แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านที่จะเป็นครูบาอาจารย์และครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ในการบรรยายครั้งแรกนี้จะได้กล่าวในหัวข้อว่าการศึกษาสมบูรณ์แบบ คือ วงกลมที่คุ้มครองปกป้องโลกถึงที่สุด เพราะคำบรรยายชุดนี้จะเรียกชื่อว่า เรื่องการศึกษาที่สมบูรณ์แบบและก็ในแง่มุมที่ต่างๆกัน ในครั้งแรกนี้ในตอนแรกที่ชุดนี้(1.09)อยากจะขอแสดงความรู้สึกอนุโมทนา ในการที่ท่านทั้งหลายมีความตั้งใจ ในการที่จะเป็นครูให้สมบูรณ์แบบ คำว่าสมบูรณ์แบบนี้ก็ยังมีความหมายประหลาดๆ อยู่บ้าง ซึ่งจะต้องพูดกันถึงเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน ไอ้คำว่าสมบูรณ์แบบนี้อย่างน้อยมันก็ต้องมีความหมายเป็นอุดมคติ คนโดยมากไม่ค่อยนึกถึงอุดมคติและทำอะไรไม่ค่อยสมบูรณ์ ยิ่งคนสมัยนี้ก็เอาแต่ที่จำเป็นจะต้องทำ คือเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเสียมากกว่า จึงไม่ค่อยคิดถึงไอ้(ความ)สมบูรณ์แบบ คำว่าสมบูรณ์แบบก็มีความหมายเป็นชั้นๆ อยู่อีกหลายชั้น เพื่อสมบูรณ์แบบในวงจำกัดของตนของตนไม่ใช่ทั้งหมด เช่นครูก็วาดวงของครูไว้เพียงเท่านั้นไม่ทั่วไปถึงในทั้งโลก หรือไม่ทั่วไปถึงไอ้เรื่องของธรรมชาติทั้งหมดทั้งสิ้น พอเอามาพูดให้เป็นเรื่องของทั้งหมดทั้งสิ้นก็ถูกหาว่าเกินไป ถูกหาว่าเกินไปนั้นยังไม่เท่าไหร่ มักจะมีการหาเลยเถิดไปว่าเป็นเรื่องบ้าบอไปแล้วเสียเลย แล้วจะพูดอะไรให้เป็นเรื่องที่เป็นอุดมคติหรือสมบูรณ์แบบ เพราะว่าเขาไม่ต้องการกันถึงอย่างนั้น หรือจะเรียกว่าไม่ประสีประสาเสียเลยก็ได้ ว่าขอบเขตของเราจะไปกันได้ถึงขนาดไหน ยกตัวอย่างเช่น เมื่ออาตมาเคยบอกอยู่บ่อยๆว่า ครูนั้นเป็นปูชนียบุคคล ก็หาว่าบ้าเอาแต่ล้อกันอยู่ หรือจะพูดว่าครูเป็นผู้นำทางวิญญาณ ก็กลายเป็นตัวตลกไปอย่างนี้ ถ้าคนเหล่านั้นมันโง่เองก็ต้องให้อภัยกันทั้งนั้นแหละ ไม่มองดูให้ว่างให้ถึงที่สุด เพื่อเราจะได้ทำหน้าที่ของเราให้ถึงที่สุด เขาจะเอาแต่เพียงเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ถ้าพูดว่าครูคือปูชนียบุคคล เขาไม่ยอมรับ(เพราะ) ต้องต้องทำอะไรมากไปกว่าที่จะเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง นี่คือสิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจกันเรื่อยๆไป แม้ว่าท่านทั้งหลายที่จะเป็นครูยังมีอายุน้อย ไม่ค่อยจะคิดกันถึงเรื่องนี้ ก็ขอร้องว่าให้พยายามคิดกันถึงเรื่องนี้เพื่อความก้าวหน้ารุ่งเรืองในอนาคต อย่าให้อยู่ในวงแคบเป็นลูกจ้างสอนหนังสือเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเพียงเท่านั้น อีกอย่างหนึ่งก็ขอให้ทราบว่าท่านอุตส่าห์พากันมาถึงที่นี่ด้วยความยากลำบากและหมดเปลือง ถ้าหากว่าได้รับฟัง(คำ)แนะนำสั่งสอนอยู่ในขอบเขตจำกัดเท่าที่จะมีได้ จากโรงเรียนจากวิทยาลัยอยู่แล้วก็จะมาทำไมให้มันหมดเปลืองหรือมันเหนื่อยเปล่า เมื่อมาที่นี่ก็ควรจะได้พูดกันถึงเรื่องที่มันไม่เหมือนกับที่อื่น นี่เป็นเหตุที่ทำให้ต้องพูดกันในทางของอุดมคติที่มันสูงขึ้นไปสูงขึ้นไป จะถือว่าไม่จำเป็นนั้นไม่ถูกแน่ ขอให้ไปคิดดู ที่พูดว่าการศึกษาสมบูรณ์แบบนี้ บางคนอาจจะไม่ทายถูกด้วยซ้ำไปว่ามีขอบเขตเพียงไร โดยเฉพาะหัวข้อที่พูดในวันนี้การศึกษาที่สมบูรณ์แบบนั้นคือวงกลมที่คุ้มครองโลกถึงที่สุด พวกคุณคงยังฟังไม่ออกว่าจะหมายถึงอะไร เดี๋ยวคอยฟังต่อไปก็แล้วกัน
ขอให้ทราบเป็นที่แน่นอนเสียว่าเรื่องที่อาตมาจะพูดนั้น มันจะต้องเป็นเรื่องที่กว้างจนสุดเหวี่ยงที่มันจะกว้างได้ คือมองในแง่ที่ลึกหรือกว้างกว่าที่เขามอง หรือที่เขาจำกัดวงเอาไว้ที่เราไม่ชอบ เราไม่ชอบให้จิตหรือวิญญาณมันถูกขัง นี่เราจึงมองไกลกว่าที่เขามอง แม้แต่คำว่าการศึกษาก็ไม่ได้หมายถึงการศึกษาอย่างสอนลูกเด็กๆในโรงเรียน แต่จะหมายถึงการศึกษาตามความหมายของคำว่าศึกษานี้ทั้งหมดทั้งสิ้นเท่าที่จะมองไกลออกไปได้เท่าไหร่ ในที่นี้ก็อยากจะพูดเป็นหัวข้อขึ้นมาว่า การศึกษาที่สมบูรณ์แบบนั้นคือการศึกษาของชาวพุทธ คือชาวพุทธนี่ก็ต้องมีความหมายกลางๆ ว่าคือพวกผู้รู้ ไม่มีขอบเขตจำกัด ไม่ใช่เพียงแต่รู้หนังสืออย่างในโรงเรียน ต้องรู้ถึงไอ้วิชาความรู้ลึกซึ้งของธรรมชาติ ไกลออกไปถึงคำว่าเรื่องความทุกข์ เรื่องความดับทุกข์
ในการศึกษาของชาวพุทธที่แท้จริงจะเป็นการศึกษาที่สมบูรณ์แบบ ถ้าจะให้รู้ถึงความสมบูรณ์แบบก็หลับตามองเห็นภาพพจน์ของสิ่งที่เรียกว่าการศึกษา ซึ่งจะต้องมีอยู่เป็น ๓ ส่วน คือผู้ให้ส่วน ๑ และก็สิ่งที่ให้ส่วน ๑ และก็ผู้รับอีกส่วน ๑ เมื่อทั้ง ๓ ส่วนนี้สัมพันธ์กันอย่างสมบูรณ์จึงจะเรียกว่าสมบูรณ์แบบ ผู้ให้ก็คือให้การศึกษา สิ่งที่ให้คือการศึกษา ผู้รับก็คือผู้รับเอาการศึกษาไปปฏิบัติและก็ให้ต่อ ผู้ให้คนแรกก็คือพระพุทธเจ้า สิ่งที่ให้ก็คือพระธรรม ผู้รับก็คือพระสงฆ์ปฏิบัติแล้วก็ให้ต่อ พระพุทธเจ้าให้พระธรรมแก่พระสงฆ์ พระสงฆ์ปฏิบัติและก็ให้ต่อ พระสงฆ์กลายเป็นผู้ให้ไปอีก ทีนี้ก็มีสิ่งที่ให้คือพระธรรม ก็มีผู้รับคือผู้ที่จะเป็นพระสงฆ์ต่อๆไป มันก็เลยเป็นวงกลมที่ไม่รู้จักสิ้นสุด นี่เรียกว่าภาพพจน์ที่จะต้องมองเห็น มีการให้โดยมีผู้ให้ และก็สิ่งที่ให้แล้วก็มีผู้รับเอาไปใช้เป็นประโยชน์แล้วก็ให้ต่อ ให้ต่อก็มีการให้ มีผู้รับและก็มีการให้ต่อ มีการให้มีผู้รับเป็นวงกลมที่ไม่รู้จักสิ้นสุด อย่างนี้เราเรียกว่าวงกลมที่คุ้มครองโลกถึงที่สุด พระพุทธเจ้าให้การศึกษาที่เรียกว่าพระธรรม ซึ่งจะแจก(แจง)เป็นปริยัติหรือปฎิบัติหรือปฏิเวธ ได้ทั้ง ๓ อย่าง แล้วพระสงฆ์ก็รับเอาไปปฏิบัติ ก็มีอยู่อย่างที่คนโง่มองไม่เห็นตัว เพราะมันโง่เกินไปจนไม่มองเห็นว่าทั้ง ๓ สิ่งนี้เป็นวงกลมที่เวียนอยู่ในโลกคุ้มครองโลกอยู่ ฉะนั้นคนเหล่านั้นมันจึงไม่สนใจศาสนา ไม่สนใจธรรมะ เป็นคนเกลียดวัดวาอารามด้วยซ้ำไป มันไม่มองเห็นว่ามีการศึกษาที่สมบูรณ์แบบเป็นวงกลมที่คุ้มครองโลกอยู่เสมอ เมื่อเล็งถึงสิ่งสูงสุดก็คือพระพุทธเจ้าให้การศึกษาคือพระธรรม มีพระสงฆ์รับเอาไปปฏิบัติแล้วก็ให้ต่อ ก็มีการรับไปปฏิบัติเป็นวงกลมอยู่อย่างนี้ ถ้าพวกท่านมองเห็นไอ้วงกลมอันนี้ก็จะเข้าใจง่าย
