แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
(เสียงท่านพุทธทาส) ท่านที่บวชใหม่ ผู้เป็นราชภัฏทั้งหลาย ผมเห็นว่าถึงเวลาที่ควรจะได้พูดเรื่องบางอย่างที่เป็นประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย หลังจากที่เวลาในพรรษาก็ได้ล่วงมาตั้งครึ่งพรรษาแล้ว เรื่องต่าง ๆ ตามระเบียบวินัย ขนบธรรมเนียมประเพณีของภิกษุใหม่ ก็ได้รับการศึกษาอบรมมาพอสมควรแล้ว และในวันนี้ก็จะพูดอย่างที่ถือว่าท่านเสร็จการศึกษาประเภทนั้น ซึ่งทำไปตามตำรับตำราหรือตามขนบธรรมเนียมประเพณีนั้นเสร็จสิ้นแล้ว แม้ที่สุดแต่ว่าเรื่องที่ปฏิบัติสำหรับผู้จะลาสิกขานั้นก็เป็นอันว่าเรียนแล้ว หรืออ่านเอาเองได้ ถึงกับทราบด้วยว่าฆราวาสจะต้องมีเป้าหมายอย่างไรในการที่จะเป็นฆราวาสที่ก้าวหน้าตามแบบของพุทธบริษัท จึงไม่พูดเรื่องทำนองนั้นซึ่งจะหาอ่านเอาได้จากหนังสือนวโกวาทบ้าง หนังสือฆราวาสธรรม ชุดหนึ่งที่เคยบรรยายกันที่สวนโมกข์นี้แล้วบ้าง คือก็จะ คือจะได้พูดถึงเรื่องที่ไม่มีอยู่ในหนังสือเหล่านั้น หรือมีอยู่อย่างที่ย่อเกินไปไม่สำเร็จประโยชน์ ผู้ที่มาบวชเป็น โดยเป็นราชภัฏมาก่อนนี้ ก็มีทั้งหนุ่มและทั้งสูงอายุ ที่ว่าผ่านความเป็นหัวหน้าครอบครัวมาแล้วก็มี หรือว่ายังไม่เคยเลยก็มี แต่เรื่องที่จะพูดนั่นก็กลายเป็นเรื่องรวมกันได้ เพราะว่าจะพูดถึงประโยชน์ของการที่จะได้รับอย่างเดียวกัน ในการที่มาบวชที่นี่ในลักษณะอย่างนี้ จะเป็นผู้หนุ่มหรือผู้สูงอายุ บวชแล้วก็ต้องจะลาสิกขาออกไป จะได้ทำอะไรให้ดีกว่าเดิม คือดีกว่าที่ยังไม่เคยทำความเข้าใจกันในเรื่องนี้ หรือว่าออกไปก็พร้อมที่จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ อย่างน้อยก็ในวัยสุดท้ายคือปัจฉิมวัย ท่านทั้งหลายก็คงจะสังเกตเห็นได้ว่าผมย้ำมากที่สุดในเรื่องความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ จะเป็นฆราวาสหรือเป็นบรรพชิต มันก็มีจุดหมายปลายทางอย่างเดียวกัน คือเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ อยู่เหนือปัญหาทุกอย่างทุกประการ และก็ได้รับผลที่เรียกกันว่าความสุขหรือจะเรียกว่าอะไรก็ได้ อย่างสูงสุด ไม่มีอะไรสูงไปกว่านั้น เพราะฉะนั้นเรามาพูดกันถึงข้อนี้เป็นส่วนใหญ่ และก็คิดว่าจะพูดกันหลายครั้งหลายหนด้วย เพราะไม่สามารถจะพูดให้ครบถ้วนละเอียดลออได้ด้วยการพูดเพียงครั้งเดียว
ในวันนี้ ถึงจะ ในวันนี้จะได้กล่าวถึงหัวข้อที่ธรรมดาสามัญที่สุด ถึงมีหัวข้อว่า "ควรจะได้อะไรจากการบวช" นี่คือปัญหาข้อแรกที่จะต้องพิจารณาหรือว่าสะสางว่าเราควรจะได้อะไรจากบวช แล้วเราก็ได้แล้วหรือยัง หรือได้กี่มากน้อย ยังจะต้องเพิ่มเติมอะไรอีกบ้าง ส่วนใหญ่ก็เป็นส่วนที่ ก็เป็นข้อที่เคยพูด เคยถกกันมาแล้ว แต่เดี๋ยวนี้จะเอามาดูพร้อม ๆ กันให้สมบูรณ์ ควรจะได้อะไรจากการบวช แก่ตัวเองอย่างหนึ่ง แก่ผู้อื่นอย่างหนึ่ง แก่สิ่งอื่นอีกสักอย่างหนึ่ง รวมเป็น ๓ อย่าง ตัวเองควรจะได้อะไรจากการบวชในลักษณะอย่างนี้ คืออย่างราชภัฏบวชพรรษาเดียว และผู้อื่นก็จะพลอยได้อะไรจากการบวชอย่างนี้ แล้วสิ่งอื่นซึ่งไม่ใช่บุคคลจะได้ดีขึ้นบ้าง หรือจะเรียกว่าได้รับประโยชน์ก็ได้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีชีวิตจิตใจ นั้นมีอะไรบ้าง แล้วเราจะพยายามทำให้เป็นที่เข้าใจแจ่มแจ้งชัดเจน จึงไม่รีบพูดมาก พูดกันแต่ข้อเดียวนี้ แล้วก็ซักไซร้ไล่เลียงกันให้ถึงที่สุด
สำหรับข้อที่ว่าตัวเองจะได้อะไรนั้น ตามความสังเกตของผม ๔๐-๕๐ ปีมาแล้ว จนบัดนี้ก็มองเห็นอยู่อย่างนี้ ว่าผู้ที่บวชเข้ามา แม้พรรษาเดียวนี่ จะต้องผ่านสิ่งเหล่านี้ จะต้องได้สิ่งเหล่านี้
ข้อที่หนึ่ง จะได้ลองชิม จะได้ลองชิมชีวิตแบบปรทัตตูปชีวี ปรทัตตูปชีวีคือบุคคลผู้มีชีวิตอยู่ด้วยของที่ผู้อื่นให้ มีความ คำนี้มีความหมายกว้าง สุนัขและแมวมันก็อยู่ด้วยของที่เจ้าของผู้เลี้ยงให้ คนขอทานก็อยู่ด้วยของที่ผู้อื่นให้ พวกที่เรียกกันว่า “เปรต” ก็อาศัยส่วนบุญที่คนอื่นอุทิศให้ เฉลี่ยให้ นี่เหล่านี้เป็นปรทัตตูปชีวีทั้งนั้น แล้วก็รวมภิกษุ (นาทีที่ 11:19) เข้าไปด้วยในพวกนี้ ถ้าเราจะปฏิบัติตรงจริงตามหลักของการบวชนี่ จะเป็นปรทัตตูปชีวีคือไม่แสวงหาด้วยตนเอง ไม่ค้าขาย ไม่ลงทุน ไม่อะไรมาเพื่อจะเลี้ยงชีวิตตนเอง แต่ปล่อยชีวิตมอบไว้ในมือของผู้อื่น ทีนี้สำหรับภิกษุนั้นก็มอบไว้ในมือของทายก ทายิกา กับพุทธบริษัท แล้วแต่เขาจะให้ ถ้าไม่เคยบวชก็ไม่มีโอกาสที่จะลองชิมชีวิตแบบนี้ หรือบวชแล้วแต่ไม่บวชจริง มันก็ไม่มีโอกาสที่จะลองชิมไอ้ชีวิตแบบ แบบนี้ เพราะฉะนั้นขอให้อุทิศเวลา ชั่วเวลาบวชนี้ ทิ้งตัวลงไปในการเป็นอยู่แบบปรทัตตูปชีวี แล้วแต่ว่าจะเป็นไปอย่างไร เราก็จะได้ความรู้เพิ่มขึ้นว่าไอ้พวกคนหรือสัตว์ประเภทหนึ่งซึ่งอยู่ด้วยสิ่งที่ผู้อื่นให้ หรือ หรือ หรือผู้อื่นเลี้ยงนี่ มันอยู่กันอย่างไร ทำไมพระพุทธเจ้าหรือพระศาสดาทั้งหลายก็ล้วนแต่อยู่ในแบบนี้ นักบวช พระอรหันต์ทั้งหลายก็อยู่ในแบบนี้ เป็นแบบซึ่งเขาดูหมิ่นดูถูก หรือเขากลัว มัน ว่ามันจะไร้สาระ หรือมันต่ำต้อยที่สุด นี่ ผมจึงได้ปล่อยให้เป็นไปตามแบบนี้ ให้สะดวกแก่การที่ท่านทั้งหลายจะอยู่ได้ในแบบนี้ แล้วจะไว้เปรียบเทียบกันดูเมื่อเราออกไปอยู่ในแบบเดิม แบบที่หากินเอง ทำงานเอง ทำงานเอาเอง ถ้าอยู่แบบนี้ก็ผู้อื่นเลี้ยงแล้วทำงานให้ผู้อื่น หรือทำงานให้โลก เป็นอาปุญญนบุคคล ในโลก ทำประโยชน์แก่โลก ไอ้ตัวเราก็เลยเล็กนิดเดียว เพราะฉะนั้นผู้ที่จะหวังทำประโยชน์อันสูงหรือกว้างขวาง มันต้องมีชีวิตแบบนี้ ต่อให้เป็นนักการเมือง หรือเป็นอะไรก็ตามเถิด ถ้าเขาไม่ต้องมายุ่งไอ้เรื่องที่จะมีอะไรของตัว กินของตัว อะไรของตัว แล้วมันก็จะทำได้ดี อย่าว่าแต่จะเป็นพระศาสดา เป็นไอ้ผู้สั่งสอนในทางศาสนาเลย ผู้จะเป็นนักการเมือง ผู้ครองโลก ถ้าว่าเขาเป็นอยู่อย่างแบบนี้ โดยไม่ต้องมีปัญหาหาเลี้ยงปากท้องของเขา จะทำได้ดีกว่า นั้นขอให้ลองชิม อยากให้ได้ลองชิมตลอดเวลาที่บวชอยู่
นี้ข้อสองให้ลองกินอยู่อย่างต่ำที่สุด นี้มันไม่เหมือนกับข้อหนึ่งอะ ความหมายว่าให้มันอยู่อย่างต่ำที่สุดในการกิน การอยู่ พวกที่เคยรับประทานหลายมื้อเมื่อก่อนบวช ต้องกินนม กินเนย กินไข่ลวก เวลาเช้านั้น ก็ไปยึดมั่นถือมั่นว่าต้องเป็นอย่างนั้น ด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง นี้เราก็มาสลัดทิ้งไป กินอยู่อย่างต่ำที่สุด เพื่อจะพิสูจน์ดูว่ามันจะเป็นอะไร มันจะตายไหม หรือมันจะเสื่อมสุขภาพไหม หรือว่ามันจะทำอะไรได้ หรือว่าคำที่เขาพูดไว้ว่า “เป็นอยู่อย่างต่ำ ก็จะทำได้อย่างสูง” คือทางร่างกายเป็นอยู่ต่ำ ๆ แล้วทางจิตใจจะทำได้สูง คำพูดนี้มันจริงหรือไม่ หรือมันจริงสักกี่มากน้อย ไม่เคยก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นต้องเคย ต้องถือโอกาสให้เคย เพราะเราก็พอมองเห็นอยู่ว่าพระศาสดาทั้งหลาย พระอรหันต์ทั้งหลายก็กินอยู่อย่างต่ำเท่าที่จะต่ำได้ จะใช้คำอันไพเราะไปหน่อยว่า "สันโดษ" มันตัดใจตามมีตามได้ ซึ่งในที่สุดมันก็เป็นเรื่องกินอยู่อย่างต่ำที่สุด กินอยู่อย่างต่ำแต่มุ่งกระทำอย่างสูง เราบวชแล้วได้ลองอย่างนี้หรือไม่ ได้รู้จัก ได้ประสบ ได้มี มีความเจนจัดในจิตใจเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่
