แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้ อาตมาภาพจะได้วิสัชนาในพระธรรมเทศนา เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้าตามทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลา ธรรมเทศนาในวันนี้เป็นธรรมเทศนาพิเศษ ปรารภเหตุการกระทำพิธีอาสาฬหบูชา ดังที่ท่านทั้งหลายก็ทราบกันได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว และธรรมเทศนานี้ก็เป็นไปเพียงเพื่อจะทำความเข้าใจในเบื้องต้น เป็นการชี้แจงสำหรับการกระทำพิธีให้สำเร็จประโยชน์ถึงที่สุด ข้อนี้ก็คือการที่ท่านทั้งหลายมีความเข้าใจในการกระทำนี้อย่างถูกต้อง ได้กระทำในบรรยากาศเช่นนี้ย่อมมีความระลึกนึกคิดได้เป็นอย่างดี เราอุตส่าห์มากันจนถึงที่นี่ด้วยความลำบากก็เพื่อประโยชน์ว่า จะได้มีความรู้สึกนึกคิดในทางจิตทางใจอย่างลึกซึ้งราวกับว่าได้ไปประกอบพิธีนี้ในถิ่นแห่งพระพุทธองค์
ขอให้ท่านทำในใจให้ดีเป็นพิเศษในข้อที่ว่า เดี๋ยวนี้เราก็มานั่งอยู่กลางพื้นดิน ข้อนี้มีความสำคัญมากสำหรับบุคคลผู้มีสติปัญญาพินิจพิจารณา แต่ถ้าไม่ใช้สติปัญญาพินิจพิจารณาแล้ว ก็ดูจะไม่มีความหมายอะไร นี้คือข้อที่ว่าเรามาประกอบพิธีในป่าเช่นนี้ แล้วก็กลางดิน ระลึกนึกถึงการที่พระพุทธองค์ทรงอยู่ในป่า และทรงอยู่กลางดิน
ขอให้ระลึกโดยเฉพาะเป็นพิเศษในข้อที่ว่า พระพุทธเจ้านั้น ท่านประสูติที่กลางดิน ท่านตรัสรู้ก็กลางดิน ท่านแสดงธรรมเทศนาสอนธรรมะก็กลางดิน และท่านนิพพานก็กลางดิน กุฏิที่อยู่ที่อาศัยของท่านก็พื้นดิน นี่แหละคือข้อที่ต้องการให้ทำในใจตามข้อความที่ได้ศึกษาเล่าเรียนกันมาว่า พระพุทธองค์ประสูติกลางพื้นดินใต้ต้นสาละในป่า สวนป่าลุมพินี นี้เรียกว่าประสูติกลางดิน ทั้งที่เป็นเจ้านาย เป็นพระราชามหากษัตริย์ แทนที่จะประสูติบนปราสาทก็กลับมาประสูติกลางดิน ก็เป็นที่น่าคิด น่านึก น่าพิจารณาอยู่ ทีนี้เมื่อถึงคราวตรัสรู้ ก็ประทับนั่งกลางดินที่โคนต้นไม้อัสสัตถะ ที่ต่อมาเรียกกันว่าต้นโพธิ์ ที่ริมตลิ่งแม่น้ำแห่งหนึ่ง ก็นั่งกลางดิน มีหญ้าคารองบ้างก็ยังเรียกว่านั่งกลางดิน ขอให้เข้าใจว่าท่านนั่งตรัสรู้กลางดิน ไม่ใช่ในโบสถ์ ในวิหาร ในอะไรที่สวยสดงดงามก็หามิได้ นั่งตรัสรู้กลางดินคนเดียวที่ริมตลิ่ง
ครั้นสอนภิกษุทั้งหลาย นับตั้งแต่สอนภิกษุปัญจวัคคีย์ ซึ่งเรามาประกอบพิธีอาสาฬหบูชาเป็นที่ระลึกในวันนี้ ก็ฟังได้ว่าท่านนั่งสอนกันกลางดิน ไม่ใช่บนศาลาหรือในโบสถ์วิหารอะไร ท่านพบกันที่ไหนก็พูดกันที่นั่น สะดวกที่ไหนก็สอนกันที่นั่น เลยกลายเป็นเรื่องสอนกลางดิน เป็นที่เชื่อได้ว่าการแสดงธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร หรือปฐมเทศนานี้ ก็เป็นการแสดงกลางดิน ต่อมาก็ทรงสอนภิกษุทั้งหลายมากมายจนกล่าวว่าเป็นพระธรรมตั้ง ๘๔,000 พระธรรมขันธ์นั้น แทบทั้งหมดนั้นก็เป็นการสอนกลางดิน บางทีกำลังเดินทางอยู่ก็มี นี่แหละขอให้ทำในใจไว้ด้วยว่า พระธรรมของเรานั้นก็มีกำเนิดที่กลางดิน
