แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
(เสียงท่านพุทธทาส) ท่านที่เป็นราชภัฏผู้ลาบวชทั้งหลาย ในการบรรยายเป็นครั้งที่ ๑๔ ในวันนี้ ผมจะพูดโดยหัวข้อว่าผลพลอยได้ที่เนื่องถึงกันและกันในโลก ข้อนี้ขอให้ทบทวนถึงเรื่องที่ได้ขอให้ทดสอบเนื่องด้วยการบวชของแต่ละคน ๆ ว่าการบวชของเราทำให้เกิดผลพลอยได้ไปยังผู้อื่นโดยไม่ได้ตั้งใจเจาะจงนั้นก็มีอยู่อย่างไรบ้าง ที่พลอยได้โดยเจาะจงโดยตั้งใจนั้นมันก็ไม่สู้น่าอัศจรรย์ ขอให้นึกถึงผลพลอยได้ที่มันได้มากได้กว้างขวาง เหลือประมาณโดยไม่ได้ตั้งใจ ถ้าว่าที่จริงความตั้งใจมันก็ไปไม่ได้ไกล ที่ไม่ได้ตั้งใจบางอย่างมันมีมากกว่าที่เราตั้งใจ นี่ก็เป็นผลพลอยได้ที่น่าสนใจที่สุด ก็เนื่องถึงกันและกัน กระทั่งมันทั่วไปในโลก เมื่อพูดถึงผลพลอยได้จากการบวชของเรา ก็จะดูเลยไปถึงผลพลอยได้อย่างทั่วถึงหรือทุกอย่างจะดีกว่า
สำหรับการบวชนั้นก็ได้พูดกันแล้วว่า ถ้าการบวชนั้นประสบความสำเร็จ มันก็มีผลพลอยได้ เช่นจะทำให้มีผู้พลอยรู้ พลอยชื่นชม พลอยได้ประโยชน์ นี่เป็นเรื่องที่ต้องทบทวนก่อนว่าการบวชของเรานี้มันทำให้มีผู้พลอยรู้ คือรู้อะไรมากขึ้นเพราะการบวชของเรา พลอยชื่นชมยินดีได้บุญได้กุศลที่เป็นเรื่องทางจิตใจ นี่ก็พลอยได้รับประโยชน์อย่างต่ำอย่างสูงโดยตรงโดยอ้อมอะไรอีกบ้าง จะต้องหาให้พบว่าการบวชของเรามันต้องมีผลในส่วนนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วก็จะรู้สึก ควรจะถือว่ามันน้อยเกินไป ได้น้อยเกินไป ตามปกติการบวชนี้จะมีผลพลอยได้เหลือประมาณแก่ผู้อื่น ขอให้ทดสอบดูให้ดี เป็นสิ่งที่ควรจะทดสอบอย่างยิ่ง อย่าปล่อยให้เป็นเรื่องงมงาย ลับเลือนไป พยายามขุดค้นขึ้นมาให้ได้ คือให้ประจักษ์อยู่แก่ของใจเราว่าบวชทั้งทีมันมีผลพลอยได้อีกมากมายนอกจากผลโดยตรงแล้ว ยิ่งถ้าได้ขยายผลพลอยได้ให้กว้างออกไปอีก เพราะยังมีทำ ยังมีทางที่จะทำได้อีกมาก ฉะนั้นผมจึงได้หยิบเอาเรื่องนี้มาพูด และขอร้องให้พิจารณากันถึงเรื่องนี้
ทีนี้ก็เป็นอย่างที่กล่าวแล้วว่า ถ้าจะพูดกันงเรื่องอะไรก็พูดกันเสียสิ้นเชิง เป็นเรื่อง ๆ กันเลยดีกว่า คือจะไม่พูดเฉพาะกันในวงแคบที่เกี่ยวกับการบวชส่วนบุคคลเพียงคนเดียว ทีนี้ก็ตั้งบทเบิกโรงขึ้นมาโดยพิจารณากันถึงคำว่ามันเป็นการได้จากอะไร หมายความว่าผลพลอยได้ที่ว่าพลอยได้ มันได้จากอะไร จากอะไรกันก่อน เมื่อมองดูตามธรรมดาไม่เกี่ยวกับนั้นนี่โดยเฉพาะ เราก็ควรจะพูดได้ว่า พลอยได้ หนึ่งจากการที่มีอยู่ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง สองจากการกระทำของผู้ใดผู้หนึ่ง จากการประสบความสำเร็จ สามจากการประสบความสำเร็จจากการกระทำของผู้ใดผู้หนึ่ง นี่จะถือว่ามันเป็นหลักทั่วไปใช้สำหรับมอง เพียงแต่การมีอยู่ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งเท่านั้น มันก็มีผลพลอยได้เสียแล้ว การมีอยู่ของดวงอาทิตย์นี่ ก็ไม่ได้มีอยู่เพื่อเรา ก็อยู่ตามประสาของดวงอาทิตย์ มันก็ได้ประโยชน์จากการมีอยู่ของดวงอาทิตย์เป็นต้น การมีอยู่แห่งศาสนา การมีอยู่แห่งภิกษุเป็นผลพลอยได้ไปถึงพวกที่เขาไม่ได้นับถือศาสนานี้ คือไม่เคยมาบวชเลยก็ได้ มันอยู่ในโลกร่วมกันมันเนื่องถึงกัน นี้เรียกว่ามันได้จากการที่มีอยู่ของสิ่งนั้น ๆ เพราะมันมีอะไร ๆ อยู่ในโลกก็ได้รับประโยชน์จากการที่สิ่งนั้นมันมีอยู่ในโลก
ทีนี้จะมองในมุมกลับมันก็แปลกออกไป ตรงที่ว่ามันกลับตรงกันข้าม คือเป็นผลพลอยได้จากการที่ไม่มีอยู่ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง นี่มันก็ตรงกันข้ามกับการมีอยู่ ถ้าการมีอยู่เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดผลพลอยได้อย่างหนึ่ง ๆ นี้การไม่มีอยู่ของสิ่งนั้นก็ทำให้เกิดผลพลอยได้อีกอย่างหนึ่งเป็นแน่นอน ถ้าว่าไม่มีดวงอาทิตย์ ผลอื่นก็จะเกิดขึ้นในทางตรงกันข้าม ไม่มีศาสนา ไม่มีธรรมะ หรือว่าไม่มีเสือไม่มียุงไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมันก็ต้องมีผลอย่างใดอย่างหนึ่งมากเหมือนกัน ฉะนั้นดูให้ดีว่าการมีอยู่แห่งอะไรและการไม่มีอยู่แห่งอะไรทำให้เกิดผลอะไรขึ้นมา แต่ส่วนใหญ่เราจะมองกันแต่ด้านที่มันมีอยู่ ไม่ค่อยจะมองแต่ด้านที่มันไม่มีอยู่ นี้การกระทำก็เหมือนกันอีกนั่นแหละ เพราะมีการกระทำของใครหรือของสิ่งใดก็ยังได้ มันก็มีผลอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา นี้เพราะละเว้นไม่กระทำหรือไม่ได้มีการกระทำสิ่งนั้น มันก็มีผลอย่างอื่น ถ้าเรากระทำบาป มันก็มีผลอย่างหนึ่ง ถ้าเราไม่กระทำบาป มันก็มีผลอีกอย่างหนึ่ง หรือว่าถ้าคนงานในโลกนี้ เขาทำงานกันในโลกนี้ก็มีผลอย่างหนึ่ง ถ้าเกิดเขาไม่ทำงานขึ้นมา มันก็มีผลอีกอย่างหนึ่ง ถ้ามันไม่เป็นเรื่องที่เจตนาโดยตรงแก่ใคร แล้วก็จะเรียกว่าผลพลอยได้สำหรับคนนั้น
ทีนี้การกระทำนั้นมันไม่แน่ว่าจะได้ผลหรือว่าไม่ได้ผล ถ้ามันได้ผล มันก็มีผลพลอยได้อย่างอื่นออกไป ถ้ามันไม่ได้ผล มันก็ได้ผลอย่างอื่นซึ่งเป็นผลที่ไม่พึงปรารถนา แต่ก็เรียกว่าเป็นผล แต่บางทีคำพูดมันก็กำกวม เช่นการกระทำที่ไม่ประสบผลสำเร็จของข้าศึก เราก็ได้ผลดี ข้าศึกกระทำงานของเขาไม่สำเร็จเราก็ได้ผลดีคือข้าศึกกระทำอะไรแก่เราไม่ได้ นี่เพียงแต่ต้องการให้มองดู ให้เหลือบมองดูให้ทั่วทุกแง่ทุกมุมเกี่ยวกับสิ่งที่มันมีผลเห็นเนื่องถึงกันไปหมด นี่ นี่เป็นคำพูดกลาง ๆ ถ้าเราจะมองอะไรให้หมดให้สิ้น เราก็ต้องใช้หลักกลาง ๆ กันเสียก่อน นี่ในส่วนนี้ก็เป็นส่วนคำพูด
ทีนี้ว่าได้ผลจากการมีอยู่ เป็นต้นนี้ ก็จะดูต่อไปว่าได้ผลจากการมีอยู่ของใคร แต่พวกที่จะต้องดูต่อไปคือดูว่าของใครหรือของอะไร ก็จะได้ความขึ้นมาว่าจากการมีอยู่ของใคร จากการกระทำของใคร จากการทำไม่ได้ผลของใครหรือทำได้ผลของใคร ก็ดูว่าเรามันเกี่ยวข้องกับอะไรหรือเนื่องกันอยู่กับอะไร แต่ว่าที่จริงในสมัยนี้ ในโลกแห่งยุคปัจจุบันนี้อะไร ๆ มันเนื่องกันมากขึ้นไปกว่าแต่สมัยโบราณมาก นี่เราจะพูดในวงแคบ และผลที่จะได้ที่น่าเป็นที่พอใจของการมีอยู่แห่งความเป็นพุทธบริษัทกันดีกว่า ขั้นแรกจะเล็งถึงความเป็นพุทธบริษัท ความเป็นพุทธบริษัทมันมีอยู่ มีอยู่ที่ไหนก็ตาม มันจะมีผลพลอยได้กว้างขวางมากมายนัก ควรจะดูกันที่ความหมายของคำว่าความเป็นพุทธบริษัทนั่นเอง บางทีเพราะเรามันสนใจเรื่องของเราน้อยเกินไป ก็ยิ่งสนใจเรื่องอื่นที่กว้างไปน้อยไปเสียอีก น้อยไปกว่านั้นอีก แม้แต่ความเป็นพุทธบริษัทของเรา เราก็ยังไม่สนใจ เรามักจะใช้เวลาหัวเราะ เล่นหัว สวรลเสเฮฮากันเสียมากเหมือนกัน หรือเมื่อสนทนากันก็ไม่ค่อยสนทนากันถึงเรื่องที่ควรจะสนทนา เป็นเรื่องสวรลเสเฮฮาเสียหมด ถ้าสนทนากันเรื่องความเป็นพุทธบริษัทก็ดี เพราะว่าความเป็นภิกษุนี่ก็เป็นความเป็นพุทธบริษัทอยู่ชนิดหนึ่ง ที่จริงความเป็นพุทธบริษัทนั้นขยายไปถึงภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา และถ้าดูแต่ใจความของคำว่าพุทธบริษัทแล้ว มันก็เหมือน ๆ กันอยู่ในส่วนใจความ ใจความคือคำว่าพุทธะนั่นเอง พุทธะนี่เป็นคำธรรมดาสามัญก็แปลว่าตื่นนอน ถ้าเป็นภาษาชาวบ้านที่พูดกันธรรมดาก็แปลว่าตื่นนอน แต่พอมาเป็นเรื่องทางจิตทางวิญญาณทางศาสนานี้ก็แปลว่าผู้รู้หรือผู้ตื่นหรือผู้เบิกบาน ถ้าจะใช้คำว่าตื่นนอนก็คือตื่นจากหลับกล่าวคือกิเลส มันมีการนอนหลับทางวิญญาณอีกชนิดหนึ่ง เขาเรียกว่า กิเลสนิทรา กิเลสนิทรา กิเลสนิทรา หลับด้วยอำนาจแห่งกิเลส ทุกคนธรรมดาก็หลับอยู่ด้วยกิเลสนิทราไม่เคยตื่น ถ้าตื่นก็เป็นพุทธะขึ้นมา จะปลุกให้ตื่นกันสักทีก็ทั้งยาก อุตส่าห์มาบวชทั้งทีนี้ก็เพื่อให้มันตื่น แล้วมันจะตื่นหรือไม่ตื่นก็ดูเอาเองก็แล้วกัน ถ้ามาโลเลเหลวไหลกันเสีย มันก็ไม่มีวันตื่น จะมาบวชกี่พรรษา มันไม่ตื่น โลลัป ปะหีโน (นาทีที่ 16:25) เป็นคุณสมบัติของพระอริยสงฆ์ที่เราสวดในบททำวัตรเย็น โลลัปปะหีโน ละเสียแล้วซึ่งความโลเล ภิกษุมามีความโลเลอยู่ มันก็ไม่มีวันตื่น ทางวัตถุธรรมดาคือตื่นนอน ในทางธรรมะก็คือตื่นจากหลับคือกิเลส นี่คือพุทธะ
