แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้จะพูดกันโดยหัวข้อว่า “ธรรมะที่ยังมีผู้เข้าใจผิด” เรื่องความเข้าใจผิดที่คนเขายังมีต่อสิ่งที่เรียกว่าธรรมะนี่ก็เป็นแง่หนึ่งของปัญหาหรือของสิ่งที่ยังมืดมน ควรจะนำมาพูดกันให้เป็นที่กระจ่าง ได้ยินว่าไม่เพียงแต่ในเมืองไทยเรา แม้ในประเทศอื่นที่กว้างออกไปในซีกโลกอื่นก็ยังมีความเข้าใจผิดต่อสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ เพราะเข้าใจธรรมะไม่ถูกตรงตามความหมายที่สำคัญ เรื่องนี้ก็มีหลายๆแง่เหมือนกัน แง่ที่จะเข้าใจผิดได้ก็มีหลายๆแง่ ฉะนั้นขอให้ทบทวนว่าธรรมะที่แท้จริงนั้นมันคืออะไร ก็มีส่วนที่จะเป็นปัญหาหรือว่าเป็นที่ขัดข้อง เป็นอุปสรรคแก่ความเจริญหรืออะไรทำนองนี้คือไม่ เช่นในประเทศไทยเรา เขายังมีพูดกันว่าต้องอิ่มปาก อิ่มท้องเสียก่อนแล้วจึงมาสนใจธรรมะ นี่คนแก่ๆก็มีพูดเหมือนกัน นักศึกษาหนุ่มๆนี่ก็มีพูด ว่าต้องเรื่องปากเรื่องท้อง เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องอะไรกันให้เสร็จสิ้นไปเสียก่อนแล้วจึงจะไปสนใจเรื่องธรรมะ นี่เป็นข้อแรกหรือข้อสำคัญที่สุด แล้วยังมีความคิดที่มันขัดกันอยู่ไปถึงกับว่า ถ้าไปสนใจกับธรรมะแล้วก็ทำให้ไม่มีความก้าวหน้า ไม่มีความเจริญ โดยเฉพาะในทางโลกๆ ทางวัตถุ แต่ปัญหาทั้ง ๒ นี้มันก็เนื่องกัน คือเขาเข้าใจว่าธรรมะไม่จำเป็นเท่ากับทำให้มีกินมีใช้เป็นสุขสบายเสียก่อน แล้วถือว่าธรรมะนั้นจะเป็นเครื่องขัดขวางต่อการที่จะทำให้มีกินมีใช้อีกทางหนึ่งด้วย มันก็พูดไปพร้อมๆได้ ส่วนปัญหาปลีกย่อยอื่นๆก็ยังมีมาก เช่น เราไปสนใจธรรมะ ปฏิบัติธรรมะก็ไม่มีการเป็นอยู่อย่างบ้านเรือน ไม่มีการสืบพันธุ์ของมนุษย์ ทำให้โลกนี้ร้างไปอย่างนี้ นี่มันมองในแง่เดียว มันก็มองแต่บางส่วนที่ทำให้เกิดความคิดเห็นอย่างนั้น โดยแท้จริงแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นใครมีปัญหาอย่างไรก็นึกไว้ก็ได้ สักครู่พูดจบแล้วเราก็ได้ไต่ถามกันถึงเรื่องนี้ เดี๋ยวนี้จะขอพูดให้อีกทีก่อน เพื่อจะทำความเข้าใจในชั้นพื้นฐานความกว้างๆ ข้อที่ว่าให้อิ่มปากอิ่มท้อง ต้องสบายเสียก่อน หรืออายุมากเสียก่อนจึงจะมาสนใจธรรมะนั้น เพราะว่าคนเหล่านี้เขามองเห็นธรรมะอย่างที่พูดกันอยู่ตามประสาชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องอะไร หรือเป็นเรื่องว่าเอาเองมากกว่า ไปเข้าใจว่าธรรมะนั่นคือเรื่องวัดเรื่องวา เรื่องเข้าวัดเข้าวาหรือถึงบวช จึงจะเป็นเรื่องของธรรมะ ไม่รู้ว่าไม่ต้องมาบวชอยู่ที่วัดแล้ว แม้อยู่ที่บ้าน แม้แต่พวกลูกเด็กๆนี่ก็ต้องมีธรรมะ จึงจะเป็นเด็กที่ดีขึ้นมา และก็จะสามารถดำรงตนให้ก้าวหน้าตามที่ต้องการแม้ในเรื่องทางโลกๆนี่ก็ด้วยอาศัยธรรมะ ที่เขาไม่อิ่มปากอิ่มท้องนั่นเพราะว่าเขาไม่มีธรรมะ ถ้ามีธรรมะแล้วแน่นอน จะต้องเกินกว่าที่จะอิ่มปากอิ่มท้องเสียอีก ต้องขอทบทวนไอ้เรื่องที่พูดไปแล้วเมื่อวันวานว่า “ธรรมะคือหน้าที่” แต่ขอร้องไว้แล้วนะว่าให้ช่วยจำให้ดีๆว่าธรรมะคือหน้าที่ ธรรมะในความหมายที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์โดยตรงธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ มันพูดแต่ปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่นั่นแหละคือผู้ปฏิบัติธรรมะ บางทีเราก็พูดว่าการงานคือการปฏิบัติธรรม การทำการงานคือการปฏิบัติธรรม ก็พูดอย่างนี้ก็มี แต่ถ้าพูดให้ชัดก็จะพูดลงไปว่าการทำหน้าที่ของตนคือการปฏิบัติธรรม หน้าที่ก็มีหลายระดับตั้งแต่ลูกเด็กๆขึ้นไปยันถึงหนุ่มสาว ผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้แก่ผู้เฒ่าไปทางนู้นเลย ล้วนแต่มีหน้าที่ แล้วก็ปฏิบัติหน้าที่ของตนคือปฏิบัติธรรม แล้วก็หน้าที่นี่กินความกว้างขวางหมดทุกหน้าที่ ไม่ว่าหน้าที่อะไรหมด หน้าที่ทำมาหากินให้เราชีวิตอยู่ หน้าที่ตามความเจริญก้าวหน้าอย่างอื่น แม้จะแต่การมีลูกมีหลาน มีผู้สืบสกุลอย่างนี้ก็เรียกว่าหน้าที่เหมือนกัน ฉะนั้นขอให้จำไว้ให้แม่นยำแล้วก็จะตอบปัญหาได้มาก จะแก้ข้อสงสัยได้มาก ข้อขัดข้องได้มาก ผู้ทำหน้าที่นั่นแหละคือผู้ปฏิบัติธรรม เพราะธรรมะแปลว่าหน้าที่ ถ้าเป็นเด็กๆก็มีหน้าที่อย่างไรบ้าง อย่างหนึ่งมีหน้าที่เล่าเรียน มีหน้าที่เอาใจใส่ความปลอดภัยของตัวเอง ให้มีอนามัยดี มีหน้าที่ที่จะต้องเชื่อฟังบิดามารดา เคารพคนเฒ่าคนแก่ ทุกหน้าที่ไม่ยกเว้นหน้าที่ไหนเรียกว่าหน้าที่ของเด็กๆ แล้วพอโตขึ้นมาก็เรียนสูงขึ้นไป มีหน้าที่สูงขึ้นไป จนกระทั่งเรียนสำเร็จ จนกระทั่งไปประกอบอาชีพ ก็มีหน้าที่เรื่อยไป จนครองเรือนเป็นชีวิตครองเรือนก็ยิ่งมีหน้าที่มากขึ้น เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้บังคับบัญชาก็มีหน้าที่มากขึ้น เป็นคนแก่ชราก็มีหน้าที่ตามแบบของคนแก่ชรา ต้องทำให้สมบูรณ์ ถ้าเข้าใจข้อนี้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจนแล้วจะพูดได้ยังไงว่าอิ่มปากอิ่มท้องเสียก่อนจึงมาสนใจธรรมะ มันเป็นการตอบอยู่ในตัวแล้ว จะพูดอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าพูดอย่างนั้นคือผิด คือไม่รู้จักธรรมะว่าคืออะไร ไปคิดดูเองก็ได้