นี้ข้อสาม ลองอยู่อย่างมุนี ใช้คำว่ามุนีจะดีกว่า พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดีก็เป็นมุนี ไอ้นอกนั้นก็ยังเป็นมุนีในความหมายของคำว่ามุนี แปลว่าผู้รู้ มุนีแปลว่าผู้รู้ ความหมายแฝงยังมีอีกว่าอยู่อย่างน้อยที่สุด มุนีนี่อยู่อย่างน้อย อย่างมีอะไรน้อยที่สุดก็เรียกว่ามุนี แต่ความหมายแท้จริงก็คือผู้รู้ อยู่อย่างผู้รู้ กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู จะอยู่อย่างผู้รู้ได้อย่างไร ก็ไปพิจารณาดูเอาเอง ตลอดถึงว่าท่านไม่ได้นึกคิดถึงเรื่องกิน เรื่องอยู่ นึกคิดแต่จะทำประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น หรือประโยชน์ทั้ง ๒ ฝ่ายควบคู่กันไปให้มันมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จนลืมเรื่องกินเรื่องอยู่ในทางร่างกาย มีทรัพย์สมบัติน้อยที่สุด คือมีจีวรกับบาตรเท่านั้น ที่เรียกว่าเป็นทรัพย์สมบัติ มีอิสระเหมือนกับนก มีสมบัติแต่เพียงปีกสำหรับจะบินไปนี่ นี่เรียกว่าเป็นมุนี ขอให้ลองอยู่อย่างมุนี ตามความหมายของคำว่ามุนีให้สุดเหวี่ยงก่อนแต่ที่จะสึกออกไป เพื่อจะให้รู้ว่ามันเป็นอย่างไร และมันต่างกันอย่างไร ทำไมเราจึงขลาด หรือกลัว หรือโง่ต่อความเป็นอย่างนี้ คือไม่รู้อะไรกันเสียเลย เพราะฉะนั้นขอให้ลองอยู่อย่างพระ หรืออย่างมุนี หรืออย่างผู้เป็นอนาคาริกโดยสมบูรณ์ คือ ไม่มีทรัพย์สมบัติแต่เต็มไปด้วยความรู้ ถ้าจะถามว่ามีอะไรเป็นทรัพย์สมบัติ ว่ามีแต่ความรู้
ข้อสี่ อยู่อย่างเป็นเกลอกับธรรมชาติ ถ้าไม่บวช โอกาสมีน้อยมาก แล้วบวชก็ต้องอยู่ในสถานที่ที่มีลักษณะอย่างวัดเรานี่ จึงจะมีโอกาสเป็นเกลอกับธรรมชาติมาก นี่ก็เคยอธิบายแล้วว่า ธรรมสัจจะทั้งหลายเป็นกฎของธรรมชาติ เพราะฉะนั้นเราต้องรู้จักธรรมชาติให้มาก เราจึงจะรู้จักไอ้สัจธรรมหรือธรรม สัจ (นาทีที่ 20:03) ซึ่งเป็นกฎของธรรมชาติ เป็นอยู่ให้มันกลมกลืนกันไปกับธรรมชาติ ปลดเรื่องไอ้ที่ไม่ใช่ธรรมชาติน่ะ ออกไปเสียให้มากที่สุด ให้มันเป็นธรรมชาติมากที่สุด แล้วมันกลมกลืนกันไปกับธรรมชาติ มันก็จะตรัสรู้ขึ้นมาได้ด้วยตน ก็จะตรัสรู้ขึ้นมาได้ด้วยตนเองนี่ ฟังดูให้ดีเถิด ให้กลมกลืนเป็นธรรมชาติไปเลย แล้วก็จะตรัสรู้ขึ้นมาได้ด้วยตนเอง เหมือนพระศาสดาทั้งหลาย ฝังตัวลงไปในธรรมชาติ ไม่ต้านทาน ไม่ป้องกัน ไม่อะไร เพื่อความเป็นอันเดียวกับธรรมชาติ แล้วมันก็ง่ายที่สุดที่จะรู้ไอ้ตัวธรรมชาติหรือตัวกฎของธรรมชาติ หน้าที่ของมนุษย์ ตามกฎของธรรมชาติ เราควรจะได้อะไร มีอะไร ตามที่ถูกที่ควร นี้ก็มีความหมายกว้างขวาง กลับ (นาทีที่ 21:23) ไปมองเองได้ว่าให้อยู่อย่างเป็นธรรมชาติไปเสียเลย เรียกว่าเป็นเกลอกับธรรมชาติ อย่ามีตัวกูของกูอะไรแยกออกมาจากธรรมชาติ
นี้ข้อที่ห้า อยู่อย่างเก็บความโกรธ ใส่ยุ้ง ใส่ฉางไว้เสียหมด พวกเป็นฆราวาสน่ะ เขาชอบโกรธ ได้โกรธแล้วสบาย คือได้ด่าคนแล้วก็สบาย แต่บรรพชิตทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะว่าทำอย่างนั้นมันไม่ใช่บรรพชิต อนูป วาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร(นาทีที่ 22:11) ก็ท่องกันอยู่ทุกวัน ถึงขนาดที่ต้องสร้างยุ้ง สร้างฉางใหญ่ ๆ ไว้ใส่ความโกรธ นี้เป็นภาพพจน์ที่ทำให้มองเห็นได้ง่ายว่าความโกรธนั้นมันมีมาก ความไม่ถูกใจ ความไม่ถูกอกถูกใจ ไอ้เรื่องที่จะต้องขัดใจนั้นมันก็มีมาก จนขนาดต้องมียุ้งใหญ่ ๆ ไว้ใส่ จึงจะพอ มันเคยตามใจตัวเองใน โดยประการทั้งปวง พอมาบวชประพฤติพรหมจรรย์ มันต้องตัดทิ้งไปในการที่จะทำตามใจตัวเองด้วยประการทั้งปวง ต้องยอม ต้องยอมต่อหลาย ๆ อย่าง ยอมต่อธรรมวินัย ธรรมวินัยบังคับเท่าไรก็ไม่โกรธ อย่าไปดื้อ อย่าไปต่อสู้ มันก็ต้องยอมต่อการเป็นอยู่กับธรรมชาติ ซึ่งมันไม่อำนวยให้ตามที่ต้องการ ก็เคยอยู่ที่สบาย เดี๋ยวนี้มันอยู่กับธรรมชาติก็มีขัด ขัดใจ แล้วก็มีบุคคลที่อยู่ด้วยกัน มีสิทธิที่จะบวชในพุทธศาสนามาอยู่ด้วยกัน แล้วก็มีอะไรต่างกัน มีการศึกษาต่างกัน จริตนิสัยต่างกัน ระดับการเป็นอยู่ต่างกัน มันก็มีทางที่จะทำให้โกรธ เพราะฉะนั้นเราจึงมีบทเรียนชนิดที่จะทำให้โกรธ เพื่อจะทดสอบดูว่าใครมันทนได้บ้าง เราจึงต้องทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ ต้องทำวัตร สวดมนต์ ต้องฟังเทศน์ ต้องอะไรหลาย ๆ อย่าง ซึ่งล้วนแต่เป็นเหตุให้เกิดความโกรธเมื่อไม่ได้อย่างใจ เพื่อจะทดสอบดูว่าใครจะ จะโกรธหรือไม่โกรธ จะทน จะ จะเก็บความโกรธไว้ได้หรือไม่ ซึ่งก็คงจะรู้กันอยู่ทุก ๆ ท่าน ความไม่ได้อย่างใจมันมีมาก แล้วก็ แล้วที่นี่ก็มีหลักเกณฑ์ชนิดที่จะไม่ต้องการให้ได้อย่างใจไปเสียหมด
ข้อที่หกนี่ อยู่อย่างหดหัวหดหาง ต้องขออภัยที่จะใช้คำไอ้หยาบคาย มันโสก กระโดก (นาทีที่ 25:05) แต่มันประหยัดเวลา ปล่อยไปตามตัวกูของกู มันก็ยกหูชูหาง ยกหัวยกหาง นี้ขอให้อยู่ตลอดเวลา ขอให้อยู่อย่างหดหัวหดหาง แม้ว่าใครจะมายั่วมายุให้มันยกหูชูหาง มันก็ไม่ยอม ไม่ยอมยกหูชูหางไง ให้อยู่อย่างนั้น ตามคำโบราณเขาว่า "แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร" อย่างนี้ ไม่ต้องการที่จะชนะด้วยกำลัง หรือชนะอย่างเด็กอมมือมันต้องการจะชนะ เพราะฉะนั้นการที่ยอมได้นั่นน่ะ เป็นฝ่ายชนะ ยังดีกว้างขวางออกไป ถึงว่ามันไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแก่หมู่ แก่คณะ และแก่สังคม ในโลกนี้มันมีปัญหาที่น่าหวาดเสียว คือการยกหูชูหางของแต่ละคนในโลก หรือว่าแต่ละประเทศชาติในโลกก็เหมือนกันแหละ ที่จริงจะเรียกว่าประเทศชาติมันก็คือบุคคลคนหนึ่งนะ ที่กุมอำนาจ หรือว่ากุมการปกครองไว้ แล้วแต่ว่าเขาจะทำอย่างไร เขาได้สิทธิอำนาจมาจากทางไหน เขาก็เป็นผู้ที่จะบัญชากิจการของประเทศชาติได้ เดี๋ยวนี้แต่ละคน ๆในประเทศชาติหนึ่ง ๆ นั้นน่ะ มันไม่ยอม ไม่ยอมแม้ในความถูกต้องตามที่ควรจะยอม เพราะว่าเขาทำหน้าที่ของเขาน่ะ เพื่อได้ประโยชน์ ไม่ใช่ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง ปากน่ะมันพูดว่าช่วยกันทำเพื่อสันติภาพ แต่ที่ทำจริง ๆ มันทำเพื่อประโยชน์ ขอให้ไปสังเกตดูให้ดีว่าในโลกกำลังเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเขาต้องไม่ยอม เขาต้องดีกว่า เก่งกว่า เหนือกว่า อะไรกว่า แม้ถูกก็ไม่ยอม แม้ผิดก็ไม่ยอม ในการที่จะลดหู ลดหาง โรคนี้ติดมาแต่กำเนิดตั้งแต่อ้อนแต่ออก ถูกกระตุ้นให้มากขึ้น ๆ ผมสังเกตดูพระเณรทั้งหมดเป็นอย่างนี้ เป็นโรคนี้ เป็นโรคที่ชอบยกหูยกหาง บางทีก็ไม่ได้พูด แต่ในจิตใจมันก็เป็น เพราะมันเคยชินมาแต่อ้อนแต่ออก ฉะนั้นอันนี้คืออุปสรรคอย่างยิ่งของการที่จะมีความเจริญงอกงามก้าวหน้าไปตามทางแห่งพระพุทธศาสนา อยู่กี่ปี ๆ กี่ปีมันก็ไม่เจริญงอกงามก้าวหน้าไปตามทางแห่งพุทธศาสนา ก็ไม่มองเห็นข้อนี้ ไม่ยอมลดหูลดหาง อะและเดี๋ยวนี้ก็ว่าเราจะไม่ได้เป็นภิกษุสามเณรตลอดไป แต่ควรจะศึกษาบทเรียนนี้ให้ตลอดเวลาที่ยังเป็นภิกษุสามเณรอยู่ ถ้าสึกออกไปมันก็คงจะได้ประโยชน์มากเหมือนกัน คือจะสามารถหดหัวหดหางได้โดยสบายใจ ในเมื่อให้มันควรจะหดเสีย เดี๋ยวนี้มีปัญหาว่าแม้มองเห็นอยู่ว่าถ้าขืนยกหูชูหางมันจะวินาศ มันก็ไม่ยอม มันก็ยังยกหูชูหางอยู่นั่นเอง มันก็เกิดเรื่องขึ้นในหมู่ หรือว่าในสังคมเหล่านั้น แม้ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา
ข้อเจ็ด มีความเป็นอยู่อย่างรู้จักปรโลก อยู่อย่างรู้จักปรโลก คำว่าปรโลกนี่หมายถึงโลกอื่น ภาษาธรรมดาก็หมายถึงตายเข้าโลงไปแล้ว จึงไปโลกอื่น มันถูกนิดเดียว ถูกนิดเดียว ถูกนิด นิดเหลือเกิน โลกอื่นไม่ต้องตายไปแล้วจึงจะไปรู้จักมัน ไอ้โลกอื่น อีกหลาย ๆ อย่างที่จะรู้จักได้โดยอย่างไม่ต้องตายอย่างนี้ นี้เป็นภิกษุนี่ ถ้าเอาจริงนะ มีทางที่จะรู้จักปรโลกหรือโลกอื่นได้มากมายหลายแบบ คือหลายโลก แล้วก็จะเป็นไปแต่ในทางฝ่ายที่ดี ที่น่าดู คือถ้าทำสมาธิได้ มันก็ไปอยู่ในพรหมโลกนู้น ซึ่งไม่เคยชิมมาก่อน ไม่เคยลองมาก่อน หรือว่าถ้าละกิเลสได้บางคราว มันก็ไปอยู่ในโลกของพระอริยเจ้า ถ้าสังเกตดูให้ดี บางทีจะอยู่ในโลกนรก เปรต เดรัจฉาน อสุรกายอะไรก็ได้ ถ้าสังเกตดูให้ดี บางเวลาเราก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เดือดร้อน นั่นมันอยู่โลกนรก บางคราว บางคราวก็โง่เหลือประมาณอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ในขณะนั้น ก็เรียกว่ามันอยู่ในโลกสัตว์เดรัจฉานโดยแท้จริง โดยแท้จริง หิวทะเยอทะยานในสิ่งที่ไม่ควรหิว ไม่ควรทะเยอทะยานด้วยซ้ำไป ก็เรียกว่ามันอยู่ในโลกเปรต โลกของเปรต มันก็ขลาดเหลือประมาณ ก็อยู่ในโลกของอสุรกายอย่างนี้ ก็ยังได้น่ะ แต่เราไม่ต้องการน่ะ โลกอย่างนี้ ปรโลกอย่างนี้ไม่ต้องการ ต้องการปรโลกแห่งความสงบเยือกเย็น เพราะฉะนั้นขอให้เป็นอยู่อย่างถูกต้องตามแบบแผนของบรรพชิต มันจะกลายเป็นอยู่คนละโลก คือโลกอื่นเป็นโลกของโลกทิพย์ก็มี โลกพรหมก็มี โลกอริยะก็มี คนหลายคนพอเข้ามาในสวนโมกข์ มันก็ออกปากออกมาเองว่า คนละโลก คนละโลก นี่ เพียงแต่ไอ้บรรยากาศอย่างวัตถุธรรมดานี่ มันก็ยังรู้สึกว่าคนละโลกเสียแล้ว เอาสวนโมกข์ไปเปรียบกับที่กรุงเทพฯ พอเข้ามาในสวนโมกข์จิตใจมันเปลี่ยนไปอย่างอื่นหมดจากที่เพิ่งเป็นอยู่ที่อย่างที่กรุงเทพฯ เป็นต้น มันก็เลยออกปากออกมาว่าคนละโลก คนละโลก ทีนี้ไอ้ทางจิตใจมันยิ่งกว่านั้น มันมีทางที่จะเปลี่ยนได้มากกว่านั้น การทำสมาธิโดยเฉพาะนี่ จะช่วยให้มีโอกาสอยู่ในโลกอื่น ตลอดเวลาที่มีจิตเป็นสมาธิ
ทีนี้แปด ชิมลองพระนิพพานตัวอย่างในบางเวลา ถ้าปฏิบัติจริง มีโอกาสชิมลองพระนิพพานตัวอย่าง และโดยง่ายที่สุด คืออย่าให้มีอะไรเกิดขึ้น แล้วมันก็เป็นนิพพานตัวอย่างอยู่ตลอดเวลา ทีนี้เราจะไม่เรียกว่าโลกอื่น จะยกเอาคำว่าพระนิพพาน ซึ่งมิใช่โลกน่ะมาเป็นหลัก คืออยู่ จะเรียกว่าอยู่เหนือโลกก็ได้ บางเวลาเราสามารถที่จะไม่ให้ไอ้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์หรือความรู้สึกคิดนึกอะไรมาผูกมัดจิตใจ มาปรุงแต่งจิตใจ ลากจูงจิตใจ ตอนนั้นก็เป็นอยู่เหนือโลก คืออยู่เหนืออารมณ์ทั้งหลาย เป็นตัวอย่างของพระนิพพานสำหรับชิมลองดู การได้บวชแม้เพียงชั่วคราวอย่างนี้ก็มี มีโอกาสที่จะชิมลองนิพพานตัวอย่างนี้ได้มาก แต่ถ้าไม่สังเกตก็จะไม่เข้าใจ หรือจะไม่เห็นด้วยซ้ำไป และข้อที่ไม่สังเกตนั่นแหละก็ทำให้ไม่ตั้งใจที่จะชิมลอง ก็ไม่ได้ระมัดระวัง หรือไม่ได้จัด ไม่ได้เตรียม เพื่อให้โอกาสแก่การได้ชิมลองพระนิพพานตัวอย่างในบางเวลา จะไหว้พระสวดมนต์ หรือว่าจะทำอะไรก็ตาม มันอาจจะจัด จะทำไปในทางที่ปราศจากความรบกวนของอารมณ์ทั้งหลายในโลก ก็เป็นเวลาที่เราว่าง หรือเย็น เรียกว่าตัวอย่างรสชาติของพระนิพพานปรากฎ
นี้ข้อเก้า อยากจะพูดเลยไปถึง เพราะจะอยู่อย่างประชาธิปไตยแท้จริง เพื่อให้รู้จักประชาธิปไตยจอมปลอมที่มีอยู่ทั่วโลกในเวลานี้นะ ประชาธิปไตยแท้จริงที่นี่ มันต้องหมายถึงจริงอย่างที่เรียกว่าสุดเหวี่ยงของธรรมชาติทีเดียว ไม่ใช่มีรัฐธรรมนูญนั่น รัฐธรรมนูญนี่ มาคอยกำกับอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็เดี๋ยวก็เลิก เดี๋ยวก็มี เดี๋ยวก็เปลี่ยน อย่างนั้นมันไม่ใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริง ให้อยู่กันตามแบบของพระพุทธเจ้า หรือธรรมวินัยในศาสนานี้ จะเกิดระบบประชาธิปไตยที่แท้จริง เหมือนที่ได้จะพูดให้ฟังกันบ่อย ๆ ว่าการเข้ามาบวชนี้เปิดกว้าง ใครเข้ามาก็ได้ โง่ที่สุด ฉลาดที่สุด หยาบคายที่สุด ละเอียด ประณีต สุขุมที่สุด นี่มันก็เข้ามา ก็มีสิทธิ์เสมอกันโดยธรรมะ โดยวินัย นี่คือประชาธิปไตยตามแบบของธรรมชาติหรือของศาสนา ถ้าเราเป็นพลเมืองประชาธิปไตยนี้ดู จะพบประชาธิปไตยที่แท้จริง ซึ่งมันตั้งรากฐานอยู่บนการบังคับตัวเองหรือความอดกลั้นอดทนของเรามากทีเดียว คือว่านอกจากจะไม่ให้เกิดเรื่อง นอกจากจะไม่ให้ผิด ผิดจากระเบียบ แล้วก็ต้องยังระวังไม่ให้มันเกิดเรื่อง การที่ถือว่ามันถูกต้อง แต่ทำไปแล้วมันเกิดเรื่องนี้ มันก็ทำไม่ได้ มันไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ มันต้องไม่มีเรื่อง จึงจะมีสันติภาพหรือสันติสุข มันก็เลยยอมได้มากกว่ากันมาก ไอ้เรื่องกฎหมายเรื่องธรรมนูญอะไรต่าง ๆ นั้น มันมีไว้สำหรับคนคดโกง กฎหมายหรือธรรมนูญอะไรก็ตาม มันมีไว้สำหรับคนคดโกง ไม่ใช่มีไว้สำหรับพระอริยะเจ้า ฉะนั้นพิสูจน์ดูเถิด กฎหมายไหน ประเทศไหน อย่างไร ฉบับไหน ธรรมนูญไหน มัน มันมีไว้สำหรับคนคดโกง เพื่อคนคดโกงจะโกงไม่ได้ นี้เรามันไม่คดโกง ไม่ตั้งใจจะคดโกง เราต้องเอาตามความบริสุทธิ์ของไอ้ ธรรมชาติ หรือจิตใจที่มันเป็นไปตามธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ความเป็นประชาธิปไตยในหมู่สงฆ์ เมื่อปฏิบัติถูกต้องตามธรรมวินัยแล้ว มันเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ความหมายแห่งประชาธิปไตยที่แท้จริง ฉะนั้นขอให้ลองชิมดูในระหว่างที่บวช
ทีนี้ข้อสิบจะพูดในเรื่องของการทดสอบว่า การบวชของเราทำให้เราชอบธรรมะหรือศาสนามากยิ่งขึ้นหรือเปล่า นี่ทุกคน ทุกท่านต้อง ต้องซื่อตรงต่อตัวเอง วัดดูเอง ดูเอง ว่าเมื่อเราบวชเข้ามานี้ หรือกลับออกไปก็ตามนี่ เราชอบพระธรรมหรือพระศาสนามากยิ่งขึ้นหรือเปล่า ถ้าเราได้ชอบพระธรรมหรือพระศาสนามากยิ่งขึ้นสึกออกไปนี่ จึงจะเรียกว่าบวชจริง หรือได้รับประโยชน์ หรืออานิสงส์ของการบวช ถ้าทำให้มันเฉย ๆ ถ้ามันทำให้รู้สึกเฉย ๆ หรือยิ่งไม่ชอบ ยิ่ง ยิ่งเห็นว่าไม่ ไม่จำเป็น หรือไม่มีประโยชน์ นี้ก็แปลว่าไอ้การบวชนั้นไม่ถูกต้องแล้ว มันผิดทางแล้ว เพราะฉะนั้นไปทดสอบเอาเองเถิดว่าไอ้บวชของเรานี้ถูกหรือไม่ จริงหรือไม่ ถ้าถูกและจริงเราจะชอบพระศาสนายิ่งขึ้นหลังจากสึกออกไปแล้ว
