แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย โอกาสนี้อาตมาอยากจะบรรยายแทนการแสดงธรรมเทศนา ด้วยเหตุผลว่าอยากจะถือโอกาสปรับความเข้าใจ แก่ท่านทั้งหลายที่มาแต่ที่ไกลด้วย และก็เป็นเรื่องของการตระเตรียมเพื่อจะทำพิธีปีใหม่เท่านั้นเอง ถ้าจะมีแสดงธรรมเทศนาก็พรุ่งนี้ก็ได้ แล้วก็ไม่ได้เอาสังฆาฏิมา ก็เลยไม่ต้องเทศน์ อยากจะบรรยายตามธรรมดา
ในข้อแรกที่สุดก็อยากจะเตือน หรือทำความเข้าใจกันทั่ว ๆ ไป สำหรับท่านที่มาแต่ที่ไกล ก็อุตส่าห์มาทำบุญปีใหม่ถึงที่นี่ ก็คงจะมีความคิด หรือความตั้งใจความหวังอะไรที่เป็นพิเศษบ้าง นั่นก็เป็นเรื่องของท่านทั้งหลาย แล้วแต่จะมีความประสงค์อย่างไร สำหรับอาตมานี้ก็คิดว่า จะเตือนกันอยู่เสมอไปถึงคำว่า “สวนโมกข์” จะมาปีใหม่ที่สวนโมกข์ มันก็ต้องบวกใหม่กับโมกข์เข้าด้วยกัน ใหม่ คืออย่างไร โมกข์ คืออย่างไร เอามาบวกเข้าด้วยกัน แล้วก็ทำโมกข์นั่นแหละให้มันเป็นใหม่ สำหรับคำว่าโมกข์นั้น ถ้าภาษาธรรมดาสามัญก็ต้องแปลว่าเกลี้ยง ในที่นี้ก็หมายถึงจิตใจมันเกลี้ยงจากสิ่งที่สกปรก ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วก็ตรงกับความหมายของคำว่าโมกข์ ผู้ที่อยู่ที่นี่ก็พยายามทำจิตใจให้เกลี้ยง ผู้ที่มาเป็นครั้งคราวก็มาเพื่อพยายามทำให้มันเกลี้ยงตามโอกาสตามครั้งตามคราว แล้วที่ว่าใหม่นั้นก็คือให้มันมากขึ้นทุกที ถ้าปีนี้เกลี้ยงเท่าไร ปีใหม่มันก็ควรจะเกลี้ยงมากกว่านี้ คือให้มันเกลี้ยงใหม่ ๆ ออกไป ก็เลยเรียกว่าปีใหม่ ถ้าไม่อย่างนั้นมันไม่ใหม่ มันจะเก่าเท่าเดิม ฉะนั้นขอให้ทำจิตใจให้ใหม่ด้วยความเกลี้ยง ขอจิตใจมันเกลี้ยงจากสิ่งสกปรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเมืองเรื่องสกปรก ขออย่าได้เอามาคิดมานึกมาพูดมาอภิปรายในเรื่องการเมืองที่สกปรก ควรจะพูดถึงเรื่องที่ทำให้เกลี้ยง คือทำให้การเมืองมันเกลี้ยง ให้เป็นการเมืองที่เป็นศีลธรรม เพราะว่าสิ่งที่เรียกว่าการเมืองนั้นก็คือศีลธรรม คนโง่เท่านั้นที่จะเห็นการเมืองเป็นการเมือง แล้วก็แยกศีลธรรมออกไปจากการเมือง การเมืองโดยแท้จริงก็คือการจัด การทำ การขวนขวายทุกอย่างทุกทางเพื่อให้มันเกิดความสงบสุข มันเป็นการเมืองบริสุทธิ์ มันก็คือศีลธรรมนั่นเอง ส่วนการเมืองเรื่องหาประโยชน์ของพวกใดพวกหนึ่งคนใดคนหนึ่งนั้นมันเป็นเรื่องสกปรก ไม่ใช่การเมือง หรือเป็นการเมืองปลอม เราอย่าเอามาพูดกันในวันที่เราต้องการให้จิตใจมันเกลี้ยง ถ้าจะพูดกันต้องพูดเป็นลักษณะที่เกลี้ยง ก็เป็นการเมืองเช่นศีลธรรม ไม่ใช่การเมืองที่กำลังทะเลาะวิวาทยื้อแย่งอะไรกันอยู่ในเวลานี้ ซึ่งเป็นเรื่องสกปรกทั้งโลก นี่เป็นตัวอย่างที่ว่าเกลี้ยง หรือไม่เกลี้ยงอย่างไร ทำไมต้องยกตัวอย่างการเมือง ก็เพราะว่าเดี๋ยวนี้การเมืองมันขึ้นสมอง กระทั่งสมองของลูกเด็ก ๆ ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมด้วยซ้ำไป เราก็เลยพูดถึงเรื่องที่จะทำให้สกปรก เพื่อป้องกันไว้จะให้มันเป็นเรื่องที่เกลี้ยง แต่ความเกลี้ยงโดยทั่วไปนั้นก็คือเกลี้ยงจากราคะ โทสะ โมหะ ซึ่งมีคำอธิบายมาก ซึ่งทุก ๆ คนก็ควรจะเข้าใจได้เอง
กิเลสแปลว่าสกปรก คำว่ากิเลสนั้นเป็นภาษาบาลี ถ้าเป็นภาษาไทยก็แปลว่าสกปรก มีกิเลสเข้ามาเมื่อไรมันก็สกปรก มันก็ไม่เกลี้ยง ระวังไว้ให้ตลอดไปอย่าให้มันเกิดขึ้นมันก็จะเกลี้ยงอยู่ เกิดขึ้นมาเป็นครั้งคราวก็รีบขจัดออกไปด้วยสติสัมปชัญญะ แล้วก็ป้องกันไว้ด้วยสติสัมปชัญญะอีกนั่นเอง อย่าให้มันเกิดขึ้น เราก็จะเกลี้ยงอยู่เป็นปกติ มันเกลี้ยงมากขึ้น ก็คือว่าให้มันเกิดน้อยลง โดยครั้งคราวก็ให้มันมีครั้งคราวน้อยลง โดยปริมาณปริมาตรก็ให้มันน้อยลง ก็เรียกว่ามันเกลี้ยงขึ้น สมกับว่าปีใหม่ ขอให้ท่านผู้มาแต่ที่ไกลตั้งใจอย่างนี้ ให้ถึงสวนโมกข์ในลักษณะอย่างนี้ ถ้ายังไม่เกลี้ยงก็ไม่ถึงสวนโมกข์ ถ้าไม่เกลี้ยงมากกว่าปีเก่ามันก็ไม่ใช่ทำบุญปีใหม่ หรือขึ้นปีใหม่ มันเป็นปีเก่าอยู่นั่นแหละ ดังนั้นเราจะพูดกันถึงทางที่จะทำให้เกลี้ยงเป็นพิเศษ เพื่อต้อนรับปีใหม่ที่จะมาในเวลาอันใกล้นี้แล้ว ตามที่สมมติกันก็คือหลังเที่ยงคืนนี้ไปก็จะเป็นปีใหม่แล้ว นี่พยายามเตรียมต้อนรับปีใหม่ให้มันใหม่ ถ้าสำหรับคนอื่นทำไม่ได้ก็ทำสำหรับเราเองก็แล้วกัน ให้มันใหม่สำหรับเรา ขอให้ตั้งใจฟังให้ดี
ทีนี้เมื่อจะเอาถึง จะเอาปัญหาเฉพาะหน้าแห่งโลกปัจจุบันนี้มาพูดกัน มันก็เป็นเรื่องศีลธรรมอีกนั่นเอง แล้วโลกนี้จะใหม่ขึ้นมาบ้างจากปีเก่านี่ก็ต้องจัดการแก้ไขทางศีลธรรม เพราะฉะนั้นอาตมาจะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า “การกลับมาแห่งศีลธรรม” คือเรื่องที่จะพูดกัน บรรยายกัน ถกเถียงกัน อภิปรายกันในเฉพาะ เฉพาะในวันนี้ เพื่อต้อนรับปีใหม่นี้ มีหัวข้อว่าการกลับมาแห่งศีลธรรม แล้วก็จะแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เลวร้ายอยู่ในเวลานี้ได้มากทีเดียว ขอให้ภาวนาไว้ในใจก่อนว่า การกลับมาแห่งศีลธรรมนี้จะทำให้โลกมันเกลี้ยงขึ้นกว่าเดิม คือจิตใจของคนมันจะเกลี้ยงขึ้นกว่าเดิม ศีลธรรมมันหายไป ความสกปรกมันก็เกิดขึ้นแทน จะกลับมาแห่งศีลธรรมก็ขจัดความสกปรกออกไป มันก็สะอาดหรือเกลี้ยง เดี๋ยวนี้เราปรารภปีใหม่ ก็ปรารภเวลา เพื่อให้เกิดความไม่ประมาท ถ้าเทศน์ในวันนี้ก็ต้องเทศน์ด้วยพุทธภาษิต หรือธรรมภาษิตก็ตามที่ว่า กาโล ฆสติ ภูตานิ เวลาย่อมกินสรรพสัตว์ สพฺพาเนว สหตฺตนา สัตว์ทั้งปวงทั้งสิ้นพร้อมกับตัวมันเอง แปลว่า อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงทำความไม่ประมาท ให้ถึงพร้อมเถิด ทำไมจึงเตือนดังนี้ ก็เพราะว่าเวลามันกำลังกินสรรพสัตว์ให้ร่อยหรอไป ให้ร่อยหรอไป แล้วก็ตายลงในที่สุด การทำให้ร่อยหรอไปนี้ทำทั้งสองฝ่าย คือทั้งฝ่ายสรรพสัตว์ และทั้งฝ่ายตัวมันเอง ในส่วนตัวมันเองนั้นมันก็ร่อยหรอไป คือมันรีบเร่งเหมือนกัน ต้องทำให้ทันแก่เวลา ในฝ่ายสรรพสัตว์นั้น สรรพสัตว์มันก็มีเวลาน้อยลง ๆ มัวแต่ชักช้าอยู่มันก็ไม่ทัน เหมือนคนโบราณที่เขาว่า มันตากผ้าเมื่อแดดลับแสงแล้วนี้มันเป็นคนบ้า ฉะนั้นต้องรีบตากผ้าเสียตั้งแต่เมื่อแดดมันยังดี ยังมีอยู่ นี่การปรารภเวลามันเป็นอย่างนี้
สำหรับความไม่ประมาทนั้นเป็นพินัยกรรมของพระพุทธเจ้า สิ่งที่เรียกว่าพินัยกรรมก็คือคำสั่งเมื่อจวนจะตาย จะดับจิต เมื่อพระพุทธเจ้าจะเสด็จปรินิพพานโดยทางกายนั้น ท่านก็ได้ตรัสธรรมนี้เหมือนกับพินัยกรรมมอบไว้ให้แก่เราทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายทั้งปวงจงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท แล้วท่านก็นิ่งไปไม่พูด ไม่ตรัสอะไรอีก ก็นับว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคำตรัสข้อนี้ จะต้องเอามาใส่ใจจนตลอดชีวิต หรือว่าจนกว่าจะพ้นความหมายของการมีชีวิต คือหมดตัวหมดตนเป็นพระอรหันต์ไปเลย มันก็เป็นเรื่องที่จะต้องรักษาความไม่ประมาท แต่ถ้ายังเป็นปุถุชน หรือยังไม่เป็นพระอรหันต์ก็ต้องทำให้มากในเรื่องความไม่ประมาท ถ้าปฏิบัติอย่างนี้ได้ มันก็จะมีอะไรใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นทุกวัน ๆๆ ด้วยซ้ำไป ไม่ต้องพูดถึงปีหนึ่งเลย แม้แต่วันหนึ่ง ๆ มันก็จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆๆ อยู่เสมอ รวมกันเข้าทั้งปีมันก็ใหม่มากทีเดียว การนึกถึงพระพุทธภาษิตนี้ไม่เสียเปล่า ไม่เสียเวลาเปล่า จะช่วยให้ปีใหม่ก็มีความหมายด้วย เมื่อเวลามันล่วงไป เราก็ต้องรีบเร่งให้ทันกับเวลาในหน้าที่ที่จะต้องทำ นี่เรียกว่าความไม่ประมาท
