แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ถาม : อยากจะเรียนถามพระคุณเจ้าว่า การที่จะประพฤติอย่างไรถึงจะได้ชื่อว่าเป็นครูที่สมบูรณ์แบบเจ้าคะ
ตอบ: ไหนขอพูดใหม่ให้ชัดหน่อย
ถาม : ดิฉันอยากจะเรียนถามพระคุณเจ้าว่า ประพฤติตนอย่างไรถึงจะได้เป็น ได้ชื่อว่าเป็นครูที่สมบูรณ์แบบเจ้าค่ะ
ตอบ : นี่ก็ถาม ถาม ไอ้ปัญหาที่ตอบแล้วเมื่อวาน ไอ้ครู “ครูที่สมบูรณ์แบบ” พูดกันเมื่อวาน กลุ่มที่ ๓นี่เอง ไอ้การเป็นการศึกษาสมบูรณ์แบบ ความเป็นครูสมบูรณ์แบบ มีอุดมคติ เป้าหมาย คือผู้เปิดประตูทางวิญญาณ ผู้นำทางวิญญาณ ให้สัตว์ผู้ตกอยู่ในความมืดออกมาสู่แสงสว่างนี่เป็นอุดมคติก่อน ทีนี้ก็ทำให้สำเร็จตามนั้น โดยถือเอา(หลักการ)นั่นเป็นหลักที่มุ่งหมาย มีความเป็นมนุษย์ของตัวเองให้ถูกต้องเสียก่อน คือมีภาวะแห่งจิตใจเต็มตามความหมายของคำว่า “มนุษย์” สูงพอที่จะไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของความชั่วหรือกิเลส เป็นต้น พร้อมกันนั้นก็ทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ลูกศิษย์ คือตัวครูเองนั่นแหละต้องทำตนเป็นตัวอย่างที่ดี ในการที่จะเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ เป็นสาวกที่ดีของพระศาสดาแห่งศาสนาของตน รายละเอียดปลีกย่อยมากกว่านี้ก็ดูได้จากแบบเรียนนักธรรม แบบเรียนอะไรก็มีที่ทางฝ่ายศาสนาเขาต้องการ ในเรื่องทิศ ๖ นะ ครูที่ดีก็คือให้การอบรมดี ให้เรียนดี ไม่หวงวิชา ยกย่อง แล้วก็คุ้มครองศิษย์ ศิษย์ต้องรับโดยการเคารพ การรับใช้ การเชื่อฟัง การช่วยเหลือ แล้วก็การตั้งใจเรียนดี ถ้าศิษย์มีอย่างนี้ ความเป็นครูก็สำเร็จ ถ้าศิษย์ไม่ดี เป็นครูก็ไม่มีทางจะสำเร็จเหมือนกัน มันต้องถูกฝาถูกตัว ดังนั้นครูจึงเป็นปูชนียบุคคล ไม่ใช่ลูกจ้างสอนหนังสือหาเลี้ยงชีวิต ให้ถือว่าเงินเดือนที่ได้มานั้นเป็นเครื่องช่วยให้เราได้มีชีวิตอยู่ ได้ทำสิ่งที่ประเสริฐที่สุด คือการยกสถานะทางวิญญาณของลูกศิษย์ให้สูงขึ้น สูงขึ้น ถ้า(อาตมา)เคยบอกว่าถ้าเป็นครูที่แท้จริงแล้วก็จะขึ้นสังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้า ไม่(ใช่)สังกัดอยู่กับกระทรวงศึกษาธิการหรือองค์การปกครองท้องถิ่น ถ้าครูที่แท้จริง หัวใจมันจะขึ้นอยู่กับพระพุทธเจ้า เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านเป็นบรมครู เดี๋ยวนี้(ความ)เข้าใจที่ว่า(ครู)เรามันขึ้นสังกัดอยู่(กับ)กระทรวงศึกษาธิการบ้าง องค์การท้องถิ่นบ้าง นั่นมันสั้นไป มันต่ำไป มันตื้นไป ทีนี้เรากลัวไว้มากๆ อย่าว่าไปเป็นครูชนิดที่จำเป็น เสียชีวิต(3.45) อย่าคิดอย่างนั้น มันไม่ถูก เราต้องไปทำหน้าที่ที่มีค่ามากกว่านั้น ไอ้เงินเดือนนั้นให้มันเป็นเครื่องบูชาคุณ แล้วก็ให้ไอ้สิ่งที่เราทำประโยชน์ลงไปในโลกนี้มันมีค่ามากกว่าเงินเดือน ก็ให้ครูรู้สึกตัวอยู่เสมอตลอดเวลาว่าเราเป็นเจ้าหนี้ เราไม่ใช่ลูกหนี้ เพราะเราทำประโยชน์มากกว่า มากกว่าเงินเดือนหรืออะไรก็ตามที่สังคมเขาได้ใช้ให้แก่เรา เราต้องยก ต้องเคารพนับถือตัวเองในขนาดนี้เสมอ ว่าหน้าที่ที่เราปฏิบัติไปมันมีค่า ตีราคากันไม่หวาดไหว แล้วก็เงินเดือนที่เราได้รับนั้นเพียงพัน เพียงสองพันนี่มันก็ไม่เท่าไหร่ เพราะฉะนั้นเรายังเป็นเจ้าหนี้อยู่เสมอไป นี่จึงจะเรียกว่ามันเป็นครูที่ถูกต้องตามอุดมคติของครู เป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณ นี่ก็เว้นครูที่เอามาไว้ล้อกัน เป็นครูผีเสื้อ เป็นครูผีสิง เป็นครูอะไรก็ไม่รู้ ได้ยินเขาพูดกัน เอาเขามาพูดอีกที (พวก)นั้นก็ไม่ต้องพูดถึง ครูที่แท้จริงจะเป็นปูชนียบุคคล ทำงานอย่างเดียวกันกับพระภิกษุสงฆ์ คือเปิดประตูทางวิญญาณ มันไม่รู้ กอ ขอ กอ กา ก็ทำให้มันรู้ กอ ขอ กอ กา ก็เป็น(ผู้)เปิดประตูทางวิญญาณ แต่ไม่ใช่รับจ้างสอนหนังสือ ไอ้เกียรติของความเป็นลูกจ้างเราไม่พอใจ ถ้ามันไม่รู้อะไรก็สอนให้มันรู้ ไม่รู้อะไรก็สอนจนรู้ มันไม่สามารถจะเลี้ยงชีวิต ก็สอนให้มันสามารถเลี้ยงชีวิต แล้วสอนให้มันรู้จักความดี รู้จักความชั่ว รู้จักเคารพนับถือตัวเอง ยึดมั่นอยู่แต่ในฝ่ายที่ดี นี่คือความที่จะเป็นครูสมบูรณ์แบบโดยย่อๆ เป็นอย่างนี้ เอ้าใครจะถามอะไรอีกก็ได้
ถาม : มีปัญหาเพื่อนนักศึกษาสงสัยว่า ทำไมการสอนเรื่องเพศศึกษาในโรงเรียนจึงเป็นเรื่องโง่ ตามที่ท่านได้กล่าวมาเมื่อตะกี้
ตอบ : ช่วยซ้ำอีกที ช่วยซ้ำอีกที ใกล้ๆ (ไมโครโฟน) ช้าๆ
ถาม :ทำไมการสอนเรื่องเพศศึกษาในโรงเรียนจึงเป็นเรื่องโง่ มันเป็นเรื่องโง่ ที่ตามที่ท่านได้กล่าวมาเมื่อตะกี้
ตอบ : (7.00)………….. ว่าการสอนเพศศึกษาในโรงเรียน อาตมาถือว่าเป็นเรื่องโง่เขลาใช่ไหม ก็ได้ ฟังถูกแล้ว นี่ไม่ใช่ว่าจะว่าใครเฉพาะประเทศไทยหรือว่าทั้งโลก เขาคิดกันว่าเดี๋ยวนี้ศีลธรรมทางเพศมันเสื่อม หรือว่ามีอันตรายเกี่ยวกับไม่มีความรู้เรื่องนี้ แล้วก็ควรสอนเพศศึกษา ทีนี้ว่ามันการสอนเพศศึกษานั่นน่ะมันมีปัญหามาก ถ้ามันสอนกันในรูปของการศึกษา มันก็นับว่าดีอยู่ แต่นี่ฟังดูแล้วไอ้การสอนนั่นมันเป็นเรื่องโง่เขลา รู้เท่าไม่ถึงการณ์ คือสอนในวิธีที่เด็กเขาจะรับเอาไว้แต่เพียงเรื่องความหมายทางเพศ ส่วนไอ้ตัววิชาแท้จริงนั้นน่ะมันเลือนหายไป มันหลุดออกไป เอาหนังสือเรื่องเพศศึกษามาอ่านก็แล้วกัน มันจะจำได้อยู่แต่ไอ้ความหมายฝังอยู่ในความรู้สึกเพียงเรื่องเกี่ยวกับเพศ ไอ้ที่เป็นทฤษฎีการศึกษาล้วนๆ นั้น มันไม่ได้ติดอยู่ ดังนั้นความรู้สึกทางเพศมันก็รุนแรงหรือรวดเร็วยิ่งไปกว่าเดิม มันก็ไม่ได้ผลในตอนนี้ รู้สึกว่าไอ้หลักสูตรที่เอามาสอน หรือแบบฉบับที่มาสอนนั้นยังไม่ ไม่ได้เป็นไปได้ ไม่สำเร็จประโยชน์ในการที่จะให้ผู้เรียนนั่นน่ะมีความรู้สึกทางศีลธรรมเกี่ยวกับเพศ หรือแม้แต่เรื่องโรคภัยไข้เจ็บเกี่ยวกับเพศนี่ มันก็ไม่สำเร็จประโยชน์ เป็นการเร่งความรู้สึกทางเพศให้เร็วกว่ากำหนดไปเสียอีก เพราะ(ฉะนั้น)จึงถือว่าเป็นเรื่องโง่เขลาเบาปัญญา อย่างนั้นขอให้ดูผล ให้คอยดูผลของการสอนเพศศึกษากันในโลก ทั้งโลกแล้วกัน ว่ามันจะมีผลอย่างไรในอนาคต เขาให้ไอ้สิ่งทั้ง ๒ นี้ไปพร้อมกันในลักษณะที่ให้ผู้รับเลือกเอาไว้ได้แต่เพียงฝ่ายที่ตรงกับกิเลสหรือเรื่องของเพศ นี่ยิ่งโง่เขลาจนถึงบ้าหลัง เลวทราม ก็ได้ยินว่าบางประเทศเอาคนจริงๆ มาแสดงนิทรรศการทางเพศ มันยิ่งไปกันใหญ่ อย่าพูดถึงดีกว่า เอ้าใครมีปัญหาอะไรอีก (9.50-10.06 ช่วงนี้ไม่ค่อยชัด)
ถาม : ผมมีปัญหาอยู่ว่า เนื่องจากปัจจุบันนี้การปกครองของเรากำลังเถื่อนบ้า เพราะว่าได้เลือกบุคคลที่ได้รับการศึกษาที่ไม่ถูกต้องเข้าไป แล้วเราจะมีวิธีการทำอย่างไรจึงจะให้พวกนี้ได้ปกครองให้ดี ถ้าจะรอให้พวกผมที่เป็นครูก้าวไปจัดการ มันก็ยังใช้เวลาอีกนานครับ หรือบางครั้งก็ยังไม่แน่ว่าจะได้เป็นครูหรือเปล่า เพราะว่าเดี๋ยวนี้งานมันกำลังรับนักศึกษาที่จบไปนี่น้อย แต่งานมีตำแหน่งน้อยครับ มีเท่านี้ครับ
ตอบ : เท่านี้ ปัญหานี้เป็นปัญหาทางการเมือง อยู่นอกขอบเขต ตะกี้บอกแล้วว่าอย่าถามปัญหานอกขอบเขต ปัญหานี้อยู่นอกขอบเขตของการบรรยาย ๒ ครั้งนี้ ของคุณมันเป็นปัญหาทางการเมือง คือมีสิทธิที่จะไม่ตอบ ถ้าตอบมันก็ตอบอย่างเป็นเรื่องขัดไม่ได้ เรื่องแถมพก เรื่องพิเศษ คือว่ามันก็ไม่มีทางอื่นแล้วที่เราจะทำได้ ก็คือการช่วยกันศึกษา สั่งสอน อบรมให้ลูกเด็กๆในอนาคต มันก็จะเป็นไอ้คนที่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ถูกต้องขึ้นมา เกิดปัญหาเฉพาะหน้าในปัจจุบันนี้ ซึ่งเป็นเรื่องของนักการเมืองนั้นมันเป็นเรื่องการต่อสู้ทางการเมือง แล้วก็ ก็ไปเป็นนักการเมืองสิ ไม่ต้องเป็นครู ไปต่อสู้ทางการเมือง ถ้าทำได้ก็ดีเหมือนกัน แต่นี่เขาพูดกันในขอบเขตของการศึกษา ก็ชี้ให้เห็นว่าไอ้การเมืองนี้ไปไม่รอด เพราะนักการเมืองไม่ประกอบไปด้วยคุณธรรมที่ถูกต้องของนักการเมือง เพราะการศึกษาไม่สมบูรณ์แบบ ปัญหาทางการเมืองนั้นเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องพูดกันไม่รู้จบ ก็เป็นยุวชนฟุ้งขึ้นมาอีกนี่ (12.49) นั่นน่ะมันก็มีปฏิกิริยาอย่างนั้น อ้าวขอปัญหาอื่นที่อยู่ในขอบวงของไอ้การศึกษา แล้วก็อยู่ในขอบเขตของการบรรยายของครั้งที่แล้วมา