สำหรับจะพูดถึงการศึกษาของพวกครูหรือผู้ที่กำลังจะเป็นครู พวกครูคือผู้ให้ มีสังกัดอยู่ในพระพุทธเจ้า และสิ่งที่ให้คือการศึกษาที่เรียนกันมาในวิทยาลัยครู การศึกษาครูจะให้ไปแล้วผู้รับก็คือนักเรียน ซึ่งเราจะไปสอนข้างหน้า เพราะนักเรียนนั้นมันก็คงโตขึ้นมาและเป็นครูต่อไปอีก มันก็มีการให้อย่างนี้เรื่อยไป แล้วก็ไม่เฉพาะแต่เรียนหนังสือเป็นวิชาอะไรก็ได้ ซึ่งจะมีผู้ให้และก็มีผู้รับ รับไปแล้วก็สอนต่อไปเป็นวงกลมเหมือนกัน ฉะนั้นควรจะถือว่าการศึกษาที่สมบูรณ์แบบในวงของพวกครูบาอาจารย์ทางโรงเรียนนี้ก็ต้องมีลักษณะอย่างนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นมันไม่สมบูรณ์แบบ และมันเป็นสิ่งที่ควรจะภูมิใจกันบ้างก็ได้ เพราะมันเทียบกันได้กับกิจการอันสูงสุดของพุทธศาสนา วงใหญ่ที่สุดที่ครอบคลุมไปทั้งโลกคือพระพุทธเจ้าให้พระธรรม แล้วก็มีสาวกรับเอาไปปฏิบัติแล้วสอนต่อไป มันครอบโลก คลุมไปทั้งโลก ทำไมจะเรียกไม่ได้ว่าเป็นการศึกษาที่สมบูรณ์แบบ ทีนี้พวกท่านทั้งหลายที่เป็นครูหรือกำลังจะเป็นครูต่อไปมันก็มีลักษณะอย่างนั้น คือครูจะเป็นผู้ให้ ให้การศึกษา มีคนรับเอาไปใช้เป็นประโยชน์ แล้วต่อไปก็กลายเป็นครูขึ้นมา พอพูดอย่างนี้ก็มีครูบาอาจารย์บางคนหาว่าบ้าแล้ว ชอบยกเอาเรื่องเล็กๆไปเทียบกับเรื่องสูงสุด ไปพูดว่าครูนี้มีอุดมคติเหมือนพระ เพราะว่าไม่ใช่ลูกจ้าง จึงเหมือนกับพระ มีคนเอาไปล้อเล่นที่สถานีวิทยุการศึกษาของกระทรวงศึกษาฯ เมื่อหลายปีมาแล้ว เราฟังก็นึกขำว่าเขาช่างไม่เข้าใจความหมายของเราเอาเสียเลย จึงเอาไปล้อกันเล่น แล้วทีนี้ขอให้มองว่าอย่ากลัวอุดมคติ หรืออย่ากลัวการมองที่กว้างที่สูง เพราะว่ากิจการการศึกษาของครูนี่มันเทียบกันได้กับวงการศึกษาของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นที่พึ่งของโลก เราเรียกว่าวงกลมที่ไม่มีที่สิ้นสุด มีผู้ให้แล้วก็มีสิ่งที่ให้ แล้วก็มีผู้รับเอาไป และกลายเป็นผู้ให้อีก แล้วก็ให้อีก มีผู้รับอีก ให้อีก มีรับอีกเป็นวงกลมไม่มีที่สิ้นสุด โลกมันอยู่ได้เพราะวงกลมนี้ เรื่องจิตเรื่องวิญญาณที่เป็นชั้นสูงเมื่อมาอยู่ในระดับที่เป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ (ส่วน)ชั้นแคบๆ มาของพวกที่จะเป็นครูนี้มันก็คือ ครูให้ความรู้ ความรู้ให้ไปแล้ว มีผู้รับ และมีการสืบต่อ นี่เป็นอันว่าเรารู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไปในคราวเดียวกันกับที่จะรู้จักหน้าที่การงานในความหมายสูงสุดของสิ่งที่เรียกว่า(การ)ศึกษา เป็นหน้าที่ของพวกครู เป็นอันว่าวันแรกนี้เราก็พูดถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดหรือเบื้องต้นที่สุด คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วเอามาสวมใส่ให้แก่พวกที่จะเป็นครู หรือเป็นครูอยู่แล้วในลักษณะอย่างเดียวกัน คือ มีผู้ให้ มีสิ่งที่ให้ แล้วก็มีผู้รับเอาไปปฏิบัติแล้วก็ให้ต่อไป ขอให้ดูพระสงฆ์รับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติแล้วก็เป็นผู้ให้ต่อไป พระสงฆ์ก็ย้อนมาทำหน้าที่ของพระพุทธเจ้า ก็เกิดเป็นวงกลมที่ไม่มีที่สิ้นสุดกี่พันปีก็ได้ หมื่นปี แสนปีก็ได้ ถ้ามนุษย์ยังรู้จักค่าของสิ่งนี้ ก็คุ้มครองโลกนี้ไว้ได้ไม่ให้ล่มจม(แต่ช่วย)ให้ตั้งอยู่อย่างมีความสุขสวัสดีด้วยลักษณะอย่างนี้ ขอใช้คำว่าด้วยลักษณะอย่างนี้นี่คือการศึกษาที่สมบูรณ์แบบ
ทีนี้จะพูดชุดใหญ่ก่อนคือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วจึงค่อยพูดพวกชุดเล็กคือพวกครูกับลูกศิษย์ พระพุทธเจ้านั้นเป็นบุคคลที่สมบูรณ์ไปด้วยคุณธรรมพิเศษที่พวกครูควรจะสนใจ คือพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ กรุณาคุณ เอาแต่ใจความ เพราะพระพุทธเจ้าท่านมีปัญญาคือรู้สิ่งที่มนุษย์ควรจะรู้อย่างครบถ้วนถูกต้องทั่วถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือความดับทุกข์อย่างไร นี่เราเรียกว่าปัญญาคุณ ทีนี้ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากกิเลสซึ่งเป็นเหตุให้ทำความชั่วหรือเป็นเหตุให้ไม่ซื่อสัตย์ไม่ซื่อตรง เราสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้าในข้อนี้กันมากที่สุด และก็มีกรุณาคุณคือช่วยสัตว์ทั้งหลายที่เป็นทุกข์ให้พ้นทุกข์ ไม่ได้เพียงแต่เมตตาอยู่เฉยๆ ต้องช่วยด้วยจึงใช้คำว่ากรุณาคุณดีกว่าเมตตาคุณ ไปศึกษารายละเอียดได้จากหนังสือนั้นๆ ในที่นี้ยกมาแต่หัวข้อว่าพระบรมครูหรือพระบรมศาสดานั้นประกอบไปด้วยคุณ ๓ อย่างนี้ ทีนี้คนที่จะสมัครเป็นครูตามรอยของท่านนั้นนะก็จะต้องมีอย่างเดียวกัน ฉะนั้นพวกที่จะเป็นครูไปสอนลูกเด็กๆ จงนึกข้อนี้ไว้(ให้)มาก จะต้องมีปัญญา มีความรู้พอตัว จะต้องมีสุทธิคือซื่อสัตย์ซื่อตรงต่อหน้าที่การงานต่อทั้งหมดที่จะต้องซื่อตรง ก็(ต้อง)มีกรุณา อย่าสอนเพียงเอาค่าจ้างเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันๆ หนึ่ง ต้องการสอนด้วยความกรุณา ก็มีหลักเกณฑ์อย่างเดียวกับพระพุทธเจ้า เพราะมีคำพูดที่ใช้เรียกเหมือนกัน(คือ)เรียกว่าครู ผิดกันหน่อยก็พระพุทธเจ้าท่านเป็นบรมครู ทีนี้มีอีกแง่หนึ่งที่ควรจะสังเกตและจำไว้อย่าให้ลืมว่า พระพุทธเจ้าจะเป็นบุคคลสูงสุดอย่างไรก็ตาม แต่ท่านก็เคารพธรรม เคารพพระธรรม เคารพพระธรรม คือเคารพการศึกษานั่นเอง ทีนี้เรากลัวพวกครูสมัยนี้จะไม่เคารพการศึกษาจะเคารพเงินเดือนเสียมากกว่า จะเคารพผู้ที่จะบันดาลเกี่ยวกับเงินเดือนเลื่อนชั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสเองว่าพระพุทธเจ้าเคารพธรรม เคารพพระธรรมทั้งอดีต ทั้งอนาคต ทั้งปัจจุบันไม่ว่าพระพุทธเจ้าองค์ไหนเมื่อไหร่ยุคไหนก็ล้วนแต่เคารพพระธรรม ทีนี้พระธรรมก็คือการศึกษาตามความหมายเดิมในภาษาบาลี