เดี๋ยวนี้ก็มีความคิดเกี่ยวกับข้อนี้ว่าอุดมคติทางการเมืองต้องจัดให้คนยากจนมีกินมีใช้ หายยากหายจนเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องศีลธรรมเรื่องศาสนาไม่สำคัญ สมมติว่าถ้าคนที่พูดนั้นมันไปเป็นรัฐบาลขึ้นมานี้มันก็จะจัดแต่เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องปากเรื่องท้องให้ประชาชนคนเมือง ไม่พูดถึงเรื่องศีลธรรม ไม่พูดถึงเรื่องธรรมะ นั่นนะคือคนหลับตา ถ้าจะหาว่าโง่เดี๋ยวจะหาว่าด่า ที่จริงมันก็ควรจะพูดว่ามันโง่อย่างหลับตา ไม่รู้ว่าที่มันยากจน ไม่พอกินพอใช้นั่นเพราะมันขาดธรรมะ ขาดศีลธรรมอยู่หลายอย่างหลายประการ ฉะนั้นถ้าแก้ปัญหาทางศีลธรรม คนก็จะมีกินมีใช้ขึ้นมาทันที อย่าเพิ่งไปคิดว่าคนมั่งมีมันบีบคั้นคนจนให้จนลงไป ต้องมองดูบ้างว่าคนจนมันขาดศีลธรรมอะไรมันจึงได้ยากจน แล้วคนมั่งมีทำไมมันจึงมั่งมีขึ้นมาได้ เพราะมันมีการกระทำอย่างไรจึงมั่งมีขึ้นมาได้เพราะก่อนหน้านี้มันก็จนเหมือนกัน นี้คนจนไม่มีธรรมะข้อไหนก็ไปสังเกตดูเอาเอง โดยมากก็รวมอยู่ที่ไม่มีธรรมะพื้นฐานแท้ๆแหละ ธรรมะพื้นฐานเช่นว่าอบายมุข ๖ นี้ต้องเว้นเสีย เขาก็ไม่ได้เว้น ไปดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน แสดงความโง่ แสดงความโลเลเหลวไหล แสดงการไม่บังคับตัวเอง ซึ่งเป็นหลักธรรมะที่สำคัญ มันจึงไปดื่มน้ำเมา จะไม่อยากจะเป็นยังไง ไปดูการเล่นเสียเรื่อยจนติดเป็นยาเสพติดในการเล่นหัว มหรสพต่างๆ ยังเล่นการพนันอีก คบคนชั่วเป็นมิตรมันคือคบกันแต่คนที่เหลวไหลด้วยกัน สรวลเสเฮฮาเมามายด้วยกัน แล้วยังเกียจคร้านทำการงาน เห็นอยู่ทั่วไป ทำงานได้มากกว่านั้นอีกมากก็ไม่ทำ นี่คือไม่มีธรรมะพื้นฐานแท้ๆจึงได้ยากจน จึงไม่อิ่มปากอิ่มท้อง แล้วเขาก็กลับไปโทษว่าธรรมะทำให้ไม่อิ่มปากอิ่มท้อง ต้องไปสนใจเรื่องปากเรื่องท้องก่อนจึงจะมาสนใจธรรมะ แล้วธรรมะไหนกันอีกล่ะ มันไม่มี ก็มันขาดธรรมะที่ทำให้ยากจนไม่อิ่มปากอิ่มท้อง ทีนี้จะมองไปในทางแง่ร้ายของคนมั่งมีว่าเขากดขี่คนจน นั้นก็คือความไม่มีธรรมะเหมือนกัน ถ้าคนมั่งมีทำตัวเป็นนายทุนขูดรีดบีบคั้นคนจน ก็หมายความว่าคนนั้นมันขาดธรรมะจึงทำหน้าที่นายทุนชนิดนั้น แต่อย่าเข้าใจว่าคนมั่งมีจะต้องเป็นอย่างนั้นไปหมด ถ้าคนมั่งมีอย่างแบบครั้งพุทธกาลในพระคัมภีร์ที่เรียกกันว่าเศรษฐีล้วนแต่ใจบุญทั้งนั้น เลี้ยงคนเป็นฝูงๆเลย คำว่าเศรษฐีเขาต้องมีโรงทาน ไม่มีโรงทานเขาไม่เรียกว่าเศรษฐี เขาเอาใจใส่สังคมสงเคราะห์อย่างยิ่งจึงได้เรียกว่าเศรษฐี ฉะนั้นอย่าเข้าใจว่าคนมีเงินที่เรียกว่าเศรษฐีในครั้งพุทธกาลนั่นเป็นคนอย่างเดียวกับนายทุนสมัยปัจจุบัน ที่เขาเรียกว่านายทุนขูดรีด ถึงแม้ปัจจุบันนี้ก็เถอะ คนที่มั่งมีมากๆนั้นไม่ได้เป็นนายทุนขูดรีดไปเสียทั้งนั้น คงจะหาพบบ้างแหละที่เขาสงเคราะห์คนจน แต่ดูจะหายากไม่เหมือนครั้งพุทธกาลที่ว่าครั้งที่แล้วๆมา ถ้าพวกคุณอายุน้อยๆนี้ได้เกิดเมื่อสักเจ็ดสิบแปดสิบปีมาจะยังเห็นคนมั่งมีที่มิใช่นายทุนขูดรีด แต่เป็นเศรษฐีที่สงเคราะห์คนยากจนจำนวนมาก เขาเรียกกันว่าพ่อเลี้ยงบ้างอะไรบ้าง ไม่ใช่นายทุนขูดรีด ก็มั่งมีมากเหมือนกัน เป็นเศรษฐีก็มี แต่เดี๋ยวนี้มันหายไปๆ เพราะว่าความเจริญแผนใหม่ที่ไปหลงใหลกันนัก มีการศึกษาอย่างแผนใหม่ให้เห็นแก่เนื้อหนังนี่มันสร้างนายทุนขูดรีดขึ้นมา เพราะการศึกษามันผิด คนมันโง่ มันจัดการศึกษาในโลกนี้ผิด เพราะไปหลงวัตถุ ความร่ำรวยทางวัตถุ มันก็เกิดนายทุนขูดรีดขึ้นมา เพราะเขาต้องการจะรวบรวมเอาปัจจัยสำหรับเป็นสุขทางวัตถุให้มันมากๆ
ฉะนั้นการที่มีการศึกษาผิดในโลกนี้ในปัจจุบันนี้คือไม่มีธรรมะ เป็นการศึกษาที่ไม่มีธรรมะ เป็นการศึกษาที่ให้รู้วิชาอย่างเดียว สอนให้รู้หนังสือ ให้รู้วิชา ให้รู้วิชาชีพอย่างเดียว การศึกษาสมัยนี้มันเป็นวัตถุนิยมกันตรงนี้ การศึกษาสมัยนี้มันเป็นวัตถุนิยมอย่างนี้ ฉะนั้นมันจึงสร้างไอ้คนที่ไม่มีธรรมะขึ้นมา ถ้าเป็นการศึกษาอย่างโบราณเรียนแปลกกันไปกับเรื่องของธรรมะเรื่องของศาสนา แล้วบางทีก็เรียนเรื่องธรรมะเรื่องศาสนามากกว่าให้รู้หนังสือซ้ำไป ที่เขาจัดสมัยโบราณ เดี๋ยวนี้แยกศาสนาแยกธรรมะออกไปหมดจากการศึกษาเล่าเรียน ก็มีแต่การศึกษาเล่าเรียนชนิดที่เก่งในทางรู้หนังสือ ในทางอาชีพ ในทางผิดวัตถุ แล้วจะไปโทษธรรมะว่าธรรมะทำให้ยากจน การศึกษานั่นแหละมันไม่มีธรรมะ แล้วมันก็สร้างคนที่ไม่มีธรรมะขึ้นมา เพียงแต่เก่งในการทำมาหากิน นั้นถ้ามีโอกาสมันก็รวบรัดเอาประโยชน์ เป็นคนร่ำรวยสำหรับขูดรีดผู้อื่น นั้นขอให้รู้ว่านายทุนขูดรีดนี้เกิดขึ้นเพราะการศึกษาในโลกนี้มันจัดไปอย่างผิดๆ สมกับสมัยที่ว่ามันไปนิยมทางวัตถุ ทางเงินทางทอง ทางเนื้อทางหนังมากเกินไปนั่นเอง ถ้าเขาจัดการศึกษากันอย่างสมัยก่อนมีธรรมะอยู่ครึ่งหนึ่ง มีศาสนาอยู่ครึ่งหนึ่ง แล้วก็ไม่เป็นอย่างนี้ จึงถือว่าเพราะขาดธรรมะครึ่งหนึ่งนั่นแหละโลกนี้จึงเป็นอย่างนี้ โลกนี้จึงวุ่นวาย ทำให้พวกหนึ่งยากจนลงไป ทำให้พวกหนึ่งขูดรีด คนมั่งมีขูดรีด คนจนก็ยังจนอยู่ เพราะว่าเขาหลงในวัตถุด้วยเหมือนกัน พวกที่ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงานนั้นนะคือวัตถุนิยม คือพวกวัตถุนิยม มันนิยมเนื้อหนัง ความสุขเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนังคือ ตาหูจมูกลิ้นกายนี่เรียกว่าเนื้อหนัง หลงในความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายทางเนื้อหนังนี่ มันจึงได้ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร คิดดู คบแต่ในพวกเดียวกัน นั้นดูให้ดีว่าเมื่อไม่มีธรรมะมันก็เกิดผลขึ้นมาอย่างนี้ แล้วไปโทษธรรมะว่าขัดขวางความเจริญ มันก็จะต้องเรียกว่าเป็นคนโง่ที่สุดในโลก หรือว่ายิ่งไปกว่านั้นที่จะพูดว่าธรรมะขัดขวางความเจริญ หรือธรรมะทำให้ยากจนแล้วก็ยิ่งแล้วใหญ่เลย พวกเราได้รับการศึกษามาอย่างนี้แล้ว มีมันสมองฉลาดถึงขนาดนี้แล้วอย่าได้เข้าใจผิดถึงขนาดนั้น ไปป้ายให้แก่ธรรมะอย่างไม่มีเหตุผล ไม่มีความจริงว่าธรรมะขัดขวางความเจริญ ธรรมะทำให้คนยากจน ลองมีธรรมะนี่ก็จะไม่มีการยากจน อย่างที่ว่ามาแล้ว มันจะช่วยให้มีความสามารถในการสร้างสรรค์ด้วยสติปัญญา ก็ธรรมะแขนงหนึ่งมันเป็นการเพาะฝัง ปลูกฝังสติปัญญาสมรรถภาพ แล้วธรรมะอีกแขนงหนึ่งมันช่วยละของชั่วๆ คืออบายมุขทั้งหลายเสียได้ ช่วยให้ละสิ่งที่ควรละเสียได้ และสร้างสรรค์สิ่งที่ควรสร้างสรรค์ขึ้นมาอย่างเต็มที่