เมื่อพูดถึงหน้าที่ที่จะต้องทำมันก็คืออะไรบ้าง มันก็มีมาก แต่ที่เป็นปัญหาเฉพาะหน้า ก็คือไอ้ที่ได้กล่าวมาแล้วว่าการกลับมาแห่งศีลธรรม นี่คือสิ่งที่ต้องรีบทำให้ทันแก่เวลา อย่าให้มันพินาศลงไปจนเกินที่จะแก้ไข จะพูดได้เลยว่าการกลับมาแห่งศีลธรรมนี่เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับมนุษย์ในวันนี้ทั้งโลกเลย คือทั้งส่วนบุคคล และทั้งส่วนรวมกันทั้งโลก จะต้องแก้ไขเรื่องการกลับมาแห่งศีลธรรม จึงถือว่าเป็นสิ่งที่ควรพิจารณากันเป็นอย่างยิ่งในโอกาสเช่นนี้ ที่จะย่างขึ้นปีใหม่ ให้ศีลธรรมกลับมา จะได้เป็นปีใหม่ที่ผิดจากปีเก่า เมื่อจะดูถึงปัญหานี้ว่าเป็นอย่างไร มันเกี่ยวเนื่องกันอย่างไร ก็ต้องดูเหตุการณ์เฉพาะหน้า ที่มีอยู่อย่างเป็นปัญหานั่นแหละเสียก่อน มันจะได้เกิดความรู้สึกที่จริงจังกันขึ้นมาบ้างในจิตใจ บางคนอาจจะกลัวมาก ๆ ถึงสิ่งเลวร้ายที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ บางคนที่มีกำลังใจ หรือมีธรรมะอยู่บ้างก็คงจะไม่ถึงกับกลัว แต่ว่าสลดสังเวชในความเลวร้ายที่มันมีอยู่ในโลกเป็นปัจจุบันนี้ แต่มันก็เหมือนกัน จะกลัว หรือจะสลดสังเวช หรือจะเศร้าหรืออะไรก็สุดแท้ ล้วนแต่เป็นปัญหาที่ต้องขจัดออกไปด้วยกันทั้งนั้น ทีนี้เรามาดู เราก็ดูปัญหาเฉพาะหน้า ในที่สุดก็จะพบว่าปัญหาเหล่านี้มันเนื่องมาจากความเสื่อมศีลธรรม คือความไร้ศีลธรรมในที่สุด ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม โดยอ้อมนั้นเห็นยาก ฉะนั้นต้องพิจารณา จะต้องขยันพิจารณา เดี๋ยวนี้ทั่วทั้งโลกมันก็มีปัญหาคล้าย ๆ กันหมด แต่ในที่ไกลนั้นเราไม่ค่อยจะเห็น ก็ดูกันภายในประเทศของเราก่อน แล้วเป็นที่เชื่อได้ว่ามันเหมือน ๆ กันไปทั้งโลก
ลักษณะที่หนึ่ง ก็คืออันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สมบัติ ทั้งของรัฐ และของประชาชนเป็นส่วนตัว นี่ก็เข้าใจได้ทันที ไม่ต้องอธิบายอะไรก็ได้ ในโลกนี้ในปัจจุบันนี้มันเต็มไปด้วยอันตรายแก่ชีวิตโดยตรงบ้าง แก่ร่างกายอวัยวะบ้าง กระทั่งแก่ทรัพย์สมบัติบ้าง ทั่วกันไปทั้งโลก ในประเทศที่ถือกันว่าเจริญก้าวหน้าก็ยิ่งมีมากสมกับที่มันเจริญก้าวหน้า ในประเทศใหญ่มันก็มีมากสมกับที่มันเป็นประเทศใหญ่ มีทั่วกันไปหมด เห็นอยู่ชัด ๆ ก็มี ยังซ่อนเร้นอยู่เบื้องล่างนั้นก็มี ในประเทศไทยเราก็ดูเอาเอง ในเมืองหลวงยิ่งมีมากกว่าในป่า ในดง สำหรับอันตรายแก่ชีวิตร่างกายนั้น ดูได้จากหนังสือข่าว หนังสือพิมพ์อะไรต่าง ๆ จะเห็นว่ามันเพิ่มมากขึ้นทุกที ๆ ทุกเดือน ทุกวัน นั่นมันเป็นความเสื่อมทางศีลธรรมที่แสดงออกมา ก็ศีลธรรมมันไม่ได้มุ่งหมายให้คนทำอันตรายกัน ต้องทำให้คนอยู่กันอย่างพี่น้อง เห็นอกเห็นใจกัน อย่าไปฆ่าเขา เราเองตายเสียดีกว่า เป็นขโมยนั้นไม่ไหวเป็นขอทานดีกว่า อย่างนี้ก็เบียดเบียนกันไม่ลง ลักของเขาก็ไม่ได้ จะเบียดเบียนอย่างไรทางไหนก็ไม่ลง เมื่อไม่มีศีลธรรมมันก็ต้องมีสิ่งเหล่านี้มากขึ้น คือการเบียดเบียน
ทีนี้มาดูลักษณะที่ ๒ เรื่องของแพง เรื่องเศรษฐกิจในครอบครัว ในบ้านเมือง หรือทั่วโลก ขายของแพง แพงมากแพงน้อย กาแฟเคยแก้วละ ๕ สตางค์เป็นอย่างมาก เดี๋ยวนี้ ๖ สลึง ที่ประเทศยุโรปถ้วยละ ๑๔ บาทเมื่อเทียบกับเมืองไทย ที่ประเทศญี่ปุ่น คุณ...(นาทีที่ 20:56) มาเมื่อเช้านี้ ถ้วยละ ๒๐ บาทเมื่อเทียบกับเมืองไทย นี่กาแฟ ก็เป็นที่ยอมรับได้แล้วว่าของมันแพง มันแพงขึ้น ทำไมมันแพง อาตมามันเป็นคนโง่ คนบ้า หลงแต่เรื่องศีลธรรมเท่านั้นแหละ ก็บอกว่าเพราะศีลธรรมมันเสื่อม กาแฟมันจึงแพง ไม่เกี่ยวกับเศรษฐกิจอะไรที่ไหน ศีลธรรมมันเสื่อม คนมันยังโง่ คนมันอยากจะโง่ มันอยากจะกินกาแฟ มันทำผิดในส่วนอื่น ๆ ทำให้อะไร ๆ มันก็แพง น้ำตาลมันก็แพง เพราะเสื่อมศีลธรรม กาแฟมันก็แพง เพราะเสื่อมศีลธรรม แรงงานมันก็แพง เพราะมันเสื่อมศีลธรรม อะไร ๆ มันแพง เพราะมันเสื่อมศีลธรรม ลองศีลธรรมดีของจะลดลง แต่อย่าเพิ่งอธิบายดีกว่ามันยืดยาด แต่ขอยืนยันว่าพอมีศีลธรรม ของแพงมันจะลดลง ด้วยอำนาจความเมตตา กรุณาความไม่เอาเปรียบ ความรักเพื่อนมนุษย์ หรือความเสียสละ กระทั่งความหมดโง่ ไม่กินมันเสียก็แล้วไป มันก็ถูกลงเอง ในเรื่องของแพง มีเหตุอันลึกซึ้งมาจากความไม่มีศีลธรรม
ลักษณะที่ ๓ อบายมุขมันระบาดเกินขนาด นี่ไม่ต้องพูดแล้ว มันเป็นลักษณะของความไม่มีศีลธรรมโดยตรง อบายมุขก็คือว่าดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการละเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน นี่เป็นหัวข้อใหญ่ ๆ ตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ เดี๋ยวนี้อบายมุขมันยิ่งหนาแน่น หนาแน่นกว่าที่แล้ว ๆ มา และหนาแน่นยิ่งขึ้น และมีลักษณะที่รุนแรงขึ้น เช่นน้ำเมานี้ ก่อนก็เป็นน้ำเมาที่ไม่สู้จะเมา เดี๋ยวนี้มันก็เมาแรงขึ้น เที่ยวกลางคืนเหมือนกัน ก่อนนี้ไม่มีโอกาสจะเที่ยว เดี๋ยวนี้มันก็ยิ่งมีโอกาสที่จะเที่ยว แล้วก็มีสิ่งยั่วยวนมากกว่าแต่ก่อนมาก ดูการละเล่นนี้มันก็มากเกินที่จะเปรียบ เมื่อก่อนนี้เราต้องไปดูในที่ไกล และมีเป็นครั้งเป็นคราว เดี๋ยวนี้มันมีสื่อทางโทรทัศน์ ทางวิทยุอะไรต่าง ๆ เอาการเล่นมาใส่ไว้ ข้างหมอนข้างที่นอนก็ได้ ตลอดวันตลอดคืนก็ได้ ฉะนั้นการละเล่นมันก็เลยมาก เป็นอบายมุขมันมากมาย เล่นการพนันก็เหมือนกันอีก มันก็มากขึ้น เพราะคนมันโง่มากขึ้นไอ้การพนันมันก็มากขึ้น การพนันมันก็ละเอียดประณีตสุขุมลึกลับซับซ้อน เลี่ยงกฎหมายมากขึ้น จนอะไรก็จะพนันกันไปเสียทุกอย่าง คบคนชั่วเป็นมิตร ก็คนเหล่านั้นมันชั่ว เพราะฉะนั้นการคบคนชั่วมันก็มีมากขึ้น คนทำอบายมุขทุกคนมันเป็นคนชั่ว เพราะฉะนั้นการคบคนชั่วด้วยกันมันก็มีมากขึ้น เกียจคร้านทำการงานนี้ก็ลึกลับมากขึ้น นับตั้งแต่ไม่มีใครอยากทำงานหนัก ไม่อยากทำงานเหนื่อย กระทั่งไม่อยากทำเลย ที่เขาเรียกว่าเรียนลัด คือมันไปโกงเขามา ทำงานโกง ก็ว่า มันก็มาจากไม่อยากจะทำงาน ถ้าเป็นสมัยโบราณเขาถือว่าการทำงานนั้นเป็นการถูกต้อง เป็นการปฏิบัติธรรม มันเหงื่อออกมาเพื่อจะล้างความเห็นแก่ตัว ก็เลยพอใจ หรือสนุกในการทำงาน นี่ตัวอย่างของอบายมุขมันมากขึ้น เพราะว่าคนมันไม่อยากทำงาน คดโกงตั้งแต่การศึกษาเล่าเรียน ได้ประกาศนียบัตรปลอมมา แล้วมันก็ให้ทำงานที่มันเหนื่อยน้อย หรือไม่เหนื่อยเลยอย่างนี้ เป็นต้น อบายมุขระบาดเกินขนาด เพราะไม่มีศีลธรรม เพราะศีลธรรมมันหายไปอบายมุขมันเข้ามาแทน อบายมุขนี้แปลว่าว่าเหตุ หรือปากทางแห่งอบาย เมื่อปากทางแห่งอบายมีมาก อบายมันก็มีมาก ฉะนั้นคนเดี๋ยวนี้จึงร้อนใจมาก ตกนรกทั้งเป็นอยู่มาก ๆ แล้วหิวกระหายเหมือนกับเปรตอยู่ทั้งวันทั้งคืน แล้วโง่เหมือนสัตว์เดรัจฉาน คือเป็นสัตว์เดรัจฉานมันโง่ มีความเห็นไม่ถูกต้อง ไปทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ อสุรกายคือขี้ขลาด และกลัวนั่นกลัวนี่อยู่ตลอดเวลา คนจนก็กลัว คนรวยก็กลัว เศรษฐีก็กลัว มหาเศรษฐีก็กลัว ประธานาธิบดีก็กลัว ล้วนแต่อยู่ด้วยความกลัว นี่เป็นอสุรกาย ไม่มีความสบาย เพราะอยู่ในอาณาจักรแห่งความกลัว นั่นน่ะคือตัวอบาย เพราะอบายมุขมันมาก อบายมุขมันมาก เพราะมันเสื่อมศีลธรรม ฉะนั้นควรจะคิดถึงการกลับมาของศีลธรรม เพื่อว่าอบายมุขมันจะได้น้อยลงไป
ลักษณะที่ ๔ ทั่วโลก แม้ในประเทศไทยนี้ ก็คืออาชญากรรมทางเพศระบาดหนักขึ้น อาชญากรรมความเลวร้ายที่เนื่องมาจากเพศ กำลังรุนแรงขึ้นทุกที ๆ นี่ก็ไม่ต้องอธิบายแล้ว มันเป็นเรื่องความไม่มีศีลธรรมเห็นอยู่ชัดแล้ว ถ้าศีลธรรมกลับมาสิ่งเหล่านี้ก็หายไป