ครั้นเวลาล่วงมาจนถึงวันปรินิพพาน ก็ปรินิพพานกลางดินใต้ต้นไม้สาละในอุทยานของมัลลกษัตริย์ ที่เรียกว่าสาลวโณทยาน เมื่อดูที่ประทับอาศัยอย่างที่มีหลักฐานปรากฏอยู่ในประเทศอินเดียปัจจุบันนี้ ก็เห็นได้ว่าเสนาสนะเหล่านั้นเป็นพื้นดิน เอ้า, คิดดูให้ดีว่า พระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน นิพพานกลางดิน พระธรรมของเราก็เกิดขึ้นกลางดิน พระสงฆ์ทั้งหลายท่านก็อยู่กันกลางดิน กุฏิพื้นดิน รับคำสั่งสอนพื้นดิน เป็นพระสงฆ์เป็นพระอรหันต์กันเมื่อนั่งกลางดิน ได้ฟังกลางดิน มันมีความสำคัญอย่างนี้ เดี๋ยวนี้มท่านมานั่งอยู่กลางดิน เอามือลูบดินดูว่าเรากำลังนั่งอยู่บนที่นั่ง ที่นอน ที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า เราควรจะยินดีว่าไม่เสียทีที่ได้พยายามมาประกอบพิธีอาสาฬหบูชาที่นี่ แล้วก็ในท่ามกลางหมู่ไม้ มันจะเหมือนกับประเทศอินเดียในสมัยนั้นหรือไม่ ก็ไม่รับรอง แต่รับรองได้ว่าท่านทำกันท่ามกลางหมู่ไม้
พระพุทธเจ้าโปรดต้นไม้ ประสูติก็ใต้ต้นไม้ ตรัสรู้ก็ใต้ต้นไม้ สอนใต้ต้นไม้ นิพพานใต้ต้นไม้ ท่านโปรดต้นไม้มาก พวกพุทธบริษัทเสียอีกไม่เห็นแก่พระพุทธเจ้า ทำลายป่าไม้กันได้ลงคอ นี้เรียกว่าทำลายของโปรดของพระพุทธเจ้า ไม่สมแก่การที่จะเป็นพุทธบริษัทเลย ขอให้ทำในใจว่าหมู่ไม้ทั้งหลายเหล่านี้พื้นดินนี้เกี่ยวเนื่องกันกับพระพุทธเจ้าอย่างนี้ และท่านทั้งหลายก็ได้อุตส่าห์ฝ่าความยากลำบากมาจนมาถึงที่นี่และนั่งกันอยู่ในสภาพอย่างนี้ อาตมาก็ชักชวนท่านทั้งหลายให้ทำในใจเป็น พุทธานุสติ น้อมระลึกนึกถึงพระพุทธองค์ และเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับพระพุทธองค์ เพื่อว่าเราจะได้มีจิตใจเต็มไปด้วยคุณธรรมที่เหมาะสมที่จะทำพิธีอาสาฬหบูชา ขอให้ท่านทั้งหลายจงกระทำในใจให้สำเร็จประโยชน์เถิด
ทีนี้อาตมาก็จะพูดถึงพิธีอาสาฬหบูชา ได้แก่การทำบูชาในเวลาที่เรียกว่า พระจันทร์เสวยอาสาฬหฤกษ์ เราเรียกกันตามธรรมดาชาวบ้านว่า เพ็ญเดือนแปด นี่เป็นวันอาสาฬหบูชา เรามาทำการบูชาในวันนี้ก็เนื่องจากว่าวันนี้เป็นวันที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงปฐมเทศนาเป็นครั้งแรก พระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว และได้ประกาศพระธรรมที่ได้ตรัสรู้นั้นเป็นครั้งแรกเป็นวันแรกในวันเช่นวันนี้ ท่านทั้งหลายก็พอจะรู้ตามที่ได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อนว่าตรัสรู้ในวันเพ็ญเดือนหก และต่อมาอีกสองเดือนถึงวันเพ็ญเดือนแปดจึงมีการแสดงธรรม พระพุทธเจ้าได้เกิดขึ้นแล้วตั้งแต่เพ็ญเดือนหก และพระธรรมก็ได้เกิดขึ้นหรือปรากฏออกมาในโลกเมื่อสองเดือนต่อมาคือ เพ็ญเดือนแปด