ลองพูดถึงพระธรรมต่อไปนี้ พระธรรมคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าจัดให้(ซึ่ง)เรียกว่าพระธรรม เมื่อแตกเป็นสิกขา ๓ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลนั้นคือเรื่องความถูกต้อง ปราศจากโทษภัย ทางกาย ทางวาจา ตามปกติไม่มีโทษ ไม่มีภัยทางกาย ทางวาจา จะเป็นศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ก็สุดแท้ มันมีความหมายอย่างเดียวกันทั้งนั้น คือความถูกต้องปราศจากโทษ ปราศจากอันตรายทางกาย ทางวาจา นี่เรียกว่าศีล ทีนี้สมาธิก็มีความถูกต้องในทางจิต มีจิตที่มันถูกต้อง จึงเป็นจิตที่บริสุทธิ์ เป็นจิตที่มีกำลัง เป็นจิตที่มีสมรรถภาพในหน้าที่การงาน นี่เรียกว่าสมาธิสิกขา ศีลสิกขาและสมาธิสิกขา แล้วก็มาถึงปัญญาสิกขา คือความรอบรู้ในสิ่งที่มนุษย์จะต้องรู้ที่ดีที่สุด ที่มีประโยชน์ที่สุดคือเรื่องดับทุกข์ได้ จำไว้เป็นหลัก ๓ ข้อก่อนว่า ศีลสิกขา สมาธิสิกขาและปัญญาสิกขา นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านให้ สิกขา ๓ นี้อยู่ในรูปของปริยัติก็ได้ คือเป็นตัวหนังสือเป็นบทท่อง บทจำ บทเรียน เป็นพูดจา เขาเรียกว่าปริยัติเป็นเรื่องหนังสือนี่อย่างหนึ่ง ทีนี้อยู่ในรูปของการปฏิบัติก็ได้ คือต้องปฏิบัติลงไปจริงๆตามนั้น คือเป็นศีลออกมาจริงๆ เป็นสมาธิออกมาจริงๆ เป็นปัญญาขึ้นมาจริงๆ ถ้ายังอยู่แต่ตัวหนังสือ อย่างในตำรา ในคัมภีร์ ไม่ ไม่มีประโยชน์อะไร มีประโยชน์น้อยเกินไป มันต้องมาอยู่ในรูปการปฏิบัติ ทำให้กายวาจามันถูกต้อง ให้จิตมันถูกต้อง ให้ปัญญามันถูกต้อง เพราะในที่สุดมันก็อยู่ในรูปแห่งผลของการปฏิบัติ คือผลดีหรือประโยชน์ที่จะได้รับจากศีล สมาธิ ปัญญา ทางกาย ทางวาจา ทางจิต ทางความคิดความเห็น นี่คือพระธรรม พระธรรมที่พระพุทธเจ้าให้ เรียกว่าสิกขา ก็ต้องแปลว่าการศึกษา แต่ไม่ใช่เรียนแต่ตัวหนังสือ ต้องมีปฏิบัติด้วยและผลของมันด้วย นี่คือสิ่งที่ว่าสูงสุดสำหรับมนุษย์ควรจะมี ถ้ามนุษย์ไม่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ก็จะไม่มีมนุษย์เหลือยู่ ถ้าเราไม่มีการปฏิบัติถูกต้องใน ๓ ประการนี้แล้วมนุษย์จะไม่ได้เหลืออยู่ ถ้าเหลืออยู่ก็เหลืออยู่อย่างสัตว์เดรัจฉาน ก็ไม่เรียกว่ามนุษย์ ก็มีค่าเท่ากับมนุษย์นี้ไม่ได้เหลืออยู่ ฉะนั้นการศึกษาอย่างของของพวกครูในบ้านในเมืองนี้ก็ต้องอย่างเดียวกันนี้ ต้องเป็นเรื่องการกระทำถูกต้องทางกายทางวาจาที่เรียกว่าศีล สมาธิ มีจิตใจดี (มี)ปัญญารอบรู้ดี ส่วนที่เป็นปริยัติเป็นตัวหนังสือก็เรียนกันไป นับตั้งแต่รู้ กอ ขอ กอ กา อะไรขึ้นไป และต่อไปก็เป็นเรื่องของการปฏิบัติรู้จักทำมาหากิน ไม่ให้มันเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นมา ก็ได้รับผลเป็นความสุข จึงถือว่าไอ้สิกขา ๓ อย่างนี้เป็นสิ่งสูงสุดตลอดนิรันดรตลอดกาลนิรันดร
ทีนี้ก็มาถึงพระสงฆ์ได้รับสิกขา ๓ ประการนั้นมาประพฤติปฏิบัติอยู่ กำลังประพฤติปฏิบัติอยู่ก็เรียกว่าพระสงฆ์ที่กำลังพยายามปฏิบัติอยู่ ถ้าได้ผลของการปฏิบัติแล้วก็เรียกว่าพระสงฆ์เต็มที่ พระสงฆ์เต็มขั้น เขาเรียกกันว่าพระอริยสงฆ์ พระอริยเจ้า ถ้ายังไม่ถึงนั่นก็เรียกว่าสมมุติสงฆ์ คล้ายกับคำด่า ฟังดูในภาษาไทยคล้ายกับคำด่า พระสงฆ์สมมุติ ที่จริงไม่ใช่คำด่าเพราะเป็นคำที่มีความหมายถูกต้องตามภาษาบาลี กำลังจะเป็นพระสงฆ์ในความ(หมาย)ของพระสงฆ์ก็คือผู้ที่ได้รับการปฏิบัติมา ปฏิบัติได้รับผลสูงสุดและก็เผยแผ่ต่อไป นี่ให้ทุกคนรู้จักพระรัตนตรัยโดยใจความว่าเป็นอย่างนี้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์โดยใจความเป็นอย่างนี้ และท่านก็วนกันเป็นวงกลมที่ไม่มีที่สิ้นสุด ผู้ที่รู้สิ่งที่ควรจะรู้ แม้ยัง แม้ไม่ใช่พระพุทธเจ้าก็เรียกว่าพุทธะได้เหมือนกัน พุทธะแปลว่าผู้รู้ แปลว่าสัมมาสัมพุทธะนั้นมันรู้ รู้มาก รู้ได้ด้วยตนเอง รู้เป็นคนแรก นี่ท่านสอนให้ใครคอยรู้ตามก็ได้ คนๆ นั้นก็เรียก(ว่า)ผู้รู้ตามหรืออนุพุทธะ ก็เป็นพุทธะเหมือนกัน ฉะนั้นจึงเกิดมีพุทธะกันมากมายเต็มไปหมดในโลกนี้ ทีนี้ดูในหัวใจของเราดีกว่า ถ้าเรามีความรู้อะไรเกิดขึ้นมาใหม่ ก็ควรจะถือว่าเรามีพุทธะ พุทธเจ้าก็ได้ เกิดขึ้นแล้วในใจของเราองค์หนึ่ง เดี๋ยวเรารู้นั่นเดี๋ยวเรารู้นี่ เดี๋ยวก็รู้โน่นไม่รู้กี่สิบเรื่องร้อยเรื่องก็เรียกว่าพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งองค์หนึ่งเต็มไปหมดในหัวใจของเรา คนที่มันไม่เข้าใจก็หาว่าบ้าแล้ว เพราะคำว่าพุทธเกษตรนั้น เราพูดกันว่ามันอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ (อยู่ใน)จักรวาล(หรือ)นอกจักรวาล พุทธเกษตรเป็นเมืองพระพุทธเจ้า และก็พูดกันมากในฝ่ายมหายาน เดี๋ยวนี้เราพวกเถรวาทจะพูดว่าพุทธเกษตรอยู่ในหัวใจของเรา พอเรารู้อะไรขึ้นมาเรื่องหนึ่งก็เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง รู้อะไรขึ้นมาเรื่องหนึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง เป็นพระพุทธเจ้านับได้ร้อยได้พันได้หมื่นซึ่งอยู่ในหัวใจของเรา แม้ชั่วขณะก็ต้องนับว่าเป็นพุทธะเหมือนกัน ฉะนั้นพระสงฆ์ก็มีโอกาสกลายเป็นพุทธะขึ้นมา และสอนอีกมีผู้รับอีกกลายเป็นพุทธะขึ้นมาอีก อย่างเดียวกับที่ว่าเมื่อพวกท่านออกไปเป็นครูแล้วมีลูกศิษย์เกิดขึ้น แล้วไม่เท่าไหร่ลูกศิษย์มันก็เป็นครูอีกก็วนกันอยู่อย่างนี้ อ้าว,ทีนี้มาดูไอ้วงเล็ก นี่เราดูวงใหญ่พอแล้ว การศึกษาสมบูรณ์แบบคือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่หมุนเป็นวงกลมไม่มีที่สิ้นสุดอยู่ในสากลจักรวาล ทีนี้การศึกษาสมบูรณ์แบบในวงจำกัดของพวกครูตามโรงเรียน มีครูผู้ให้แล้วมีการศึกษาที่ครูให้ แล้วก็มีลูกศิษย์เป็นผู้รับจนกว่าศิษย์นั้นจะกลายเป็นครูหรือผู้ให้ไปอีกเป็นวงกลมอยู่ในโลกนี้ในหมู่บ้านนี้ในประเทศนี้