ฉะนั้นคนที่มีธรรมะจึงเจริญแม้ในทางวัตถุนั่นเอง แต่แล้วเขาเมื่อมีธรรมะก็ไม่หลงใหลในวัตถุ ก็ไม่ตกเป็นทาสของวัตถุ ก็มีจิตใจสูง รู้จักใช้วัตถุไปในทางที่เป็นประโยชน์อย่างถูกต้อง มันก็เลยมีความสุขด้วยกันทุกคนในโลกนี้ถ้ามีธรรมะอย่างนี้ ถ้าพวกเรารู้แต่เรื่องวิชาชีพอย่างเดียว ก็รีบเถอะรีบศึกษาให้รู้ธรรมะ ให้มีวิชาธรรมะเข้ามาอีกเรื่องหนึ่งเป็นสองเรื่องแล้วพอ ธรรมะเป็นเรื่องจิตใจ อาชีพเป็นเรื่องร่างกาย ก็เลยมีธรรมะสมบูรณ์ ขอให้พิจารณาตัวเองด้วยกันทุกคนว่าเดี๋ยวนี้เรามีธรรมะมาก สมดุลกันกับที่เรามีความรู้ทางวิชาชีพไหม ถ้าเราจบวิชาชีพวิศวะอย่างนี้ก็เรียกว่า ร้อยเปอร์เซ็นต์ของวิชาชีพ แล้วเรามีธรรมะร้อยเปอร์เซ็นต์สำหรับมนุษย์ที่ควรจะมีไหมจะได้เป็นคู่กันกับวิชาชีพ ถ้ายังไม่มีรีบไปหา แล้วก็จะรู้ได้เองไม่ต้องใครบอกว่าธรรมะนี้ไม่ได้ขัดขวางความเจริญเขาจะช่วยคุ้มครองไม่ให้ทำผิดมากกว่า ให้ทำถูกยิ่งๆขึ้นไปแม้ในทางวัตถุในทางร่างกาย แล้วก็สอนให้ทำหน้าที่ถูกต้อง ย้อนกลับไปพูดกันเรื่องหน้าที่อีกทีหนึ่ง ถ้าลูกเด็กๆมีธรรมะจะทำหน้าที่ถูกต้อง แม้จะเรื่องกินอาหาร เด็กที่กินตะกละมูมมามนั้นมันไม่มีธรรมะ ถ้ามีธรรมะมันก็ไม่กินตะกละมูมมาม มันกินเรียบร้อยอย่างนี้เป็นต้น แล้วมันจะพูดจาเรียบร้อย มันจะทำทุกอย่างเรียบร้อย หน้าที่บริหารกายจนกระทั่งโตไปจนถูกต้อง เรื่องกิน เรื่องอาบ เรื่องถ่าย เรื่องเจ็บ เรื่องไข้นี่ทำถูกต้อง มีอนามัยดีก็มีจิตใจดี ก็เล่าเรียนได้ดี ไม่เหลวไหลในการเล่าเรียน นักเรียนที่ขาดธรรมะมันก็เกียจคร้านในการเรียน โลเลเหลาะแหละในการเรียน เรียนอย่างคดโกง คอยแต่จะโกงเมื่อสอบไล่ ใช้เงินเปลือง เป็นเจ้าชู้ตั้งแต่เป็นนักเรียน นี่ไม่มีธรรมะเลย นักเรียนคนนั้นไม่มีธรรมะของนักเรียนเลย ไม่มีหน้าที่ของนักเรียนโดยสมบูรณ์เลย ก็เลยล้มละลายไปตั้งแต่เมื่อเป็นนักเรียน ถ้ามีหน้าที่ของนักเรียนอย่างถูกต้องเขาก็เรียนสำเร็จ ก็เรียนได้ดี จนผ่านการศึกษาไปประกอบอาชีพ ก็ทำหน้าที่ที่เป็นงานอาชีพดี พร้อมที่จะรู้จักประหยัดดี ไม่มีทำอบายมุข สุรุ่ยสุร่าย แล้วก็ผิดศีลผิดธรรมต่างๆ ถ้าคนหนุ่มทั้งหลายเป็นอย่างนี้แล้วก็จะมีผลอะไรเกิดขึ้นก็ไปคำนวณดูเอาเองเถอะ ถ้าคนหนุ่มทุกคนมันมีธรรมะอย่างนี้มันก็ไม่มี อาบอบนวดไม่มี ภาพยนตร์ลามกอนาจารไม่มี มีขึ้นไม่ได้มันไม่มีคนดู มันก็เลิกหมดไปเองในตัว ไม่มีสำนักโสเภณี ไม่มีอะไรต่างๆ เพราะว่าคนหนุ่มเหล่านี้มันมีธรรมะ แล้วใครจะไปดูไปเล่นมัน คุกตะรางก็ปิดได้ อะไรต่างๆก็เลยปิดได้ ในส่วนที่เป็นผลของการไม่มีธรรมะก็ปิดได้หมดเลย นี่เรียกว่ามีธรรมะคือมีการกระทำถูกต้องในหน้าที่ของตน สรุปแล้วก็เป็นหน้าที่ของมนุษย์ มีใจสูง อยู่เหนือปัญหา เหนือความชั่ว เหนือความทุกข์ มีความสุขสงบเย็น แล้วก็เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เมตตากรุณา ช่วยเหลือผู้อื่นก็เป็นหน้าที่
ขอให้ช่วยจำไว้ด้วยว่ามนุษย์นี่ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เป็นหน้าที่ที่จะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ธรรมชาติมันกำหนดให้ ถ้าเราไม่ช่วยเหลือซึ่งกันและกันมันก็จะเดือดร้อนยิ่งกว่านี้ มันจะเป็นไปไม่ได้ มันจะอยู่ไม่ได้ อย่างที่เราเรียกกันว่าสามัคคีนั่นแหละคือมันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อย่างเราทำงานด้วยกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันมันน่าชื่นอกชื่นใจกี่มากน้อย ถ้าช่วยกันดูดายไม่ช่วยกันมันจะเป็นอย่างไร แล้วบางอย่างมันอยู่ลำพังไม่ได้จริงๆเสียด้วยในโลกนี้ ยิ่งโลกปัจจุบันนี้แล้วมันยิ่งมีอะไรหลายๆอย่างที่ต้องสัมพันธ์กันไปหมด ไม่เหมือนกับโลกสมัยโบราณซึ่งว่าอาจจะปลีกตัวอยู่ตามลำพังก็ยังได้ เพราะมันไม่ต้องการอะไรมาก ถ้าอย่างนี้อย่างสมัยนี้แล้วมันเกี่ยวพันกันไปหมด คนที่จะติดอาหาร คนที่จะติดเครื่องใช้ไม้สอย คนที่จะติดน้ำมัน คนที่จะติดเครื่องจักรอะไรมันสัมพันธ์กันไปหมด เพราะว่ามันไปผูกพันกันทางสังคมมากเกินไป จนเป็นสังคมใหญ่ เป็นนครใหญ่ เป็นอะไรเลย ผูกพันแยกกันไม่ออก ถ้าใครเกิดไม่ทำหน้าที่สักพวกหนึ่งก็ยุ่งตาย เช่น บุรุษไปรษณีย์ไม่ทำหน้าที่ขึ้นมาสักพวกหนึ่งนี่ก็เดือดร้อนกันเหลือประมาณ อย่างนี้เป็นต้น ก็เลยต้องร่วมมือกันอยู่ยิ่งๆขึ้นไป แล้วก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องวิกฤตการณ์ทั้งหลายในโลกนี้ ฉะนั้นหน้าที่นี้ก็เป็นหน้าที่สำคัญ เป็นธรรมะชั้นสูงที่ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ถ้าใครอุทิศตนทำหน้าที่นี้เต็มที่ก็กลายเป็นโพธิสัตว์ไปเลย พระโพธิสัตว์คือ ผู้ที่อุทิศเพื่อจะช่วยเหลือผู้อื่นโดยลืมตัวเองเลย ก็เรียกว่าโพธิสัตว์ นี่เราก็ช่วยตัวเองด้วย ช่วยผู้อื่นด้วย คือช่วยส่วนรวมด้วย ไม่บกพร่องในหน้าที่นี้ก็เรียกว่ามีธรรมะสมบูรณ์ ต้องค่อยๆจับไว้ด้วยนะ อย่าลืมนะว่าธรรมะนี้จะทำให้คนยากจน ธรรมะนี้จะขัดขวางความเจริญได้ในส่วนไหน ยังเหลืออยู่ในส่วนไหนที่ธรรมะจะเป็นไอ้เสนียดจัญไรต่อความเจริญของมนุษย์นี่มันไม่มี มันมีแต่ขจัดความเสนียดจัญไรของมนุษย์ให้ออกไป ออกไป ออกไป เช่น อบายมุขทั้งหลายเป็นตัวเสนียดจัญไรของมนุษย์ แล้วธรรมะมันช่วยขจัดออกไป อย่าไปยกโทษธรรมะว่าขัดขวางความเจริญของมนุษย์ เพราะเขาไม่รู้ว่าธรรมะนั้นคืออะไร พูดไปตามประสาคนโง่ ไม่รู้ว่าธรรมะคืออะไรเลย พูดออกมาได้ว่าธรรมะนี่เป็นสิ่งขัดขวางความเจริญในทางโลกแห่งยุคปัจจุบัน
เอ้า อยากจะให้มองให้ละเอียดลึกซึ้งกันว่าที่มนุษย์สมัยนี้ก้าวหน้าในทางเทคโนโลยีอะไรก็ตามนี่นั้นมันก็เป็นธรรมะแขนงหนึ่งซึ่งมีสอนอยู่ในพุทธศาสนา เป็นธรรมะให้ทำจริง เช่นว่า อิทธิบาท 4 ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสานี่ มันไปมีอยู่ในผู้ค้นคว้าก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างยิ่ง อย่างนั้นพวกtechnician เทคโนโลยีเหล่านี้มันก็ทำอะไรได้มาก ค้นอะไรได้มาก มีความก้าวหน้ามาก มันมีธรรมะอยู่ในนั้น จนออกไปโลกพระจันทร์ได้ มันมีธรรมะหลายข้อหลายอย่างอยู่ในการค้นคว้าการพยายาม นี่คนพวกนี้ไม่เคยเล่าเรียน ไม่รู้ว่าธรรมะคืออะไร มันก็เลยเห็นไปว่าไม่เกี่ยวข้องกัน เลยพูดแต่ให้เป็นลู่ทางจนมองเห็นว่ามีความก้าวหน้าที่ไหนมีธรรมะอยู่ที่นั่น ความก้าวหน้าอยู่ที่ไหนมีธรรมะอยู่ที่นั่น ขอยืนยันเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เอามาพิสูจน์กันเลย ถ้าผิดก็ยอมให้ตัดคอ ว่ามีความก้าวหน้าที่ไหนมีธรรมะอยู่ที่นั่นทางวัตถุก็ตาม