วันนี้ เพ็ญเดือนแปด เราก็ทำพิธีอาสาฬหบูชา เนื่องด้วยการที่พระธรรมได้ปรากฏขึ้นมาในโลก และต่อให้จากนี้อีก เดือนเก้า เดือนสิบ เดือนสิบเอ็ด เดือนสิบสอง เดือนอ้าย เดือนยี่ เดือนสาม อีก ๗ เดือนจะถึงเพ็ญเดือนสาม เป็นวันประชุมสงฆ์ครั้งใหญ่ยิ่ง ที่เรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต นั่นพระสงฆ์ได้ตั้งขึ้นในโลกนี้เป็นปึกแผ่น เป็นวันแห่งพระสงฆ์ เราก็มีวัน ๓ วันครบบริบูรณ์ วันเพ็ญเดือนหก เป็นวันพระพุทธเจ้า วันเพ็ญเดือนแปดเป็นวันพระธรรม วันเพ็ญเดือนสามเป็นวันพระสงฆ์ เรามีวันสำคัญครบทั้ง ๓ องค์ ขอให้ทำในใจไว้ให้ดี ให้ประพฤติสิ่งใดสิ่งหนึ่งสุดความสามารถของตนอย่างที่เรียกว่าเป็นพิธีอันสูงสุดเนื่องด้วยวันทั้ง ๓ นี้
วันนี้เป็นวันพิธีอาสาฬหบูชา เป็นที่ระลึกแก่พระธรรมที่พระองค์ได้ทรงแสดงให้ปรากฏขึ้นมาในโลก ก็เรียกว่าเป็นวันพระธรรม ท่านจงทำในใจว่าวันนี้เป็นวันพระธรรม เป็นวันที่ระลึกแก่พระธรรม เพราะว่าพระธรรมได้ปรากฏออกมาในโลกเป็นครั้งแรกหลังจากที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้แล้ว เราก็ควรจะทำความเข้าใจในสิ่งที่เรียกว่าพระธรรมนี้กันให้เพียงพอ ให้สมกับความสำคัญของพระธรรม
ความสำคัญของพระธรรมนั้นมีมาก นับตั้งแต่ว่าพระพุทธเจ้าเองก็ทรงเคารพพระธรรม นี่ขอให้เข้าใจ ถ้ายังไม่เข้าใจ เพราะเมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้วใหม่ๆ ทรงปริวิตกว่าคนเราจะอยู่โดยปราศจากที่เคารพนั้นไม่ได้ ไม่ถูกไม่ควร เดี๋ยวนี้เราตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว จะอยู่โดยเคารพอะไร ทรงนึกไปในทางไหนก็ไม่เห็นมีอะไรที่จะควรเป็นที่เคารพ แต่ในที่สุดทรงตกลงพระทัยว่า ธรรมะ หรือพระธรรม ที่ตรัสรู้แล้วนั่นแหละ เป็นสิ่งสูงสุดที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ได้เคารพ พระพุทธเจ้าในอดีตทั้งหลายก็เคารพพระธรรม พระพุทธเจ้าในอนาคตต่อไปข้างหน้าก็จะเคารพพระธรรม พระพุทธเจ้าในปัจจุบันนี้ก็เคารพพระธรรม พระธรรมจึงมีความสำคัญสูงสุดในฐานะเป็นที่เคารพของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย นี้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า แล้วเราก็เคารพพระพุทธเจ้า เราก็ยิ่งต้องเคารพพระธรรม ซึ่งเป็นที่เคารพของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ทีนี้ก็มาถึงข้อที่ว่าพระธรรมนั้นเกี่ยวข้องอะไรกันกับเราที่เป็นมนุษย์ นี้อยากจะให้ท่านทั้งหลายจดจำไว้เป็นพิเศษ ว่าธรรมะหรือพระธรรมนั้นคืออะไร ธรรมะคือระบอบการปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา ทั้งเพื่อประโยชน์แก่บุคคลและเพื่อประโยชน์แก่สังคม มันยืดยาวบางคนจำไม่ทัน จะขอโอกาสพูดซ้ำอีกทีหนึ่งว่า พระธรรมหรือธรรมะนั้น คือ ระบบปฏิบัติที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา ทั้งที่เป็นไปเพื่อประโยชน์บุคคลและเป็นไปเพื่อประโยชน์สังคม