ทีนี้ก็ดูเรื่องเป็นครูเป็นเรื่องแรก คือจะพูดถึงบุคคลที่เรียกว่าครู ขอถือโอกาสพูดในทุกแง่ทุกมุมในเวลาเล็กน้อยแล้วก็ไม่ต้องเกรงใจด้วย ก็ได้พูดมาแล้วว่าครูนี่เปรียบเทียบกับพระพุทธเจ้า หรือมันนัยโดยปริยายหนึ่งมันก็เป็นอย่างเดียวกับพระพุทธเจ้า แต่แล้วมันก็มีแปลกอยู่หน่อยที่ว่ามันมีครูที่แท้จริงก็มี มีครูที่ปลอมก็มี แต่พระพุทธเจ้าปลอมนี่ไม่มี มีแต่พระพุทธเจ้าที่แท้จริง ทีนี้ครูโดยเฉพาะสมัยนี้มันขบฎต่อความหมายของคำว่าครู ที่เคยพูดมาหลายหนแล้วว่าคำว่าครูหมายความว่าอะไร ก็มันจึงมีครูปลอมคือขบฎต่ออุดมคติของครู แต่ใครๆก็ยังเรียกว่าครูกินเงินเดือนครู ขึ้นอยู่กระทรวงศึกษาธิการนั่นแหละ เพียงแต่มีการกระทำที่ประหลาดๆ มันจึงเรียกว่ามีครูผีเสื้อ มีครูผีสิง ครูผีเสื้อนี่ดีแต่แต่งตัวสวย ครูผู้หญิงแล้วยิ่งลำบาก พาให้นักเรียนผู้ชายลำบากมาก ทีนี้ครูผีสิงก็คือครูขี้โกรธ นิดหนึ่งมันก็โกรธ นี่ยกตัวอย่างว่ามันครูปลอม ไปหาดูเอาเองมันมีหลายชนิดหลายแบบที่ว่ามันปลอม แต่ไม่ใช่ปลอมถึงกับว่าถูกไล่ออกจากความเป็นครูได้ มันปลอมอยู่ข้างใน ลองคิดดูว่าครูนี้มันจะมีอยู่ได้สักกี่ระดับในบรรดาครูที่ไม่เต็มอุดมคติของครู ขั้นแรกก็นึกถึงครูที่รับจ้างสอนหนังสือ นี่ก็ไม่ผิดอะไรในทางโลก โลกเขาก็ไม่ถือว่าเสียหายหรือผิดร้ายอะไร ครูคือผู้รับจ้างสอนหนังสือให้คนเขารู้หนังสือ เขาเรียกว่าครูแต่เป็นครูลูกจ้าง เพราะจิตใจเขามุ่งแต่ค่าจ้าง ถ้าเป็นครูจริงไม่ได้มุ่งที่ค่าจ้างก็มุ่งที่อุดมคติความเป็นครู เงินเดือนที่มาใช้เลี้ยงชีวิตให้อยู่ได้ที่ว่าทำหน้าที่ของครู ถ้าเป็นลูกจ้างก็ไม่มีลักษณะของปูชนียบุคคล ถ้ามีลักษณะของปูชนียบุคคล มันก็ไม่ไม่มีทางที่เป็นลูกจ้างด้วยเหมือนกัน ทีนี้ก็ยังมีครูที่เป็นเพื่อนเล่น เพื่อนหลอก เพื่อนหยอก เพื่อนล้อ เพื่อนเล่นกันแก่นักเรียนก็มี นี่ก็ไม่ใช่ปูชนียบุคคล ถ้าปูชนียบุคคลนักเรียนจะเคารพรัก กลัวเกรงยิ่งกว่าบิดามารดาไปเสียอีก ครูสมัยใหม่ในโลกนี้ล้วนเขาให้เป็นเพื่อนเล่นกันมากขึ้นทุกที เพราะเขาบ้าประชาธิปไตย ลดครูมาเป็นเพื่อนเล่นของนักเรียน เคยได้อ่าน ได้ยิน ได้ฟังมาหลายอย่างประหลาดๆ ที่เมืองนอกนะไม่ใช่ที่เมืองไทย นักเรียนอาจจะจุดประทัดโยนใส่ครูและโห่กันเล่นก็ได้ ทีนี้ที่เมืองไทยจะมีหรือไม่ก็ไม่ทราบ นี่มันก็เป็นเรื่องเล่นกันไป เดี๋ยวนี้เขาก็นิยมอย่างนี้ว่าให้เด็กมันมีความอบอุ่นหรือมีอะไรก็ไม่ทราบ ซึ่งเราเข้าใจไม่ได้ เขาเห็นว่าเป็นเรื่องเสียหาย หรือเป็นเพื่อนเล่นมันก็อาจจะเลยไปถึงเป็นแฟนกันก็ได้ นี่ก็เลิกกันไม่ต้องพูดกัน นี่เป็นไปในทางที่มันย่อหย่อนจากอุดมคติของครู กระทั่งว่าเป็นครูผีเสื้อหรือเป็นครูผีสิง ล้วนแต่ไม่ใช่ปูชนียบุคคล แล้วก็พูดถึงครูแท้ตามความหมายคำว่าครู พูดแล้วพูดอีกไม่รู้จักเหนื่อยไม่รู้จักเบื่อ ในการที่จะยืนยันว่าคำว่าครูนั้นแปลว่าผู้นำในทางวิญญาณ ช่วยจำคำนี้ให้แม่นว่า ครูนี้คือผู้นำทางวิญญาณ ปทานานุกรมที่เขาทำขึ้นในอินเดียเป็นภาษาอังกฤษมันมีคำว่า Spiritual types (นาทีที่ 37.48) types ในทางวิญญาณมันคือคำ คำ คำแปล คำว่าครูในกรณีทั่วๆไป จะของเด็กก็ได้ของผู้ใหญ่ก็ได้ของพระราชามหากษัตริย์อะไรก็ได้ เรียกว่าครูนำในทางวิญญาณให้จิตให้วิญญาณให้ทิฐิ ความคิดเห็นศรัทธาความเชื่ออะไรก็ได้มันเป็นไปในถูกทาง นี่เรียกว่าครู ทางฝ่ายพวกโยคีที่เป็นพวกนักจิตนักวิญญาณสูงขึ้นไปอีกเขาพูดกัน ว่าคำว่าครูนั้นแปลว่าผู้เปิดประตู เป็นเรื่องทางจิตทางวิญญาณ คือวิญญาณที่ยังไม่รู้อะไรนั้นมันเหมือนกับอยู่ในที่มืดในคอกในเล้าของอวิชชา อวิชชาแปลว่าความไม่รู้ มันมืดเหมือนกับในคอกในเล้าที่เขาไม่ยอมเปิดประตู เป็ด ไก่มันอยู่ในคอกในเล้ามืดๆ ทีนี้ครูคือผู้เปิดประตู มันก็วิ่งออกมาสู่แสงสว่าง ผู้เปิดประตูทางวิญญาณ ให้วิญญาณของสัตว์ออกมาสู่แสงสว่าง คือวิชชาปัญญานี้เขาเรียกว่าครู ทีนี้ครูบาอาจารย์มีความหมายสูงสุดก็คือผู้เปิดประตูทางวิญญาณ แต่เราเห็นว่ามันฟังยาก เป็นผู้นำเป็นมัคคุเทศก์ทางวิญญาณดีกว่า ก็ต้องพาออกไปได้ พาออกไปสู่ที่แสงสว่างได้ ทีนี้ก็จะเห็นได้ง่ายว่าครูนี้จะเป็นปูชนียบุคคลอย่างไร เพราะได้ทำงานอันสูงสุด ทำงานในทางจิตใจทำงานในระดับสูงสุดคือเปิดประตูทางวิญญาณ ฉะนั้นความเป็นครูมันโดยโดยโดยเจตนารมณ์แล้วมันก็อยู่ที่นี่ ฉะนั้นเราจะทำได้เท่าไหร่นั้นอย่าเพิ่งคิดก็ได้ แต่เราตั้งใจจะทำก็แล้วกัน ถ้าเราจะสอนเด็กชั้นเสี้ยม(40.24)ชั้นประถมหนึ่งก็ต้องถือว่าจะทำให้วิญญาณของเขารุ่งเรืองมีแสงสว่างจากการไม่รู้หนังสือมาสู่ความรู้หนังสือ จากความไม่ฉลาดมาสู่ความฉลาด กระทั่งรู้ทุกอย่างที่มนุษย์ควรจะรู้ จึงเป็นหน้าที่ของครูปูชนียบุคคล ไม่ใช่ลูกจ้างสอนหนังสือหากินไปวันหนึ่งวันหนึ่ง คือความเป็นครูนี่ก็คือความเป็นพุทธะน้อยๆ น้อยๆที่ทุกคนสำหรับให้แสงสว่างคือการศึกษาและก็มีผู้รับเอาไป
ทีนี้เราจะออกไปเป็นครู เรามีเจตนารมณ์ที่ยิ่งใหญ่นี้อยู่ที่ตรงนี้ที่จะไปเปิดประตูทางวิญญาณ ไม่เสียเจตนารมณ์ของความเป็นครู แต่แล้วมันมีปัญหาอื่นเข้ามาแทรกแซง เราก็ต้องนึกถึงด้วยเหมือนกัน ปัญหาแรกก็คือว่าทุกคนเป็นมนุษย์จะทำหน้าที่ครูหรือหน้าที่อะไรก็ตามใจ ในโลกนี้มันจะมีกี่หน้าที่ แต่หน้าที่ที่มันเป็นพื้นฐานตลอดกาลคือเป็นมนุษย์ มันจึงต้องเป็นมนุษย์ให้ถูกต้องกันเสียก่อน จึงจะค่อยเป็นครูบาอาจารย์เป็นอะไรทำหน้าที่ของตน ฉะนั้นครูต้องนึกถึงความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องเสียก่อน ทีนี้ความเป็นมนุษย์นี่เอาตามความหมายของภาษาเดิมๆ ของเขาก็ต้องว่ามีใจสูง อยากจะขอร้องว่าถ้าไปสอนลูกเด็กๆ ด้วยภาษาไทย(ขอให้) ไปสอนเขาว่าคำว่ามนุษย์แปลว่าอะไร แล้วก็ควรจะบอกเขาว่า ตัวนั้นคือแปลว่ามีใจสูง เมื่ออาตมายังเป็นเด็กๆ เข้าโรงเรียนครูก็สอนว่าคำว่ามนุษย์แปลว่าคน เราก็รู้เพียงเท่านั้นเราว่าถูก เราก็เชื่อ เดี๋ยวนี้มาเรียนภาษาบาลีรู้อะไรมากขึ้น ก็รู้ว่าความหมายของมนุษย์ไม่ได้แปลว่าคนตามธรรมดา (แต่มนุษย์)แปลว่าคนที่มีใจสูง ถ้าใครมันเป็นมนุษย์ได้ก็หมดปัญหา คือใจมันสูงได้แล้วมันก็จะหมดปัญหาทุกปัญหา ถ้าเป็นคนมีใจต่ำก็ยังมีเต็มไปด้วยปัญหา ฉะนั้นครูอย่างน้อยต้องเป็นมนุษย์ มนุษย์ที่มีใจสูง ถ้าใจสูงก็ปฏิบัติหน้าที่ของครูได้ โดยเหมือนกับว่าเล่นนะ คือมันง่าย ทีนี้ใจสูงอย่างไรมันก็มี มีระบบของมันอยู่แล้ว มีการศึกษาอย่างนั้น มีการปฏิบัติอย่างนั้น มีการกระทำอย่างนั้น มุ่งหมายอย่างนั้น มีใจสูงพูดกันตรงๆง่ายๆ คืออย่าไปนิยมไอ้ความต่ำ ของต่ำ ของง่าย ของชั่ว ของอะไรต่อใครทั้งหมด อย่าไปนิยมอย่างนั้น สูงก็หมายความว่าอยู่เหนือคือเป็นอิสระไม่มีอะไรท่วมทับ ใจสูงก็คือกิเลสไม่ท่วมทับ ไม่มีอะไรที่จะทำให้เศร้าหมอง การศึกษาช่วยให้ใจสูงอยู่แล้วในตัว ฉะนั้นเราก็อาศัยการศึกษาที่เราได้รับมาเมื่อเรายังเป็นนักเรียนเพื่อให้ใจมันสูงขึ้น มีความเป็นมนุษย์พร้อมๆกันไปกับการศึกษาเล่าเรียนจนกระทั่งไปเป็นครูก็เป็นมนุษย์ได้ คือมีใจสูงพอสมควรที่จะเป็นครู ดังนั้นในฐานะที่เป็นมนุษย์ก็(ควร)มีความถูกต้องอย่างมนุษย์