ฉะนั้นคำว่ารู้เป็นความหมายที่สองออกไป ความหมายที่หนึ่งคือตื่น ตื่นนอน พอตื่นนอนก็รู้ มันไม่หลับก็ต้องรู้นั่นรู้นี่รู้อะไรก็ไป ผู้ตื่นแล้วก็เป็นผู้รู้ เรื่องทางโลก ๆ ก็รู้กิน รู้ถ่ายรู้อาบ รู้อะไร รู้อาชีพ รู้อะไรไป แต่ในทางจิตทางวิญญาณก็รู้เรื่องไม่มีกิเลสนั่น รู้เรื่องทำลายกิเลสให้หมดไป คือความรู้ที่แท้จริง รู้ว่าทุกข์เป็นอย่างไร เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างไร ความดับสนิทแห่งทุกข์เป็นอย่างไร ทางถึงความดับสนิทแห่งทุกข์เป็นอย่างไร นี่เรียกว่ารู้ อย่าไปใช้คำพูดอย่างอื่น ถ้าถูกถามเกี่ยวกับรู้ รู้ของพุทธบริษัท ของพระพุทธเจ้านี่ ให้รู้ไอ้ ๔ อย่างนี้เสมอไป ถ้ามีอวิชชาครอบงำ มันก็ไม่รู้ ๔ อย่างนี้ได้ ทำลายอวิชชาเสียได้ มันก็รู้ ๔ อย่างนี้ได้คือรู้อริยสัจ ๔ พอรู้แล้วมันก็เบิกบาน ก็มันไม่มีทุกข์ มันก็เบิกบาน เบิกบานด้วยวิชชา เบิกบานด้วยปัญญา เบิกบานด้วยแสงสว่างแห่งพระธรรม เบิกบานเหมือนดอกไม้บาน แต่เป็นเรื่องทางวิญญาณ หมายถึงมีความสุขโดยเฉพาะก็คือคำว่าเกษม คำที่ควรจะสนใจไว้คือคำว่าเขมะ เขมะแปลว่าเกษม เกษมก็ เกษมจากโยคะ เกษมจากกิเลส เกษมนี้มีค่าเท่ากับว่าเป็นอิสระด้วย ก็ไม่มีอะไรที่มาทำให้เราตกอยู่ใต้อำนาจ เขาเรียกว่าเกษม ปลอดภัย พุทธบริษัทก็คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นี้เราเรียงกันอยู่ เรียงคำพูดกันอยู่อย่างนี้ ที่ถูกควรเรียงว่าผู้ตื่น ผู้รู้ ผู้เบิกบานจะถูกกับเรื่องมากกว่า ก็ไปขยับขยายเอาเองก็แล้วกัน ความเป็นพุทธบริษัทก็หมายถึงความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้าความเป็นพุทธบริษัทมันมีอยู่ในโลก มันก็มีผลให้ผู้อื่นพลอยได้ สิ่งที่ควรจะได้ จะได้อะไรบ้างก็ดูการกระทำของพุทธบริษัท การกระทำของพุทธบริษัทนั่นเอง ถ้าพุทธบริษัทเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันก็ต้องช่วยให้ผู้อื่นได้รู้ได้ตื่นได้เบิกบานตรงตามตัว
ทีนี้จะดูให้ละเอียดออกไปอีกเสียหน่อย นอกจากจะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้วก็ยังต้องเป็นผู้ประสบความสำเร็จในหน้าที่ของตน คำว่ารู้ว่าตื่น ว่าเบิกบานนี้ไม่จำเป็นจะต้องหมายถึงในระดับสูงสุดเสมอไป แต่หมายถึงระดับสูงสุดด้วย ฉะนั้นเรามีหน้าที่ที่จะประพฤติกระทำให้รู้ให้ตื่นให้เบิกบานอยู่ตลอดเวลาที่ยังไม่ ไม่รู้ไม่ตื่นไม่เบิกบานถึงที่สุด นี้ก็มีการประสบความสำเร็จในหน้าที่นี้อยู่ตามสมควร อย่างน้อยที่สุดก็เป็นผู้ได้บุญ มีบุญและได้บุญ เพราะฉะนั้นมันจึงให้ความชื่นชมพอใจยินดีแก่ผู้อื่นได้ด้วย
นี้นัยที่สาม พุทธบริษัทเขาเป็นผู้มีเมตตากรุณา บำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์อยู่เสมอ เพราะฉะนั้นก็เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้พลอยรับประโยชน์โดยตรงจะเป็นประโยชน์อะไรก็ตาม เป็นวัตถุก็ได้ เป็นเรื่องนามธรรมเช่น ความรู้ความฉลาดหรือประโยชน์สุข มรรคผลนิพพานก็ได้ นี่ความเป็นพุทธบริษัทมีอยู่ที่ไหน คนข้างเคียงก็จะพลอยได้สิ่งเหล่านี้ จะได้ความรู้ ความตื่น ความเบิกบานและก็ได้ความชื่นชม เพราะว่ามีความสำเร็จได้เห็นเป็นตัวอย่าง แล้วก็ได้ประโยชน์นานาชนิด นานาแบบ หลาย ๆ ระดับอยู่ทั่ว ๆ ไป อย่างว่ามีวัดวาอารามที่ต้องตามวัตถุประสงค์อยู่สักวัดหนึ่ง มันจะได้อะไรบ้างก็ไปคิดดูก็แล้วกัน ฉะนั้นความเป็นพุทธบริษัทมีอยู่ที่ไหน มันทำให้เกิดผลพลอยได้โดยไม่เจตนา หลาย ๆ อย่างอย่างนี้เพราะความมีอยู่ของพุทธบริษัท นี่ถ้าดูที่เพราะการกระทำของพุทธบริษัท มันก็ยิ่งเห็นได้ว่า ให้คนอื่นเขาได้รับตัวอย่าง เห็นตัวอย่างอยู่ ถ้าพุทธบริษัทได้รับผลของการปฏิบัติก็เป็นเครื่องจูงใจที่ดียิ่งขึ้นไปอีก มีความสุขให้ดู นี้ถ้าไม่มีพุทธบริษัทก็มีผลเหมือนกันแต่มันเป็นผลที่ตรงกันข้าม ไม่มีการกระทำของพุทธบริษัท ไม่มีการได้รับผลของพุทธบริษัทมันก็มีผลเกิดขึ้นเหมือนกันแหละ แต่มันเป็นผลทางตรงกันข้าม แล้วไม่พึงปรารถนา เราเลยไม่ได้รับ ไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากการไม่มีอยู่ของพุทธบริษัท
ทีนี้จะดูให้แคบเข้ามาสักหน่อยคือดูพวกเราโดยตรงที่เป็นภิกษุ คำว่าพุทธบริษัทมันกว้างนัก ดูให้แคบเข้ามาดีกว่า ความเป็นภิกษุโดยตรงของเราและโดยเฉพาะที่ลาบวชในระยะสั้น มีความเป็นภิกษุอยู่อย่างนี้ มันจะมีผลอะไรเกิดขึ้นแก่เรา มันก็เป็นผลพลอยได้แผ่ออกไปถึงผู้อื่น โดยไม่ได้เจตนาและจะไม่ได้รู้จักไม่ได้พบเห็นกันด้วยซ้ำไป ถ้าอย่างนี้เราก็ต้องดูกันในชั้นแรกเสียก่อนว่า ภิกษุนั้นทำอะไรบ้าง ถ้าเป็นภิกษุจริง ก็มันต้องจริงอะไรอย่างที่ว่านี้ คือบวชจริงแล้วก็เรียนจริง แล้วก็ปฏิบัติจริง แล้วก็ได้ผลจริง แล้วก็ประกาศเผยแผ่ออกไปจริง ๆ นับดูกี่จริง อย่างน้อยก็ ๕ จริง ผมพูดไอ้จริง คำจริง ๆ ๕ คำนี้ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้งแล้ว จะได้ผลสมตามที่พูดหรือไม่ก็ช่วยกันดูก็แล้วกัน ว่าบวชจริงคืออย่างไร เรียนจริงคืออย่างไร ปฏิบัติจริงคืออย่างไร ได้ผลกันจริง ๆ คืออย่างไร แล้วก็สอนกันจริง ๆ คืออย่างไร บวชจริงนี่มัน มันก็พอจะเข้าใจกันได้ บวชเหลวไหลก็มีอยู่หลายแบบมากอย่างไม่จำเป็นต้องมาพูดมันเสียเวลา คือบวชหลอกบวชเล่น นี้บวชจริงมันก็มีอยู่ ก็มีปัญหาอยู่ว่าเรามันบวชจริงกันหรือไม่ บวชในระยะสั้นก็จริง แต่มันบวชจริงก็ได้บวชไม่จริงมันก็ได้ ถ้าบวชจริงจะต้องทำอย่างไร คำตอบเรื่องนี้มีอยู่แล้วในหนังสือเรื่องนั้น ๆ เรื่องสอนผู้บวช แต่สรุปความแล้วก็ขอให้พ้นจากความเป็นฆาราวาสจริง อย่าคิดนึกใฝ่ฝันอย่างฆาราวาสอยู่เลย ในร่าง ร่างกายที่กำลังหุ้มห่อด้วยผ้า กาสายะ (นาทีที่ 26:53) มีศีรษะอันโล้นนี่ อย่ามีความรู้สึกคิดนึกอย่างฆาราวาสเหลืออยู่เลย แล้วก็เว้นสิ่งที่ควรเว้นตามสิกขาวินัยต่าง ๆ พยายามทำหน้าที่ของบรรพชิต เขาเรียกว่าบวชจริง
ทีนี้เรียนจริงล่ะ ถ้าบวชอย่างภิกษุนี้ก็ต้องเรียนอย่างภิกษุแล้วก็ต้องเรียนให้จริง ๆ อย่าคิดว่าเอาเปรียบ มาเป็นการพักผ่อนหรือเป็นอะไรอย่างนั้น แล้วก็อย่าได้คิดว่าไอ้เรียนเรื่องของภิกษุนี้ไม่มีประโยชน์ เอาไปใช้ที่บ้านที่เรือนไม่ได้ นั้นยิ่งเป็นคนหลับตา แล้วหลับตาพูดด้วยคือมันไม่จริง มันไม่ตรง เรียนอย่างภิกษุ เรียนเรื่องพระพุทธเจ้าเพื่อสิ้นกิเลสนั่นแหละ แล้วไปใช้ที่บ้านที่เรือนก็ได้ ได้อย่างไรเราก็พูดกันมาแล้วหลายครั้งหลายหนไม่ต้องพูดอีกแล้ว โดยเฉพาะเรื่องการบังคับตัว การไม่อยู่ใต้อำนาจของกิเลส มันใช้อยู่เสมอ วิชาความรู้เรื่องโลกเรื่องอะไรก็เรียน เรียน เรียนกันอยู่แล้วอีกแผนกหนึ่งแล้ว มันเป็นเรื่องของร่างกายทั้งนั้น อย่างดีก็แค่กิน กาม เกียรติ พูดกันอย่างนี้ตรง ๆ ถ้าเรียนกันเรื่องของภิกษุ ของศาสนานี้มันเพื่อจิตเพื่อวิญญาณในระดับที่สูงไปกว่านั้น ขอให้เรียนจริงในระหว่างที่เป็นเพศบรรพชิต แล้วก็จะรู้อะไรมาก สำหรับไปใช้เป็นประโยชน์เมื่อกลับออกไปครองเรือนตลอดชีวิตเลย