อธิบายว่าพระธรรมคือระบบปฏิบัติ พระธรรมไม่ใช่เพียงแต่คำสั่งสอนหนังสือหนังหา ตำรับตำรา หรือเสียงที่แสดงธรรมนี้อยู่ ก็หาไม่ พระธรรมที่แท้จริงต้องเป็นระบบของการปฏิบัติ คือ การประพฤติกระทำที่ครบถ้วน การประพฤตินั้นมีมาก ต้องประพฤติให้ถูกต้องทุกข้อ แล้วมารวมกันเป็นระบบใหญ่ เรียกว่าระบบแห่งการปฏิบัติที่ถูกต้อง ทีนี้ถูกต้องแก่อะไร ก็ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ เราทั้งหลายทุกคนนี้จะเป็นมนุษย์กันอย่างไร นั่นต้องอาศัยพระธรรม พระธรรมเป็นระบบปฏิบัติที่ถูกต้องเหมาะสมแก่ความเป็นมนุษย์ ก็ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการ นี้หมายความว่า ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ อยู่ในครรภ์มารดา ก็ต้องมีความถูกต้อง คลอดออกมาเป็นทารก ก็ต้องมีความถูกต้อง เป็นเด็ก เป็นวัยรุ่น เป็นหนุ่มสาว เป็นพ่อบ้านแม่เรือน เป็นคนแก่คนเฒ่า ก็ต้องมีความถูกต้องทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการ
เมื่ออยู่ในครรภ์มันก็ต้องมีความถูกต้อง คือว่าบิดามารดาประพฤติธรรมะอยู่เป็นปกติแล้วก็ตั้งครรภ์ เด็กในครรภ์ของบิดามารดาที่มีการประพฤติธรรมะอย่างถูกต้องนั้นนับว่ามีบุญ มันมีบุญมาตั้งแต่ในท้อง มันก็มันจะมีธรรมะมาแต่ในท้อง อย่างน้อยมันก็มีเชื้อแห่งธรรมะ คลอดออกมาเป็นทารกแล้ว ก็ถูกแวดล้อมอยู่ด้วยบิดามารดาหรือคนทั้งหลายที่ประพฤติธรรมะอยู่อย่างถูกต้อง เป็นเด็กโตขึ้นมา โตขึ้นมา ก็อยู่ในท่ามกลางแวดล้อมของการประพฤติปฏิบัติของบิดามารดา ของครูบาอาจารย์ ของคนข้างเคียงที่ถูกต้อง
เป็นหนุ่มเป็นสาวก็อยู่ในท่ามกลางการปฏิบัติที่ถูกต้อง เป็นพ่อบ้านแม่เรือน กระทั่งเป็นคนแก่คนเฒ่า ก็มีการปฏิบัติที่ถูกต้องอย่างนี้จนกระทั่งวาระสุดท้าย นี่แหละความถูกต้องสำหรับความเป็นมนุษย์มันต้องมีอย่างนี้ ถ้าไม่อย่างนั้น มันจะไม่เป็นมนุษย์ ถ้าไม่มีธรรมะคือความถูกต้องแล้วมันไม่เป็นมนุษย์ จึงต้องมีความถูกต้อง ท่านทั้งหลายจงจำไว้ว่าความถูกต้องสำหรับมนุษย์ทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของเขา ในที่สุดเขาก็ได้รับประโยชน์เป็นส่วนบุคคล และสังคมคือหมู่ชนที่อาศัยกันเป็นหมู่นั้นก็พลอยได้รับประโยชน์สุขด้วย
ทีนี้ก็จะพูดถึงคำว่าถูกต้อง ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์นั้นมันถูกต้องอย่างไร ก็อาศัยพระบาลีธรรมจักรกัปปวัตตนสูตรนั่นเอง พระพุทธเจ้าได้เริ่มต้นพระสูตรนี้ว่า มัชฌิมาปฏิปทา ที่ตถาคตไม่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อน ได้มาปรากฏ และตถาคตได้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งมัชฌิมาปฏิปทา เป็นอย่างไรเล่า คือ สัมมาทิฐิ ความเห็นถูกต้อง สัมมาสังกัปโป ความปรารถนาถูกต้อง สัมมาวาจา การพูดจาถูกต้อง สัมมากัมมันโต การทำการงานถูกต้อง สัมมาอาชีโว มีอาชีพถูกต้อง สัมมาวายาโม มีความพากเพียรถูกต้อง สัมมาสติ มีความระลึกอย่างถูกต้อง สัมมาสมาธิ มีความตั้งใจมั่นอย่างถูกต้อง