ทีนี้ในฐานะที่เป็นครู ก็มีความถูกต้องอย่างเป็นครู คือเปิดประตูทางวิญญาณ ทีนี้ก็อยากจะฝากไว้ด้วยว่า ทุกคนขอให้รับผิดชอบในหน้าที่ทุกระดับ ซึ่งอยากจะระบุเพียงสัก ๕ ระดับเท่านั้นว่าเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา แล้วเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ และก็เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ ซึ่งรวมทั้งเป็นหน่วยที่ดีของสังคม แต่เราจะใช้คำๆ เดียวว่าเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ อันสุดท้ายก็เป็นสาวกที่ดีของพระศาสดา แล้วแต่ว่าจะถือศาสนาไหน ถ้าอย่างถือศานาพุทธก็เป็นพุทธมามกะที่ดีของพระพุทธเจ้า อยากจะขอร้องให้ยึดถืออย่างกับบทมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ ลืมไม่ได้ เผลอไม่ได้ ว่าเราจะเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ เป็นสาวกที่ดีของพระศาสดา ทีนี้เราออกไปเป็นครู มันพ้นหน้าที่อย่างนี้(ได้)เมื่อไหร่ล่ะ เราก็ยังมีบิดามารดานะ เป็นครูไปแล้วกระทั่งมีครอบครัวแล้วก็ยังมีบิดามารดา มีชีวิตอยู่ก็มี ล่วงลับไปแล้วก็มี ก็ถือว่ายังมีบิดามารดาอยู่ และทำตัวเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดาอยู่จนตลอดชีวิตของเรา นี่เป็นตัวอย่างที่ดีอีกส่วนหนึ่ง แทนการที่จะสอนด้วยปากก็สอนด้วยการทำให้ดู(โดย) ทำตัวเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดาสอนประชาชน (ขอให้)ไปศึกษาเอาเอง(ว่า) บุตรมีหน้าที่ประพฤติต่อบิดามารดาอย่างไร มันมีรายละเอียดในตำรับตำราที่เคยเรียนมาแล้ว บางทีก็สอนกันแล้วในวิทยาลัยไม่ต้องพูดอีกก็ได้ (นี่)คือธรรมะหมวดที่มีปฏิบัติ นี่ก็เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ แม้เราออกไปเป็นครูแล้วเราก็ยังมีครูอาจารย์อยู่นั่นล่ะ มันยังคงเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์เหมือนกับว่าเรายังอยู่ในโรงเรียน กระทั่งเราไปเป็นครูบาอาจารย์ สูงอายุแล้ว จะเป็นคนแก่ด้วยซ้ำไป เรายังนึกถึงครูบาอาจารย์ของเราอยู่เลย ยังคงเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์อยู่ตลอดเวลา อย่าลืมเสีย ความเจริญสมัยใหม่นี้ทำให้เด็กๆไม่เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ แม้ตั้งแต่เมื่อยังอยู่ในโรงเรียนนี่ก็ไม่เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ก็ได้ ทีนี้พอออกไปจากโรงเรียนจะเป็นได้อย่างไร เมื่อเราอยู่ในโรงเรียนแท้ๆ เรายังไม่เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ออกจากโรงเรียนก็ไม่รู้ไม่ชี้ แต่ถ้าอย่างสมัยโบราณหรืออย่างอาตมาเป็นเด็กๆ นี้มันยังมีความเป็นครูเป็นศิษย์กันอยู่จนบัดนี้ คือยังนับถือครูบาอาจารย์ที่เคยสอนกอ ขอ กอ กา ให้อยู่จนถึงบัดนี้ แม้จะตายไปแล้วก็ยังนึกถึงอยู่ ก็มีความเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์อยู่กันตลอดชีวิตเสีย(แล้ว)
ทีนี้ความเป็นเพื่อนที่ดีหมายความว่ามีเพื่อนที่ดี ออกไปเป็นครูแล้วยังต้องการเพื่อน คนเราอยู่ในโลกตลอดชีวิตนี้มันต้องการเพื่อน ทำตัวให้เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนที่ดี ก็จะได้ง่ายในการที่จะเป็นครูที่ดี เรื่องเพื่อนนี้มันยังมีคำที่พูดจำแนกไปได้ว่าเพื่อนที่เขาสูงกว่าเรา เพื่อนที่เสมอกับเรา เพื่อนที่ต่ำกว่าเรา ยังมีอยู่อีก คำว่าเพื่อนนั้นมันไม่ ไม่ได้หมายว่าเสมอกันไปหมด คนที่เขาสูงกว่าเราก็เป็นเพื่อนกันได้ เสมอกันก็เป็นเพื่อนกันได้ ถ้าต่ำกว่าเราก็เป็นเพื่อนกันได้ ก็มีโอกาส มีหน้าที่ที่จะช่วยกันไปตามฐานะที่มันจะช่วยได้ เขาดีกว่าเรา เขาเก่งกว่าเรา เขารวยกว่าเรา เขาก็ช่วยเราไปอีกทาง เขาจนกว่าเรา เขาอะไรกว่าเราเขาก็อาจจะช่วยเราได้อีกทางหนึ่ง ถ้าเสมอกันนี่ก็ไม่ต้องพูดแล้วมันก็ยิ่งง่ายที่จะช่วยกัน ฉะนั้นต้องนึกถึงว่าเราจะต้องเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน แม้เขาจะจนกว่าเราหรือเขาจะรวยกว่าเราก็ต้องประพฤติกันให้ถูกต้อง การเป็นครูก็จะง่ายขึ้นถ้าเรามีเพื่อนที่ดี
ทีนี้เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาตินี่ไม่อยากจะเอามะพร้าวมาขายสวน ในวิทยาลัยเขาสอนกันมากแล้ว ถ้าโรงเรียนไหนวิทยาลัยไหนไม่ได้สอนเรื่องพลเมืองที่ดีของประเทศชาติเป็นอย่างไรก็เลิกได้ ยุบได้ ทีนี้เป็นพุทธมามกะที่ดีของพระพุทธเจ้า นี่มันเป็นเรื่องทางจิตทางวิญญาณ(ที่)สูงขึ้นไปอีก มันต้องไปศึกษาโดยเฉพาะ เห็นคุณค่าของพระพุทธเจ้าโดยแท้จริงจึงมีศรัทธามีความเลื่อมใส มีการถือเอาเป็นสรณะโดยแท้จริง ไม่มีทางที่จะทำให้ผิดไปจากคำสอนของท่านได้(แต่)ปฏิบัติตามนั้นอยู่จนสิ้นชีวิต อย่างนี้เรียกว่าเป็นพุทธมามกะที่ดีของพระพุทธเจ้า หรือว่าเป็นสาวกที่ดีแห่งพระศาสดาแห่งศาสนาที่ตนถืออยู่