นี้เรียนจริงแล้วก็มาถึงปฏิบัติจริง นี้ก็เห็นกันอยู่ว่าไม่ค่อยได้ปฏิบัติจริง ที่ว่าไม่จริงมัน มัน มันก็คือไม่จริง คือบังคับตัวไม่ได้ พ่ายแพ้แก่กิเลส เอาแต่ความสะดวกสบาย มันมารวมอยู่ที่นี้ทั้งนั้นแหละ ไอ้การปฏิบัติที่ไม่จริง คือโลเล เอาตามอำนาจของกิเลส ถ้ามันเคร่งครัดไปตามธรรมวินัย มันก็เป็นการปฏิบัติจริง เมื่อปฏิบัติจริง ก็ได้ผลจริงคือตรงตามนั้น เดี๋ยวนี้บวชแล้วปฏิบัติไม่จริง มันก็ได้ผลไม่จริง ก็ดูเอาเองก็แล้วกันว่าได้ผลไม่จริงคือได้อย่างไร ไม่ตรงตามที่พระพุทธเจ้าประสงค์ เรามันเข้าใจผิดในข้อนี้กันมากเหลือเกิน คือข้อที่พระพุทธเจ้าท่านท่านตรัสว่าไอ้พรหมจรรย์นี้มันมีวิมุตติหลุดพ้นจากกิเลสเป็นประโยชน์ เป็นที่มุ่งหมาย แต่เดี๋ยวนี้เรามาประพฤติพรหมจรรย์นี้ เพื่อลาภ เพื่อสักการะ เพื่อสรรเสริญ เพื่อเกียรติยศเสีย มันเป็นเสียอย่างนี้ และครูบาอาจารย์บางคนก็มักจะสอนอย่างนั้น แม้สอนพระนี้ ก็สอนให้ปฏิบัติแล้วก็จะได้มีลาภ มีสักการะ มีชื่อเสียง สอนเสียเท่านั้น ที่จริงพระไม่ได้มุ่งหมายอย่างนั้น มุ่งหมายตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าพรหมจรรย์นี้มีวิมุตติเป็นอานิสงส์ หลุดพ้นจากกิเลสและทุกข์เป็นอานิสงส์ ลาภ สักการะ เลยเป็นของสกปรกน่าขยะแขยง แล้วก็ปฏิบัติเพียงศีลนี่ เป็นผิวแห้ง ๆ ของต้นไม้โน่น ปฏิบัติสมาธิมันก็เพียงเปลือกของต้นไม้ ปฏิบัติเป็นญาณทัศนะรู้อะไร ๆ นี้ แต่ไม่ถึงกับวิมุตติ ญาณทัศนะเหล่านั้นก็เป็นกระพี้ของต้นไม้ไม่ถึงแก่น ถ้าแก่นของต้นไม้ก็คือวิมุตติ หลุดพ้นจากกิเลส จากทุกข์ทั้งปวง ผลที่แท้จริงของการปฏิบัติมันอยู่ที่นั่นไม่ใช่เพียงมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา นี้ท่านตรัสเป็นเพียงเปลือก เพียงกระพี้ เพียงเปลือกแห้ง เปลือกนอกและกับกระพี้ เปลือกในและกระพี้ ยังไม่ใช่ตัวแก่นของพรหมจรรย์ ต้องดับทุกข์ได้จึงจะถึงจุดวัตถุประสงค์ของพรหมจรรย์ ถ้าว่าได้ผลจริงก็ต้องดับทุกข์ได้ตามความมุ่งหมายทางจิตทางวิญญาณ ไม่ใช่ว่าเป็นผู้มีชื่อเสียงและร่ำรวยโดยลาภสักการะ มีคนบำรุงบำเรอ
นี้ได้ผลจริง ก็ยังมีหน้าที่ต่อไปก็คือประกาศ คือทำให้ผู้อื่นเป็นอย่างนั้นบ้าง เขาเรียกว่าประกาศออกไป ประกาศพรหมจรรย์ ประกาศความเป็นอย่างที่ตัวได้ประสบแล้วให้แก่ผู้อื่นบ้าง ในเรื่องประกาศนี้ ต้องเป็นประกาศจริงคือสอนจริง เผยแผ่จริง ปฏิบัติจริง เอ้อ, ประกาศจริงเหมือนกัน แต่ไม่ใช่จริงอย่างจะเอาผลอย่างโลก ๆ ถ้าไปประกาศไปสั่งสอนเพื่อลาภ เพื่อสักการะชื่อเสียง ก็เรียกว่าประกาศเก๊หรือปลอม ต้องประกาศจริงอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านประสงค์อีกนั่นแหละ คือไปทำให้เขารู้ความดับทุกข์ ประกาศเพียงให้เขารู้มาก ๆ เป็นนักปราชญ์หรือเป็นอะไรอย่างนี้ มันก็ไม่ ไม่จริง ไม่ จริงอีก... (นาทีที่ 33:28) มันจริงในส่วนเบื้องต้น ถ้าประกาศแท้จริงก็ต้องประกาศให้บรรลุผลที่มุ่งหมายในพุทธศาสนาทีเดียว หรือว่าจะเขยิบลงมาก็ให้มันเป็นเพื่อสันติสุข สันติภาพของมนุษย์จริง ๆ เดี๋ยวนี้ก็ประกาศชนิดที่เรียกว่าทำ ๆ ไปทั้งนั้น มันไม่มีผลเป็นสันติภาพหรือสันติสุขอะไรขึ้นมาแก่ผู้ที่ฟัง แก่ผู้ที่รับประกาศ แต่ก็ยังดีคือมันจะได้มีเหลืออยู่เป็นโครงสร้างอะไรอันหนึ่งซึ่งไม่สูญหายไปเสียทีเดียว ค่อย ๆ ขยับขยายกันต่อไปจนจะได้ผลจริง ๆ ได้ นี่ภิกษุที่แท้จริงก็คือบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง สอนจริง ๆ เพื่อผลอันแท้จริงคือความดับแห่งกิเลสและความทุกข์ของสัตว์ มีความเป็นภิกษุโดยเฉพาะ การมีอยู่แห่งภิกษุชนิดนี้ มันจะมีผลอย่างไรบ้างเกือบไม่ต้องอธิบายได้ แต่เราอยากจะให้ อยากจะพูดกันถึงผลพลอยได้อีกส่วนหนึ่ง อย่างกว้างขวาง อย่างที่ไม่ได้รู้จักมักคุ้นอะไรกัน มันพลอยได้ ถ้าอย่างนี้ก็ต้องมองไปในแง่ที่ว่าการบวชของเรานั้นคือการทำให้โลกนี้มีศาสนาหรือมีธรรมะหรือเป็นการสืบอายุของบรมธรรม การบวช การบวชที่แท้จริงก็คือการทำโลกนี้ให้มีศาสนา บางคนอาจจะค้านว่าแล้วเราละจะได้ประโยชน์อะไร เมื่อไปมัวทำโลกนี้ให้มีศาสนา นี่มันหลับตามากเกิน มันเห็นแก่ตัวมากเกินไป จนมองข้ามตัวเอง ถ้าโลกนี้มีศาสนาแล้วตนจะอยู่ที่ไหน มันก็ต้องอยู่ในโลกและพลอยได้รับ ฉะนั้นการทำประโยชน์ตนด้วยการบวชนี่ มันเป็นการทำให้โลกมีศาสนา ถ้าไม่เคยทราบไอ้เรื่องง่าย ๆ หญ้าปากคอกก็ทราบเสียเสียสักหน่อยก็แล้วกันว่า ศาสนาจะมีอยู่ได้เพราะมีผู้เรียน และก็มีผู้ปฏิบัติ และก็มีผู้ได้ผลการปฏิบัติ และก็ได้สอนสืบ ๆ กันไป นั่นแหละศาสนามีอยู่ได้ด้วยเหตุนั้น ปริยัติศาสนาคือศาสนาแห่งความรู้เรื่องปริยัติ ปฏิบัติศาสนา ศาสนาที่เป็นตัวการปฏิบัติลงไปตรง ๆ แล้วปฏิเวธศาสนาคือศาสนาที่เป็นมรรคผลนิพพาน ที่เป็นผลของการปฏิบัติ ต้องมีครบทั้ง ๓ อย่างนี้จึงจะเรียกว่ามีศาสนาอยู่โดยสมบูรณ์ ถ้าภิกษุเรามีเรียนจริงปฏิบัติจริงได้ผลจริงนั่นแหละคือทำให้มีศาสนาแท้จริงโดยสมบูรณ์ แม้จะไม่มีโบสถ์วิหารวัดวาอารามพระเจดีย์อะไรก็ยังได้ มีศาสนาที่จริงกว่า มันก็มีการเรียนที่แท้จริง มีการปฏิบัติที่แท้จริง มีการได้ผลแห่งการปฏิบัติที่แท้จริง เดี๋ยวนี้ก็ละเลยส่วนนี้หรือให้ความสำคัญส่วนนี้น้อยเกินไป ไปให้ความสำคัญทางวัตถุ สวยงาม ครึกครื้นไปเสียทางนั้น แล้วเป็นเรื่องคนจำนวนคนเสียมากกว่า ไม่มามองกันที่ของจริงที่อยู่ที่ตัวการศึกษาการปฏิบัติและการได้ผลการปฏิบัติ ก็เป็นภิกษุจริงก็คือบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง สอนจริงในการกระทำนั้น ๆ ก็ทำให้มีศาสนาอยู่ในโลกนี้
ทีนี้มองดูอีกนิดหนึ่งต่อไปอีกก็คือว่าเป็นการสืบอายุศาสนาด้วย ทุกคนจะถือเอาเป็นช่วงตอนของตน ๆ บวช ๓ เดือนก็เป็นช่วง ๓ เดือน สืบอายุศาสนาไว้ ๓ เดือนและละออกไปเป็นฆราวาส ก็มอบคนอื่นต่อไป ส่วนตนเองก็ไปสืบอย่างฆาราวาสก็ได้ แต่สืบอย่างแท้จริงอย่างเป็นพระนี่ มันก็มีการสืบอยู่อย่างติดต่อกันมา มันจึงมาเหลือ มันจึงเหลือมาถึงเราที่ได้เรียน ได้รู้ ได้ปฏิบัติ ฉะนั้นอย่าทำเพื่อ คืออย่าคิดทำเพื่อตัวเองล้วน ๆ และก็ทำเพื่อศาสนาด้วย สืบพระศาสนาด้วยก็เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นทั้งโลก ตรงนี้เราพูดเอาเปรียบหน่อย ที่ว่าถ้าศาสนายังมีอยู่ในโลก และคนทั้งโลกก็พลอยได้รับประโยชน์ จากการที่โลกมันไม่วินาศ ฉะนั้นเขาจะมานับถือศาสนานี้หรือนับถือศาสนาอื่นก็ตาม ถ้าศาสนานี้มันทำให้โลกนี้ไม่วินาศได้ ก็เรียกได้ว่ามันเป็นประโยชน์แก่คนทุกคนหรือทุกศาสนา ซึ่งจะเป็นศาสนาไหนก็ตาม หรือคนที่ไม่มีศาสนาเลยก็ตาม ถ้าคนจำนวนหนึ่งมันมีธรรมะ มีศาสนา มีพระเจ้า มีอะไรเหล่านี้ มันประพฤติปฏิบัติดี มันคุมการประพฤติปฏิบัติดีในโลกไว้ได้พอสมควรโลกนี้ก็ไม่วินาศ แม้ว่าจะมีหลายคนที่จะพยายามจะทำให้โลกนี้วินาศ มันก็วินาศไม่ได้ เพราะพวกมันดำรงคงไว้ มันมีดีกว่ามากกว่า ฉะนั้นพวกที่จะสืบอายุศาสนาไว้นี่ต้องทำจริง มีความสามรถก็ทำได้ดีกว่า มันเปรียบเหมือนกับว่าเรือลำใหญ่ ๆ ถ้าใครสักคนหนึ่งมันเก่งพอที่จะไม่ให้เรือคว่ำลงไปได้ ทั้ง ๆ ที่บางคนหรือหลายคนเขาจะพยายามให้เรือมันคว่ำ แล้วก็มีคนที่เก่งพอที่จะไม่ไห้เรือมันคว่ำได้แล้วก็ปลอดภัยไป และลูกเล็กเด็กแดงในนั้นก็พลอยปลอดภัยไป เขาให้ถืออุปมาอย่างนี้ว่ามีศาสนานี้ก็เหมือนกับมันมีเครื่องคุ้มครองโลกอยู่ในโลกพอสมควร แล้วโลกทั้งโลกก็ปลอดภัย แม้ว่ามีคนอันธพาลอยู่ในโลกก็ทำให้โลกนี้ให้วินาศไม่ได้ ก็เลยเป็นประโยชน์แก่ทุกคน แก่คนที่หวังดีหรือหวังร้ายหรือว่าแม้แต่ลูกเล็กเด็กแดงที่ยังไม่รู้หวังอะไร คิดอย่างนี้จึงเป็นจะคนไม่เห็นแก่ตัว เรียกว่ามีความรู้สมกับเป็นมนุษย์ที่มีใจสูง ถ้าไปเรียนมามาก ๆ เพื่อเห็นแก่ตัว เพื่อเห็นแก่ปากแก่ท้องของตัว แล้วก็มันก็ไม่เป็นมนุษย์ที่มีใจสูงไปได้ มันเป็นเรื่องเห็นแก่ตัวทั้งนั้น จะเรียนให้มากจนตาย มันก็เป็นเรื่องเห็นแก่ตัวทั้งนั้นแหละ ฉะนั้นต้องมาเรียนเรื่องนี้กันเสียบ้าง เรื่องที่ไม่เห็นแก่ตัว แล้วก็มีศาสนา แล้วก็สืบอายุศาสนา แล้วก็เป็นพุทธบริษัทเอง ไม่ต้อง ไม่ต้องติดฉลาก ไม่ต้องแขวนป้าย
