แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
(เสียงท่านพุทธทาส) ท่านที่เป็นราชภัฏผู้ลาบวชทั้งหลายในการบรรยายครั้งที่ ๙ นี้ ผมจะได้กล่าวโดยหัวข้อว่าการสามารถชิมรสนิพพานบางเวลา หัวข้ออย่างนี้เมื่อคนบางคนได้ยินเข้า ก็หาว่าเป็นเรื่องบ้าบออีกตามเคย เช่นเดียวกับไอ้หัวข้อที่ว่าชิมรสของโลกอื่นหรือปรโลก คนโดยมากแม้ที่เป็นนักศึกษาหรือเป็นนักศึกษาเต็มตัวก็ตามจะไม่ยอมรับว่าเรื่องนิพพานนี่เป็นเรื่องที่ควรศึกษาสำหรับฆราวาสอย่างสามัญธรรมดา แล้วคนบางพวกก็ถือว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกฝาถูกตัว แล้วถ้าคนชั้นโบราณหน่อยก็ถือว่าเรื่องนิพพานนั้นเป็นเรื่องที่ยังไม่ต้องพูดอะไร นอกจากว่าเราก็ทำอะไรไปพลางในลักษณะที่เป็นนิสัยหรือปัจจัยแก่พระนิพพานในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ ก็ว่าอนาคตกาลนั้นเขากำหนดไว้เป็นกัปป์ กัปป์ เป็นแสนกัปป์ เรื่องนิพพานก็เป็นระดับเดียวกับสุญญตา พอเอาเรื่องสุญญตามาพูด ก็มีนักปราชญ์ทั้งหลายค้านกันหัวสลอนไปเลยว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ควรเอามาพูด คือมันไม่ถูกฝาถูกตัวกันกับคนสมัยนี้ ทีนี้บางคนเลยไปกว่านั้นอีกก็คือว่า ถ้าเอาเรื่องนี้มาพูดจะทำให้คนเขาหยุดไปหมดเหมือนกับว่าปล่อยมือปล่อยตีนไม่ต้องทำอะไรเพราะหวังนิพพาน ที่ต้องการจะศึกษาและปฏิบัตินิพพาน นี้เป็นความโง่ที่หลายซับหลายซ้อน ไอ้ทั้งนี้มันก็จะโทษใครไม่ได้เพราะมันบังเอิญมันเป็นมาอย่างนี้ตั้งแต่แรก ๆ เริ่มเดิมที เขามาสอนกันเรื่องพระนิพพานกันแบบนั้นให้เข้าใจอย่างนั้นก็เหลือมากระทั่งจนทุกวันนี้ ทีนี้อยากจะให้มองเห็นว่าถ้าไม่สนใจเรื่องนิพพานก็ป่วยการที่จะศึกษาพุทธศาสนา มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่จะมาศึกษาพระพุทธศาสนาโดยไม่สนใจเรื่องนิพพาน เพราะเรื่องอื่น ๆ ที่นอกจากนั้นนะมันก็มีทั่ว ๆ ไป ในหลักศาสนาไหนก็มี ในศีลธรรมธรรมดาสามัญทั่ว ๆ ไปมันก็มี นั้นพุทธศาสนามีให้ที่ไม่เหมือนเขาอื่นทั้งหลายคือเรื่องนิพพาน แต่แม้ว่าเราจะพูดอย่างนี้มันก็ยังเป็นเรื่องที่เอาเปรียบ คือมองไม่เห็นว่านิพพานเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นเราจะต้องพูดกันให้ชัดลงไปจนเห็นชัดว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่านิพพาน ให้มากที่สุดเท่าที่จะเกี่ยวข้องได้อยู่ตลอดเวลา แม้จะไม่เป็นนิพพานชั้นสมบูรณ์คือชั้นพระอรหันต์ นั้นก็เป็นนิพพานชั้นรองลงมา แล้วคำนี้ คำว่านิพพานนี้ใครจะสงวนกรรมสิทธิ์ สงวนลิขสิทธิ์เอาไปใช้เป็นของตนโดยเฉพาะและจำกัดความไว้แต่เพียงอย่างเดียวนั้นมันก็ไม่ได้ เพราะว่าเขาได้ใช้กันมาตั้งแต่ก่อนที่พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลก ถ้ายังไม่ทราบก็ทราบเสียด้วยหลักเกณฑ์อันนี้ว่าคำพูดธรรมดาสามัญเขายืมไปใช้ในภาษาของธรรมะอันสูงและก็มีใช้กันอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนพุทธกาล คำว่านิพพานก็ดี คำว่าอรหัตต์ อรหันต์อะไรก็ดี เขาก็มีเรียกใช้กันอยู่ก่อนแล้ว แล้วก็บัญญัติความหมายตามที่เจ้าลัทธินั้น ๆ จะเข้าใจจะสอนให้ว่านิพพานนั้นคืออะไร คืออย่างไร แล้วก็ถูกเปลี่ยนความหมายมาเรื่อย เรื่อย ๆ จนกระทั่งพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นจึงทรงบัญญัติว่านิพพานต้องอย่างนี้ ๆ แต่ก็มิได้หมายความว่าไอ้นิพพานในความหมายก่อน ๆ นั้น มันจะไม่ได้มีความหมายของคำว่านิพพานเสียเลย เพราะคำว่านิพพานนั้นเป็นของเย็น อะไรเย็นได้เท่าไรก็เรียกว่าสงเคราะห์เข้าไปในนิพพานได้ทั้งนั้น มีคนไปเฝ้าพระพุทธเจ้าในครั้งแรกที่ไม่เคยรู้เรื่องกันมาก่อนไปทูลพระพุทธเจ้าว่า ข้าพเจ้ามานี่เพื่ออยากศึกษาเรื่องนิพพานอย่างนี้เป็นต้น เขาก็ต้องรู้ความหมายของนิพพานความหมายใดความหมายหนึ่งมาแล้ว แล้วไม่พอใจอยากจะได้ความหมายที่ดีกว่านั้น
ทีนี้นิพพานในความหมายตามรูปศัพท์ ตามธรรมดาสามัญทั่วไป มันทำให้เกิดมีนิพพานขึ้นได้หลายระดับ หลายขนาด นั้นเราจึงสนใจในความหมายอย่างนี้ก่อน จนกระทั่งรู้ไอ้ความหมายของนิพพานที่สมบูรณ์ เพราะว่าบางอย่างมัน มันก็คืออันเดียวกัน เพียงแต่ว่าไอ้ที่สมบูรณ์นั้นมันเด็ดขาดตายตัวลงไปไม่ ไม่กลับไปกลับมา ถ้าไม่สมบูรณ์มันก็กลับไปกลับมาหรือว่าไม่ถึงขนาดเต็มที่ เราจะได้พิจารณากันในทุกความหมายสำหรับคำว่านิพพาน จนกระทั่งให้สามารถที่ชิมรสของพระนิพพานตามมากตามน้อยอยู่ในบางเวลา การบรรยายนี้ก็เนื่องกันมาเป็นลำดับ ล้วนแต่ระบุถึงสิ่งที่จะมีความสะดวกในการที่จะรู้จักหรือปฏิบัตินั้น เมื่อผู้นั้นได้ละจากบ้านเรือนมาบวชแม้ชั่วคราว ก็ขอให้นึกถึงเรื่องที่แล้วมา เช่น เรื่องปรทัตตูปชีวี เป็นอย่างไร เราสามารถจะถือลัทธินี้ได้มากน้อยเพียงไร กระทั่งเรื่องของการชิมรสแห่งปรโลกคือโลกอื่น นั่งอยู่ที่นี่ตรงนี้ที่เดียว สามารถจะไปชิมรสแห่งโลกอื่นที่เรียกว่าปรโลกได้ โดยวิธีที่เรียกว่าโอปปาติกะ คำนี้มันแปลว่าเกิดผลุงขึ้นมาในทางจิตทางวิญญาณโดยไม่ต้องเข้าไปในท้องแม่แล้วจึงเกิด เกิดเป็นทารกแล้วเติบโตขึ้น นี่ถ้าเกิดอย่างนี้มันเกิดทางจิตทางวิญญาณ เขาเรียกว่าโอปปาติกะ ควรจะอธิบายอย่างนี้ แต่เขาก็ไม่อธิบายกันอย่างนี้ เขาก็บอกว่าถ้าคนตายลงนี่ วิญญาณก็ไปเกิดที่เทวดา ที่เทวโลกนั้นไปผลุด ผุดโพลงขึ้นมาเป็นเทวดาอย่างนั้นเลย แต่ครั้นเขาถามว่า อ้าว, ถ้าไปเกิดในท้องแม่ละว่ายังไง มันก็ต้องไปเกิดในครรภ์ของมารดา ค่อยเป็นทารกเติบโตอีกก็ไม่มีโอปปาติกะ ก็เลยไม่แน่ว่าชนิดไหน ที่แน่นอนก็คือว่ามันเกิดทางจิตใจก็แล้วกัน กับร่างกายนั้นมันก็อย่างไรก็ได้ ไปตามเดิมก็ได้ ความคิดมันเปลี่ยนไปอย่างไรมันก็คือการเกิดอย่างนั้น เกิดเป็นคนโง่ เป็นคนฉลาด เป็นคนพาล เป็นบัณฑิต แม้แต่เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ ในร่างมนุษย์นี้เมื่อความคิดจิตใจมันเป็นอย่างสัตว์เดรัจฉานไป นั้นโดยวิธีโอปปาติกะนี่เรายังสามารถชิมปรโลกหรือโลกอื่นได้ ถ้าเข้าฌานสำเร็จ มันก็ชิมปรโลกในชั้นพรหมโลกได้อย่างนี้เป็นต้น แล้วที่มันเป็นไปเองโดยที่ไม่ได้บังคับ หรือบังคับไว้ก็ไม่ได้ มันเป็นไปเอง คือความคิดเลว ๆ ที่มันเป็นไปเอง มีการคิดอย่างอันธพาลมันก็เกิดเป็นอันธพาลขึ้นมาทันที มีความคิดอย่างบัณฑิต ก็เป็นบัณฑิตขึ้นมาทันที นั่นจึงสามารถที่จะไปสู่ปรโลกได้อย่างนั้นอย่างนี้อย่างนู้น
สรุปความให้สั้นที่สุดสำหรับคำว่าโลกนะ ช่วยจำไว้ด้วยว่าไอ้โลกนั่นมันคือสิ่งที่มันมาถูกจิต สิ่งที่เข้ามาสัมผัสกับจิตหรือเข้ามาถูกกับจิตนั่นน่ะคือโลก ถ้ามันอยู่ข้างนอก มันก็เป็นโลกที่ไม่มีความหมายต่อเมื่อมันเข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจเองก็ตาม เข้ามาสัมผัสถึงจิตถึงใจนั่นแหละ สิ่งนั้นเรียกว่าโลก กระทั่งเป็นความรู้สึกของจิตจนรู้สึกอย่างกามมันก็เป็นกามโลก ฉะนั้นอย่าไปถือเอาความหมายทางวัตถุว่าตัวโลกคือเรื่องนั้นอย่างนี้ เห็น ๆ อยู่ข้างนอกนี่ ไอ้ตัวโลกในทางธรรมในทางภาษาธรรมคือสิ่งที่เข้าไปกระทบกับจิต รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสให้แก่ร่าง (นาทีที่ 14:05 ) จิตนั้นมันเป็นสิ่งที่สัมผัสโลก โดยอาศัยทวาร ตา หู จมูก ลิ้น กาย มิใช่คน ถ้าพูดถึงจิตแล้วก็จะเห็นว่ามันไม่มีคนหรือไม่ใช่คน เพราะเป็นแต่เพียงจิตมันรู้สึกอาศัยร่างกายนี้เป็นสะพาน ดังนั้นที่คนคิดคนทำอันนั้น มันเป็นจิตคิด จิตทำ จึงมีความที่จิตนี่จะสัมผัสโลกต่าง ๆ กันเป็นปรโลก โลกนั้นโลกนี้ อย่างกลับไปกรุงเทพฯ แล้วอยู่ที่กรุงเทพฯ ก็สามารถที่จะสัมผัสโลกที่สวนโมกข์นี้ได้ ถ้ายังจำได้อยู่ ความรู้สึกประทับเป็นสัญญา เป็นอะไรอยู่ หรือว่าเราอยู่ที่สวนโมกข์นี่อาจจะสัมผัสถึงโลกที่กรุงเทพฯ ก็ได้ ในความรู้สึกนั้นมันยังรู้สึกได้อยู่ ความรู้สึกอย่างที่เคยผ่านมาแล้ว กระทั่งรู้สึกอิดหนาระอาใจ รำคาญ เบื่อนี่