ลักษณะที่ ๕ ปัญหาเกี่ยวกับภัยทางธรรมชาติ ธรรมชาติ ดินฟ้าอากาศ โดยเฉพาะเรื่องพายุ เรื่องน้ำท่วม เรื่องอะไรนี่เรียกว่าภัยจากธรรมชาติ อาตมาก็ว่ามันมาจากความไร้ศีลธรรม ยอมเป็นคนโง่ ดื้อดึงตะพึดว่าปัญหาทุกอย่างมันมาจากความไร้ศีลธรรม น้ำท่วมก็ดี พายุก็ดี อะไรก็ดี ความมีน้ำก็ดี ความไม่มีน้ำก็ดี มาจากความไม่มีศีลธรรมของมนุษย์ ตัวอย่างเช่นทำลายป่าเสียหมด มันก็เกิดไม่มีน้ำ เพราะป่ามันไม่มีน้ำ มันไม่อมน้ำ ลำธารทั้งหลายมันก็ไม่มีน้ำไหล ก็ไม่มีน้ำ ที่น้ำท่วมใหญ่ มันก็เพราะไม่มีป่าอีกเหมือนกัน เพราะทำลายป่าเสียแล้ว ฝนตกลงมาน้ำก็ไหลเทลงมาเหมือนกับเทจากกระบอก มันก็ท่วมบ้านท่วมเมือง น้ำไม่มีก็เพราะการทำลายป่า น้ำท่วมก็เพราะการทำลายป่า ก็ไปโทษธรรมชาติ ไม่โทษความโง่ของคน หรือความไร้ศีลธรรมของคนที่ไปทำลายป่า ไปทำลายธรรมชาติ ทีนี้ฝนก็ไม่ตกต้องตามฤดูกาล กิเลสตัณหาของมนุษย์นี่ทำให้ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ทำนั่นทำนี่ยุ่งไปหมด ในแผ่นดินนี้ ในทะเลนี้ บนฟ้านี้มีอะไรขึ้นไปกวนจนยุ่งไปหมด จนเหลือที่ฝนมันจะตกต้องตามฤดูกาลได้ นี่ความไม่มีศีลธรรมของมนุษย์นี้มันทำให้ธรรมชาติวิปริตปั่นป่วน จนเกิดเป็นภัยแก่มนุษย์นั่นเอง จะเชื่อไม่เชื่อก็คอยดูต่อไปว่าภัยธรรมชาติทั้งหลายมาจากความไร้ศีลธรรมของมนุษย์ พายุก็ดี น้ำท่วมก็ดี อะไรก็ดี ที่เรียกว่าภัยธรรมชาติ
ลักษณะที่ ๖ การเรียกร้องแบบประชาธิปไตยที่มันเฟ้อ และมันเฟือน ประชาธิปไตยยิ่งเฟ้อยิ่งเฟือนเท่าไรการเรียกร้องด้วยกิเลสตัณหา หรือความไร้ศีลธรรมมันก็มีมากขึ้นเท่านั้น จนหาความสงบสุขในบ้านเมืองนี้ไม่ได้ นี่ไม่ใช่ธรรมชาติ นี่เป็นมนุษย์ทำโดยตรง ทั่วทั้งโลกเต็มไปด้วยการเรียกร้อง การจับตัว การขู่เข็ญ การบังคับ การเรียกค่าไถ่อะไรก็ตามรวมเรียกว่าการเรียกร้องทั้งนั้นแหล่ะ เพราะประชาธิปไตยมันเฟ้อ มันเฟือน เพราะประโยชน์มันเข้าตา มันก็เห็นแต่ประโยชน์ มันก็ไร้ศีลธรรม มันก็เรียกร้อง มันก็บังคับ มันก็ขู่เข็ญ แล้วก็อ้างว่าเป็นประชาธิปไตย นี่ก็ต้องระวังให้ดี ถ้าประชาธิปไตยแท้มันก็ดี อะไรมันก็ดี ถ้ามันเป็นของแท้แล้วมันก็ดีทั้งนั้นแหละ อยากจะแนะให้ดูว่าพุทธศาสนานี่ถ้าดูให้ดีแล้วก็จะเป็นอะไรได้ทุกอย่าง เป็นประชาธิปไตยที่แท้ที่จริงที่ดีที่เอามาใช้เท่าไหร่ก็มีประโยชน์ ก็ไม่มีโทษมีแต่ประโยชน์ ส่วนประชาธิปไตยของคนที่ไร้ศีลธรรมนั้นมันมีแต่โทษ แล้วก็หลงกันแต่ประชาธิปไตยชนิดนี้ เพราะว่าใช้คำกำกวม ประชาธิปไตยก็ดีไปหมด นี่อยากจะพูดเลยไปถึงว่าไอ้ชื่อแปลก ๆ ที่เขาเรียกกันเดี๋ยวนี้เช่นว่าสังคมนิยม พุทธศาสนาในประเด็นสังคมนิยมที่ยอดที่เลิศที่ดีกว่าสังคมนิยมทุกชนิด ทุกรูปแบบ แต่คนก็เข้าไม่ถึง ต่อให้ใช้คำว่าคอมมิวนิสต์ด้วยซ้ำไป พุทธศาสนานั้นแหละคือคอมมิวนิสต์ที่ดี ที่ถูกต้อง ที่เหนือกว่าคอมมิวนิสต์ทั้งหลายที่มีอยู่ในโลก คือเจตนารมณ์ที่เห็นแก่ส่วนรวมโดยบริสุทธิ์ใจ โดยถูกต้อง โดยไม่ต้องมีฆ่าแกงกัน ถ้ามีการฆ่าแกงกันมันก็เลวทั้งนั้นแหละ แต่พุทธศาสนาจะจัดเรื่องให้คนผาสุกทั่วถึงกัน ก็ไม่มีการฆ่าแกงได้ จะเป็นอุดมคติของคอมมิวนิสต์ก็ได้ ถ้าเราจะเรียก ถ้าเราจะมองกันในแง่ว่าเพื่อเห็นแก่คนหมู่มาก ก็ต้องเป็นคอมมิวนิสต์ที่ดีกว่าคอมมิวนิสต์ชนิดไหนหมด อยากจะท้าว่าให้มันมีคอมมิวนิสต์สักสิบรูปแบบ หรือร้อยรูปแบบอยู่ในโลก เจตนารมณ์ของพุทธศาสนาคอมมิวนิสต์ที่ดีกว่าทุกรูปแบบ แต่เดี๋ยวนี้คนมันไม่รู้จัก มันไม่เอามาใช้ มันเอากิเลสมาใช้ ไม่เอาพุทธศาสนามาใช้ หรือว่าครึ่ง ๆ กิเลสก็ตาม มันก็ได้คอมมิวนิสต์ในรูปแบบที่มันต้องฆ่าแกงกัน นี่ขอให้ลองพิจารณาดูให้ดีว่าปัญหาทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียกร้องนี้ ถ้ามันเรียกร้องที่ถูกต้องเป็นธรรมด้วยเจตนาบริสุทธิ์แล้ว มันไม่มากเหมือนอย่างเดี๋ยวนี้ แล้วมันไม่มีปัญหาเหมือนอย่างที่มันมีอยู่เดี๋ยวนี้ เอาไปคิดกันดูว่าความไร้ศีลธรรมมันก็สร้างอุดมคติการเมืองบ้า ๆ บอ ๆ เถลไถลออกไป นอกลู่นอกทางมากขึ้น จนปั่นป่วนกันไปทั้งโลก หาความสงบสุขไม่ได้ นั่นก็เรียกว่าลักษณะหนึ่งที่มันปรากฏอยู่ในโลกนี้ เป็นปัญหาอย่างยิ่งอยู่ในโลกนี้ แม้ในประเทศไทยเรา
ลักษณะที่ ๗ ก็ดูต่อไปถึงว่าปัญหาแยกดินแดน ปัญหาเปลี่ยนแปลงดินแดน ปัญหารวนอำนาจการปกครองมีทั่วไปทั้งโลก ประเทศไทยเราก็มี ประเทศอื่น ๆ มันก็มี อย่างน้อยก็มีอยู่กว่าสิบรายในโลกในเวลานี้ เรื่องดินแดน เรื่องแยกดินแดน เรื่องแบ่งดินแดน เรื่องอะไรต่าง ๆ มูลเหตุแท้จริงก็มาจากความไร้ศีลธรรม แต่คนก็ไม่มอง มองเห็นเป็นเรื่องการเมือง เรื่องประโยชน์ เรื่องอย่างอื่นไป ไม่มองต้นเหตุอันแท้จริง อันลึกซึ้งว่ามันมาจากความไร้ศีลธรรม แม้ไม่ใช่อย่างเลวมันก็เป็นอย่างธรรมดา ๆ คือมองไม่เห็นความจริง หรือความถูกต้อง หรือธรรมชาติ หรืออะไร คือมองเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัว เป็นความคิดของกิเลสประเภทตัวกูประเภทของกู มันก็จัดไปในทางนั้น มันก็ต้องได้รบราฆ่าฟันกัน ต้องอยู่นิ่ง หรืออยู่กันอย่างสงบไม่ได้ ทำไมไปมองที่แยกดินแดน แม้แต่ในครอบครัวมันยังทะเลาะกัน มันยังกัดกัน ทีนี้มีความแบ่งแยกแตกแยกแม้ระหว่างบิดา มารดา หรือกับลูกแล้ว อาตมาอยู่ที่นี่ได้ยินบ่อย ๆ ที่มาปรารภกันเรื่องที่พ่อพูดกันไม่รู้เรื่อง หรือพ่อมาปรารภเรื่องที่ลูกมันพูดกันไม่รู้เรื่อง มันแบ่งแยกกันในครอบครัวนี่อย่างน่าสังเวชที่สุด ความแตกแยกโดยทางจิตใจ แม้ในครอบครัว แม้ในระหว่างพ่อแม่กับลูกหลาน คือความไร้ศีลธรรม นำมาซึ่งการคิดแบ่งแยกอย่างไม่ต้องมีเหตุผล ถ้ามีเหตุผล ก็เหตุผลแห่งตัวกูของกูซึ่งเป็นกิเลสทั้งนั้น
ทีนี้ปัญหาลักษณะที่ ๘ หรือจะเป็นลักษณะสุดท้ายแล้ว มันมากไปแล้ว ปัญหารั้วบ้าน ปัญหาผู้รักษารั้วบ้าน ที่เขาเรียกกันว่าเอกราชนั้นแหละ ปัญหาเอกราช(ออกเสียงว่า เอก-กะ-ราด)หรือว่าเอกราช(ออกเสียงว่า เอก-กะ-หราด) ไม่ทราบว่าออกเสียงอย่างไรถูก เดี๋ยวนี้โง่เต็มทีแล้วเรื่องภาษาไทย ทีอุปราช(ออกเสียงว่า อุบ-ปะ-หราด)เรียกอุปราช(ออกเสียงว่า อุบ-ปะ-หราด) ทีเอกราช(เอก-กะ-ราด)เรียกเอกราช(ออกเสียงว่า เอก-กะ-ราด) ไม่เรียกว่าเอกราช(เอก-กะ-หราด) มันยุ่งไปหมด คุณรู้เองก็แล้วกันว่าหมายถึงอะไร ปัญหาเอกราชเป็นเรื่องที่มีมูลมาจากกิเลสตัณหา ความไร้ศีลธรรม ไม่ได้มาจากธรรมชาติ ไม่ได้มาจากเหตุการณ์อย่างอื่นหรอก มันมาจากความต้องการของกิเลสตัณหา ของความไร้ศีลธรรมมันจึงเกิดปัญหาอันนี้ขึ้นมาได้ ถ้ามีศีลธรรมแล้วมันจะไปข่มเหงคนอื่นได้อย่างไร จะไปยื้อแย่งคนอื่นได้อย่างไร พอมันมีกิเลสหนาขึ้นมาแล้วมันก็อยากจะครองโลกทั้งโลก มันไม่ใช่จะเอาแต่ประเทศเดียว หรือสองประเทศ ความไร้ศีลธรรมมันมีมากถึงขนาดนี้ ดูจะพอแล้วตัวอย่างสำหรับปัญหาเฉพาะหน้า หรือปรากฏการณ์เฉพาะหน้าที่เป็นปัญหาเลวร้ายอยู่ในหมู่มนุษย์เรา