“สัมมา สัมมา” คำนี้แปลว่าถูกต้อง สัมมาทิฐิ ก็คือมีทิฐิถูกต้อง ทิฐินี้คือ ความคิด ความเห็น ความรู้ ความเชื่อ ความเข้าใจอะไรก็ตามที่มันเป็นเครื่องให้เราคิดนึกได้ มีความเห็นได้รวมอยู่ในคำว่าทิฐินี้หมด ก็มีความเห็นถูกต้อง ไม่เป็นมิจฉาทิฐินั่นเอง จงศึกษาเพิ่มเติมอยู่เรื่อยไปว่าความถูกต้องในทางความคิดเห็นนี้เป็นอย่างไร
ทีนี้ก็มาถึงสัมมาสังกัปโป ความดำริ ความใฝ่ฝัน ความต้องการ ความปรารถนา และมันก็ถูกต้อง เพราะว่าเรามีความคิดเห็นมันถูกต้องแล้ว ความปรารถนามันก็ถูกต้องไปตาม ฉะนั้นจงระวังให้ดี ให้มีความคิดเห็นถูกต้อง แล้วก็มีความปรารถนาถูกต้อง ทีนี้ก็ดำเนินไปอย่างถูกต้องทางวาจาก็เรียกวาจาถูกต้อง ดำเนินความถูกต้องไปทางการงาน การกระทำทางกาย มันก็มีการงานถูกต้อง แล้วอาชีพคือการดำรงชีวิตอยู่มันก็ถูกต้อง ความพากเพียรอยู่ตลอดเวลามันก็ถูกต้อง สติที่ระลึกนึกอยู่มันก็เป็นสติที่ระลึกนึกไปแต่ในทางที่ถูกต้อง สมาธิความที่ใจมั่นแน่วแน่มันก็ถูกต้อง เป็นการถูกต้อง ๘ ประการด้วยกัน ช่วยจำไว้ให้ดีๆ บางคนก็จำพระบาลีนี้ได้อยู่แล้วว่า สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
อาตมาขอร้องว่าคนที่ยังจำไม่ได้ ก็อุตส่าห์เล่าเรียนท่องเสียให้จำได้ แล้วก็รู้ความหมายหรือคำแปลว่า สัมมาทิฐินั้นแปลว่าอย่างไร เป็นต้น เราก็จะมีความรู้ความเข้าใจเรื่องความถูกต้อง ๘ ประการอย่างที่ว่ามาแล้ว ว่าคิดเห็นก็ถูกต้อง ความปรารถนาก็ถูกต้อง การพูดจาก็ถูกต้อง การทำการงานก็ถูกต้อง การดำรงชีวิตก็ถูกต้อง ความพากเพียรก็ถูกต้อง สติระลึกก็ถูกต้อง สมาธิตั้งใจมั่นก็ถูกต้อง นี่มันจำเป็นที่สุดที่มนุษย์จะต้องมีความถูกต้องอย่างนี้ จึงจะได้เป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่เป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง ก็ไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จในการที่จะดับทุกข์
ช่วยจำความถูกต้อง ๘ ประการนี้ไว้ แล้วไปซักซ้อมกันอยู่เสมอ อบรมลูกหลานของเราให้จำความถูกต้องทั้ง ๘ ประการนี้ไว้ให้แม่นยำไปตั้งแต่เล็กๆ สอนให้เด็กๆ จำได้ แล้วมาไล่เรียงอยู่ทุกวันๆ เรื่องความถูกต้องทั้ง ๘ ประการนี้ พอสิ้นสัปดาห์หรือสิ้นเดือน มาคิดบัญชีกันเสียทีหนึ่ง เอาลูกเด็กๆ มาสอบดูว่า เราได้ทำผิดอะไรบ้างในความถูกต้อง ๘ ประการนี้ หรือว่าได้ทำถูกต้องครบทั้ง ๘ ประการ แล้วก็ซักซ้อมในข้อที่ว่าความถูกต้องประการไหนบ้างที่เราได้ทำได้ดีเป็นพิเศษในสัปดาห์นี้ หรือในเดือนนี้ เอามาเล่าให้พ่อฟัง ให้แม่ฟัง ให้ครูบาอาจารย์ฟัง เด็กๆ ก็จะเข้าใจและคุ้นเคยกันอยู่กับการทำความถูกต้องทั้ง ๘ ประการ นั่นแหละคือข้อที่เขามีธรรมะตามหลักแห่งพระพุทธศาสนา