ฉะนั้นเราจึงถือว่าความมีอยู่แห่งพุทธศาสนาหรือพุทธบริษัทก็ตาม มันมีผลพลอยได้กระจายไปทั่วโลกอย่างนี้ ผลพลอยได้ที่ได้แก่บิดามารดาบุตรภรรยาที่เขาอยู่ที่บ้านที่ ไม่ได้มาบวชนั้นมันน้อยนัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ค่อยจะได้ เพราะทำกันไม่ค่อยจะถูกเรื่อง ก็ทำให้มันถูกเรื่อง มีหน้าที่ที่จะต้องให้เขาได้ก่อนก็ต้องได้ก่อน แต่ว่าส่วนใหญ่ต้องให้มนุษย์ทั้งหลายได้ ก็ต้องไปพูดกันถึงพระพุทธภาษิตบทหนึ่งที่ตรัสว่า บุรุษอาชาไนยเมื่อเกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลาย รวมทั้งเทวดาและมนุษย์ ใช้คำว่า บุรุษอาชาไนยเมื่อเกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งเทวดาและมนุษย์ คำพูดนั้นมันหมายถึงพระองค์เอง แต่ว่าเป็นคำที่กล่าวไว้เป็นกลาง ๆ ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ไหนก็ได้ ก็ยังกลางถึงกับว่าบุรุษอาชาไนยตัวน้อย ๆ ก็ได้ มันก็เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นทั้งเทวดาและมนุษย์ด้วยเหมือนกัน บุรุษอาชาไนยก็คือยอดของบุรุษ คำว่าอาชาไนยก็หมายถึงรู้ง่าย รู้เร็ว รู้ได้ถึงที่สุด เป็นสัตว์เดรัจฉานก็เป็นอาชาไนยไปตามแบบของสัตว์เดรัจฉาน แต่เดี๋ยวนี้อาชาไนยอย่างมนุษย์รู้เร็ว รู้ง่าย รู้ถึงที่สุด เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่าไปในเครือเดียวกัน เป็นพระอรหันต์ เป็นอะไรก็ตาม ถ้าเป็นบุรุษอาชาไนยแล้ว มันก็ต้องเกิดขึ้นเพื่อเป็นประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งเทวดาและมนุษย์ นี่เราก็เป็นสมาชิกของท่าน ก็พยายามทำตนเป็นอาชาไนยเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปตามเรื่อง ตามความสามารถ ให้มันมีชีวิตอยู่เพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งเทวดาและมนุษย์
เอานี้ แล้วทีนี้ก็เลยไปถึงหัวข้อที่ว่าได้แก่ใคร ผลพลอยได้นั้นได้แก่ใคร เมื่อตั้งประเด็นขึ้นมาได้แก่ใคร มันก็คือที่กำลังพูดนี่ แต่เราจะดูให้มันเป็นลดหลั่นกันลงไป ผลพลอยได้มหาศาลนี้จะได้แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งเทวดาและมนุษย์ทั่วจักรวาลเลย ทีนี้ลองไปกันได้แก่โลกนี่ โลกอย่างที่เรารู้จักในความหมายเดี๋ยวนี้ โลกนี้ ไม่ต้องโลกพระจันทน์หรือโลกอื่น แล้วแคบเข้ามาก็ได้แก่ประเทศไทยหรือบ้านเมืองของเราเองนี้ แคบลงมาอีกได้แก่ครอบครัววงศาคณาญาติของเรา ซึ่งได้แก่คนระดับเหล่านี้ มันน่าชื่นใจ ถ้าได้แล้วมันยกมือไหว้ตัวเองได้ จะได้หรือไม่ได้ต้องดูเอาเองสิ ข้อแรกที่ว่าได้แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งเทวดาและมนุษย์ หรือเรียกว่าทั่วจักรวาลนี้ มันจะมีกี่หมื่นโลกธาตุก็สุดแท้ เกี่ยวกับเรื่องนี้ผมอยากจะให้บางท่านทราบไว้ด้วย เพราะอาจจะไม่ทราบ เพราะเรียนมาอย่างอื่น คือในพระคัมภีร์ทางพุทธศาสนาก็มีคำสำหรับเรียกเหมือนกันเรียกว่าโลกธาตุ ซึ่งจะไปตรงกับคำว่า Universe หรืออะไรก็สุดแท้ของฝรั่งของไอ้คำที่เขาใช้กันอยู่ แต่เรามีคำว่าโลกธาตุ คำว่าโลกธาตุนี้มันหมายถึงกลุ่มแห่งโลกมาก ๆ และยังมีตั้ง ๑๐,๐๐๐ โลกธาตุหรือ ๓๐,๐๐๐ โลกธาตุ หรือ ๑๐,๐๐๐ กลุ่ม ๓๐,๐๐๐ กลุ่ม ประโยชน์หรืออิทธิพลหรือแสงสว่างของพระพุทธเจ้านั้นแผ่ไปทั่วทุกโลกธาตุ มันใช้คำอย่างนี้ ที่จริงมีใจความมันหมดเลยไม่มีอะไรเหลือเลย ก็เป็นประโยชน์ทั้งแก่สัตว์ทั้งหลาย ทั้งเทวดาและมนุษย์ มันก็หมายความว่าทุก ๆ ทุก ๆ โลกธาตุ สำหรับคำว่าเทวดาและมนุษย์นี้อย่าไปตั้งข้อสงสัยอะไรให้มันเสียเวลามันจะกลายเป็นคนงมงายไป เอาว่ามนุษย์มันอยู่ที่นี่มันเห็น ๆ กันอยู่แล้วเทวดาอยู่ที่ไหน ก็เลยจะไม่เชื่อ ไม่เชื่อเรื่องเทวดาก็เลยหาว่าคำที่กล่าวถึงเทวดาในพระบาลีก็พลอยเป็นคำเท็จไปด้วย ไม่ต้องอย่างนั้น เพราะว่าเมื่อได้พิจารณาดูโดยถี่ถ้วนแล้วมันก็พบว่าเทวดานั้นมันมีหมายว่ามันสะดวกสบาย ส่วนมนุษย์มันหมายถึงธรรมดาต้องมีลำบากยุ่งยากเหน็ดเหนื่อย มีเท่านั้นเอง ถ้าใครทำได้โดยไม่ต้องลำบากยุ่งยากเหน็ดเหนื่อยก็เป็นเทวดาไป ถ้ายังต้องลำบากยุ่งยากเหน็ดเหนื่อยก็เป็นมนุษย์ไป ก็มี ๒พวกเท่านั้น สัตว์นรกอะไรทั้งหลายที่มันลำบากทุกข์ร้อน ก็มันมาสงเคราะห์ไว้ในพวกมนุษย์ เทวดา มาร พรหมอะไรก็ตามที่มันไม่รู้จักความทุกข์อย่างที่ในโลกนี้ มันไม่ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ ก็ให้มันเป็นเทวดาไป แล้วมันอยู่ที่นี่ก็ได้ อยู่ในโลกนี้ก็ได้ กลางคืนมันเป็นเทวดา กลางวันมันเป็นมนุษย์ก็ได้ เอาแต่ความหมาย เอาแต่ความหมายก็กล่าวได้ว่าพระพุทธศาสนาเป็นประโยชน์ทั้งแก่บุคคลที่มันมีภาระในเรื่องปากเรื่องท้องและบุคคลที่ไม่มีภาระในเรื่องปากเรื่องท้องแล้ว จะไปใช้กับคำว่านายทุนชนกรรมาชีพก็ตามใจ มันมีความหมายอย่างเดียวกันนั่นแหละ ถ้าหากว่าพวกนายทุนเขาไม่มีปัญหาเรื่องปากเรื่องท้องสนุกสนานสบายใจได้ แต่เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นเช่นนั้นนี่ คำว่านายทุนหมายถึงคนที่ตกนรกทั้งเป็นอยู่ก็ได้ คือจิตใจมันเร่าร้อน มันมีปัญหาทางวิญญาณ มันก็ฆ่าตัวตาย มันก็ทำความชั่วอะไรอยู่บ่อย ๆ มันต้องแบ่งกันโดยหลักเกณฑ์อย่างอื่น ถ้าเป็นคนดี คนชั่ว เป็นพาล เป็นบัณฑิต ถ้าแบ่งแต่เพียงว่าเทวดากับมนุษย์ เอาความหมายแต่เพียงว่าพวกหนึ่งไม่มีปัญหาเรื่องปากเรื่องท้องเรื่องเหน็ดเรื่องเหนื่อย พวกหนึ่งยังมีอยู่ มีปัญหาอยู่ ก็เป็นอันกล่าวได้ว่าธรรมะในพระพุทธศาสนานี้ใช้ได้ทั้งแก่คนที่ยังไม่อิ่มปากอิ่มท้องและคนที่อิ่มปากอิ่มท้องแล้ว ทีนี้มันเป็นโชคร้ายของคนโง่ ที่มันไปมองว่าพระพุทธศาสนานี้ไม่มีประโยชน์อะไรแก่คนที่ยังไม่อิ่มปากอิ่มท้องแล้ว และที่พูดกันอยู่ในกรุงเทพฯ นั่นเอง แล้วก็จะแถมพูดในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั้งหลายอยู่ด้วย ว่าพุทธศาสนานี้มัน มันไม่มีประโยชน์อะไรกับคนที่ยังไม่อิ่มปากอิ่มท้อง เพราะฉะนั้นเราไปสนใจเรื่องเศรษฐกิจเรื่องอะไรต่าง ๆ กันก่อนให้อิ่มปากอิ่มท้องแล้วจึงจะมาสนใจในธรรมะ นี่มันผิดความจริงอย่างยิ่ง คอยดูให้ดีจะพบว่าที่มันไม่อิ่มปากอิ่มท้องเพราะมันขาดธรรมะในพุทธศาสนา ในส่วนที่พระพุทธเจ้าท่านมีไว้ให้พวกมนุษย์ ฉะนั้นเลิกเข้าใจผิดกันเสียทีว่าพุทธศาสนานั้นมันไม่ได้มีไว้สำหรับคนจน คนมันจนเพราะมันไม่มีธรรมะ ถ้ามันมีธรรมะ มันไม่จน ก็เขาไม่รู้ธรรมะที่จะแก้ความจน แม้ว่าจะถูกกดขี่บีบคั้นเอาเปรียบอะไรก็ตามเถิด