ทีนี้จิตนี้มันก็เป็นสิ่งที่เปลี่ยนรูปเปลี่ยนร่างเปลี่ยนอะไรได้ โดยที่เป็นไปเองก็ได้ ก็เป็นปัจจัยภายในหรือปัจจัยภายนอกเข้าไปแวดล้อมมันก็ได้ นั้นเราสามารถจะเปลี่ยนเรื่องที่มาสัมผัสจิตได้ อย่างเมื่อมันร้อนขึ้นมา มันโกรธขึ้นมา หรือมันรำคาญฟุ้งซ่านอะไรขึ้นมา เราสามารถจะเปลี่ยนให้มันเป็นเย็นได้ จะกลายเป็นโลกที่เย็น ไอ้โลกที่ร้อนมันทำให้กลายเป็นโลกที่เย็นได้ ถ้าเรารู้เรื่องนี้ เพราะฉะนั้นเราจึงควรจะรู้เรื่องนี้กันเสียบ้างจึงเอามาพูด แล้วก็มันมีวิธีที่จะฝึกให้ได้อย่างนั้นจริง ๆ ด้วย เกิดโกรธขึ้นมา ก็มีวิธีฝึกให้เปลี่ยนสลับความโกรธออกไป กลายเป็นปกติ หรือกลายเป็นเมตตา เป็นกรุณาไป เร่าร้อนอยู่ด้วยกิเลสข้อใดก็ตาม เพียงแต่สลัดความรู้สึกนั้นออกไปเสีย ก็ขึ้นมาจากไอ้โลกนรกนั้นมาอยู่ในโลกปกติธรรมดาสามัญได้ กระทั่งไปอยู่ในสมาธิ ในฌานก็เป็นพรหมโลกได้ นั้นก็ชิมปรโลกได้ทุกชนิด ข้อนี้มันก็คล้ายกันที่จะชิมรสของนิพพาน บางอย่างบางชนิดบางระดับบางเวลาได้จึงเอามาพูด
ทีนี้ก็จะพูดต่อไปถึงคำว่าสามารถสักหน่อย เพราะเราพูดโดยหัวข้อว่าการสามารถชิมรสของพระนิพพาน คำว่าสามารถนี่มันก็บอกอยู่แล้วว่ามันไม่ใช่มีอยู่ตามธรรมดา เราต้องทำให้มันสามารถขึ้นมา จริงน่ะอยู่มันสามารถอยู่ในวิสัยที่จะทำได้ แต่มันก็มิได้มีอยู่ เราต้องทำให้มันอยู่ในอำนาจของเรา เราจึงจะสามารถมีสิ่งนั้น เข้าถึงสิ่งนั้น คำว่าสามารถในภาษาชาวบ้านตามธรรมดามีความหมายน้อย ในภาษาธรรมนี่มีความหมายมาก คือสามารถจะทำให้ผิดแปลกไปจากธรรมดาอย่างเกินคาด ถ้าสามารถฝึกจิตให้เป็นสมาธิ ให้เป็นฌานได้ ก็สามารถที่จะทำอะไรได้มากกว่าธรรมดาอย่างที่จะเปรียบกันไม่ได้ หรือจะกล่าวอีกทีหนึ่งว่าจิตของคนเรานี้ถ้าฝึกฝนให้ดีให้ถูกต้องตามธรรมชาติของมันแล้ว มันก็เป็นจิตที่สามารถจะทำอะไรได้มากเกินคาด เกินที่เคยคิด เคยนึก มันต้องเป็น มันต้องเป็นการกระทำที่ถูกต้อง คือฝึกฝนที่ถูกต้องตามเรื่องราวตามลักษณะของมัน เขาเรียกว่าอจินไตย วัตถุ (นาทีที่ 19:23) พุทธวิสัย ฌานวิสัย กรรมวิบากนี่โลกจินต์ พุทธวิสัยคือว่าความสามารถของพระพุทธเจ้า ฌานวิสัยคือความสามารถของฌาน วิบากของกรรมในการคิดของคนไม่สามารถที่จะกำหนดลงไปได้ว่าเท่านั้นเท่านี้ มันไกลเกินกว่าที่จะคำนวณ เรื่องจิตนี่ก็เหมือนกันแหละคือฌานวิสัย วิสัยแห่งฌาน คือจิตที่เป็นสมาธิ มันสามารถที่จะทำอะไรได้มากกว่าที่คิด แม้ที่สุดแต่ไอ้โลกจินต์ โลกจินตา คือความคิดของโลกนี่ มันก็ยังไปไกลได้อีกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เราเห็น ๆ กันอยู่ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนี่ มันจะไปอีกไกลจนไม่มีที่สิ้นสุด อย่างที่ผมบอกคุณเมื่อวานว่า หรือวันก่อนว่าไม่เท่าไรไอ้เรื่องการไปโลกพระจันทร์ก็เป็นเรื่องของเด็กอมมือ สิ่งที่เรียกว่าโลกจินต์นั้นมันยังจะไปอีกมาก นี้ฌานวิสัย วิสัยแห่งจิตที่เป็นสมาธิยังไปไกลกว่านั้นอีก ถึงเรื่องที่จะให้ชิมรสของพระนิพพานนั้นไม่เหลือวิสัย คำว่าสามารถในที่นี้จึงถือว่าเป็นความสามารถของจิตที่อบรมดีแล้ว หรืออบรมถูกตรงตามวัตถุประสงค์นั้น ๆ แล้ว จึงมีความสามารถชนิดที่คำนวณไม่ได้ นี่คือคำว่าสามารถแหละ จึงอยู่ที่การศึกษาฝึกฝนอบรมจิตให้มันเจริญ ถึงระดับที่จะทำอะไรได้สูงสุด
ทีนี้ก็มาถึงคำว่านิพพาน คำว่านิพพานตามตัวหนังสือแท้ ๆ ก็ถือว่าแปลกันได้หลายอย่าง แต่ที่เป็นธรรมดาสามัญที่สุด ยืมมาจากภาษาชาวบ้านในบ้านเรือน คำว่านิพพานนั้นแปลว่าดับเย็น แล้วก็นิยมเรียกสั้น ๆ ว่าดับ มันต้องมีสิ่งที่ร้อน มันจึงจะลุกโพลงขึ้นมาจึงจะมีการดับลงไป อย่างต้องมีไฟยังนี้จึงจะมีการดับไฟ ทีนี้จะพูดว่าดับ ดับเย็นลงไป มันก็ต้องมีสิ่งที่ร้อน เพราะฉะนั้นคำว่านิพพานจึงหมายถึงการดับแห่งสิ่งที่มีความร้อน ความหมายอย่างอื่นยังมีอีกเช่นความไม่เสียดแทง เขาแยกศัพท์ไปเป็นอย่างอื่น เป็นนิรฺ วาณ (นาทีที่ 23:00) ไม่มีการเสียดแทง ไม่มีการไป มีแต่การหยุด ดังนี้ก็มี นั้นจะแปลนิพพานว่าดับเย็นก็ได้ แปลว่าไม่เสียดแทงก็ได้ แปลว่าหยุดก็ได้ แต่ความหมายที่แท้จริงตามที่ผมได้ศึกษาสังเกตค้นคว้ามา หรือว่าที่มันมีที่มาให้เราเห็นในพระบาลีทั้งหลายนี่ เป็นเหตุให้เชื่อได้ว่าคำว่านิพพานนี่มาจากคำว่าดับเย็นของสิ่งที่ร้อน เพราะมันมีเรื่องในพระบาลีว่ามีการพูดจากันในบ้านเรือนในครัวนี่ ของเย็นแล้วมากินได้ หรือว่าถ่านไฟแดง ๆ นี่มันนิพพานแล้ว ใช้คำว่านิพพานสำหรับคำว่าเย็น เย็น พูดง่าย ๆ ก็เช่นว่าไอ้ข้าวต้มมันร้อน มันกินไม่ได้ต้องบอกว่ารอให้มันนิพพานก่อนมันจึงจะกินได้ หรือถ่านไฟนี่ ถ้าเราคีบเอามาจากเตาเอาวางไว้ มันก็จะนิพานลง นิพพานลง นี่คือภาษาของชาวบ้านตามธรรมดาที่พูดกันอยู่ในครั้งกระนู้น ครั้งที่มีการใช้ภาษานี้ นี้ต่อมาคำเหล่านี้ถูกยืมมาใช้ในเรื่องของธรรมะ หรือเรื่องทางจิตทางวิญญาณ เอาความหมายคำว่าดับเย็นนี่มาใช้ในเรื่องของดับกิเลส ซึ่งเปรียบเหมือนกับไฟ กิเลสเป็นของร้อนไฟกิเลสดับลงก็คือดับเย็น ใช้คำว่านิพพาน คนที่ไม่ไปพบการดับกิเลสเข้าในครั้งแรก มันก็จะพูดกับคนอื่นได้อย่างไร ถ้าไม่ไปยืมคำที่เขาพูดกันอยู่ก่อนแล้วมาใช้ ก็เลยใช้คำว่านิพพานที่เขาพูดกันอยู่ก่อนว่าเป็นนิพพานแห่งกิเลส คือเย็นลงแห่งกิเลส ถ้าจะให้กว้างก็ต้องใช้คำว่าเย็นลงแห่งสิ่งที่มีความร้อน หรืออันตราย หรือพิษร้ายทั้งหลาย มันจึงเกิดมีนิพพานตามที่เราพบในบาลีขึ้นมาอย่างน้อยเป็น ๓ ระดับ ระดับวัตถุ เช่น ถ่านไฟร้อน ๆ ข้าวต้มร้อน ๆ ดับลงไป เย็นลงไปนั่นแหละก็มันนิพพาน วัตถุมันนิพพาน ไม่ใช่สิ่งที่มีชีวิต ทีนี้สิ่งที่มีชีวิตก็คือลำดับที่ ๒ คือสัตว์เดรัจฉานถ้าสัตว์เดรัจฉานตัวนี้ ยังมีอันตราย มีพิษ มีสง มีความเป็นอันตรายแก่มนุษย์นี่ ก็เรียกว่ามันยังไม่นิพพาน เอามาทำให้เชื่องเป็นแมวไปหมด อย่างเอาเสือมาทำให้เชื่องเป็นแมวที่บ้านนี่ ก็เรียกว่าเสือตัวนั้นนั่นมันก็นิพพาน สัตว์อื่นก็เหมือนกันที่เอามาฝึกให้อยู่ในอำนาจของมนุษย์โดยสิ้นเชิง ก็เรียกว่าสัตว์ตัวนี้มันก็นิพพาน คือมันหมดโทษร้าย อันตราย คือหมายถึงเย็นลงแห่งสิ่งที่อันตรายหรือร้อนเหมือนกัน นี้ถ้าหมายคนล่ะ มนุษย์นี่ อะไรที่เป็นของร้อนแก่จิตใจก็เรียกเรียกว่าไฟ อันนั้นเย็นลงก็เรียกว่านิพพานสำหรับคน ไม่ได้หมายความว่าเอาไฟมาจี้เข้าที่หนังแล้วมันร้อน แล้วก็เอาน้ำราดลงไปจะเป็นนิพพาน อย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น นั้นมันเป็นเรื่องของวัตถุแล้ว แม้ร่างกายเรานี้ก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง ถ้ามันร้อนแล้วมันเย็นลงก็คือมันเป็นนิพพานในส่วนวัตถุ นี้พูดกันเรื่องส่วนจิตใจ