ขอสรุปอีกครั้งหนึ่งว่าทั้ง ๘ อย่าง ๘ ประการนี้มันก็มาจากต้นเหตุอันเดียวกัน คือความไร้ศีลธรรม ความเสื่อมศีลธรรม ที่พูดนี้ก็ขอให้มองไปยังความไร้ศีลธรรม หรือเสื่อมศีลธรรมนั่นแหละว่าเป็นข้าศึกอันสูงสุดของมนุษย์เรา โดยเฉพาะในปัจจุบันนี้ ที่ทำโลกให้สกปรกบ้าง ให้ระส่ำระสายบ้าง ให้ร้อนเป็นไฟบ้างหลายอย่างหลายประการด้วยกัน ฉะนั้นเราจงมุ่งหน้าไปยังไอ้ข้าศึกที่แท้จริงของมนุษย์นี้ดีกว่า ดีกว่าที่จะมาเถียงกันเรื่องแคบ ๆ ด้วยความโง่เขลา เรื่องซ้ายเรื่องขวา เดี๋ยวนี้เขาเถียงกันเรื่องซ้ายเรื่องขวา ฝ่ายหนึ่งถูกฝ่ายหนึ่งผิด คอยอ้างเหตุผลให้ฝ่ายตัวถูกอยู่เสมอ นั่นคือความโง่ที่บรมโง่ เพราะความถูกมันอยู่ตรงกลาง ความจริงมันอยู่ตรงกลาง นั่นน่ะธรรมชาติมันต้องการ ขวาสุด หรือซ้ายสุดมันคือความโง่ทั้งนั้นแหละ เพราะว่าความจริงแล้วมันต้องอยู่ที่ตรงกลาง ขออวดพุทธศาสนาหน่อย หัวใจของพุทธศาสนาคือคำว่า มัชฌิมาปฏิปทา หรือมัชฌิมาเฉย ๆ ก็ได้ แปลว่ามันมีอยู่ที่ตรงกลาง คำว่ามัชฌิมาแปลว่ามันมีอยู่ที่ตรงกลาง ถ้าตรงกลางมันสมดุล ถ้าเอียงซ้ายมันก็กระเท่เร่ เอียงขวามันก็กระเท่เร่ มันไม่สมดุลมันไม่ทรงตัวอยู่ได้ ฉะนั้นควรจะเลิกโง่ข้อนี้กันเสียที มันจะได้ไม่มีการเมืองสกปรกเข้ามา แต่จะมีการเมืองที่เป็นศีลธรรมเข้ามา เพื่อให้เกิดความเป็นกลาง กิเลสมันไม่ยอมแพ้กันหรอก เอาแต่รบกันด้วยกิเลส มันก็เป็นนิรันดร รบกันนิรันดร ต้องรบกันด้วยความถูกต้อง ด้วยธรรมะ และด้วยสัจจะของธรรมชาติ อย่าเรียกตัวเองว่าขวา อย่าเรียกตัวเองว่าซ้าย ลบทิ้งเสียให้หมด แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำให้มันถูกต้อง เดี๋ยวมันก็เกิดความเป็นกลางขึ้นมา ให้ยึดหลักธรรมชาติเป็นเกณฑ์ดีกว่า เพราะว่าถ้าจะอ้างศาสนานั้น ศาสนานี่ แล้วมันก็จะเอาเปรียบกัน แล้วการเมือง อุดมคติการเมืองบางชนิดมันก็หาว่าศาสนาเป็นยาเสพติด เพราะว่าผู้กล่าวนั้นมันไม่เคยพบเคยเห็นศาสนาที่ดี มันเลยเหมาว่าศาสนาเป็นยาเสพติดไปเสียหมด นี่ปัญหาที่จะต้องมองก็คือว่า เกิดเป็นซ้ายเกิดเป็นขวานี้ เพราะความไร้ศีลธรรมทั้งนั้น ถ้ามีศีลธรรมมาเมื่อไรจะเป็นกลาง จะอยู่ตรงกลาง จะมีความสมดุล ไม่ต้องสุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง
ทีนี้เท่าที่พูดมานี้มันก็จะพอแล้วกระมัง ที่จะเป็นเหตุผลที่จะแสดงว่าเรามาพูดเรื่องศีลธรรมกันดีกว่า เลิกพูดเรื่องการเมืองเถอะ เพราะว่าจะช่วยแก้ปัญหาทุกอย่าง รวมทั้งปัญหาทางการเมืองด้วย พูดกันแต่เรื่องศีลธรรม กับปัญหาที่เรามีอยู่ เพราะไม่มีศีลธรรม ศีลธรรมคืออะไร แล้วปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะไม่มีศีลธรรมคืออะไร เอามาพูดกันให้มันเกลี้ยงเกลาไปจะดีกว่า หรือว่าถ้าอยากจะทะเลาะกันบ้าง ก็พูดกันได้เหมือนกัน ระหว่างศีลธรรม กับการเมืองสกปรกในโลกปัจจุบัน ศีลธรรมเป็นฝ่ายหนึ่ง เป็นคู่ต่อสู้ฝ่ายหนึ่ง แล้วการเมืองสกปรกในโลกปัจจุบันทั้งโลกนี้เป็นอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วมาต่อสู้กัน เอาเรื่องนี้มาพูดกันก็ได้ มันไม่มีการแบ่งแยกในการเมืองนั้นว่าซ้ายหรือขวา มันเป็นการเมืองที่มุ่งประโยชน์ส่วนตัว เห็นแก่ตัว เห็นแก่ทิฏฐิมานะของตัวจนทำลายศีลธรรม ฉะนั้นคู่ปรปักษ์ หรือคู่ความกันมันก็มีอยู่ ระหว่างศีลธรรม กับการเมืองที่สกปรก หรือมิฉะนั้นก็พูดกันแต่ว่าศีลธรรม กับปัญหาที่มันเกิดมาจากความไร้ศีลธรรมก็ได้
ทีนี้ก็พูดกันถึงการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ว่า เป็นเรื่องที่ควรพูดที่สุด เพราะปัญหามันเกิดจากความไม่มีศีลธรรม ก็พูดถึงความมีศีลธรรม แล้วก็ปฏิบัติตามนั้น มันก็แก้ปัญหาไปทันที เดี๋ยวนี้โลกนี้มันเจริญแต่เรื่องของกิเลสตัณหา เจริญแต่เรื่องของวัตถุ วัตถุด้านเดียว วัตถุด้านเดียวไม่มีเรื่องจิตใจ ไม่มีเรื่องศีลธรรม จนเขาถือว่าโลกปัจจุบันนี้ไม่แก้ปัญหาได้ด้วยศีลธรรม ต้องแก้ด้วยกำลังต้องแก้ด้วยอาวุธ ซึ่งก็เป็นเรื่องทางวัตถุนั่นเอง ใช้กำลังทางวัตถุ ใช้อะไรทางวัตถุมาเป็นการแก้ปัญหา มันคนละอย่าง จากการที่เราจะแก้ด้วยเรื่องทางจิตใจ เมื่อวัตถุเข้าตามากอย่างนี้แล้ว มันก็ไม่มีปัญญาที่จะแก้ปัญหาของโลกด้วยเรื่องจิตใจ มันมองไม่เห็นศีลธรรมเสียแล้ว มันมองไม่เห็นพระเจ้าเสียแล้ว ไม่เห็นศาสนาเสียแล้ว มันจะมีปัญญาที่ไหนมาที่จะไปเอาศาสนา หรือเอาศีลธรรมมาแก้ปัญหา ก็จะมุ่งแก้ปัญหากันด้วยวัตถุ เพราะว่าวัตถุนั้นมันเป็นตัวมอม มึนเมา มอมเมาให้คนเหล่านั้นหลงใหลในวัตถุจนเห็นแต่เรื่องของวัตถุ ก็จะต้องคิดแก้ปัญหาด้วยวัตถุ อย่างสัตว์เดรัจฉานที่รู้แต่เรื่องทางวัตถุมันก็แก้ปัญหาแต่เรื่องทางวัตถุ ไม่สามารถจะแก้ด้วยเรื่องของจิตใจ นี่ก็คือปัญหาเฉพาะหน้า ที่เรามีอยู่เดี๋ยวนี้ ที่เราพูดกันไม่รู้เรื่องเดี๋ยวนี้ เพราะว่าโลกนี้มันถูกมึนเมา ถูกมอมให้มึนเมาด้วยวัตถุ เป็นทาสของวัตถุ หาเงินก็เพื่อวัตถุ ใช้เงินก็เพื่อวัตถุ บริโภคสิ่งเหล่านั้นก็เพื่อความสุขทางวัตถุ ซึ่งขอจะเรียก รวมเรียกสั้น ๆ ว่าทางเนื้อหนัง เป็นศัพท์ทางศาสนาทั่วไป เมื่อถ้าพูดถึงเนื้อหนังก็คือเรื่องของกิเลสที่เนื่องมาแต่วัตถุ ไม่ได้เนื่องด้วยจิตใจ นี่คือปัญหาที่ต้องมองโดยเฉพาะหน้า ซึ่งเป็นทางมาแห่งความเสื่อมศีลธรรม หรือความไร้ศีลธรรม ต้องมองกันในข้อนี้ก่อน เพราะมันเป็นตัวปัญหาที่กองอยู่ข้างหน้า วางกองอยู่ตรงหน้า ที่เราทุกคนก็กำลังประสบ ถ้าไม่ถือว่าเรื่องนี้มีปัญหามันก็ไม่ต้องพูดกันให้เสียเวลา เดี๋ยวนี้มันก็เห็นชัดอยู่แล้วว่ามันเป็นปัญหาจนร้อนระอุไปหมด ที่ไหนมีความเจริญทางวัตถุมากที่นั่นมีปัญหาอันนี้มาก แม้ว่าในประเทศหนึ่ง ๆ ที่จุดไหนมันมีเจริญทางวัตถุมาก ที่นั่นมันก็มีปัญหามาก ที่ในป่าที่มีความเจริญทางวัตถุน้อยมันก็ไม่ค่อยมีปัญหา มันก็มีบ้าง ทีนี้เรื่องที่จะพูดต่อไปก็คือ สิ่งที่อาตมาอยากจะเรียกว่า “ข้อเท็จจริงที่ต้องมอง” มันมีข้อเท็จจริงที่ต้องมอง ใช้คำว่า “ต้อง” นี่มันคือยิ่งไปกว่า “ควร” ที่ควรมองนั้นมันมีน้ำหนักน้อย อันนี้มันต้องมอง ไม่มองไม่ได้ ไม่มองแล้วแก้ปัญหาไม่ตก แล้วมันจะตาย เพราะฉะนั้นมันต้องมอง ก็คือมองสิ่งที่มันเป็นต้นเหตุของความเสื่อมศีลธรรม หรือว่าต้นเหตุของปัญหาในชั้นที่ลึกลงไปอีกชั้นหนึ่งนั่นเอง จึงเรียกว่าข้อเท็จจริงที่ต้องมองเกี่ยวกับปัญหานั้น ๆ จนว่าโลกกำลังจมอยู่ในวัตถุ ในอิทธิพลของวัตถุ ในความหลอกลวงของวัตถุ จึงเกิดความไร้ศีลธรรมขึ้นมา
เพราะฉะนั้นโลกในทุกวันนี้มันกำลังถูกเผา ถูกลน ถูกย่าง ถูกอะไรต่าง ๆ อยู่ด้วยความไร้ศีลธรรม ความไร้ศีลธรรมกำลังเผาโลกให้เร่าร้อนทั้งทางฝ่ายกาย ทั้งทางฝ่ายจิต ทั้งทางฝ่ายวิญญาณ ทีนี้ทางฝ่ายกายก็ร้อนเรื่องปากเรื่องท้องไม่มีจะกิน หรือมีกินด้วยความยากลำบาก มันเผาทางกายให้เร่าร้อน มันเผาทางจิตให้เร่าร้อน ก็ปรากฏชัดอยู่แล้วว่าโรคประสาทมันเพิ่มมากขึ้น หมอเขาโฆษณาสถิติออกมาทุกวัน ๆ ว่าโรคประสาทมันมากขึ้น โรคจิตมันมากขึ้น เพราะปัญหาปัจจุบัน ในการที่โลกมันถูกแผดเผาด้วยวัตถุ ทีนี้ทางวิญญาณนั้นถูกเผาด้วยมิจฉาทิฏฐิ ถูกล้อมด้วยมิจฉาทิฏฐิจนความคิดนึกวิปริต วิปลาส มีความเห็นวิปลาส มีความเข้าใจวิปลาส มีความเชื่อวิปลาส นี่มันถูกเผาโดยวัตถุ ทั้งทางกาย ทั้งทางจิต ทั้งทางวิญญาณ นี้เป็นข้อเท็จจริงที่ขอร้องให้ท่านทั้งหลายต้องมอง เดี๋ยวนี้นั่งอยู่ที่นี่มันหนาว ก็เลยไม่รู้ว่าถูกเผา แต่ดูให้ดีมันก็เผา อยู่ที่กรุงเทพ อยู่ที่นี่ อยู่ที่ไหนมันก็ถูกเผาทั้งทางกาย ทั้งทางจิต ทั้งทางวิญญาณ เพราะว่ามันมีการลุกลาม หรือระบาดแห่งอำนาจของวัตถุ เราต้องเรียกว่าภูตผีปีศาจดีกว่า เพราะมันเป็นของหลอกลวง ความเอร็ดอร่อยทางวัตถุทางเนื้อทางหนังมันเป็นของหลอกลวง เพราะฉะนั้นเรียกว่าภูตผีปีศาจนั้นแหละถูก ภูติผีปีศาจทางเนื้อหนังกำลังลุกลามเผาผลาญโลก โดยทำให้เกิดความเข้าใจผิดไปในทางใดทางหนึ่ง เช่น เดี๋ยวนี้มีความเข้าใจผิดกันว่า ไอ้เรื่องธรรมะไม่สำคัญ เรื่องศาสนาไม่สำคัญ เรื่องศีลธรรมไม่สำคัญ แต่เรื่องปากเรื่องท้องนั่นแหละสำคัญ จึงมีคนส่วนมากพูดว่ามันยังหิว มันยังหิว ต้องแก้ปัญหาเรื่องหิว เรื่องปากเรื่องท้องกันก่อนแล้วค่อยมาพูดกันเรื่องศีลธรรม นักการเมืองหลายสาขา หลายลัทธิพูดแต่อย่างนี้ แก้ปัญหาเรื่องหิวก่อน แล้วจึงมาพูดกันถึงเรื่องศีลธรรม บางลัทธิเตลิดไปไกลถึงว่าถ้าแก้ปัญหาเรื่องปากเรื่องท้องได้แล้วศีลธรรมมันดีเอง ไปคิดเอาเถิดว่ามันเป็นไปได้ไหม ว่าเรื่องปากเรื่องท้องมันนั่นแล้ว ศีลธรรมมันมีเอง ไอ้พวกหนึ่งมันพูดว่ามันยิ่งหลงใหลในเรื่องปากเรื่องท้องศีลธรรมมันยิ่งไม่มี