ถ้ามีธรรมะแล้วมันเอาตัวรอดหลุดออกมาได้ทั้งนั้น เพราะว่าไอ้คนที่ร่ำรวยทีแรกก็เป็นคนจนเหมือนกัน มันก็มีธรรมะเป็นผู้รวย ร่ำรวยที่ดีไปก็มี เป็นผู้ร่ำรวยที่เลวจนเป็นอันธพาลไปก็มี มันมีธรรมะหลายแบบ ถ้าเรามีความเป็นพุทธบริษัทหรือมีศาสนา หรือมีธรรมะอยู่ในโลก ผลพลอยได้มันจะได้แก่ทุกคนในโลก ในสากลจักรวาลในระดับหนึ่งในความหมายหนึ่งทีเดียว นี้ถ้าแคบเข้ามา เอาแต่เพียงในโลกนี้ที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในเวลานี้ โลกกลม ๆ ก้อนนี้มีพลเมืองอยู่หลายพันล้านคน แล้วก็มีปัญหาอะไร ไม่มีสันติภาพ เพราะไม่มีธรรมะหรือสิ่งที่เรียกว่าศาสนาอันถูกต้อง กิเลสกำลังครอง พญามารซาตานกำลังครองโลก โลกก็วุ่นวาย ระสำระสายเดือดร้อนอยู่กับปัญหาที่มนุษย์กำลังเอาเปรียบกัน แข่งขันแย่งชิงทำลายกัน เอาเปรียบกันด้วยความเห็นแก่ตัว ซึ่งไม่ควรจะเรียกว่ามนุษย์ เรียกว่าคนชนิดหนึ่งซึ่งหนาแน่นไปด้วยความเห็นแก่ตัวกำลังต่อสู้แย่งชิงแข่งขันทำลายกันจนไม่มีสันติภาพในโลกนี้ โลกนี้ก็ไม่เป็นโลกของมนุษย์ เป็นโลกของคนชนิดหนึ่งเต็มไปด้วยปัญหาความยุ่งยากลำบาก ถ้าธรรมะเข้ามา ศาสนาเข้ามา พระเป็นเจ้าเข้ามา ปัญหาเหล่านี้จะค่อย ๆ หายไป ๆ มีความสงบเย็น อยู่กันด้วยสันติสุข จะเมตตากรุณาเป็นเบื้องหน้า เดี๋ยวนี้ไม่สอนกันเลยเรื่องเมตตากรุณา สอนแต่ให้รู้ให้เก่งให้ไปก่อน ให้ได้ก่อน ให้สามารถกว่า แล้วก็ไปกักตุนกวาดประโยชน์ทั้งหลายเอาไว้ของตัวก่อนคนอื่น สอนกันแต่อย่างนั้นแต่ไม่มีสอนเรื่องเมตตากรุณาตามความมุ่งหมายของศาสนาทุกศาสนา เขาสอนแต่ให้มันเห็นแก่คนอื่น เดี๋ยวนี้มันสอนให้เห็นแต่ตัวกูตัวกู ทีนี้ในเมื่อวิชาเทคโนโลยีมันเจริญ มันได้ผลทันอกทันใจเข้า ความเห็นแก่ตัวกูมันยิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีก ก็เลยมีแต่โลกแห่งตัวกู แล้วธรรมะหรือศาสนามันก็ไม่มีช่องมีโอกาสที่จะเข้ามา ผลพลอยได้ก็ไม่มี ถ้าเราปล่อยให้โลกไป เป็นไปในร่มเงาของศาสนา ผลพลอยได้จากศาสนาก็จะมี ความจริงมันมีอยู่อย่างนี้ แต่มันไม่มีใครสามารถจะปฏิบัติให้เป็นไปตามความจริงอันนี้ได้ มันได้แต่นั่งดูตาปริบ ๆ อยู่พวกหนึ่ง แล้วพวกหนึ่งกำลังหลับตาไม่รู้ไม่ชี้อะไรหมดนอกจากประโยชน์ของกู โลกนี้มันอยู่อย่างนี้เวลานี้ ฉะนั้นถ้าเราจะคิดว่า จะเป็นผู้ประกอบประโยชน์ จะทำประโยชน์กันจริง ๆ นี้มันต้องคิดถึงข้อนี้ คิดถึงข้อที่ใช้ธรรมะให้มันเป็นประโยชน์แก่โลกหรือแก่มนุษย์ และโลกนี้ก็จะได้รับประโยชน์นี้จริง แม้ว่าประเทศไทยเล็ก ๆ เป็นพุทธศาสนา เป็นพุทธบริษัทมีธรรมะกันจริง มันก็สามารถจะมีผลทั่วโลกได้ แต่ถ้ามันเหลวไหลเสียเอง มันก็เหมือนกันหมดไม่ว่าประเทศไหน
ฉะนั้นมองดูแคบเข้ามาถึงประเทศไทยบ้านเมืองของเรา ถ้ามันมีศีลธรรม มีศาสนากันจริง มันก็ไม่เป็นอย่างที่กำลังเป็นอยู่ เดี๋ยวนี้มันไม่มีศีลธรรม ไม่มีร่มเงาแห่งศาสนา ไม่มีการบวชจริง เรียนจริงจนรู้จริงถึงกับประกาศได้จริง จนทำให้พลเมืองส่วนใหญ่มันเป็นบัณฑิต เป็นพุทธบริษัทกันได้จริง ฟังดูแล้วคล้าย ๆ กับเรามาพูดในสิ่งที่ทำไม่ได้ แต่มันเป็นความจริงอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งมันทำได้ ส่วนที่มันยังทำไม่ได้นั้นก็เก็บไว้ก่อนละกัน ก็มาพูดถึงความจริงที่มันเป็นสิ่งที่ทำได้ ขอให้บวชจริงเรียนจริงให้จริงกันทุกคน จะได้ช่วยกันแก้ไขประเทศชาตินี้ให้มันมีสันติสุขสันติภาพได้ เดี๋ยวนี้มันก็เห็นแก่ตัว แล้วก็ประชาธิปไตยชนิดบ้า ๆ บอ ๆ นี้ก็ไม่รู้ มันเปิดโอกาสแห่งความเห็นแก่ตัวมากเกินไป มันก็ยิ่งไม่มีธรรมะ ต้องไปมีความรู้ ความตื่น ความเบิกบานให้ถูกต้องเสียก่อนแล้วค่อยทำประชาธิปไตยชนิดที่มันถูกต้องเสียก่อน คือให้มันประกอบด้วยธรรมะนั่นเอง เมื่อมีประชาธิปไตยที่ประกอบไปด้วยธรรมะ อยู่ในร่มเงาของศีลธรรมหรือศาสนา ปัญหาก็ไม่มี ไม่ต้องมาเถียงกัน ทะเละวิวาทกัน ต้องกลับกัน ทำให้โลก เอ้อ, ผลัดกันทำให้บ้านเมืองนี้มันยุ่งคนละแบบหลาย ๆ แบบ
ทีนี้พูดถึงครอบครัวกันดีกว่า เพราะเหตุว่ามันอยู่ในขอบเขตหรือวิสัยที่พอจะควบคุมได้ เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ได้พูดในการบรรยายในครั้งอื่น ๆ มาบ้างแล้ว ว่าถ้าพ่อบ้านมันมีธรรมะ มันก็จะควบคุมบ้านให้มีธรรมะ ก็เป็นครอบครัวที่มีธรรมะ ก็พอจะฝันเห็นสันติสุขสันติภาพได้ แม้ยังทำไม่ได้ถึงนั้น เดี๋ยวนี้จะมีคงจะมีข้อแก้ตัวแทรกเข้ามาว่า อ้าวเดี๋ยวนี้เขาสิทธิเสมอภาคระหว่างหญิงกับชาย ระหว่างบุรุษกับสตรี ระหว่างกับพ่อบ้านกับแม่บ้าน ฉะนั้นพ่อบ้านก็ไม่สามารถจะทำได้ เพราะมันมีสิทธิเสมอกัน เมื่อแม่บ้านเขาไม่ยอม ก็เลยวางมือเสีย ถ้าพูดอย่างนี้ก็จะเป็นเรื่องแก้ตัวมากกว่า หรือถ้ามันเป็นเรื่องจริงตามนั้นที่จะเขานิยมนับถือกันอย่างนั้น มันก็ต้องถือว่ามันเป็นโชคร้าย โชคร้ายของมนุษย์ แต่มันไม่ถึงอย่างนั้นนะไปดูกันให้ดีเถิด มันจะต้องมีเพศตัวผู้เป็นผู้นำอยู่เรื่อยไป คุณดูสุนัขทุกฝูงในวัดนี่ที่มันแบ่งเป็นย่อย ๆ ย่อย ๆ เป็นฝูง ๆ มันมีตัวผู้นำฝูงทั้งนั้นแหละ เพราะเข้ามา สุนัขอื่นแปลกปลอมเข้ามา ตัวผู้นำฝูงมันออกรับ ออกต่อต้าน ทำไมตัวเมียมันทำไม่ได้ละ ทั้งที่วัวควายทุ่งนาในป่าในเขาอะไรก็ตาม มันก็มีตัวผู้ที่แข็งแรงเป็นหัวหน้าฝูง มันจึงคุ้มครองกันอยู่ได้ ฉะนั้นถ้าให้ทำอะไรเหมือนกันเท่ากัน ไปตัดรอนสิทธิของไอ้ที่ ฝ่ายที่จะทำได้มากกว่าลงเสีย มันก็เป็นความโง่ของมนุษย์ ถ้าขืนดันทุรังถือหลักนี้ก็จะมีแต่จะเรื่องเสื่อมเสีย จะมีแต่เรื่องเสื่อมเสียทั้งนั้นแหละ เรื่องสตรีกับบุรุษสิทธิเท่าเทียมกันนี่ เดี๋ยวนี้ฝ่ายสามีมีสิทธิที่จะไปเที่ยวผู้หญิงค่ำ ๆ คืน ๆ ต่อไปฝ่ายภรรยาก็มีสิทธิที่จะไปเที่ยวผู้ชายค่ำ ๆ คืน ๆ โดยเสมอกันได้สิ แล้วเรื่องอะไรมันจะเกิดขึ้น คุณก็ไปคิดดู มันก็ต้องมีความจริงอะไรอยู่อย่างหนึ่งตามธรรมชาติซึ่งเปลี่ยนไปจากนั้นไม่ได้ ฉะนั้นขอให้นึกหรือว่าถือไปก่อนดีกว่าว่าผู้ชายจะต้องเป็นผู้นำครอบครัวเสมอไป อย่าแก้ตัวหรือว่าเล่นไม่ซื่อเบี่ยง บ่ายความรับผิดชอบ พยายามเตรียมตัวที่จะเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี คือทำให้ครอบครัวมันมีธรรมะนั่นเอง ก็เตรียมศึกษาไว้ ปฏิบัติไว้ ค้นคว้าทดสอบทดลองอะไรไว้ จะได้เป็นครอบครัวที่มีธรรมะ ฉะนั้นการที่เราบวชนี้ เราก็ได้ความรู้สำหรับไปทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัว นี้ก็เป็นผลพลอยได้ประโยชน์พลอยได้แล้วก็ไปได้ถึงสมาชิกในครอบครัวแล้วก็วงศาคณาญาติ ผลพลอยได้นี้ไม่ใช่เล็กน้อยนะ แล้วก็มีค่ามากสำหรับคนไม่เห็นแก่ตัว ถ้าเห็นแก่ตัวคนเดียวแล้วก็ไม่ต้องพูดกัน มันไม่มีเรื่องที่ต้องพูดกัน ฉะนั้นผลพลอยได้มีอยู่มากเมื่อมองข้าม มองข้ามกันไปเสียมันก็คล้าย ๆ กับว่าไม่มี นี้เรากำลังพูดถึงว่าการบวชของเราซึ่งเป็นการสืบอายุของพระศาสนาทำให้โลกคงมีสิ่งคุ้มครอง มันมีผลพลอยได้หลายระดับแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง แก่โลก ทั้งโลก หรือแก่ประเทศบ้านเมืองกระทั่งแก่ครอบครัว นี้คือคำว่าแก่ใครมันคือแก่พวกเหล่านี้