ทางจิตก็ตาม แล้วควรจะเลิกเข้าใจผิดต่อธรรมะกันเสียที เพราะมันเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ตั้งแต่คลอดออกมาจนกระทั่งเติบโตเป็นถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ต้องมีธรรมะให้ถูกให้ตรงตามขั้นตอนแห่งชีวิต อย่างนั้นเดี๋ยวนี้นักปราชญ์คนที่ฉลาดแห่งยุคปัจจุบัน เขารวมหัวกันแล้ว ศึกษาธรรมะแล้วก็บัญญัติความหมายของคำว่าธรรมะไว้ดี เพราะระบบแห่งการปฏิบัติที่ถูกต้องสำหรับมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา A cause of conduct rights for a man every particular stage of his life ระบบแห่งการกระทำที่ถูกต้องต่อมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา every particular stage of evolution of his evolution ขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา ระบบแห่งการกระทำที่ถูกต้องแก่มนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา นั่นคือธรรมะ คำบัญญัตินี้ใหม่มาก ไม่กี่สิบปีมานี้พวก philosophy เขาบัญญัติมันขึ้นมา เขาสังเกตเห็นว่าธรรมะเป็นอย่างไร พวกที่สนใจธรรมะมากเขาบัญญัติขึ้นไว้อย่างนี้ เราก็ยอมรับได้ แม้เราพวกพุทธบริษัทไม่เคยบัญญัติกันอย่างนี้มาก่อน ก็ยอมรับได้ทันที จำได้หรือยังว่าธรรมะนั้นคือ ระบบแห่งการกระทำที่ถูกต้องต่อมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา วิวัฒนาการแห่งชีวิตของเขา พอเข้าใจแล้วก็จำได้แหละ มันต้องมีการกระทำที่ถูกต้องต่อความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการที่มันเติบโตขึ้นไป เติบโตขึ้นไปจนถึงที่สุดนั่นแหละคือธรรมะอย่างนั้นพวกที่เขารู้อย่างนี้เขาไม่พูดว่าธรรมะเป็นอุปสรรคของความก้าวหน้าในโลกนี้ แล้วเขาก็ไม่พูดว่าอิ่มปากอิ่มท้องเสียก่อนจึงจะมาศึกษาธรรมะกัน เราอยากจะพูดว่าพวกฝรั่งเหมือนกันแหละ พวกฝรั่งที่ฉลาดเขาเรียนธรรมะพุทธศาสนา ศาสนาอื่นๆหมดแล้วทุกศาสนาแล้วที่มีคำว่าธรรมะ เขาก็สรุปใจความของคำว่าธรรมะไว้อย่างนี้ เขาไม่โง่เหมือนฝรั่งโดยมากที่พูดว่าธรรมะไม่จำเป็น หรือว่าธรรมะทีหลังการอิ่มปากอิ่มท้อง ธรรมะทีหลังเศรษฐกิจ ธรรมะทีหลังการเมือง นี่พวกเราหนุ่มๆนี่ระวังให้ดี อย่าไปยึดเอาผิด ยึดเอาหลักที่ผิด แล้วจะเกลียดธรรมะ แล้วก็จะไปหลงใหลในระบบการเมือง ระบบอะไรก็ตามคือเป็นการมุทะลุดุดัน โดยไม่เหลียวดูธรรมะ พอเรามีความคิดชนิดที่เป็นมึงเป็นกูแล้วก็ผิดธรรมะทันที นี่จะเข้าใจไหม จะจำง่ายไหม พอความคิดมันเกิดขึ้นในลักษณะที่เป็นมึงเป็นกู เป็นสองฝักสองฝ่าย เป็นศัตรูต่อกันแล้วเป็นอันว่าไม่มีธรรมะเหลือเลย ระวังให้ดี ความคิดชนิดนี้ระวังให้ดี มันจะทำลายธรรมะหมด แล้วก็จะเป็นคนไม่มีธรรมะ แล้วก็จะทำอะไรไปอย่างหลับหูหลับตาทีเดียว
ถ้ามีธรรมะมันจะคิดว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ยกเว้นแม้แต่สัตว์เดรัจฉาน แม้แต่ต้นไม้เพราะมันมีชีวิตเหมือนกัน สิ่งที่มีชีวิตเราจะรับเอามาเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ทีนี้มันก็มีมึงมีกูไม่ได้ มันก็เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายกลุ่มเดียวกันหมด มันก็เลยเบียดเบียนกันไม่ได้ ฉะนั้นก็ช่วยกันแก้ไขสิ ถ้ามันอยู่ในโลกร่วมกัน คนหนึ่งมันมีปัญหาอย่างไร คนหนึ่งมันก็ช่วยแก้ไข ในฐานะที่ว่ามันเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นนั่นเอง ขออย่าได้เข้าใจไปว่ามันครึคระเหลือเกินที่จะพูดคำว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น อย่าให้แก่เขาว่าบ้าๆบอๆ อย่าคิดอย่างนั้น มันเป็นความจริงของธรรมชาติอันเร้นลับ อันลึกซึ้ง มันจัดมาให้สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายทำตนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกันไป แล้วก็โลกนี้ คือทั้งหมดนี้ก็จะมีความอยู่เย็นเป็นสุข มีสันติภาพ ฉะนั้นเมื่อได้ช่วยเหลือผู้อื่นแล้วก็ขอให้อิ่มอกอิ่มใจเถอะว่า มันได้ประพฤติธรรมะข้อนี้ ทุกคนเป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น พอเราได้ช่วยเหลือใครก็ก่อให้รู้สึกว่านี่มันเป็นธรรมะในระดับสูงแล้ว คือระดับเพื่อผู้อื่นด้วยแล้ว ช่วยแต่ตัวเองนี่ยังไม่สูงเท่าไร ยังไม่เป็นโพธิสัตว์ ถ้านึกถึงผู้อื่นก็จะเป็นโพธิสัตว์ ฉะนั้นจะจัดใจของเราให้เข้ารูปเข้ารอยกับโพธิสัตว์ได้โดยง่าย สมมติว่าพวกเรามาช่วยกันพัฒนาที่ไหน ที่นี่ ที่ไหนก็ตาม เราจะคิดว่าเพื่อผู้อื่นมีความสุข ช่วยผู้อื่นให้มีความสุข ช่วยผู้ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายทั้งหลายทั้งหมดทั้งสิ้นด้วยกันให้มีความสุข นี่เราจะเป็นโพธิสัตว์โดยไม่รู้สึกตัว ถ้าเราตั้งใจอย่างนั้นมันก็เป็นโพธิสัตว์โดยอัตโนมัติ เราก็ยังเหนื่อยเท่าเดิม แต่เราได้บุญได้กุศลมากกว่านะ ฉะนั้นขอให้นึกกันบ้าง ถ้าไปช่วยกันพัฒนาที่ไหนแล้วก็ตั้งใจไว้อย่างนั้นดีกว่า อย่าทำไปเฉยๆ อย่างที่เรียกว่าสนุกๆ หรือว่าทำเพียงว่าเราจะได้มีความชำนิชำนาญในการงาน หรือว่าเป็นเอาคะแนนอะไรก็ตาม อย่าคิดเพียงเท่านั้น นั่นมันก็ถูกแล้ว มันถูกแล้ว มันเป็นเรื่องส่วนหนึ่งที่เป็นการศึกษาเพื่ออาชีพ แต่พลอยผสมโรงโดยธรรมชาติที่ลึกซึ้ง นึกถึงธรรมะที่ว่าเราจะต้องช่วยผู้อื่นในฐานะที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ได้ส่วนนี้มีค่ามากกว่าได้ส่วนทีแรกเสียอีก แล้วก็มีลักษณะหรือมีอุดมคติอย่างโพธิสัตว์ขึ้นในจิตใจของบุคคลนั้น แล้วความเห็นแก่ตัวจะน้อยลง เมื่อช่วยเหลือผู้อื่นก็ให้มันเป็นเรื่องช่วยเหลือผู้อื่น แล้วความเห็นแก่ตัวมันก็จะน้อยลง ถ้าเราจะไปช่วยทำอะไรให้ใครที่ไหนคิดแต่จะเอาประโยชน์ตอบแทนอย่างนี้มันไม่ใช่ช่วยเหลือนี่ มันไม่ใช่ช่วยเหลือโดยบริสุทธิ์ มันคล้ายๆกับเป็นการหาประโยชน์หรือเป็นการค้าอะไรชนิดหนึ่ง มันก็จะได้ประโยชน์แต่ในลักษณะอย่างนั้น แต่ถ้าเราทุ่มใจลงไปว่าช่วยเพื่อนมนุษย์ในลักษณะที่ว่ามันเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน นี่ก็มันจะไม่เป็นการลงทุนเพื่อประโยชน์อย่างธรรมดาสามัญเสียแล้ว มันเป็นการปฏิบัติธรรมะอย่างสูงตามอุดมคติของโพธิสัตว์ ผลที่ลึกซึ้ง ที่ประเสริฐก็คือว่า ความเห็นแก่ตัวมันน้อยลง น้อยลง ที่เรียกความเห็นแก่ตัวมันก็เป็นกิเลส ถ้ามีความเห็นแก่ตัวแล้วก็มีกิเลส เดี๋ยวเกิดโลภ เดี๋ยวเกิดโกรธ เดี๋ยวเกิดหลง เพราะความเห็นแก่ตัวจะเกิดความโลภ ความโกรธ ความหลงอยู่เรื่อยไป ถ้าความเห็นแก่ตัวมันน้อยลงไป ก็โลภโกรธหลงก็น้อยลงไป หมดความเห็นแก่ตัวเมื่อไรก็ไม่มีความโลภโกรธหลงเกิดขึ้นมาได้ มันเป็นทางลัดที่จะนำไปสู่ธรรมะสูงสุดที่เรียกว่า นิพพาน อยู่ในตัว นี่คือการงานเป็นการปฏิบัติธรรม ถ้าเราทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ แล้วการงานนั้นจะเป็นการปฏิบัติธรรม ถ้าทำหน้าที่เพื่อเอาเงินมันก็ได้เงินไป แต่มันก็เป็นการปฏิบัติธรรมในขั้นต่ำ คือปฏิบัติธรรมเพื่อการหาเงิน ส่วนทำหน้าที่เพื่อหน้าที่มันก็เป็นการปฏิบัติธรรมที่สูงขึ้นมา ถ้าเราจะถือเสียว่าทำหน้าที่เพื่อหน้าที่อันสูงสุดคือ ช่วยเหลือเพื่อมนุษย์ นี่มันก็เป็นการปฏิบัติธรรมขั้นสูง ขูดเกลาความเห็นแก่ตัว กิเลสมันก็เบาบางไปโดยที่เราไม่รู้สึก ที่เราทำมานั่นมันกลายเป็นขูดเกลากิเลสให้เบาบางไปโดยที่เราก็ไม่รู้สึก แล้วก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะขูดเกลากิเลส แต่ถ้าเราไปกระทำถูกเข้ากับเรื่องของการขูดเกลากิเลส มันก็เลยเป็นการขูดเกลากิเลส
ฉะนั้นการทำงานตามอุดมคติ ตามหน้าที่นั้นแหละคือการปฏิบัติธรรม แล้วจะได้กำไรสักกี่มากน้อยลองคิดดู ได้กำไรเพิ่มขึ้นเพราะจิตใจมันคิดถูก ตั้งใจไว้ผิด อะไรต่างๆมันก็ผิดหมด ตั้งใจไว้ถูกน้อยมันก็ได้น้อย ตั้งใจไว้ถูกมากมันก็ได้มาก ทีนี้อยากจะให้ลดลงไป เอ้า ว่าถ้าคุณทำการงานนี่ก็ทำเพื่อการปฏิบัติธรรมในชั้นที่ว่าทำลายความเห็นแก่ตัว ทีนี้จะลดลงไปเมื่อเล่าเรียน เมื่อเล่าเรียนชั้นประถม ชั้นมัธยมอะไรก็ตาม เมื่อเล่าเรียนนะ นักเรียนยังเด็ก ยังไม่มีปัญญาจะคิดให้กว้างถึงขนาดนี้ แต่นี่เราโตแล้ว เราเรียนแล้ว เราก็พอจะคิดได้ เมื่อเราเป็นนักเรียนเราจะเรียนเพื่ออะไร ถ้าเราเรียนเพื่อว่าจะให้รู้แล้วจะไปหาอาชีพ จะได้เงิน มันก็ได้ทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าเราจะคิดได้มากกว่านั้นมันเป็นการทำหน้าที่ เราเรียนนี้เพื่อช่วยเพื่อนมนุษย์ เพื่อช่วยโลก เราเรียนให้สำเร็จเราจะสามารถช่วยเพื่อนมนุษย์ ช่วยโลก จะได้มากหรือได้น้อยกว่าที่เราจะคิดแต่เพียงว่าเราเรียนนี้เพื่อเราเรียนสำเร็จแล้วเราจะมีอาชีพที่สบาย นั้นมันเรื่องเห็นแก่ตัว ฉะนั้นนักเรียนนั้นจะเรียนด้วยความบากบั่นเพื่อเห็นแก่ตัวก็ได้ ถ้าจะเรียนด้วยความหวังว่าเราจะช่วยเพื่อนมนุษย์ทั้งโลกก็ได้ จะทำประโยชน์ที่เป็นส่วนของมนุษย์ เป็นส่วนรวมก็ได้นี่ นั่นนะมันจะได้บุญมากกว่ากัน และบางทีจะทำให้เรียนสนุกกว่า เพราะมันมีกำลังใจมากกว่า ความคิดมันกว้างขวางกว่า มันรู้สึกคล้ายๆจะเป็นมหาบุรุษหรืออัจฉริยะมนุษย์ขึ้นมาในขณะนั้น ก็ตั้งใจเรียนโดยอัตโนมัติ ดีมากขึ้นไปอีก เพราะว่าเราจะไปเรียนเพื่อช่วยโลกช่วยเพื่อนมนุษย์ ไม่ใช่เรียนเพียงเพื่อสอบไล่ได้แล้วจะไปประกอบอาชีพเพื่อเรามีเงินใช้เท่านั้น ใครเคยมีความคิดอย่างนี้บ้างเมื่อเป็นนักเรียนเล็กๆ เคยมีความคิดเราจะเรียนนี่เรียนเพื่อช่วยโลกกันบ้าง แล้วโตขึ้นมาเป็นนักเรียนชั้นมัธยม เป็นชั้นอุดมนี่ใครเคยคิดอย่างนี้บ้าง ว่าเราจะเรียนนี่เรียนเพื่อช่วยโลก เอ้า ถ้าไม่เคยคิดก็ไปคิดเสียสิ มันยังมีเวลา ที่ว่าเรียนนี้มันจะเพื่อโลก เพื่อสันติภาพของโลก เพื่อช่วยโลก หรือจะพูดให้ลึกกว่านั้นก็ว่าตามหน้าที่ของธรรมชาติ ตามที่ธรรมะมันมีอยู่อย่างนั้น มันมีหลักอยู่อย่างนั้น เราจะทำเพื่อทั้งหมด เพื่อสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
อยากจะบอกว่าวัฒนธรรมของคนบางพวก บางยุค บางสมัย เขาอบรมลูกเด็กๆกันอย่างนี้นะ อย่างในประเทศอินเดียสมัยโบราณนี่ เชื่อได้เลยว่าเขาอบรมลูกเด็กๆให้คิดอย่างนี้ เขาให้ลูกเด็กๆคิดกว้างถึงกับว่าเรานี้เกิดมาเพื่อทั้งหมด เพื่อไปสู่ปรมาตมัน เหมือนกับว่าไปสู่นิพพานอย่างนั้นนะ เด็กๆเขาก็มีความคิดกว้างที่ว่าเรานี้เกิดมาเพื่อจะไปถึงที่สุด สูงสุดที่มนุษย์จะไปได้ การศึกษาเล่าเรียนของเราก็เพื่อสิ่งนั้นแหละ เราควรจะทำทุกอย่างเพื่อสิ่งนั้น ฉะนั้นในยุคนั้นในถิ่นนั้นศีลธรรมมันสูง วัฒนธรรมมันสูง เด็กๆโตขึ้นมาด้วยความคิดอย่างมหาบุรุษ เพราะในที่นั้นในยุคนั้นมันยังไม่มีสิ่งยั่วยวนทางวัตถุมากเหมือนสมัยนี้ เดี๋ยวนี้พอเราคลอดออกมาก็ถูกแวดล้อมให้หลงใหลในเรื่องสวยเรื่องงาม เรื่องเอร็ดอร่อยเรื่องวัตถุ เพราะว่าวัฒนธรรมมันเสื่อม ศีลธรรมมันเสื่อม วัฒนธรรมมันเสื่อม พ่อแม่ไม่มีความรู้เรื่องนี้ ก็ไม่มีปัญญาจะชักจูงลูกให้มุ่งหมายสูงสุด ว่าเพื่อทั้งหมด เพื่อสากลจักรวาล หรือเพื่อปรมาตมัน ไปเป็นบรมพรหมอะไรกันไม่เคยคิด เดี๋ยวนี้เรามาพูดกันสำหรับจะได้ไปคิดดู อาจจะไปตั้งต้นกันใหม่ก็ได้ อยากจะให้เปรียบเทียบเอาเองว่า ถ้าเราเรียนเพื่อเรา กับเราเรียนเพื่อโลกทั้งหมด อันไหนมันจะสบายใจกว่ากัน อันไหนมันจะโล่งใจ สบายใจ มีปีติปราโมทย์ มีความลำพองใจก็ได้ มากกว่ากัน เราจะช่วยโลกนี้มันเป็นเรื่องที่ใหญ่โตมาก