ดังนั้นต้องแก้ปัญหาส่วนลึก คือส่วนจิตใจก่อน จึงแก้ปัญหาทางธรรมะ หรือทางศีลธรรมก่อน อย่างไหนจะถูกก็ไปคิดดูบ้าง ส่วนอาตมานั้นก็อยู่ข้างฝ่ายที่ท่านทั้งหลายก็ทายถูกว่าอาตมาอยู่ฝ่ายไหน ฉะนั้นอยู่ฝ่ายที่ว่าศีลธรรมมันจำเป็นกว่า เพราะว่าแม้เราจะมีอาหารกิน แต่ถ้าไม่มีศีลธรรมแล้วมันเป็นมนุษย์ชนิดไหน มันไม่เป็นมนุษย์หรอก มันไม่เป็นคน มันจะเป็นสัตว์ด้วยซ้ำไป เพราะมีแต่อาหารกินมันไม่มีศีลธรรมนี่ สัตว์กับคนมันต่างกันตรงที่ว่ามีธรรมะ หรือไม่มีธรรมะ ถ้ามีอาหารกินรอดชีวิตอยู่ได้ แต่ไม่มีศีลธรรมมันก็เป็นสัตว์ ไม่ใช่คน และไม่ใช่มนุษย์ ที่พูดนี้ขอให้เข้าใจกันเสียให้ถูกต้องว่า ไม่ใช่ว่าห้ามนะ ไม่ใช่ว่าห้ามอย่าให้ทำมาหากิน ไม่ได้ห้ามว่าอย่าทำมาหากิน ไม่ได้ห้ามว่าอย่าหาเงิน ไม่ได้ห้ามว่าอย่ามีครอบครัว อย่าเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย อย่าอะไรทำนองนั้น มันไม่ได้ห้าม มันคงทำไปได้ แต่ขอให้มันมีศีลธรรม แล้วมันจะได้มากิน ชนิดที่ว่ามีประโยชน์สมตามความมุ่งหมายของการที่ต้องกิน คือเป็นอยู่อย่างสงบ อย่างผาสุก ให้หา ให้กิน ให้ใช้อะไรทุกอย่าง ขอแต่เพียงว่าให้มันทำไปด้วยความมีศีลธรรม แล้วจะยืนยันว่าถ้ามีศีลธรรมแล้วจะหาได้โดยสะดวกนะ แล้วก็จะไม่เสียนิสัยที่เคยดีนะ ลองไปหาไอ้ที่ผิดศีลธรรม มันจะเสียนิสัย เสียไป ๆ เสียนิสัยที่เคยดี จะเป็นนิสัยที่เลว แล้วมันจะไม่พูดกันรู้เรื่องล่ะทีนี้ ทั้งโลกจะพูดกันไม่รู้เรื่อง ถ้าทุกคนมันเสียนิสัยไปหมดแล้ว
รวมความว่าเพื่อตัวเองก็ไม่เดือดร้อน เพื่อผู้อื่นก็ไม่เดือดร้อน นั่นแหล่ะคือวิธีที่ถูกต้อง อย่ามีใครเดือดร้อน การหาเงิน หากิน มีครอบครัวเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียอยู่เป็นผาสุก ก็อย่าให้ตัวเองเดือดร้อน อย่าให้ผู้อื่นเดือดร้อน นี่เป็นความต้องการของธรรมชาติ ถ้าทำผิดมีคนเดือดร้อนแล้วมันจะหยุดอยู่ไม่ได้ มันจะมีปฏิกิริยาอย่างอื่น มันก็ยุ่งกันไปหมด ฉะนั้นหลักธรรมะทุกศาสนายังมีหลักตายตัวลงไปว่า ตัวเองก็ไม่เดือดร้อน ผู้อื่นก็ไม่เดือดร้อนนั่นคือความถูกต้อง ต้องเสียสละเจือจานให้แก่กันและกันได้โดยไม่มีใครเดือดร้อน ทุกคนที่อยู่ในโลกนี้มีสันติสุข มีอาหารกินทั้งทางกายและทางจิต นี่ก็จะต้องช่วยจำให้ดีว่าต้องมีอาหารกินทั้งทางกายและทางจิต เดี๋ยวนี้มันละโมบ ตะกละแต่อาหารทางกาย ทางวัตถุ ไม่มีอาหารทางจิต ฉะนั้นจิตมันก็ดุร้ายเต็มไปด้วยกิเลสตัณหาเหมือนกับสัตว์ป่า เพราะจิตมันขาดอาหารคือขาดธรรมะ เมื่อร่างกายกินข้าวกินน้ำ จิตนั้นมันกินธรรมะ ต้องเลี้ยงมันทั้งทางกายและทางจิต คนมันจึงจะเป็นคน หรือว่าเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง ฉะนั้นขอให้ถือเป็นหลักทั่ว ๆ ไป ไม่ว่าศาสนาไหน ถือได้ตรงกันหมดทุกศาสนาว่าชีวิตของมนุษย์ที่แท้จริงนั้นมิได้อยู่ด้วยข้าวปลาอาหารเพียงอย่างเดียว ชีวิตของมนุษย์ที่แท้จริงไม่ได้อยู่ได้ด้วยข้าวปลาอาหารเพียงอย่างเดียว มีอย่างอื่นที่มีมากกว่านั้น สำคัญมากกว่านั้นคืออะไร ไปคิดดูเถอะ ในมนุษย์คนหนึ่ง ๆ นั้นส่วนไหนมันสำคัญ ส่วนร่างกายหรือส่วนจิต ถ้าเห็นว่าส่วนจิตสำคัญก็ต้องนึกถึงส่วนจิตบ้าง มันกินอะไรก็หาให้มันกิน ข้าวปลาอาหารนี้มันได้แต่ส่วนร่างกายเท่านั้นแหละที่จะกิน ฉะนั้นอุดมคติทางศาสนามันจึงไม่บูชาข้าวปลาอาหาร แต่บูชาทางจิต ซึ่งมีธรรมะเป็นอาหาร แล้วก็จิตชนิดนี้ก็รู้จักหาข้าวปลาอาหารมากินอย่างถูกต้องที่สุด มันก็เลยไม่มีโทษทั้งทางกาย และทางจิต แล้วโลกนี้มันก็มีสันติสุขแท้จริง เพราะมนุษย์มันมีอาหารกินทั้งทางกาย และทางจิต เดี๋ยวนี้มันให้มันกินแต่อาหารทางกาย มันก็มีความเอร็ดอร่อยสนุกสนานเพลิดเพลินเกินขอบเขต ก็เกิดนิสัยใหม่ นิสัยบูชาเนื้อหนัง ก็ละเลยเรื่องจิตใจ หรือเรื่องศีลธรรมเป็นต้น ดังที่เป็นอยู่ในโลกในปัจจุบันนี้ โลกกำลังมีภาวะอย่างนี้ รู้จักแต่อาหารกาย จึงลุ่มหลงในเรื่องทางกาย มาเมื่อไม่กี่สิบปีนี้เอง หรือว่าอย่างมากก็สักร้อยสองร้อยปีนี้เอง ก่อนนี้ก็ยังเคร่งครัดแต่เรื่องทางจิตกันอยู่ทั้งนั้น แล้วก็ไปเปรียบเทียบกันดู เดี๋ยวก็จะเปรียบเทียบให้ฟังบ้าง
ทีนี้ข้อเท็จจริงที่เราต้องมองว่าปัญหามันมีรากลึกลงไปถึงการทำผิดเกี่ยวกับศีลธรรม ทีนี้ข้อเท็จจริงที่อยากจะให้มองต่อไปอีกก็คือว่า ให้มองดูที่ประวัติ หรือความเป็นมาของมนุษย์ตั้งแต่ยุคเริ่มแรกเท่าที่เราจะรู้ได้มาจนถึงยุคปัจจุบันคือวันนี้ จะเรียกว่าศึกษาประวัติศาสตร์กันหน่อย แต่แล้วก็ขอความเป็นธรรมแก่ท่านทั้งหลายว่า ให้ศึกษาประวัติศาสตร์พร้อมกันมาทั้งสองสาย คือทั้งทางฝ่ายกาย และทางฝ่ายจิต ประวัติศาสตร์ที่เขียนเป็นหนังสือเป็นเล่ม ๆ ให้คุณเรียนกันในโลกเวลานี้นั้นมันเป็นเรื่องทางกาย ทางฝ่ายกาย ฝ่ายวัตถุเสียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนเรื่องทางจิตใจมันบันทึกไม่ได้ หรือมันบันทึกยาก ไอ้เรื่องทางวัตถุมันจึงบันทึกอยู่ได้ เรื่องอดอยากลำบาก เรื่องรบราฆ่าฟัน เรื่องขึ้นเรื่องลงในประวัติศาสตร์อันยาวนานของโลกนี้เป็นเรื่องทางวัตถุทั้งนั้น มีเรื่องทางจิตแฝงอยู่บ้างก็เท่าที่มันจะอาศัยอยู่ได้ในตัวหนังสือนั้น ๆ ฉะนั้นเราต้องมาทำตนเป็นผู้มีสายตาที่แหลมลึกพิเศษสักหน่อย อ่านประวัติศาสตร์ทางวัตถุเหล่านั้นแล้วก็มาถือเอาใจความประวัติศาสตร์ในทางฝ่ายจิตใจด้วย ให้รู้ว่าจิตใจของมนุษย์มันเปลี่ยนมาอย่างไร ประวัติศาสตร์ทางจิต ทางวิญญาณมันเป็นอย่างนี้ มันเปลี่ยนมาอย่างไร อย่าเอาแต่เท่าที่เขาเขียนให้ลูกเด็ก ๆ เรียนในโรงเรียน มันเป็นประวัติศาสตร์ทางฝ่ายวัตถุ ฝ่ายเนื้อหนัง ฝ่ายแผ่นดิน หรือคนในแง่ของวัตถุทั้งนั้น อาตมาอยากจะให้สนใจประวัติศาสตร์ในด้านจิตด้านวิญญาณมาตั้งแต่โบราณกาลจนถึงเมื่อวานนี้ หรือวันนี้ ว่ามันล้วนแต่เป็นปัญหาทางศีลธรรมทั้งนั้นแหละ เรื่องยุ่งยากในประวัติศาสตร์ หรืออะไรในประวัติศาสตร์ก็ล้วนแต่เป็นปัญหาทางศีลธรรม แต่ส่วนใหญ่ก็ทำลายศีลธรรมทั้งนั้น ความเจริญในประวัติศาสตร์แต่หนหลังมันก็เจริญทางวัตถุ ทำลายศีลธรรม หรือบางทีมันโกรธกันขึ้นมาก็รบราฆ่าฟันกันเป็นศตวรรษ ๆ มันก็เรื่องความเลวทรามทางศีลธรรม
นี่ก็มาสรุปดูแล้วก็เห็นได้เลย ศีลธรรมมันถูกกระทบกระทั่งมาก ดูกันที่พอจะดูได้ แล้วก็เปรียบเทียบเป็นคู่ ๆ ให้เห็นว่าเมื่อก่อนโน้นเป็นอย่างไร แล้ววันนี้เป็นอย่างไร แม้ว่าบางอย่างจะเป็นเรื่องคำนึงคำนวณ หรือคาดคะเนก็ไม่มีทางผิดหรอก อาตมาจะยกตัวอย่างให้ฟัง เพราะไม่มีทางผิด แม้เราจะใช้การคำนวณ ว่าในครั้งโบราณกาลโน้น ครั้งหนึ่งสมัยหนึ่งนะ วัตถุไม่ได้มอมเมามนุษย์อย่างเดี๋ยวนี้ นี่เป็นการคำนวณแท้ ๆ เลย แต่มองเห็นได้ว่าไอ้วัตถุ ความเจริญทางวัตถุไม่ได้มอมเมามนุษย์อย่างเดี๋ยวนี้ เพราะว่าสมัยโน้นวัตถุมันไม่ได้เจริญ มันไม่ได้ก้าวหน้า มันจะกินน้ำด้วยกระบอกไม้ไผ่ กินน้ำด้วยภาชนะดินเผา เดี๋ยวนี้เรากินน้ำด้วยแก้วเจียระไน มันจะมอมเมากันได้อย่างไร เดี๋ยวนี้มันมีเรื่องทางวัตถุ เจริญ ๆๆ จนมอมเมามนุษย์ เราจึงพูดได้ว่าสมัยโน้นวัตถุไม่ได้มอมเมามนุษย์อย่างเดี๋ยวนี้ ทั้งที่หลายพันปีมาแล้วเราก็กล้าพูด ธรรมชาติยังบริสุทธิ์ หมายความว่าดิน น้ำ ลม ไฟในแผ่นดิน ต้นไม้ ทะเล ภูเขาต่าง ๆ มันยังบริสุทธิ์ มันยังเต็มอยู่ ยังไม่มีใครทำลายมัน มันยังมีมาก มันยังน่าดู มันยังสวยงาม ไม่เหม็นเน่า ไม่พังทลาย ไม่อะไรอย่างเดี๋ยวนี้ แม้แต่ทะเลก็สกปรก ฟ้าก็เป็นพิษอย่างเดี๋ยวนี้ แต่ก่อนนั้นธรรมชาติมันยังบริสุทธิ์อยู่ และสมบูรณ์ด้วย เพราะมันยังไม่ถูกใช้นี่ เดี๋ยวนี้มันขุดขึ้นมาสังเวยกิเลสของมนุษย์ จนจะเกือบหมดแล้วในแผ่นดินนี้ สิ่งที่มีค่าในแผ่นดินมันกำลังจะหมด เอามาสังเวยกิเลสของมนุษย์ เราพูดว่าสมัยก่อนโน้นวัตถุไม่มอมเมามนุษย์ ธรรมชาติยังบริสุทธิ์ ยังสมบูรณ์ สมัยก่อนโน้นไม่มีนายทุน นี่กล้าพูด นายทุนมันเพิ่งเกิดเมื่อสมัยวัตถุนะ สมัยที่วัตถุไม่มีอำนาจ ไม่เป็นนายนั้นไม่มีนายทุนได้ มันมีแต่มนุษย์ที่คอยช่วยเหลือมนุษย์ด้วยการร่วมมือกันทำมาหากิน คือร่วมมือกันบำเพ็ญกุศลเสียมากกว่า แต่คนที่มั่งมี มีอำนาจมีอิทธิพลแล้วมันก็มีมนุษย์ที่ร่วมมือทำกุศล ทำมาหากิน ไม่ใช่นายทุน อย่างเป็นก็เป็นเศรษฐีใจบุญ เพราะว่ามันเต็มไปด้วยโรงทาน พระราชาก็มีโรงทาน และสมัยโน้นไม่มีชนกรรมาชีพ ที่เหี้ยนกระหายกระหือรือ เพราะว่ามันไม่มีอบายมุข เพราะว่ามันไม่มีวัตถุที่มาดึงจิตใจของคนเราให้กระหายด้วยอำนาจของกิเลสทางวัตถุ มันมีแต่คนธรรมดาสามัญ อย่างธรรมดาสามัญ ทำมาหากินด้วยความพอใจ จะทำนาทำไร่ทำสวนมันก็ล้วนแต่พอใจ เป็นอิสระที่สุด มันจึงไม่มีคนที่เรียกกันว่าชนกรรมาชีพผู้แค้นเคืองอย่างสมัยนี้ สมัยโน้นไม่มีนายทุน และไม่มีชนกรรมาชีพ
ดูต่อไป สมัยโน้นมันไม่เกิดมาก แล้วก็มันไม่รอดตายมาก เพราะคนมันยังน้อยอยู่ มันจะเกิดมากได้อย่างไร แล้วมันรอดตาย มันไม่ได้รอดตายมาก มันตายมาก มันรอดน้อย เพราะไอ้การแพทย์มันไม่เจริญ ส่วนเดี๋ยวนี้มันเกิดมาก เกิดมาก เพราะคนมันมาก แล้วยิ่งกว่านั้นไอ้การแพทย์มันเจริญก็ทำให้คนรอดชีวิตมาก นี่โง่เขลาที่สุด อาตมาขอรับให้คนสาปแช่งว่าอาตมาเป็นคนบาป คนร้ายอะไรก็ตาม ว่ามันโง่เขลาที่สุด ที่คนมันรอดมากด้วยการแพทย์มันเจริญ เพราะว่ามันทำให้คนที่ไม่ควรจะรอดชีวิตอยู่ได้นั้น รอดชีวิตอยู่ได้ อย่างไม่สมประกอบอย่างบ้า ๆ บอ ๆ ถ้าปล่อยไปตามธรรมชาติคนเหล่านี้จะต้องตายแล้ว คนที่จะเกิดมาไม่สมประกอบ เพราะไม่ครบเดือน ไม่อะไร...ถ้าตามธรรมชาติ อยู่กันตามธรรมชาติมันจะต้องตาย มันอยู่ไม่ได้ เดี๋ยวนี้การแพทย์มันก็ช่วยให้มันรอดอยู่ได้ เลยเป็นคนคุ้มดี คุ้มร้าย บ้า ๆ บอ ๆ ไม่สมประกอบ มันก็มีคนชนิดนี้มากขึ้นในโลก ปนเปกันไปหมด มันมากด้วยคนที่จะสร้างปัญหานี่ ให้ธรรมชาติเป็นตุลาการ เป็นผู้ตัดสินแล้วมันขจัดคนเหล่านี้ไปหมดแล้ว เกิดมาไม่ได้ อยู่ในโลกนี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงมีอยู่ในโลกแต่คนที่มีสมรรถภาพ หรือแก้ไขได้ หรือรู้เรื่อง ฉะนั้นอย่าดีใจว่าการแพทย์เจริญ ช่วยได้แม้แต่คนที่อยู่ในท้องห้าเดือน หกเดือนมันก็ช่วยได้ อะไรมันก็ช่วยได้ ช่วยได้ ซึ่งคนเหล่านี้ธรรมชาติไม่ต้องการ ไม่ได้ต้องการให้เกิดมา นี่คนเกิดมาก แล้วก็รอดมาก แล้วผลมันก็คือว่ามีคนไม่สมประกอบอยู่ในโลกนี้มาก ถ้าเทียบกับสมัยโบราณแล้วก็จะมีแต่มนุษย์ หรือสัตว์ที่มันควรจะอยู่ ที่มันต่อสู้ได้มันควรจะอยู่ เพราะคนสมัยโน้นจึงไม่อาจจะบูชาวัตถุเนื้อหนัง สนใจแต่เรื่องสงบ เป็นเรื่องจิตเป็นส่วนใหญ่ เพราะมันไม่มีวัตถุไปยั่ว คนเหล่านี้พอเกิดมาก็มีวัตถุยั่วแล้ว ตั้งแต่นอนอยู่ในเบาะแล้ว มันก็มีวัตถุมายั่วเรื่องสวย เรื่องงาม เรื่องเอร็ดอร่อย สนุกสนาน ถ้าเป็นคนสมัยโน้นเด็ก ๆ มันไม่มีโอกาสที่จะได้รับอย่างนี้ มันจะถูกปล่อยให้ต่อสู้กับธรรมชาติอย่างเข้มแข็ง แล้วกว่าจะได้อะไรมากินอร่อยสักทีหนึ่งนี่ก็ยากเหลือเกิน สมัยอาตมาเป็นเด็กเล็ก ๆ กว่าจะได้อะไรมากินอร่อยสักทีหนึ่ง ยากเหลือเกิน เดี๋ยวนี้มันเกลื่อนไปหมด เด็กเล็ก ๆ มันก็คว้ามากินโดยไม่ต้องทำอะไร เมื่อก่อนนี้จะมีปากกาสักด้ามหนึ่งก็ทั้งยากแสนยาก ทั้งที่ปากกามันด้ามละ ๕ สตางค์เท่านั้น เดี๋ยวนี้มันเกลื่อนไปหมด มันใช้ปากกาเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสน ลูกเด็ก ๆ มันก็แขวนนาฬิกาข้อมือ เหน็บปากการาคาเป็นร้อย นี่มันเป็นอย่างนี้ มันเสียนิสัยมาในทางวัตถุ จึงไม่ค่อยได้ไปสนใจในทางธรรม ซึ่งเป็นเหตุให้ต้องช่วยตัวเอง ต้องอดกลั้น อดทน ต้องเคารพบิดามารดา เป็นต้น
สมัยโน้นเราพูดได้ว่าไม่รู้หนังสือ แต่มีศีลธรรมมาก คนสมัยโน้นไม่รู้หนังสือ เพราะไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะมันไม่ได้มีการใช้หนังสือ ใช้พูดกันด้วยปาก แต่คนกลับมีศีลธรรมมาก กลัวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กลัวสิ่งที่มองไม่เห็นตัว แล้วก็มีศีลธรรมมาก คนเดี๋ยวนี้รู้หนังสือมาก ฉลาดมาก แล้วก็เหยียบย่ำศีลธรรม มันตรงกันข้ามอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นอย่าไปบูชาไอ้เรื่องการรู้หนังสือ เล่าเรียนอย่างวิเศษอย่างสมัยปัจจุบันนี้อย่างหลับหูหลับตา กลับไปมองดูให้ดีว่าส่วนหนึ่งมันร้ายกาจ เลวทราม แต่ถ้าเอามาใช้ให้ถูกต้องมันก็ดีแหละ รู้หนังสือมาก ฉลาดมากนี้ก็ ถ้าไปใช้ในทางถูกต้องมันก็ดี พอใช้ในทางผิดก็อันธพาลยิ่งกว่าอันธพาลชนิดไหนหมด คือคนที่เรียนมาก และรู้มาก เป็นอันธพาลที่ทำให้คนเดือดร้อนมากกว่าโจรอันธพาลในป่าในดงเสียอีก เพราะมันมีขอบเขตกว้างขวาง มีสมรรถภาพมาก ฉะนั้นคนสมัยโน้นไม่รู้หนังสือ หรือไม่ได้ศึกษา หรือศึกษาน้อย แต่มีศีลธรรมมาก มีศาสนามาก แล้วถ้าจะเดา ก็เดาว่าเขาอยู่กันอย่างหมู่บ้านเล็ก ๆ ฝูงคนเล็ก ๆ ไม่ได้ติดบ้าน ไม่มีบ้านอยู่ก็มี เคลื่อนที่อยู่เรื่อยก็มี แล้วหมู่บ้านเล็ก ๆ มันไม่มีปัญหามาก มันต่อสู้กับธรรมชาติมาก จึงไม่มีโอกาสมาหลงใหลในเนื้อหนัง หรือกิเลสตัณหา
ทีนี้สรุปแล้วมันพิเศษอย่างยิ่งอยู่ข้อหนึ่งคือว่า เพราะบังคับความรู้สึกกันเป็นการใหญ่ ไอ้ศีลธรรม หรือว่าศาสนาเรื่องแรกของมนุษย์ที่เรียกกันว่า ตาบู ตาบู ระเบียบกฎเกณฑ์ของคนป่าสมัยโน้นเรียกว่า ตาบู ให้กลัวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้บังคับความรู้สึก ฉะนั้นศีลธรรมทางเพศของบุคคลสมัยตาบูนั้นน่ะดีกว่าคนสมัยนี้อย่างที่จะเทียบกันไม่ได้ ขอร้องให้ไปหาหนังสือชนิดนี้อ่านดู เรื่องตาบูของคนสมัยโน้น ก่อนมีศาสนา มีศีลธรรม มันเคร่งครัดเหลือประมาณในทุกสิ่งทุกอย่าง แต่บัญญัติไว้ในลักษณะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ หรือเป็นของผีปีศาจ เป็นผู้ควบคุม เขาเชื่ออย่างนั้นมันออกจะงมงาย แต่แล้วเขาก็มีศีลธรรมอย่างยิ่งในเรื่องทุกเรื่อง เรื่องศีลธรรมรากฐาน การฆ่า การลัก การประพฤติผิดในกาม อะไรต่าง ๆ เหลือมาถึงกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็มี แต่น้อยมาก เดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนใหม่หมด เป็นศาสนา เป็นวัฒนธรรมแบบใหม่ที่บูชาเนื้อหนัง บูชาเงิน บูชาอะไรต่าง ๆ ฉะนั้นวัฒนธรรมโบราณ ศีลธรรมโบราณถึงขนาดตาบู เขาก็เคร่งครัดมากทีเดียว ยากที่จะทะลุแก่กิเลส นี่ประวัติศาสตร์ ซึ่งครั้งหนึ่งมันเป็นอย่างนั้น โบราณโน้นกี่พันปีมาแล้วก็ตามใจ