ทีนี้ก็จะดูถึงไอ้ตัวผลพลอยได้นั้นเองลงไปตรง ๆ ว่ามันคืออะไร ผลพลอยได้นั้นมันคืออะไร มันก็อย่างเดียวกับที่พูดมาแล้วข้างต้น คือความรู้ คือการปฏิบัติ คือผลของการปฏิบัติ เพราะว่าการบวชนี้มันทำให้รู้ รู้จริง และการบวชที่ทำให้ปฏิบัติจริงและก็ได้ผลของการปฏิบัติจริง ๆ เพราะฉะนั้นสิ่งนี้มันถูกถ่ายทอดไปยังผู้ที่จะพลอยได้ ฉะนั้นเราบวชมีความรู้ก็ถ่ายทอดความรู้ให้ สอนให้รู้ โดยการสอนให้รู้ ถ้าเป็นความรู้ทางอาชีพ มันก็เป็นเพื่อประโยชน์ทางร่างกาย ทางฝ่ายร่างกาย ฝ่ายระบบร่างกาย ฝ่ายระบบวัตถุ ถ้าเป็นความรู้ทางฝ่ายธรรม ธรรมะ ซึ่งเป็นเรื่องการบวช มันก็เป็นความรู้ที่เป็นประโยชน์แก่จิต แก่วิญญาณ และลงไปถึงกายด้วย เนื่องจากความรู้ทางจิตทางวิญญาณมันสูงมันยาก ต้องสนใจเป็นพิเศษ แต่เนื่องจากว่ามีความรู้แต่ทางฝ่ายระบบกายระบบวัตถุอย่างเดียวมันไม่พอ มันไม่พ้นทุกข์ได้ มันเต็มไปด้วยความทุกข์ มันต้องมีความรู้ระบบจิตระบบวิญญาณฝ่ายธรรมะเข้าไปประกอบอยู่ด้วย เป็นความรู้ที่สมบูรณ์ทั้ง ๒ ฝ่าย ทั้งฝ่ายวัตถุและฝ่ายจิต คือทั้งฝ่ายกายและฝ่ายใจ ความรู้ที่จะได้โดยตรงบ้างเป็นผลพลอยได้บ้าง ถ้าสอนกันตรง ๆ เขาบอกเป็นความรู้โดย เอ้อ, เป็นผลได้โดยตรง ถ้ามีอยู่โดยอ้อม มันสอนกันอยู่โดยอ้อม ก็เป็นผลพลอยได้ในที่นี้
ที่นี้เกี่ยวกับการปฏิบัติ พุทธบริษัทหรือภิกษุปฏิบัติจริง ก็ทำให้เขาได้มีการปฏิบัติ การปฏิบัตินี่เราหมายถึงการกระทำ ฉะนั้นถ้าพูดถึงการปฏิบัติ เราจะไม่เรียกว่าสอนให้ ให้รู้จักทำ แต่เราจะเรียกว่าทำตัวอย่างให้ดู คือไม่ต้องพูดกันแล้ว ไม่ต้องเอาสมุดหนังสือหนังหาตำรับตำรามาแล้ว แต่มาทำให้ดู แสดงบทบาทให้ดูอยู่ตำตาทั้งวันทั้งคืนอย่างนี้ อย่างนี้คือให้ ให้การปฏิบัติโดยตรง เรียกว่าทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ฉะนั้นการที่มีภิกษุอยู่ในโลกนั้น หลักธรรมะแต่โบรงโบราณเขาถือว่าเป็นการให้อยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ได้เห็นสมณะเท่านั้นก็เป็นมงคลอันสูงสุด หรือเพียงแต่ได้เห็นพระอรหันต์เท่านั้นเป็นมงคลอันสูงสุดไม่ต้องพูดกัน เพราะว่าท่านแสดงด้วยการกระทำที่เนื้อที่ตัวหรือเป็นตัวอย่าง ทีนี้พระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ในบางความหมายท่านมุ่งหมายอย่างนี้ ว่าการที่มีพระพุทธเจ้าอยู่ในโลกพอแล้ว แล้วคนในยุคปัจจุบันนี้แต่ไม่ใช่ยุควันนี้ ยุคที่เรียกว่าถอยหลังกลับไปสักหน่อย เขาก็ยังถือหลักอย่างนั้น ถือหลักว่าได้เห็นว่าบุคคลนั้นเป็นอยู่อย่างไร ดีกว่าอ่านหนังสือที่บุคคลนั้นเขียนอยู่เป็นหอบ ๆ หาบ ๆ นี่ผมเคยอ่านข้อความนี้ในหนังสือเล่มหนึ่งเมื่อผมยังเด็ก ๆ อยู่ เขาระบุชื่อคนประเทศชาติด้วย เขาไปเพื่อจะเห็นการเป็นอยู่ของสุภาพบุรุษคนนั้น เพราะเขาเคยอ่านหนังสือของผู้นั้นมามากแล้ว มันก็ไม่พอใจหรือว่าถือว่าไม่ได้ผลเท่ากับไปดูสักแวบหนึ่ง ถ้าจะพูดตรง ๆ ก็อย่างนี้ก็ต้องพูดว่าก็ได้เห็นพระพุทธเจ้าสักแวบหนึ่งดีกว่าอ่านพระไตรปิฎกให้จบก็ได้พูดอย่างนี้ก็ได้ เพราะว่าที่เนื้อที่ตัวของท่านมันแสดงตัวอย่างอยู่ เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นคนละอย่างกับสอนด้วยปาก พร่ำสอนด้วยปาก หรือให้อ่าน เขียนให้อ่าน
ทีนี้มันมีอันที่สามที่ดีไปกว่านั้นอีกก็คือว่ามีผลของการปฏิบัติแจกจ่ายให้ ให้ดูมันกลายเป็นว่ามีความสุขให้ดู นี่มันชัดลงไป เป็นผู้มีความสุขอย่างยิ่งให้ดูพอแล้ว ให้มากเหลือเกินแล้วให้เพียงเท่านี้ ไม่ต้องพูดไม่ต้องจา ไม่ต้องให้เงินให้ของ ไม่ต้องให้อะไร เป็นผู้มีความสุขให้ดูเป็นการให้ที่สูงสุด ปฏิบัติให้ดูคือทำตัวอย่างให้ดู ทีนี้มีผลการปฏิบัติให้ดู คือมีความสุขให้ดู อย่าเอาไปปนกันนะ ถ้าปฏิบัติให้ดูมันต้องทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ ทำหลาย ๆ อย่าง คือปฏิบัติอยู่ให้ดูอยู่ เกี่ยวกับการปฏิบัตินี้สรุปไว้ในถ้อยคำสัก ๓ คำก็ได้ ปฏิบัติในทางที่จะละเสียสำหรับสิ่งที่ควรละ ปฏิบัติในทางที่จะสร้างให้มีขึ้น ทำให้มีขึ้นในที่มันควรจะทำ แล้วก็ปฏิบัติในทางที่จะรักษาเอาไว้ให้ได้ สิ่งที่สร้างขึ้นมาแล้วคือความดีความสุขแล้วก็ต้องทำ ก็รักษาเท่านี้ก็พอ คำว่าละความชั่วเสีย มันกินความลงไปถึงป้องกันไปถึงอะไรหมด อย่าให้มันมาเข้ามาได้ อยากให้มันมีเข้ามาได้ ละเสียในส่วนที่จะต้องละ ทีนี้ในส่วนที่ต้องทำให้มีขึ้นก็ต้องทำ ๆ ทำ แต่แล้วมันต้องรักษาไว้อีก ลักษณะปฏิบัติก็มีอยู่ใน ๓ ความหมายนี้
ทีนี้ผลการปฏิบัติก็ไม่ต้องพูดกันแล้วคือเป็นความสุข สุขทางกายทางวัตถุระบบหนึ่งก็ได้ สุขทางจิตทางวิญญาณ ทางทิฏฐิ ทางความรู้สึกอีกระบบหนึ่งก็ได้ ทีนี้สิ่งที่จะเป็นผลพลอยได้คือได้รู้แล้วก็ได้เห็นตัวอย่างทั้งในการปฏิบัติและตัวอย่างทั้งในการที่มีความสุขให้ดู ฉะนั้นสมมติว่ามีภิกษุในพุทธศาสนาที่แท้จริงอยู่ในโลกพอแล้ว ทางหนึ่งก็สอนให้รู้ ทางหนึ่งก็ทำตัวอย่างให้ดู อีกทางหนึ่งก็มีความสุขให้ดู แล้วคนเขาก็จะทำตาม แล้วเขาไว้ใจ เพียงแต่พูดแต่ปากให้ดูเขาไม่ไว้ใจหรอก เพราะมันพูดเท่าไรก็ได้ มันพูดไม่จริงก็ได้ ฉะนั้นการสอนด้วยปากพูดนั้นไม่ค่อยสำเร็จประโยชน์ แต่ถ้าทำตัวอย่างให้ดูหรือมีความสุขให้ดูแล้วก็มันมีผลสำเร็จเต็มที่
เอาเป็นอันว่าเราพูดถึงผลพลอยได้ที่เนื่องถึงกันและกัน ก็ขอให้มอง มันสัมพันธ์กันทั่วไปหมด โยงกันไปโยงกันมาทั่วถึงกันทั้งโลก ทำผิดมันก็ร้ายเสียหายเดือดร้อนกันไปทั้งโลก ทำถูก มันก็ดีมีความสุขกันไปทั้งโลก เดี๋ยวนี้มันก็กำลังเป็นไปในทางผิดมากกว่า นี่ไม่ใช่ผมจะอวดดีหรือว่าจะแกล้งข่มผู้อื่น โลกในสมัยที่ก้าวหน้าแต่ทางวัตถุอย่างเดียว มันมีความผิดอยู่บ้างคือมันสะสม เอ้อ, ส่งเสริมกิเลสมากเกินไป มันก็จะต้องไปคิดกันเสียใหม่ ไปตัดทอนความมากเกินไปในส่วนวัตถุลงเสียบ้าง มาเพิ่มในทางฝ่ายจิตใจ เขาเรียกว่ามีความสมดุล ความรอดตัวมีอยู่ได้เพราะความสมดุลระหว่างวัตถุกับจิตใจ ทำอย่างไรจะให้เกิดผลอันนี้ขึ้นมาคือความสมดุลขึ้นมาระหว่างวัตถุกับจิตใจในโลกนี้ ก็พยายามให้มี มีพระ มีอริยบุคลนั่นแหละให้มากขึ้นในโลก มันจะเป็นเครื่องทำให้มีความถูกต้องขึ้นมาในโลก สมดุลขึ้นมาในโลก เดี๋ยวนี้เราจะเรียกว่าพุทธบริษัท พวกอื่นเขาก็จะหาว่าเห็นแก่ตัว พูดเข้าข้างตัว เอาเปรียบ แต่ถ้าเราจะพูดว่าพุทธบริษัทมันก็ควรจะถูกต้องแล้ว เพราะผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานศาสนาไหนก็ได้ไม่จำกัด แต่ขอให้มันรู้ ให้มันตื่น ให้มันเบิกบานจริงก็แล้วกัน ขอให้มีพุทธบุคคลขึ้นมาในโลก แล้วผลพลอยได้คือผลโดยอ้อมก็จะแผ่ไปทั่วโลก อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าผลโดยตรงเสียอีก ผลโดยตรงมันจะแคบกว่า ผลพลอยได้มันจะกว้างกว่า มีอิทธิพลและมีอำนาจมากกว่า