ถาม : การที่พระคุณท่านได้กล่าวว่า การศึกษาที่สมบูรณ์แบบนั้นต้องยึดพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ ตลอดจนถึงครูอาจารย์ กระผมอยากจะทราบรายละเอียดว่า ที่ว่ายึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั้นหมายความว่าอย่างไร แล้วก็ตัวอาจารย์นั้นควรจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับให้การศึกษาที่สมบูรณ์แบบนั้นอย่างไร
ตอบ : ที่ว่าให้มองไปยังพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพื่อต้องการให้มองในฐานะเป็นตัวอย่าง เป็นอุทาหรณ์ หรือว่าเป็นทัศนคติ เอามาเป็นทัศนคติว่ากิจกรรมของเรา พวกครูบาอาจารย์จะสอนศิษย์นี้ มันมีรูปการ มีหลักการ มีเจตนารมณ์อะไรอย่างเดียวกันกับที่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ได้มีอยู่ในโลก แล้วก็เป็นการทำให้โลกนี้มันมีความปลอดภัย ให้เอามาเป็นแนวสำหรับคิดนึก เพราะพระพุทธเจ้านั้นท่านให้การศึกษาชั้นสูงสุดแก่มนุษย์ แล้วการศึกษาสูงสุดแก่มนุษย์(ที่)สมบูรณ์แบบก็คือธรรมะที่ดับทุกข์ได้ พระสงฆ์ก็คือผู้รับเอามา ปฏิบัติแล้วก็สอนคนอื่นต่อไป ให้ดูคติอันนี้ ดูทิฏฐานุคติอันนี้ ให้เข้าใจ แล้วก็จะได้มีกำลังใจสำหรับเราจะทำงานของเราให้เป็นไปในความหมายอย่างนั้น มันก็จะได้รับผลตามสัดส่วนที่เราจะพึงกระทำในหน้าที่ของครูบาอาจารย์ ในขอบเขตของครูบาอาจารย์ ให้ความรู้ที่ถูกต้องด้วยเจตนา ด้วยความพยายามอะไร (15.55) อันแท้จริง อันบริสุทธิ์ อันหวังดี อันเมตตากรุณา ก็มีลูกศิษย์ที่ได้รับความรู้นี้ เอาไปใช้เป็นประโยชน์ได้จริง ที่พูดนี่ก็เพื่อว่าจะได้เป็นเครื่องประกันว่าเราอย่าได้ทำกันอย่างเล่นๆ หรืออย่างปล่อยๆไป ให้ทำอย่างหมายมั่น อย่างเป็นอุดมคติ สงเคราะห์เข้าในกิจกรรมของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างนี้มากกว่า ส่วนรายละเอียดนั้นก็คือปฏิบัติหน้าที่ของครู ตามหลักวิชาครูหรือวิชาอะไรที่มันเกี่ยวกับครู (ที่)จะต้องรู้ จะต้องปฏิบัติ จะต้องเป็นตัวอย่างที่ดี คือครูเป็นผู้ปฏิบัติดี เป็นตัวอย่างและเป็นการสอนที่ดี แล้วก็มีคุณธรรมครบถ้วน คือว่าครูนี่มีความรู้ดี แล้วก็มีการปฏิบัติตามความรู้นั้นดี แล้วก็ได้รับผลจากการปฏิบัตินั้นเป็นตัวอย่างที่ประจักษ์ชัดอยู่ที่เนื้อที่ตัวของเรา แล้วพวกลูกศิษย์เขาก็เห็น เขาจึงรับเอาด้วยความไว้ใจ เคารพ รักใคร่ นับถือเต็มที่ ถ้าเรามีแต่พูดอย่างเดียวเราไม่ทำอย่างนี้มันก็ล้มเหลว ล้มละลายหมด เป็นการรับจ้างมาเป็นนกแก้วนกขุนทองไปวันหนึ่งๆ มันจะเป็นเสียอย่างนี้ เรื่องรายละเอียดเกี่ยวกับการปฏิบัติของครูเป็นอย่างไรนั้นก็อยู่ในหลักสูตรของครูที่เล่าเรียนกันมาแล้ว แต่นี่บอกแต่สิ่งที่มันเป็นอุทาหรณ์ เป็นไอ้เครื่องให้กำลังใจแก่ครู เพื่อความเป็นครู เป็นปูชนียบุคคลนั่นเอง งั้นขอให้นึกไว้เสมอ อย่าลืมว่าเราเป็นครูที่ขึ้นสังกัดอยู่กับพระพุทธเจ้า ไม่ใช่สังกัดอยู่กับไอ้กรมการศึกษาท้องถิ่นหรือกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นผู้เลี้ยง ให้เงิน นั่นมันเป็นเรื่องเขาให้เรามีชีวิตอยู่ แล้วก็ทำงานตามอุดมคติของพระพุทธเจ้า ช่วยสัตว์โลกให้รอดพ้นจากปัญหาทั้งปวง นี่เป็นแกนของอุดมคติ ถ้าเอาไว้ได้แล้วประเสริฐที่สุด รายละเอียดนั้นไปหาเอาเองเถอะ มันมากนัก มันไม่หวาดไหวที่มาพูดในเวลาอันสั้น ไปอ่านได้จากตำรับตำรา (จะ)สรุปไว้ให้(ว่า)ครูเป็นปูชนียบุคคล สมกับคำว่า “ครู” เป็นที่เคารพสักการะของมนุษย์ เพราะว่าพวกครูนี้เป็นสถาบันที่สร้างโลกให้งดงาม ให้สงบสุข ให้มีค่า เอ้าถามได้อีก ใครมีปัญหาถามได้อีกสองสามปัญหาก่อนหมดเวลา
ถาม : จาก(ที่)การศึกษาออกนอกลู่นอกทางเฟะ นักการศึกษาผู้ที่ศีธรรมแฟบมาจากการศึกษา เท่ากับว่า ถ้าจะให้การศึกษาที่มีระเบียบดีขึ้น ต้องยึดถือหลักของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ผมอยากทราบว่า การที่จะยึดถือหลักของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ต้องการที่จะให้กระทรวงศึกษาธิการขึ้นต่อกรมการศาสนาหรือว่าอย่างไรครับ
ตอบ : ทีนี้ว่าใหม่อีกที ว่าใหม่อีกที ฟังๆ ตอนไม่ค่อยถนัด ว่าให้ช้าๆ ชัดๆ นา ว่าใหม่อีกที ซ้ำปัญหาอีกที ให้ซ้ำปัญหาอีกที ช้าๆ ชัดๆ ได้ไหมครู หันหน้ามาทางนี้ ทางไมโครโฟน
ถาม : การที่พระคุณท่านว่าการศึกษามันแฟบ เพราะการศึกษาออกนอกลู่นอกทาง เนื่องจากการที่
ตอบ : การศึกษาเฟ็ด ศีลธรรมเฟ้อ เอ๊ย, ศีลธรรมแฟบ การศึกษาเฟ็ด ออกนอกลู่นอกทาง
ถาม : การที่พระคุณท่านว่า การศึกษาเฟ็ด
ตอบ : เอ้าว่าไป ว่าไป ว่าไป
ถาม: เพราะการศึกษานั้นออกนอกลู่นอกทาง เนื่องจากคนที่มีศีลธรรมแฟบมาจากการศึกษา แต่ถ้าต้องการให้การศึกษานั้นดีขึ้น พระคุณท่านตอบว่า ต้องยึดถือตามหลักของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพื่อขจัดปัญหาต่างๆ เหล่านี้ กระผมอยากทราบกว่า พระคุณท่าน คิด คิดว่า ต้องการที่จะให้กรมการ(ศึกษา) กระทรวงการศึกษาขึ้นต่อกรมการศาสนาหรือว่าเปล่าครับ
ตอบ : ฟังถูกแล้ว ว่าเดี๋ยวนี้ไอ้กรมการศาสนาเป็นแขนงหนึ่งของกระทรวงศึกษา นี่จะให้กระทรวงศึกษามาขึ้นอยู่กับกรมการศาสนา นี่มัน มันต้องปฏิวัติกันใหม่หมด มันเป็นไปไม่ได้ เดี๋ยวนี้แม้แต่กรมการศาสนาเขาก็ไม่ได้จัดการเกี่ยวกับเรื่องที่เป็นความหมายของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เขาจัดเกี่ยว(กับ)การปกครอง หรือเกี่ยวกับธุรการต่างๆ แม้จะเอากระทรวงศึกษาธิการมาขึ้นกับกรมการศาสนาก็ไม่เกิดผลอย่างที่ว่า ไอ้กระทรวงศึกษาธิการนี้ก็ควรจะเป็นกระทรวงศึกษาธิการ(ที่)จัดการศึกษาในฝ่ายธุรการ เพราะมันมีชื่อศึกษาธิการ มันควรจะมีกระทรวงศีลธรรม หรือว่ากระทรวงธรรมการอะไรสักอย่างหนึ่ง อย่างแบบโบราณที่เขาเรียก ก่อนนี้เขาเรียก(ว่า)กระทรวงธรรมการ ไอ้การศึกษานี่แฝงอยู่ในแขนงหนึ่งในกระทรวงธรรมการ ดังนั้นกระทรวงธรรมการก็จัดเรื่องศาสนา เรื่องอะไรได้มากกว่า (แต่)ว่าเดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนเป็นกระทรวงศึกษาธิการ ก็เลยมาหนักในเรื่องการศึกษาของลูกเด็กๆ ไอ้เรื่องของศาสนาก็เลยน้อยไป มีกรมการศาสนาเป็นหน่วยทางการศึกษา เขาจัดแต่เรื่องการปกครองหรือว่าทางระเบียบ ทางวัตถุ ทางไอ้พวกรับใช้พระเจ้า พระสงฆ์นี่มากกว่า ไม่เจาะจงลงไปที่เรื่องของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ดังนั้นจึงเป็นอันว่า ไม่ได้หรอกที่จะให้กระทรวงศึกษาธิการมาขึ้นกับกรมการศาสนา ก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว ถึงว่าทำได้มันก็ไม่ได้ คืออยากจะคิดเพ้อๆๆๆ ไปว่า ตั้งกระทรวงธรรมการใหม่ดีกว่า จัดเรื่องการศึกษาทางพระธรรมนี่ให้สมบูรณ์แบบที่สุด แล้วมีศีลธรรมที่สุดเลย แล้วก็ให้กระทรวงธรรมการหรือกระทรวงศีลธรรมนี้(ไป)ควบคุมกระทรวงอื่นทุกกระทรวง คุณจะพอใจมั้ย ให้กระทรวงธรรมการหรือกระทรวงศีลธรรมนี่ควบคุมกระทรวงอื่นๆทุกกระทรวง ให้มันเป็นกระทรวงที่มีศีลธรรมไปหมด (แบบ)นี้จะรอดได้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จะกลับมาได้ มาอยู่เป็นที่พึ่ง ประคับประคองให้ทุกคนนั้นไปตามทางของพระธรรม ศีลธรรม แต่เข้าใจว่าไม่มีใครรับฟังในเวลานี้ ที่จะตั้งกระทรวงศีลธรรมหรือกระทรวงธรรมการขึ้นมาควบคุมกระทรวงอื่นทุกกระทรวง ไม่มีใครรับฟัง จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อคนทุกคนในประเทศมันมองเห็นและต้องการอย่างนี้ จึงจะบังคับรัฐบาลให้จัดตั้งมาในรูปนี้ได้ ไอ้ทุกคนในประเทศยังไม่มองเห็น ยังไม่ต้องการอย่างนี้ก็ทำไม่ได้ ดังนั้นพวกคุณนี่ไปรีบไปสอนเด็กๆให้มันต้องการอย่างนี้ ไม่เท่าไหร่มันก็เกิดกระทรวงที่สามารถควบคุมประเทศชาติให้มีศีลธรรม เอ้าใครมีปัญหาอะไรอีก