ทีนี้ ๕ คำนี้ขอให้ช่วยจำไปด้วย เป็นบุตรที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นพลเมืองที่ดี เป็นสาวกที่ดี แล้วการเป็นครูจะง่าย จะง่ายที่สุด เพราะทั้งเนื้อทั้งตัวมันจะเป็นครูไปหมด ไอ้สอนแต่ปากแล้วที่เนื้อที่ตัวไม่มีความเป็นตัวอย่างที่ดีนี่ ก็ต้องจัดว่าเป็นครูเครื่องจักรชนิดหนึ่งที่สอนหนังสืออย่างเดียว ถ้าเป็นครูถ้าเป็นอย่างที่ว่าเป็นมนุษย์ที่ดี โดยการแจกเป็นบุตรที่ดี(52.20) ศิษย์ที่ดี เพื่อนที่ดี พลเมืองที่ดี สาวกที่ดี และก็เป็นการสอนทั้งเนื้อทั้งตัวสอนอย่างยิ่ง สอนตลอดเวลา นั่น(แหละ)เป็นครูแท้ มันก็เป็นปูชนียบุคคลแท้โดยอัตโนมัติ มันจะสูงไปหรือไม่ก็ไปคิดดู บางคนอาจจะคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ที่เราไม่ต้องการไปทำให้มันดีมากถึงอย่างนั้น นั่นเรียกว่าคนนั้นมันไม่สมบูรณ์แบบ ไอ้คนคนนั้นมันเป็นคนที่ไม่สมบูรณ์แบบ ไม่เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ มันก็ไม่ยอมรับเอาไอ้ระบบปฏิบัติที่สมบูรณ์แบบ เดี๋ยวนี้เราพูดกันถึงการศึกษาที่สมบูรณ์แบบ ทีนี้ก็สำหรับมนุษย์ที่มันเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบก็เลยมีประโยชน์สูงสุดแก่โลก
ทีนี้จะพูดถึงไอ้สิ่งที่ให้ คือการศึกษากันต่อไป พูดถึงการศึกษามันก็มีเรื่องมาก ถ้าพูดกันในช่วงเวลาอันสั้นนี้ก็พูดได้แต่หัวข้อ ฉะนั้นอยากจะพูดอย่างที่เรียกว่าเป็นมนุษย์ที่มีใจสูงแล้วก็มองดูไอ้สิ่งที่เรียกว่าการศึกษา(ทั้ง)หมดสิ้นทั้งโลก เราก็จะพบว่ามีการศึกษาอยู่ ๒ ประเภท คือการศึกษาที่เป็นทาสของกิเลส และการศึกษาที่ไม่เป็นทาสของกิเลส ในโลกสมัยปัจจุบันนี้ โดยทั่วๆ ไปแล้วต้องยอมรับว่า การศึกษามีแต่การศึกษาชนิดที่เป็นทาสของกิเลส คือไปตามอำนาจแห่งกิเลสของคนนั่นเอง ที่จัดการศึกษาหรือว่าศึกษาเองก็ตามใจ การศึกษาเป็นทาสของกิเลสก็หมายความว่าไปตามความอยาก ไปตามความต้องการของตนของตน บางทีเป็นเอามากถึงกับว่า ทำให้เกิดความเห็นแก่ตัวจากการศึกษานั่นเอง อย่างนี้เรียกว่าการศึกษาที่เป็นทาสของกิเลส การศึกษาที่ไม่เป็นทาสของกิเลสก็คือสอนให้คนรู้จักบังคับกิเลส บังคับตัว ไม่เห็นแก่ตัว มักจะกระเดียดไปในไปเป็นการศึกษาทางศาสนาเสียหมด และถ้าสมัยโบราณก็ยังเอามาสอนเป็นหลักเกี่ยวกับการศึกษาที่ต้องทำลายความเห็นแก่ตัว ทางการบังคับตัว ต้องบังคับกิเลสเป็นสุภาพบุรุษที่ไม่มีความเลวทรามในการประพฤติปฏิบัติ การศึกษาในโลกสมัยสองร้อยปี หรือสองสามร้อยปีมาแล้วนิยมอย่างนั้นมาก นิยมความไม่เป็นทาสของกิเลสนั้นมาก เพราะเป็นการศึกษาที่จัดโดยศาสนา โดยทางศาสนา โดยนักบวช โดยเรื่องที่มันเกี่ยวกับศาสนา เขาทำเป็นแต่อย่างนั้น พอมาถึงสมัยปัจจุบันนี้ ไอ้โลกมันเจริญทางวัตถุ คนมันชะเง้อหาวัตถุมันก็มุ่งไปในทางจะได้วัตถุ ก็เลยเป็นทาสของกิเลส ไม่ค่อยยึดหลักในความดีความถูกต้องตามแบบของศาสนา จนกระทั่งถึงยุคปัจจุบันนี้ซึ่งแยกศาสนาออกไปเสียจากการศึกษา ก็เลยเป็นการศึกษาที่ประหลาดที่สุด สมัยก่อนเขาแฝดกันอยู่การศึกษากับศาสนา มันศึกษาพร้อมกันในคราวเดียวกัน มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ อ๊อกซ์ฟอร์ดเป็นตัวอย่าง เป็นโรงเรียนราษฎร์ของพวกพระ(ที่)เขาจัดขึ้น ฉะนั้นการศึกษา(จึง)เป็นไปในรูปของศาสนามาก มีความเป็นสุภาพบุรุษที่ถูกต้อง และต่อมารัฐบาลจัดเองนี่ก็เปลี่ยนรูปมาหาไอ้ประโยชน์ที่จำเป็นทางเศรษฐกิจทางอะไรนะที่กว้างมากขึ้น ทีนี้การศึกษาของทางศาสนาก็หมุนตามก้นไอ้อำนาจปัจจุบัน ความต้องการในยุคปัจจุบันก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนไป จนกระทั่งมีศาสนาเหลือน้อยหรือไม่มีเลย ก็เรียกว่าแยกเอาศาสนาออกไปจากการศึกษา ประเทศไทยเราก็เหมือนกัน เดี๋ยวนี้เรายิ่งยิ่งจัดการศึกษาอย่างตามก้นพวกฝรั่งก็เพื่อผลทางวัตถุทั้งนั้น เพื่อความเจริญก้าวหน้ารวดเร็วในการแสวงหาซึ่งประโยชน์เป็นวัตถุ ที่เรียกว่าเศรษฐกิจบ้างอะไรบ้าง เรื่องศาสนาเรื่องศีลธรรมไม่ได้รวมอยู่ในการศึกษา นี่ก็เป็นโชคร้ายของมนุษย์ในโลกที่แยกศาสนาออกไปเสียจากการศึกษา เมื่อเร็วๆ นี้สัก ๑๐๐ ปีมานี้เป็นแรงขึ้นๆ การศึกษาที่จัดโดยรัฐบาลเป็นอย่างนี้เต็มตัว การศึกษาที่จัดโดยองค์การทางศาสนาก็ยังมีเรื่องศาสนาเหลืออยู่บ้าง ซึ่งแต่เดี๋ยวนี้ก็ไปตามก้นพวกฝรั่งหมดแล้ว มันก็เลยหมดกัน มีแต่การศึกษาที่เป็นไปตามอำนาจของกิเลส พวกการศึกษาที่อยู่ใต้อำนาจของกิเลส เมื่อเราดูกันอย่างวงกว้างนะ ตามการศึกษาสมบูรณ์แบบของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และก็มาอยู่ในมือของคนที่เป็นครูบาอาจารย์ นี่มันก็เปลี่ยนมาอย่างนี้ ฉะนั้นเราก็ควรจะนึกถึงว่าไอ้มนุษย์นี่มันอยู่ไม่ได้ด้วยลำพังวิชาความรู้แต่ปราศจากความถูกต้องในทางพระธรรม ในทางศีลธรรม ในทางศาสนา เพราะฉะนั้นแม้ว่ามัน ถ้าหากว่ามันไม่มีอยู่ในหลักสูตรของกระทรวงฯเราก็ทำได้ คือให้การศึกษาที่มันเกี่ยวกับศีลธรรม ทางธรรม ทางศาสนาตามที่เราได้เล่าเรียนมา อีกอย่างที่พูดกันวันนี้และอุตส่าห์มาถึงกันที่นี่ มันก็ไม่มีอะไรจะให้นอกจากเรื่องของธรรม ของพระธรรม ของพระศาสนา ของศีลธรรม ซึ่งจะเอาไปใช้อบรมสั่งสอนให้ลูกเด็กๆ เขามีนิสัยจิตใจน้อมมาในทางธรรม หรือเป็นการศึกษาที่ไม่เป็นทาสของกิเลสมากเกินไป เดี๋ยวนี้โลกกำลัง กำลังกลัว กลัวไอ้ความไม่เจริญทางวัตถุ กลัวจะพ่ายแพ้ผู้อื่นทางวัตถุ เขาทุ่มเทกันแต่การศึกษาเพื่อผลทางวัตถุทั้งนั้น เราเป็นครูเราคงไม่มีอำนาจไม่มีอภินิหารอะไรที่จะบันดาลการศึกษาได้ตามความต้องการอันนี้ แต่เราก็ยังมีส่วนที่ทำได้ตามสมควร ให้การศึกษาชนิดที่ทำให้จิตใจมันสูงให้วิญญาณมันสูงเป็นผู้นำในทางวิญญาณ นั่นจะเรียกว่าเป็นการให้การศึกษาที่ถูกต้องเพื่อสมบูรณ์แบบ