ความเร่าร้อนของคนเราที่จะเย็นลงได้ถ้าแบ่งดูตามเรื่องในพระบาลีมันก็มีอยู่ถึง ๓ ระดับอีกเหมือนกันสำหรับคน สำหรับมนุษย์ล้วน ๆ ถ้าจิตมันร้อนกระวนกระวายไปด้วยความต้องการหรือความอยาก แม้เป็นเรื่องกามารมณ์ พอได้เสพ ได้เสวยสิ่งนั้นลงไป แล้วมันก็เย็นลง เหมือนการได้บริโภคกามารมณ์มันก็เป็นนิพพานสำหรับจิตที่เร่าร้อนไปด้วยกามารมณ์ นิพพานอย่างนี้ก็มีอยู่ในพระบาลีของผู้อื่นนอกพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นต้นตอ เป็นเงื่อนงำให้บูชากามารมณ์เป็นของสูงสุด จนกระทั่งเป็นลัทธิหนึ่งขึ้นมา เหลืออยู่กระทั่งทุกวันนี้ แต่อธิบายไปต่าง ๆ กันโดยใช้กามารมณ์เป็นเครื่องระงับความร้อนของกิเลสจนกระทั่งรู้อะไรกันได้ อย่างนี้ก็เรียกว่ามีความสมบูรณ์แห่งกามารมณ์เป็นนิพพาน เราก็เห็นได้ชัดทันทีว่าไม่ใช่เรื่องเด็ดขาด ไม่ใช่เรื่องแท้จริง นี้ต่อมามีผู้พบว่าไม่ได้ อย่างนั้นไม่ได้ มันก็พบเรื่องจิตเป็นสมาธิ ทำจิตให้เป็นสมาธิ บรรลุฌาน ถึงฌานกันไปแล้วกัน จะเป็นปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌานนี้มันก็ไปตามลำดับกระทั่งถึงอรูปฌานที่เราอยู่กันอยู่เดี๋ยวนี้ว่า รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ เข้าไปถึงฌานที่สูงได้เท่าไร มันก็เป็นนิพพานมากขึ้นเท่านั้น เพราะมันละเอียดประณีตดับเย็นมาขึ้นเท่านั้น นี้เรียกว่ามีฌานเป็นนิพพานอีกแบบหนึ่ง ก็มียุคหนึ่งตั้งแต่ก่อนพุทธกาล หรือแม้ในสมัยพุทธกาลนั้นก็ยังเหลืออยู่ เป็นความเย็นที่ประณีตละเอียดสุขุมขึ้นมาอีก ยิ่งกว่าไอ้ ไอ้เรื่องของกามารมณ์เย็น ต่อมาพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ก็บอกว่าอย่างนั้นไม่ควรยังไม่ควรจะเรียกว่านิพพานในความหมายที่สมบูรณ์ ต้องเป็นดับกิเลสสิ้นเชิง ดับร้อนแห่งกิเลสสิ้นเชิงจึงจะเป็นนิพพานที่ถูกต้อง ท่านว่าอย่างนี้ เป็นลัทธิของท่านไป ถือเป็นลัทธิของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็ได้ มีหลักว่าสิ้นไปแห่งราคะ โทสะ โมหะนั้นคือนิพพาน ก็เลยเป็นนิพพานที่ระบบสุดท้าย ที่เป็นระบบสุดท้ายคือไม่มีใครจะมาทำการบัญญัติให้สูงไปกว่านั้นได้อีก นี้เราจึงมีนิพพานที่สมบูรณ์ตามหลักแห่งพุทธศาสนาอย่างนี้ ทีนี้ก็อย่าลืมว่าคำว่านิพพานนั้นก็ตั้งต้นมาตั้งแต่วัตถุ แล้วก็ตั้งต้นมาทางสัตว์เดรัจฉาน แล้วมาถึงคน มาถึงคนก็เป็นระดับ ๆ อยู่ตามแต่ที่เขาจะรู้จักไอ้ความเย็นนี้ได้มากน้อยเท่าไร เราจะจัดนิพพานของกามารมณ์นั้นเป็นเรื่องของทางร่างกายก็ยังได้ เพราะมีคำอธิบายที่ถือเป็นหลักได้ว่าความ รู้สึกทางกามนี่บางทีมันเป็นเพียงปฏิกิริยาของต่อม Gland ทางเพศ นี่มันถึงขนาดสุกงอมหรือว่าสมบูรณ์ขึ้นมา เมื่อเกิดความรู้สึกอันนี้ขึ้นมา ไม่ใช่เป็นเรื่องจิตใจล้วน ๆ มันเห็นได้ที่สัตว์เดรัจฉานมันคิดไม่เป็น มันก็เกิดความรู้สึกทางกามไม่ได้ ต่อเมื่อไอ้ต่อม Gland ต่าง ๆ มันถึงรอบที่มันแก่รอบของมัน จึงจะเกิดความรู้สึกได้ คือมีอะไรไปกระตุ้นความรู้สึกระบบนั้นเข้า มันจึงจะเกิดขึ้นมา นั้นสัตว์เดรัจฉานตัวเมียจึงมีความรู้สึกทางกามารมณ์เป็นฤดูในระยะอันสั้น ถือเป็นเรื่องทางร่างกายอยู่มาก ถึงจะเรียกว่าร่างกายล้วน ๆ ในความหมายหนึ่งก็ยังได้ ก็เป็นนิพพานที่เกี่ยวกับกายอยู่มาก ถ้าทำให้มันระงับไปได้
นี้ทางจิต จิตเป็นสมาธิ ทำสมาธิเพื่อจะระงับเครื่องรบกวนจิตที่เรียกกันว่านิวรณ์ ความรู้สึกที่เป็นเหตุให้ไม่สบายใจหลาย ๆ อย่างเรียกว่านิวรณ์นี่ มันก็ร้อนเมื่อมีสมาธิระงับไปเสีย เรื่องนิวรณ์ ๕ นี้คงจะท่องกันได้อยู่แล้ว ก็ไม่ต้องอธิบาย เรียกว่า กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา เป็นสิ่งที่รบกวนเป็นประจำวัน ถ้ามีสมาธิก็ตัดนี้ไปได้ ก็เรียกว่าเป็นนิพพานของนิวรณ์ ก็สบาย ใครจะปฏิเสธได้ว่าเมื่อไม่มีนิวรณ์รบกวน มันก็สบาย นี้ปฐมฌาน ฌานที่ ๑ ก็ดับได้ระดับหนึ่ง ฌานที่ ๒ ก็ดับได้มากขึ้นไปอีก ที่ ๓ ที่ ๔ ก็ดับได้มากขึ้นไปอีก กระทั่งเป็นอรูปฌาน อากาสานัญจายตนะ กระทั่งถึง เนวสัญญานา สัญญายตนะ ซึ่งเป็นลัทธิแห่งอาจารย์คนสุดท้ายที่พระพุทธเจ้าท่าน ที่พระสิทธัตถะก่อนเป็นพระพุทธเจ้าได้เคยไปศึกษาด้วย ที่เรารู้จักชื่อของเขาว่าอาฬารดาบส อุทกดาบส เป็นต้น เขาสอนนิพพานได้เพียงเท่านั้น มันก็เย็น เย็น เย็นมากเหมือนกัน เย็นโขอยู่เหมือนกัน มันถึงระดับที่เรียกว่าเป็นสมาบัติ แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ยังไม่ยอมรับว่านี่เป็นที่สุดแห่งความทุกข์หรือความร้อน ต้องไปทำในระดับที่เรียกว่า เลยจิตเข้าไปอีก วิญญาณ ที่ผมชอบใช้คำว่าวิญญาณหมายถึง ทิฏฐิ ความคิด ความเห็น ความเข้าใจสติปัญญาระดับนี้ ซึ่งเดี๋ยวนี้เขาชอบเรียกกันว่าไอ้ Spiritual Spiritual แก้ไขปัญหาส่วนนี้หมดไป คือมีความเข้าใจถูก มีสัมมาทิฏฐิสมบูรณ์ รู้จักทุกสิ่งตามที่เป็นจริง แล้วก็ปฏิบัติถูกต้องตามที่เป็นจริงมันจึงดับ สิ่งที่เรียกว่ากิเลส หรือความเรื้อรังแห่งกิเลสที่เรียกว่าอนุสัย หรือความเตรียมพร้อมของกิเลสที่เรียกว่าอาสวะ ได้หมด กิเลสตามธรรมดา กิเลสที่กำลังทำหน้าที่อย่างนั้นก็ดับได้ ความเคยชินแห่งกิเลสลึกไปกว่านั้นก็ดับได้ ความพร้อมแห่งกิเลสที่มันจะเบ่งออกมาก็ดับได้ มันก็เลยไม่มีกิเลสอันใดที่จะแสดงบทบาทออกมาได้ ในแง่ของราคะก็ดี โทสะก็ดี โมหะก็ดี มันก็เลยสิ้นกิเลสโดยสมบูรณ์ เรียกว่า ขีณาสโว สิ้นอาสวะ เป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าก็เป็นผู้สิ้นอาสวะอย่างนั้น แต่ท่านทำได้เอง ท่านมีสติปัญญา อย่างอื่นเขาก็เรียกว่าพระพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เรียกว่าพระอรหันต์เฉย ๆ แต่ความหมายก็คือสิ้นกิเลส สิ้นกิเลสนี่ก็คือสิ้น สิ้นเชื้อแห่งไฟด้วย สิ้นไฟ ดับไฟ พร้อมทั้งเชื้อของมัน พร้อมทั้งการสะสมที่จะให้เกิด เกิดไฟขึ้นมา
ทบทวนอีกทีว่าไอ้เย็นนี่ มันเย็นของวัตถุก็ได้ เย็นของสัตว์เดรัจฉานก็ได้ เย็นของมนุษย์ก็ได้ แล้วเย็นของมนุษย์นี่ยังแบ่งเป็นชั้นได้ อย่างน้อยอีก ๓ ชั้น ๓ ระดับ เย็นทางกิเลสที่มันเนื่องอยู่ในร่างกาย นั้นก็เย็นทางกิเลสที่เนื่องอยู่กับจิตโดยตรง อันนั้นเย็นของอุทปาทิ (นาทีที่ 38:12) ทั้งหลายคือว่าไอ้เชื้อหรือว่ารังแห่งกิเลสทั้งหลายนั่นแหละเป็นนิพพานสุดท้ายซึ่งเป็นของพุทธศาสนา พอที่จะกล่าวได้และไม่มีใครค้านได้ว่ามันเป็นของพุทธศาสนา เป็น Authority ของพุทธศาสนาโดยเฉพาะ ถ้านิพพานอย่างนี้ ถ้านิพพานอย่างอื่นก็เป็นของ ของพวกอื่นไป นี่เราก็พูดกันแต่นิพพานอย่างนี้ทั้งที่ไม่เข้าใจ ก็เลยไม่เข้าใจถึงนิพพานอื่น ๆ แล้วก็ไม่ยอมเรียกว่านิพพาน ไม่ยอมให้เรียกนิพพานอย่างที่เป็นของสัตว์ ของถ่านด้วย เอ้อ, ของวัตถุ หรือของสัตว์เดรัจฉาน หรือของมนุษย์ในระดับต่ำ ๆ พอผมพูดไปในครั้งแรกว่ามีนิพพานของถ่านไฟ มีนิพพานของสัตว์เดรัจฉานเขาหาว่าบ้าทั้งนั้น แต่พอชี้ให้ดูว่ามันมีอยู่ในพระบาลีอย่างนั้น ๆ ก็เงียบไปเอง เพราะว่าคำว่านิพพานแปลว่าเย็น