ถาม : ผมอยากจะเรียนถามว่า ต่อไปจะมีวิธีการแก้ไขอย่างไรเกี่ยวกับครูผีเสื้อและครูผีสิง เพราะผมคิดว่าโดยเฉพาะครูผีเสื้อต่อไปอาจจะมีมากขึ้น
ตอบ : ข้อนี้ไม่ยากหรอก คือว่าเราอย่าเป็นมันก็แล้วกัน มันก็ค่อยตายไปหมด ตายไปหมด พวกเราทั้งหลายอย่าเป็น ที่เป็นอยู่ก่อน(ถ้า)มันละอาย มันก็เปลี่ยน คือมันตายไปหมด มันก็หมด เราอย่าเป็น ถ้าทำมากไปกว่านั้นมันกลายเป็นเรื่องอื่นไป เป็นเรื่องการเมือง เป็นเรื่องอะไรไปเสียอีก เฉพาะในวงการศึกษานี่เราอย่าเป็น ขอ(ให้)เราทุกคนอย่าเป็น
ถาม : เอ่อ มีปัญหาอีกปัญหาหนึ่ง มีปัญหาว่าในการฟังดนตรีหรือเพลงของชาติตะวันตก ที่เป็นของชาติตะวันตกนั้น เมื่อท่วงทำนองเหล่านั้นมาจากการดัดแปลงเสียงแห่งธรรมชาติ เช่น เสียงนก เสียงกา หรือเสียงน้ำไหล แล้วใคร่จะกราบถาม กราบเรียนขอความกรุณาชี้แจงถึงความผิดถูกในการที่จะฟังเพลงเหล่านี้ครับ ที่ว่าจะ คือถ้าท้าวความเดิมที่ว่า เพลงไทยมันเหมือนกับช้าง เหมือนกับช้าง แล้วก็เพลงฝรั่งมันเหมือนกับลิงเมาเหล้าอะไรอย่างนี้ครับ
ตอบ : ยังมองไม่เห็นเหรอ มันเกี่ยวกันหลายอย่าง มันเกี่ยวกับความนิยมหรือรสนิยม หรือวัฒนธรรม หรือประเพณีที่ต่างกันระหว่างตะวันออกกับตะวันตก ซึ่งจะเป็นด้วยเหตุอะไร อันนั้นมันยังลึกซึ้งมาก แต่เราเอาเป็นว่ามันเป็นเรื่องของธรรมชาติของมนุษย์ ฝ่ายตะวันออกนี่มันมีนิยม มีรสนิยมอะไรกันมาในทางหยุด หรือเย็น หรือเชื่องช้า ทางฝ่ายนั้นเขานิยมไอ้(ความ)รุนแรง เร่าร้อนหรือกระตุ้น มันก็เกิดไอ้ดนตรีหรืออย่างอื่นก็ตามที่มีลักษณะอย่างนี้ขึ้นมา เป็นแบบ เป็นความมุ่งหมาย พวกฝรั่งเขาว่าฟังเพลงไทยนี่ไม่ทันใจเขา เขาก็บอกว่าเพราะดี แต่มันไม่ทันใจเขา เพราะเรามันช้า เพราะมันไปเชื่องช้า ไปอย่างเยือกเย็น เรามุ่งหมายจะใช้ดนตรีเป็นเครื่องกดลงหรือระงับลง ไม่ต้องการจะใช้กระตุ้น จะให้ดนตรีมีผลในทางทำจิตที่เร่าร้อนให้มันหยุด เย็นลง ส่วนทางโน้นเขาต้องการจะให้มันกระตุ้นให้แรงขึ้นกว่าที่กำลังเป็นอยู่ นี่ก็ไปศึกษาดูจากครูบาอาจารย์ที่เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญทางดนตรี เขาจะบอกได้ มันมีส่วนประกอบอย่างไร มีทางเสียงอย่างไรมันจึงเป็นลักษณะที่กระตุ้น ดังนั้น เขาจึงมีรสนิยมอย่างนั้นเป็นนิสัยเป็นสันดานของเขา เรามีแบบของเราก็ควรจะถือว่าเหมาะกับชนชาติไทย ซึ่งมีกำลังจิต มีกำลังในทางธรรม เข้มแข็งบึกบึน เชื่องช้าเยือกเย็น คล้ายเพลงไทยดีกว่า อย่าไปหลงนิยมไอ้เพลงกระตุ้นที่ให้มันเร่าร้อน ซึ่งมันจะเป็นไปในทางผลุนผลันและสะเพร่า เป็นเพียงคำเปรียบเท่านั้นแหละ ที่เปรียบช้างเปรียบลิงเมาเหล้า พวกฝรั่งเขามีเพลงพวกประเภทเย็นหรือเศร้าเฉพาะเพลงศพ เพลงที่เกี่ยวกับศพ เพลงแห่ศพ เพลงในโบสถ์ ส่วนไอ้ดนตรีหรือเพลงธรรมดานั้นเป็นเรื่องเร่าร้อน เรื่องกระตุ้น จนกระทั่งเดี๋ยวนี้อิทธิผลในเพลงโลกๆนี่ก็เข้าครอบงำเพลงในโบสถ์ จนเพลงในโบสถ์ก็เปลี่ยนทำนองเป็นรัว เป็นร้าวหรือเป็นกระตุ้น เมื่อคืนนี้ยังได้ยินเด็กหญิงคนหนึ่งเขาร้องเพลงสรรเสริญพระเยซูทางวิทยุ อ้าวนี้มันเปลี่ยนแล้ว มันไม่เหมือนกับที่เขาร้องกันอยู่แต่ก่อนอย่างในโบสถ์ เอาไอ้ทำนองสากลที่สั่นๆรัวๆนี่เข้าไปแทน สรรเสริญพระเยซูเป็นอย่างนี้เสียแล้ว เปลี่ยนไปแล้ว ต่อไปก็จะเปลี่ยนมากขึ้น มากขึ้น เพราะเด็กรุ่นหลังเขาก็เปลี่ยนมากขึ้น ที่เย็นๆ ที่ช้าๆอะไรก็จะหมดไป เห็นแต่ความนิยมมันเปลี่ยน ต่อไปก็จะไม่มีไอ้เพลงเย็นหรือช้าเหลืออยู่ในเรื่องของฝรั่งนี่ ทีนี้ไอ้พวกไทยเรานี้ก็ยังมีเรียกว่าต่อต้าน ต่อสู้อยู่ ยังรื้อฟื้นเพลงไทยเดิมขึ้นมา มันแสดงอานิสงส์ให้เห็นว่ามันใช้ได้ในการที่จะช่วยให้จิตใจมันเยือกเย็น นี่ก็มีคนเห็นด้วยกันมาก ก็นับว่าเป็นส่วนดีอยู่ เพลงไทยแม้แต่เนื้อร้องเขาก็ไม่ ไม่ใช้คำที่ยั่วยุ ถ้าเป็นเพลงไทยเดิมแท้เนื้อร้องจะไม่ยั่วยุเหมือนกับไอ้เพลงไทยใหม่ ไทยสากลอะไรนี่ แล้วเขารังเกียจด้วย เขาเกลียดด้วย ถ้าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเพศก็พูดอย่างชนิดที่ไม่มีความยั่วยุ คนไปแก้ไขเนื้อร้อง เอาเนื้อร้องใหม่เข้าไปแทนนี่มันเป็นความผิดของไอ้คนรุ่นหลัง เพลงไทยเดิมนั้นดนตรีมันก็เย็นในทางดนตรี ในทางเนื้อร้องเขาก็เลือกแต่ที่มันไม่กระตุ้น มันมีอารมณ์เหมือนกันแต่มันไม่ไปในทางกระตุ้น ก็รวมความว่าทั้งเนื้อร้อง ทั้งทำนองดนตรีมันก็เป็นไปในทางเย็น งั้นควรจะรักษาไว้ให้คู่กับคนไทย ความเป็นคนไทย เมื่อถูกกระตุ้นให้ลุกขึ้นเต้นแค่นั้น นั่นมันสูญเสียความเป็นไทย พ่ายแพ้แก่สิ่งกระตุ้น เราไม่มีอะไรมากระตุ้นได้ให้ฟุ้งซ่าน แต่ให้เยือกเย็นอยู่เสมอนี่ก็ยังคงเป็นไทยอยู่ ถือเอาอย่างนี้ก็พอแล้ว เอ้ามีปัญหาอะไรอีก
ถาม : คือผมมีปัญหาหนักใจมานานแล้ว นานๆหลายปีแล้วครับ คือมาวันนี้ก็อยากจะ(ขอให้)ไขข้อข้องใจอันนี้ครับ คือว่าตามที่พระคุณท่านได้พูดไปแล้วว่า ไอ้การศึกษาสมบูรณ์แบบมันต้องยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ครับ คือในปัจจุบันนี้พระสงฆ์ครับส่วนใหญ่หลงในวัตถุ หรือว่าบางแห่งก็เป็นนายทุนเสียด้วย เพราะฉะนั้นผมใคร่จะกราบเรียนถามว่า เรามีหนทางที่จะแก้ไขในส่วนนี้ได้อย่างไรครับ แล้วถ้าสามารถแก้ไขส่วนนี้ได้ ผมว่าสังคมคงจะดีขึ้นกว่านี้เยอะครับ
ตอบ : อ้าวนี่ปัญหาที่ถามเนี่ยนอกขอบเขตอีกแล้ว เหมือนเรื่องการเมืองอีกแล้ว ไม่อยู่ในขอบเขตของการศึกษา ที่จะแก้ไขภาวะของพระสงฆ์สมัยปัจจุบันในบางแห่งเท่านั้นใช่มั้ย ไม่ใช่ทั้งหมด เป็นเรื่องการเมือง ถ้าอยากจะแก้ไขก็ไม่มีอะไรอีกแหละ เรารีบสอนเด็กๆให้มันเข้าใจถูก อย่าไปชอบไอ้อย่างนั้น เขาก็เลิกไปเอง เราสอนเด็กๆให้เข้าใจถูก อย่าไปหลงนิยมอย่างนั้น มันก็หมดไปเอง เลิกไปเอง ถ้าจะไปปะทะกันเข้ามันก็เป็นเรื่องการเมือง นี่เราก็ไม่อยากจะเกี่ยวข้องกับการเมือง หมดเวลาๆ อยู่แล้ว เอาได้ถ้าจะถาม มาเรื่องเวลา มาเตือนเวลา
ถาม : กระผมรู้สึกว่าคณะอาจารย์และนักศึกษาที่มาที่นี่ เข้ามาในสวนโมกข์นี้ ที่ได้รับคำบรรยายในเรื่องเกี่ยวกับการศึกษาสมบูรณ์แบบไปแล้ว ทำให้ผมมองเห็นว่าขณะนี้นักศึกษาก็ดี อาจารย์เราก็ดี ที่มาเนี่ย ตอนนี้เริ่มมีการ มีวี่แววว่าจะมีการละการวางอะไรๆกันบ้างแล้ว เพราะฉะนั้นกระผมก็เลยอยากจะเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ท่านอาจารย์มีวิธีการอะไรบ้างที่จะให้คณะนักศึกษาและอาจารย์เราที่กำลังจะละ จะวางกันนี้ ได้มีการละวางเรื่องเนื้อเรื่องหนังกันให้(มัน)น้อย(ลง) ให้มากกว่านี้ คือความสุขทางเนื้อหนังครับ