คำว่าศึกษาภาษาไทยมาจากคำว่าศิกขา ในสันสกฤต หรือสิกขาในภาษาบาลี (61.26) ตัวรากศัพท์แท้ๆคำว่าสิกขะนี่ สิกขะนี่ธาตุตัวนี้เขา ภาษาบาลีเขาออกความหมายให้เป็นว่า วิชโช ปทาเน(นาทีที่01.01.36) การถือเอาได้ซึ่งวิชชา วิชโช ปทาเน (นาทีที่01.01.46) การถือเอาได้คือวิชชา ทีนี้วิชชานี่อย่าเข้าใจเป็นแต่เพียงหนังสือหนังหา วิชาความรู้ทางหนังสือหนังหา เพราะมันเป็นเรื่องของจิตวิญญาณและมันไม่ใช่เรื่องหนังสือหนังหา มันเป็นความสว่างในทางจิตใจ รู้จักดับทุกข์ได้ ถ้าพูดว่าวิชชาตามทางศาสนาโดยเฉพาะในพุทธศาสนานี้ก็หมายถึงดับทุกข์ได้ เขาเรียกว่าบุพเพนิวาสานุสติญาณ ก็หมายถึงระลึกชาติได้ จุตูปปาตญาณมองเห็นการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์ได้ อาสวักขยญาณทำอาสวักให้สิ้นได้ นี่เขาเรียกว่าวิชชา การถือเอาได้คือวิชชามันมีระดับนี้เป็นหัวใจเป็นความหมายที่สูงสุด ถึงจะรู้วิชาเลขวิชาประวัติศาสตร์ภูมิศาสตร์นี่มันเป็นรากฐานเบื้องต้น เป็นเรื่องโลกๆ อย่างเดียว ไม่เต็มตามความหมายคำว่าวิชชา มันเป็นส่วนน้อยเป็นส่วนเบื้องต้น รู้เลขรู้หนังสืออะไรต่ออะไรก็เรียกว่าวิชชาทั้งนั้น แต่มันต่างไปกันลิบกับวิชชาที่รู้จักทำความทุกข์ให้หมดไป อย่าให้มีเหลือในจิตใจ นั่นคือวิชชาแท้ ถ้าเป็นเรื่องทางศีลธรรมที่สอนควบคู่กันไปมันก็จะมีในส่วนนี้ ให้ลูกเด็กๆ เขารู้จักทำจิตใจให้มันถูกต้องตามทางของพระธรรมคือวิชชาแท้ สอนหนังสือสอนเลขก็สอนกันไปตามที่กระทรวงฯเขาต้องการเพราะว่าเราเป็นลูกจ้างเขาในส่วนนี้ คือดูภายนอกเราก็เป็นลูกจ้างเขาในส่วนนี้ ทำตามความประสงค์ แต่ว่าเราอาจจะทำให้มันมากกว่านั้นเป็นบุญกุศลส่วนของเรา คือว่าให้เด็กๆ เขามีนิสัยดี มีมรรยาทดี มีความรู้สึกสูง มีความปรารถนาสูง วิชาชาที่แท้จริงมันอยู่ที่นั่น ฉะนั้นครูให้การศึกษาก็ควรจะให้หมดทั้งทางฝ่ายภายนอกคือทางกาย ทางวาจา ฝ่ายภายในคือฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณ ฝ่ายสติปัญญา ความคิดความคิดเห็น ให้ทั้งที่มันเป็นวิชาความรู้เป็นหลักวิชชา และก็ให้ทั้งส่วนที่เป็นการกระทำ คือทำให้ดู ทำให้ได้ มันจึงจะได้ผล เรื่องการศึกษาที่เป็นทาสของกิเลสนี้ มันเป็นเรื่องใหญ่เกินความสามารถที่เราจะจัดได้แต่ก็ควรจะรู้ไว้ เพราะเผื่อมันจะเป็นโชคดีที่มนุษย์เขาเกิดเกลียดความทุกข์ เกิดเกลียดไอ้วิกฤติการณ์อุปัทวะจัญไรในโลกขึ้นมา เขาก็จะหมุนกันมาในทางนี้สักวันหนึ่ง การศึกษาก็จะเป็นการศึกษาที่สมบูรณ์ขึ้น
ทีนี้มาดูคำว่าศิษย์กันบ้าง ผู้รับความรู้ ผู้รับการศึกษา มันก็มีศิษย์ที่แท้จริง หรือศิษย์ที่สมบูรณ์แบบ แล้วมันก็มีศิษย์ที่ตรงกันข้ามเห็นๆ กันอยู่ เดี๋ยวนี้ดูจะหาศิษย์ที่แท้จริงยากขึ้น เพราะวัฒนธรรมมันเปลี่ยน อิทธิพลไอ้ตะวันตกหรืออะไรก็ตามมันเข้ามา มันเปลี่ยนระเบียบ เปลี่ยนระบบ เปลี่ยนความมุ่งหมายจนไม่มีความเป็นศิษย์กับความเป็นครูบาอาจารย์ มันกลายเป็นว่าเป็นบุคคลที่มีความจำเป็นบังคับ(ให้) ๒ ฝ่ายต้องอาศัยกันเสียอย่างนี้ ศิษย์ก็จะอาศัยที่ให้รู้ ครูบาอาจารย์เพียงให้ได้ทำงานอาชีพชนิดหนึ่ง นี่เรียกว่าบุคคลจำเป็น ๒ ฝ่ายต้องมาอาศัยกัน ถ้าอย่างนี้ไม่ตรงตามความหมายของคำว่าศิษย์ของภาษาบาลีหรือภาษาอินเดียซึ่งเป็นเจ้าของของคำๆนี้ ก็ลองนึกถึงคำว่าศิษย์ แม้จะเอาเพียงว่า(ให้)มันเชื่อฟัง คำว่าศิษย์แปลว่าผู้เชื่อฟัง ผู้ศึกษาตาม หรือผู้เชื่อฟังนี่มันก็ไม่มีความหมายมากกว่าที่มันเป็นๆ อยู่ในเวลานี้ เด็กๆก็มาโรงเรียนเพราะความจำเป็นบังคับ ผู้ใหญ่เขาบังคับให้เรียนหรือเขาถูกบอกว่าถ้าเขาเรียนแล้วเขาจะได้เงินใช้ จะได้สบาย จะได้สนุกสนานอย่างนี้ ไอ้เจตนาที่จะฟัง จะเชื่อฟัง จะศึกษามันไม่ได้มี มันมีแต่ความจำเป็นอย่างหนึ่งบังคับให้เขาทำไปตามนั้นเชื่อว่าจะสอบไล่ได้ แล้วก็จะได้รับประโยชน์เป็นผลเป็นเงินเป็นวัตถุ ฉะนั้นศิษย์ที่แท้จริงมันจึงไม่มี เราควรจะเปรียบเทียบกันได้จากบทธรรมะที่เขาถือปฏิบัติกันมา ว่าเป็นครูนี่เราจะทำต่อศิษย์อย่างไร ศิษย์จะต้องทำต่อครูอย่างไร ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เองก็มีในหมวดที่ปฏิบัติ คงจะเคยเรียนมาแล้วเคยผ่านกันมาแล้ว
ทีนี้มาพูดอีกเฉพาะที่เป็นใจความสำคัญ ศิษย์ถ้าเป็นศิษย์ที่ดีจะต้องเคารพ จะต้องรับใช้ จะต้องเชื่อฟัง จะต้องช่วยเหลือจะต้องเรียนดี นี่ตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในสูตรสิงคารวสูตร(นาทีที่ 1.08.14) และจะต้องเคารพ สองก็ต้องช่วยรับใช้ จะต้องเชื่อฟัง จะต้องช่วยเหลือและต้องเรียนดี เคารพมาก่อน ถ้าไม่เคารพแล้วก็ว่าไม่เป็นศิษย์ได้ เดี๋ยวนี้ศิษย์จะเคารพครูหรือไม่เคารพครูก็ลองสังเกตเอาเอง เคารพมากเคารพน้อยสังเกตเอาเอง แต่ถ้าเป็นสมัยโบราณนั้นมันเคารพอย่างยิ่งเพราะมันเป็นขนบธรรมเนียมประเพณี เป็นวัฒนธรรมที่เขาทำกันไว้ดี เด็กๆที่เป็นลูกศิษย์เคารพครูเต็มที่ ทีนี้รับใช้เดี๋ยวนี้จะหายากแล้ว เพราะต่างคนต่างมีประโยชน์ของตัว การศึกษาที่จัดไปอย่างโง่เขลานั้นไม่ทำให้ศิษย์มีโอกาสรับใช้ครูหรือรับใช้โรงเรียน เขามีภารโรงมีอะไรให้รับใช้ครูไปเสียหมด ไอ้เด็กๆก็เลยโง่ในการที่จะรับใช้ครู เป็นการศึกษาที่ผิดมากคือเลวมากสำหรับยุคนี้ที่ไม่จัดให้ลูกศิษย์มีโอกาสรับใช้ครู สำหรับเชื่อฟังนั้นน่ะยิ่งต้องการอย่างยิ่ง แยกออกมาจากการเคารพ เคารพ เคารพนั้นเป็นส่วนความหมายหนึ่ง ที่เชื่อฟังก็คือทำตาม ทีนี้ช่วยเหลืออุปัฎฐากนี่ หมายความว่ามันเหมือนเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย ช่วยเหลือครูช่วยเหลือศิษย์ ศิษย์ช่วยเหลือครูแม้กระทั่งการเจ็บการไข้การอะไรก็ตาม อันตรายต่างๆนี่มันช่วยเหลือ และต้องเรียนดี ก็เป็น ๕ ข้อนี้ เป็นหน้าที่ที่ศิษย์ที่ดีจะต้องประพฤติต่อครู เราก็จะเรียกว่าศิษย์ไทยธรรม ธรรมะสำหรับศิษย์ก็ได้