ทีนี้เรามามองดูด้วยจิตด้วยปัญญาไม่ใช่มองดูได้ด้วยตา ถึงความที่ผลพลอยได้มันเนื่องถึงกันและกัน ทั้งในทางเสียหายและในทางดีทางเจริญ ถ้าทำผิดในทางผิด มันก็มีผลพลอยได้ถึงกันหมด ถ้าทำถูกมันก็มีผลพลอยได้ถึงกันหมด เพราะว่าโลกเดี๋ยวนี้มันยิ่งแคบเข้าไปทุกที ควรจะนึกถึงผลพลอยได้ในทางที่ดี เช่นได้มาบวช ได้มาเรียน ได้มาเข้าถึงพรหมจรรย์ ถึงศาสนา เป็นพุทธบริษัท และทำอย่างไรให้ผลพลอยได้นี้มันแผ่กระจายไปทั่วโลกทั่วขอบเขตที่มันจะเป็นไปได้ ทบทวนอีกทีหนึ่งสั้น ๆ แต่ว่าเราพูดถึงการบวชที่ประสบความสำเร็จมีผลพลอยได้ทำให้ผู้อื่นพลอยรู้ ทำให้ผู้อื่นพลอยชื่นชม ทำให้ผู้พลอยมี เอ้อ, ได้รับประโยชน์ ผลพลอยได้นี้มันได้จากการมีอยู่ของสิ่งที่ควรจะมีอยู่ ได้จากการกระทำของผู้ที่กระทำ ที่ควรกระทำ ได้จากผลของการกระทำที่สำเร็จนั้น ของใครเล่า ของผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ผู้ประสบความสำเร็จในหน้าที่ของตนมีเมตตากรุณา ระบุเฉพาะความเป็นพุทธบริษัททั้ง ๔ และระบุให้แคบเฉพาะเข้าไปอีกคือความเป็นภิกษุที่สามารถบวชจริงเรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริงและประกาศออกไปจริง ๆ ในลักษณะที่ว่าพยายามจะทำตนเป็นบุรุษอาชาไนย เกิดขึ้นเพื่อเป็นประโยชน์แก่คนทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง และแก่โลกและแก่ประเทศชาติและแก่ครอบครัว ตัวเองไม่พูดเอาไปทิ้งเสียเลย อย่าพูดถึงตัวเองเป็นอันขาด ขืนพูดถึงตัวเองแล้วมิใช่บุรุษอาชาไนย ทำให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องด้วยได้รับความรู้ ได้รับตัวอย่างที่ดี ทั้งในการปฏิบัติและผลของการปฏิบัติ มีความสุขให้ดู ก็เท่านั้นก็พอ ก็ดูว่ามันมีอยู่หลายอย่างหรือแทบทั้งหมดน่ะ มันไม่ได้มีไว้เพื่อประโยชน์แก่ใครคนใดคนหนึ่ง แต่มีประโยชน์เพื่อทุกอย่างที่มันเข้า มันเข้ามาเกี่ยวข้องหรือเนื่องถึงกัน ถ้าจะเกิดถามขึ้นมาว่าพระพุทธเจ้าก็ดี พระสาวกของท่านก็ดี มันมีอยู่เพื่อประโยชน์อะไรกัน นี้ผมถามท่านทั้งหลายเดี๋ยวนี้ก็ได้ว่าพระพุทธเจ้าก็ดีและพระสาวกทั้งหลายก็ดีมีอยู่เพื่อประโยชน์อะไรกัน ถ้าเข้าใจเรื่องที่พูดมาทั้งหมดก็ตอบได้ แต่ถ้าไม่เข้าใจหรือลืมเสียก็คงไม่รู้เป็นแน่ว่าพระพุทธเจ้านี้มีไว้เพื่อประโยชน์อะไรกันหรือพระสาวกทั้งหลายมีไว้เพื่อประโยชน์อะไรกัน เพราะว่าจิตมันก็คอยคิดแต่ว่าเพื่อประโยชน์แก่กูสิ พระพุทธเจ้าของกู อะไรของกู มันก็เพื่อประโยชน์ของกูไปเสียหมด นี่คนมันก็เป็นโรคอย่างนี้กันเสียหมด ต้องให้พระพุทธเจ้านี่มีอะไรสมกับที่ท่านเป็นพระพุทธเจ้า พระสาวกทั้งหลายก็เหมือนกัน ก็จะพูดเสียเลยว่าพระพุทธเจ้าและคณะสงฆ์ของท่านนี้มีอยู่เพื่อเป็นดวงประทีปของโลก อย่าได้ไปคิคว่าพระพุทธองค์ทรงมีพระพุทธประสงค์เพื่อประโยชน์แก่ใครคนใดคนหนึ่งพวกใดพวกหนึ่ง และก็ระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง ขอให้ถือว่าพระพุทธเจ้าท่านมีอยู่เหมือนที่ดวงอาทิตย์มีอยู่ นี้อุปมานะ ดวงอาทิตย์มันเป็นเรื่องของวัตถุมีอยู่ในโลก มันมีก็ตามแบบของมันเอง ตามแบบของดวงอาทิตย์ ประโยชน์มันก็แพร่ไปตามที่ใครจะได้ประโยชน์อะไรจากดวงอาทิตย์มากมายเหลือเกิน ผู้ที่ศึกษาทางชี วิทยา (นาทีทีที่ 01:17:35) มาแล้วก็รู้ได้ดี ว่าถ้าปราศจากดวงอาทิตย์อย่างเดียวนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้นในบรรดาสิ่งที่มีชีวิต คือที่ชีวิตที่มีอยู่ในเวลานี้มันจะตายลงวูบเดียวหมดไม่มีเหลือ ถ้าปราศจากดวงอาทิตย์หรือแสงสว่างดวงอาทิตย์หรืออะไร ๆ ต่าง ๆ ที่มันเป็นปฏิกิริยาออกมาจากดวงอาทิตย์ แต่ดวงอาทิตย์มันก็มิได้มีอยู่เพื่อคนเหล่านี้ คนเหล่านี้เป็นผลพลอยได้จากการมีของดวงอาทิตย์ นี่พระพุทธเจ้าก็เหมือนกันอีกแหละ เพราะท่านมีพระพุทธเจ้า ท่านจึงเกิดบุคคลชนิดที่คล้าย ๆ กับท่านคือดับทุกข์ได้ ดับทุกข์ได้ ดับทุกข์ได้ เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น ตามมากตามน้อย แม้จะไม่เป็นพระอรหันต์แต่ก็ยังเป็นผู้ที่มีความทุกข์น้อยพอสมควร ดวงอาทิตย์คือพระพุทธองค์มีอยู่เพื่อเป็นดวงประทีปของโลก ทีนี้สาวกทั้งหลายของท่านก็เป็นดวงประทีปดวงน้อย ๆ น้อย ๆ เหมือนกับดวงดาวทั้งหลายอะไรก็ตามแล้วแต่จะเรียก มันเป็นดวงน้อย ๆ ลงไป ถ้าเราไม่เห็นแก่ตัว เราควรจะคิดว่า เราก็ควรจะเป็นดวงประทีปที่เป็นบริวารของพระพุทธเจ้านี่ดีกว่า ถ้าทำไม่ได้ก็เป็นคนธรรมดาไป แต่ให้เป็นคนธรรมดาที่มันมีแสงสว่าง มีความเป็นพุทธบริษัท ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานนั่นเอง ถ้าไม่ทำตนเป็นบริวารพระพุทธเจ้าในแง่ของดวงประทีป ก็เป็นดวงประทีปที่เต็มที่ถึงที่สุด ก็ไปเป็นดวงประทีปน้อย ๆ อยู่ข้างเคียงกันในบรรดาสัตว์ที่เขายังมีปัญหา มีทุกข์ มีร้อนมีอะไร ก็เห็นกันอยู่แล้วว่าไปครองเรือนกันเป็นฆาราวาสนั้นจะต้องทำอะไร แต่ถึงอย่างไรมันก็หลีกรัศมีบารมีอะไรของพระพุทธเจ้าไปไม่พ้น แสงสว่างแห่งธรรมของพระพุทธเจ้าจะส่องไปในที่ทุกหนทุกแห่ง แม้ในครอบครัวที่ยากจนที่สุด ฉะนั้นก็ช่วยกันทำให้ผลพลอยได้อันนี้มันมีได้ง่าย ๆ มีได้มาก ๆ มีได้เร็ว ๆ ก็แล้วกัน ผมจึงเอาเรื่องนี้มาพูด ให้ท่านที่เป็นราชภัฎผู้ลาบวชทั้งหลายสังเกตดูให้ดี ให้การบวชของตนมีผลพลอยได้ที่น่าชื่นใจคือสูงสุดและมหาศาล และการบรรยายในวันนี้ก็ยุติเพียงไว้เท่านี้ ก็เลยเวลาตามเคย
(นาทีที่ 01:20:35 – 01:21:31 เสียงผู้ชายถามคำถาม แต่ได้ยินไม่ชัด)
(เสียงท่านพุทธทาส) นี่ปัญหามันก็กระเดียดไปทางเรื่องการบ้านการเมือง ทำไมคุณยกเว้นประเทศไทยเสียละ ก็ต้องถือว่ามันก็มีประวัติมาเหมือน ๆ กัน พุทธศาสนามาถึงดินแดนส่วนนี้ ถึงเชื่อได้ว่าตั้งแต่พ.ศ . สามสี่ร้อย (นาทีที่ 01:21:50) เริ่ม ๆ เริ่มมาก็มากขึ้น ๆ ดินแดนเอเชียอาคเนย์รวมทั้งประเทศจีนด้วย และมันก็เคยเจริญ เคยมีประโยชน์ เคยเสื่อมและเคยเปลี่ยนแปลง เคยมีชนิดที่พัฒนาใหม่เป็นพุทธศาสนาแบบพัฒนาใหม่ในประเทศจีนก็มี ต้องพูดถึงว่าในสมัยที่เคยรุ่งเรืองด้วยธรรมะมันก็มีความสงบสุข จนกระทั่งเดี๋ยวนี้มันเต็มไปด้วยวิกฤติการณ์ ก็ต้องเห็นว่ามันมีความผิดพลาด มันจะมีธรรมะอยู่คู่วิกฤติการณ์ไม่ได้ ถ้าในประเทศเหล่านี้มันเต็มไปด้วยวิกฤติการณ์ ก็ต้องมองเห็นสิว่ามันมีความผิดพลาด มันจะมีธรรมะอยู่เคียงคู่กับวิกฤติการณ์ไม่ได้ ถ้าในประเทศเหล่านี้มันเต็มไปด้วยวิกฤติการณ์ มันก็หาธรรมะไม่พบแน่เพราะว่าวิกฤติการณ์นั้นมันเป็นปฏิกิริยาของความไม่มีธรรมะ สำหรับประเทศเราก็ต้อง ก็ต้องดู มันก็เหมือน ๆ กันนั่นแหละมันก็เคยมีศาสนาเจริญ ศาสนาเสื่อม มีวัฒนธรรมสูง มีวัฒนธรรมต่ำ เดี๋ยวนี้มันก็มีความยุ่งยากมาก เรียกว่าวิกฤติการณ์รุนแรงมาก จนแทบจะไม่มีคำว่าศาสนาอะไรกันแล้ว เราจะมองกันแต่ประเทศไทยเรามันก็ได้เหมือนกัน แต่มันก็ไม่ถูกเพราะมันก็เหมือน ๆ กันทุกประเทศ ควรจะรู้สึกสำนึกในฐานะเป็นของมนุษย์ ให้เป็นปัญหาของมนุษยชาติ ของ Humanity อย่าเป็นของใคร ของประเทศใด ทีนี้มนุษย์กำลังสูญเสียความเป็นมนุษย์ มนุษย์กำลังจะเป็นทุกข์จนไม่มีความเป็นมนุษย์ ถ้าปรึกษากันได้มันจะดี แม้ไม่ทั้งโลก เอาแต่เพียงส่วนนี้ของโลก พอมองเห็นกันส่วนนี้ เห็นความจริงข้อนี้แล้วคงจะร่วมมือกันแก้ไขได้ เดี๋ยวนี้มันไม่มีทางที่จะมาพูดกันรู้เรื่องอย่างนี้ เพราะกำลังกลัว กำลังอะไร บ้านแตกสาแหรกขาด ความกลัวขึ้นสมองอะไรกันอยู่ทั้งนั้น พูดกันไม่รู้เรื่องที่จะเอาธรรมะเป็นที่พึ่ง ผมก็เลยรู้สึกหรือตัดบทขึ้นมาว่ามันเป็นจังหวะที่มันเป็นอย่างนี้ก็ช่วยไม่ได้ ทุกประเทศอยู่ในลักษณะเดียวกันเป็นจังหวะที่จะต้องเป็นกันอย่างนี้ ไม่เฉพาะแต่ตรงนี้ ไม่เฉพาะแต่เอเชียอาคเนย์มันจะทั่วทั้งโลก ซึ่งจะมีปัญหาเหมือนกันคือว่า มันไร้ศีลธรรม ไร้ศาสนา เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว คอยจ้องแต่จะเอาเปรียบ พูดกันไม่รู้เรื่อง โดยส่วนใหญ่มันก็จะต้องใช้คำว่าอะไรละ มันไม่ถึงกับวินาศหมด แต่มันจะวินาศลง ๆ จนกว่าจะถึงระดับหนึ่งซึ่งเกิดนึกกันขึ้นมาได้พร้อมกันทั้ง ๆ โลก ไม่เอาแบบนี้แล้วจะเอาแบบความรัก ความเมตตากรุณา หันหน้าไปหาพระเจ้า หาธรรมะ หาศาสนา ฟื้นฟูธรรมะกันขึ้นมาใหม่ แล้วค่อย ๆ วิวัฒนาการกันมาอีกในรูปใหม่ อย่าให้มีส่วนเกินของวัตถุที่มันส่งเสริมกิเลส ให้มีจิตใจที่อยู่เหนือกิเลสไว้ มันจึงจะย้อนกลับไปหาความสงบสุข ที่เป็นผลของศาสนา ทีนี้มันทำเร็ว ๆ นี้ไม่ได้เพราะว่าจังหวะนี้มันเหวี่ยงช้าเหวี่ยงหนัก มันกำลังอยู่ในจังหวะที่มันต้องเป็นอยู่อย่างนี้ ก็ต้องรอ นี่หมายถึงทั้งโลก ปัญหาของโลกทั้งโลก ก็เป็นจังหวะที่เหวี่ยงไป ก็ต้องรอ แต่ถ้าเป็นปัญหาส่วนบุคคล ธรรมะช่วยได้เด็ดขาดเลย คือเราสามารถจะมีจิตใจอย่างอื่น ไม่ไปทุกข์ ไม่ไปร้อน ไม่ไปอะไรกับเขา ไม่มีความทุกข์เลย ดำรงจิตไว้ในสภาพอย่างนี้ ไม่มีความทุกข์เลยในท่ามกลางความทุกข์ในโลก นี่ธรรมะจะช่วยในส่วนนี้ คือเมื่อเราทำกับคนทั้งโลกไม่ได้ พูดกันไม่รู้เรื่อง เราก็สามารถทำของเราเอง ยังจะได้อย่างไรก็ไม่มีความทุกข์ ที่พูดว่าไม่มีตัวตนหรือตายแล้วก่อนตายนั่นน่ะมันฟังยาก ถ้าฟังเข้าใจจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ จะไม่มีความทุกข์แต่โดยประการใด นอกนั้นก็ทำไป ทำไป ตามที่เห็นว่าควรทำหรือจะเป็นประโยชน์หรือแก่ผู้อื่นด้วยก็ได้