ตอบ : ให้ละวางมันคงไม่ได้ แต่ให้บรรเทาเท่านั้นมันอาจเป็นไปได้ เพราะว่าความรู้สึกทางเนื้อหนัง โดยเฉพาะคือทางเพศนี่เป็นเรื่องของธรรมชาติ ธรรมชาติอันเร้นลับ ลึกซึ้ง สูงสุด เด็ดขาด นั่นละเราเข้าใจไม่ได้ เราเรียกว่าพระเจ้า ธรรมชาตินั้นมันใส่มาเสร็จ ความรู้สึกทางเพศเกี่ยวกับการสืบต่อของสิ่งที่มีชีวิต จะเป็นสัตว์เดรัจฉานหรือแม้แต่ต้นไม้มันก็ยังมี นี่คนนี่ก็ยังต้องมี ความรู้สึกทางเพศก็ใส่มาในลักษณะของไอ้ความแรง(36.15)ความรู้สึกอัตโนมัติ ไม่อยู่ในการควบคุมอันนี้ก็ใส่มาในร่างกาย แล้วมันก็ต้องไปตามเรื่องของมัน ก็มีแต่ว่าเราจะควบคุมให้อยู่ในขอบเขต อย่าให้เกินความพอเหมาะพอดี คือไม่เป็นโทษก็แล้วกัน มันมีอยู่เป็นชั้นๆ ถ้าต้องการควบคุมมากเป็นพิเศษ เป็นนักบวชเป็นอะไรไปเลยก็อย่างหนึ่ง ถ้าอยู่เป็นชาวบ้าน เป็นฆราวาสมันก็อีกระดับหนึ่ง เอาความหมาย(ว่าให้)เป็นเพียงความถูกต้องและพอดี อย่าให้เกิดโทษขึ้นมา ธรรมชาตินั้นมันต้องการจะไม่ให้สัตว์ทั้งหลาย ไม่ให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายสูญพันธุ์ไป มันจึงต้องมีอันนี้ แล้วก็ใส่ไว้อย่างลึกลับ อย่างที่เราเอาชนะมันไม่ได้ ถ้าเกิดไอ้สัตว์ทั้งหลายเอาชนะได้ก็ไม่มีการสืบพันธุ์ ก็ตายกันไปหมดแล้ว สูญพันธุ์ไปแล้ว นี่มันยังเหลืออยู่ ไม่สูญพันธุ์ ก็เพราะว่าธรรมชาติส่วนนั้นยังชนะจิตใจของมนุษย์อยู่ ทีนี้เมื่อมนุษย์(มีธรรมชาติส่วนนี้)อยู่แล้วนี่ ทำอย่างไรมันจึงจะมีความถูกต้อง ความพอดี ไม่เกิดเป็นปัญหา ไม่เกิดเป็นความทุกข์ขึ้นมา ในระดับที่เป็นฆราวาส ก็ไปศึกษาความพอดีในเรื่องนี้ โดยแยกไอ้ความรู้สึกที่เป็นกิเลสนั้นออกไปส่วนหนึ่ง แล้วความถูกต้องพอดีแก่หน้าที่ที่จะต้องมีการสืบพันธุ์อย่าให้สูญพันธุ์นี่มันอีกส่วนหนึ่ง พูดไปแล้วเดี๋ยวก็จะว่าด่าอีกแหละ คือว่ามันเห็นได้ง่ายในเมื่อเราเปรียบเทียบกับสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานนี่เกือบจะไม่มีเรื่องกามารมณ์ มีแต่เรื่องสืบพันธุ์ล้วน(ๆ) แล้วก็ปีหนึ่งมีไม่กี่วัน ส่วนมนุษย์นี่มันสูงขึ้นไปกว่าการสืบพันธุ์ตามธรรมชาติ มันมีเรื่องกามารมณ์ แล้วเป็นไปทั้งเดือนทั้งปี ทั้งเป็นปีๆไปเลย แล้วนั้นมันผิดกันอย่างนี้ นี่รู้จักแยกว่าไอ้กามารมณ์นั้นคืออย่างไร (38.41) ความรู้สึกสืบพันธุ์ตามธรรมชาตินั้นเป็นอย่างไร ถ้ายังเป็นฆราวาสมันก็ยังมีการสืบพันธุ์ตามธรรมชาติ แต่ไอ้เรื่องกามารมณ์นั่นต้องระวัง มันๆ พอทำผิดมันก็อันตรายขึ้นมา ถึงแม้ว่าเป็นฆราวาสนี่มันก็ยังมีได้หลายชั้น แล้วแต่ผู้นั้นเขาจะสมัครเป็นในระดับไหน อาจจะบรรเทาลงได้มากก็ได้ถ้าเขาอยากจะมีความสงบมาก มีความวุ่นวายน้อยอย่างนี้ พูดตายตัวลงไปก็ไม่ได้ ได้แต่ว่าให้(เรื่องเพศ)มันมีความถูกต้อง ไม่เกิดความทุกข์ขึ้นมา ส่วนที่เป็นเรื่องกิเลสตัณหานั้นละได้เป็นการดีแน่ เด็ดขาด ละให้มันเป็นเด็ดขาดไปเลยเป็นดีแน่ คงเหลือแต่เรื่องสืบพันธุ์ตามธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ก็จะไม่มีปัญหาที่เป็นความทุกข์อยู่แล้ว เราก็รู้กันอยู่ว่าพระอริยเจ้าชั้นพระโสดาบัน ชั้นพระสกิทาคามีนี่ก็ยังเป็นฆราวาส ออกเรือนมีลูกมีหลาน ก็ยังมี นี่คือผู้ที่ไม่ ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของกามารมณ์ เหลืออยู่แต่ความรู้สึกที่เป็นการสืบพันธุ์มนุษย์ไว้ตามธรรมชาติที่มันรู้สึกไปได้เอง ไม่ไปส่งเสริมมัน มันก็พอแล้ว ทีนี้ถ้ามันไม่มีเรื่องกามารมณ์ แล้วก็เรื่องสวยเรื่องงาม เรื่องหอมเรื่องหวานอะไรนี่มันก็น้อยไปเอง มันก็ไม่จำเป็นเอง มันมีแต่พอดี พอดีเท่านั้น แล้วมันก็ไม่มีเรื่องยั่วยุ ไม่มีความหมดเปลือง ไม่มีเรื่องยั่วยุ นี่เหมาะที่สุดสำหรับผู้ที่จะทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น อย่างผู้ที่เป็นครู หรือเป็นตุลาการ หรือเป็นไอ้หน้าที่ชนิดที่เรียกว่า เรียกได้ว่าปูชนียบุคคล ไม่ควรจะไปเป็นทาสของกามารมณ์ คงอยู่ได้แต่เพียงว่าตามธรรมชาติมีการสืบพันธุ์ แล้วก็อบรมลูกหลานให้ดีให้สำหรับเป็นมนุษย์พันธุ์ที่ดีสืบไป ถ้าคนประเภทเหล่านี้เป็นทาสของกามารมณ์แล้วไอ้ความไม่เหมาะสมจะเกิดขึ้น ความทุจริตจะเกิดขึ้น ความไม่ซื่อตรงในหน้าที่มันก็จะเกิดขึ้น มันให้โทษหลายๆชั้น แล้วก็ดูอันนี้ให้เข้าใจอยู่เสมอ มันก็คงจะเกิดความรู้สึกหิริโอตัปปะ คือกลัวขึ้นมาเอง ละอายหรือกลัวขึ้นมาเอง แล้วก็คงจะละได้ตามลำดับ ที่แต่งตัวให้สวยนี่มันก็คือยั่ว ความคิดจะยั่วจะหลอกมันก็เป็นบาปแล้ว ถ้าพูดว่าไอ้คนที่มันแต่งตัวสวยเกินจำเป็นนั่นน่ะมันคือคนโกหก มันไปเอาไอ้ความสวยอะไรฉาบทาเข้าเพื่อหลอกให้คนอื่นหลงรัก ก็เรียกว่ามันเป็นการทำผิดแล้ว ตามหลักธรรมะมันจะถืออย่างนี้ การแต่งตัวที่ให้มันสวยเกินไป ให้มันหอมเกินไป กันไปใหญ่ ที่เขาบัญญัติไว้ในเรื่องศีลนั้นก็มุ่งหมายอย่างนี้ อย่าให้มันมีการหลอกลวงอย่างนี้ อย่าให้มันเป็นผู้หลงใหลมากอย่างนี้ งั้นเราก็รู้เอง เราควรจะมีร่างกายที่จัดแจงตบแต่งอย่างไร มันก็คงจะเหลืออยู่เพียงความสะอาด เรียบร้อย ลักษณะนี้ก็พอแล้ว ส่วนในเรื่องยั่วยวนก็ว่าเป็นเรื่องของกามารมณ์ เป็นเรื่องหลอกลวง เป็นเรื่องเสนอตัวให้แก่กิเลส มันไม่ควรจะมีอยู่กับบุคคลประเภทครูบาอาจารย์ มันจะทำให้หน้าที่เสียไปหมด ทีนี้มันยากที่ว่าเราจะไปบังคับกันตรงๆ บอกให้รู้ ให้ไปพิจารณาเอาเอง เมื่อรักที่จะเป็นปูชนียบุคคลคือเป็นครู ก็ทำไปตามนั้น ตามแบบแผนของคนพวกนี้ จะเป็นครูพร้อมกับเป็นนางละครไปด้วยคงไม่ได้ มันไม่ไม่ ไม่ได้ผลที่น่าพอใจ กล่าวได้แต่เพียงหลักอย่างนี้ ไปรู้ความพอดีเอาเอง การละสิ่งหลอกลวงคือความสวยงาม หลอกลวงอะไรเหล่านี้มันมีประโยชน์มาก คือมันจะมีความสงบสุขได้ง่าย แล้วมันจะหมดเปลืองน้อย แล้วมันจะไม่สร้างภัยเวรอะไรขึ้นมาในทางสังคม ซึ่งมีความงามความยั่วอะไรเป็นต้นเหตุ เราจะปลอดจากภัยเหล่านั้นหมด เราจะมีเวลาศึกษา หรือมีเวลาสงบอกสงบใจมากสมกับที่ว่าทำตัวเป็นครู เป็นผู้นำในทางวิญญาณของโลก ค่อยๆ พิจารณาดูว่าเดี๋ยวนี้อะไรบ้างที่มันเกิน หรือว่ามันเกินๆฐานะของครู ก็ตัดออกไป ส่วนเกินก็ตัดออกไปให้เหลือแต่ส่วนพอดีในฐานะความเป็นครู อยากจะบอกว่าไอ้ใส่เสื้อลายนี่มันมีจิตกลับไปสู่ไอ้สภาพสัตว์ป่า คือสัตว์ป่ามันมีลาย เสือมีลาย อะไรมีลายนั่นน่ะ มันเป็นสัตว์ป่าที่มันต้องการจะใช้สิ่งนั้นเป็นเครื่องขู่ผู้อื่น นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ ไอ้สัตว์ที่มันมีลาย ลายประหลาดหรือลายน่าเกลียดน่ากลัว มันเป็นอาวุธสำหรับขู่ทางสายตา มันไม่มีปัญญาอะไร ทีนี้เรามันวิวัฒนาการมากระทั่งเป็นคน แล้วก็หลายหมื่นปีหรือแสนปีมาแล้วมันเจริญด้วยวิชาความรู้ ทำไมจะต้องเอา ไปเอาหนังลายๆมาสวมเพื่อจะขู่คนอื่น นี่ทางหนึ่ง แล้วไอ้พวกผู้ชายที่ใส่เสื้อลายๆฮาวายอะไรก็ตาม มันย้อนกลับไปเป็นสัตว์ป่า ทีนี้สัตว์อ่อนแออีกประเภทหนึ่ง มันมีลายสวยๆของมันสำหรับยั่วหรือสำหรับต่อสู้ อย่างผีเสื้อ อย่างนกสวยๆนี่ก็เหมือนกันแหละ เราไม่จำเป็นจะต้องไปเอาลายอย่างนั้นมาใส่เราเสียอีก (45.40) สำหรับจะยั่วหรือสำหรับจะอะไร เรามีสมรรถภาพ มีสติปัญญา ทำด้วยสติปัญญา ไม่ต้องใช้ไอ้สิ่งชนิดนั้นมาเป็นเครื่องช่วย ซึ่งแสดงว่ามันหย่อนสมรรถภาพ หรือมันย้อนกลับไปหาไอ้สัญชาติเดิม มันไกลเกินไป พอคิดอย่างนี้หรือมองเห็นอย่างนี้แล้วมันก็หยุดไปซื้อเสื้อลายๆ แพงๆมาใส่ ไอ้(เสื้อ)ธรรมดาหรือไม่มีลายอะไรก็ยิ่งดี มันเหมาะสมที่จะมีจิตใจที่หยุด ที่เย็น หรือว่าที่เป็นสุข นี่มันก็เป็นเรื่องที่มีความจริงซ่อนอยู่ในนั้น ดังนั้นถ้าจิตของเราน้อมไปหาไอ้สิ่งเหล่านั้น เราก็ตักเตือนตัวเองดูให้ดีว่ามันเป็นอย่างไรกันแน่ มันเพื่ออะไร ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวก็พบ มันจะค่อยๆละไปได้ ไอ้สิ่งที่เราเอามาเพื่อให้มันยั่วหรือเพื่อให้มันขู่ หรือเพื่ออะไร มันก็จะลดลงไปเอง มันก็จะลดการใช้ไอ้ของหรูหรา แพงๆ หอมๆ ไอ้ยั่วๆ ลดลงไป ลดลงไป จนเหลือแต่สะอาดและเรียบร้อย ไม่เปลือง แล้วก็ยังมีเวลาสำหรับคิดนึกศึกษาได้มาก แล้วก็เป็นครูที่ดีได้ ก็ดีแล้ว ก็ขอให้ไปศึกษาเรื่องสิ่งที่มันจำเป็นแก่ชีวิต คืออะไร มีเท่าไหร่ แล้วก็อย่าให้มันมากเกินนั้นไป อย่าให้มันเกินไปจนเป็นเรื่องของกิเลส อาหารก็ให้มันอยู่ในสภาพที่เป็นอาหาร อย่าให้เป็นเหยื่อสำหรับอร่อย เดี๋ยวนี้คนกินเหยื่อแทนกินอาหาร เพราะเขาต้องการกินให้อร่อย ไม่ใช่กินเพื่อว่าให้ร่างกายมันถูกต้อง ดังนั้นจึงเปลืองมาก เสียเวลามาก แล้ว(กลาย)เป็นให้โทษไปก็มี คนอย่างนั้นมันกินเหยื่อของกิเลส ถ้าคนปกติกินอาหารเพื่อบำรุงร่างกาย ทีนี้เครื่องนุ่งห่มก็เหมือนกันแหละ ตามความหมายของเครื่องนุ่งห่มมันจะป้องกันไอ้ความไม่สบาย ก็เพียงเท่านั้นแหละ ไม่ใช่เป็นเรื่องสำหรับที่จะไปอวด ไปล่อ ไปยั่ว ไปอะไรกัน ที่อาศัยก็ดูให้มันพอเหมาะสม มันไม่ต้องเปลืองมาก มันไม่ต้องยุ่งมาก ไอ้ยารักษาโรคนี้ก็เท่าที่จำเป็นก็ได้
