แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้ จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อและวิริยะความภาคเพียรของท่านทั้งหลายที่เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้า ตามทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาอันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลา ธรรมเทศนาในวันนี้เป็นธรรมเทศนาพิเศษ สาระเหตุเนื่องด้วยเป็นวันมาฆบูชา พุทธบริษัททั้งหลายได้กระทำในใจเป็นพิเศษในอันที่จะประกอบกุศลนานาประการ นับตั้งแต่การถวายทาน การรับศีลและการฟังธรรมเทศนาเป็นต้น แต่สำหรับธรรมเทศนากัณฑ์นี้เป็นเพียงธรรมเทศนาชี้แจงให้เข้าใจในการที่จะทำพิธีมาฆบูชาสืบต่อไปเท่านั้น การกระทำใดๆที่จะมีผลดีต้องเป็นการกระทำที่ผู้กระทำรู้จักความมุ่งหมาย รู้จักวิธีที่จะกระทำ ทำในใจให้ถูกต้องอยู่เสมอจึงจะได้รับผลดี เพราะเหตุฉะนี้จึงได้มีการแนะนำ ตักเตือนก่อนแต่จะทำพิธีมาฆบูชาเป็นต้น สำหรับในวันมาฆบูชานี้ทุกคนจะต้องระลึกนึกถึงความหมายของคำว่ามาฆบูชา คือเป็นการบูชาที่เนื่องในมาฆะสมัย ซึ่งจัดเป็นสมัยอภิรัตติกาล(นาทีที่ 9:02)กิจการในพระพุทธศาสนาในฐานะที่เป็นวันพิเศษ เป็นวันที่ระลึกแก่พระอรหันต์ ๑๒๐๐ องค์ มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย และพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงประกาศหลักแห่งพระพุทธศาสนาที่เรียกกันว่าโอวาทปาฏิโมกข์ในวันนั้น และก็มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นมิได้มีอีกเลย จึงถือเป็นวันพิเศษเป็นที่ระลึกแก่การกระทำที่เรียกว่าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์นั่นเอง ที่นี้เรื่องที่จะต้องพิจารณาและทำในใจกันต่อไปก็คือว่าในปีหนึ่งเราก็มีวันพระพุทธ วันพระธรรมและวันพระสงฆ์ครบทั้ง ๓ สถานในวันวิสาขบูชา วันที่ระลึกแก่พระบรมศาสดาคือองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองในฐานะเป็นวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน เรียกกันสั้นๆง่ายๆว่าวันนี้เป็นวันพระพุทธเจ้า ต่อมาถึงวันเพ็ญเดือนอาสาฬหบูชาก็เป็นวันที่ทรงแสดงธรรมจักร เป็นการประกาศพระพุทธศาสนาหรือพระธรรมซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาออกไปเป็นครั้งแรกและมีผู้ได้รับผลจากการประกาศนั้น ไม่เป็นการประกาศที่เป็นหมันเปล่า ดังนั้นจึงเรียกวันอาสาฬหบูชานั้นว่าเป็นวันพระธรรม ต่อมาอีกหน่อยก็ถึงวันเพ็ญเดือน ๓ ซึ่งเป็นวันที่ประชุมพระสงฆ์ ทรงแสดงโอวาทปฏิโมกข์ดังที่กล่าวแล้ว จึงถือว่าวันนี้เป็นวันที่ระลึกแก่พระสงฆ์ แต่โดยเฉพพาะอย่างยิ่งพระสงฆ์บรรดาที่เป็นพระอรหันต์นั่นเอง จะเรียกว่าเป็นวันพระอรหันต์ก็จะถูกที่สุด บัดนี้วันมาฆบูชาเช่นนั้นได้เวียนมาถึงอีก เราจึงต้องทำในใจถึงพระอรหันต์กันเป็นพิเศษยิ่งกว่าวันใดใด จึงจะสมแก่การที่จะประกอบพิธีมาฆบูชา วันมาฆบูชาได้ชื่ออย่างนั้นก็เพราะว่าเป็นการบูชาในวันเพ็ญมาฆะ วันมาฆบูชาได้ชื่อว่าเป็นวันพระอรหันต์ ก็เพราะว่าเป็นวันที่พระอรหันต์ประชุมกันเป็นพิเศษเพียงครั้งเดียวในพระพุทธศาสนานี้ และวันมาฆบูชาได้ชื่อว่าเป็นวันพระสงฆ์ ก็คือวันที่จะได้อุทิศสำหรับเป็นที่ระลึกแก่พระสงฆ์ทั่วไปตลอดกาลนาน โดยอาศัยเหตุที่พระสงฆ์ประชุมกันเป็นครั้งแรก ทีนี้วันมาฆบูชานั้นก็ได้จัดเป็นวันแห่งพระอรหันต์โดยเฉพาะ พูดตามธรรมดาสามัญก็ว่าเป็นวันแห่งบุคคลที่มีความสะอาดมีความงดงามมีความเต็มเปี่ยม เมื่อจะระลึกนึกถึงคุณของพระอรหันต์ให้ครบถ้วนถูกต้อง ก็ควรจะนึกถึงข้อธรรมะ ๓ ประการนี้เป็นอย่างน้อย คือบุคคลผู้มีความสะอาดหมดจดจากกิเลส และบุคคลผู้มีความงดงามด้วยอำนาจของความที่หมดจดจากกิเลส และเป็นบุคคลที่เต็มเปี่ยมของความเป็นมนุษย์ เพราะว่าได้ขึ้นถึงขีดสูงสุดของความเป็นมนุษย์ กล่าวคือความหมดจดจากกิเลสอีกนั่นเอง ถ้าเราจะดูในลักษณะที่บริสุทธิ์สะอาดก็เป็นคนสะอาด ถ้าจะดูในลักษณะที่เป็นคนงดงามมันก็งดงาม ถ้าจะดูในลักษณะที่มีความเต็มเปี่ยมไม่บกพร่องคือไม่มีความบกพร่อง