ทีนี้มันก็จะคิดดูว่าทำไมเราถึงจะมีความคิดถึงขนาดจะช่วยโลก เป็นการอวดดีหรือเปล่า มันไม่ใช่เป็นการอวดดี ถ้าใครจะมาหาเป็นการอวดดีมันเป็นเรื่องแก้ตัวของคนนั้นที่ใจมันแคบ ถ้าพูดกันตามตรงๆแล้วมันก็เป็นเรื่องที่จะมองเห็นได้ไม่ยากนัก เราเคยบอกกันว่าจิตที่คิดจะให้นี่ สบายกว่าจิตที่คิดจะเอา พูดช้าๆชัดๆหน่อยเพราะว่าคุณไม่ค่อยเคยฟังว่า “จิตที่คิดจะให้ สบายกว่าจิตที่คิดจะเอา” เชื่อไหม เข้าใจไหม ฟังถูกไหม เมื่อเราอยากจะให้อะไรแก่ผู้อื่นนั้นนะ สบายกว่าเมื่อเราอยากจะเอาอะไรของผู้อื่น จริงไหม เอาความจริงเป็นหลักกันดีกว่า ถ้าใครยังสบายเมื่อคิดจะเอายังไม่เท่าไร ยังเป็นเด็ก ยังเป็นเด็กๆ ถ้าว่ามันรู้สึกสบายเมื่ออยากจะให้นี่เป็นผู้ใหญ่ คือมีจิตใจสูง ถ้าว่าจิตมันต่อสู้ว่า เอาสิ มันจะดีหรือสบาย ให้จะดีกว่าเราเสียไป ก็พยายามพิสูจน์ให้มันดูอย่างง่ายๆก่อน ซึ่งพอจะเข้าใจได้ ถ้าเป็นธรรมะมันลึกนักว่าคิดจะให้และไม่เห็นแก่ตัวมันเลยสบาย คิดจะเอามันเห็นแก่ตัวมันเลยอึดอัดคับแคบ เราคิดอย่างนี้ว่าถ้าเรามีขนมชิ้นหนึ่งอร่อยมาก เราก็อยากจะกินน้ำลายไหล นี่เราฝืนใจให้เพื่อนไปกินเสีย แล้วจะเป็นอย่างไร ถ้าเรากินเองมันก็อร่อยแน่ แล้วไม่เท่าไรก็ย่อยถ่ายอุจจาระไปในวันรุ่งขึ้นก็หมดแล้ว ถ้าเราให้เพื่อนไป ไปอยู่ในจิตใจของเพื่อน ซึ่งมันลืมไม่ได้ มันอยู่หลายวันหลายเดือนหลายปี อยู่จนตลอดชีวิตก็ได้ในบางกรณี แล้วเราเองก็เหมือนกันแหละ คิดถึงทีไรสบายใจทีนั้น คิดถึงที่เสียสละน้ำลายไหลนี่เสียสละให้เขาไป คิดถึงทีไรสบายใจทีนั้น คิดถึงทีไรสบายใจทีนั้น นี่เป็นข้ออธิบาย คำอธิบายที่ว่าจิตที่คิดจะให้นี่สบายกว่าจิตที่คิดจะเอา มันเป็นเรื่องธรรมดาที่พอจะมองเห็นได้ ทีนี้จะเปรียบอีกทีหนึ่งดีกว่าว่าดอกไม้หอมเราได้มา เราจะไว้ดมเองไว้เสียบผมเอง อีกทางหนึ่งเราฝืนใจให้เพื่อนไป ถ้าเราไว้เสียบผมเองเดี๋ยวมันก็เหี่ยวเดี๋ยวก็ขว้างทิ้งไปเป็นขยะ ถ้าเราให้เพื่อนไปมันไปอยู่ในจิตใจของเพื่อน มันไปบานอยู่ในจิตใจของเพื่อนไม่โรยไม่เหี่ยว แล้วเรานึกถึงทีไรก็มีจิตใจที่สบายไปนานเป็นเดือนเป็นปีเป็นตลอดชีวิต นี่จิตที่คิดให้มันสบายกว่าจิตที่คิดเอาอย่างนี้ แต่ถ้าจะให้อธิบายกันด้วยธรรมะอย่างลึกๆก็อธิบายได้ว่าจิตคิดให้นั้นมันทำลายกิเลส เมื่อกิเลสมันว่างในใจมันก็เย็น จิตคิดเอานั้นมันเพิ่มกิเลสเพราะอย่างนั้นมันก็เป็นจิตที่ร้อน ฉะนั้นจิตที่เอามันร้อน จิตคิดให้มันเย็น เป็นเรื่องของธรรมะซึ่งฟังยาก แต่ถ้าว่าสนใจเรื่อยๆไปมันก็คงเข้าใจสักวันหนึ่งแหละ ความไม่เห็นแก่ตัวนั่นแหละมันจะเย็น ความเห็นแก่ตัวนั้นมันจะร้อน ฉะนั้นจงทำในลักษณะที่ไม่เห็นแก่ตัวยิ่งๆขึ้นไป มันจะได้มากกว่าที่เราจะทำเพื่อเห็นแก่ตัว การเล่าเรียนก็ดี การงานก็ดี อะไรก็ดี ลองเขยิบเลื่อนชั้นขึ้นมากว่าที่เราเคยชินมาแต่ก่อน ให้มันเพื่อเห็นแก่ทั้งหมดเถอะ แล้วจิตมันก็จะกว้างจะสูงจะเป็นสุขอย่างยิ่ง
ฉะนั้นธรรมะนี้ไม่ใช่เพื่อความคับแคบ ไม่ใช่เพื่อความเสื่อมหรือลดลง มันเพื่อความเจริญ เพื่อความรุ่งเรืองในทางจิตทางวิญญาณอันสูงขึ้นไป ขออย่าได้ยกโทษเอาธรรมะว่าเป็นไปเพื่อขัดขวางความเจริญ แต่มันกลับจะเป็นไปเพื่อความเจริญอย่างยิ่ง อย่างลึกซึ้ง นี่อยากจะขอให้หนุ่มๆทั้งหลายนี่เข้าใจธรรมะให้ถูกต้องเสียตั้งแต่ต้นมือ อย่าได้เข้าใจผิดแก่ธรรมะ มันเสียหายมากแหละไปหาความแก่ธรรมะ ซึ่งไม่เป็นอย่างนั้นเลย ก็ต้องเรียกว่าไม่ถูกแล้ว บาปเหมือนกัน เพราะธรรมะมันไม่เป็นอย่างนั้น เราไปใส่ความแก่ธรรมะอย่างนั้น เราก็ได้บาปเสียเปล่าๆโดยไม่ต้องทำอะไร เข้าใจเสียให้ถูกต้องตามที่เป็นจริงก็จะได้รับประโยชน์จากสิ่งนั้นแหละ แล้วจะได้กำไรโดยที่ไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่มขึ้นอีก เท่าที่เรากระทำอยู่แล้วมันจะได้ผลกำไรในด้านจิตด้านวิญญาณเพิ่มขึ้นอีกมาก ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะได้ผลเพียงในด้านวัตถุอย่างเดียว แล้ววัตถุนี้ไม่เท่าไรมันก็เปลี่ยนแปลง มันก็หายไปสูญไป หรือเน่าไปเหี่ยวแห้งไป ถ้าเป็นเรื่องของจิตใจเป็นเรื่องของธรรมะแล้วมันจะยืนยาวอยู่ในจิตใจไม่รู้จักเหี่ยวจักแห้ง ก็เลยทำให้มีความสบาย มีความสุข มีความพอใจมาก นี่พูดทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะให้เห็นในข้อที่ว่าธรรมะนี้ไม่ใช่เครื่องถ่วงความเจริญ แต่เป็นเครื่องส่งให้เกิดความเจริญทั้งทางวัตถุและทั้งทางจิตใจ ทั้งทางร่างกายและทั้งทางจิตใจ ทั้งแก่ตนเองและทั้งแก่คนทั้งโลก อย่างนั้นสนใจธรรมะในฐานะที่เป็นเครื่องทำให้โลกนี้มีความสุขมีความสงบ มีสันติภาพ
อุดมคติการเมืองนั้น ถ้ามีธรรมะแล้วก็สำเร็จประโยชน์ในการที่ทำให้โลกมีสันติภาพ เดี๋ยวนี้อุดมคติทางการเมืองมันเป็นเรื่องเห็นแก่ตัว เป็นเรื่องเห็นแก่ตัวอย่างบ้าหลัง เห็นแก่ตัวอย่างคับแคบ เฉพาะหมู่เฉพาะพวก มันก็เลยไม่มีทางที่อุดมคติการเมืองอย่างยุคปัจจุบันนี้จะทำให้โลกนี้มีสันติภาพ มีความสงบสุข ต้องเอาธรรมะไปเป็นอุดมคติทางการเมือง ให้เกิดความรักขนาดที่ว่า ทุกคนเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น แล้วก็ทำอะไรไปเพื่อประโยชน์แก่ทุกคนอย่างนี้ เอาละ อย่าไปเข้าใจผิดต่อธรรมะอย่างที่เขาเข้าใจผิดๆกันอยู่ ซึ่งมีประเด็นสำคัญที่ว่าอิ่มปากอิ่มท้องเสียก่อนแล้วจึงจะคิดถึงธรรมะ ไม่มีวันจะเป็นไปได้ เพราะว่าการไม่อิ่มปากอิ่มท้องนั้นมันขาดธรรมะ มันก็ขาดธรรมะอยู่เรื่อยไปไม่มีวันจะพบธรรมะได้ ไม่มีวันจะอิ่มปากอิ่มท้องได้ มันจะกระหาย ไม่รู้จักพออยู่ตลอดเวลา ไม่มีวันพบธรรมะได้ อย่างนั้นตั้งต้นธรรมะกันตั้งแต่เมื่อคลอดออกมาจากท้องแม่ มีธรรมะเรื่อยมาอย่างที่เรียกว่าทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเรา มีความถูกต้องอยู่ด้วยธรรมะเรื่อยๆมา เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ เป็นสาวกที่ดีของพระศาสดาแห่งศาสนาของตนๆ จึงจะเรียกว่าเขาให้ดำเนินมาอย่างถูกต้อง คือเป็นธรรมะทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของชีวิตของเขาโดยแท้จริง นี้เป็นใจความที่พูดกันได้อย่างย่อ ชั่วเวลาอันเล็กน้อยอย่างนี้ มันก็เป็นใจความที่สมบูรณ์พออยู่แล้ว รายละเอียดก็ไปคิดหาเอาเอง ไปสอดส่องเอาเอง ให้จำหัวข้อไว้ให้แม่นยำ ว่าธรรมะนี้ไม่ได้เป็นอุปสรรคแก่ความเจริญ แต่จะเป็นความเจริญทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของมนุษย์นั้นๆ แล้วในที่สุดจะทำให้โลกทั้งโลกมีสันติภาพขึ้นมาได้ แล้วภาวนาไว้ด้วยทุกคืนๆ อย่างน้อยครั้งหนึ่งว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น อย่าเห็นว่าอันนี้เป็นเรื่องครึคระ ถ้าเข้าใจคำนี้ประโยคนี้เป็นเรื่องครึคระไปแล้วแน่นอนแล้วเขาจะไม่มีธรรมะได้ แล้วเขาก็จะเห็นว่าธรรมะนี้เป็นข้าศึกแก่ความเจริญอยู่เรื่อยไป การพูดนี้พอแล้ว ทีนี้อยากจะถามอะไรก็ถาม เป็นเวลาที่จะตอบปัญหาแล้ว