(ตั้งแต่นาทีที่ 48:21-48:41 เสียงหาย)
ตอบ : กำหนดเนื้อหาไว้มาก สอนไม่ทัน เกรงว่าเด็กจะได้แต่ความรู้เพื่อสอบ เรียนแล้วก็ยังไม่นำไปปฏิบัติได้ ไอ้สอนอย่างไรจึงจะได้นำไปประพฤติปฏิบัติด้วย คำตอบก็มีอยู่เป็นส่วนมากแล้วในการบรรยายที่พูดจบไปแล้วนั้น แต่สรุปแล้วมันก็ต้องพูดว่ามัน มันไม่อยู่ในวิสัยที่เราจะทำได้ตามลำพัง ถ้ามันไม่ได้รับการแก้ไขหรือร่วมมือมาตั้งแต่เบื้องบนหรือเบื้องต้นที่เป็นต้นตอของการจัดหลักสูตรนี่เราก็ทำ(ได้)ยาก แต่ถ้าเรามีใจเมตตากรุณาทำพิเศษนอกหลักสูตรให้เด็กๆเขา เอาความรู้ไปปฏิบัติได้จริง แล้วก็มุ่งเฉพาะคือเน้นเฉพาะในวิชาที่จำเป็น ในความรู้ที่จำเป็น โดยเฉพาะเรื่องศีลธรรมนี่จำเป็นเกินกว่าที่จะเรียกว่าจำเป็น ดังนั้น(ควร)พยายามคิดนึกให้มาก มากที่สุด ว่าเราจะแทรกความรู้สึกต่อศีลธรรมนั้นน่ะให้มันเกิดขึ้นมาได้ในจิตใจของเด็กอย่างไร นี่คงจะทำไปได้ก่อน คือพลางๆ ถ้าเป็นศาสนาที่เขามีพระเจ้า เขาทำได้ง่ายกว่าเรา เคยเห็นหนังสือแบบเรียน บทเรียนไอ้ที่เขาทำกันไว้ในสมัยก่อนห้าสิบ หกสิบปีมาแล้ว เช่น แบบเรียนของเด็กในประเทศอังกฤษนี้ บางสำนักมันเต็มไปด้วยการแทรกไว้ซึ่งความรู้สึกเกี่ยวกับพระเจ้า เขาทำไว้ลึกซึ้งอย่างนั้นมันก็ดี แต่เดี๋ยวนี้มันก็ทำไม่ได้ เพราะมันเปลี่ยนไปหมด แต่ก็มีทางที่จะทำได้แต่ว่าให้เขาตั้งอยู่ในกฎเกณฑ์ของความจริง คือให้รู้ว่ามนุษย์นี่มันไม่อาจจะฝืนไอ้กฎเกณฑ์ของพระธรรมหรือธรรมชาติไปได้ มันมีตัวธรรมชาติ มันมีตัวกฎของธรรมชาติ มันมีหน้าที่ที่มนุษย์จะต้องทำไปตามกฎของธรรมชาติ แล้วก็จะได้รับผล เราก็ให้เขามันมี ให้เขาตั้งอยู่ในอำนาจแห่งเหตุผลชนิดนี้(51.47) ไม่ใช่เหตุผลไอ้ชนิดที่คำนึงคำนวณตามไอ้แบบตรรกศาสตร์ เป็นเหตุผลที่ปรากฏอยู่จริงแก่จิตใจว่าอะไรเป็นอะไรตามกฎของพระธรรม เขาก็จะเกิดความเชื่อในกฎ กฎของความจริง เขาถือว่าจะกลัวบาป เขาก็หวังที่จะได้บุญ มันมีกฎเกณฑ์แห่งบาป กฎเกณฑ์แห่งบุญที่วางไว้โดยธรรมชาติ หรือยังมีกฎเกณฑ์สูงกว่านั้นอีก ก็คือกฎเกณฑ์ที่จะขึ้นไปอยู่เหนือบาปเหนือบุญนี่อย่าเพิ่งพูดถึงเลย มันจะเป็นพระอรหันต์ไปก่อน(จะ)เรียนไม่จบ เรียนมัธยมไม่จบเป็นพระอรหันต์เสียก่อน (ให้เขารู้)ว่ากฎเกณฑ์ที่ดีและชั่วนี่มันมีอยู่อย่างไร เขาก็ค่อยรู้จักกลัวบาป รู้จักละบุญขึ้นไปตามลำดับ(52.47) บอกให้เขาเข้าใจง่ายๆว่าไอ้บาปนั่นน่ะคือต้นเหตุของสิ่งที่เราไม่ปรารถนา เดี๋ยวนี้เด็กๆทั่วๆไปนี่พูดว่าบาปเขาฟังไม่ถูก แล้วก็ไม่กลัว แล้วแลบลิ้นหลอกไปเสีย(อีก) พอพูดว่าบาป แต่ถ้าพูดว่าซวยแล้วมันชะงัก มันหน้าบึ้ง มันกลัว มันกลัวคำว่าซวย แล้วมันไม่รู้ว่าไอ้บาปกับซวยนี่คือสิ่งเดียวกัน เราใช้คำพูดใหม่เสียให้มันรู้สึกในใจได้ ไอ้บาปนั้นน่ะคือต้นเหตุแห่งความซวย คือจะไม่เป็นไปอย่างที่เราต้องประสงค์ จริงไม่จริงคอยดูกันต่อไป ไอ้บุญนี่เป็นต้นเหตุแห่งความเจริญ หรือเขาเรียกว่าเฮง เด็กๆมันจะรู้แต่คำเหล่านี้ “เฮงหรือซวย” ไอ้ “บุญหรือบาป” มันไม่รู้ ใช้ภาษาเหล่านี้ให้เขารู้สึก ก็เขายังกลัวอยู่นี่ กลัวซวยอยู่ ไม่อยากจะซวย ใช้คำว่าซวยแทนคำว่าบาป นี่เป็นตัวอย่างของการจะใช้ภาษาให้สำเร็จประโยชน์แก่เด็กๆที่เขามีภาษาอย่างนี้ เพราะเขาไม่เข้าใจภาษาบางอย่าง เขาก็ไม่รู้สึกว่ามันมีความหมายอะไร ถ้าเป็นอย่างศาสนาที่เขามีพระเจ้า แม้แต่สอนเลขเขาก็ยังบอกว่านี่มันเป็นกฎของพระเจ้า ๒+๒ ได้ ๔ มันก็เป็นกฎของพระเจ้า คนมันก็รักพระเจ้าหรือกลัวพระเจ้ายิ่งขึ้นทุกที ทุกที ทีนี้เรามันก็พูดไม่ได้เพราะว่าเรามันเลิก(นับถือ)พระเจ้ากันเสียแล้วก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ ของวิทยาศาสตร์ที่เป็นกฎ ชนิดที่เป็นกฎของธรรมชาติ นี่เป็นตัวอย่างว่าเราจะต้องทำให้เด็กเขามองเห็นความจำเป็นที่เราจะต้องมีการปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องที่เราเรียนไปนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้มันซวย ให้มันมีแต่ความเจริญหรือเฮง จะแทรกเข้าไปได้อย่างไร ในวิชาไหนก็ขอให้พยายามเต็มที่ นี่เป็นที่น่าเสียดายที่ว่าไอ้ต้นตอของหลักสูตร ผู้จัดหลักสูตรพวกนั้นเขาไม่ค่อยคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ ไม่ค่อยคำนึงในข้อที่ว่าให้มันเป็นการสอนศีลธรรมพร้อมกันในตัว ในทุกวิชา เมื่ออาตมาแรกบวชทีเดียว พรรษา ๒ พรรษา เคยฟังปาฐกถาของพระยาอินทรมนตรีศรีจันทรกุมาร เป็นฝรั่ง มิสเตอร์ไจลล์ ที่สามัคยาจารย์ ที่กรุงเทพฯ ยังรู้สึกอยู่เดี๋ยวนี้ว่าเป็นปาฐกถาที่ดีที่สุด ที่แนะวิธีที่จะแทรกศีลธรรมเข้าไปในทุกแขนงของวิชา ดังนั้น(พวกคุณ)ที่เป็นครูบาอาจารย์เหล่านี้ก็ติดต่อร้านขายหนังสือที่ไหน ขอซื้อไอ้ปาฐกถานี้มาอ่านดู ดีกว่าที่ต้องมาอธิบายเสียเอง การที่จะใช้วิชาทั้งหลายเป็นสื่อแห่งศีลธรรมนี้คนๆนี้ได้อธิบายไว้ดี
ทีนี้ปัญหาข้อ ๒ (ที่)ว่า ใคร่จะขอคำวิจารณ์หลักสูตรจากท่าน เพื่อใช้เป็นแนวเสนอแนะในการปรับปรุงหลักสูตร นี่ก็ดูมันแต่ว่าตั้งตัวมันสูงเกินไป แต่ก็เป็นสิ่งที่ควรคิดนึกอย่างยิ่ง ถ้าเขาให้โอกาสนะ เขาไม่โกรธ เขาให้โอกาสเราพูดได้ ถ้าเขาไม่ยอมให้โอกาส หรือเขาโกรธเรา เราก็พูดไม่ได้ เพราะว่าหลักสูตรศีลธรรมที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ของกระทรวงดูแล้วก็รู้สึกว่ามันเหมือนกับเครื่องจักรมากกว่า ออกมาโดยเครื่องจักรมากกว่า หรือว่าคอมพิวเตอร์ที่เขาป้อนข้อมูลมันผิด แล้วมันออกมาเป็นรูปหลักสูตรอย่างนี้ มีคนขอร้องให้ช่วยแต่งหนังสือตามหลักสูตรนี้เหมือนกัน มันก็ทำไม่ได้ เพราะมันขัดอยู่ในความรู้สึกของเราในขั้นตอนมันขัดความรู้สึก ในเรื่องที่เลือกเอามาให้เรียนมันก็ขัดความรู้สึก พูดไปแล้วมันก็เป็นการลบหลู่กันเสียก็ได้ คือว่าพูดว่ามันยังไม่มีการพิจารณาที่ดี ที่ถูกต้องในความจริงโดยประจักษ์ เป็นเพียงการคาดคะเน หรือทำพอแล้วๆไปมากกว่า ก็พูดไปอีกก็จะกลายเป็นดู(ถูก)ลบหลู่หนักขึ้น คือว่าผู้ออกหลักสูตรนั้นมิได้แตกฉานในสารบบหลักพระธรรมะ หลักของธรรมะทั้งหมด จึงไม่รู้จักจะเลือกเอาอะไรมาตามที่มันจำเป็นก่อนหลัง มันจึงค่อนข้างจะสับสนในลำดับแห่งความจำเป็นหรือก่อนหลัง แล้วก็ไม่ได้มุ่งหมายให้ไปตามหลักเกณฑ์ที่ว่าคนเราเกิดมาทำไม ควรจะได้อะไรตามหลักของพระธรรม มันก็ไม่มี มันเป็นเรื่องตามขนบธรรมเนียมประเพณีวานนี้ พรุ่งนี้ วันนี้ พรุ่งนี้เสียโดยมาก เพราะว่าพอออกมาให้มันแล้วๆไปเท่านั้นเอง ที่จริงมันไม่ใช่ของง่าย มันยากมากทีเดียวที่จะวางหลักสูตรเกี่ยวกับเรื่องการศึกษาให้คนมันเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์นี่มันยาก เดี๋ยวนี้มันก็ออกได้เพียงว่าเราออกเพียงหลักสูตรเพื่อให้คนเขาเรียนตามนั้นแล้วก็สอบไล่ได้ ก็มีคนสอบไล่ได้มากขึ้น แต่แล้วก็มีคนไม่อาจจะปฏิบัติได้มากขึ้น มันเป็นความสับสนบ้าง มันผิดลำดับกันบ้าง อะไรบ้าง ออกความเห็นได้เพียงเท่านี้ โดยรายละเอียดมันมากนัก ถ้าขืนออกไปมันก็จะเป็นการลบหลู่ผู้อื่น เอ้าใครมีปัญหาอะไร ถามได้
ถาม : ที่ท่านว่าสมัยนี้ ขอโทษครับ ที่ท่านว่าสมัยก่อนไม่ยอมให้ความอบอุ่นแก่เด็ก แต่สมัยนี้ผมคิดว่าเป็นสมัยที่ไม่ยอมให้ความเดือดร้อนแก่ครู ฉะนั้นจะแก้ไขอย่างไร และมีวิธีการอย่างไรจะทำได้ครับ