ดังนั้นจึงขอให้ถือเอาความหมาย ๓ อย่างนี้เป็นหลักสำหรับพิจารณา ก็จะเป็นการง่ายในการที่จะเข้าใจต่อบุคคลที่เรียกกันว่าพระอรหันต์เหล่านี้ ก็จะมีศรัทธา มีปีติเป็นต้นเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ การบำเพ็ญมาฆบูชาก็จะสมบูรณ์ด้วยเหตุนั้น เมื่อประกอบพิธีอยู่ด้วยกายด้วยวาจาในทางจิตก็ระลึกนึกถึงความหมายอันนั้น ซึ่งเป็นความหมายอันแท้จริงของพระอรหันต์ ก็เป็นอันว่าการกระทำนั้นครบถ้วนทั้งกาย วาจาและจิต ดังนั้นจะได้วิปัสสนาเป็นข้อๆไป สำหรับคำว่าความสะอาดนั้น ท่านทั้งหลายก็ได้ยินได้ฟังกันอยู่เป็นประจำ ว่าบริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย นี่หมายความว่ามีจิตสะอาดปราศจากกิเกส จึงเป็นการสะอาดในภายในโดย โดยตรง เมื่อมีความบริสุทธิ์สะอาดในภายในแล้วภายนอกก็ไม่เป็นปัญหา แม้ว่าจะกำลังเปื้อนอยู่ด้วยโคลนก็ไม่ทำให้เป็นผู้เศร้าหมองไปได้ แม้ว่าจะพูดจาที่เรียกว่าไม่น่าฟังตามความเคยชินไปบ้าง ก็ไม่ทำให้วาจานั้นเศร้าหมองไปได้ แล้วได้ยินได้ฟังอยู่ว่าแม้พระอรหันต์บางองค์ก็ยังมีวาจาที่กล่าวไปตามความเคยชิน หรือมีกิริยาท่าทางที่ประพฤติปฏิบัติไปตามความเคยชิน ก็ไม่ถือว่าเป็นโทษเป็นความเศร้าหมองแต่ประการใด เพราะว่าในใจของท่านบริสุทธิ์หมดจดปราศจากเครื่องเศร้าหมองนั่นเอง นี่เห็นได้ว่าได้ถือเอาความเศร้าหมองแห่งจิตเป็นหลักสำคัญ เพราะฉะนั้นควรจะได้พิจารณากันถึงเรื่องความเศร้าหมองแห่งจิตนั้นเป็นเรื่องใหญ่ พิจารณาดูไปตั้งแต่ปุถุชนคนธรรมดา มีจิตประกอบอยู่ด้วยความเศร้าหมองอย่างไรบ้าง ไอ้ความเศร้าหมองนั้นก็ค่อยๆละไปตามลำดับจนกระทั่งเป็นกัลยาณปุถุชน เป็นพระอริยเจ้าในอันดับต้นๆกระทั่งเป็นพระอรหันต์ เป็นพระอริยเจ้าในอันดับสูงสุดดังนี้ ดูที่ปุถุชนคนธรรมดาแล้วก็ควรจะมองให้เห็นลักษณะอันหนึ่ง ซึ่งเป็นใจความสำคัญว่าปุถุชนนั้นก็คือบุคคลที่ทำตนเองและผู้อื่นให้มีความทุกข์ยากลำบาก ด้วยอำนาจของโลภะบ้าง ด้วยอำนาจของโทสะบ้าง ด้วยอำนาจของโมหะบ้าง ขอให้สังเกตดูให้ดีใจความสำคัญมันรวมอยู่ที่ว่าทำตนเองด้วยผู้อื่นด้วย ให้ลำบาก เป็นทุกข์อยู่ด้วยอำนาจของโลภะ โทสะ โมหะ สิ่งที่เรียกว่าโลภะ โทสะ โมหะก็เป็นสิ่งเศร้าหมอง ท่านจึงได้เรียกว่ากิเลสซึ่งแปลว่าสิ่งเศร้าหมอง สกปรก เป็นเรื่องทางจิตใจ ทำจิตใจให้สกปรก ครั้นบุคคลเกิดโลภะก็ตาม โทสะก็ตาม โมหะก็ตามขึ้นในใจแล้ว ย่อมทำตนเองให้ลำบากให้เป็นทุกข์ก่อน แล้วมันก็แสดงออกมาทางกาย ทางวาจา ทำผู้อื่นให้เป็นทุกข์หรือลำบากด้วย อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นความเศร้าหมองเป็นความไม่สะอาด แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ที่มีวาจาไพเราะ พูดไพเราะก็ยังเป็นการเบียดเบียนผู้อื่น วาจาที่ไพเราะนั้นก็ต้องเรียกว่าวาจาที่ไม่สะอาดอยู่นั่นเอง แม้จะแต่งเนื้อแต่งตัวสวยงามมีกิริยาท่าทางงดงามแต่ประกอบอยู่ด้วยโลภะเป็นต้นแล้ว ก็ชื่อว่าไม่มีความงามแม้ในทางร่างกายนั้น ทีนี้โลภะนี้ยังมีกิเลสที่เป็นพวกเดียวกันแต่ต่างชื่อกันออกไปอีก เช่นคำว่าราคะเป็นต้น ก็ยิ่งแสดงความเศร้าหมองมากยิ่งขึ้นไปอีก เป็นความเศร้าหมองที่รุนแรงเร่าร้อนด้วย สำหรับคำว่าโทสะนี้ก็เหมือนกัน จะมีคำเรียกชื่อแทนกันอย่างอื่นอีกเช่นคำว่าโกธะเป็นต้น จะเป็นโทสะหรือจะเป็นโกธะก็เรียกว่าเป็นเครื่องเศร้าหมอง สำหรับโมหะก็มีชื่ออื่นเรียกแทนอีกมาก เช่นคำว่าอสัมปชัญญะความไม่มีสัมปชัญญะ อสติความไม่มีสติ ปัญญาณะไม่มีความรู้ ก็ล้วนแต่เป็นโมหะทั้งนั้น เพราะว่ามันแสดงความเศร้าหมองที่ผิดแปลกแตกต่างกันไปเป็นอย่างๆ แม้จะผิดกันเพียงเล็กน้อยก็ยังถือว่ามันผิดกัน หมายถึงความโง่บ้าง หมายถึงความสะเพร่าบ้าง ความไม่สุขุมรอบคอบบ้าง อย่างนี้ที่แท้มันก็เป็นโมหะด้วยกันทั้งนั้น แต่เรียกชื่อต่างๆกันไปตามลักษณะประกอบภายนอกที่มันแตกต่างกันอยู่อย่างนั้น นี่เราก็มาคิดดูว่าปุถุชนธรรมดาสามัญก็มีโลภะ โทสะ โมหะ เต็ม เต็ม เต็มที่ ก็ไม่ค่อยจะควบคุมได้มันก็เป็นผู้เศร้าหมองเต็มที่ ถ้ามีบุคคลที่ปราศจากโลภะ โทสะ โมหะแล้ว มันจะแตกต่างกันอย่างไร ควรจะนับว่าเป็นปูชนียบุคคลหรือไม่ลองคิดดู บางคนเข้าใจไปว่าการไม่มีกิเลส เช่นโลภะ โทสะ โมหะเป็นต้นนั้น มันผิดธรรมดา มันผิดปรกติ ไม่ถือว่าเป็นปูชนียบุคคล เพราะว่าเขาเป็นคนผิดปรกติ คนที่มีความคิดอย่างนี้ก็คือคนที่ยังหลับหูหลับตายังเป็นอันธพาล โดยแท้จริงแล้วคนพวกนี้ไม่อยากจะละเสียซึ่งโลภะ โทสะและโมหะ จึงเกลือกกลั้วอยู่ด้วยกิเลส มีราคะ โทสะ โมหะ อยู่เป็นประจำ อาการเช่นนั้นเรียกว่าปุถุชน คือคนที่มันหนาหรือว่าเกลือกกลั้วอยู่ด้วยกิเลส ในวันนี้ก็นึกถึงพระอรหันต์ว่าเป็นผู้ที่ไม่มีกิเลสเหล่านั้น ถ้าอยากจะให้รู้จริงก็จงนึกถึงกิเลสของตัวเอง ต้องมีจิตใจที่ตรงไปตรงมาไม่เข้าข้างตัวเอง แล้วก็ขุดเอาราคะ โทสะ โมหะของตนที่มีประจำอยู่ในตนหรือที่เคยมีมาแล้วแต่หนหลังก็ตามมาพิจารณาดูว่ามันเป็นอย่างไร มันแตกต่างอย่างไรกับผู้ที่ไม่มีกิเลส นี่ก็จะมีความเชื่อคือศรัทธา ปสาทะความเลื่อมใสเกิดขึ้นในบุคคลผู้ไม่มีกิเลสนั้นได้โดยง่ายและทันที เมื่อเขาบูชาพระอรหันต์อยู่ การบูชานั้นก็จะเป็นความจริง เป็นการกระทำที่เป็นความจริงขึ้นมา ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วมันก็เป็นเรื่องเล่นละคร ถือดอกไม้ธูปเทียนเดินเวียนกันเป็นวงด้วยอาการแห่งบุคคลผู้มีจิตใจเลื่อนลอย เพราะว่าทำไปตามธรรมเนียม ตามประเพณี สักว่าเอาอย่างกัน โดยทางการกระทำทางภายนอก ส่วนภายในนั้นไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง นี่จึงนำมากล่าวตักเตือนล่วงหน้าสำหรับการทำมาฆบูชาต่อไป เพราะอย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีจิตใจที่ประกอบไปด้วยสติปัญญา รู้จักพระอรหันต์ในลักษณะเช่นที่ว่านี้อยู่ในใจ แล้วก็ทำการบูชากระทั่งการเดินเวียนประทักษิณ มันก็ไม่เป็นการเล่นละครชนิดหนึ่ง แต่เป็นการกระทำที่ถูกต้องแท้จริง ขอท่านทั้งหลายจงกำหนดไว้ประการหนึ่งเป็นข้อแรก ทีนี้ยังมีต่อไปอีกก็คือข้อที่เราจะสร้างศรัทธาความเชื่อ ปสาทะความเลื่อมใสในพระอรหันต์ทั้งหลายเหล่านั้นให้ยิ่งขึ้นไปอย่างไรได้ต่อไปก็ควรจะกระทำ คือพิจารณาต่อไป ในแง่ใดแง่หนึ่ง มุมใดมุมหนึ่งเท่าที่จะพิจารณาได้ ดังจะได้นำมาพิจารณาให้ฟัง เราจะนึกถึงสิ่งที่ร้ายกาจสักสิ่งหนึ่งคือเรื่องความวินาศของโลกนี้ เมื่อพูดถึงไอ้ความวินาศของโลกก็คงจะพอทายได้ว่ามันจะเป็นอย่างไร แม้ว่าเดี๋ยวนี้มันยังไม่วินาศถึงขนาดนั้น ขอให้คำนวณมากออกไป มากออกไป ว่าความวินาศของโลกนั้นจะเป็นอย่างไร ถ้าเชื่อตามข้อความในพระคัมภีร์ ก็ว่าจะมีสมัยหนึ่งซึ่งมนุษย์ไม่มีศีลธรรมเลย เห็นแต่ประโยชน์แห่งตน หนักเข้า หนักเข้า จนกระทั่งลืมตนว่าเป็นมนุษย์หรือเป็นอะไร ก็ฆ่าฟันกันอย่างกับฆ่าเนื้อฆ่าปลา เรียกว่ายุคมิคสัญญีจนเกือบจะหมดไปทั้งโลก นี่ก็พอจะเรียกว่าเป็นความวินาศของโลกได้ แต่อย่าได้ถือเอากิริยาอาการภายนอกเป็นหลักเลย ให้ถือว่าความวินาศชนิดนั้นมันตั้งอยู่ในจิตใจของบุคคลเหล่านั้นแห่งยุคนั้นที่เป็นผู้ไร้ศีลธรรมโดยประการทั้งปวง ขอให้มองให้เห็นชัดลงไปเลยทีเดียวว่า ความวินาศของโลกนี้สงครามก็ทำให้ไม่ได้ มหาสงครามก็ทำให้ไม่ได้ คือมหาสงครามก็ทำโลกนี้ให้วินาศไม่ได้ ถ้ามนุษย์มันยังมีจิตเป็นปกติอยู่ แผ่นดินไหวทั้งโลกก็ทำโลกนี้ให้วินาศไม่ได้ ถ้ามนุษย์ยังมีจิตใจเป็นปกติอยู่ ให้น้ำมันท่วมทั้งโลกนี้มันก็ทำความวินาศให้แก่โลกไม่ได้ ถ้ามนุษย์มันยังมีจิตใจเป็นปกติอยู่ แต่เดี๋ยวนี้ยังไม่มีสงคราม ยังไม่มีแผ่นดินไหว ยังไม่มีน้ำท่วม ก็มีสิ่งที่ทำลายโลกนี้ให้วินาศได้ ก็คือความที่มีจิตทรามของมนุษย์นั่นเอง ความที่มนุษย์มีจิตทรามนั่นเองจะทำโลกให้วินาศ วินาศที่แท้จริงคือว่าไม่มีมนุษย์ชนิดที่เป็นมนุษย์ มีมนุษย์ที่ไม่เป็นมนุษย์ แล้วก็เป็นแต่เพียงคน สักว่าคนก็ยังเป็นไม่ได้ เพราะว่ามันมีจิตทรามเกินไป ก็แปลว่าไอ้โลกนี้วินาศหมดแล้วในภายใน ไม่มีความหมายแห่งความเป็นมนุษย์ มีแต่คนมีจิตทรามเต็มไปทั้งโลก ไม่ยกเว้นสักคนเดียว ถ้าสมมติว่ามันเป็นได้อย่างนี้ นี่จะเป็นความวินาศของโลกหรือไม่ก็ขอให้ลองคิดดู จนกระทั่งในที่สุดพบว่าโลกนี้จะวินาศหรือไม่วินาศ มันก็อยู่ที่จิตใจของมนุษย์ ถ้าจิตใจมันวินาศแล้วมันก็มีความวินาศทางภายนอกตามมาเป็นแน่นอน โลกจะไม่วินาศก็เพราะว่ามนุษย์ยังมีจิตที่ยังสูงอยู่ มีจิตอย่างเดียวกับจิตของพระอรหันต์อยู่ คือมีจิตที่สะอาด มีจิตที่งดงาม มีจิตที่เต็มเปี่ยมอยู่ด้วยความเป็นมนุษย์นั่นเอง ถ้าจะพิจารณาให้ละเอียดลงไปอีกก็จะเห็นว่า โลกมันคงอยู่ได้ก็เพราะว่ามันมีคุณธรรมของพระอรหันต์ยังคุ้มครองอยู่ ไม่มากก็น้อย แม้ว่าคนส่วนมากไม่ได้เป็นพระอรหันต์ แต่ก็ยังมีคุณธรรมอย่างพระอรหันต์มาคุ้มครองอยู่ คือมีอยู่บ้างไม่มากก็น้อย อย่างน้อยก็มีหิริมีโอตัปปะ มีความเกลียด ความกลัวต่อความชั่ว ต่อบาป ต่ออกุศลอยู่ จิตใจไม่ตกต่ำเสื่อมทรามถึงที่สุดอยู่เพียงไร ความเป็นมนุษย์ก็ยังมีอยู่ในคน มีธรรมะอยู่ในคน คือมีธรรมะอยู่ในโลก เดี๋ยวนี้สังเกตดูให้ดี เราจะพบสิ่งที่น่าตกใจ น่าสะดุ้งหวาดเสียวอยู่อย่างหนึ่งคือว่า คนมันกำลังหมุนไปในทางความมีจิตทรามยิ่งขึ้นทุกที คนเขาคิดว่าเขาเจริญก้าวหน้าด้วยการศึกษา ยกย่องสรรเสริญกันว่าได้เรียนอย่างนั้นได้เรียนอย่างนี้ มีปริญญา มีวิทยฐานะมีความเป็นครูบาอาจารย์มากมายอย่างนี้ แต่แล้วก็ไม่ดูให้ดีว่าไอ้คนชนิดนั้นมันมีจิตทรามหรือว่ามีจิตสูง คนที่มีการศึกษามาก มีปริญญาท้ายชื่อยาวเป็นหางมันก็ยังมีจิตทรามได้อยู่นั่นเอง มันไม่ได้มีเพราะการศึกษาชนิดนั้น แต่มันมีเพราะการศึกษาและการปฏิบัติไปตามร่องรอยของพระอรหันต์ คือชนิดที่บรรเทาความโลภ ความโกรธ ความหลงได้ ถ้าการศึกษาชนิดใดมันเพิ่มความโลภ ความโกรธ ความหลงแล้วการศึกษานั้นแหละมันจะทำโลกนี้ให้วินาศ แล้วพวกคนโง่ทั้งหลายก็พากันชอบ พอใจนับถือผู้ที่มีการศึกษาชนิดนั้น มันก็ถูกจูงไปสู่ความผิดพลาดจนทำโลกให้วินาศได้ตามลำดับยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น โดยไม่รู้สึกตัว สิ่งที่จะต้องสังเกตดูให้ดีด้วยความไม่ประมาทนั่นมีอยู่มากมายหลายอย่าง จงสังเกตพิจารณาดู การกิน การอยู่ การแต่งเนื้อแต่งตัว การเล่นหัว การสังคม การอบรมลูก อบรมหลาน ขอให้คิดดูให้ดีว่ามันแสดงความจิตสูงหรือมีความจิตต่ำ การกินอยู่ที่หรูหรา เอร็ดอร่อยที่กำลังหลงใหลบูชากันนักนั้น มันแสดงความเป็นผู้มีจิตสูงหรือเป็นผู้มีจิตทราม จะตอบให้ง่ายลงไปสักหน่อยก็ถามว่ามันเป็นการส่งเสริมกิเลสหรือเป็นการบรรเทากิเลส ถ้ามันเป็นการส่งเสริมกิเลสนั้นมันก็เรียกว่าคนโง่ คนโง่ก็จะมีจิตสูงไปไม่ได้ เมื่อจิตสูงไม่ได้มันก็เป็นจิตทรามเป็นธรรมดา การกินดีอยู่ดีหรูหราสวยงามเอร็ดอร่อยฟุ้งเฟ้อนั้น มันไม่ใช่ลักษณะของมนุษย์ที่มีจิตสูง ดูที่การแต่งเนื้อแต่งตัวต่อไปอีก ก็เป็นเครื่องวัดได้อย่างเดียวกัน มนุษย์สมัยนี้แต่งเนื้อแต่งตัวกันอย่างไร ผิดแปลกแตกต่างจากสมัยปู่ย่า ตายายออกไปอย่างไร มันก็จะพบได้ง่ายว่ามันมีจิตทรามหรือมันมีจิตสูง เดี๋ยวนี้มันมีการแต่งเนื้อแต่งตัวแต่ในทางยั่ว มันนิยมอะไรแต่งกันขึ้นมาด้วยความโง่มันก็ยังอุตส่าห์ทำไปได้ และเข้าใจกันว่าเป็นความฉลาด ทีนี้เราจึงเห็นทั้งคนหนุ่มคนสาวคือทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่งตัวชนิดที่แสดงความมีจิตทรามให้เห็น คือแต่งตัวชนิดที่จะเป็นการยั่วยวนซึ่งกันและกัน แล้วก็ควบคุมตัวเองไว้ไม่ได้ รักษาศีลธรรมไว้ไม่ได้ ก็เสื่อมศีลธรรมเลวทรามลงไปกว่าปู่ย่าตายาย คือมีกิเลสตัญหามาก มีการเบียดเบียนมากอย่างที่เราเห็นว่ามันมีอาชญากรรมมาก เมื่อมีจิตใจที่คุ้มดีคุ้มร้าย เพราะว่ามันไปมัวอยากสวยอยากงามมากเกินไปจนไม่สนใจว่าอะไรผิดอะไรถูก มันก็มีความรู้สึกที่ผิดปกติ แล้วก็ไปหาเรื่อง หาว่าพระอรหันต์เป็นคนมีจิตผิดปกติ ทั้งที่ตัวเองมันมีจิตผิดปกติจนถึงขนาดทรามแล้วก็ยังไม่รู้ตัว ขอให้สังเกตดูการแต่งเนื้อแต่งตัวของคนสมัยนี้ ถ้ามันแสดงให้เห็นได้หรือยังว่ามีจิตทรามหรือมีจิตสูงถ้าดูต่อไปเรื่องการสังคมการคบหาสมาคมกัน มันคบหาสมาคมกันอย่างไร ไปๆมาๆก็เป็นเรื่องคบหาสมาคมกันเพื่อส่งเสริมกิเลส