ข้อสิบเอ็ด ไหว้ตัวเองได้หรือเปล่า ชาวบ้านไหว้เรา เอ้า, ไหว้อย่างหลับหูหลับตาก็ได้ แต่ว่าเรานี่ไหว้ตัวเองได้หรือเปล่า เราก็เอาความบริสุทธิ์ใจนี่ เป็นเครื่องทำความรู้สึกว่าเราไหว้ตัวเองได้หรือเปล่า ถ้าไหว้ตัวเองได้โดยสนิทใจ ก็เรียกว่าเราก็บวชจริงหรือบวชถูกต้อง ก็ได้รับประโยชน์จากอานิสงส์ของการบวชนั้นเป็นแน่นอน ถ้ารู้สึกว่ามันน่ารำคาญ น่าขยะแขยง ไหว้ตัวเองก็ไม่ลงแล้วก็ ขอให้ถือเสียว่าการบวชนี้เป็นหมัน อย่าเอาเป็นประมาณที่ว่าชาวบ้านทุกคนเขาไหว้เรา แล้วเราก็จะวิเศษประเสริฐอะไรไปเสีย ต้องมีปัญหาว่าเราไหว้ตัวเราได้หรือเปล่าด้วย จึงจะเป็นสิ่งวัดที่แน่นอน
ข้อสุดท้าย ข้อสิบสอง การบวชของเราเป็นปัจจัยแก่พระนิพพานพอสมควรหรือเปล่า ถ้าเป็นพุทธบริษัทแท้ มีหลักว่าทำอะไร ๆ มันก็ต้องเป็น เป็น เป็นไปเพื่อให้เป็นปัจจัยแก่พระนิพพานยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้นโดยเร็ว ผู้รู้ธรรมะถูกต้องเขาจะอธิษฐานจิต หรืออุทิศส่วนกุศลอะไรก็ตามโดยบทว่าจงเป็นปัจจัยแก่พระนิพพานทั้งนั้นน่ะ เขาไม่ต้องการสวรรค์วิมานอะไร จะให้ทานสักนิดหนึ่ง ก็ให้ ให้ผลทานนี้จงเป็นปัจจัยแก่พระนิพพาน รักษาศีล ก็ศีลนี้เป็นปัจจัยแก่พระนิพพาน ทำสมาธิ ทำอะไร ทำความดีอะไรก็จะประสงค์ผลว่าให้เป็นปัจจัยแก่พระนิพพาน เพื่อให้มันใกล้ ใกล้พระนิพพานยิ่งขึ้น ๆ ให้เหมาะสมที่จะ จะใกล้พระนิพพานยิ่งขึ้น นี่เขาเรียกว่าเป็นปัจจัยแก่พระนิพพาน ทีนี้การบวชของเรานี่ เป็นปัจจัยแก่พระนิพพานหรือเปล่า นี่ จึงบอกว่าอย่าหัวเราะกันนัก อย่าหยิบเอาเรื่องที่ชวนหัวมาเดินคุย นั่งคุย นอนคุย ด้วยหัวเราะกันนัก มันทำให้ลืมเลือนไปหมด ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็เลยไม่รู้จักพระนิพพาน ไม่รู้จักหน่วงเอาพระนิพพานเป็นอารมณ์ ไม่รู้จักทำสิ่งที่เป็นปัจจัยแก่พระนิพพาน ก็เรียกว่าการบวชนี้ยังไม่ถูกต้อง จึงมาทดสอบดูว่าเราบวช ๓ เดือน ๔ เดือนก็ตาม มันมีส่วนไหนที่เป็นปัจจัยแก่พระนิพพานขึ้นมาบ้าง ในเชิงวัดที่ดีที่สุด หรือก็สุดท้ายที่สำคัญที่สุด นี่ ทั้ง ๑๒ อย่างนี้ก็พอที่จะเป็นตัวอย่างสำหรับทดสอบว่าเราบวชนี้ได้อะไรบ้าง หรือไม่ได้อะไรเลย เต็มอัดอยู่ด้วยทิฏฐิมานะ ไอ้ความหลงในความคิด ความเห็นของตัวตน นี่ ผมพูดว่าบวชนี้จะได้อะไรบ้าง แล้วก็ยกตัวอย่างให้ดูตั้ง ๑๒ ข้อ แล้วก็ดูให้เห็นว่าใน ๑๒ ข้อนี้ ไม่ได้รวมไอ้ ไอ้สิ่งที่เขาหวัง เขาอะไรกันอยู่บางอย่าง เช่นว่าบวชจะได้เรียนนักธรรม จะได้เรียนปริยัติ หรือว่าจะเป็นเวลาที่เอาหนังสือมาอ่านอย่างลึกซึ้งที่สุด หรือเป็นเวลาที่พักผ่อนที่สุดนี่ ไอ้อย่างนี้เราไม่จัดว่ามี มี มีค่า มีความหมาย หรือมีราคาอะไรเป็นพิเศษ คือมันธรรมดาเกินไป สู้ไอ้ ๑๒ ข้อที่กล่าวมานั้นไม่ได้ ไอ้เรียนปริยัติจากหนังสือหนังหาตำรับตำรา เรียนที่บ้านก็ได้ หรือจะหาเวลาอ่านหนังสือให้ลึกซึ้งให้เยือกเย็นที่สุด ที่บ้านบางแห่งก็ทำได้ นี้จะพูดเฉพาะที่ว่า มันจะทำได้แต่การออกจากบ้านเรือน มาอยู่อย่างเป็นผู้ไม่มีบ้านเรือนที่เรียก “อนาคาริก” หรือบรรพชิตโดยสมบูรณ์นั่นน่ะ มันจะได้อะไรบ้าง และถ้ากลับไปสู่บ้านเรือนอีก ไอ้ความรู้เหล่านั้นมันจะมีประโยชน์อะไร ไปคิดดู มันจะมีประโยชน์อย่างยิ่งก็ตรงที่ว่ามันจะช่วยให้ปรับตัวเองถูก เดี๋ยวนี้เราก็ไม่รู้จักแม้แต่ตัวเอง ไม่รู้จักไอ้สิ่งที่ไม่ใช่ตัวเองน่ะ มันปรับตัวเองไม่ค่อยถูก นี้มาบวชนี้ก็เหมือนกับมารู้จักตัวเองให้ถึงที่สุด ก็จะได้ปรับไอ้ตัวเองในอนาคตน่ะให้เหมาะสมกับเวลา กับสถานที่ กับไอ้สังคม กับอะไรต่าง ๆ แล้วให้ ให้ความเป็นอยู่นั้นมันเป็นปัจจัยส่งเสริมเกื้อกูลแก่การที่จะได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ในวาระสุดท้ายตั้งเป้าหมายไว้ว่าในวาระสุดท้ายเราจะได้อะไรที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์ อย่างนี้เรียกว่าปรับตัวเอง ตระเตรียมตัวเอง เพื่อให้ได้สิ่งนั้นให้ทันแก่เวลา นั้นการบวช ๓ เดือนก็เป็นเวลาที่จะใช้ให้รู้จักตัวเองนี่มากที่สุดและมีเวลาทดลองด้วย นี้เรียกว่าส่วนที่ ที่ตัวผู้บวชเองจะพึงได้ เป็นประเภทที่หนึ่ง
นี้ประเภทที่สอง คือผลดีที่ผู้อื่นจะได้นี่ แล้วก็มาดูกันอีก ข้อที่หนึ่ง มีผู้พลอยรู้ หรือพลอยได้รับความรู้ คือการบวชของเราจะทำให้มีผู้พลอยได้รับความรู้ เป็นบิดา มารดา บุตร ภรรยาอะไรก็ตาม ถ้า ถ้ามี ถึงกลับออกไปมี นั้นมันมีคนพลอยได้ ที่เป็นภายใน ที่เป็นภายนอก ประชาชนทั่วไปก็พลอยได้ ขอยกตัวอย่างผมเองดีกว่า ก็อย่าหาว่าอวด อวดตัวนะ คือผมพูดว่าเพราะผมได้บวชนี่ จึงได้มีคนพลอยได้รับความรู้อะไรบางอย่าง อย่างชนิดที่คนอื่นเขาไม่สอนกัน มันพอมี พอหาได้ ไอ้ความรู้ชนิดที่คนอื่นเขาไม่สอนกัน แต่ผมอุตริเอามาสอน นี่มันก็มี นั้นส่วนนั้นต้องถือว่าเป็นประโยชน์ที่ผู้อื่นพลอยรู้ หรือพลอยได้
นี้ข้อที่สอง มีผู้พลอยชื่นชม มันเป็นธรรมดาของคนเรา ถ้ามีอะไรถูกใจ มันก็พลอยยินดีด้วย ฉะนั้นการบวชของเราเป็นที่ถูกใจของใคร มีผู้พลอยชื่นชมมากมาย หรือว่าไม่กี่คน ก็ไปดูเอาเอง นี้มันหมายถึงบวชดี บวชจริง บวชอะไรนั้น มันจึงจะมีผู้ชื่นชม ถ้ามันไม่ดี ไม่จริง ไม่บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง มันก็มีแต่คนเบื่อหน่าย หรือคนรำคาญ เราไปเพิ่มความทุกข์ให้แก่เขาเปล่า ๆ โดยไม่จำเป็น เพราะว่าเราบวชเข้ามาทำให้เขารำคาญ การบวชที่ถูกต้อง มันต้องทำให้มีผู้พลอยชื่นชม ข้อที่หนึ่ง ให้มีผู้พลอยได้รับความรู้ ข้อที่สอง ให้มีผู้พลอยชื่นชม ข้อที่สาม ให้มีผู้พลอยได้บุญ คำว่า “บุญ”ในที่นี้ หมายถึงไอ้ความดีหรือกุศล ที่เขาจะได้รับไปจากการบวชของเรา เช่น เราจะเป็นผู้สอนก็ทำให้เขาได้บุญ เราเป็นทักษิเณยยบุคคล (นาทีที่ 49:47 ) ที่ดี เขาให้ทานในเรา เราก็ได้บุญ อย่างนี้เป็นตัวอย่าง นั่นคือการบวชของเราทำให้ผู้อื่นพลอยได้บุญ
ข้อที่สี่ ให้การบวชของเราเป็นการช่วยส่งเสริมศีลธรรมของสังคม สังคมกำลังจะวินาศ เพราะไม่รู้จักศีลธรรม ไม่มีศีลธรรม เหยียดหยามศีลธรรมมากขึ้นทุกที นี่ผมพูด พูดจนว่าคนรำคาญแล้วเรื่องนี้ ผมก็ยังพูดอยู่นั่นแหละ ว่าปัญหาอย่างเดียวในโลกนี้ เวลานี้ก็คือไอ้ความเสื่อมทางศีลธรรม ทุกอย่างเป็นไปไม่ได้เพราะขาดศีลธรรม ประเทศเราหรือประเทศไหนในโลกนี้ก็ตาม ที่ทุกอย่างเป็นไปในทางสงบเรียบร้อยไม่ได้ เพราะขาดศีลธรรม และมีแต่คนที่มีความรู้ มีความเฉลียวฉลาด เก่งกาจปราดเปรียว แต่ไม่มีศีลธรรม นั้นคนชนิดนี้ไม่สร้างสันติสุขสันติภาพได้ นี้การบวชของเรามันก็เข้ามาอยู่ในหัวใจของศีลธรรม เพราะฉะนั้นเราก็ต้องรู้เรื่องศีลธรรมเป็นแน่นอน เราอาจจะส่งเสริมศีลธรรม หรือผู้ที่มองเห็นเรา พอใจเอาตัวอย่าง เขาก็จะต้องรักศีลธรรม จะต้องยินดี ในการที่จะมีศีลธรรมเพิ่มขึ้น นี้เรียกว่าการบวชของเรามันกลับไป ไปส่งเสริมความมีศีลธรรมของสังคม คือผู้อื่นจำนวนมากเขาจะพลอยได้