สำหรับประเทศไทยเราไอ้เรื่องทางการเมืองนี้มันกำลังห้ามล้อไม่อยู่ มันต้องเป็นตามแบบขลุกขลักของเรื่องกิเลสตัณหา เรื่องโลกเหมือนกับประเทศอื่น ๆ เหมือนกัน มันห้ามล้อไม่อยู่ มองดูแล้วมันยังจะต้องรอจังหวะว่ามันจะเนือยลงบ้าง จึงจะห้ามล้อกันได้หรือพูดกันได้ ดึงมาศึกษากันได้ แต่ก็จะต้องคิดว่ายังจะดีกว่าประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมันก็จะต้องยุ่งยากลำบากเดือดร้อนไปเหมือนกันหมด นี้ถ้าจะกลับได้ ใครจะกลับได้ก่อนใคร ซีกตะวันตกจะกลับได้ก่อนซีกตะวันออก ซีกตะวันออกจะกลับได้ก่อน ก็ทำนายไม่ถูก มันขึ้นอยู่กับความขวนขวาย ความพยายามของมนุษย์อีกนั่นเอง โชคดีมนุษย์กลุ่มไหนมันไปเกิดเห็นคุณค่าของศาสนา ของธรรมะเข้า มันก็ปรับปรุงตัวก่อน มันก็อาจจะเป็นผู้นำในการย้อนกลับไปหาสันติสุขสันติภาพได้
ทีนี้ถ้าอย่างนั้นแล้วก็ถามว่าประเทศไทยล่ะ จะแสดงบทบาทนี้ ผมก็ไม่อยากจะพูด ถ้าพูดไปเดี๋ยวมันก็จะเป็นเรื่องว่าเข้าข้างตัวอีกนั่นแหละ จะพูดว่าประเทศไทยมีโอกาสอยู่มากกว่าประเทศอื่น เขาก็จะหาว่าเข้าข้างตัว แต่ที่จริงมันก็ควรจะเป็นประเทศไทยพูดกันรู้เรื่องก่อน เป็นภายในรู้เรื่องกันก่อนกลับตัวได้ ก็ดูยังมีธรรมะเหลืออยู่มาก ตามความคาดคะเนของผมนะ ผมไม่เคยไปไหนและไม่มีความสามารถจะไปเมืองนอกเมืองนาไปดูอะไร แต่ก็รู้ได้จากไอ้ข่าวสารหรือสิ่งต่าง ๆ ที่มันแสดงอยู่ ถ้าประเทศไทยยังไม่พลาดโอกาสอันนี้ก็จะดีมากสมกับที่เป็นประเทศไทย คือทำความรู้สึกกลับตัวได้ก่อน เป็นผู้นำที่ดีในทางจิตทางวิญญาณแก่ประเทศทั้งหลายในโลก เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่มองเห็น ยังไม่มีหวัง ยังมืดมัวอยู่มาก
นี้ผมก็โยนให้คุณบ้างเป็นไร คุณก็ควรนึกถึงด้วยเหมือนกัน ควรจะพยายามด้วยเหมือนกันที่จะให้มันเป็นอย่างนี้เร็วขึ้น ๆ มากขึ้น ๆ ถึงแม้ว่าจะสึกออกไปก็ขอให้ไปมีความรู้อย่างถูกต้องมีสติสัมปัชชัญญะที่เพียงพอดำรงตนอยู่อย่างเอาชนะกิเลสได้ ก็คงจะเป็นตัวอย่างที่ดี ถ้ามีเพื่อนฝูงก็พูดให้เข้าใจเรื่องนี้ในประเทศก็ได้นอกประเทศก็ได้ ให้เขาเข้าใจเรื่องของมนุษย์ อย่างมีไทย มีฝรั่ง มีอะไร มนุษย์มันกำลังจะสูญพันธ์เพราะความเป็นมนุษย์ มนุษย์ต้องมีจิตใจอย่างมนุษย์คืออย่างนี้ ๆ อย่าให้ถึงกับมิกสัญญีอย่างที่ว่านี้ ขอฝากไว้ด้วยว่าลองพิจารณาเรื่องนี้ แล้วก็พยายามทำให้สุดความสามารถที่จะทำได้เพื่อเป็นประโยชน์แก่มนุษย์ ใช้คำว่าทั้งโลกกำลังรับเคราะห์กรรมเหมือนกันหมดดีกว่า บางทีประเทศที่ป่าเถื่อนล้าหลังก็จะมีปัญหาน้อยกว่าก็ได้ ประเทศที่เจริญก้าวหน้าปะทะปัญหามากกว่า มันคอยแต่โยนบาปใส่กัน มันโยนความผิดใส่ประเทศอื่น อย่างประเทศนายทุนใหญ่ ๆ อุตสาหกรรมใหญ่ ๆ มันโยนบาปให้ประเทศกลุ่มโอเปกขายน้ำมันว่าขูดรีด ไม่เห็นแก่มนุษย์หรือสันติภาพของโลก นี่มันเป็นเรื่องที่ว่าข้างเดียวไม่มีความจริง ก็ไอ้ประเทศมหาอำนาจนายทุนอุตสาหกรรมมันทำให้เงินเฟ้อ แล้วประเทศเล็ก ๆ มันขายน้ำมันได้เงินเท่านั้น มันไม่พอกิน มันจะทำอย่างไร มันก็ต้องขึ้นราคาน้ำมัน มันเป็นความยุติธรรมของเขาแล้วที่เขาจะขึ้นราคาน้ำมัน ทำไมประเทศใหญ่ ๆ จะไปว่าเขา ด่าเขา คิดแต่ว่าจะลงโทษเขา มันยิ่งบ้าใหญ่ยิ่งผิดใหญ่ยิ่งอันธพาลใหญ่ ในโลกมันกำลังเป็นอย่างนี้ มันไม่มีความถูกต้องหรือยุติธรรม ประเทศเล็ก ๆ มันก็ผลิตได้เพียงเท่านี้ แล้วก็เงินมันเฟ้อ มันก็ต้องขึ้นราคา เงินเฟ้อเพราะประเทศใหญ่ ๆ มันก็ทำให้เฟ้อ เพราะประโยชน์ของตัว ฉะนั้นจึงเห็นว่ายังอีกนานกว่ารู้จักธรรมะ รู้จักเพื่อนมนุษย์ รู้จักความรับผิดชอบอย่างมนุษย์ร่วมกัน ช่วยกันไปเผยแผ่ธรรมะ ให้มันเข้าใจความเป็นมนุษย์
นี่เป็นความคิดที่ผมฝากหรือเสนอ จะผิดหรือถูกก็ลองไปคิดกันดูเอง แต่เท่าที่คิดมาหลายสิบปีแล้วมันเป็นอย่างนี้ มันอยู่ในลักษณะอย่างนี้ เดี๋ยวนี้โลกเรากำลังต้องการศีลธรรมอย่างยิ่ง แล้วก็ไม่มีใครพูดถึง พูดถึงแต่เทคโนโลยี ก็ปล่อยให้เทคโนโลยีแก้ปัญหาไปดู เว้นไว้แต่จะเอาคำว่าเทคโนโลยีมาใส่เข้าในศีลธรรม ให้ศีลธรรมหรือธรรมะมันเป็นเทคโนโลยีขึ้นมาในแบบของมันเท่านั้น จึงจะแก้ปัญหาได้ ประเทศเล็ก ๆ กลุ่มนี้ ประเทศไทย เขมร พม่าก็เคยเคร่งครัดในศาสนา ไปดูร่องรอย เหมือน ๆ กัน คล้าย ๆ กัน ทีหลังมันแยกกัน มันกระจัดกระจายกัน มันเดินกันคนละทาง มันไปเป็น เป็นสมุน เป็นบริวารอุดมคติใหม่ ๆ หมดโดยเพ่งแต่ทางวัตถุอย่างเดียว กลัวมากเกินไปในเรื่องทางร่างกายจะตาย เรื่องจิตใจจะตายไม่ได้กลัว ร่างกายจะตาย เพราะจิตใจมันตายก่อน ความรู้กำลังเป็นหมัน ความรู้ทางธรรม ทางศาสนากำลังเป็นหมัน คือไม่ถูกใช้อย่างนี้ โลกก็ต้องเป็นอย่างนี้ ก็ต้องพยายามให้มันถูกนำเอาออกมาใช้ ผมก็ได้แต่นึกคิดหรือเตรียมไว้ ถ้าพูดอย่างดีก็คือเตรียมไว้ แล้วก็ไม่มองเห็นว่าใครมันจะเอาไปใช้ในเร็ว ๆ นี้ แต่ก็จะเตรียมไว้ เพื่อจะยืนยันได้ว่า เรามี (นาทีที่ 01:34:38) คือเรามีหนังสือให้อ่านพูดอย่างนี้ดีกว่า ก่อนนี้เขาหากันมากว่าไม่มีหนังสือจะอ่าน พวกที่อยากจะศึกษาเขาไม่มีหนังสือจะอ่าน เดี๋ยวนี้เราจะแก้ปัญหาได้สักขั้นหนึ่งก่อนว่ามีหนังสือให้อ่าน แล้วคุณจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ จะชอบหรือไม่ชอบก็อีกเรื่องหนึ่ง ที่พูดว่าไม่มีหนังสือจะอ่านอย่างเมื่อ๒๐ – ๓๐ ปีมาแล้วจะพูดไม่ได้แล้ว เพราะมีหนังสือให้อ่าน เป็นเรื่องในพระคัมภีร์โดยตรง เลือก เฟ้นอะไรกันอย่างดี (นาทีที่ 01:35:12) กระทั่งการวินิจฉัยตีความอะไรให้มันถูกต้องและใช้เป็นประโยชน์ได้ Apply ได้ ส่วนผมเองนั้นผมถือว่าตายแล้วตลอดเวลา ผมจึงไม่มีปัญหาและไม่มีทุกข์ร้อนอะไร นี่มันอะไรก็ไม่รู้ ที่มันมีชีวิตอยู่มันทำไป เราไม่ถือว่าเรา ของเรา เพื่อเรา หรือเรากลัวจะไม่ได้ทำ เรากลัวจะเสียอะไรไม่มีล่ะ มันก็คงทำไปอย่างเครื่องจักร อย่างที่เรามานั่งพูดฟังกันอย่างนี้ เราก็ทำไปอย่างเครื่องจักร ก็พูดไอ้เรื่องที่เห็นว่าดีที่สุดตามความรู้สึกของตน
[T1]ไม่แน่ใจตัวสะกด
[T2]ไม่แน่ใจตัวสะกด นึกไปเองว่าน่าจะหมายถึง ผ้ากาสาวะ แต่ท่านก็ออกเสียงว่า กาสายะ เลยไม่แน่ใจค่ะ
[T3]ฟังไม่ชัด
[T4]ท่านออกเสียงว่า ชี-วิด-ทะ-ยา แต่ไม่แน่ใจว่าจริง ๆ ท่านต้องการหมายถึง ชีววิทยา หรือไม่
[T5]ฟังไม่เข้าใจ
[T6]ฟังไม่ชัด ท่านพูดไปหัวเราะไป
[T7]ฟังไม่ชัด