เมื่อพูดมาถึงขนาดนี้แล้วก็พอจะเห็นร่องรอย เห็นลู่ทาง ที่ว่าเราจะชิมรสของนิพพานได้ระดับใดระดับหนึ่ง เวลาใดเวลาหนึ่ง นี่จะได้พูดให้มันละเอียดออกไปอีก แล้วจะทำได้อย่างไรบ้าง เมื่อมาบวชอยู่อย่างนี้มันมีโอกาสที่จะฝึกจะลอง จะอะไรได้มาก แล้วก็ลองเสีย กลับออกไปเป็นฆราวาส มันก็จะเป็นประโยชน์ที่สามารถจะทำการละจากโลกนี้ไปสู่โลกโน้น หรือว่าเอาชิมรสของนิพพาน เป็นความเย็นดับความร้อนเสีย มันทำได้ง่ายขึ้น คำว่านิพพานหมายถึงความเย็นทั้งนั้น รสของพระนิพพานก็คือรสแห่งความเย็น ความไม่เสียบแทง ความหยุด เมื่อพูดถึงดับเย็นแล้วมันก็กินความไปถึงไม่เสียบแทงเอง พระนิพพานในความหมายที่ว่าไม่เสียบแทง ไม่เสียบแทงแปลว่าอะไร ก็มันเย็นแห่งความร้อนแทนกิเลส แล้วก็นิพพานที่ว่าหยุดนะ หยุดอะไรละ ก็หยุด ไม่ดิ้นรน ก็มันไม่มีเร่าร้อน ไม่มีเสียบแทง มันก็หยุดได้ มันนั่งสบายได้ นั่นก็คือหยุด พระพุทธเจ้าท่าน ท่านดำเนินอยู่ก็ร้องบอกองคุลีมารว่าฉันหยุด แกนั่นแหละไม่หยุด พระพุทธเจ้าท่านหมายถึงหยุดกิเลสตัณหาที่เป็นเครื่องให้ดิ้นรน นั้นรสแห่งนิพพานก็คือรสแห่งความเย็น ไม่เสียบแทงและหยุดพักโดยสมบูรณ์ ถ้าจะเอา เอาผลปรากฏก็คือว่าภาวะที่มันปกติที่สุด ภาวะที่เป็นปกติที่สุด ไม่มีปัญหาอะไรเลยทั้งทางกาย ทางจิต ทางวิญญาณ ปราศจากเครื่องแผดเผา มีอยู่คำหนึ่งเป็นบาลีว่า ทร ถะ ทรถะ (นาทีที่ 42:09) คือร้อนรุม ร้อนรุมทางกาย ร้อนรุมทางจิต ร้อนรุมทางวิญญาณ ปราศจากไอ้ความร้อนรุมหรือทรถะนี้ ก็เรียกว่านิพพานได้ระดับหนึ่ง จนกว่าจะถึงสูงสุด คือหมดกิเลสจนสิ้นเชิง
ในที่นี้ดูลักษณะของความเย็นกันเสียก่อนจะดีกว่า โดยอาศัยหลักทั่วไปมาใช้กับคำว่าเย็น หลักทั่วไปหมายความว่าใช้กับอะไรก็ได้นะ แต่นี่เราเอามาใช้กับคำว่าเย็น คือมันเย็นอย่างสิ้นเชิง คือถึงที่สุดนี้ก็มีแต่แล้วมันกลับร้อนได้ก็มี ไม่กลับร้อนได้อีกก็มี นั้นเราจึงมีเย็นอย่างสิ้นเชิงก็มี เย็นอย่างไม่สิ้นเชิงก็มี แล้วก็เย็นอย่างกลับมาร้อนได้อีกก็มี แล้วเย็นอย่างที่ไม่อาจจะกลับมาร้อนได้อีกต่อไปก็มี นี้ก็เป็นสิ่งที่ เอ้อ, คือเป็นหลักที่ควรจะเข้าใจไว้ มันจะง่ายแก่การศึกษาธรรมะอื่น ๆ อีกมาก ถ้ามันไม่หมดสิ้นไปจริง มันก็กลับกำเริบมาได้ คือมันมีเชื้อเหลืออยู่ ทีนี้ดูในแง่อื่นมันก็ยังเห็นได้ว่าเวลานี้ความร้อนยังไม่ปรากฏ เพราะยังไม่มีโอกาสหรือเพราะไม่มีเหตุปัจจัย ตามปกติเราก็ไม่ค่อยมีเหตุ มีปัจจัย มาทำให้ร้อน นั้นเหตุปัจจัยต้องถือว่ามาเป็นครั้งคราวและเป็นส่วนน้อยมาก นั้นความเย็นของเรามันก็มีได้ โดยที่มันยังไม่มีเรื่องอะไรเท่านั้นแหละ ที่จริงกิเลสหรือไฟมันก็พร้อมที่จะลุกขึ้นมา แต่มันยังไม่มีเรื่องอะไรจะมาจุดไฟขึ้น แล้วโดยบังเอิญมันมีปัจจัยแห่งความเย็นมารออยู่ มาแวดล้อมอยู่ เช่น มานั่งตรงนี้ ผมชอบยกตัวอย่างที่มานั่งตรงนี้ ไม่ใช่ว่าจะอวดสถานที่นี้เพราะมันเข้าใจได้ง่ายดี ถ้าเรามานั่งในที่อย่างนี้ มันก็มีปัจจัยแห่งความเย็น ความร้อนลุกขึ้นมาไม่ได้ เพราะความเย็นมันบีบเข้าไว้ นี้มันมีปัจจัยแห่งความเย็น ยกข่มความร้อนไว้ได้ ในชั้นลึกก็เข้าฌาน เข้าสมาธิ ก็ข่มความร้อนแห่งกิเลสไว้ได้ หรือว่าถ้ามันปล่อยไปโดยปกติกันจริง ๆ อย่าให้มีอะไรเข้ามาแตะต้อง ขออาศัยความเย็นของจิตดั้งเดิมที่เรียกว่าจิตประภัสสรที่ไร้อารมณ์อะไรเข้าไปรบกวน ไปศึกษาเรื่องจิตประภัสสร เพราะสัตว์นี้มันเกิดมาโดยจิตประภัสสร แล้วต่อมามันก็มีสิ่งต่าง ๆ เข้าไปแตะต้องทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทาง ทาง ๖ ทวาร ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นที่จิตประภัสสร ก็สูญเสียความประภัสสรไปพักหนึ่ง พักหนึ่ง ๆ เมื่อสิ้นเรื่องนั้นแล้วมันก็กลับลงสู่ความเป็นประภัสสรและก็อันอื่นมาอีก แล้วมันก็เคยชินการที่ไม่ประภัสสรนี้มากขึ้น ๆ หาความเป็นประภัสสรยาก นี้สรุปความว่าเย็นมีหลายความหมาย เย็นอย่างประภัสสรนี้คือจะไม่ต้องทำอะไร แต่เราก็ไม่รักษาไอ้ความเย็นอย่างนั้นไว้ได้ เพราะมันมีอย่างอื่นเข้ามาแทรกเสมอ มันก็เลยมีเย็นบ้าง ไม่เย็นบ้าง และเย็นถึงที่สุด หรือเย็นไม่ถึงที่สุด และเย็นชนิดที่กลับร้อนได้ หรือไม่อาจจะกลับร้อนได้อีกต่อไป มันหลายเย็นอย่างนี้นะ
ทีนี้มาดูความเย็นให้ชัดลงไปอีก ก็ต้องดูที่คำว่านิพพานอีกตามเดิม เพราะมันเป็นคำที่รวมได้หมด แล้วเราก็ใช้กันอยู่ ควรจะตั้งต้นมาตั้งแต่นิพพานที่แท้จริงและสมบูรณ์ดีกว่า หมายเลข ๑ นิพพานที่แท้จริงและสมบูรณ์ของพระขีณาสพทั้งหลาย เป็นพระอรหันต์ขีณาสพก็สิ้นไปแห่งสังโยชน์ ๑๐ ไปหาอ่านในหนังสือไม่ต้องเสียเวลาพูดให้มันเฝื่อน มันมากเรื่องมันก็เฝื่อน พระอรหันต์สิ้นกิเลส ก็เรียกว่ามีนิพพานเย็น สมบูรณ์และไม่กลับมาอีก ไม่กลับเป็นร้อนได้อีกสิ้นราคะ โทสะ โมหะ พร้อมทั้งอาสวะและอนุสัย ถ้าเขียนอย่างนี้จะหมด ถ้าจดลงไปบันทึก สิ้นราคะ โทสะ โมหะพร้อมทั้งอาสวะและอนุสัย นี่เย็นถึงที่สุดแล้ว ทุกความหมาย ราคะ โทสะ โมหะหมายถึงที่มันเกิด ที่มันเกิด เมื่อถึงมันมีได้เหตุได้ปัจจัยเกิดขึ้นมา นี่เขาเรียกว่าราคะ โทสะ โมหะ นี้ความชินที่มันจะเกิด เราสะสมความชินไว้ทุกคราวเมื่อเรามีกิเลสครั้งหนึ่ง มันจึงเกิดความชินมากขึ้น ๆ ที่จะเกิดกิเลส ไอ้ความชินนั้นเรียกว่าอนุสัย อนุสัยแปลว่านอนอยู่ในสันดาน นอนตามอยู่ใน ตามนอนอยู่หรือนอนตาม ตามนอนอยู่ในสันดาน นี้ก็ต้องสิ้นไปด้วย ทีนี้ความพร้อมที่จะหลั่งออกมา นี่เรียกว่าอาสวะ เมื่ออะไรมันเต็ม มันก็พร้อมที่จะหลั่งออกมา พูดแล้วมันจะเป็นเรื่องหยาบคาย อะไร ๆ ที่มันเต็ม มันเต็ม มันก็จะหลั่งออกมา เช่นปัสสาวะนี่มันเต็มกระเพาะปัสสาวะ มันก็จะหลั่งออกมา มันพร้อมที่จะหลั่งออกมา นั้นก็เรียกว่าอาสวะ อาการอย่างนั้นเรียกว่าอาสวะ กิเลสเป็นความเคยชินและพร้อมที่จะหลั่งออกมา นั้นเรียกว่าอนุสัยหรืออาสวะ และตัวกิเลสนั้นมันเกิดขึ้นเฉพาะเรื่องเฉพาะกรณี เดี๋ยวนี้มันหมดทั้งกิเลสและทั้งอาสวะและทั้งอนุสัยเป็นพระอรหันต์ แล้วแต่จะเรียกเอาอันไหนเป็นหลัก สิ้นอนุสัยก็ได้ สิ้นอาสวะก็ได้ สิ้นกิเลสก็ได้ ถ้าสิ้นกิเลสจริงก็หมายความว่าอาสวะและอนุสัยต้องสิ้นด้วย มันไม่ใช่เพียงแต่ว่าบังคับไว้ มันเป็นเรื่องถอนรากถอนโคน นี้มีข้อว่าที่จะต้องทราบไว้ ถ้าแม้การสิ้นอาสวะ สิ้นกิเลสที่เป็นความเย็น มันก็ยังมีอยู่ ๒ ระยะ ระยะแรกใหม่ ๆ หรือสำหรับบางคน ด้วยเหตุปัจจัยอย่างอื่น ความสิ้นกิเลสอาสวะใหม่ ๆ นั้นมันยังไม่ ไม่เย็นสนิทก็มี ต้องรออีกระยะหนึ่งจึงจะเย็นสนิท หรือบางคราว บางบุคคลมีคุณสมบัติพิเศษมันเย็นสนิทไปเสียเลยก็มี สิ้นกิเลสอย่างเป็นพระอรหันต์นั้นแหละ มันมีอยู่ ๒ ระยะ ระยะเย็นสนิทก็มี ไม่เย็น ระยะที่ยังไม่เย็นสนิทก็มี และระยะที่เย็นสนิทก็มี มันแล้วแต่ไอ้เหตุปัจจัยที่ท่านทำ แล้วจะเป็นเรื่องเฉพาะองค์ด้วย จะเปรียบให้ฟังเหมือนอย่างนี้จะเข้าใจได้ง่าย เช่นว่า ถ่านไฟที่มันลุกโพลง ลุกโชนเป็นไฟหยิบคีบออกมาจากเตามาวางลงมันก็เริ่มเย็น ดำเย็นเป็นของสีดำไปแล้ว แต่ไปถูกเข้ามือยังพอง มันต้องรออีกระยะหนึ่งจนกว่ามันจะเย็นสนิท เรียกว่าสิ้นกิเลสนั้นมันยังไม่เย็นสนิท จนรอจนกว่าเย็นสนิทเลยมีเป็น ๒ ระยะ ทีนี้สมมติว่าในกรณีหนึ่งการดับถ่านไฟนั้นมันดับด้วยวิธีพิเศษ เช่น เอาน้ำแข็งเทลงไปเลยอย่างนี้ นี้อุทาหรณ์ อุทาหรณ์ทางวัตถุนะ นี้เราเอาถ่านไฟแดง ๆ มาจากเตา แล้วเอาน้ำแข็งเทลงไปเลย เทมากมายเลยนี้ มันจะเย็นสนิทในระยะอันสั้น นั้นการที่ท่านกล่าวว่านิพพานธาตุมี ๒ อย่าง อย่างมีเชื้อเหลือ อย่างมีเศษเหลือกับไม่มีเศษเหลือก็คืออย่างนี้ พระอรหันต์บางพวกเป็นเหตุอะไรก็ตาม เป็นเรื่องของท่าน สิ้นกิเลส สิ้นอาสวะ แล้วแต่ว่าอายตนะยังรับอารมณ์ชนิดที่รู้สึกกระทบกระทั่งอยู่ ไม่เย็นสนิท นี้ถ้าเป็นชนิดอีกชนิดหนึ่งเป็นอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นั่นก็คือ