นี้ข้อที่ห้า อาจจะเป็นผู้นำที่ดี ในเมื่อสึกออกไป นำครอบครัวก็ได้ นำผู้ใต้บังคับบัญชาก็ได้ นำในการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ใด ๆ ก็ได้ อย่างน้อยสัก ๓ อย่างพอ เป็นครอบครัว ผู้นำครอบครัวที่ดี เป็นผู้นำคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาที่ดี เป็นผู้นำเพื่อนฝูงที่จะช่วยกันสร้างสาธารณกุศล สาธารณประโยชน์อะไรที่ดี เพราะว่าเมื่อเราบวชแล้วเรารู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อะไรผิด อะไรถูก อะไรงมงาย หรืออะไรถูกต้องนี่ เรารู้ ฉะนั้นขอให้เราสึกออกไปเป็นผู้นำที่ดีก็แล้วกัน อย่างน้อยให้ดีกว่าเมื่อยังไม่ได้บวช หรือจะมีสัจจะ ธรรมะ ขันติ จาคะ อะไรมากขึ้นใน ใน ในการฝึกฝนอบรมในการบวช ออกไปแล้วมันก็มีสัจจะ ธรรมะ ขันติ จาคะ เป็นต้น มากขึ้น มันก็จะเป็นผู้นำครอบครัวที่ดี นำคนใต้บังคับบัญชาที่ดี นำเพื่อนฝูงที่ดีโดยไม่ยาก
ข้อหก สามารถเลิกร้างศัตรูหรือเจ้ากรรมนายเวรอะไรได้ ได้หมด คำว่า “เจ้ากรรมนายเวร” นี่ปักษ์ ปักษ์ใต้ไม่มีพูดอะ พูดกันอยู่แต่ทางภาคกลางกับภาคเหนือ ในที่นี้เขาเรียกกันว่าศัตรู คู่เวร คู่อาฆาต การบวชของเรา ถ้ามันถึงหัวใจของการบวช แล้วมันจะเลิกร้างหรือทำลายล้างไอ้ความรู้สึกที่ผูกอยู่ในบุคคล หรือในอะไรก็ตามว่าเป็น ว่าเขาเป็นศัตรู เป็นเจ้ากรรมนายเวร เป็นอะไรต่าง ๆ ได้ เมื่อก่อนบวชเรามีความรู้สึกว่าคนนั้นเป็นศัตรู เป็นเจ้ากรรมนายเวร ในระหว่างบวชนี่ก็พิจารณาว่านี้มันคืออะไร และพระพุทธเจ้าท่านสั่งสอนให้ทำอย่างไร ถ้าศึกษาถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ไอ้สิ่งเหล่านี้มันจะถูกชะล้างออกไปจากจิตใจจนหมดสิ้น เพราะฉะนั้นกลับออกไปบ้าน ทีนี้มันก็จะกลายเป็นผู้ที่ไม่มีศัตรู ไม่มีเจ้ากรรมนายเวร ต้องเป็นอย่างนั้นน่ะ ถึงจะได้
นี้ข้อเจ็ด ข้อสุดท้าย จะแถมพกว่า เราสึกออกไปนี้ จะได้เพิ่มพลเมืองที่ดีแท้ขึ้นสักคนหนึ่ง อย่าเห็นว่าเป็นการด่า อยากจะพูดว่าก่อนนี้เรายังไม่ได้เป็นพลเมืองที่ดีแท้ เพราะเมื่อเราบวชแล้ว เราศึกษาอบรมประพฤติปฏิบัติมาเต็มที่กับการเป็นนักบวชนี่ กลับออกไปนี่ จะเป็นพลเมืองที่ดีแท้ และก็จะเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่งในประเทศของเรา ถ้าทุกคนเป็นอย่างนี้ มันก็เต็มไปด้วยพลเมืองที่ดีแท้ ประเทศไทยก็ปลอดภัยโดยประการทั้งปวง แล้ว นี่เอาเป็นว่า จะไปทำให้มันมีการเพิ่มพลเมืองชั้นสมบูรณ์แบบ จะดีแท้ ไม่มีที่ตินี่ขึ้นมาสักคนหนึ่ง แล้วพอกันแล้วสำหรับตัวอย่าง ๗ ประการนี้ ว่าการบวชของเราทำให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์อะไรบ้าง ถ้าพูดถึงในระดับโลกก็เป็นพลโลกที่ดีขึ้นมาสักคนหนึ่ง นี้ขอให้ไปชำระสะสางดูด้วยจิตอันเป็นธรรมว่าเราได้รับหรือเราได้กระทำสิ่งเหล่านี้ ให้เกิดขึ้นตามนี้จริงหรือไม่ นี่เป็นประเภทที่ ๒ คือประโยชน์หรืออานิสงส์ที่ผู้อื่นจะพลอยได้รับจากการบวชของเรา
ทีนี้ประเภทที่ ๓ สิ่งอื่นได้รับ คือใช้คำพูดที่มันสั้น ๆ เท่านั้นเอง “สิ่ง”นี่หมายความว่าไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ จะรวมคนและสัตว์ด้วยก็ได้ สิ่งอื่นน่ะ เช่น ศาสนา นี่ก็เรียกว่าสิ่ง การบวชของเราทำให้ศาสนามีอายุยืนยาวเข้าหรือไม่ ถ้าเราบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง การบวชของเราก็เป็นการสืบอายุพระศาสนาจริงเหมือนกัน เพราะฉะนั้นศาสนาน่ะ เป็นสิ่งที่ได้รับประโยชน์จากการบวชของเรา เพราะว่าการบวชของเรามันสืบอายุพระศาสนา นี่ เราจะไม่เล็งไปถึงประโยชน์ที่จะรับโดยบุคคล โดยสิ่งที่มีชีวิต ว่าตัวศาสนาเองมันมีค่า มันเป็นสิ่งที่มี ตัวมันเองมีค่าอยู่ในตัวมันเอง มันควรจะมีอยู่ เพราะฉะนั้นเราบวชนี่ก็ส่งเสริมความมีอยู่แห่งพระศาสนานั้น คือสิ่งอื่นพลอยได้รับ
ทีนี้ข้อสอง ปูชนียวัตถุ ปูชนียสถาน พลอยมีความหมายมากขึ้น โบสถ์ วิหาร พระเจดีย์ วัดวาอารามอะไรต่าง ๆ ที่เป็นปูชนียวัตถุ ปูชนียสถานนั้น เขาทำขึ้นมาทำไมกัน ฟังดูให้ดี มันมีประโยชน์ลึกซึ้ง แต่เราไม่รู้ เราหลับตามี หลับตาสร้าง หลับตาทำ หลับตาไหว้กันไปเท่านั้นเอง ไอ้ปูชนียวัตถุ ปูชนียสถานนี้ เขามีไว้สำหรับเป็นที่ระลึก ส่วนใหญ่น่ะเป็นที่ระลึก ระลึกถึงไอ้สิ่งหรือคน หรืออะไรที่มันเป็นที่ตั้งแห่งความดี เช่น พระพุทธรูป ทำให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ลืมไม่ได้ ลืมยาก มันอยากจะทำให้ตรงตามพระพุทธประสงค์ พระเจดีย์ โบสถ์วิหารก็เหมือนกัน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระศาสนา เป็นสัญลักษณ์ของพระธรรม ถ้าคนรู้จักความหมายและเข้าถึงความหมายมันมีประโยชน์ คล้าย ๆ ว่าคอยเตือนอยู่ คอยเตือนอยู่ เหมือนกับว่าพระพุทธเจ้าคอยดูเราอยู่ อย่างกับมีพระพุทธรูปไว้นี่ เรามีอย่างกับว่าพระพุทธเจ้าคอยดูเราอยู่ เราไปทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็นนี่ เหมือนกับเราไปเฝ้าพระพุทธเจ้าทั้งเช้าทั้งเย็น ฉะนั้นคอยเตือนเราอยู่ คอยดูเราอยู่ ถ้าเราบวชจริง สิ่งเหล่านี้จะมีความหมาย วัดวาอารามจะมีความหมาย เพราะว่ามีพระที่แท้จริงอยู่ในวัดนั้น ถ้าว่าไม่มีพระที่แท้จริงอยู่ในวัดนั้น วัดนั้นก็ไม่มีความหมายอะไร ไม่มีความหมายว่าเป็นวัด เป็นพุทธอะไรได้ เมื่อมีการบวชจริงก็ทำให้ปูชนียวัตถุ ปูชนียสถานเหล่านั้นมีความหมาย
นี้ข้อที่สาม ทำให้ขนบธรรมเนียมและประเพณีมีความหมายขึ้นมา คุณก็มองเห็นอยู่แล้วว่า ไอ้บวชนี้มันก็ เดี๋ยวนี้ก็เป็นประเพณี เป็นธรรมเนียม เป็นประเพณีที่ต้องบวช แต่มันไร้ความหมายมากยิ่งขึ้นทุกที ถ้าเราบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง ไอ้ขนบธรรมเนียมประเพณีมันก็มีความหมาย คำสอนมันมีความหมาย ไอ้ขนบธรรมเนียมประเพณีทุกอย่างมีความหมาย เราจะไปจัด ไปทำให้ขนบธรรมเนียมประเพณีทุกอย่างมีความหมาย อย่าเป็นเพียงทำอย่างงมงาย หรืออย่าทำให้มันเป็นเพียงเรื่องสำหรับสนุกสนานสำหรับชาวบ้าน สำหรับลูกเด็ก ๆ ยกตัวอย่างเช่นว่า ประเพณีแห่พระพุทธรูป เอาพระพุทธรูปใส่บุษบก มี ล้อละ (นาทีที่ 01:01:05) เลื่อนไปบ้าง เอาใส่เรือลากไปบ้าง เรียกว่าแห่พระ มันมีความหมายอันแท้จริงของมัน ถ้าเป็นสมัยก่อนแล้วยังมีความหมาย เพราะว่าน้อยคนจะได้เห็นพระพุทธรูป พระพุทธรูปไม่ค่อยมี หายาก และข้อที่มันไม่ค่อยมี มันจึงศักดิ์สิทธิ์ มันจึงขลังและศักดิ์สิทธิ์ เพราะการที่ปีหนึ่งเขาจะเอาพระพุทธรูปที่ หรือว่าเทวรูปอะไรก็ตาม แล้วแต่ประเพณีอะไรนะ เอามาใส่รถใส่เรือแห่ไปผ่านหน้าบ้านทุกบ้าน ๆ นี่ ไอ้คนเหล่านั้นมันตื่นเต้น มันเหมือนกับขึ้นไปในโลกใหม่โลกอื่นทำนองนั้น มันก็คือจะยึดหน่วงจิตใจของคนนั้นให้มั่นคงอยู่ในธรรมะ ในศาสนา หรือในพระเจ้าก็ได้ แล้วแต่จะเรียก เขาจึงมีประเพณีในฐานะเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดที่มนุษย์จะต้องมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษยที่มันยังไม่ ไม่ ไม่ ไม่เต็มมนุษย์ จะต้องพึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ช่วยแวดล้อมมันมา ช่วยยกมันมา เช่น ประเพณีแห่พระ เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นเรื่องสำหรับสนุกของลูกเด็ก ๆ ไป มันไม่ได้ความหมายของประเพณีนั้นอย่างแต่ก่อน บางทีกลายเป็นอันตรายไปเสียก็มี ที่แห่พระบางแห่ง แห่พระใน ใน ในคลอง ในทะเล คือเป็นนักขัตฤกษ์สำหรับกินเหล้าเมามาย แล้วก็ตีกัน ฆ่าฟันกันเป็นประจำนี้ มันยิ่งจะไปไกลไปอีก ถ้าเราบวชจริง ประเพณีมีความหมาย ที่ประเทศอินเดียในราวเดือนพฤศจิกายน ผมไปเห็นด้วยตนเอง มันมีพิธีตามขนบธรรมเนียมประเพณีที่น่าสนใจ มีความหมายลึกซึ้งที่สุด แต่มันก็กลายเป็นเรื่องสนุกสนานสำหรับคนชาวบ้านไปเสีย เป็นอย่างนั้น เหมือนกับพิธีแห่พระของเรา เขาเรียกว่าบู เอ้อ, ทุรคาบูชา ทุกหมู่บ้านจะเอาดินมาปั้นเป็นรูปทุรคา คือเทพเจ้าที่สูงสุดในทางความดี แล้วก็ประดับประดาเสียสวยงาม ให้ยืมแก้วแหวนเงินทองของใครก็ได้ไม่หวง เอามาประดับรูปทุรคาตั้งไว้ในโรงที่ทำขึ้นเฉพาะพิเศษ ประโคมดนตรี สวดบทสรรเสริญอะไรกันตลอดวันตลอดคืน แล้วรูปทุรคานั้นก็เป็นรูปผู้หญิง หรือจะผู้ชาย แต่ผมดูเป็นผู้หญิง ถือดาบถืออาวุธ ก็ฆ่าหรือฟันแทงอสูร รูปควาย ควายตัวดำที่ถูกเหยียบ ถูกฆ่า ถูกแทง เป็นอสูรที่ร้ายมาก ร้ายถึงที่สุดความเลวทรามหรือความบาป เรียกอะไรอสูรก็จำชื่อไม่ค่อยได้ เขาสมโภชน์อยู่ ๒ วัน ๓ วันอย่างสุดเหวี่ยงที่เขาจะทำกันได้ พอถึงวันสุดท้ายก็แห่ไอ้รูปทุรคานี่ ทิ้งลงในแม่น้ำให้ละลายกลายเป็น เป็นดินตามเดิม ไหลไปในน้ำ ถ้าดูกันในความหมายลึกซึ้ง ก็คือว่ามันย้ำในข้อที่ว่าไอ้ความดีจะต้องชนะความชั่วเสมอ ไอ้ทุรคาเป็นสัญลักษณ์ของความดี อสูรของความชั่ว แล้วมันไม่มีทางจะสู้กันได้ เขาทำหน้าตาสวยเป็นผู้หญิง มันคงจะหมายถึง ไอ้ความงามของธรรมะ ของไอ้ความดีนั้น นั่นก็ได้ผลในทางจิตใจให้คนมันไม่ลืมความดี แล้วยังมีผลพลอยได้อีกมากมาย เพราะว่าประดับประดาสวยมาก และทำในเวลาอันสั้นไม่กี่ชั่วโมง มันก็คือแง่ของศิลปะ ของวัฒนธรรม มีคนสามารถปั้นรูปทุรคาอย่างสวยงาม ใหญ่เท่าคน ใหญ่กว่าคน เสร็จในไม่กี่ชั่วโมง มันต้องเก่งมาก ถ้ามันไม่มีประเพณีนี้มันก็ไม่มีฝีมือถึงขนาดนี้ ในเรื่องทางศาสนานี้ มันไม่ใช่มีเฉพาะธรรมะ มันช่วยไปหมดในเรื่องศิลปะ เรื่องทุกอย่างทุกประการ แต่หัวใจมันอยู่ที่ธรรมะ โดยไม่รู้สึกตัว ก็มี มีคนในหมู่บ้านนั้นสามารถจะปั้นรูปทุรคาได้มากคน ประดับได้สวยงาม มีดนตรีที่ไพเราะ สวดบทที่เป็นคำสั่งสอนกันตลอดคืน มันก็ดี ยึดหน่วงน้ำใจคนได้อย่างนี้ ประเพณีนั้นยังมีความหมาย เดี๋ยวนี้มันไม่ทำจริง มันทำแต่สนุกสนาน ก็ค่อย ๆ ไร้ความหมายไป กลายเป็นเล่นหัวเหมือนกับเล่นอย่างสงกรานต์รดน้ำอย่างเมืองไทยนี่ มันสูญเสียความหมายไปหมดแล้ว ไม่ใช่เรื่องสร้างเมตตากรุณา สร้างความสามัคคีอะไรแล้ว มันเป็นเรื่องก่อการทะเลาะวิวาทแล้ว นี่ พูดออกจะเลยเถิดไปแล้วว่าไอ้ขนบธรรมเนียมประเพณีมันจำเป็นที่สุดสำหรับมนุษย์ที่ยังไม่ ไม่มีความเต็มแห่งมนุษย์ ซึ่งเราก็ควรจะให้ขนบธรรมเนียมประเพณีมีความหมาย เพราะฉะนั้นขอให้ช่วยกันทำให้การบวชมีความหมาย ให้ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ว่าลูกผู้ชายจะต้องบวช นี่ ให้มันมีความหมาย อย่าให้มันเป็นเรื่องงมงาย ละเมอ ละเมอไป นี่ นี่เรียกว่าประโยชน์ที่จะได้แก่ขนบธรรมเนียมประเพณี คือทำให้มันมีความหมาย การบวชของเรา จะแถมพกข้อสี่ให้สักข้อหนึ่งว่า แม้แต่ทรัพยากรของธรรมชาติก็จะไม่ถูกทำลายโดยไม่จำเป็น เป็นตัวอย่างที่ดีที่เป็นอยู่อย่างไม่ต้องล้างผลาญทรัพย์สมบัติของธรรมชาติ และตัวทรัพยากรธรรมชาติในแผ่นดินของโลก ของพระเจ้านี่ มันไม่ถูกทำลาย มันเป็นประโยชน์ แม้แก่ตัววัตถุธรรมชาติ ธรรมชาติทางวัตถุ เดี๋ยวนี้คนทั้งโลกกำลังระดมกันล้างผลาญไอ้ทรัพยากรธรรมชาติในโลกนี้ให้หมดไปอย่างรวดเร็วโดยไม่จำเป็นทั้งนั้น เขาเอามาเล่นหัวสนุกสนานบำรุงบำเรอทางกามารมณ์นะ ไอ้การบวชมันไม่เป็นอย่างนั้น มันก็เป็นฝ่ายต้านทาน ไม่มีการทำลายล้างทรัพยากรธรรมชาติกันอย่างเป็นบ้าเป็นหลังอย่างนั้น นี้ ก็ควรจะนึกดู พอจะเป็นตัวอย่างจะเอามาพูดได้
นี่ที่มาพูดให้เห็นนี่ก็ว่า อย่าว่าแต่สัตว์หรือคนที่มีชีวิตเลย แม้แต่สิ่งที่ไม่มีชีวิตก็พลอยได้รับประโยชน์จากบุคคลผู้บวชอย่างถูกต้อง อย่างแท้จริง ก็พอมองเห็นได้แล้วว่า ไอ้การบวชที่แท้จริงนี้มันก็ได้ประโยชน์ แก่ตัวผู้บวชด้วย แก่ผู้อื่นด้วย และแก่สิ่งอื่นด้วย อย่างมากมายมหาศาล นี่เป็นหัวข้อนี่ แยกไปเถิด พูดกันกี่เท่าไหร่ก็ไม่จบ นี่มันพูดแต่หัวข้อ ก็ยังเห็นได้ว่ามันวงกว้าง บรรยายไม่หวาดไม่ไหว จริงตามที่อุปัชฌาย์ อาจารย์ (นาทีที่ 1:09:31 ) เขาได้ถือเป็นคำสำหรับบอกให้ผู้บวชทราบในข้อนี้ เมื่อผมบวชอุปัชฌาย์ก็บอกในข้อนี้ แล้วก็ไปนั่งบวชคนอื่นก็ได้ยินอุปัชฌาย์บอกในข้อนี้ เพราะอานิสงส์ของการบรรพชานั้นพรรณนาไม่หวาดไหว ให้เอาท้องฟ้าทั้งหมดนี่เป็นเหมือนกับกระดาษ แล้วก็เอาไอ้ภูเขาแท่งยาว ๆ น่ะ มาเป็นไอ้ปากกา เอาดินทั้งโลกนี่ ละลายกันเข้าน้ำ กับน้ำในมหาสมุทรเป็นน้ำหมึก แล้วก็มาเขียนบรรยายอานิสงส์การบรรพชาให้เต็มไปทั้งท้องฟ้า มันก็ไม่หมดสิ้นอานิสงส์ของบรรพชา คือการบวช นี่ ผมก็ยิ่งคิดมาก ทีแรกก็ไม่ค่อยจะเชื่อ ชักจะดูถูกด้วยซ้ำไป ทีนี้ต่อมา ต่อมา ยิ่งเห็น ยิ่งเห็น ยิ่งเห็น ยิ่งเห็น ก็เห็นด้วยว่าเราไม่อาจจะบรรยายอานิสงส์ของการบรรพชาให้หมดสิ้นถี่ถ้วนได้ จึงต้องเหมาเอาไว้ว่ามันมากจริง แล้วก็ขอให้ไปคิดดูเถิดว่า เท่าที่ผมยกตัวอย่างมาให้ดูนี้ มันก็มากเหลือประมาณเสียแล้ว ประโยชน์ที่จะได้แก่ตัวผู้บวชนั้นเองด้วย ประโยชน์ที่จะได้แก่ผู้อื่นด้วย ประโยชน์ที่จะได้แก่สิ่งอื่นแม้มีชีวิตจิตใจด้วย แม้แต่สุนัขกับแมวก็พลอยได้รับ เพราะว่าถ้ามันบวชจริง เรียนจริงกันแล้ว ก็คงไม่ทำให้สุนัขหรือแมว เป็นต้น มันเดือดร้อน แต่ให้มันอยู่สุขสบายด้วย มีกิน มีใช้ มีอะไรไปด้วยได้
เอาละ พอกันทีสำหรับการบอกให้ทราบว่าควรจะได้อะไรจากการบวช เราควรจะได้อะไรจากการบวช ที่จะพึงได้กับตนเอง แก่ผู้อื่น และ แก่สิ่งอื่น สำหรับการบรรยายในครั้งแรกซึ่งเป็นเพียงหัวข้อนี่ ก็ขอยุติไว้เพียงเท่านี้ สำหรับวันนี้ และท่านผู้ใดมีความสงสัยอะไรที่มันเกี่ยวพันกับหัวข้อนี้นะ ขอให้ถามได้ อย่าให้นอกไปจากประเด็นนี้มันจะไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าข้อสงสัยที่มันเนื่องอยู่ด้วยกับประเด็นเหล่านี้ละก็ถามได้ นิมนต์ถ้าใครสงสัยจะถามก็ได้ มีโอ มีโอกาส ทีวี
(เสียงผู้ชาย) (เสียงถาม ได้ยินไม่ชัด นาทีที่ 1:12:26)