ตอบ : นี่เรียกว่าครูต้องปฏิบัติไปตามระเบียบที่ไม่ให้ใช้ไม้เรียว มันก็ไม่ใช่ความผิดของครู นี่เราพูดถึงว่าตั้งแต่อ้อนแต่ออกมา ตั้งแต่เด็กคลอดมาจากท้องมารดา ไม่ได้มาอยู่กับครูต่างหากที่ต้องมีการอบรม การควบคุมมาอย่างที่เรียกว่าอบอุ่นกัน(ด้วย)ไม้เรียวดีกว่าอบอุ่นด้วยการประเล้าประโลม แต่มันเกิดเป็นแฟชั่นเป็น tradition อะไรแล้วมันไม่รู้ ที่พ่อแม่มันก็ชอบให้การอบอุ่นด้วยการประเล้าประโลมมากขึ้นทุกที ก็มีปัญหามากขึ้นทุกที จนกระทั่งว่าเป็นฝ่ายง้อ บิดามารดาเป็นฝ่ายง้อ ครูบาอาจารย์เป็นฝ่ายง้อ มันก็ทำอะไรไม่ได้ ไปดูให้ดี โลกมันกำลังเปลี่ยน ปีศาจประชาธิปไตยกำลังครอบคลุมโลกมัน ให้เรียกร้องไอ้ความเป็นอิสระอย่างไม่มีเหตุผล เรื่องไม่ใช้ไม้เรียวเรื่องอะไรต่างๆนี่เราไปตามก้นฝรั่ง เอาบาปไปโยนให้ฝรั่งดีกว่าที่มา รับเอามาเอง เราไม่อาจจะย้อนกลับไปหาวัฒนธรรมไทยเดิมหรือว่าไอ้หลักธรรมชาติเดิมๆ ก็ทนกันไปตามนี้ ไม่ให้เป็นความผิดแก่ครู เพราะครูต้องทำตามกฎของกระทรวง แต่เดี๋ยวนี้ที่เราพูดกันวันนี้เราพูดกันด้วยความจริง ข้อเท็จจริงของธรรมชาติ ที่มันเกี่ยวกันกับศาสนา เกี่ยวกับวัฒนธรรม เกี่ยวกับการศึกษาอะไรต่างๆ ที่มันได้เป็นมาแล้วแต่หนหลังจนกระทั่งทุกวันนี้ว่ามันควรจะมีอะไร อย่างไร จึงจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้นมากเหมือนเดี๋ยวนี้ ซึ่งบิดามารดา ครูบาอาจารย์ต้องเอาใจเด็ก จะสอนศีลธรรมนี่ต้องแต่งเพลงให้ร้อง ไม่กล้าบอกให้เขาประพฤติตรงๆ แล้วมันก็ไม่เคยได้ผลเลย เราไม่เห็นด้วยที่ว่าเขาแต่งเพลง ไอ้สอนศีลธรรม เรื่องกรรมเรื่องอะไรกันขึ้นกัน(61.00) อัดเป็นแผ่นเสียง ไปเที่ยวเปิดให้มันหนวกหูเปล่าๆ บางทีมันเฟ้อหนักขึ้นไปอีก หรือว่าจะทำให้เลือนรางไปมากยิ่งขึ้น สอนศีลธรรมโดยการอัดเป็นบทเพลงใส่แผ่นเสียงไปเปิดตามที่ต่างๆ แต่เขาก็ยังคิดว่ามันดี คนส่วนมากทีเดียวที่คิดว่าวิธีนี้จะเป็นวิธีที่ดี ที่เหมาะสำหรับสมัยนี้ ไอ้เราไม่เห็นด้วย เลยไม่ต้องพูดถึง งั้นครูก็ทำไปตามไอ้ระเบียบของผู้บังคับบัญชา นี่พูดข้อเท็จจริงให้ฟังตามความรู้สึกหรือว่าตามที่ได้สังเกตมาเป็นเวลานานแล้ว และพิสูจน์ด้วยกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ไม่ใช่ว่าเราจะต้องใช้ไม้เรียวกันไปตะพึดตะพือ มันก็ใช้เมื่อควรใช้ ก็ปลอบโยนในเมื่อควรจะปลอบโยน ต้องบังคับ ต้องเฉียบขาดในเมื่อมันควรจะเฉียบขาด ต้องเป็นไปได้ เอ้ามีปัญหาอะไรอีก
ถาม : คือผมอยากเรียนถามว่า ไอ้ตามพุทธประวัตินี่ ในสมัยก่อนมักจะได้ยินบ่อยๆว่า พระพุทธองค์พูดไม่กี่คำ ไอ้คนที่ได้ยินได้ฟังก็ดวงตาเห็นธรรม ในปัจจุบันนี่มันไม่ค่อยมีอย่างนี้ อยากถามว่าสาเหตุเพราะอะไร
ตอบ : ทำไมคนสมัยโบราณฟังพระพุทธเจ้าตรัสไม่กี่คำก็บรรลุมรรคผล คนเดี๋ยวนี้เล่าเรียนกัน หนังสือธรรมะเป็นหอบๆ ก็ไม่บรรลุมรรคผล มันมีข้อเท็จจริงหลายอย่าง ไอ้ที่สำคัญที่สุดก็คือว่าไอ้คนเดี๋ยวนี้มันไม่เหมือนกับคนสมัยโน้นนั่นเอง นั่นน่ะคือคำตอบที่ดี ที่จริงที่สุด คือคนเดี๋ยวนี้มันไม่เหมือนกับคนสมัยโน้น ไอ้คนสมัยนี้มันรู้หนังสือมากเกินไป คนสมัยพระพุทธเจ้านั้นหาคนรู้หนังสือทำยาก็ยาก คุณทราบไหมว่าในสมัยพุทธกาลไม่มีการใช้หนังสือ (หา)คนรู้หนังสือยากที่สุด อย่างที่เราได้ยินได้ฟังในเรื่องราวต่างๆ การส่งสารไปนั้นคือให้คนไปบอกด้วยปาก ไม่ใช่เขียนจดหมายเขียนลายลักษณ์อักษร เพราะเขาไม่ค่อยรู้หนังสือ เมื่อเขาไม่ได้รับการศึกษาไปทำนองให้ฉลาดเพื่อเอาเปรียบ เพื่อแก้ตัวอย่างคนสมัยนี้ ดังนั้น จริต นิสัยอะไรของเขามันจึงตรงไปตรงมา เกลียดความทุกข์จริง กลัวความทุกข์จริง มีจิตใจพร้อมที่จะกระทรวงศึกษามาขึ้นอยู่กับกรมการศาสนา และแล้วเขาก็ได้ขวนขวายอย่างนั้นมามากแล้ว (66.36)คงจะพยายามมามากแล้วหลายปี หลายสิบปี ทีนี้พอไปฟังพระพุทธเจ้าตรัสไม่กี่คำ มันก็รู้ได้ นี่เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ นี่(คือ)ส่วนบุคคลผู้รับผู้ฟัง ทีนี้ทางฝ่ายพระพุทธเจ้า ที่คิดกันว่าพระพุทธเจ้า ท่านเป็นพระพุทธเจ้า อย่าเอาเราไปเปรียบกับพระพุทธเจ้า เดี๋ยวนี้เราก็ไม่มีพระพุทธเจ้า หรือมีบุคคลอย่างเทียบเท่าพระพุทธเจ้ามาเป็นผู้สั่งสอน ฉะนั้นความสำเร็จมันก็ลดน้อยลงไปอีก พระพุทธเจ้าท่านมีสติปัญญา มีความเฉลียวฉลาดอะไรต่ออะไรตามแบบของพระพุทธเจ้า แล้วท่านก็มีเมตตากรุณา ดังนั้น การกระทำนั้นมันบริสุทธิ์ มันบริสุทธิ์ใจหรือบริสุทธิ์ทุกอย่าง ประกอบกับปัญญาของท่านที่สูงสุด ที่ท่านสามารถจะพูดให้สำเร็จประโยชน์ได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ แก่บุคคลที่มันตั้งใจจริง มันซื่อตรงต่อตัวเอง มันอยากจะดับทุกข์จริงๆ ผลมันก็เกิดขึ้นในลักษณะที่แตกต่างกันอย่างนี้ เดี๋ยวนี้เราเรียนพระพุทธศาสนาด้วยตำรับตำรามากมายหลายตู้ เรียกกันว่าหลายตู้ แล้วก็เรียนอย่างวิชาธรรมสามัญ เรียนอย่างของแปลกประหลาด เรียนอย่างที่เอาไปวินิจฉัยว่าจริงหรือไม่จริง แล้วเราก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีความทุกข์อยู่จริง คนที่จะบรรลุธรรมะได้มันต้องรู้สึก รู้จักไอ้ตัวความทุกข์อยู่จริง จึงไปหาไอ้ความดับทุกข์ได้ง่าย เดี๋ยวนี้เราก็เป็นคนที่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องความทุกข์ ไปอ่าน ไปศึกษา ไปเล่าเรียนก็เพราะว่าอยากจะรู้มากๆ อยากจะเก่ง อยากจะมีเกียรติ อยากจะสอบไล่ได้เหมือนกัน สอบนักธรรม สอบเปรียญก็มี หรือแม้ไม่ใช่พระเณรที่สอบนักธรรม สอบเปรียญ ถ้ามีความรู้มากๆ คนเขาก็ให้เกียรติ มันเป็นทางมาแห่งลาภสักการะเสียมากกว่า เพราะฉะนั้นเราจึงได้ผลในส่วนนี้ ซึ่งคนในครั้งพุทธกาลไม่เคยได้รับ ในปัจจุบันนี้เราได้ผลเป็นเกียรติยศชื่อเสียง เป็นทางมาแห่งลาภสักการ เงินทอง ทรัพย์สมบัติ แล้วก็ได้ผลจริงเหมือนกัน ซึ่งครั้งพุทธกาลนี้ไม่ได้ นี่ใครจะได้เปรียบเสียเปรียบกันช่วงไหนก็ไปคิดดู เมื่อเราทำอย่างนี้มันก็ต้องได้อย่างนี้ เมื่อเขาทำอย่างโน้นมันก็ต้องได้อย่างโน้น ดังนั้นอย่าได้ประหลาดใจในข้อที่ว่าทำไมสมัยนี้พูดกันเท่าไหร่มันก็ไม่ได้ผลในทางธรรมะ แต่ควรจะถือๆ เชื่อ(69.43)ได้ว่ามันคงจะมีบ้างนะแต่เราไม่ไปรู้เขา คงจะมีบ้างนะ กี่คนก็ตามใจล่ะ เขาได้รับผลทางธรรมะ เห็นแจ้ง แต่คนเหล่านี้จะไม่แสดงตัวหรือไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแสดงตัว การแสดงตัวนั้นเป็นการทำให้เกิดปัญหาอื่นขึ้นมาอีก รบกวนด้วย มันคงจะมีบ้าง แล้วถ้ามองลึกไปอีกว่าถ้ามีการปฏิบัติถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนาแล้ว การบรรลุมรรคผลก็ย่อมจะมีเป็นธรรมดา พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เองอย่างนั้น ดังนั้นคนที่ยิ่งกว่าดวงตาเห็นธรรมหรือได้บรรลุธรรมะในระดับสูงสุด มันก็คงจะมีแต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ถ้ามีการปฏิบัติธรรมะถูกต้อง คือเป็นอยู่โดยชอบ ไม่ให้โอกาสแก่กิเลส กิเลสมันก็ค่อยๆจางไป จนหมดไปโดยวิธีธรรมดาสามัญที่สุด ควรจะหวังในทางอย่างนี้ มันจะได้ไม่ท้อใจ เพื่อจะได้พยายามไปเรื่อยๆ ก็จะได้มีผลบ้าง ฉะนั้นอย่าคิดในทางที่ทำให้ท้อใจ สมัยนี้มันไม่มีในหนังสือด้วย เอ้าใครมีปัญหาอะไรอีก เวลามันมีน้อยนะ
ถาม : กระผมมีความข้องใจอยู่อย่างครับว่า คือการที่เรามาศึกษาธรรมะนี่นะครับ เป็นการศึกษาเพื่อที่จะปฏิบัติไปตามกฎแห่งธรรมชาติ แล้วกฎแห่งธรรมชาติของสังคมมันมีอยู่อย่างที่ว่า ไอ้ภาวะของสังคมเหมือนกับว่าถ้ามีสงครามก็ต้องมีสันติภาพของมนุษย์ แล้วเมื่อมีสันติภาพแล้วมีความสุข เราก็ต้องมีสงครามต่อไปคล้ายๆกับว่าเป็นวงกลมหรือเป็นวัฏจักรอย่างนี้ครับ เพราะฉะนั้นการที่เราเข้ามาศึกษาธรรมะนี้เป็นการหาหนทางที่จะให้ ที่จะไม่ก่อ ที่จะก่อให้เกิดสันติภาพ จะไม่ก่อให้เกิดสงคราม เพราะฉะนั้น การที่จะเข้ามาศึกษาธรรมะนี้เป็นการขัดต่อกฎของธรรมชาติหรือไม่ครับ