อ้าว,ทีนี้มาดูเดี๋ยวนี้ เมื่อวานนี้ ที่เรียกว่าเมื่อวานนี้ คือประมาณสักร้อยปีมานี่ อย่างมากก็สองร้อยปีมานี่ เราเรียกว่าเมื่อวานนี้ เพราะว่าโลกนี้อายุมันเป็นแสน ๆ เป็นล้าน ๆ ปี แล้วมันเคยมีอะไรดีมาตั้งแสน ๆ ปี ล้านปี สมัยตาบู มาเทียบกับสองร้อยปีมานี้มันก็เหมือนกับเมื่อวานนี้ เพราะก่อนหน้าสองร้อยปีมานี้มันยังดีอยู่ ศีลธรรมในโลกมันยังดีอยู่ มันเพิ่งเลวเมื่อสองร้อยสามร้อยปีมานี้เอง กระทั่งเมื่อปีกลาย หรือว่าเดือนที่แล้วมา หรือว่าวันนี้มันเลวลง ๆ เดี๋ยวนี้มันไม่มีอะไรอย่างที่สมัยโน้นมันมีแล้ว เพราะคือมีไอ้ตรงกันข้ามกับที่ว่ามาเมื่อตะกี้ เดี๋ยวนี้มีการมอมเมาทางวัตถุ ทางเนื้อทางหนัง ไม่สร่าง ไม่ลืมหูลืมตา เป็นกิเลสแน่นหนาทั้งราคะ ทั้งโทสะ ทั้งโมหะ เดี๋ยวนี้มีนายทุน กับชนกรรมาชีพต่อสู้กันอย่างคู่อาฆาต จองเวร คนเกิดมาก รอดมากอย่างที่ว่าแล้ว และบูชาเนื้อหนังเป็นสำคัญ ยิ่งรู้หนังสือยิ่งไม่มีศีลธรรม อยู่กันอย่างนครใหญ่ปัญหามันมาก อยู่กันอย่างหมู่บ้านน้อย ๆ แล้วปัญหามันไม่มี เดี๋ยวนี้อยู่กันอย่างนครใหญ่ กรุงเทพนี้เขาว่าก็ยังเล็กไป ไปดูนครใหญ่ของประเทศใหญ่ที่เมืองนอกนั้นเขามีปัญหาอย่างไร เพราะมันไปอัดกันอยู่เป็นนครใหญ่ ถ้ามันแยกกันอยู่เป็นหมู่บ้านน้อย ๆ มันก็ไม่เป็นปัญหาอะไร อย่างที่นี่ หมู่บ้านนี้มันไร้ความเจริญอยู่กันอย่างป่าเถื่อน หมู่บ้านเล็ก ๆ ปัญหามันไม่มี พอไปอยู่กันอย่างหนาแน่นมันมีปัญหาทุกอย่างทุกประการ แม้แต่ปัญหาเรื่องหยากเยื่อ มูลฝอยนี้ก็ยังยากที่จะแก้เสียแล้ว เดี๋ยวนี้เรามีวัตถุก้าวหน้าท่วมทับคน ทีนี้คนมันก็มีการศึกษาก้าวหน้าแต่ในทางวัตถุ ส่งเสริมความรู้สึกแห่งตัวกูของกู พูดได้เลยว่าไอ้ความรู้สึกว่าตัวกูว่าของกู คนเดี๋ยวนี้มันจัด มันมาก และมันจัด ไอ้คนสมัยโบราณโน้น ไอ้ความรู้สึกตัวกูของกูมันน้อย ลองคิดดูมันต่างกันอย่างไร เดี๋ยวนี้มันเต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งตัวกูของกู เพราะมันมีสิ่งบำรุงบำเรอความรู้สึกมาก บูชาเนื้อหนัง ความสุขทางเนื้อหนังเป็นพระเจ้า เป็นศาสนาสูงสุด แล้วที่มันแปลกออกไปอย่างก็เพราะว่ามันมีความก้าวหน้าทางจักรกล มีเครื่องจักร ซึ่งเป็นมูลเหตุให้เกิดแยกบุคคล เป็นคนมี มั่งมี และคนยากจน เครื่องจักรนี้เป็นภูตผีปีศาจชนิดหนึ่งนะ ดูให้ดี สร้างปัญหามากที่สุด และทำลายวัตถุธรรมชาติมากที่สุด ให้เกิดความปั่นป่วนมากที่สุด เสกของมาหลอกลวงมนุษย์ให้ลุ่มหลงในเนื้อหนังมากที่สุด แล้วแยกให้เกิดคนมีคนจน นี่ความเลวร้ายของเครื่องจักร ภูตผีปีศาจ มีคนเขียนการ์ตูนล้อเครื่องจักรเป็นรูปยักษ์ มาร ภูตผีปีศาจ เขาป้อนอะไรเข้าไปมันก็คายสิ่งที่เป็นพิษออกมา นั่นน่ะคือเครื่องจักร สมัยโน้นมันไม่มี มันเพิ่งมีเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง แต่เขาเรียกกันว่าของวิเศษ ของวิเศษ ของประเสริฐ มีเครื่องจักรกำลังก้าวหน้า กำลังปรับปรุงให้มันก้าวหน้า ก็ทำให้มนุษย์ปั่นป่วนมากที่สุด
สมัยก่อนมันมีความรู้สึกบังคับกิเลส แล้วก็ไม่มีวัตถุไปยั่วให้เจริญด้วยกิเลส ส่วนสมัยนี้ไม่มีเครื่องคุ้มครองอย่างนี้ เพราะฉะนั้นภัยจากกิเลสมันจึงท่วมทับคน มันมากขึ้น สรุปความว่ามันต่างกันอย่างตรงกันข้ามไปหมดแล้วสำหรับมนุษย์แห่งยุคโน้น กับมนุษย์ในยุคนี้ ทีนี้สรุปความแล้วมันก็ควรจะดูให้มันเนื่องกัน ยุคโน้นกับยุคนี้จนมันเนื่องกัน คนมันเพิ่งจะรู้จักดีรู้จักชั่วในแง่ของความโง่ มนุษย์สมัยแรก ๆ ก็คล้าย ๆ กับสัตว์แหละ ไม่มีการแบ่งแยกเป็นดีเป็นชั่ว เป็นได้เป็นเสีย เป็นแพ้เป็นชนะในความรู้สึก ต่อมาในสมัยหนึ่งซึ่งมันเกิดรู้สึกดีชั่วทางเนื้อทางหนังนี่ ทางได้ทางเสีย ทางอร่อยทางไม่อร่อย ทางแก้ผ้าทางนุ่งผ้านี่ คือเป็นคู่ ๆ กัน พอมันรู้จักเปรียบเทียบอย่างนี้แล้วมันก็เปลี่ยนทันที สมัยก่อนเขาไม่นุ่งผ้าก็ได้ นุ่งใบไม้ก็ได้ อะไรก็ได้มันก็ไม่มีปัญหา เดี๋ยวนี้พอเห็นว่านุ่งผ้าอย่างนี้สวย นุ่งผ้าอย่างนี้ดี นุ่งผ้าอย่างนี้สบายมันก็เตลิด ๆ ไป สวยจนไม่รู้จะสวยกันอย่างไร ล้วนแต่สร้างปัญหาทั้งนั้น นี่เพิ่งรู้จักเป็นดีเป็นชั่ว ก่อนนี้มันก็คล้ายกับว่าสัตว์มนุษย์เหล่านั้นมันเข้าถึงกฎอิทัปปัจจยตา เมื่อมีสิ่งนี้ก็มีสิ่งนี้ เมื่อมีสิ่งนี้ก็มีสิ่งนี้ ไม่ได้แยกว่าดีหรือชั่ว เพราะว่ากระแสอิทัปปัจจยตาไม่มีแยกเป็นดีหรือเป็นชั่วได้ เพราะฉะนั้นมนุษย์สมัยก่อนมันอยู่ด้วยกฎเกณฑ์อิทัปปัจจยตา ไม่หลงดีหลงชั่ว พอมันเกิดรู้จักแยกความเอร็ดอร่อย หรือไม่เอร็ดอร่อยทางเนื้อหนังขึ้นมา มันเกิดบัญญัติดีชั่วไปตามความรู้สึก ไปตามความต้องการของคน เดี๋ยวนี้คนก็บัญญัติดีชั่วกันมากขึ้น บางอย่างมันก็จะเป็นความฉลาดอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่ถึงที่สุด แต่ส่วนมากมันเป็นความโง่ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วพระพุทธเจ้าท่านจะไม่สอนให้อยู่เหนือดีเหนือชั่ว พระพุทธเจ้าท่านก็ยังสอนให้มีความรู้สึกที่ถูกต้อง ที่อยู่เหนืออิทธิพลของความดี และความชั่ว นี่อยู่ตรงกลาง หรือมัชฌิมาปฏิปทา
ขอเตือนขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าพุทธศาสนาต้องเป็นมัชฌิมา ต้องอยู่ตรงกลาง ไม่ใช่ดี และไม่ใช่ชั่ว คือไปตามความจริงแท้ของธรรมชาติที่เรียกว่า อิทัปปัจจยตา เราต้องเกลื่อนไอ้สิ่งที่มันเหวี่ยงไปสุดเหวี่ยง ไปข้างซ้าย ข้างขวา ข้างดี ข้างชั่วนี้เสียใหม่ ให้มันเป็นกลางให้มันถูกต้อง ไอ้ความไปยึดมั่นสองฝ่าย ดีชั่ว ได้เสีย แพ้ชนะนั้นมันทำให้เกิดกิเลสใหม่ เป็นความโง่ที่ไม่รู้ว่าเป็นความโง่ เข้าใจว่าเป็นความฉลาดนะ ถ้าไปรู้จักกฎอิทัปปัจจยตา จะไม่มีดีไม่มีชั่ว ไม่มีแพ้ไม่มีชนะ ไม่มีได้ไม่มีเสีย ไม่มีอะไร แต่พอมาแบ่งแยกเอาตามความรู้สึกของมนุษย์มันก็มีขึ้นมา ก็คือทำให้โง่ ก็ได้วิวาทกัน แล้วก็เริ่มฆ่าฟันกัน แม้แต่น้องชายของตัวเอง นี่พูดตามเรื่องของคัมภีร์ไบเบิลของคริสเตียน เมื่อมนุษย์มันรู้จักดีชั่วขึ้นมาแล้วไม่เท่าไหร่ มันก็มีการฆ่าน้องชายของมันเอง คลานตามกันมา เพราะว่าพ่อรักน้องชายมาก คิดดูเถอะ ก่อนนี้มันไม่รู้จักดีไม่รู้จักชั่ว มนุษย์ไม่ฆ่าน้องชาย เพราะเหตุผลเพียงเท่านี้ นี่เราไม่ใช่ว่าจะถือตามตัวอักษรในพระคัมภีร์ไบเบิลนั้นหรอก แต่เราศึกษาโดยความรู้สึกตามจิตใจของมนุษย์ พอมันเกิดความยึดถือในเรื่องดีเรื่องชั่ว เรื่องได้เรื่องเสียแล้วมันก็ฆ่าได้แม้แต่น้องชายของมัน เพราะว่าพ่อมันรักน้องชายมาก ชื่ออะไรเขาก็มีอยู่ในคัมภีร์นั้น เราไม่ต้องไปศึกษาถึงกับชื่อ แต่ว่ามนุษย์นี้เริ่มรู้จักดีรู้จักชั่ว แล้วต่อมาก็เห็นแก่ตัวถึงกับฆ่าน้องชายของมันได้ เพราะความเห็นแก่ตัว นี่ประวัติศาสตร์ของจิตวิญญาณ ของมนุษย์มันเดินมาอย่างนี้ ทีนี้พระเจ้าก็สาปให้มันเป็นสัตว์บาป สัตว์เลว ให้มันมีแต่ความทุกข์ ให้มันระเหระหนไปตามทิศทางต่าง ๆ จนมันไม่พูดภาษาเดียวกัน จนมันไม่รู้จักกัน จนมันจะฆ่าฟันกันเอง แม้ว่าทีแรกนั้นเกิดมาจากพระเจ้า หรือเกิดมาจากอะไรก็ตาม แล้วแต่ศาสนาไหนจะกล่าวไว้อย่างไร แต่กล่าวได้ว่ามนุษย์ทั้งหลาย ทีแรกนี้ออกมาจากต้นตออันเดียวกัน ต่อมาเกิดรู้จักดีชั่ว แล้วก็แยกกัน ก็หลงใหลในดีในชั่วจนฆ่าฟันกัน แม้แต่น้องของตนเอง ถูกสาปให้ระเหระหนไป นี่ไปทิศทางนี้ ไปอยู่ในดินฟ้าอากาศที่ทำให้ผิวดำ ไปอยู่ทางโน้นที่ดินฟ้าอากาศทำให้ผิวขาว แล้วนานหนักเข้า ๆ ภาษาก็เปลี่ยนไป ๆ จนไม่พูดภาษาเดียวกัน ไม่รู้เรื่องกัน นี่เลยต่างกันไปหมดทั้งในแง่ของวัตถุ และจิตใจ คือทั้งในแง่ของภาษาคน และแง่ของภาษาธรรม รูปร่างต่างกัน ภาษาต่างกัน กินอยู่ต่างกัน อะไรต่างกัน พร้อมกันนั้นจิตใจมันก็ต่างกัน นี่ในภาษาธรรมนั้นมันต่างกันโดยคุณสมบัติ โดยวิญญาณ โดยอะไรก็ต่างกัน มนุษย์ก็เริ่มต่างกัน พูดกันไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวนี้มาพบกันกลายเป็นปรปักษ์ต่อกัน เดี๋ยวนี้มนุษย์มาพบกัน ไม่รู้จักว่าเคยเป็นพี่น้องกัน ไม่ได้เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เป็นพวกผิวดำ ผิวขาว มีปัญหาหนักอยู่ในประเทศอเมริกา เดี๋ยวนี้ก็มาเป็นพวกนั้น เป็นพวกนี้ พร้อมที่จะรบราฆ่าฟันกันอยู่เสมอ ในลักษณะที่เป็นปรปักษ์ และเป็นศัตรูกัน นี่เรียกว่าโลกภายนอก ภาษาคน