(เสียงท่านพุทธทาส) ทัตต นี่ ท ทหาร ต เต่า ต เต่า ประ ผู้อื่น ทัตตู ที่เขาให้ ชีวี มีชีวิต มีชีวิตอยู่ด้วยของที่ผู้อื่นให้ สอง กินอยู่อย่างต่ำแต่ได้กระทำอย่างสูง ไม่ต้องกินอาหารแพง ๆ ไม่ต้องลวกไข่ตอนเช้า กินกับกาแฟ สาม ลองอยู่อย่างมุนี สี่ อยู่อย่างเป็นเกลอกับธรรมชาติ ห้า อยู่อย่างเก็บความโกรธใส่ยุ้งไว้หมดสิ้น อย่าให้มันออกมาเพ่นพ่าน หก อยู่อย่างหดหัวหดหาง ถ้าไม่อย่างนั้นไม่ใช่นักบวช ถ้ายกหูชูหางไม่ใช่นักบวช เจ็ด อยู่อย่างรู้จักปรโลก ปรโลกโดยแท้จริง แปด ชิมลองพระนิพพานตัวอย่างในบางเวลา เก้า อยู่ถึงหัวใจของประชาธิปไตยแท้จริง สิบ ทำให้ชอบศาสนามากขึ้นกว่าแต่ก่อน สิบเอ็ด ไหว้ตัวเองได้ เป็นเครื่องพิสูจน์ชั้นสูงสุด สิบสอง เป็นปัจจัยแก่พระนิพพานพอสมควร
นี้ถ้าผู้อื่น ที่ได้แก่ผู้อื่น หนึ่ง การบวชของเรามีผู้พลอยได้รับความรู้ สอง มีผู้พลอยได้รับความชื่นมยินดี สาม มีผู้พลอยได้บุญ สี่ ส่งเสริมศีลธรรมของสังคมให้ดีขึ้น ห้า จะไปเป็นผู้นำที่ดีในการนำครอบครัว นำผู้ใต้บังคับบัญชา หรือนำการบำเพ็ญกุศลสาธารณะอื่น ๆ หก เลิกล้างไอ้เจ้ากรรมนายเวรออกไปหมดจากจิตใจ ต่อไปนี้ไม่มีเจ้ากรรมนายเวรอีกต่อไป เจ็ด เพิ่มพลเมืองหรือพลโลกที่ดีแท้ขึ้นมาคนหนึ่ง หลังจากสึกไปแล้ว ทีนี้สิ่งอื่นจะพึงได้ คือเป็นการสืบอายุพระศาสนายืนยาวทั้งในแง่ปริยัติ แง่ปฏิบัติ แง่ปฏิเวธ คือการเรียนก็ดี การปฏิบัติก็ดี การได้รับผลการปฏิบัติก็ดี แน่นแฟ้นมั่นคงยืนยาว ทีนี้ สอง ปูชนียวัตถุ ปูชนียสถาน มีความหมายเด่นชัดแก่ทุกคน สาม ขนบธรรมเนียมประเพณี มีความหมายเด่นชัดแก่ทุกคน สี่ ทรัพยากรของธรรมชาติไม่ถูกทำลายโดยไม่จำเป็น เป็นต้น นี่ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่าง ถ้าพูดให้หมดก็ต้องเอาฟ้ามาทำกระดาษ เอาดินทั้งโลกมาเป็นหมึกละลายน้ำมหาสมุทร นั่งเขียนกันจนตาย ใครมีปัญหาอะไรอีก มาถาม
(เสียงผู้ชาย) (นาทีที่ กระผมมีคำถามข้อหนึ่งที่อยากจะกราบเรียนอย่างนี้ ถามท่านอาจารย์ คือในข้อที่ว่าถ้าหากการบวชมีอานิสงส์สูงสุดยิ่งดังนั้นแล้ว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยที่ก็มีการเข้าพรรษาติดต่อกันมานับร้อยปี ผลิตผู้ที่บวชเรียนแล้วปีละนับแสนเป็นเวลาติดต่อกันมา ทำไมประโยชน์ที่จะพึงได้แก่ผู้อื่นนั้น ในการเป็นผู้นำที่ดีปีละแสนกว่าคนแต่ละปีที่จะเกิดขึ้น เป็นการส่งเสริมศีลธรรมอันดีของมวลชนอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ สิ่งนี้ได้ปรากฏชัดหรือเปล่า ผมเห็นแต่ความผิดพลาด ความตกต่ำลงของศีลธรรม จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า ที่การที่มีการบวชที่เป็นหมันปีละแสนกว่านี้ มิได้เป็นการผิดที่บุคคลผู้บวช แต่เป็นการผิดที่ระบบ กระผมมีคำถาม
(เสียงท่านพุทธทาสพูดปักษ์ใต้) บันทึกไว้ด้วย ถ้าไม่บันทึกไว้คำตอบจะไม่มีประโยชน์
(เสียงท่านพุทธทาสพูดภาษากลาง) มัน มัน มันสงสัยคือว่ามันผิดที่การปฏิบัติของบุคคล หรือว่ามันผิดอยู่ที่ตัวระบบที่วางไว้ เพราะว่ามันพ้นสมัย มันล้าสมัย นี่มันมีคำถามขึ้นมาอย่างนี้ อันนี้มันเป็นข้อเท็จจริงที่มันไปเกิดขึ้น แต่เปลี่ยนไปอยู่ในโลก สำหรับตัวธรรมะต้องถือว่าไม่มีผิด ไม่มีเสื่อม ตัวธรรมะไม่มีผิด ไม่มีเสื่อม ไม่มีชรา ไม่มีเก่าแก่ ประเทศไทยก็ได้รับพระพุทธศาสนามาอย่างน้อยก็ต้อง พูดได้ ๒,๐๐๐ปี ที่แน่นอน ที่แน่นอนแท้ ๆ ก็ ๑,๕๐๐ ปีนี้แน่นอน มี มีวัตถุพยานเป็นหลักฐาน มีการบวชกันมา ผมเชื่อว่าสมัยหนึ่งได้รับผลเป็นที่พอใจ มีสันติภาพสันติสุขเป็นที่พอใจ ในเมื่อมนุษย์มันยังอยู่ในสภาพที่ไม่มีอะไรมายั่วยวน มาชักจูงให้ไปเป็นทาสของไอ้อายตนะ ไอ้เนื้อหนัง คงจะเคยได้รับประโยชน์เป็นที่น่าพอใจ
ในยุคต่อมามันเปลี่ยน เมื่อเร็ว ๆ นี้ มันเปลี่ยนไปในทางวัตถุซึ่งมีเสน่ห์ยั่วยวนมาก ไปเป็นผู้หลงใหลในวัตถุ ไอ้การบวชมันก็ มันก็ถูกมองไปในแง่อื่น หรือไม่ถูกมองเสียเลย ก็เหลือแต่เป็นประเพณี บวชตามประเพณี เราจึงรู้สึกคล้าย ๆ กับว่า เดี๋ยวนี้ เวลานี้ มันเป็นความเสียหายอย่างใหญ่หลวงที่การบวชไม่ได้รับประโยชน์คุ้มค่าได้ จะโทษใครมันก็ยากทั้งนั้น ไอ้คณะสงฆ์ก็ทำอะไรไม่ได้หรอก ถ้าว่าประชาชนเขาไม่เอา หรือถ้าว่าคณะสงฆ์เป็นไปเสียเองด้วยละก็หมดท่าเลย ก็หมดกันเลย ประเพณีนี้อยู่ในกำมือของใครที่ควบคุมมันได้ หรือวัฒนธรรมก็ตาม มันอยู่ในกำมือใครที่ควบคุมมันได้ มันก็อยู่ในหมู่คนที่มันมองเห็นประโยชน์เท่านั้น มันจะมาตั้งกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศีลธรรมขึ้นมาแล้วมันจะควบคุมได้ทันที ในเมื่อจิตใจของมนุษย์มัน มัน มัน มันเปลี่ยนไปหมด มันสลายไปหมดในทางที่จะมีศีลธรรม หรือมีประโยชน์อย่างสูงสุดในด้านจิตใจ ก็ไปหยุดออกันอยู่แค่ประโยชน์ทางวัตถุ ทางเนื้อหนัง โลกก็ก้าวหน้าไปตามทางของวัตถุอย่างวิ่ง (นาทีที่ 1:19:59 ) นี้ ไอ้ส่วนไอ้ทางธรรมะทางศาสนา ประเพณีการบวชนี้มันก็เหลืออยู่อย่างประเพณีที่ไร้ความหมายมากขึ้น มากขึ้น ๆ ฉะนั้นผมจึงขอร้องให้ช่วยกันมองดู ปรับปรุงให้ประเพณีนี้มัน มันกลายเป็นสิ่งที่มีตัวตน มีความ มีประโยชน์ หรือเป็นความจริงขึ้นมา นั่นแหละมันจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ นี้วิกฤติการณ์อันนี้มันหนักมากจนที่ว่ามันเสียประโยชน์ไปทีหนึ่ง ๆ สำหรับนักบวชเป็นแสน ๆ นี้ กำลังจะถูกมองเป็นกาฝากสังคม แล้วจะทำอย่างไรได้ มันเป็นยุคเป็นสมัยที่ต้องเปลี่ยนไป เปลี่ยนไป มันคงจะวกกลับไปหาความถูกต้องได้อีกสักครั้งหนึ่ง ถ้าเราช่วยกันปรึกษาหารือให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องขึ้นมาในเรื่องนี้ ในเรื่องบวชโดยเฉพาะนี่ มันจะเป็นรากฐานอันดีของศีลธรรมทั้งหลาย และศีลธรรมก็จะเป็นรากฐานอันดีของไอ้ปัญหา ของการแก้ปัญหาทุกชนิดในโลกนี้
ถ้าเราจะมองกันสั้น ๆ มันก็จะรู้สึกใจหาย คือทำลายเศรษฐกิจมากกว่าที่จะทำให้เกิดประโยชน์แก่เศรษฐกิจ และพร้อมกันนั้นก็ไม่ทำให้เกิดประโยชน์ในด้านจิตใจที่เป็นความมุ่งหมายของศาสนาโดยแท้จริง ฉะนั้นต้องยอมรับอย่างเห็นอกเห็นใจ อย่างไม่ อย่างไม่ปัดภัยออกไป อย่าง แต่ว่าอย่างมีความรับผิดชอบร่วมกันนี่ ช่วยกันแก้ไข จะไปพึ่งรัฐบาลก็ไม่ได้ ไม่รู้ว่าใครอยู่ที่ไหน เข้าใจอย่างไร จะพึ่งคณะสงฆ์ก็ยังไม่ได้ เพราะคณะสงฆ์ก็ไม่สามารถจะควบคุมหมู่ภิกษุนะ เดี๋ยวนี้นะ คณะสงฆ์ก็ไม่มีอำนาจที่จะควบคุมภิกษุ เช่นเดียวกับที่ผู้ปกครองแผ่นดินเขามักที่จะมีอำนาจปกครองคนในแผ่นดิน ต้องยกให้ว่าเป็นยุคที่มีกรรม มีบาป มีอะไรก็สุดแท้ แต่ว่าแก้ไขได้ โดยที่ทุกคนช่วยกันทำความเข้าใจถูกต้องเสียใหม่ ก็ถือว่าความผิดเป็นครู เพราะฉะนั้นความผิดนี้แพงหน่อย ก็ยอมรับกันแพงหน่อย ให้มันเป็นครู ให้กลับมา ให้ ให้มัน มันเกิดการแก้ไขให้มันถูกกลับมา คงจะ คงจะเรียกว่าเป็นการลงทุนที่ดีเหมือนกัน มันจะทำอย่างไรได้ ถ้าเราเกิดมามันอยู่ในสภาพอย่างนี้แล้ว แล้วความผิดพลาดนี้มันค่อย ๆ มา ค่อย ๆ มา โดยไม่มีใครรู้สึก โดยไม่มีใครเจตนาโดยตรง มันเป็นเพียงความเผอเรอของมนุษย์เอง ไปทำเล่น ๆ ทำเหลวไหล