ท่านพุทธทาสภิกขุ : เอ้า มีปัญหาอะไรถามได้ไม่ต้องเกรงใจ หรือหลับเสียหมดไม่ได้ยินพูด เลยไม่มีปัญหา คนที่ถามมากๆไปเสียแล้วเหรอเมื่อคืน เขาว่าเขาจะกลับวันนี้
นักศึกษา : กลับไปแล้ว
ท่านพุทธทาสภิกขุ : อย่างนั้นพูดกันให้มันสิ้นเรื่องสิ คนที่แอนตี้ธรรมะ พูดกันเสียให้สิ้นเรื่องในวันนี้ อยากจะแอนตี้แง่ไหนก็ว่ามาไม่ต้องเกรงใจ ธรรมะมันใช้ไม่ได้ในแง่ไหนก็ว่ามาเลย คำว่าธรรมะทำให้งุ่มง่ามบ้าง ล้าสมัยบ้าง ไม่ก้าวหน้าบ้าง ไม่มีใครถามเหรอ เอ้า ถ้าอย่างนั้นถาม เป็นฝ่ายถาม อาตมาเป็นฝ่ายถามเสียเอง เป็นฝ่ายถามดูบ้าง เท่าที่ฟังมาแล้ว ๒ ครั้ง ๒ คืนแล้วนี่เข้าใจว่าอย่างไร ธรรมะแปลว่าอะไร แปลว่าอะไรธรรมะแปลว่าอะไร อ้าว ไม่ได้จำไว้หรือเมื่อคืน เมื่อคืนก็บอกแล้วว่าธรรมะคำนี้แปลว่าอะไร ธรรมชาติ จะใช้คำว่าธรรมชาติมันก็ต้องว่าปรากฏการณ์ของธรรมชาติ กฎของธรรมชาติ หน้าที่ตามธรรมชาติ ผลที่ได้รับตามธรรมชาตินั่น จึงจะเป็นคำว่าธรรมะที่สมบูรณ์ ทีนี้ใน ๔ ความหมายนี้ความหมายไหนสำคัญที่สุด
นักศึกษา : หน้าที่
ท่านพุทธทาสภิกขุ : หน้าที่ ความหมายที่ ๓ หน้าที่ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติเป็นสิ่งที่ใครเว้นไม่ได้ ถ้าใครเว้นคนนั้นบกพร่อง แล้วคนนั้นจะเสื่อม แล้วคนนั้นจะไม่มีธรรมะ หน้าที่ตามธรรมชาติ ธรรมะแคบเข้ามาคือหน้าที่ ทีนี้เมื่อเราปฏิบัติหน้าที่ตามธรรมชาติแล้วจะได้รับผลสรุปเป็นใจความสั้นๆว่าอย่างไร ธรรมะ ธรรมะคืออะไร ธรรมะคือสิ่งที่จะทรงผู้ทำหน้าที่ไม่ให้พลัดตกลงไปสู่ความชั่ว หรือความทุกข์ หรือความต่ำ ธรรมะคือ หน้าที่ ฉะนั้นธรรมะข้อนี้จะทรงผู้ประพฤติธรรม คือผู้ทำหน้าที่ไม่ให้ต่ำลงไปสู่ความทุกข์หรือความต่ำ ให้มันขึ้นมาเสียจากปัญหาทั้งหลาย ฉะนั้นถ้าพูดว่าธรรมะเพื่อดับทุกข์แล้วก็ให้เข้าใจอย่างนี้ พวกฝรั่งคนหนึ่งเขามีปัญหาเรื่องนี้ เขามาศึกษาพุทธศาสนา ศึกษาธรรมะ เขาว่าเพื่อดับทุกข์ แล้วเพื่อนเขาโห่ว่าฉันไม่มีทุกข์ ฉันไม่มีความทุกข์ นี่คนชั้นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย เป็นโปรเฟสเซอร์ในมหาวิทยาลัยเขามีปัญหากันอย่างนี้ โปรเฟสเซอร์คนหนึ่งได้มาที่นี่ มาปรารภข้อนี้ ว่าเขาศึกษาธรรมะเพื่อจะดับทุกข์ มาศึกษาพุทธศาสนา ทีนี้เพื่อนโปรเฟสเซอร์ทั้งหลายเขาโห่ว่าฉันไม่มีทุกข์โว้ย ฉันไม่มีทุกข์ เขาก็ตอบไม่ได้ ไม่สามารถจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเรามีความทุกข์กันอย่างไรที่จะต้องดับมัน มันก็ต้องพูดกันมาก เดี๋ยวนี้ทุกคนเราไม่มีความทุกข์ใช่ไหม ที่นั่งอยู่ที่นี่ทุกคนไม่มีความทุกข์ใช่ไหม ใครมี ใครมีออกมาดูซิ ไม่มีความทุกข์ก็เลยหาเอาไม่จำเป็น ไม่จำเป็นที่จะต้องศึกษาธรรมะเพื่อดับทุกข์ เพราะฉันไม่มีความทุกข์ เอาละที่ว่าไม่มีความทุกข์ในเวลานี้มันก็จริงแหละ เดี๋ยวนี้เราก็ไม่มีความทุกข์ แต่ว่าเราต้องการอะไรต่อไปอีก กระทั่งต้องการความเจริญแห่งวิวัฒนาการในชีวิตให้มันไปถึงระดับสูงสุด เราจึงต้องการธรรมะนั้นเป็นของประจำ ประจำตายตัวไปเลย ให้ธรรมะมันช่วยให้มีวิวัฒนาการไปกว่าจะถึงระดับสูงสุด เดี๋ยวนี้เราไม่มีความทุกข์จริง แต่ว่าเวลาอื่นเวลาหนึ่งเราจะมีความทุกข์ หรือจะยิ่งกว่าความทุกข์นั่นนะเตรียมตัวไว้ด้วย สักเวลาหนึ่งเราจะมีความทุกข์ เมื่อไหร่เรามีความโลภเมื่อนั้นเราจะรู้สึกมีความทุกข์ เมื่อไหร่มีความโกรธจะรู้สึกมีความทุกข์ มีความโง่ความหลงมัวเมาเมื่อไรจะรู้สึกมีความทุกข์ เมื่อถึงเวลานั้นเข้า เราจะเรียกหาธรรมะไม่ทัน ต้องศึกษากันไว้ก่อน เตรียมพร้อมไว้ เมื่อความทุกข์มาถึงก็จริงเราจะได้ตั้งหลักอยู่ได้ ไม่ต้องมีความทุกข์ ไม่ต้องร้องไห้ไม่ต้องฆ่าตัวตาย เดี๋ยวนี้ในหน้าหนังสือพิมพ์มันมีสิ่งที่ไม่น่าจะมีมากขึ้นเช่นผิดหวังนิดหน่อยเรื่องเกี่ยวกับความรักความใคร่นี่ไปฆ่าตัวตายอย่างนี้ มันมากขึ้น แล้วก็หนุ่มๆทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่ฝ่ายผู้หญิงนะ หมายถึงฝ่ายผู้ชายหนุ่มๆยังมีได้ นี่มันอ่อนแอ มันอ่อนแอเหลือประมาณ ผิดหวังนิดเดียวก็ไปฆ่าตัวตายได้ นี่ถ้ามันจริงตามที่หนังสือพิมพ์มันลงอยู่นะ มันมีทุกวันแทบจะทุกฉบับ ที่คนฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังนิดหน่อย ถ้ามีธรรมะมันไม่เป็นอย่างนั้นแหละมันจะหัวเราะอยู่ตลอดเวลา มันฆ่าตัวตายไม่ได้ นี่ก็แปลว่าคนหนุ่มสมัยโบราณมันฉลาดกว่าคนหนุ่มสมัยนี้ใช่ไหม คนหนุ่มสมัยโบราณไม่เคยฆ่าตัวตายเพราะเหตุนี้ มันกลับถลกก้นไปหาคนอื่นดีกว่าจะมาฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังเกี่ยวกับคนๆนี้ แล้วผู้หญิงสมัยโบราณก็เหมือนกันแหละเขาไม่ถึงกับกินยาตาย ฆ่าตัวตาย ผิดหวังเรื่องอย่างนี้ เขาก็ฉลาดกว่าคนสมัยนี้ คนหนุ่มคนสาวสมัยนี้ซึ่งเรียนมากกลับโง่มากในเรื่องอย่างนี้ เพราะว่ามันไม่มีธรรมะ ฉะนั้นเราจงอยู่เหนือปัญหานี้ อยู่นอกปัญหานี้ อย่าให้มีปัญหาอย่างนี้ อย่าให้มีความแค้นใจหรือน้ำตาตกออกมาเพราะไอ้เรื่องโง่เขลาอย่างนี้ ซึ่งเป็นเรื่องของคนที่ไม่มีธรรมะ ถ้ามันมีโง่ขนาดนั้นแม้ว่าเขาจะได้เสียอยู่เป็นผัวเมียอะไรกันก็ไปไม่รอดหรอก เพราะมันโง่เกินไป มันมีกำลังใจที่อ่อนแอเกินไป มันเป็นไปไม่ได้ มีธรรมะแล้วมันก็มีความสมดุล มีสติปัญญาที่สมดุล ก็รู้จักตอบปัญหาต่างๆได้ คือแก้ปัญหาได้นั่นเอง แล้วก็จะหัวเราะอย่างน้อยก็ยิ้มตลอดกาล ยิ้มตลอดกาลไม่ใช่คนบ้านะ ยิ้มตลอดกาลเรียกว่าคนบ้า มันไม่ต้องยิ้มที่หน้า มันยิ้มอยู่ข้างใน ในจิตใจมันชนะแล้วมันยิ้ม ไม่ต้องยิ้มที่หน้า แต่มันยิ้มตลอดกาล คือมันเป็นผู้ชนะตลอดกาล อะไรเกิดขึ้นที่เขาเรียกกันว่าผิดหวังมันก็กลับยิ้ม ถึงแม้สมหวังมันก็ยิ้ม มันยิ้มเยาะ ถ้าผิดหวังมันก็ยิ้มเยาะ สมหวังมันก็ยิ้มเยาะ คือมันไม่หลงใหลนั่นเอง นี่กลัวว่าพอสมหวังแล้วก็จะหลงใหลจะมัวเมา ยิ้มไม่ออกเหมือนกัน อย่างนี้ก็เรียกว่าไม่มีธรรมะ แล้วมันยินดียินร้าย เดี๋ยวมันฟูขึ้น เดี๋ยวมันแฟบลง เดี๋ยวมันฟูขึ้น