เดี๋ยวจะขอ ขอพูดใหม่นะว่าไอ้องค์ชนิดที่มีเศษเหลือนะ คือสิ้นกิเลส สิ้นอาสวะแล้วไม่เย็นสนิท เพราะว่าอวัยวะนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของท่านยังไม่เย็นถึงที่สุด นั้นจะรู้สึกต่ออารมณ์ที่มากระทบ เหมือนกับว่ามีความทุกข์บางอย่างอยู่ อย่างนี้เรียกว่าเวทนาของท่านยังไม่เย็นสนิท ทีนี้อีกองค์หนึ่งเวทนาเย็นสนิทหมายความว่าอวัยวะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย อายตนะนี่ มันก็เย็นสนิท จะเพราะว่านานต่อมาก็ได้ หรือว่าเพราะท่านมีอะไรของท่านโดยเฉพาะมันเย็นสนิทมาตั้งแต่ทีแรกก็ได้ นี้ผมก็รู้สึกว่ามันเป็นการแจกที่ละเอียดหยุมหยิมเกินไป ไม่น่าที่จะเอามาพูดกันก็ได้ แต่ก็ยังคิดว่าถ้าเอามาพูดก็ดีเหมือนกัน จะได้เข้าใจเรื่องนิพพาน ๒ ชนิดที่พูดกันอย่างไขว้เขวอยู่ในวงการศึกษาธรรมะเสียได้ด้วย เพราะเขาพูดกันว่าพระอรหันต์ที่ยังมีเศษเหลือนะช่วงนั้นเป็น ๆ ครั้นตายแล้วจึงจะเป็นพระอรหันต์ที่ไม่มีเศษเหลืออย่างนั้นคงไม่มีประโยชน์อะไรเรื่องตายแล้วเอามาพูดทำไมมันไม่มีประโยชน์ เศษในที่นี้ก็หมายถึง อายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อินทรีย์ทั้งหลายนี่ มันยังไม่เย็นสนิท เพราะว่ายังใหม่สำหรับบุคคลชนิดนี้ ความเคยชินมันยังมีหรืออะไรมันมี แม้เป็นพระอรหันต์แล้ว มีอะไรมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจยังมีรู้สึกเป็นเวทนานี่ เรียกว่าเวทนาไม่เย็นสนิท นี้หมายเลข ๑ ความเย็นหมายเลข ๑ คือเย็นของพระอรหันต์ผู้สิ้นกิเลสและอาสวะ
ทีนี้หมายเลข ๒ ความเย็นของพระอริยเจ้าที่ยังไม่ถึงขั้นพระอรหันต์ พระโสดา พระสกิทาคา พระอนาคา ๓ พวกนี้ยังไม่ถึงพระอรหันต์ ท่านก็มีความเย็นไปตามแบบของท่าน ท่านก็มีนิพพานในระดับของท่านคือไม่สมบูรณ์ถึงที่สุด แต่ไม่มีใครค่อยจะเรียก ไม่ค่อยมีใครจะเรียกกันว่าพระนิพพานของพระโสดา สกิทาคา อนาคา แต่เราก็เห็นได้ว่ามันมีหลักที่จะเรียกได้ เป็นนิพพานชนิดที่ไม่ถึงที่สุด ยังมีกิเลสเหลือทีเดียวอย่างนี้ ยังมีกิเลสบางอย่างบางชนิดเหลือที่จะต้องดับต่อไป นั้นเพียงแต่จะดับแน่ เหมือนไฟที่ลุกโพลง ๆ นี่เราก็ดับ ถ้าดับสนิทหมดเป็นพระอรหันต์ไปเลย เช่น ดับไม่ถึงสนิทหมด แต่มันจะแน่ที่จะต้องดับ แม้มันจะเหลือริบหรี่ ๆ อยู่บ้าง ทิ้งไว้มันก็ยังดับเองแหละไม่ต้องไปช่วยดับมันนะ นี่มันลักษณะของนิพพานของพระเสขบุคคล คือพระอริยเจ้าที่ยังไม่ถึงพระอรหันต์ นี้ไปหาอ่านดูในแบบเรียนเรื่องพระ เสขะ อสเขะ อเสขะคือพระอรหันต์ เสขะ (นาทีที่ 56:43) คือยังต้องทำต่อไปนั่นก็คือพระโสดา สกิทาคา อนาคา ก็มีอยู่ ๙ พวก พระโสดาบันมีอยู่ ๓ พวก พระสกิทาคามี มี ๑ พวก พระอนาคามี ๕ พวก รวมกันเป็น ๙ พวกเรียกว่า สอุปาทิ เสสบุคคล (นาทีที่ 57.06) นั่นน่ะความเย็นของท่านยังไม่ถึงที่สุด ก็มีกิเลสบางอย่างเหลืออยู่ตามชั้นของท่าน แล้วมารวมเรียกกันเสียทีเดียวว่าพวกพระเสขะ มีความเย็นที่แน่นอนว่าจะเย็นถึงที่สุด แม้ยังไม่ถึงที่สุดอย่างไฟที่มันไม่มีการเติมเชื้อแล้วมันเหลือริบหรี่อยู่ก็ตามเถอะ มันก็จะดับถึงที่สุด
อ้าว, ทีนี้หมดเรื่องของพระอริยเจ้าแล้วนะ ตัดตอนไปทีหนึ่ง พอมาถึงเย็นนัมเบอร์ ๓ นัมเบอร์ ๔ ต่อไปนี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องของพระอริยเจ้าแล้ว จะยกมาเป็นตัวอย่างสำหรับความเย็นเท่านั้นเอง ก็เป็นเรื่องของไอ้คนที่ไม่ใช่พระอริยเจ้า คือคนธรรมดา ความเย็นนัมเบอร์ ๓ ใช้คำอย่างนี้ เป็นนิพพานนัมเบอร์ ๓ ก็ได้ เย็นเพราะกิเลสยังไม่เกิด กิเลสมันยังไม่เกิด เดี๋ยวนี้กิเลสเกิดเมื่อไร กิเลสมันยังไม่เกิด เพราะมันยังเย็นอยู่ ถ้าจะถามว่าของอะไร ก็ของจิตประภัสสรอย่างว่า ถ้าความรู้สึกประเภทกิเลสยังไม่เข้ามา จิตก็ยังมีลักษณะประภัสสร มันเย็นอยู่ได้ เพราะว่ากิเลสยังไม่เกิด ทั้งที่บุคคลนั้นมันเป็นบุคคลที่ยังละอนุสัยหรืออาสวะยังไม่ได้ ยังจะเกิดกิเลสและร้อนเป็นไฟเข้า แต่เมื่อกิเลสมันยังไม่เกิด มันก็มีความเย็นตามแบบที่ไฟมันยังไม่ลุก ในบางชนิดอาจจะเท่า ๆ กันหรือคล้าย ๆ กันกับไอ้เย็นของพระอรหันต์ก็ได้ นี่เย็นนัมเบอร์ ๓ นะ นิพพานนัมเบอร์ ๓ เพราะกิเลสยังไม่เกิด
ทีนี้นัมเบอร์ ๔ เย็นหรือนิพพานชนิดที่กิเลสเกิดแล้วข่มได้ หรือว่าอยู่เสียในสมาธิ พอกิเลสเกิดขึ้นมาข่มได้ ดับได้หยุดไปทันที เย็นตอนนั้นนะมันเป็นเย็นชนิดนี้ หรือว่าอยู่ในสมาธิ อยู่ในฌาน ในสมาธิเสีย กิเลสก็ไม่ ไม่แสดงความร้อน นี่เป็นนิพพานของสมาธิหรือของฌาน ที่เขาเคยรู้จักและสอนกันมาตั้งแต่ก่อนพุทธกาลนู้น
ทีนี้อยากจะแนะให้ละเอียดลงไปเป็นนิพพานนัมเบอร์ ๕ เมื่อมีการปลงตก หรือว่าเราสลัดไอ้ความรู้สึกเลวร้ายในจิตใจออกไปได้ เหมือนกับเป็นการปลงตกเฉพาะเรื่อง อย่างนี้แคบมากและเฉพาะเรื่อง เพราะบุคคล เฉพาะความสามารถของบุคคล เมื่อมีการปลงอะไรตกลงไป ตัดสินใจได้ เรื่องรัก เรื่องโกรธ เรื่องหึง เรื่องหวง เรื่องอะไรก็สุดแท้ ถ้ามันมีการปลงตกลงไปได้ ก็เป็นความเย็นชนิดหนึ่งเหมือนกัน ให้มันเป็นนัมเบอร์ ๕ แต่ ๕ ชนิด ชนิดเล็กลงนะ เล็กลง ๆ
นี้นิพพานนัมเบอร์ ๖ หรือเย็นนัมเบอร์ ๖ นี่ก็คือระงับกิเลสอยู่ด้วยอำนาจของความเชื่อ ไอ้ความเชื่อหรือศรัทธานี่มีเรื่องมาก เราก็ไม่ค่อยรู้มากเพราะว่าพุทธศาสนาไม่ใช่ศาสนาแห่งศรัทธา มันต้องไปศึกษาจากศาสนาที่มีหลักศรัทธาเป็นพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเช่น ศาสนาคริสเตียนเป็นต้น เขาอบรมกันมากที่สุดให้มีกำลังของศรัทธา ให้เชื่อ เชื่อ น้อมจิตไป น้อมจิตไป ให้ศรัทธานั้นพาไป จนมันเปลี่ยนจิตใจได้ กระทั่งเปลี่ยนได้ทางวัตถุ นี้เอามาเล่าเป็นเรื่องพิเศษกันเล่นก็ได้ เช่นว่า ฤาษีในคริสเตียนคนหนึ่งเขาสามารถจะมีความเชื่อ แล้วก็บำเพ็ญความเชื่อ จนกระทั่งว่าให้เลือดไหลออกมาที่กลางฝ่ามือฝ่าเท้า คือตำแหน่งที่พระเยซูถูกตอกตะปู ให้มีเลือดไหลออกมาได้แล้วให้เพื่อนนั้นดู เน้นด้านความเชื่อ นั้นความเชื่อชนิดไหนก็ตามถ้ามันสูงสุด แล้วมันก็กลบไอ้ความรู้สึกทุกข์ ความเป็นทุกข์นี้ได้ นั้นเช่นเดียวกับความโกรธ ความโมโหโทโสอะไรยังนี้ถ้ามันพลุ่งขึ้นมาแล้วมันก็กลบความทุกข์ได้ แต่เดี๋ยวนี้เขาเอาความเชื่อ ในพุทธศาสนาก็อาจจะมีบ้างบางระดับ เมื่อเรามีความเชื่อมั่นคงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง ๆ แล้ว มันกลบไอ้ความรู้สึกที่เป็นทุกข์ได้มากเหมือนกัน นั้นความเย็นในระดับนี้มันเป็นเรื่องระงับความร้อนไว้ด้วยความเชื่อ ระงับกิเลสไว้ด้วยความเชื่อของพวกที่อาศัยความเชื่อ ศาสนาไหนก็ได้ ในศาสนาไหนก็ได้