กับไอ้ของจริง แล้วก็หันไปนิยมไอ้ ไอ้เรื่องทางวัตถุ ไอ้เรื่องทางจิตมันก็ไม่เข้าใจ เรื่องการบวชก็กลายเป็นเรื่อง อุ้ย, ไม่รู้จะเรียกอะไรดี มีคนเขามาเล่าให้ฟังเป็นเรื่องจริง บวชลูกชาย ๓ คน ผืนนาที่เป็นมรดกตกทอดมาให้ หลุดไปเป็นของนายทุน ก็ไปกู้เงินมาทีละหมื่น ทีละหมื่น ทีละหมื่น บวชลูก ๓ คนพอดีหมด นี่ ไม่ใช่เล่น แล้วเป็นเรื่องจริงด้วย มันจะทำอย่างไรได้ กำลังอยู่ในวิกฤติการณ์อย่างนี้ แล้วใครจะมาช่วยแก้ไขให้ได้ มันก็ต้องช่วยกันแก้ไขเอง สิ่งที่ ที่ ที่เคยมีประโยชน์ มีคุณ มีอานิสงส์ มันเปลี่ยนเป็นอย่างนี้ เพราะว่าไปรับเอาผิด ไปถือเอาผิด ไปยึด ยึดเอาผิด คือไปเปลี่ยนแปลงไอ้ค่าของมันนั่นเอง โดยไม่รู้สึกตัว มันมีค่ามากอย่างที่ว่า แต่ถ้ามันไปเกิดการเปลี่ยนแปลงชนิดที่ไม่ได้ ไม่ได้ทำกัน เพื่อจะได้รับประโยชน์อันนี้ มันก็ตกเป็นหน้าที่ของพวกเราในยุคนี้ ปัจจุบันนี้ ที่มันเกิดรู้สึกขึ้นอย่างนี้ ผมว่าจะเลิกไม่ได้ เพราะของอย่างนี้มันถูก มันดีตลอดกาลนิรันดร นี้เราไปทำผิดกันอย่างไร ส่วนไหนก็แก้กันในส่วนนั้น ขอให้สนใจพิจารณาอย่างยิ่งในข้อที่ว่าธรรมะนี้ไม่มีเปลี่ยน เปลี่ยนไม่ได้ ถูกตลอดกาล แต่ว่าคนเข้าไปจับฉวยเอาผิด ไม่ถูกตัวธรรมะ เราไปทำกันอย่างงมงายผิด ๆ มันก็เกิดอันตรายขึ้นมา คล้าย ๆ หยูกยาเขาเอาไปใช้อย่างเป็นยาพิษไปเลย
หวังอยู่ว่านักศึกษาทั้งหลายในโลกนี้จะเหลือบตามองมาทางนี้ ในทางสิ่งที่เรียกว่าศาสนาซึ่ง เป็นรากฐานของศีลธรรมกันมาก ๆ มันจะค่อย ๆ เปลี่ยนกลับไปสู่ความถูกต้อง เดี๋ยวนี้การศึกษาในโลกรวมทั้งประเทศไทยเราด้วย ไม่สนใจ ไม่สนใจในสิ่งที่เรียกว่าศาสนาซึ่งเป็นรากฐานของศีลธรรม ไม่มีคำว่าศีลธรรมอยู่ใน รวมอยู่ในสิ่งซึ่งใช้เป็นข้อมูลสำหรับจัดการศึกษา ทั้งโลกก็เป็นอย่างนี้ มันก็ไม่มีศีลธรรมในโลก โลกก็วินาศลงไปสักครึ่งสักค่อน ก็เลยได้สติขึ้นมา ก็จะหันกลับกันมาใหม่ มาสนใจพระเจ้า มาสนใจศีลธรรม มาสนใจศาสนา ที่จริงมันเป็นวิทยาศาสตร์ คือข้อที่มนุษย์จะต้องอยู่ด้วยสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรมจึงจะรอดอยู่ได้น่ะ มันเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ มองเห็นได้โดยวิถีทาง วิธีการอย่างวิทยาศาสตร์ เห็นชัดเลย แต่ไม่มีใครมอง กลับมอง กลับ กลับปัด ๆ ทิ้งไป อู้ย, มันเรื่องบ้าบอไม่มีเหตุผล ไม่มีไอ้รากฐานไม่มีสาระ นี่ มันไม่มองกันอย่างนั้น ฉะนั้นใน ในหลักสูตรการศึกษานั้น ควรจะให้ได้ศึกษาเล่าเรียนให้รู้จักไอ้สิ่งที่เรียกว่าศีลธรรมอันแท้จริงคู่กันมากับโลก และควรจะเรียนประวัติศาสตร์ของสิ่งเหล่านี้ มากกว่าที่จะไปเรียนประวัติศาสตร์ของคนชนิดที่มันเป็นเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ เรื่องการเมือง เรื่องอะไรต่าง ๆ ผมมองดูหลักสูตรที่เขาปรับใหม่ ปรับปรุงใหม่นี้ มีคนส่งให้ดูเมื่อไม่กี่วันนี้ แล้วก็ยิ่งใจหาย มันไม่มี ไม่มีไอ้ ไอ้ ไอ้หลักสูตร คือไม่มีอยู่ในหลักสูตรที่มันจะบังคับควบคุมให้คนเข้าไปสู่ศีลธรรม ไปเรียนในสิ่งที่ไม่ต้องเรียน มากมายก่ายกองในสิ่งที่จำเป็นไม่ได้เรียน การศึกษาระบบนี้ก็ยังไม่ช่วยโลกได้ ต้องวินิจฉัยกันใหม่ วิจัยวิจารณ์กันใหม่เรื่อย ๆ ไป ให้มันพบจุดที่ถูกต้อง สิ่งเหล่านี้ก็จะหมดเอง แต่ยังจะอยากแยกเอาไว้สักนิดหนึ่งว่าขึ้นชื่อว่าศีลธรรมนั้น แม้ จะงมงายหรืองมงายไปบ้าง (นาทีที่ 01:28:04) ก็ยังมีประโยชน์แก่ทางสันติอยู่ ไอ้คนที่หลงใหลในทางศีลธรรมนั้น ไม่ ไม่ ไม่ทำผิด ไม่ทำชั่ว แม้จะงมงาย ตอนนี้บวชเข้ามาแล้ว มันไม่ ไม่ ไม่ ไม่เข้าไปเกี่ยวกับศีลธรรม ไม่เกี่ยว ไม่เข้าไปใน ในตัวศีลธรรม ในจุดของศีลธรรม การบวชมันเลยไม่ส่งเสริมศีลธรรม เพราะฉะนั้นการบวชมันก็มีผลน้อยกว่าไอ้มีศีล การมีศีลธรรมอย่างงมงายของพวกชาวบ้านชาวไร่ชาวนาก็ไม่ได้ ถ้ามีศีลธรรมอย่างงมงาย ก็ยังเว้นอะไรได้มากกว่า การบวชชนิดที่มัน มันเกิด เกิดพันทาง มันเปลี่ยนเป็นของพันทางกลายเป็นอะไรไปเสียแล้ว
เอาละเป็นอันว่าเรานี้ อย่าไปคิดอะไรมาก มีกี่คนก็ตามใจ มองดูข้อนี้ให้เข้าใจ แล้วก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ แต่ให้สุดความสามารถ เพื่อให้การบวชมันกลับไปสู่ความถูกต้อง และเพื่อให้ศีลธรรมมันกลับมา แล้วปัญหาที่เรากลัวนั้นจะหมดไป ค่อย ๆ หมดไป เดี๋ยวนี้กำลังเป็นวิกฤติการณ์ที่เป็นผลของวิกฤติการณ์อีกทีหนึ่ง แต่ยอมรับว่ารักษาโครงสร้างไว้ก็ยังดี โครงสร้างนี่ไม่ค่อยได้ยินเท่าไร หรือถ้าพูดให้ดีอีกหน่อยก็รักษาไอ้เมล็ดพืชแล้วกัน ไปเพาะหว่านกันใหม่ในแผ่นดินที่ดี เหมือนกับหัว ไอ้บ๊อง (นาทีที่ 01:29:57) ต่าง ๆ ที่มันดอกไม้ก็ดี ผลไม้ก็ดี พอถึงฤดูหนึ่งมันก็ตาย ต้นตายเหลือแต่หัวเท่านั้น ทีนี้ก็เรา คิดว่าศาสนามันอาจจะเหลืออยู่ในสภาพอย่างนั้นบ้าง มันคงไม่วินาศหมด ต่อไปนี้ก็เพาะปลูกกันใหม่ในดิน
ทีนี้ก็อยากจะให้มองในแง่ดี ก็เราก็มีบุญแล้วที่ได้เกิดมาในยุคที่มันเสื่อมทราม ถ้าเราเกิดมาในยุคที่มันถูกต้อง สบายไปหมด เราก็ไม่ต้องทำอะไร เราก็นอนสบายไปกับเขาด้วย นี่ อย่างนี้ไม่เรียกว่าได้บุญ ถึงแม้ว่าเกิดมาในยุคที่มันมีวิกฤตการณ์ร้ายแรง ได้เป็นผู้แก้ไขเราก็ได้บุญ เพราะมีคนเดือดร้อน เพราะมีคนยากจน เพราะมีคนเสีย อะไรนี่ เรา เรา เราก็ได้บุญ เพราะได้ช่วยเขา ได้แก้ไขเขา มีคนขาดแคลน คนมั่งมีก็ได้บุญเพราะได้ช่วยเขา อย่า อย่าท้อใจว่า เกิดมาในยุคที่ศาสนาเสื่อม โลกเป็นกลียุคเหลือเกิน ไม่ต้องท้อใจ ตีกลับว่าเราเกิดมาสำหรับที่จะทำให้ได้บุญมากที่สุด ในยุคที่มีงานทำอย่างดี ฉะนั้นผมก็ไม่ท้อใจ แต่ผมก็นึกว่ามันยังเป็นไปไม่ได้ที่มันจะกลับมาเร็ว ๆ นี้มันเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ไม่ท้อใจ ตั้งเข็มเป้าหมาย ทำไปเรื่อย
มีปัญหาอะไรอีก ถามอีกก็ได้ นี่เรื่องของมนุษย์ทั้งโลกนะ ไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง ศาสนาไหนกำลังเป็นอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่เฉพาะพุทธศาสนา ศีลธรรมก็ของทั้งโลก การศึกษาก็ของทั้งโลก มันกำลังผิด โลกกำลังเสื่อมศีลธรรม ไปเจริญงอกงามทางสนุกสนาน ทางไอ้สวยงาม ทางไอ้ความหลงใหล ทำให้เห็นแก่ตัว เพื่อคอยแต่จะเอาเปรียบผู้อื่นมากขึ้น ถ้าเราไม่รู้จักแยกตัวเราออกมาเสีย เราก็จะรู้สึกท้อแท้ รู้สึกว่าโชคร้ายเสียหายยุบยับไปหมด เราแยกตัวมาเป็นผู้ที่ไม่ให้สิ่งเหล่านั้นครอบงำเรา แล้วเราจะแก้ไขสิ่งเหล่านั้นไปกันดีกว่า
บางทีผมคิดว่าจะพูดกันอีกวันละครั้ง ๆ ติดต่อกันทุกวัน เว้นแต่วันพิเศษมีอะไร ดูสักพักหนึ่งจนกว่าจะออกพรรษา
ถ้าไม่มีอะไรถาม วันนี้ก็พอกันที ไปคิดไว้สำหรับพูดหรือถามกันวันหลัง
[T1]ฟังไม่ชัด
[T2]ไม่รู้ตัวสะกด
[T3]ไม่แน่ใจตัวสะกด
[T4]ฟังไม่ชัด
[T5]ไม่แน่ใจตัวสะกด
[T6]ฟังไม่เข้าใจ
[T7]ไม่แน่ใจตัวสะกด
[T8]ฟังไม่ชัด
[T9]ฟังไม่ชัด
[T10]ฟังไม่ชัด
[T11]ฟังไม่เข้าใจ
[T12]ฟังไม่ชัด
[T13]ฟังไม่ชัด