ปรึกษาหารือกันแต่เรื่องที่จะส่งเสริมกิเลส แม้จะอวดมั่งอวดมี อวดอำนาจวาสนา คบหาสนทนากันแต่เรื่องอย่างนั้น มันก็พ้นไปจากเรื่องของกิเลสไม่ได้ การคบหาสมาคมนั้นก็เป็นเรื่องของคนจิตทราม ไม่ได้มาปรึกษาหารือกันว่าจะละโลภะอย่างไร จะละโทสะอย่างไร จะละโมหะอย่างไร พวกคนที่บ้าบุญทั้งหลายก็ปรึกษากันแต่เรื่องบ้าบุญ แต่เข้าใจว่านั่นมันจะทำให้จิตสูงได้ ถ้าลองมันเป็นเรื่องของโมหะแล้วมันก็เป็นเรื่องจิตทรามทั้งนั้น ฉะนั้นขอให้พุทธบริษัทเราทุกคนปรับปรุงการสังคม คบหาสนทนากันเสียใหม่ให้เป็นไปในทางที่จะช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกันให้มีจิตสูง รู้จักอีกสักอย่างหนึ่งก็เรื่องการอบรมลูกหลาน เดี๋ยวนี้เราอบรมลูกหลานกันอย่างไร เปรียบเทียบกันดูกับสมัยปู่ย่า ตายาย บรรพบุรุษ เขาอบรมลูกหลานกันอย่างไร คนที่มีอายุสัก ๖๐ ปี ๗๐ ปี จะรู้ได้ดี และจะเอาตัวเองนั่นแหละเป็นเครื่องวัดเป็นเครื่องเปรียบได้ เพราะเราได้รับการอบรมมาจากบิดามารดาอย่างไร แล้วเรากำลังอบรมลูกหลานของเราอย่างไร เหมือนกันหรือไม่ หรือว่าดูให้กว้างๆทั่วไปแล้วก็จะเห็นได้ว่าเขาอบรมลูกหลานกันแต่ในลักษณะอย่างไร อบรมลูกหลานกันให้มีความคิดนึกทะเยอทยานกันในทางไหน อบรมให้ลืมพระธรรมลืมพระศาสนากันยิ่งขึ้นหรือหาไม่ ทำไมลูกเด็กๆสมัยนี้จึงไม่มีจิตใจอ่อนโยน คือไม่กลัวบาปกลัวกรรม เหมือนแต่ว่า เหมือนกับเด็กๆสมัยก่อน ซึ่งเกิดมาก็สอนให้แต่รู้จักกลัวบาป เดี๋ยวนี้ก็สอนแต่ให้ศึกษาเล่าเรียน ให้รู้จักเรื่องดีเรื่องเด่น เรื่องมีอำนาจวาสนา จนไม่ได้สอนกันถึงเรื่องกลัวบาป มันก็เลยไม่กลัวบาป เพราะไปเอาเรื่องดีเรื่องเด่นเรื่องอำนาจวาสนาด้วยการทำบาป จึงเต็มไปด้วยความยุ่งยากลำบาก ทั้งที่ว่าบ้านเมืองมันก็เจริญ แต่งเนื้อแต่งตัวมันก็สวยงาม มีการเล่นหัวกันเหมือนกับพวกเทวดา แต่มันมีจิตทรามเหลือประมาณ ด้วยเหตุนี้ถ้าพิจารณาดูถึงเรื่องนี้แล้ว มองเห็นแล้วก็จะเห็นคุณของพระอรหันต์ยิ่งขึ้นว่าพระอรหันต์ท่านไม่เป็นอย่างนี้ เมื่อเรารู้จักความมีจิตทรามของมนุษย์มากเท่าไหร่ เราก็จะมองเห็นความมีจิตสูงของพระอรหันต์มากเท่านั้น แล้วเราก็จะบูชาพระอรหันต์ด้วยใจจริง เป็นความรู้สึกที่รู้สึกอยู่จริง แล้วก็จะทำมาฆบูชาเป็นต้นนี้ มันก็เป็การกระทำที่ถูกต้องแท้จริง ไม่เป็นการเล่นละคร การที่พระอรหันต์เกิดขึ้นในโลกไม่ใช่เป็นเรื่องบังเอิญ หรือไม่ใช่เป็นเรื่องที่เป็นไปตามบุญตามกรรม แต่ว่ามันเป็นไปอย่างมีเจตนามีความมุ่งหมายของมนุษย์ผู้มองเห็นโทษความเศร้าหมองหรืออันตรายทางกาย ทางวาจา และทางจิต จึงได้คิดค้นหาทางแก้ไขจนพบธรรมะที่สูงขึ้นไป จนกระทั่งไปสูงสุดอยู่ที่ความเป็นพระอรหันต์ เกี่ยวกับเรื่องนี้ขอให้ทราบไว้ด้วยว่า คำว่าพระอรหันต์นี่ก็มีมาตั้งแต่ก่อนพระพุทธกาล ก็เป็นพระอรหันต์ไปตามแบบของบุคคลก่อนพุทธกาล ไม่เหมือนกันโดยตรงกับพระอรหันต์อย่างในพระพุทธศาสนา แต่ชื่อเรียกเหมือนกัน เพราะว่าเขาก็อยากจะมีคนที่มีจิตสูง มีจิตสะอาด มีจิตงดงาม มีจิตเต็มเปี่ยม ถ้าถามว่าคำว่าพระอรหันต์นี้แปลว่าอะไร ก็ต้องแปลว่าผู้เต็มแห่งความเป็นมนุษย์ คำว่าอรหะนี้สอนกันมาว่าคำนี้แปลว่าควรหรือสมควร ทีนี้มันสมควรอะไร มันสมควรแก่นามว่ามนุษย์ เพราะเหตุใด เพราะมันมีคุณธรรมแห่งความเป็นมนุษย์เต็มเปี่ยม เรียกกันอย่างภาษาชาวบ้านธรรมดา ไม่ต้องเรียนอะไรมากก็ว่าคนเต็มคน คนเต็มคนนี่คือพระอรหันต์ แต่ในสมัยแรกๆ เขาก็ยังไม่รู้ว่าไอ้เต็มคนนั้นมันเป็นอย่างไร เขาพบเพียงไหน เขาก็ถือว่าเต็มคนนั้นมันเป็น มันเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวนี้เรามาสังเกตดูให้ใกล้ชิดตัวเรา เพราะบางทีเราก็ด่าคนอื่นว่าเขาเป็นคนที่ไม่เต็ม ไม่เต็มบาท ไม่เต็มสลึง ไม่เต็มคน ไม่เต็มอะไรก็ถูกด่ากันอยู่เสมอ บางทีเด็กๆด้วยซ้ำไป มันด่าผู้ใหญ่ว่าไม่เต็มคน ไม่เต็มบาท เด็กๆนี่เอามาตตราไหนมาวัดว่าอย่างไรเรียกว่าเต็มคนหรือเต็มบาท มันเอาขนบธรรมเนียมประเพณีที่พูดๆกันมาหรือบางทีจะเอาความรู้สึกของตัวเองเป็นหลักด้วยซ้ำไปว่า