เดี๋ยวนี้การศึกษาของเราไม่มีธรรมะรวมอยู่ด้วย ให้เรียนหนังสือให้เรียนวิชาชีพแล้วก็พอแล้ว ไม่เรียนธรรมะ การศึกษานั้นมันจึงด้วน จึงขาด จึงแหว่ง จึงเว้าอยู่ ไม่น่าดูเลย มนุษย์ที่มีการศึกษาเพียงเท่านี้ไม่เป็นมนุษย์ที่ดี ยังเป็นมนุษย์อันตราย ยิ่งรวยก็ยิ่งเห็นแก่ตัว มันก็ทำชั่วต่างๆ นานา ที่ไม่ควรจะกระทำ ทำให้ตนเองก็เดือดร้อน ผู้อื่นก็เดือดร้อน นี่มันไม่มีธรรมะ ถ้ามีธรรมะยึดมั่นความถูกต้องทั้ง ๘ ประการนี้ไว้แล้ว ก็ไม่มีทางที่จะเกิดความทุกข์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ตัวเองก็เป็นสุข สังคมก็เป็นสุข นี่คืออานิสงส์ของพระธรรม ขอให้เรามองเห็นพระธรรมกันในลักษณะอย่างนี้ว่าจำเป็นสำหรับมนุษย์ ปราศจากพระธรรมเสียแล้วมนุษย์ก็ไม่แตกต่างจากสัตว์เดรัจฉาน
ความผิดแปลกแตกต่างระหว่างคนกับสัตว์ก็อยู่ที่มีธรรมะหรือไม่มีธรรมะ มีธรรมะก็คือมีความถูกต้องทั้ง ๘ ประการนี้ ความถูกต้องทั้ง ๘ ประการนี้ ถ้าเป็นไปถึงที่สุดแล้ว ก็ทำความเป็นพระอรหันต์ให้เกิดขึ้นอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า “ถ้าภิกษุทั้งหลายเหล่านี้จักเป็นอยู่โดยชอบไซร้ โลกก็จะไม่ว่างจากพระอรหันต์” ให้จำไว้ว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อย่างนี้ ถ้าใครสงสัยอยากรู้ว่าพระอรหันต์มีหรือไม่ปัจจุบันนี้ ก็ขอให้นึกถึงข้อนี้ คือข้อที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่า “ถ้าภิกษุทั้งหลายเหล่านี้จักเป็นอยู่กันโดยชอบไซร้ โลกก็ไม่ว่างจากพระอรหันต์” นี่หมายความว่าไม่จำกัดเวลาว่าเมื่อไร แต่จำกัดลงไปว่าที่ใดมีการเป็นอยู่โดยชอบ เมื่อนั้นจะไม่ว่างจากพระอรหันต์ การเป็นอยู่โดยชอบก็คือความถูกต้อง ๘ ประการที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา นั่นเอง มัชฌิมาปฏิปทาจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในฐานะเป็นคำแรกที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสขึ้นในโลก
ท่านไปเปิดพระบาลีธรรมจักรกัปปวัตตนสูตรดู ก็จะพบว่าสิ่งสำคัญสิ่งแรกที่พระพุทธเจ้าทรงเปิดเผย ก็คือ มัชฌิมาปฏิปทา ว่าอย่าไปข้องแวะเข้ากับไอ้ซ้ายสุดขวาสุด คือกามสุขัลลิกานุโยค และอัตตกิลมถานุโยค ให้ตั้งอยู่ในระดับกลางคือ มัชฌิมาปฏิปทา อันเป็นสิ่งที่พระองค์ไม่เคยทรงได้ยินได้ฟังมาแต่กาลก่อน แต่ได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะขึ้นด้วยพระองค์เอง เป็นมัชฌิมาปฏิปทาที่ประกอบอยู่ด้วยองค์ ๘ ประการดังที่กล่าวมาแล้ว นั่นแหละคือตัวธรรม ตัวธรรมะ