ตอบ : ฟังไม่ออกว่าถามว่าอย่างไร พูดให้ช้ากว่านั้น ให้ชัดกว่านั้น ยกไอ้นั้นขึ้นมา ยกให้สูง ยกให้ตรง พูดให้ตรง พูดให้ช้าลงหน่อย
ถาม : คือตามความเข้าใจของผมอย่างนี้ครับว่า ผมเข้าใจว่า การที่มีสงครามแล้วก็มีสันติภาพ แล้วก็มีความสุข แล้วก็มีสงคราม แล้วก็มีสันติภาพ ความสุข อย่างนี้ก็เป็นกฎธรรมชาติอย่างหนึ่ง แล้วการที่เรามาศึกษาธรรมะนี้เพื่อที่จะทำลายสงครมให้มีแต่สันติภาพ กระนั้น การที่เรามาศึกษานี้เป็นการมาฝ่าฝืนกฎธรรมชาติหรือเปล่าครับ
ตอบ : มันพูด(72.35) คือถามว่าไอ้การที่เราจะพยายามให้มีสันติภาพนั้นจะฝืนกฎธรรมชาติหรือไม่ เพราะว่าธรรมชาติมี ให้ทั้ง ๒ อย่าง คือทั้งสงครามและสันติภาพล้วนแต่เป็นธรรมชาติ ก็แยกกันเสียสิ สงครามก็ธรรมชาติ สันติภาพก็ธรรมชาติ แล้วก็เลือกเอาแต่ฝ่ายธรรมชาติที่เป็นสันติภาพ ไอ้ธรรมชาตินั้นเขามีกฎเกณฑ์ว่าถ้าทำไปอย่างนี้หรือถ้าเป็นไปอย่างนี้มันก็จะมีผลอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนี้ก็จะมีผลอย่างนี้ หรือเพราะมีสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงมี เพราะมีสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงมี นั่นแหละคือกฎของธรรมชาติ ดังนั้นการที่เราทำให้มีสงครามตะพึดก็ถูกตามกฎของธรรมชาติถ้าเราต้องการสงคราม แล้วถ้าให้มีสันติภาพขึ้นมาโดยทำให้มันถูกกฎเกณฑ์ของมัน มันก็คือตามธรรมชาติ เดี๋ยวนี้เราก็ต้องการสันติภาพ เพราะอย่างนั้นเราจึงหวังที่จะสร้างสันติภาพ ไม่ผิดธรรมชาติหรอกทั้ง ๒ ฝ่ายเป็นไปตามธรรมชาติ ตามกฎของธรรมชาติ อย่าไปคิดว่ามันจะต้องมีสงครามกับสันติภาพโดยสัดส่วนที่เท่ากันเป็นวงกลม นี่ไม่ควรคิดอย่างนี้ คือกฎของธรรมชาติไม่เป็นอย่างนั้น หรือที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ก็ไม่ได้ตรัสอย่างนั้น เพราะทุกสิ่งมันมีเหตุ ดังนั้นทำเหตุของมันให้ถูกต้องตามที่เราต้องการจะเอาอะไร สงครามก็มีเหตุ สันติภาพก็มีเหตุ เราต้องการสันติภาพเราก็ทำเหตุของสันติภาพ มันก็จะมีสันติภาพอยู่ตลอดเวลาที่เรายังสร้างเหตุของสันติภาพ(ซึ่งจะ)ยิ่ง(เป็น)ไปตามกฎของธรรมชาติ แล้วก็สำเร็จด้วยการทำ(ให้)ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ไม่มีทางที่จะฝืนธรรมชาติในส่วนไหน ธรรมชาตินี้ยอมให้ เราจะชอบสันติภาพก็ได้ เราจะชอบสงครามก็ได้ เขายอมให้ ไม่มีฝืนธรรมชาติ เอ้ามีปัญหาอะไรอีก
ถาม : อยากเรียนถาม ขอความคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องของตัวกูของกูนะครับ
ตอบ :ไม่ค่อยได้ยิน ที่ถามนี่ เข้าไปใกล้แล้วพูดให้ดังหน่อยได้มั้ย เข้าไปใกล้ อย่าไปจับ
ถาม : อยากขอความคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องของตัวกูของกูนะครับ เพราะว่าแม้แต่พระคุณเจ้าหรือว่าหลวงพี่ที่นี่ทุกรูปเขากล่าวกันว่า การที่ให้หลุดพ้นนั้นกระทั่งเข้าใจตัวเองว่าไม่ใช่ตัวกูของกู ทีนี้เมื่อมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่สร้างมา มีความรู้สึกต่างๆที่เป็นไปตามธรรมชาติคือความโลภ โกรธ หลง แล้วก็อย่างอื่นเช่น ราคะ เหล่านี้ครับ แล้วก็อยากเรียนถามให้แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมว่าควรจะปฏิบัติอย่างไรที่ถูกต้องที่สุดว่า ให้มีความรู้สึกว่าตัวกูไม่ใช่ของกูตามที่พระคุณเจ้าได้แสดงความคิดเห็นไปแล้ว ขอเพิ่มเติมให้กระจ่างกว่านี้
ตอบ : เรื่องตัวกูของกู ในฐานะที่เป็นเรื่องเป็นไปตามธรรมชาติ ไปตามกฎของธรรมชาติ แล้วพระพุทธเจ้าท่านก็ได้ตรัสรู้คือรู้เรื่องนี้ ก็มีคำสอนเป็นหลักปฏิบัติเพื่อให้กำจัดตัวกูของกูออกไปเสีย จะได้ไม่มีความทุกข์ ตัวกูของกูไม่ใช่เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง หรือเป็นตัวตนของมันโดยเด็ดขาด มันเป็นเพียงความคิดนึก ความรู้สึกเข้าใจไปเองตามๆๆๆ ธรรมดาของสิ่งที่มีชีวิต ที่คิดนึกไปตามสัญชาตญาณ จะรู้สึกเป็นสิ่งซึ่งเป็นตัวเรา ที่ถ้าเป็นมนุษย์มันยิ่งคิดได้มากจนเข้มข้น มันเป็นตัวเราที่เข้มข้น ความรู้สึกว่าตัวกูว่าของกูเข้มข้น พอเกิดมามันก็รู้สึกอยู่ตามธรรมชาติ แต่ไม่ทันจะเบิกบานอะไรที่ได้รับการแวดล้อมจากบิดามารดา จากทุกคนที่มันอยู่รอบๆตัวเรา เขาจะพูดแก่เรา จะทำอะไรแก่เรา จะอะไรแก่เรา ในลักษณะที่จะส่งเสริมความรู้สึกว่าเป็นตัวกูว่าของกูยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น ทีนี้พอเขาได้รับความสุขสบายเอร็ดอร่อยอะไรบ้าง ไอ้ความรู้สึกที่ว่าเป็้นตัวกูในขณะที่รู้สึกเอร็ดอร่อยนี่มันก็จะมากขึ้น ความรู้สึกในความหมายที่เป็นตัวกูของกูจะแรงขึ้น แรงขึ้น แรงขึ้น จนถึงขนาดที่เรียกได้ว่าเป็นความโลภ เป็นความโกรธ เป็นความหลง เป็นความอะไรทุกๆอย่าง ซึ่งเป็นความรู้สึกของตัวกู ทีนี้ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าตัวกูมันก็ไม่มีแล้วของกูมันจะมีมาแต่ไหน ก็หมายความว่าไอ้ความรู้สึกนั้นมันเป็นเพียงความรู้สึก ไม่ใช่ว่ามีตัวกูหรือว่าใครที่แท้จริง เป็นความรู้สึกของจิตที่กำลังคิดผิด สำคัญผิด ถ้าเกิดความรู้สึกสำคัญมั่นหมายอย่างนั้นทีไรมันก็เป็นทุกข์ทุกที ท่านชี้ในข้อนี้ ดังนั้นก็หยุดเสีย อย่าเกิดความรู้สึกสำคัญมั่นหมายอย่างนั้น ก็(จะ)กำจัดไอ้ตัวกูไปได้ มันเป็นเพียงความรู้สึก ความสำคัญมั่นหมาย ไม่ใช่วิญญาณ เจตภูตตัวตนอะไรอย่างที่เข้าใจเอาเอง ตัวกูมันเป็นความรู้สึกที่ผิดๆที่เกิดขึ้นมา แก้ไขได้โดยสร้างความรู้สึกที่มันถูกต้อง ที่มันตรงกันข้าม ดังนั้น ความเข็ดหลาบมันมี ตัวกูเกิดทุกที มันเป็นทุกข์ทุกที(79.56) ถ้ารู้จักเข็ดหลาบก็ไม่อยากให้มันเกิด มันก็เบี่ยงไปในทางที่จะไม่ให้มันเกิด นี่เพิ่งมารู้ตอนหลัง ตอนเมื่ออายุมากแล้ว ความเคยชินของตัวกูมันมาก แล้วมันก็เป็นการยากหรือลำบากที่จะละความรู้สึกประเภทตัวกู แต่ถ้าไม่ละหรือละไม่ได้ก็ต้องมีความทุกข์เรื่อยไป ในที่สุดมันก็ต้องสมัครที่จะละ พยายามละ ถ้าใครยังไม่อยากจะละก็ได้ แต่เพราะว่ามันยังอยู่กันคนละระดับก็มี แต่ว่าที่สำคัญหรือว่ามันจริงยิ่งกว่านั้นก็เพราะว่า ไอ้ความรู้สึกตัวกูของกูเกิดขึ้นทีไรเป็นทุกข์ทุกที มันเคลือบหุ้มไว้ด้วยความหลอกลวงคือเป็นสุขทุกทีก็ได้เหมือนกัน แต่เป็นสุขที่ปลอม เป็นสุขที่เผาไหม้ สุขร้อน ได้โลภ ได้โกรธ ได้หลงนี่มันเป็นเรื่องสนุก เป็นเรื่องสุขก็ได้ทั้งนั้น มันมีส่วนที่หลอกลวง ปิดบังอยู่ ฉาบทาอยู่ ฉะนั้นกิเลสหรือความทุกข์นั่นแหละมันก็ยังมีเสน่ห์ หรือไอ้สิ่งหลอกลวงมันปิดบังอยู่ ปิดบังไว้ คนเราจึงไม่ค่อยรู้สึกว่าความทุกข์เป็นความทุกข์ อย่างนี้ก็มี มีอยู่ มีอยู่เป็นส่วนใหญ่ ถ้าเป็นความทุกข์นั่งร้องไห้อยู่ เสร็จแล้วมันก็ลืม เพราะไอ้ความเคยชินของตัวกูมันมาก มีอะไรมายั่วให้เกิดตัวกูอีก มันก็เกิดอีก ก็ร้องไห้อีก เดี๋ยวก็มีอย่างอื่นมาอีก ก็เกิดอีก ก็ร้องไห้อีก นี่เรียกว่ามันเป็นไปทางที่บังคับไม่ได้ ป้องกันไม่ได้ ส่วนอีกทางหนึ่งนั้นมันมีของยั่ว ของยั่วที่เราไปหลงไปชอบเพื่อจะเกิดตัวกูของกู นั้นมันอีกทางหนึ่ง มันก็ยากอยู่แล้ว ทีนี้ทางนี้มันก็ยิ่งยาก เพราะมันชินในการเกิดตัวกูเสียจนเหมือนกับว่าไม่ต้องคิด ไม่ต้องนึก ไม่ต้องรู้สึกอะไรมากมาย พอแวบมาก็เป็นตัวกูของกู เราเคยชินที่จะรัก ที่จะโกรธ ที่จะเกลียด ที่จะกลัวมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าตัวตนไม่มี เมื่อท่านจะตรัสเป็นความจริงแท้ เด็ดขาดลงไปตามธรรมชาติท่านตรัสว่า “ตัวตนไม่มีอัตตาหิ อัตตโน นัตถิ” ตัวตนไม่มี ตัวตนของตนนั้นไม่มี แต่ถ้าตรัสแก่คนที่มันไม่อาจจะเข้าใจข้อนี้ได้ ก็ยังเหนียวแน่นด้วยตัวกูของกู ท่านก็ตรัส “อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตัวตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งของตน” ถ้าเข้าใจประโยค ๒ ประโยคนี้ซึ่งมัน(เหมือนจะ)ขัดกันอย่างตรงกันข้าม (ถ้า)เข้าใจ(จะรู้)ว่ามันไม่ได้ขัดกันอย่างตรงกันข้าม อย่างหนึ่งท่านสอนศีลธรรมแก่คนที่ยังมีตัวตน จะต้องพยายามใช้ตัวตนให้ถูกวิธี ให้มันเป็นที่พึ่ง หรือช่วยตนด้วยตน ทีนี้อีกอย่างหนึ่งท่านสอนปรมัตถธรรมแก่ผู้ที่เห็นไอ้ความจริงของตัวตนมาพอสมควรแล้ว จึงบอกว่าตัวตนของตนก็ไม่มี ดังนั้นอย่าพูดอะไรโดยส่วนเดียวว่ามีหรือว่าไม่มี มันมีสำหรับคนที่ไม่รู้ มันไม่มีสำหรับคนที่รู้ ถ้ายังไม่รู้ก็มีอย่างดีๆไปก่อน จนกระทั่งมันจะถึงที่สุดมันก็เบื่อเอง ก็ไปหาความไม่มี คือไม่รู้สึกว่ามี หรือไม่พอใจที่จะมีความรู้สึก ว่าตัวตนว่าของตน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากที่สุด หรือลึกซึ้งที่สุดในพระพุทธศาสนา เรื่องมีตัวตนหรือไม่มีตัวตน ต้องตั้งใจศึกษาอย่างระมัดระวัง ถ้ายังมีตัวตนในความรู้สึกอยู่ก็พยายามทำให้เป็นตัวตนที่ดี มีธรรมะเป็นตัวตน อย่ามีกิเลสเป็นตัวตน เรื่อยๆ เรื่อยๆไป จนในที่สุดมันก็จะเบื่อไอ้เรื่องมีตัวตน ซ้ำๆซากๆ มีได้มีเสีย มีสุขมีทุกข์ มีบุญมีบาป มันยุ่ง อยากจะอยู่เหนือนั้นแล้วมันจึงจะไปถึงขั้นที่ว่าไม่ต้องมีตัวตน มันอยู่อย่างนี้จะมาบังคับว่าอย่ามีตัวตนนี้ทำไม่ได้ ไม่มีทางจะทำได้ แล้วไม่รู้จะไปทำการที่ไหน มันไม่ได้ทำได้ด้วยการบังคับว่าอย่ามีตัวตน มันต้องมีความรู้สึกในตัวตนที่เป็นทุกข์ เป็นอะไรไปเรื่อยๆ ก็มองเห็นว่ามันเป็นเพียงความคิด ความนึก ความรู้สึก มันก็ค่อยๆจางลง ความคิดเกิดตัวตนมันค่อยๆจางลงไปเอง ถ้ามีวิธีถูกต้องมันก็จางเร็ว หรือจางวูบเดียวก็ยังได้ แต่ตามปกติแล้วก็ค่อยๆจางไปตามไอ้ความรู้ที่ได้รับมาเพิ่มเติมหรือว่าเวลามันล่วงไป ล่วงไป มันก็สอนให้มากขึ้น จนไม่รู้สึก จนรู้สึกว่าไม่อยากจะยุ่งกับสิ่งเหล่านี้ซึ่งมันวุ่นวาย จึงจะหมด จะหยุดความรู้สึกที่มีตัวกู อยากหยุดความรู้สึกมีตัวกู จะเป็นพระเป็นเณร เป็นฆราวาส เป็นอะไรก็ตามจะมาบังคับว่าไม่มีตัวกู ไม่มีตัวกูนี่มันไม่ได้ มันไม่ใช่สิ่งที่จะมาบังคับได้ พิจารณาเห็นโทษแห่งตัวกูเรื่อยๆไป ก็จะจางไป จางไป แต่มันก็พร้อมที่จะลืม แล้วก็พร้อมที่จะโง่ พร้อมที่จะลืมยิ่งกว่าที่จะทำให้มันจางไป จางไป มันเคยชินมากเหลือเกิน เพราะงั้นในชั้นนี้เอาเป็นว่าเราจะระวังตัวกูอย่างเลวอย่าให้มา ให้ตัวกูอย่างที่พอดูได้มา มันก็ดีขึ้น ดีขึ้น จนกว่าจะถึงชั้นที่ไม่มีตัวกู ให้รับถือไว้เป็นหลักอย่างนี้ สำหรับเรามันยังมีตัวตนอยู่ ก็เอาตัวตนเป็นที่พึ่งของตนไปพลาง ให้มันเป็นตัวตนที่ดี แล้วก็เป็นที่พึ่งไปพลาง ตัวตนที่ไม่ดีมันก็ไม่มา เราก็ได้รับประโยชน์หรือมีที่พึ่งตามนั้น จนกว่าจะเบื่อ ไม่อยากที่(จะมี)ตัวตนกัน(เสีย)ที ก็เป็นเรื่องหมดตัวตน เรื่องนี้มีเท่านี้โดยใจความ เอ้าถามอีกปัญหาหนึ่ง
ถาม : กระผมขอกราบเรียน(ถาม)พระคุณเจ้าเกี่ยวกับการสอนนี่แหละครับ เนื่องจากปัจจุบันนี้การสอนของเรามุ่งไปในทางจูงใจเด็กให้อยากที่จะเรียน อยากที่จะศึกษา แต่เหตุไฉนเล่าครับที่การเรียนการสอนสมัยก่อน อาจสอนกันโดยใช้ไม้เรียวจึงได้ผลมากกว่าการสอนโดยใช้แรงจูงใจให้เด็กอยากที่จะเรียน ซึ่งถ้าว่ากันที่จริงแล้ว การที่เด็กอยากจะเรียนนั้นมันก็ทำให้การจำและความเข้าใจของเด็กได้ดี เท่านี้แหละครับ
ตอบ : ไอ้ข้อนี้มันขึ้นอยู่กับการทำผิดหรือทำถูกมากกว่า การใช้ไม้เรียวถ้าใช้ถูกมันก็มีผลตามแบบนั้น การใช้การจูงใจ ประเล้าประโลมนี้ ถ้าใช้ถูกมันก็จะได้ผลตามแบบของมัน ทีนี้กลัวว่าไอ้การใช้ชนิดประเล้าประโลม ชักจูงนี่มันจะเป็นเรื่องงมงายโดยไม่รู้สึก มันไปสร้างนิสัยโลเลให้แก่เด็ก เพราะว่ามันมีแต่ความประเล้าประโลม ต้องๆ อย่างชั้นเด็กๆ จะเริ่มให้คลอดนตรีไปกับการเรียนกอ ขอ กอ กา นี่ มันก็สร้างนิสัยที่โลเล ตามใจตัวมากขึ้น พอมันโตขึ้นมามันก็อยากจะเอาอย่างนั้นเรื่อยไป มันเสียนิสัย เขาคงทำไอ้เรื่องที่เป็นการบังคับกิเลสนั้นไม่ได้ ใช้ไม้เรียวนี่มันก็ไม่ได้ใช้อย่างผิดๆ อย่างโมโหโทโส อย่าง ใช้อย่างสติปัญญา สติสัมปชัญญะเมื่อควรจะใช้ แล้วก็ไม่ได้ใช้ไปแก่ทุกคนหรือว่าตลอดทุกเวลา คนบางคนไม่ต้อง ไม่ต้องใช้ไม้เรียวก็มี ก็เรียกว่าเป็นเครื่องกลั่นกรอง เด็กสมัยหนึ่งก็ไม่มีปัญหามากอย่างเด็กสมัยนี้ เพราะมันมาตามธรรมดาสามัญ การใช้ไม้เรียวก็มีน้อย การเป็นอยู่กันอย่างเพื่อนเป็นเพื่อนตายนั้นมันมีมากกว่า เคารพนับถือกันมากกว่า แล้วไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้ ไม่มีใครที่ดีกว่าครูบาอาจารย์ของเรา การสอนการเรียนจึงได้ผล เดี๋ยวนี้ไม่มีความรู้สึกชนิดนั้นแล้ว ครูบาอาจารย์คืออะไร แม้แต่พ่อแม่คืออะไรมันก็ไม่ค่อยจะรู้แล้ว มันรู้แต่ว่าคือคนที่จะต้องเอาอกเอาใจเขา ครูบาอาจารย์ก็ดี บิดามารดาก็ดีคือผู้ที่ต้องเอาอกเอาใจเขา ฉะนั้นจึงให้ผลมาในทางที่มันผิดกันนะ จะเรียกว่าตรงกันข้ามก็ได้ คือเขาจะเอาแต่ใจเขา พอไม่ได้ก็ร้องไห้ พอบังคับกันอีกก็หนีไปเลย มันก็จะต้องยกให้เป็นเรื่องของโลกที่เขาพูดกันอย่างแบบโบราณเขาพูดว่า มันเป็นกรรมของสัตว์ เป็นกรรมของสัตว์ คือสัตว์สมัยนี้มันเป็นอย่างนี้ มันก็ต้องไปรับผลอย่างนี้ เป็นกรรมของสัตว์อย่างนี้ ที่มนุษย์จะต้องเป็นไปกันในรูปนี้ เรียกว่าเมา เมา เมาอิสรภาพ เมาเสรีภาพ เมาประชาธิปไตย ไม่รู้สึกว่าภูตผีปีศาจมันจะสวมโอกาสช่องนั้นน่ะเข้ามาสิงทับมนุษย์ ให้อยู่เหนือความถูกต้อง ความรู้จักผิดชอบชั่วดี อย่างนี้มากกว่า การพูดไปโดยเด็ดขาดก็ไม่ถูก ว่ายังใช้ไม้เรียวโดยส่วนเดียวก็ไม่ถูก ไม่ใช้ไม้เรียวโดยส่วนเดียวก็ไม่ถูก เพราะฉะนั้นความถูกมันก็ควรจะมีทั้ง ๒ อย่างตามโอกาส ถ้าไม่ใช้ไม้เรียวหวดเข้าจริงๆก็ต้องใช้อะไรอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งมีผลเหมือนกัน เพราะว่าจิตของมนุษย์นี้เราสังเกตดูก็รู้ได้ แต่เราไม่ต้องสังเกตผู้รู้ทั้งหลายเช่น พระพุทธเจ้า เป็นต้น ท่านก็ได้ตรัสไว้ กล่าวไว้ว่าการขูดเกลา แก้ไข ตบแต่งนั้น คือการสั่งสอนมันต้องใช้ทั้ง ๒ อย่าง เพื่อจะยกย่องก็ยกย่อง เพื่อจะข่มขี่ก็ข่มขี่ ในประเภทข่มขี่คือการลงโทษฝ่ายที่มันลงโทษ ในการยกย่องก็คือฝ่ายปลอบประเล้าประโลม ใช้ทั้ง ๒ อย่าง เดี๋ยวนี้จะไปเลิกไอ้การข่มขี่หรือลงโทษจะใช้วิธีประเล้าประโลม มันเป็นความเพ้อฝัน แต่เขาก็คิดกัน(ว่า)เป็นความถูกต้อง ก็ตามใจ แต่เราพูดกันไม่ได้ คือว่าเราไม่มีอำนาจที่จะไปบังคับใครก็ต้องปล่อยให้ลองดู มันควรจะใช้ไอ้การลงโทษในเมื่อควรจะลงโทษ ใช้การประเล้าประโลมในเมื่อควรจะประเล้าประโลม มันจึงจะเป็นสิ่งที่ตรงตามธรรมชาติ แล้วการที่จะต้องตัดแต่ง มันก็ต้องตัด แล้วก็ปลูกกันใหม่ บางทีก็ต้องตัดออก ไม่ใช่แต่จะรดน้ำพรวนดินไปเสียเรื่อย บางเวลามันต้องตัดออก ตัดกิ่งออก ตัดอะไรออก นี่เรียกว่ามันไปพร้อมกัน ฝ่ายที่ข่มขี่กับฝ่ายที่ประเล้าประโลม นี่ข้อเท็จจริงเดี๋ยวนี้ก็พอจะพูดได้โดยไม่ต้องกลัวใครโกรธ ว่ามันไม่ใช่สติปัญญา ความรู้สึกคิดนึกของคนไทยที่มีวัฒนธรรมอย่างแบบตะวันออก มันไปยอมรับเอาวัฒนธรรมของฝรั่งมา มันจึงได้เลิกไอ้ระบบลงโทษ ไปเห่อตามเขา ทั้งที่เรายังไม่เหมาะที่จะใช้วิธีนั้น ทีนี้ฝรั่งเองก็ดูเหอะ มันวิเศษอะไร ที่มันมาเลิกไอ้ระบบลงโทษ ไอ้ฝรั่งเองมันเป็นอะไรเดี๋ยวนี้ ยิ่งจะเละเทะมากกว่า ดังนั้นตะวันออกกับตะวันตกมันกำลังยังไงกันอยู่ เดี๋ยวนี้พวกฝรั่งที่มันฉลาดมันก็เริ่มพูดกันมากขึ้นแล้วว่าตะวันตกผิดแล้ว จะต้องหันมาแบบตะวันออก มาตามแบบตะวันออกบ้าง มันก็เริ่มมีมากแล้ว แต่ฝ่ายตะวันออกเรายังหลับหูหลับตาตามแบบตะวันตก โดยไม่เฉลียวใจ ถ้าพูดอย่างพระพุทธเจ้าก็คือ ใช้ทั้ง ๒ อย่าง ไม้เรียวก็ใช้ คำชักจูง เกลี้ยกล่อมก็ใช้ให้ถูกกาลเทศะ เอ้าหมดเวลาแล้ว