ถ้าไม่เหมือนเราแล้วก็ไม่เต็มคือเป็นคนบ้า ส่วนที่ตัวเองไม่เต็มหรือเป็นคนบ้าอยู่นั้นก็ไม่รู้สึก เพราะมัวแต่เอาไปวัดคนอื่นว่าไม่เต็ม แต่ถึงอย่างไรก็ดีมันย่อมเป็นการแสดงให้เห็นอยู่แล้วในตัวว่าทุกคนนั้นมันชอบคนที่เต็ม ไม่ชอบคนที่ขาดหรือบกพร่องอยู่ ถึงว่าเกินไปก็ไม่ชอบ มันชอบคนที่เต็มพอดีไม่ขาดและไม่เกิน เข้าใจว่าคำนี้เป็นคำที่สนใจกันมาตั้งแต่โบราณกาลดึกดำบรรพ์ จึงได้มาเป็นชื่อของพระอรหันต์ บุคคลประเภทพระอรหันต์ที่เรารู้จักศึกษาและพยายามทำตามกันอยู่ จึงควรจะพิจารณาความหมายของคำว่าเต็มนี้กันให้ดีๆ พระอรหันต์เป็นคนเต็ม มีความหมายอย่างไร แต่มันคงไม่มีความหมายเหมือนกับที่ลูกเด็กๆมันด่ากันว่ามันคนไม่เต็ม เพราะว่าไอ้ลูกเด็กๆหรือแม้แต่คนหนุ่มคนสาว คนเฒ่าคนแก่สมัยนี้ด่าคนอื่นว่าเขาเป็นคนไม่เต็ม แต่คนที่ด่านั้นก็ไม่รู้ล่ะว่าเต็มนั้นเป็นอย่างไร ถ้าเต็มจริงจะต้องเป็นอย่างไร มันเป็นเรื่องทางจิตใจหรือว่ามันเป็นเรื่องทางวัตถุ ถ้าเป็นเรื่องทางวัตถุก็แปลว่าเขามีร่างกายสบายดี มีทรัพย์สมบัติเหลือเฟือ มีอะไรอย่างที่นิยมกันในทางวัตถุก็เรียกว่าคนเต็ม แต่ไม่ได้มองว่าคนเหล่านั้นยังมีกิเลส มีราคะ โทสะ โมหะ ยังมีความทุกข์ มีความหิวกระหายอยู่ คนที่ทำบุญจนไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว มันก็ยังหิวกระหายต่อบุญอยู่นั่นเอง แล้วมันก็มีความกลัวว่าบุญจะไม่พอหรือบุญจะหมดเสื่อมไป สิ้นไป เมื่อมีวิตกกังวลอยู่อย่างนี้แล้วจะเรียกว่าคนเต็มได้อย่างไร ให้มันทำบุญอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกมันก็เป็นคนเต็มไม่ได้ เพราะว่าไม่ได้ทำลายไอ้ความอยาก เช่นโลภะหรือราคะหรือตัญหา และไม่ได้ทำลายกิเลส ที่เนื่องกันคือโทสะ โกธะ โมหะ เป็นต้น กิเลสนั้นเป็นไฟเมื่อเผาอยู่ข้างในมันก็กลวงมันก็เต็มไม่ได้ ถ้าจะเต็มกันสักทีมันก็ต้องไม่กลวง หยุดอยากเสียหยุดปรารถนาเสียมันก็เต็มคือมันไม่กลวง ถ้ามีความอยากเหลืออยู่ก็กลวง เพราะว่ามันยังมีสิ่งที่ยังไม่ได้ ตรงนั้นมันว่างอยู่หรือถ้ามันยังมีความโง่เขลาอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ มันก็ต้องกลวงคือไม่มีสติปัญญา สติปัญญามันไม่เต็ม มันกำลังโกรธอยู่ก็ดี กำลังเกลียดอยู่ก็ดี กำลังกลัวอยู่ก็ดีมันก็ล้วนแต่แสดงความไม่เต็ม มันหยุดไม่ได้ มันมีการเผาผลาญอยู่ในภายใน พิจารณาดูให้ดีๆจะเข้าใจคำว่าเต็มแห่งความเป็นมนุษย์นี้ได้ หมายความว่าความอยากมันน้อยลงเท่าไหร่ ความเต็มแห่งมนุษย์ก็ค่อยๆเต็มขึ้นเท่านั้น กิเลสเหล่าอื่นน้อยลงไปเท่าไหร่ มันก็มีความเต็มแห่งพระธรรมเพิ่มขึ้นเท่านั้นเท่านั้น จนเต็มเปี่ยมไปได้ด้วยพระธรรม ถ้าผิดจากพระธรรมแล้วมันจะทำให้กลวง เพราะมันเป็นของร้อน มันเป็นของเผาผลาญ เป็นของทำลาย มันเต็มไม่ได้ด้วยอธรรมหรือกิเลส ระวังสิ่งที่มันจะทำให้พร่องคือกิเลส มนุษย์นี้ตามธรรมดาสามัญ มันยังเป็นคนปุถุชน อันธพาล มันยังพร่องอยู่เสมอไป มันพร่องอยู่ด้วยอำนาจแห่งความต้องการ มันต้องการนั่น ต้องการนี่ ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ ต้องการเป็นมนุษย์ยังไม่พอ ต้องการจะเป็นเทวดา เป็นเทวดายังไม่พอ ก็ต้องการจะเป็นพรหม เป็นพรหมแล้วมันก็ยังไม่พอ จนกระทั่งมันไม่รู้ว่าจะต้องการอะไร มันก็เลยต้องการผิดๆถูกๆกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น นี่ถ้าหยุดต้องการที่จะได้จะเอา จะเป็นด้วยอำนาจของกิเลสเสียแล้ว ก็จะชื่อว่าเป็นคนที่ค่อยๆเต็มค่อยๆเต็มขึ้นมาจนเต็มเปี่ยม คือความเป็นพระอรหันต์ ดังนั้นจึงมีคำกล่าวที่ถือได้เป็นหลักทั่วไปว่าพระอรหันต์นั้นเป็นคนเต็มเพราะว่าไม่ต้องการอะไร การเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี เป็นต้นนี้ ก็ยังไม่เต็มแท้แต่ว่ามันเริ่มจะเต็ม ถ้าเป็นปุถุชนนี้นับว่ายังพร่องอยู่เต็ม เต็มที่ ถ้าเป็นกัลยาณปุถุชนคือปุถุชนชั้นดี ก็แสดงว่ามันเริ่มรู้จักที่จะทำให้เต็ม แล้วก็เลื่อนขึ้นไปตามลำดับเป็นพระอริยเจ้าขั้นต้นๆ เป็นพระอริยเจ้าขั้นสูงสุดก็เป็นคนเต็ม