วันนี้เป็นวันพระธรรม นึกถึงพระธรรมก็นึกถึงไอ้มัชฌิมาปฏิปทา ความถูกต้องทั้ง ๘ ประการ เอามารวมเข้าเป็นสิ่งเดียวกัน เป็นสายเดียวกัน ก็เรียกว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ เปรียบอุปมาเสมือนเชือก ๘ เกลียวฟั่นกันเข้าเป็นเชือกเส้นเดียว มีความเหนียวแน่นเท่าไร เดี๋ยวนี้ความถูกต้องถึง ๘ ประการเอามาฟั่นเข้าเป็นเชือกเส้นเดียวคือ อริยมรรค มีองค์ ๘ เรียกว่าเป็นโสตา คือเป็นกระแสแห่งพระนิพพาน เป็นเกลียวที่จะไหลไปสู่พระนิพพาน นี่อริยมรรคมีองค์ ๘ นั่นแหละคือ โสดา หรือ โสตา เป็นเกลียวหรือเป็นกระแสแห่งพระนิพพาน ใครมาถึงเกลียวนี้ก็เรียกว่าเป็นพระโสดาบัน เที่ยงแท้ต่อพระนิพพาน แน่นอนที่จะบรรลุนิพพาน แล้วก็ดำเนินไปตามลำดับเป็นพระสกิทาคามี อนาคามี กระทั่งเป็นพระอรหันต์ คือไปได้จนถึงสุดปลายทางของอริยมรรค
ความถูกต้อง ๘ องค์รวมกันเป็นอริยมรรคนี้ เราเรียกว่าตัวธรรม เป็นที่สรุปรวมคำว่าธรรมในพระพุทธศาสนา เรียกอีกชื่อหนึ่งว่ามัชฌิมาปฏิปทา เป็นหนทางปฏิบัติในสายกลาง ไม่เหวี่ยงไปในทางกามอันเปียกแฉะ ไม่เหวี่ยงไปในทางการทรมานกายอันไหม้เกรียม ท่านตรัสว่าไม่เปียกแฉะแล้วก็ไม่ไหม้เกรียม มันอยู่ตรงกลางพอดีๆ เป็นความถูกต้องอย่างนี้เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา ท่านทั้งหลายจงถือเอาหลักแห่งความถูกต้อง ๘ ประการนี้สำหรับประพฤติปฏิบัติเถิด คือให้อยู่เป็นมัชฌิมาปฏิปทา ที่ตรงกลาง ไม่ซ้ายไม่ขวา และไม่สุดเหวี่ยงข้างนั้นข้างนี้ ดำรงอยู่ในความถูกต้องที่ตรงกลางก็เรียกว่ามีธรรมะ
ทีนี้มาเหลียวดูโลกปัจจุบันนี้ มันเหวี่ยงไปในทางซ้าย ในทางเปียกแฉะ คือ ไปหลงใหลอยู่ในอารมณ์ของกิเลสของกามารมณ์ ระดมติดเหยื่อของกามารมณ์กันขึ้นเต็มไปทั่วทุกหัวระแหง จนคนเหล่านั้นลุ่มหลงในกามารมณ์ ไม่ถือหลักธรรมะ แต่ถือกิเลสของตัวเองเป็นใหญ่ มันก็ประกอบอาชญากรรมอันเลวร้ายจนเดือดร้อนกันไปทั่วทุกหัวระแหง แม้ในเมืองหลวง แม้กลางวันแสกๆ กลางถนนหนทาง ก็ยังมีอาชญากรรมอันเลวร้าย เพราะว่ามันไม่มีธรรมะ ถ้ามีธรรมะมันก็จะปกติ สงบ เยือกเย็น ไม่มีอันตรายเหมือนกับในป่าในดงตามธรรมชาติ ซึ่งสงบอยู่ตามธรรมชาติ
เดี๋ยวนี้เราก็มานั่งอยู่ในท่ามกลางธรรมชาติอันสงบ จงได้รู้สึกในรสของความสงบ ซึ่งเป็นรสของพระธรรม สงบนอกกายก็ได้ สงบภายใน คือสงบจิตก็ได้ สงบทางสติปัญญา มีความรู้อันถูกต้อง ไม่วุ่นวายระส่ำระสายก็ได้ เรียกว่าสงบกาย เรียกว่าสงบจิต เรียกว่าสงบทิฐิ ก็เป็นความสงบครบถ้วน ท่านจงสนใจคำว่าสงบ ซึ่งเป็นความหมายของคำว่าพระนิพพาน คือ เย็น ไม่มีความร้อนเหลืออยู่ เป็นจุดมุ่งหมายปลายทางของการปฏิบัติธรรมะในพระพุทธศาสนา ธรรมะสำหรับเรียน เราก็เรียน ธรรมะสำหรับปฏิบัติ เราก็ปฏิบัติ ธรรมะที่เป็นผลของการปฏิบัติ เราก็ได้ชิมอยู่ ดื่มอยู่ นี่ธรรมะ สำหรับเรียนก็เรียนไป สำหรับปฏิบัติก็ปฏิบัติไป เกิดเป็นผลขึ้นมาแล้วก็ชิม ก็ดื่ม ก็กินรสของธรรมะนั้นเป็นความสงบ เป็นความดับทุกข์อย่างยิ่ง เรียกว่า อมฤตธรรม หรือ น้ำอมฤต ก็แล้วแต่จะชอบ