ทีนี้นัมเบอร์ ๗ นิพพานหรือความเย็นชนิดที่ธรรมชาติช่วยแวดล้อมให้ เรียกว่าเป็นเรื่องของคนปัญญาอ่อนก็แล้วกัน อย่างมานั่งอยู่ที่ตรงนี้หรือที่ไหนสุดแท้แต่ธรรมชาติมันช่วยบีบบังคับไว้ไม่ให้ความรู้สึกประเภทกิเลสเกิดขึ้นมาได้ เช่นผมชอบยกตัวอย่างว่าคนมาจากที่ไกลพอมานั่งลงตรงนี้ มันก็บอกว่าคนละโลก คนละโลกเลย อิทธิพลของธรรมชาติ บรรยากาศชนิดนี้มันหยุดไอ้เรื่องกิเลสเรื่องอะไรของเขาที่ร้อนมาหมด เรื่องห่วงบ้าน ห่วงของ เรื่องลูก เรื่องเมียอะไรก็ตาม มันหยุดไปด้วยอำนาจของธรรมชาติมันบีบบังคับ นั้นธรรมชาติที่จะมีประโยชน์ก็ต้องอย่างนี้ อย่างนี้แหละ จะที่ในป่าในดงในถ้ำในภูเขาในทะเล ที่ทะเลที่ ที่ไหนก็ตามถ้ามันเหมาะของมันแล้ว มันก็จะช่วยบีบไม่ให้ตัวกูของกูโงขึ้นมาได้ นั้นก็เลยเย็นต่อไปด้วยอำนาจของธรรมชาติ
ทีนี้นัมเบอร์ ๘ ซึ่งหมายความว่าเลวลงทุกทีนะที่กิเลสได้กินเหยื่อแล้วดับไปชั่วขณะหนึ่ง ๆ นี่ที่เป็นเหตุให้เกิดไอ้อาบอบนวดอะไรขึ้นมามากนัก คือมันไประงับชั่วขณะหนึ่ง ๆ ด้วยทำให้กิเลสมันได้กินเหยื่อ มันไม่มีความหมายแท้จริงอะไร แต่ในขณะนั้นมันก็ระงับไปได้ อย่างที่เรียกว่ามีความสมบูรณ์ทางกามารมณ์เป็นนิพพานก่อนพุทธกาลก็เหมือนกัน เดี๋ยวนี้มันก็เหลือกระเส็นกระสายเป็นของเล็กน้อยของคนโง่ ที่ทำให้ตกอยู่ใต้อำนาจของไอ้ ไอ้ ต้องกินเหยื่อนี่มากขึ้น ๆ จนเงินเดือนไม่พอใช้ จะไปดูระยะหนึ่งแวบหนึ่งที่ว่ามันหยุดระงับไปพักหนึ่ง ก็มีอาการของความเย็นที่หลอกลวงในลักษณะเช่นนี้ เราก็เรียกมันว่ากามนิพพานก็ได้ นิพพานโดยอาศัยกาม หรือว่านิพพานแห่งกามคือกามมันดับไป ก็ขอให้นึกดูว่ามันก็ดับไปได้จริง ๆ ไม่นั้นมันก็กระวนกระวายทนอยู่ไม่ได้ ก็ไปสำเร็จความใคร่ด้วยวิธีต่าง ๆ ด้วยสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองนั้นเป็นต้น มันก็ระงับไปขณะหนึ่ง อันนี้เป็นเหตุให้เป็นรสอร่อยที่ทำให้คนละกามไม่ได้ เรา เรา สัตว์โดยทั่วไปมันละกามไม่ได้เพราะมันมีอัสสาทะส่วนนี้ไม่รู้จักเบื่อ ทั้งที่การบริโภคกามนี้มันเหน็ด มันเหนื่อย มันน่าเกลียดน่าชังโดยเฉพาะกิจกรรมระหว่างเพศนี้ มันทั้งสกปรก ทั้งเหนื่อย ทั้งน่าเกลียด มันก็ยังทนทำกันไปได้เพราะอัสสาทะอันนี้ ก็จัดไว้ว่าเป็นความเย็นชนิดที่ริบหรี่เต็มที
ทีนี้อันสุดท้ายนัมเบอร์ ๙ ที่ผมพูดเผื่อไว้ นิพพานหรือเย็นเพราะ เพราะถูกวางยาพวกไอ้พวก Drug ต่าง ๆ ที่เขาทำขึ้น ในอนาคตอาจจะมี กินแล้วมันก็ดับไปความฟุ้งซ่านแห่งจิต ก็ต้องถือว่าเย็นได้เหมือนกัน นิพพานเพราะกินยาเสพติด หรือจะไม่เสพติดก็ตามใจ เรียกนิพพานวางยา ในอนาคตอาจจะมีเป็นเรื่องวัตถุล้วน ๆไอ้ยาที่มันมีผลทางร่างกายและหยุดไอ้ความรู้สึกวุ่น วุ่นวายไว้ได้ เป็นนิพพานการวางยา นี้มันเป็นเรื่องแกล้งนำมาเปรียบเทียบ ผมก็ยอมรับ แต่มันมีผลดีคือให้ทำให้เข้าใจ เพราะคุณคงจะไม่เคยได้ยินใครยกมาเปรียบเทียบไอ้เรื่องของความเย็นในลักษณะอย่างนี้บางทีจะหาว่าเป็นเรื่องเหลวไหลด้วยซ้ำไป ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลแล้ว ให้สังเกตดูแล้วก็จะพบลักษณะต่าง ๆ ของสิ่งที่เรียกว่าความเย็นถึงที่สุดบ้างไม่ถึงที่สุด จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ชั่วคราวบ้าง อะไรบ้าง โดยบังเอิญบ้าง โดยเจตนาที่จะกระทำบ้าง โดยธรรมชาติบ้างนี้เป็นต้น ทีนี้ก็คงจะยอมรับกระมังว่ามันต้องมีสักอย่าง ๒ อย่าง ๓ อย่างที่เราอาจจะชิมลองได้ เมื่อไรก็ได้แม้ไม่ใช่นิพพานจริง คือไม่ใช่นิพพานอย่างพระอรหันต์หรือพระอริยเจ้าก็ยังได้ เรายังมีความเย็นที่จะชิมลองโดยรสชาติที่มันพอ ๆ กันถ้ากิเลสไม่รบกวนนะรสชาติมันพอ ๆ กันแม้ว่าอยู่ในฌานในสมาบัติใดก็ตาม เมื่อกิเลสมันไม่รบกวนแล้วมันก็เย็นพอ ๆ กันแหละ เพียงแต่อันหนึ่งมันถาวร อันหนึ่งไม่ถาวรเท่านั้นเอง ไอ้พวกแรกของพระอริยเจ้านั้นมันก็เหมือนกับว่ามันจริง มันแน่ มันจริงไป แต่พวกหลังนี้มันชั่วคราว เหมือนว่าเรารักษาโรคภัยไข้เจ็บกันด้วยวิธีศิลป์ ศิลปะนี่ มันก็มีการกินยาที่ระงับความเจ็บปวด ประทังความเจ็บปวดอะไรไว้ทีก่อน อย่าให้คนไข้มันทรมานนัก มันเป็นเพียงยาระงับปวด ไม่ใช่โรคมันหาย แต่มันก็มีประโยชน์ที่ต้องไปจัดการกินยารับประทานกันโดยแท้จริงให้โรคมันหายอีกทีหนึ่ง ดังนั้นการแก้ไขโรคอย่างธรรมดาสามัญในโลกนี้มันก็มีอยู่ ๒ ระยะอย่างนี้ คือระยะที่จะระงับความยุ่งยากลำบากนั้นไว้เสียทีก่อน แล้วจึงค่อยแก้ไขให้มันเด็ดขาด ดังนั้นการรักษาโรคกิเลสก็เหมือนกัน การจะทำลายกิเลสให้มันหมดไปก็ต้องมีวิธีอย่างนั้น มีไอ้ของขั้นต้นเช่น ทาน เช่น ศีล เช่นอะไร ศรัทธาอะไรต่าง ๆ หรือว่าแม้แต่ฌาน สมาธิ มันเป็นเหมือนกับระยะที่มันจะต้องระงับปวดไว้ทีก่อน นั้นเอามาใช้ได้ แม้จะว่าจะเก่าแก่โบรงโบราณก็เอามาใช้ได้ในฐานะเป็นเครื่องระงับปวด แล้วก็ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญาชนิดที่มันจะตัดกิเลสตัณหาได้ นี้มันก็จะเป็นไอ้การรักษาที่แท้จริง นั้นความเย็นจึงมีอยู่หลายชนิดหลายระดับต่าง ๆ กัน ขอให้ถือว่าการลาหน้าที่การงานมาบวชนี่ให้เป็นโอกาสฝึกฝนหลาย ๆ อย่าง ชิมลองหลาย ๆ อย่าง ก็จะรู้จักสิ่งนั้นดี มีความเจนจัดในสิ่งนั้นแล้วก็กลับไปเป็นฆราวาสสามารถจะเอาไปทำให้มีประโยชน์ตามสมควร แม้เรื่องเย็นหลาย ๆ ชนิดนี้ ถ้าไปเย็นชนิดไหนเข้า ถ้ามันเป็นของหลอก ก็ให้รู้ว่ามันหลอกก็ยังดี อย่าไปหลงไอ้เย็นชนิดที่มันเป็นของหลอกให้มันนานเกินไป ถ้าหลอกก็ให้รู้ว่ามันหลอก ถ้ามันจริงก็รู้ว่ามันจริง แล้วทำให้มันจริงยิ่งขึ้น แม้จะออกไปเป็นฆราวาสเข้าไปสู่ดงแห่งความร้อน มันก็อาจจะป้องกันได้มากกว่าหรือรู้จักวิธีที่จะผ่อนผันถ่ายเทให้มันรอดตัวไปได้ก็แล้วกัน เหมือนกับว่าเดี๋ยวนี้ไปทำงานในห้องเย็น ห้องปรับอากาศ เพราะว่าห้องห้องหนึ่งมันร้อนนัก นี้เราก็อาจจะจับจิตใจของเราอย่างนั้น อยู่ในสภาพอย่างนี้มันร้อนนัก ถ้าจัดในสภาพอย่างนี้ มันก็เย็น พอสบายก็ทนไปได้แล้วทำงานทำการต่อไปอีก มันดีกว่าผู้ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเอาเสียเลย ดีกว่าตั้งมากมายเหลือที่จะเปรียบได้ เพราะฉะนั้นคนที่เขาพูดว่าไม่ ไม่ต้องเอาพระนิพพานมาพูดมาศึกษากันในเวลานี้ ผมว่าเป็นคนที่โง่ที่สุด เพราะนิพพานมีหลายความหมายหลายระดับอย่างที่กล่าวมาแล้ว ฉะนั้นจึงอยากจะพูดว่าไม่ต้องไปเชื่อคนชนิดนั้น คือคนที่พูดว่าไม่ต้องสนใจกับเรื่องนิพพาน เรื่องสุญญตา เรื่องอนัตตาหรอก เรามันอยู่เป็นฆราวาสอย่างนี้ ผมจะถือว่ามันเป็นคนโง่ที่สุด เพราะนั่นคือหัวใจพุทธศาสนาที่มันจะเป็นเรื่องความรู้ของพุทธบริษัทแท้ เป็นความรู้ที่จะนำไปสู่การแก้ไขรักษาโรคในขั้นที่ตัดรากได้ไม่ถูกหลอกอีกต่อไป ฉะนั้นจะชิมลองพระนิพพานจริงหรือนิพพาน Artificial หรืออะไรก็ลองดูในระหว่างที่บวชอยู่นี่ มันก็จะต้องมีประโยชน์ในเมื่อสึกกลับออกไป ไป ไป ไปรู้จักทำให้ชีวิตนี้เป็นของเย็นมากกว่าแต่ก่อนเป็นแน่นอน นี้เรื่องสามารถชิมรสพระนิพพานบางชนิดบางเวลาบางกรณีได้อย่างนี้ รายละเอียดอย่างอื่นที่ไม่เอามาพูดนั้นเพราะมันมีอยู่ในหนังสือต่าง ๆ แล้ว นั้นพูดแต่แง่หรือใจความของเรื่องที่มันไม่ประติดประต่อไว้ในที่อื่นแล้ว เอามาพูดให้ประติดประต่อไว้ในที่นี้เป็นเรื่องหนึ่ง ๆ โดยสมบูรณ์ ในว่าในแง่หนึ่ง ๆ แง่มุมหนึ่ง ๆ โดยสมบูรณ์ดีกว่า ขอยุติการบรรยายเรื่องนี้ไว้เพราะว่าสมควรแก่เวลาเพียงเท่านี้
