมดา ไอ้คนธรรมดามันจะต้องเป็นทุกข์ให้มันมีเงินล้นฟ้ามหาศาลมันก็เป็นทุกข์ ให้มีอำนาจล้นฟ้ามันก็มีความทุกข์ ต่อให้มันมีอะไรต่ออะไรมันก็มีความทุกข์ ฉะนั้นเพื่ออย่าให้มีความทุกข์เราก็มีพระรัตนตรัย ดังนั้นจึงถือว่าประโยชน์สูงสุด ทำให้ทุกคนไม่มีปัญหาไม่มีความทุกข์ นี่ลองไม่มีธรรมะ มันยิ่งมีความทุกข์ เป็นนายทุนที่ร่ำรวยมันก็ยังมีความทุกข์ ด้วยทุนที่มาก ด้วยทรัพย์ที่มากด้วยกิเลสตัณหามาก ไม่รู้จักทำจิตใจให้ว่าง จากความรบกวนของกิเลส หรือจะเป็นราชามหากษัติย์ เป็นอะไรที่ว่าดี จักรพรรดิ์ เป็นอะไรก็สุดแท้มันก็ยังมีความทุกข์ ด้วยอำนาจของกิเลสเว้นเสียแต่จะมีไม้สามขา อยู่ในจิตใจ ดังนั้นชนชาติไหน สาขาไหนถือศาสนาอะไร ขอให้รู้จักใช้ประโยชน์จากไม้สามขา ที่มีอยู่หัวใจแห่งศาสนาของตนๆ ก็เป็นคนที่มีศาสนาด้วยกันทุกคน มันดีกว่าเป็นคนที่ไม่มีศาสนานี่คือพระรัตนตรัย หรือไม้สามขาที่มีอยู่ในทุกศาสนา เอามาพูดเป็นเรื่องแรก ในวันแรก ของธรรมปาติโมกข์ คือหัวข้อที่เป็นหลักเป็นดุ้นๆ หลักใหญ่ๆของพระธรรม เราเริ่มด้วยเรื่องของพระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ จึงหวังว่าคุณ จะได้รู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มากกว่าที่แล้วมา เท่านี้ผมก็พอใจแล้ว ก็ขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้ ตามสมควรแก่เวลา