วันนี้เป็นวันที่ระลึกแก่พระธรรม ก็เป็นวันที่พระพุทธองค์ได้ทรงเปิดเผยพระธรรมขึ้นในโลกเป็นครั้งแรก เราสำนึกในพระคุณ ในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ จึงมาประชุมกันที่นี่ ทำในใจถึงเหตุการณ์อันนี้ ว่าได้เกิดขึ้นแล้วในวันเช่นวันนี้ เมื่อสองพันกว่าปีมาแล้วนู้นอย่างไร ในใจก็มีศรัทธาประสาทะเลื่อมใส ปีติปราโมทย์ในการที่ได้มีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา มาประชุมกันที่นี่ หวังจะเฉลิมฉลองเหตุการณ์อันสำคัญที่สุดที่เรียกว่าอาสาฬหบูชา เป็นการบูชาที่จัดทำขึ้นเพื่อบูชาแก่พระพุทธองค์ เป็นข้อแรกก่อนว่าพระองค์ได้ตรัสพระธรรมในวันนี้ แล้วก็บูชาแก่พระธรรมที่พระองค์ได้ตรัสอีกครั้งหนึ่ง อีกส่วนหนึ่ง แล้วก็บูชาแก่พระสงฆ์ผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมนี้ และสืบไว้เป็นมรดกตกทอดมาถึงพวกเรา
ขอให้การบูชาของเราในวันนี้ บูชาพระพุทธองค์ก่อนว่าได้ตรัสรู้พระธรรม และเปิดเผยขึ้นมาในวันนี้ แล้วก็บูชาพระธรรมที่พระองค์ได้เปิดเผยขึ้นในวันนี้ เป็นที่พึ่งของสัตว์โลกและเป็นที่เคารพของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ครั้นแล้วก็บูชาพระสงฆ์สาวกของพระพุทธองค์ที่สืบอายุพระธรรม สืบๆ กันมาจนถึงเรา เราได้รับพระธรรม ก็แปลว่าเราได้มีพระพุทธ ได้มีพระธรรม ได้มีพระสงฆ์กันในลักษณะอย่างนี้
วันนี้มายินดีปรีดาปราโมทย์ทำพิธีอาสาฬหบูชาด้วยจิตใจที่แจ่มแจ้งอยู่ในเหตุการณ์อันนี้ ในความจริงอันนี้ มีปีติปราโมทย์ราวกับว่าเราได้ไปนั่งแอบดูว่าพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงอนุตตรธรรมจักรแก่ภิกษุปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนะนั้นในลักษณะอย่างไร เราได้ไปแอบดู เราก็มีปีติปราโมทย์เป็นอย่างยิ่ง ขอให้ทำในใจเหมือนอย่างนี้เถิดในวันนี้ แม้ว่าในสถานที่นี้ มันก็เหมือนกับว่าได้ไปแอบดูพระพุทธองค์ทรงแสดงพระธรรมแก่ภิกษุปัญจวัคคีย์ ในใจแจ่มแจ้งอยู่อย่างยิ่งต่อสิ่งที่เรียกว่าอนุตตรธรรมจักร หรือมัชฌิมาปฏิปทา ระลึกอยู่ถึงข้อที่พระศาสดาทรงแสดงธรรมนี้แก่ภิกษุปัญจวัคคีย์ แล้วเราก็มานั่งอยู่ในป่ากลางพื้นดินเช่นเดียวกัน ให้มันเป็นการง่ายในการที่จะเข้าถึงหรือเข้าใจว่าพระธรรมนี้เป็นอย่างไร มีลักษณะเป็นธรรมชาติอย่างไร ท่านทรงแสดงกันในป่าอันสงบสงัดอยู่ตามธรรมชาตินั้นอย่างไร ขอให้เหตุการณ์ต่างๆ ในวันนี้จงได้เป็นไปในลักษณะอย่างนั้นทุกประการเถิด
นี่แหละคือธรรมเทศนาที่อาตมาได้แสดงเป็นพิเศษปรารภเหตุในวันนี้ เพื่อตระเตรียมจิตใจของท่านทั้งหลายทุกคนให้ตั้งตนไว้ในความเหมาะสม เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะทำพิธีอาสาฬหบูชา เมื่อทำไปอย่างถูกต้องและเหมาะสมอย่างยิ่งแล้ว ย่อมประสบผลอานิสงส์เป็นอันมากโดยไม่ต้องสงสัยเลย ขอให้ท่านทั้งหลายอย่าได้เป็นผู้ประมาท จงมีสติสัมปชัญญะ มีความปรกติแห่งความรู้สึกนึกคิดทำในใจถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์โดยนัยดังที่กล่าวมา เพื่อประกอบพิธีอาสาฬหบูชาสืบต่อไป ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้.