ทีนี้ฝ่ายครูนั้นท่านตรัสไว้ ๕ ข้อเหมือนกัน คืออบรมดี ให้เรียนดี ไม่หวงวิชา และก็ยกย่อง คุ้มครอง ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้สำหรับครูที่ดี อบรมดี แล้วก็ให้เรียนดี ทีนี้มันไม่เหมือนกัน ให้เรียนคือให้วิชา แต่อบรมดีมันเป็นการอบรมมรรยาท อบรมศีลธรรม อบรมอะไรต่างๆเรียกว่าไปในเรื่องทางวิญญาณมากกว่า และไม่หวงวิชานี่ก็เพราะว่ามันเมตตารักใคร่ มีวิชาเท่าไหร่จะสอนให้สุดความสามารถ ให้มันเป็นลูกศิษย์ที่มีความรู้ถึงที่สุดและยกย่อง นี่ก็หรือจะเรียกว่าความอบอุ่นในเวลานี้ ให้เกิดความรู้สึกที่ผูกพันกันอย่างยิ่ง ทีนี้ข้อสุดท้ายคุ้มครองไม่ให้เกิดอันตรายทางกาย ทางจิต ทางอะไรต่างๆไปโดยจนตลอดชีวิตกระทั่งตาย นี่ ๕ ประการนี้มันเป็นธรรมะของครู เป็นครุธรรมเป็นธรรมของครูที่ต้องมีต่อศิษย์และศิษย์ก็มีศิษย์ไทยธรรม ธรรมสำหรับศิษย์ที่จะประพฤติต่อครู ก็เลยมีความเป็นศิษย์เป็นครูที่ดี และการศึกษามันก็ดี ฉะนั้นการศึกษานั้นจึงสมบูรณ์แบบที่สุด (แต่มัน)ไม่เป็นอย่างที่ว่า(กลับเป็นแบบ)ขอไปที(ตาม)ความจำเป็นบังคับ เราต้องการอย่างอื่นเรา ไม่ได้ต้องการความเป็นศิษย์ที่ดีเป็นครูที่ดีตามอุดมคตินั้น นี่มันจึงพบว่าเกิดศิษย์ปลอมหรือว่าศิษย์แท้จริงขึ้นมาอีก ศิษย์แท้จริงคือประกอบด้วยคุณธรรมอย่างที่ว่า เคารพครูเชื่อฟังครูทุกอย่าง ไอ้ส่วนศิษย์ปลอมมันก็เป็นพวกที่พูดกันไม่รู้เรื่อง ส่วนใหญ่เป็นพวกพูดกันไม่รู้เรื่อง คงจะเคยสังเกตเห็นกันมาแล้ว เป็นศิษย์ผีสิงพูดกันไม่รู้เรื่องเป็นลิงทะโมน กระทั่งเป็นอะไรต่างๆที่ดูตามหน้าหนังสือพิมพ์นี่ นี่มันเป็นศิษย์ปลอมสมัยนี้มันมากขึ้นมากขึ้นมากขึ้น และมันไม่มีคำว่าศิษย์ มันมีคำว่าคนที่มีความจำเป็นบังคับมาเกี่ยวข้องกันเท่านั้นเอง
ทีนี่เมื่อได้พูดครบพร้อมทั้ง ๓ อย่างคือทั้งครูผู้ให้การศึกษา คือสิ่งที่ถูกให้ และศิษย์คือผู้ที่รับและมันก็มาสัมพันธ์กันเป็นวงกลม ถ้าเป็นชั้นดีเขาเรียกว่าครูดี ศิษย์ดี การศึกษาดีเป็นวงกลมที่คุ้มครองคนทุกคนให้ปลอดภัย ทีนี้ถ้าบังเอิญว่ามันเป็นศิษย์เลวหรือเป็นครูเลวอะไรก็ตาม การศึกษามันก็เลว มันก็เป็นวงกลมอยู่นั่นแหละ พอลูกศิษย์เลวขึ้นมาโตขึ้นมันก็เป็นครูที่เลว เพราะไอ้การศึกษาที่เลวก็มีศิษย์ที่เลวเลวเลวลงไป แล้วก็เป็นการทำให้สังคมมนุษย์นี้มันเลวลงไป ฉะนั้นอย่า อย่าเห็นเป็นของเล็กน้อยว่าวงกลมนี้จะไม่เกิดขึ้น ถ้าเราได้ครูที่ดีก็เป็นวงกลมที่คุ้มครองได้ ถ้าเราได้ครูที่ไม่ดีมันก็เป็นวงกลมที่คุ้มครองอะไรไม่ได้ มีแต่หมุนหมุนไปในทางเลว นี่มองให้เห็นว่าการที่ได้อาชีพเป็นครูอยู่นี้ควรจะถือว่ามีบุญมีกุศลอยู่ในการกระทำนั้น อาชีพอย่างอื่นอย่างเช่นว่าค้าขายอย่างนี้เราก็ได้เงิน เราก็พอใจ แต่ไม่ได้บุญ ถ้าอาชีพครูนี่มันก็ได้เงินเลี้ยงชีวิตในส่วนที่เป็นอาชีพ แต่ไอ้ส่วนหนึ่งซึ่งดีกว่าสูงกว่าคือได้บุญได้กุศลก็เป็นการยกวิญญาณของมนุษย์ให้สูงขึ้นให้ปลอดภัย(ซึ่งเป็นการ)ทำหน้าที่อย่างเดียวกับพระพุทธเจ้า นี่อยากจะขอร้องว่าอย่าเป็นครูเพียงว่าเลี้ยงชีวิตไปวันหนึ่งๆ ไอ้นั่นมันเป็นเรื่องแฝงอยู่ เป็นเรื่องเล็กน้อย และก็ว่าเป็นครูนี่มีโชคดีได้โอกาสทำอาชีพหรือหน้าที่ที่ดีหรือสูงสุดซึ่งตีค่าไม่ได้ การที่เราทำให้คนเป็นคนดี เขาตีค่ากันไม่ได้หรือเขาไม่ตีค่าเพราะว่ามัน มันเกินที่จะตีค่า ฉะนั้นอาชีพครูนี่มันจึงเป็นอาชีพที่ได้บุญ ก็ควรจะพอใจควรจะนับถือเคารพอาชีพนี้ มันเหมือนกับพระ พระก็คือทำหน้าที่นำทางวิญญาณไปไกลหรือสูงไปกว่าครู แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นหน้าที่นำทางวิญญาณเหมือนกัน ทีนี้พระอาชีพก็คือว่าเขาใส่บาตรให้ เขาให้จีวรบิณบาตร หรือเสนาสนะเภสัชที่เขาให้ ก็ไม่มีปัญหาเรื่องที่จะทำอาชีพ เพราะมันเป็นอาชีพในที่เขาให้ ทีนี้ทำหน้าที่ทางวิญญาณให้สัตว์ทั้งหลายมีแสงสว่างออกจากทุกข์ได้ ทีนี้ครูก็เหมือนกัน ฉะนั้นโดยหลักเกณฑ์อันนี้ครูก็เป็นพระชนิดหนึ่ง เพียงแต่อาชีพนั้นมาจากประชาชนให้หรือว่าโลกเขาให้ แล้วจัดมาในรูปเป็นเงินเดือนของผู้จัดการของรัฐบาลของกระทรวงฯ ถ้าเราไม่ลุ่มหลงในส่วนนั้นเราก็รับมาเป็นเครื่องประทังชีพและทำหน้าที่ที่ประเสริฐที่สุด มีค่าสูงสุดอย่างเดียวกับพระ(ซึ่งเป็น) ตัวนำทางวิญญาณ นี่มาเล่าให้ฟัง คือเรื่องอาตมาถูกด่าถูกเขาล้อถูกเขาด่าว่าพูดอย่างไรว่าครูก็เป็นพระ เดี๋ยวนี้ก็ยังพูดยังไม่ถอนคำพูดนั้น พวกครูมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เป็นผู้เปิดประตูให้สัตว์ออกมาจากคอกที่มืด เล้าที่มืด ฉะนั้นการศึกษาที่สมบูรณ์แบบนี่ต้องมีครูอย่างนี้ มีศิษย์อย่างนี้ มีการศึกษาอย่างนี้ ถ้าเป็นเรื่องทำมาหากินในโลกก็คือหน้าที่ของท่านทั้งหลายที่กำลังจะออกไปเป็นครู ถ้าเป็นเรื่องสูงสุดของมนุษย์ก็คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่อยู่ในรูปของการศึกษาที่สมบูรณ์แบบทางจิตทางวิญญาณของมนุษย์ตลอดอนัตกาล เป็นของสิ่งที่มีชีวิตในระดับสูงที่เรียกว่ามนุษย์จะได้ปลอดภัย ดังนั้นถ้าเรามีการศึกษาที่สมบูรณ์แบบ มันก็มีผลสูงสุดเหลือที่จะยึดจะพรรณาหรือว่าจะตีราคาอะไรได้ คือมันจะสร้างมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ แต่ละคนละคนมันเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ จะสร้างประเทศชาติที่ดีที่สมบูรณ์แบบและก็จะสร้างโลกทั้งโลกให้มันเป็นโลกที่ดีที่สมบูรณ์แบบ คือมันสมบูรณ์ด้วยศีลธรรมคือความสงบสุข นี่เรียกว่าการศึกษาที่สมบูรณ์แบบเป็นหัวข้อสำหรับพูดกัน และก็แยกให้มันชัดในส่วนที่ว่ามันเป็นวงกลมที่ไม่มีที่สิ้นสุด ที่จะคุ้มครองโลกตามระดับ แล้วแต่ว่าจะเป็นการศึกษาในระดับไหน นี่วันแรกที่พูดก็คือหัวข้อคร่าวๆ ย่อๆทั่วๆไปของคำว่าการศึกษา เพราะการศึกษาที่สมบูรณ์แบบหมายถึงพระรัตนตรัยที่มีอยู่ในลักษณะที่คุ้มครองโลกอย่างที่เป็นวงกลมที่คลอดออกมาไม่มีที่สิ้นสุด พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระสงฆ์กลายเป็นพระพุทธ มีพระธรรม พระสงฆ์ พระสงฆ์กลายเป็นพระพุทธ มีพระธรรม พระสงฆ์ นี่สำหรับท่านทั้งหลายที่จะเป็นครูที่ดี ก็เป็นครูที่ดีให้การศึกษาที่ดี มีลูกศิษย์ที่ดี ลูกศิษย์ที่ดีก็เป็นพลเมืองดีเป็นครูที่ดีก็ให้การศึกษาที่ดี ซึ่งไม่มีที่สิ้นสุดด้วยเหมือนกัน นี่เราเรียกการศึกษาสมบูรณ์แบบคือวงกลมที่จะคุ้มครองโลกไม่มีที่สิ้นสุด ถ้ามีการศึกษาอย่างนี้ก็นับว่ามันหมดปัญหาสำหรับมนุษย์ ก็ตรงตามความหมายคำว่าศึกษาหรือสิกขา วิชโช ปทานัง(นาทีที่ 1.20.48) การถือเอาได้คือวิชชาคือแสงสว่างหรือปัญญาสำหรับให้มนุษย์เดินไปถึงที่สุดจุดหมายปลายทางของมนุษย์นั่นเอง ขอให้กำหนดไว้เป็นเค้าโครงสำหรับพูดถึงเรื่องอันเกี่ยวกับการศึกษาในการบรรยายต่อไปครั้งหลังๆ ด้วย ในวันนี้ก็ขอยุติการบรรยายไว้เพียงเท่านี้ก่อน