เดี๋ยวมันแฟบลง ยินดียินร้าย อย่างนี้ไม่มีธรรมะ ถ้ามีธรรมะแล้วมันก็สม่ำเสมอ ปกติ ได้กำไรก็อย่างนั้น ขาดทุนก็อย่างนั้น แล้วมันก็ทำไปให้ดีกว่านั้นอีก มันก็มีแต่ได้กำไรทั้งนั้น มันมีแต่ถูกมากกว่าผิด แต่เราต้องเตรียมพร้อมไว้เสมอ เมื่อมันผิดหรือไม่สมหวังก็อย่างนั้นแหละ บอกว่ามันอย่างนั้นแหละ ได้สมหวังได้กำไรมากก็อย่างนั้นแหละ อย่าไปหลงกับมัน ให้จิตใจมันข้นเข้มแข็ง ปกติ สมดุลอยู่เรื่อย นั่นนะคือความสุข ถ้าไปหลงใหลในได้ มันก็เป็นความทุกข์ชนิดหนึ่ง คือมันไปเป็นทาสของสิ่งที่ได้ ถ้าไม่ได้มันก็รู้สึกว่าเป็นทาสของสิ่งที่ไม่ได้ คือมันร้องไห้ ถ้ามันได้มันก็ยิ้ม มันก็หลงเข้าไปเป็นทาสของสิ่งที่ได้ มันไม่ปกติคือ มันกระหืดกระหอบอยู่เรื่อย เดี๋ยวฟูๆ เดี๋ยวแฟบๆ เดี๋ยวฟูๆ เดี๋ยวแฟบๆ อย่างนี้ไม่มีธรรมะ ฉะนั้นเขาอบรมให้เรามีความมั่นคงปกติ จนกระทั่งว่าไม่มีความเศร้า แล้วก็ไม่มีความลิงโลดขนาดที่เรียกว่าเผลอไป มันอยู่ปกติมากกว่า นี่ธรรมะในความหมายหนึ่งมันแปลว่าปกติ ถ้าจะดูในแง่ของรูปภาพ หรือสภาพหรือลักษณะอาการ ธรรมะนี่มันปกติ มันทรงตัวอยู่ได้อย่างปกติ ถ้าว่ามันขึ้นหรือมันลงแล้วมันเป็นธรรมะที่เปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ธรรมะในสภาพปกติ ฉะนั้นธรรมะก็ทรงผู้ปฏิบัติไม่ให้ขึ้นหรือลง ให้อยู่ในปกติ ทำไมชอบหัวเราะนัก ถ้าเขาให้หัวเราะไม่หยุดเป็นยังไง ถ้าเราชอบหัวเราะแล้วเขาให้หัวเราะไม่หยุด เอาสิ ถ้าเราอยากร้องไห้ เขาให้ร้องไห้ไม่หยุด มันคงไม่ไหวเท่ากันแหละ ฉะนั้นเรื่องปกติต้องอยู่ระหว่างกลางเสมอ นี่หัวใจของพุทธศาสนามันเรียกว่าอยู่ตรงกลาง เขาเรียกว่า “มัชฌิมาปฏิปทา” จะอยู่ตรงกลางเสมอ ไม่อิ่มแล้วก็ไม่หิว ตอนนั้นสบาย หิวก็ไม่ไหว อิ่มมันก็ไม่สนุก ให้อยู่กลางๆจะรู้สึกสบายใช่ไหม ถ้าอิ่มดีก็อัดเข้าไปสิ อัดเข้าไปอีก อัดเข้าไปอีก เดี๋ยวมันจะตาย มันจะต้องตาย ฉะนั้นความรู้สึกอย่าให้มันหิวหรืออย่าให้มัน คืออย่าให้มันพร่องหรืออย่าให้มันเกิน นี่ความปกติอย่างนี้ก็เป็นลักษณะของธรรมะที่แท้จริง ที่มีอยู่จริงหรือได้ผลจริง
จึงสรุปไว้สั้นๆว่าอย่ามีความทุกข์เลย อย่ามีความทุกข์เลยก็เป็นธรรมะ บางทีก็ทุกข์เพราะได้ลาภ บางทีก็ทุกข์เพราะเสื่อมลาภ แต่มันทุกข์คนละแบบ ถ้าเราได้แล้วมันเราไม่ค่อยรู้สึกว่าเป็นทุกข์ ถ้าไปยินดีกันแล้วมันก็มาหนักอกอยู่ในใจ ถ้าเสียไปมันก็เหมือนกับไฟเข้าไปไหม้อยู่ในใจ ถ้าได้มา มันก็มายึดมั่นถือมั่น มานอนไม่ค่อยหลับ เขามีนิทานเล่าสอนใจกันไว้ในพวกจีนว่า ขอทานคนหนึ่งเขาไปขอทานแล้วก็กลับมาสีซอ สบาย กินข้าวอิ่มแล้วก็สีซอ วันหนึ่งเขากลับมาแล้ว กินข้าวแล้ว สีซอไม่ได้ วันนั้นได้มามาก ไม่รู้จะเก็บยังไงให้ปลอดภัย เขากลัวขโมย เกิดได้มามากแค่บาทสองบาทเท่านั้นมันเลยมีความเป็นห่วงว่าจะเก็บอย่างไร วันนี้สีซอไม่ได้ วันที่กินหมด กินหมดนั่นสีซอได้ ไม่เป็นห่วง นี่ถ้าได้แล้วมันก็ยิ่งมายึดถือ ยึดถือ ยึดถือ ฉะนั้นอย่ายึดถือ จึงว่าเสียก็ไม่ยึดถือ ได้ก็ไม่ยึดถือ ก็จะสบาย ถ้าเรามีเงินมีอะไรก็ตามต้องรู้จักทำจิตอย่าให้ไปอยู่ข้างใต้สิ่งนั้นมันจะกดทับจิตให้มันสีซอไม่ได้ ร้องเพลงไม่ออก ไม่ใช่ว่าไม่ยึดถือแล้วเราจะต้องตายหรือว่าเราจะสูญหายจากสิ่งเหล่านั้น ยึดถือมันทำให้เป็นทุกข์ ฉะนั้นจัดการเสียให้เรียบร้อยแล้วไม่ต้องยึดถือ อย่างมีเงินมากนี่มันทำให้เป็นห่วงจนนอนไม่หลับเพราะมันยึดถือ ฉะนั้นรู้จักจัดการเสียให้เรียบร้อย รู้จักทำจิตใจอย่าให้ยึดถือก็จะสบาย ถ้าว่ามันมีเงินมากก็ยึดถือแล้วก็เป็นทุกข์ก็สู้คนที่ไม่มีไม่ได้ นี่ธรรมะช่วยให้เกิดความสมดุล ไม่มีความทุกข์ก็เลยเรียกว่า ว่างก็ได้ ว่างไม่มีกิเลส ว่างไม่มีความทุกข์ ว่างไม่มีอะไรรบกวน สบายที่สุด เวลาที่เราว่างเราสบายที่สุด เวลาที่เรามีนั่นมีนี่เข้ามากระทบกระทั่งนี่มันไม่สบาย มันอึดอัด มันคับแคบ ฉะนั้นรู้จักทำจิตให้มีธรรมะแล้วก็จะนอนหลับสบาย ประโยชน์ของธรรมะนี้เหลือหลาย ถ้าจะพูดกันโดยรายละเอียดแล้วพูดกันไม่สิ้นสุด ทีนี้พูดกับว่ามันจะทำให้สบาย ให้ไม่มีทุกข์พอแล้ว เมื่อเล่าเรียนก็เล่าเรียนอย่างสนุก เมื่อทำการงานก็ทำการงานอย่างสนุก ได้ผลมาก็มีอย่างสนุกอย่างไม่ต้องเป็นทุกข์ เตรียมตัวไว้สำหรับใช้ธรรมะให้ถูกต้อง ให้พอดี ให้ทันท่วงทีต่อไปนี้ ต่อไปนี้มันก็จะเผชิญกับปัญหามากขึ้น พอเราเรียนเสร็จแล้วเราก็ต้องไปทำการงาน ต้องสังคมกับคนมากขึ้น จะต้องเผชิญกับปัญหามากขึ้น ต้องเตรียมธรรมะไว้ให้ดีๆ สำหรับแก้ปัญหาเหล่านั้นให้ได้ ไม่มีอื่นหรอกที่จะแก้ปัญหาได้นอกจากธรรมะ เพราะมันเป็นเรื่องทางจิตใจ ถ้าเป็นเรื่องข้างนอกมันก็เรื่องวัตถุ แก้ได้ง่าย เพื่อนก็ช่วยแก้ให้ได้ แต่ถ้าเรื่องจิตใจแล้วเพื่อนมันก็ช่วยไม่ได้ มันต้องแก้เอง ต้องทำจิตใจให้ถูกต้อง คือดำรงจิตใจไว้ให้ถูกต้องนั่นคือธรรมะ พอดำรงจิตใจไว้ไม่ถูกต้องแล้วมันก็มีความทุกข์ คือไม่มีธรรมะพอ รู้จักดำรงจิตใจไว้ถูกต้อง ไม่มีความทุกข์เกิดขึ้นนั่นคือธรรมะที่ถึงที่สุด คือมันให้ผล ถ้าเรายังมีความทุกข์แล้วขอให้นึกถึงว่าขาดธรรมะแล้ว แล้วอย่าไปโกรธใคร อย่าไปโทษผีปิศาจที่ไหน อย่าไปรดน้ำมนต์ที่ไหนป่วยการณ์ นึกแก้ไขว่ามันขาดธรรมะอะไร แล้วแก้ไขมันเสีย ความทุกข์นั้นมันก็หายไป เดี๋ยวนี้ไม่แก้ไขกันในทางอย่างนี้ ไปรดน้ำมนต์บ้าง ไปดูหมอบ้าง มันก็หลอกได้ประเดี๋ยวประด๋าวเดี๋ยวมันก็เป็นทุกข์อีก ถ้าจะแก้ให้ถึงต้นเหตุก็ต้องแก้ด้วยธรรมะ คือจัดจิตใจให้มันถูกต้องให้มันประกอบอยู่ด้วยธรรมะ คำว่าธรรมะก็กลายเป็นน้ำมนต์ช่วยรดให้ มันก็เย็น ไม่มีความทุกข์ คำว่า “วิศวะ” แปลว่าอะไร หา อ้าวทุกคนไม่รู้เหรอนี่ แปลว่าอะไรคำว่า วิศวะ แปลว่าอะไร ทำไมไม่ตอบเล่า หรือไม่ทราบ หรือว่าทราบแล้วไม่ตอบ อ้าว ถ้าไม่ทราบแล้วจะเป็นวิศวะอย่างไร ถ้าไม่ทราบแล้วจะเป็นวิศวกร วิศวกรรมได้อย่างไร ทีหลังจะบอกวิศวะคือ ธรรมะ นี่มันไม่รู้ว่าตัวเอง ไม่รู้ตัวเองว่าวิศวะคืออะไรแล้วไม่มีทางจะพูดแล้ว
เอ้า ๙ แล้ว หมดเวลาแล้ว หมดเวลาที่กำหนดไว้ เหน็ดเหนื่อยไปนอนเสียได้