ทีนี้ในโลกภายใน ในภาษาธรรม ในครอบครัวนั้นแหละ ลูกมันก็เดินไปต่างกัน ตามสายต่าง ๆ กันจนไม่รู้จักบุญคุณของพ่อแม่มันแล้ว โลกสมัยนี้มันจะฆ่าพ่อฆ่าแม่ของมันได้แล้ว เด็ก ๆ นี่ ซึ่งมันก็มีอยู่แล้ว แล้วแม่ก็มาฆ่าลูกได้ซึ่งมันก็มีอยู่แล้ว ในครอบครัวกันมันจะไม่ทำความเข้าใจกันได้เสียแล้ว เพราะว่ากิเลสมันมาแยกให้ออกจากกัน มันเดินทางตามทิศทางต่าง ๆ กัน พ่อมันชอบอย่าง แม่มันชอบอย่าง เมียหลวงชอบอย่าง เมียน้อยชอบอย่าง ลูกชอบอย่าง เหลนชอบอย่าง มันก็ต้องแยกกันจนไม่รู้จักกันน่ะ ในด้านจิตด้านวิญญาณ นี่เรียกว่าปัญหาที่แท้จริงมันอยู่ในส่วนลึกอย่างนี้
เพราะฉะนั้นขอทบทวนอีกทีว่า อย่าศึกษากันแต่ในด้านประวัติศาสตร์เลย ประวัติศาสตร์อย่างวัตถุเลย ศึกษาประวัติศาสตร์ในด้านของจิตใจกันบ้าง อย่าศึกษาแต่ด้านรูปธรรมเลย ศึกษาในทางนามธรรมให้มาก ถ้ารู้จักแต่ด้านวัตถุธรรมแล้วมันก็โง่ จะเป็นวัตถุนิยม(นาทีที่1.25.26) Dielectric Materialism อะไรมากขึ้น ๆ มุ่งมาดอาฆาต จะแก้ปัญหาแต่ในด้านวัตถุเท่านั้น อย่างนี้เราเรียกว่ามันโง่ที่สุดในทางวิญญาณ แม้มันจะฉลาดที่สุดในทางวัตถุ แม้มันจะฉลาดในแง่การเมืองก็การเมืองฝ่ายวัตถุ ไม่ใช่การเมืองฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณ มันไม่เชื่อพระเจ้า มันไม่เชื่อธรรมะ ไม่เชื่อศีลธรรม ฉะนั้นจึงสร้างปัญหาทางวิญญาณนี่เต็มไปหมดทั้งโลก จนล้นโลก นี่ข้อเท็จจริงที่ต้องมอง ถ้าไม่มองให้เห็นแล้วโลกนี้จะวินาศ ไม่ใช่เพียงแต่ควรมองหรอก มันต้องมอง และต้องมองให้เห็น แล้วโลกนี้มันก็จะยืนหยัดไว้ได้ ไม่ถึงกับวินาศ ขอให้สนใจในข้อเท็จจริงที่ต้องมอง
อ้าว,ทีนี้พูดแล้วก็พูดกันให้จบดีกว่า พรุ่งนี้จะเอาเวลาไว้เทศน์ อย่ามาพูดเรื่องสกปรก หรือสะอาดในรูปนี้อีกเลย ทีนี้เรื่องที่จะพูดในตอนนี้ก็คือว่า ทำไม คำว่าทำไม ปัญหาว่าทำไม ซึ่งเป็นปัญหาที่ควรตอบ ทำไม ๆ จึงเป็นอย่างนี้ เป็นปัญหาที่ต้องตอบ ใช้หัวข้อว่าทำไม ทำไมที่ต้องตอบ ถ้าเราสนใจปัญหานี้ ปัญหาที่จะถามต่อไปนี้ว่าทำไม ๆๆๆ นี่จนตอบได้ละก็จะแก้ไขความไร้ศีลธรรมได้ การกลับมาแห่งศีลธรรมก็จะมี ทำไมพวกที่หนึ่ง กลุ่มที่หนึ่ง ทำไมคนจนจะต้องมุ่งทำลายคนมั่งมี ทำไมไม่มุ่งแก้ไขด้วยการทำความเข้าใจกัน ถ้าว่าที่จริงแล้วเพียงแต่คนจนไม่ร่วมมือเท่านั้นแหล่ะ คนมั่งมีก็อยู่ไม่ได้ นี่หมายถึงพวกที่มีกิเลสเข้าใส่กัน ทำไมคนจนจะต้องมุ่งทำลายคนมั่งมี เพราะว่าคนมั่งมีที่ดีก็มี คนจนที่ดีก็มี ทำไมจะต้องมีหลักว่าคนจนจะต้องทำลายความมั่งมี คนมั่งมีเหมือนความโง่ของคนสมัยนี้ ซึ่งมันมีหลักอย่างนี้ อย่างผ่าซาก อย่างด้านเดียว ไม่มีการแบ่งแยก ทำไมต้องมีการแก้ปัญหาด้วยการฆ่า หรือการทำลาย หรือการทำให้เกิดความวินาศ มันมีสติปัญญาอย่างอื่นที่จะแก้ไขได้ ฉะนั้นไปคิดดูว่าทำไมจะต้องทำลายกัน แล้วทำไมไม่มีฝีไม้ลายมือของตัวเองหรืออย่างไร จึงไม่สามารถจะยกตัวออกมาจากความยากจนได้ ทำไมจะต้องไปโยนบาปให้คนมั่งมี ว่าคนมั่งมีเป็นตัวเหตุ ถ้าตนมีฝีไม้ลายมือก็แก้ไขที่เหตุของตัวได้ ก็แก้ไขความยากจนได้ พร้อมกันนั้นก็จะร่วมมือกันได้ทั้งคนจน และคนมั่งมีโดยที่ไม่ต้องมีใครทำลายใคร
เดี๋ยวนี้จะห้ามใครก็ไม่ได้ ต่างฝ่ายต่างมุ่งทำลายกัน มันก็ทำลายด้วยกันได้ทั้งสองฝ่าย แต่ปัญหาก็ไม่ยุติหรอก เพราะมันมีความเห็นผิดเสียแล้วว่าจะแก้ปัญหาด้วยการทำลาย ฉะนั้นคอยดูต่อไปข้างหน้าในอนาคตว่า การแก้ปัญหาด้วยการทำลายนี้มันจะมีผลยืดยาวอย่างไร นี่ปัญหาของคนจน ทำไมคนจนไม่มุ่งทำลายอบายมุข ซึ่งเป็นต้นเหตุของความจน ทำไมไม่ชวนกันสไตรค์ในการที่จะไม่ทำอบายมุข ทำไมคนจนตั้งหมื่นตั้งแสนตั้งล้าน ๆ นี่ไม่ชวนกันสไตรค์ว่า กูจะไม่ทำอบายมุข ไม่ไปดูหนัง ไม่ไปอาบอบนวด ไม่ดื่มน้ำเมา ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่ดูการละเล่น ไม่เล่นการพนัน อบายมุขทั้งหลายนี่ คนจนควรชวนกันสไตรค์ต่ออบายมุขนี่มันแก้ปัญหาได้ทันทีเลย ปัญหาความยากจนจะหมดไป จะอยู่ในระดับที่พอดี ที่พออยู่ได้ โดยไม่ต้องฆ่าคนอื่น ไม่ต้องฆ่าผู้อื่น ทำไมอีกอันหนึ่งสำหรับคนจน ก็ว่าทำไมจึงไม่ยอมรับกฎเกณฑ์อันเฉียบขาดของธรรมชาติเกี่ยวกับบาป และบุญ หรือกรรมที่ทำให้คนเหมือนกันไม่ได้ การที่คนเหมือนกันไม่ได้นี้มันเป็นอำนาจของธรรมชาติ ให้คนเท่ากันไม่ได้นี้เป็นอำนาจของธรรมชาติ เรื่องบุญเรื่องกรรมนี้เป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีความแตกต่างกันเสมอไป เช่น คนสวยคนไม่สวย คนรวยคนจน คนเก่งคนไม่เก่ง คนจะต้องแตกต่างกันตลอดนิรันดร เพราะมันเป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เรียกว่าธรรมชาติแห่งบุญบาป หรือกรรมก็แล้วแต่ ทำไมจึงไม่ยอมรับว่าอย่างนี้มันเป็นของธรรมชาติ มันต้องมี เพราะฉะนั้นคนเราต้องแตกต่างกัน แต่ต้องอยู่ร่วมกันได้ด้วยความแตกต่างกัน แม้ว่ามีความแตกต่างกันก็อยู่ร่วมกันได้
ทำไมเดี๋ยวนี้จึงพูดโง่ ๆ ว่าเรามีระบบการเมืองต่างกัน แต่จะอยู่ร่วมกันด้วยสันติ นี่มันก็ยิ่งหลอกลวงตัวเองมากขึ้น เพราะความแตกต่างตามธรรมชาตินี้มันยังรับไม่ได้ ยังทำให้อยู่ร่วมกันไม่ได้ แล้วจะมาพูดหลอกลวงอย่างนี้ เดี๋ยวนี้โลกมันก็เต็มไปด้วยการหลอกลวง ที่แม้ว่าเราจะมีผิวต่างกัน มีระบบการเมืองต่างกัน มีเศรษฐกิจต่างกันเราก็อยู่ร่วมกันด้วยสันติได้ แต่ข้อเท็จจริงดั้งเดิมน่ะอยู่ไม่ได้ ยอมรับไม่ได้ว่าธรรมชาตินี้มันเฉียบขาด จะต้องทำให้คนต่างกัน บางคนเกิดมาสมประกอบ บางคนเกิดมาไม่สมประกอบ แล้วเดี๋ยวนี้ยิ่งไม่ยอมรับความแตกต่างกันระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย ไม่ยอมรับความแตกต่างกันระหว่างพ่อกับแม่ พ่อต้องทำอย่างหนึ่ง แม่ต้องทำอย่างหนึ่ง โลกนี้มันจึงจะอยู่ได้ ถ้าแม่ไปทำอย่างพ่อหมดโลกนี้ก็ไม่มีแม่ เด็ก ๆ ก็ไม่มีใครกล่อมเกลาในทางวิญญาณ เดี๋ยวนี้เด็ก ๆ เลวลง เพราะว่าแม่ไปทำอย่างพ่อเสียหมด ไปทำงานนอกบ้านเสียหมด ไม่อยู่กับลูก ไม่กล่อมเกลาวิญญาณของลูกให้เป็นมนุษย์ที่ถูกต้องนี่ ระวังให้ดี นี่มันเป็นความผิดพื้นฐานแล้ว เดี๋ยวนี้ก็อื้อฉาวกันใหญ่ที่จะเรียกร้องสิทธิเสมอภาคระหว่างสตรีกับบุรุษ ระหว่างสามีกับภรรยา กฎหมายออกมาน่ากลัวมาก ให้ภรรยาไปทำหนี้สินได้โดยไม่ต้องบอกสามี ไม่ต้องรับรู้ จะประกอบอาชีพอะไรก็ได้ ไม่ต้องให้สามีรับรู้ จะไปไหนก็ได้ ไม่ต้องรับรู้ ให้มันเหมือนกันไปหมด ถ้าขืนเดินไปตามแบบนี้นะ อาตมาขออภัยที่จะพูดตรง ๆ ว่า ไม่เท่าไหร่สตรีก็จะเรียกร้องให้มันเหมือนกับบุรุษ ถ้าสามีไปเที่ยวผู้หญิงกลางคืนได้ ภรรยาก็ไปเที่ยวผู้ชายกลางคืนได้ มันจึงจะเป็นความเสมอภาคระหว่างบุรุษกับสตรี แล้วก็คอยดูว่าผลมันจะเกิดขึ้นอย่างไร สิทธิเสมอภาคระหว่างบุรุษกับสตรี ธรรมชาติไม่ได้ต้องการอย่างนั้น ธรรมชาติให้แม่เลี้ยงลูก ดูสัตว์ลิงค่างบนยอดไม้ก็แล้วกัน ไอ้ลูกมันเกาะอยู่ที่หน้าอกแม่เรื่อยไป พ่อไม่ได้ทำหน้าที่อันนี้ เพราะว่าแม่มันอบรมวิญญาณของลูกให้มันเป็นลูกอย่างมนุษย์ ฉะนั้นสตรีจงพยายามเป็นแม่ บุรุษจงพยายามเป็นพ่อ แล้วลูกจะได้รับความสมบูรณ์ทั้งสองด้าน อย่าไปหลงสิทธิเสมอภาคระหว่างบุรุษกับสตรีอย่างที่เขากำลังโง่ หลงกันอยู่เดี๋ยวนี้เลย อาตมายอมรับบาป ให้คนเหล่านั้นรุมกันด่าอาตมาคนเดียว เพราะไม่เห็นด้วย และขอคัดค้านไอ้เรื่องเสมอภาคอย่างงมงายอย่างนี้ ขอร้องให้แม่เป็นแม่ ขอร้องให้พ่อเป็นพ่อ แม้จะเสียเปรียบอะไรกันบ้างก็ยอม นี่พูดเลยไปถึงว่าไม่ยอมรับธรรมชาติ ไม่ยอมรับกฎเกณฑ์ของธรรมชาติที่ว่าคนเราจะต้องแตกต่างกัน จะต้องเป็นคนจน จะต้องเป็นคนมี จะต้องเป็นคนมีสมรรถภาพมาก จะต้องเป็นคนมีสมรรถภาพน้อย แม้ที่สุดการเป็นบุรุษกับสตรีนี้ก็อย่าได้เรียกร้องอะไรให้มันเท่าเทียมกันเลย ยอมรับภาระหน้าที่...