(เสียงผู้ชาย) ขอกราบเรียนถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำว่านิพพานในความหมายของลัทธิหรือศาสนาอื่น ที่อาจารย์กล่าวถึงคำว่ากามนิพพานหรือนิพพานโดยใช้กามารมณ์เป็นเครื่องล่อนั้น อยากทราบว่าเป็นอันเดียวกับที่เรียกว่าลัทธิตันตระหรือไม่ อันนี้ได้เห็นมีการกลับมาเริ่มนิยมใหม่ในยุโรปในปีที่แล้ว และกำลังเริ่มระบาดในอเมริกาเมื่อต้นปีนี้ เป็นที่น่าห่วงว่าจะมาถึงเมืองไทยในเวลาอันใกล้ ในคำถามข้อที่ ๒ เกี่ยวกับคำว่านิพพานในสายตาของศาสนาไชนะ กระผมอยากจะดูข้อนี้ให้ลึกลงไปเพราะด้วยมีความสนใจเป็นพิเศษในกรณีที่ว่าเริ่มต้นพร้อม ๆ กับพุทธศาสนาในอินเดีย แต่ในปัจจุบันนี้ไชนะยังอยู่ แต่พุทธศาสนาได้พ้นจากอินเดียไป ว่าจะมีผลอันหนึ่งอันใดเกี่ยวกับการเสื่อมสูญของพุทธศาสนาในอินเดียหรือเปล่า
(เสียงท่านพุทธทาส) ไอ้การถือเอาความหยุดของกิเลสด้วยการบริโภคกามนั้น ก็มีในพระไตรปิฎก คือฝ่ายพวกที่เป็น ไม่ใช่พุทธศาสนานี่ เรียกว่าลัทธิอื่น ทิฏฐิอย่างอื่น ก็มีสาวกมากที่เหลืออยู่โดยตรงตามรูปแบบนั้นก็ได้ยินว่ายังมีอยู่ในประเทศอินเดีย แต่มันขยายตัวหรือว่าขยายความหมายบางอย่าง เพื่อให้มีเหตุผลที่จะชักจูงคนมากขึ้น ก็เป็นคนชั้นที่เป็น มิใช่ปัญญาชนโดยมาก หรือเนื่องจากมันตรงกับกิเลสของมนุษย์ นั้นจึงหาสมาชิกได้ง่าย เนื่องจากมันง่ายและมันสนุกนี่ แล้วมันขยายความลามกอนาจารออกไปเรื่อย แม้จะทำอย่างบริสุทธิ์ใจเยี่ยงเขาเรียกว่า พวกเทวทาสี เป็นทาสีของเทพเจ้า เป็นโสเภณีเพื่อเทพเจ้านั้นก็ยังอยู่ มหาตามะคานธีพยายามต่อสู้ขอร้อง อย่าให้มันมีเหลืออยู่ในอินเดียเลย มันคงตรงตามแบบเดิม มันช่วยให้ถึงพระเจ้า ช่วยให้คนผู้ที่มา มาร่วมกับผู้หญิงคนนั้นน่ะได้มีโอกาสเข้าถึงรสของนิพพานหรือเข้าถึงพระเจ้า แล้วเขาก็ไม่ได้เก็บเงิน นึกถือว่าเป็นการกระทำที่ได้บุญ ถ้าจะเลวถึงขนาดเก็บเงินบำรุงโบสถ์นั้นคงเป็นแขนงอื่น แขนงที่มันแยกไป สำหรับตันตริกนี้ผมก็สนใจอยู่เหมือนกัน แล้วมันเกิดใช้ Tantric Buddhism เข้ามาด้วย เมื่อก่อนนี้เป็นตันตริกเฉย ๆ ของฝ่ายนู้น ต้องเรียกว่าฝ่ายฮินดู ต่อมาพวกพุทธคณะหนึ่ง แขนงไหนมันอุตริไปรับมาปรับปรุงเป็น Tantric Buddhism ก็ไม่พ้นไอ้เรื่องนี้เรื่องกามารมณ์ แต่ว่าเขาก็มีเหตุผลที่จะอธิบายเพื่อให้ผ่านทางนี้เร็วกว่า ให้ผ่านไปทางกามารมณ์เห็นโทษของกามารมณ์ เห็นความเลวทรามอะไรก็ตาม แล้วก็มีหลายแขนงไม่เหมือนกันทีเดียวแม้ Tantric Buddhism นี้ก็มีหลายแขนง ไปไกลถึงกับว่ามันเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับมนุษย์ รูปเคารพของพวกนี้มีพระพุทธรูปและก็มีพระนางปรัชญาปารมิตาประกบอยู่ข้างหน้า ในลักษณะที่อวัยวะเพศเสียบกัน ลามกอนาจารที่สุด เป็นพระพุทธรูป เคยเห็นซื้อมาจากอินเดีย ซ่อนเกือบตายกลัวใครจะเห็น เพราะมันเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้ระหว่างปัญญา กับพุทธะ กับเมตตา พุทธะคือปัญญา กับเมตตาหรืออะไรทำนองนี้ ถือเป็นมิจฉาทิฏฐิเสียดีกว่า คือไม่ต้องลองไม่ต้องสนใจหรอกสำหรับคู่ที่ซื่อตรงต่อตัวเอง ต่อธรรมะไว้ให้พวกหนึ่ง พวกอื่น ในอินเดียก็ยังเหลืออยู่ แล้วไปทางเนปาล หรือสาขาที่มาจากทางเนปาลยังมีอย่างนี้อยู่ เขาจึงไม่ค่อยถือไอ้เรื่อง ยิ่งเรื่องหญิงเรื่องชาย พระในลัทธินี้ก็อยู่กับผู้หญิงเจ้าหน้าที่ ที่ ที่ว่ามันไปปรุงขึ้นมาใหม่ ทางยุโรปในเวลานี้ก็คงไม่มีเหตุผลอะไรดีกว่าของพวกนี้ แล้วก็ยังเป็นเรื่องหลอกลวงมากกว่า คือหาสมาชิกและสมาชิกก็คงหาง่าย เพราะมันพร้อมอยู่แล้วนี่ที่ว่าคนเราจะทำแบบตามกิเลส ส่งเสริมกิเลส ถ้าเข้ามาเมืองไทย มันก็อาจจะได้รับการต้อนรับบ้าง แต่มันก็มีอะไรเกิน ๆ อยู่แล้วจะดีกว่าที่ต้องไปลำบากด้วยบทบัญญัติอะไรบางอย่าง เดี๋ยวนี้มันฟรีเซ็กส์ถึงที่สุด แล้วมันก็คงจะไม่ไปเข้ากรอบหยุม ๆ หยิม ๆ ของพวกลัทธินี้
นี้คนบางคนเขาเห็นว่าเขาจะหาสาวกอย่างเอาเปรียบ อย่างคดโกง อย่างซ่อนเร้นอย่างนั้น อธิบายเป็นเรื่องของธรรมะอันลึกลับไป อย่างความมุ่งหมายเดิมนะ เป็นวิธีลัดที่เร็วที่สุด ผ่านไปทางกามารมณ์ที่สมบูรณ์ เขียนไว้ด้วยว่าสมบูรณ์เป็นอย่างไร แล้วมันก็จะหมดกันที แล้วก็จะไปเร็วอย่างนี้ ก็หาได้แต่สมาชิกที่คดโกงอย่างนั้น สมาชิกที่โง่เขลาหรือคดโกงก็คงจะสมัครเป็นสมาชิก จะทำอย่างไรได้เล่าเพราะว่าโลกนี้มันจะเป็นประชาธิปไตยเข้าไปทุกที นี่ก็เรื่องนิพพานคือความเย็นชั่วขณะที่อาศัยกามารมณ์สมบูรณ์นำมาให้ มันก็ต้องทำเรื่อยไปก็เป็นทาสของกามารมณ์ไม่มีที่สิ้นสุด ผมว่าอย่างนั้นมากกว่า ทีนี้ว่าในขั้นสุดท้ายก็คือมัน มันหมดแรงแล้ว อวัยวะมันเสื่อมสมรรถภาพ กำลังงานมันสิ้นแล้ว จะถือว่าเป็นนิพพานแล้ว ก็เป็นนิพพานโกงอีกที ถ้าไม่เกิดเพราะหมดแรง คงจะไม่ไหว เป็นอันว่าเป็นสิ่งที่ต้องตัดทิ้ง ไม่มีทางที่จะมีประโยชน์โดยแท้จริง มีประโยชน์แต่คนที่ไม่ตรงหรือไม่จริง เพราะสมัยปัจจุบันที่ไม่ ไม่นิยมความจริงมากขึ้น นิยมแต่รสอร่อยทางอายตนะ คงจะวนไปวนมาอยู่อย่างนี้ในโลกนี้ ลัทธิทั้งหลายเหล่านี้
ทีนี้สำหรับไอ้นิพพานอย่างไชนะ นิครนถ์ ไม่ใช่อย่างนี้ นั่นยิ่งไม่เกี่ยวตามอารมณ์เป็นไปทางอัตตกิลมถานุโยค กระเดียดไปทางนู้น จำพวกที่จะตัดออกไป ตัดออกไปทุก ๆ สิ่ง ทุก ๆ แขนงที่ส่งเสริมกิเลสนั้นจึงมีวินัยเคร่งครัด มีไอ้การบำเพ็ญอะไรเคร่งครัด ชนิดที่จะลิดรอนความรู้สึกทางกิเลสโดยเฉพาะกับทางกามารมณ์ ที่เขาเปลือยกายนั่นเขามันทำอย่างประชดนะ อย่างประชดไม่ใช่ว่าจะใช้การประชดเป็นเครื่องมือ ฉะนั้นมันคล้ายกับอะไรที่เขาเรียกเตะโด่งนั่นนะให้มันพ้นไปเสียอย่าให้มันมาเกี่ยวข้องได้ แต่ผู้หญิงเขาไม่เคยนะ ไม่มีระเบียบวินัยที่ให้ผู้หญิงเปลือย มีแต่ผู้ชาย ให้เป็นผู้ที่อยู่เหนือการวิพากษ์วิจารณ์ เหนือไอ้ความรู้สึกที่ประชาชนเขาจะวิพากษ์วิจารณ์หรือว่าไอ้ที่เขาจะว่าดีว่าชั่วอะไรต่าง ๆ นั้นนิพพานนั้นเป็นคล้ายกับพระเจ้า แต่ว่าในรูปธรรมมาธิษฐาน เรียกชื่อที่แพร่หลายที่สุดเรียกว่าไกวัลย์ ไกวัลย์ ไกวัลย์นี่แปลว่าทั้งหมด ทั้งหมดทั้งสิ้น The whole คือทั้งหมดทั้งสิ้น มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เรียกว่าไกวัลย์น่ะ คือเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของสิ่งทั้งปวงโดยแท้จริง ถ้าเราปลดเปลื้องไอ้ข้อข้อง ข้องแวะเกี่ยวข้องอะไรทั้งหลายที่มัน มันดึงมันผูกไว้ในข้างนอกนี้แล้ว มันก็ไปหาได้ ไปหาไกวัลย์นี้ เป็นชีวิตนิรันดร แบบเดียวกับปรมาตมัน แม้จะไม่ตรงกันดิก ก็แบบเดียวกัน มันมีสภาพนิรันดรอยู่อันหนึ่ง แต่ไม่อยากจะเรียกว่าตัวตนเหมือนกัน เลยเรียกว่าไกวัลย์ ถ้าอย่าง เวตันตระ (นาทีที่ 1.25.23)นั้นมันเรียกว่าตัวตน มันเรียกว่าปรมาตมัน ตัวตนอันใหญ่ ทีนี้ไอ้ลัทธินิครนถ์นี้เขาก็คงจะเกลียดคำว่าตัวตน ไม่ใช้คำว่าตัวตน ใช้คำว่าสิ่งจริงสิ่งหนึ่งซึ่งมีอยู่เป็นตัวเดียวกันทั้งหมด ทำนองเดียวกับไอ้ปรมาตมันนั่นอีก ก็เลยเรียกว่าไกวัลย์ ไกวัลย์คือสิ่งเดียว สิ่งทั้งหมดเพียงสิ่งเดียว ไม่มีกิเลสคือไม่มีเรื่องของกิเลส ไม่มีเรื่องการแบ่งแยกเป็นหญิงเป็นชาย เป็นได้เป็นเสีย เป็นอะไรต่าง ๆ เป็นไป เมื่อเอาไอ้คู่ ๆ เหล่านี้ออกแล้วเป็นไกวัลย์เอง แต่วิธีปฏิบัติที่จะไปถึงไกวัลย์นั้นมันทรมาน ใช้ความรุนแรง ตั้งแต่ศีล ตั้งแต่วินัยเป็นต้นไป พวกไชนะมันถืออหิงสาสูงสุดกว่าลัทธิ ๆ ไหนว่านั้น เพราะฉะนั้นอันนี้มันช่วยให้เป็นที่พอใจชาวอินเดีย มันจึงอยู่ได้ ไอ้พุทธของเรามันไม่อหิงสาถึงอย่างนั้นนะ เช่นว่ายังกินเนื้อกินปลาอย่างนี้ มันไม่ชนะใจชาวฮินดู ชาวอินเดียในปัจจุบัน ยิ่งไปสูบบุหรี่เป็นไปอะไรเข้าแล้ว ยิ่งแล้วเลยหมดเลย ยิ่งพระไทยมันไปกินเนื้อกินปลา สูบบุหรี่ ถือกล้องถ่ายรูป ไปเหยียบย่ำบนไอ้ มันก็เลยหมดนะ หรือพระภิกษุในพุทธศาสนาครั้นกระโน้น มันก็ต้องออกจากอินเดีย เพราะเหตุอย่างอื่นด้วย แล้วมันก็สอนผิด ๆ ขึ้นมาจนกลายเป็นฝ่ายโน้นไปโดยไม่รู้สึกตัวด้วย คือสอนให้มีตัวตนน่ะ พุทธศาสนาไม่เคยมีตัวตนพอสอนให้มีตัวตน มันก็ถูกกลืนโดยอัตโนมัติเป็นฝ่ายโน้นไป พุทธศาสนาก็สิ้นเชิงจากอินเดีย ทีนี้ไอ้ลัทธิไชนะนี่มันอยู่ได้ เพราะมันรักษาไว้คงเส้นคงวา อหิงสานี่ยังเด่นอยู่ จะไม่ทำให้สิ่งที่มีชีวิตได้รับการกระทบกระทั่งแม้แต่น้อย แสดงว่าถ้าสงสัยว่ามันจะเหยียบสักที มันต้องปัด เอาพัดปัดเสียก่อนจะไม่ถูกสัตว์อะไร มันจะฉันอาหาร แล้วทีนี้จะฉันอาหารด้วยความยากลำบาก เป็นผัก คล้าย ๆ ว่าเก็บมาเพื่อให้เขากิน นี้เขาไม่กินหรอก มีความหมายเท่ากับในพุทธศาสนาที่ฆ่าสัตว์มาให้พระฉัน ก็ฉันไม่ได้ แต่ผักได้นะฝ่ายพุทธนี่ แต่ฝ่ายไชนะไม่ได้ แม้แต่ผักก็ไม่ได้ จะไปเก็บผักมาให้พระฉันโดยตรงนี้ไม่ได้ มีความหมายเท่ากับในพุทธศาสนาไปฆ่าสัตว์มีชีวิตมาให้พระกิน ไปอ่านดูหนังสือนั่นมี พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ตอนที่บำเพ็ญทุกรกิริยา นั่นลัทธิไชนะทั้งนั้น ถ้าแมลงวันมารออยู่ นี้ไม่เห็นว่า นี่มันเบียดเบียนแมลงวัน ยกให้แมลงวันหมดเลย ถ้าสุนัขมาชะเง้ออยู่ไม่เอาแล้ว ให้สุนัขหมดเลย เพื่อจะไม่เบียดเบียนใครถึงขนาดนี้ เขาเข้มแข็งที่จะไม่หาไอ้ความสบายทางเป็นอยู่ นุ่งห่ม มันก็จึงอยู่อย่างทนหนาว ทนร้อน ทนอะไรอย่างนั้น ไม่ต้องมีเครื่องนุ่งห่ม ถึงเวลาที่จะปลงผมก็ถอน ถอนเอา ๆ พักเดียวเกลี้ยงในวันโกน มันไม่ใช่โกนอะวันถอน ไม่ใช่วันโกน มันเป็นวันถอน ถอนผมทิ้งพักเดียวเกลี้ยงน้ำซึมที่เขาไปเห็นอะ คือถอนทีเดียวหมดจนน้ำเหลือง ๆ ใส ๆ ซึมมาจากศีรษะที่รากผม มันก็เกิดความขลังความศักดิ์สิทธิ์คนนับถือเส้นผมนั้นแย่งกันหมดเป็นของวิเศษศักดิ์สิทธิ์ แล้วมีไม่กี่องค์พระอรหันต์แบบไชนะ เหลืออยู่น้อยเต็มที ผมโชคดียังได้เห็นองค์จะจริงหรือไม่จริงก็ไม่ทราบ แต่ที่วิหารของไชนะนั้นเอง ที่เมืองปาวาที่เป็นศูนย์กลางของไชนะ เข้าไปพอดี เขาเดินออกมาแล้วจะไปทางใต้ ถ่ายรูปมาก็มี ในรูปชุดนั้นก็มีดูเถิด รูปชนิดที่แขวนโชว์น่ะ อยู่แผ่นไหนก็ไม่รู้ มันปกติมาก ไหนเล่าแล้วก็เล่าหมดก็ได้ กลางสะพานยาว วิหารอยู่กลางสระใหญ่ สะพานยาวจะไปขึ้นบก เจอกันพอดีกลางสะพาน เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ละอายเหมือนกันอยู่ขอถ่ายรูป ก็ต้องพูดทางล่าม พูดฝรั่งก็ไม่ได้ เขากลับใกล้ เข้ามา เขาสงสารเรา คือเราอายแทนเขา เขาจึงสงสารเรา แล้วเรามันรู้สึกอย่างนั้นจริง ที่ไม่นุ่งผ้านี้ เราไปอายแทนเขา แล้วเขาก็รู้ใจเรา แล้วเขาก็ทำหน้าตาเหมือนสงสารเรา แล้วเขาก็บอกว่าถ่ายรูปเถิด ไม่เป็นไร ไม่รังเกียจอะไร แล้วก็มายืนให้ถ่ายรูป รวมความก็คือว่าทำลายริดรอนสิ่งส่งเสริมกามารมณ์ นี้ก็ข้อที่ ๑ แล้วข้อที่ ๒ คืออหิงสาไม่เบียดเบียนแม้แต่อะไรเลย
(เสียงผู้ชาย) กระผมขอประทานกราบเรียนเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยที่ท่านอาจารย์เล่าว่าพบพระอรหันต์ของไชนะ แล้วทราบได้อย่างไรว่า
(เสียงท่านพุทธทาส) ตามที่เขาสมมุติสิ
(เสียงผู้ชาย) เป็นเรื่องสมมุติ
(เสียงท่านพุทธทาส) ตามที่เขาบัญญัติไว้ สมมุติไว้ ที่รับรองกันในหมู่ไชนะ พระอรหันต์องค์นี้มีชื่อเสียง มีอยู่ ๓ – ๔ องค์ที่เขา ในสังคม บริษัทเขารับรอง ชั้นที่ไม่นุ่งผ้านี่ ไอ้ชั้นนุ่งผ้าก็มี
(เสียงผู้ชาย) ขอประทานโทษหมายว่าชาวที่ถือลัทธินี้ทราบว่าองค์ใดเป็นพระอรหันต์
(เสียงท่านพุทธทาส) อ้าว, เขาต้องทราบกันในภายใน ต้องได้รับการรับรองขึ้นไปเป็นชั้น ๆ เป็นชั้น ๆ ตั้งแต่เป็นเด็ก เป็นเณร กว่าจะถึงชั้นไม่นุ่งผ้า นี้เขาก็มีทายกทายิกาปรึก แผน (นาทีที่ 01:32:08) ทั้งนั้น เป็นเศรษฐีกันทั้งนั้นน่ะ ทายกทายิกาของไอ้นิกายนี้ เป็นทนายความ เป็นเศรษฐี เป็นนักธุรกิจ เพราะฉะนั้นวิหารของเขา วัดวาอารามของเขามันเลยสวยงามทำด้วยหินอ่อน ทำด้วยทองด้วยเงินทั้งนั้น ไปดูมาแล้วศูนย์กลางอยู่ที่เมืองปาวาใกล้ ๆ กับเมืองนาลันทา ราชคฤห์ แล้วก็มีแขนงไปทั่ว ๆ ทั่วอินเดีย ที่กัลกัตตาก็มี แต่ไม่ดัง ไม่สูงเท่าที่เมืองปาวา ถ้าถึงไกวัลย์ก็จบ ไม่มี ไม่มีหรือจะเรียกว่ามีก็ไม่ได้ ไม่มีก็ไม่ได้ คือมันสลายเข้าไปในความว่าง ไกวัลยตาเป็นนิพพานของไชนะ เชื่ออย่างนั้น เป็นลัทธิที่ต้องอาศัยความเชื่อมาก มากกว่าปัญญา ในส่วนพุทธศาสนาเรา มันเป็นลัทธิที่ใช้ปัญญามากกว่าความเชื่อ เอาความเชื่อเป็นบริวารของปัญญา ส่วนพวกนั้นก็เอาปัญญาบริวารความเชื่อ ใช้คำว่าศรัทธา สัมมาศรัทธา สัมมาญาณะ สัมมา กรรมมะ (นาทีที่ 01:33:43) มีอยู่ ๓ สัมมา ที่เรามี ๘ สัมมา เขา เขามี ๓ สัมมา สัมมาศรัทธาก็ สัมมาญาณะคือรู้ แล้วสัมมากรรมะคือกระทำ ที่เขาชนะอยู่ได้ในอินเดียก็เพราะนี่ เพราะอหิงสาถึงที่สุด เพราะจริงถึงที่สุด เพราะสละความยึดถือ ความละอาย ความเป็นตนถึงที่สุด มันก็ลำบาก แกเดินเทิ่งออกไป แล้วผู้หญิงเขามา นี่มันก็ ผู้หญิงก็ไม่ค่อยรู้สึกอะไร ผู้หญิงเขาเห็นของธรรมดา ไอ้ที่เชื่อก็มี ไม่เชื่อก็มี ที่เชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ก็ไหว้กัน บางทีก็มานั่งล้อมรอบ ๆ ที่อินเดียนี้แปลกอย่างหนึ่งคือว่าลัทธินี่เป็นอิสระมาก แล้วไม่มีใครว่าใคร พวกนักบวชที่เปลือยหมด นี่ไม่มีใครค่อยสนใจหรอก ถ้ามาเมืองไทยแล้วแห่ตามดูกัน ไม่มีที่ว่าง ที่นั่นไม่มีใครสนใจ มันจะเดินมาในตลาดก็ไม่มีใครสนใจ แล้วพวกที่ไม่นุ่งผ้าแต่ไม่ใช่นิกายนี้มีเยอะแยะหมดเป็นสิบเป็นร้อย ที่ไม่นุ่งผ้าแต่ไม่ใช่นิกายนี้ อย่าไปเข้าใจผิด ไอ้โน่นนุ่งผ้าจะเป็นนิกายนี้ไปหมด บ้า ๆ บอ ๆ ก็มีหากินก็มี ไม่นุ่งผ้านี่เพื่อหากินก็มี หรือเพื่อมันเป็นคนบ้าก็มี เดี๋ยวนี้คงจะกว่า ๕ ล้านคนละมังไอ้นักบวชนานาแบบในอินเดีย นี่รวมทั้งพวกนี้ด้วยพวกไหนก็ได้ ที่เป็นนักบวชน่ะมีตั้ง ๕ ล้านคน ในสมัยที่เนรูยังมีชีวิตอยู่ เป็นปัญหาอันหนักเขาบอกว่าที่จะเลี้ยงคน ๕ ล้านคนฟรี กินอาหารฟรี เป็นบรรพชิต เป็นพวกที่คนอื่นเลี้ยง ก็เนื่องจากอินเดียมันมีตั้ง ๓ - ๔ร้อยล้านคน ก็พอเลี้ยงกันไป
[T1]ไม่แน่ใจ
[T2]ไม่แน่ใจตัวสะกด
[T3]ไม่แน่ใจตัวสะกด
[T4]ไม่แน่ใจตัวสะกด
[T5]ไม่รู้ตัวสะกด
[T6]ไม่แน่ใจตัวสะกดว่ามีสระอะ หรือไม่
[T7]ไม่แน่ใจตัวสะกด
[T8]ไม่รู้ตัวสะกด
[T9]ฟังไม่ชัด
[T10]ไม่รู้ตัวสะกด