นี่คือความเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าองค์นี้ก็สอนอย่างนี้ พระพุทธเจ้าองค์อื่นก็สอนอย่างนี้ พระพุทธเจ้าองค์ไหนๆทุกองค์ก็สอนอย่างนี้ พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ ท่านตรัสอย่างนี้ว่าพระพุทธเจ้าสอนเหมือนกันทุกองค์ คือสอนความสิ้นไปแห่งกิเลส แล้วก็มีความเต็มเปี่ยมแห่งความเป็นมนุษย์หมายความว่ามีใจสูง มีใจสูงขึ้นมาด้วยอำนาจของธรรมะจนถึงกับเรียกได้ว่าเต็มเปี่ยมแห่งความเป็นมนุษย์ เป็นยอดสุดแห่งความเป็นมนุษย์ นี้คือเป็นพระอรหันต์ คำอธิบายนี้เป็นคำอธิบายตามธรรมดาสามัญ ไม่ต้องพูดให้ยุ่งยากให้ลำบากเหมือนที่สอนกันอยู่ในโรงเรียน สอนกันกี่ปี กี่ปี ก็ยังไม่รู้ ได้แต่จำได้แล้วก็ลืม จำได้แล้วก็ลืม จำได้แล้วก็ลืม จนแก่เฒ่าเน่าเข้าโลกไป ไม่มีความรู้สึกโดยแท้จริงในจิตใจว่าพระธรรมนั้นคือสิ่งที่จะทำให้เกิดความเต็มเปี่ยมของความเป็นคน เดี๋ยวนี้เราเป็นพุทธบริษัทเกิดมาจากบิดามารดาที่เป็นพุทธบริษัท จะต้องทำตัวให้สมกับที่เป็นพุทธบริษัท พุทธะแปลว่าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ต้องรู้สิ่งที่ควรรู้ ตื่นออกมาจากความหลับคือความโง่ มาเป็นคนรู้เหมือนกับว่าคนตื่นจากหลับ แล้วก็เป็นคนเบิกบานเพราะไม่มีกิเลสรบกวนให้เศร้าหมองให้ขุ่นมัว นี่ความหมายของคำว่าสะอาดแล้วเป็นเหตุให้งดงาม ทีนี้จะดูพระอรหันต์ในแง่ของบุคคลผู้งดงามต่อไปอีกว่าพระอรหันต์ท่านเป็นคนสะอาด และความสะอาดของท่านนั้นทำให้ท่านเป็นคนงดงาม งดงามก็อย่างเดียวกันอีกคือเป็นเรื่องทางจิตใจ ไม่ใช่เป็นเรื่องทางภายนอก ทางวัตถุพระอรหันต์อาจจะนุ่งห่มผ้าขี้ริ้ว ไม่ค่อยจะมีอะไรฉันท์ ไม่มีกุฏิวิหารอยู่ อยู่ตามโคนไม้ ซึ่งคนบางคนสมัยนี้อาจจะเข้าใจว่าเป็นคนบ้าไปก็ได้ ถ้าหากว่าไม่หยั่งรู้ถึงเรื่องอันแท้จริงในจิตใจ ก็จะต้องเห็นพระอรหันต์เป็นคนบ้าเป็นแน่นอน เพราะว่ามันล้วนแต่มีอะไรๆที่ไม่เหมือนกับตัวผู้ดู ตัวคนที่ดูหรือว่าพระอรหันต์บ้า พระอรหันต์คือคนบ้า อย่าว่าแต่พระอรหันต์ทั่วๆไปเลย ในประเทศอินเดีย ในสมัยพุทธกาลนั้นก็ยังไม่มีคนรู้จักพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ว่าในประเทศอินเดียในสมัยพุทธกาลนั้น มีคนรู้จักพระพุทธเจ้าแล้วนับถือพระพุทธเจ้ากันไปเสียทุกคน คนที่รู้จักและนับถือพระพุทธเจ้าจนมาประพฤติปฏิบัติเป็นพระอรหันต์นั้นยิ่งจะมีน้อยเสียอีก คนทั่วๆไปเขาก็ยังไม่เข้าใจไม่ยอมรับนับถือ จึงมีคนรับจ้างด่าพระพุทธเจ้าก็มี แล้วก็ด่าโดยไม่ต้องรับจ้างก็มี คือพวกหญิงหม้ายทั้งหลายก็ด่าพระพุทธเจ้าว่า ดีแต่ทำให้คนเป็นหม้าย ยังมีด่าอย่างอื่นอีกมากมาย แสดงว่าคนทั่วไปก็ไม่รู้จักแม้แต่พระพุทธเจ้า ซึ่งมีลักษณะอาการเรียบร้อยงดงามยิ่งกว่าพระอรหันต์ทั่วๆไปเสียอีก นี่ย่อมแสดงว่าไอ้ความงดงามในเรื่องนี้ หมายถึงงดงามในทางวิญญาณในทางจิต งดงามในทางธรรม คือว่าต้องเปิดจิตใจออกดูจึงจะพบความงดงามเหล่านั้น จิตของพระอรหันต์ไม่ประกอบไปด้วยอกุศลวิตก คือไม่มีกามวิตก ความคิดครุ่นไปในทางกาม ไม่มีพยาบาทวิตกคือความคิดครุ่นไปในทางพยาบาทเบียดเบียน ไม่มีวิหิงสาวิตก คือความโง่เง่าที่ทำตนเองหรือผู้อื่นให้ลำบากโดยไม่เจตนา ก็แปลว่าโดยเจตนาก็ไม่มีสิ่งที่น่าตำหนิ โดยไม่มีเจตนาก็ไม่มีสิ่งที่หน้าตำหนิ เพราะว่ามีความบริสุทธิ์สะอาดปราศจากกิเลส ทีนี้มันก็แสดงออกมาทางกาย ทางวาจา เป็นการที่ชนะไม่พ่ายแพ้ พ่ายแพ้แก่กิเลสนั้นมันไม่งดงาม ถ้าชนะแก่กิเลสได้จึงจะเรียกว่างดงาม พ่ายแพ้แก่กิเลสมันก็ไม่มีอะไรนอกจากทำตัวเองให้ลำบากและทำผู้อื่นให้ลำบาก เบื้องต้นก็ทำตัวเองให้ลำบาก เช่นพ่ายแพ้แก่อำนาจของกิเลสประเภทราคะเป็นต้น เพราะถ้าว่าราคะเกิดขึ้นในจิตคนนั้นก็เหมือนเอาไฟสุม ทำตัวเองให้ลำบากก่อน แล้วจึงดิ้นรนขวนขวายไปทำให้ผู้อื่นพลอยลำบากมากออกไปหลายแบบ หลายอย่าง หลายวิธี อย่างนี้แล้วมันจะมีความงดงามอย่างไร หรือว่าจิตที่ครุ่นเครียด เคียดแค้นอยู่ด้วยโทสะ ก็ทำตัวเองให้ลำบากแล้ว หลังจากนั้นก็พลอยทำคนอื่นให้ลำบาก เพราะมันทนอยู่ไม่ได้ การได้ทำการประทุษร้ายผู้อื่นก็รู้สึกว่าเป็นความสบายของบุคคลนั้น เหมือนกับบุคคลบริโภคกามารมณ์ แทนที่จะรู้สึกว่าเป็นของร้อน ก็รู้สึกว่าเป็นความสบาย ส่วนวิหิงสาวิตกนั้นมันก็คล้ายๆกับพยาบาทวิตก หากแต่ว่ากินความกว้างไปถึงความไม่มีเจตนาจะประทุษร้าย แต่การกระทำนั้นมันประทุษร้าย เช่นคนเห็นแก่ความสนุกสนานส่วนตัวแล้วทำคนอื่นให้ลำบาก เช่นเด็กๆเล่นทรมานสัตว์ อย่างนี้ก็ไม่ได้คิดจะเบียดเบียนอะไร แต่ไปเอามาเล่นให้สัตว์มันลำบาก เพื่อความสนุกสนานของตัว ถึงแม้ที่สุดแก่คนสะเพร่าไม่ระมัดระวัง ทำอะไรลงไปในทางที่จะทำบุคคลอื่นให้เดือดร้อน เรื่องถนนหนทาง ห้วยหนองคลองบึงบางสาขาและประโยชน์อะไรต่างๆก็ไม่ได้คิดจะแกล้งใคร แต่ก็ทำไปผิดๆ มันก็ทำให้เสียประโยชน์แก่สิ่งเหล่านั้น คนอื่นก็พลอยลำบากอย่างนี้เป็นต้น ขอให้เข้าใจให้ดีๆว่า อกุศลวิตกนั้น แยกได้เป็น ๓ อย่างนี้เสมอ อย่างที่ ๑ มันตกไปในทางกามารมณ์ อย่างที่ ๒ มันไปในทางประทุษร้ายผู้อื่น อย่างที่ ๓ มันเป็นไปทางทำให้เขาลำบากโดยไม่ได้เจตนา เมื่อไม่มีอกุศลวิตกเหล่านี้แล้ว มันก็ไม่มีทางที่จะเบียดเบียนผู้ใดได้ การมีอยู่ของบุคคลชนิดนั้นก็เป็นประโยชน์คือเป็นตัวอย่างที่ดี เป็นแสงสว่างที่ดีในทางความงดงาม ถ้าคนเราชอบงดงามกันในอย่างนี้แล้ว ในโลกนี้ก็เป็นโลกที่สงบเย็น เป็นโลกของพระอรหันต์หรือเป็นโลกของพระอริยเจ้าเลยทีเดียว ก็พลอยทำให้โลกนี้งดงามกันไปทั้งโลก ควรจะถือกันไว้เป็นหลักในใจด้วยกันทุกคนว่า ถ้าอย่างไรเสียเราต้องถือว่าเราเกิดมาเพื่อทำโลกนี้ให้งดงามกันเถิด แต่ว่าให้งดงามตามทางธรรม แล้วก็เป็นไปในทางจิตใจ พอออกมาทางกาย ทางวาจาก็พลอยจะ พลอยงดงามไปตามแบบของพระธรรม แม้จะออกมาในทางวัตถุเป็นเหย้าเรือนสิ่งของเครื่องใช้ไม้สอยในบ้านเรือน ก็จะงดงามไปตามทางของพระธรรม เดี๋ยวนี้ที่เรียกกันว่าบ้านเรือนงดงาม ห้องรับแขกงดงามนั้นมันงดงามอย่างคนบ้า คนโง่ คนหลง อุตส่าห์ไปซื้อหามาใส่ให้เต็มให้สวยให้งามตามที่นิยมกัน มันงดงามตามแบบของคนบ้า เงินก็เปลือง ลำบากก็ลำบาก ต้องวิตกกังวลต้องเร่าร้อนด้วยการระมัดระวังรักษา กลัวโจรกลัวขโมยต่างๆนานา สมน้ำหน้าของคนโง่อยากจะมีบ้านงาม มีห้องรับแขกงาม มีอะไรงามไปตามแบบของไอ้โมหะ ข้อนี้อย่าเอามาปนกันกับความงดงามของพระอรหันต์ ขอให้นึกถึงเรื่องที่มีกล่าวไว้ในพระคัมภีร์ ที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวเป็นใจความว่า ป่ามันงาม ป่าที่สวยงามแห่งหนึ่ง เกิดเถียงกันว่ามันงามเพราะอะไร มีคนอธิบายงามเพราะข้อนั้น ข้อนี่ เหตุนั้น เหตุนี้ แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ป่าที่สวยงามนั้น มันงามเพราะมีบุคคลผู้หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ หมายความว่าแม้จะเป็นป่ามันก็ยังงาม ไม่ต้องมาลงทุนตกแต่งประดับประดา ซื้อหากันให้มากให้แพง เพราะว่าความงามนั้นมันอยู่ที่ความปราศจากโทษ ปราศจากกิเลส โดยเฉพาะอย่างยิ่งปราศจากความโง่เขลา ที่ใดไม่มีกิเลส ไม่มีความโง่เขลา ที่นั้นก็มีความงาม ถ้าสมมติว่าพวกเราบางคนนี้เกิดเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา แล้วจะจัดบ้านเรือนอย่างที่กำลังจัดอยู่อย่างเดี๋ยวนี้หรือไม่ไปลองคิดดู หรือไม่ต้องถึงกันเป็นพระอรหันต์ เป็นเพียงอนาคามี สกิทาคามี โสดาบันก็ตามเถิด จะจัดบ้านจัดเรือน จัดเครื่องใช้ไม้สอยในบ้านในเรือน ตลอดถึงไอ้ผู้คนนี่ในลักษณะอย่างนี้หรือไม่ ไปคิดดูเอง ด้วยจิตใจที่ว่าเป็นอิสระบางทีจะช่วยให้พบไอ้ความงดงาม ตามความหมายของพระธรรมที่ว่าพระอรหันต์ท่านงานอย่างไร สิ่งต่างๆก็จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่มีความทุกข์ ไม่ต้องหมดเปลือง ไม่ต้องยุ่งยากลำบาก ไม่ต้องวิตกกังวลอย่างนี้ก็ได้ พระอรหันต์มีความงดงามเพราะความที่มีความสะอาด เมื่อมีความสะอาดจะมีความงดงามก็ต้องถือว่ามีความเต็ม เต็มไปด้วยประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น แม้ท่านไม่ไปช่วยทำงานให้ใครก็ยังเป็นการช่วยคนทั้งหลายในการทำให้เขาได้อยู่ในโลกที่งดงาม หรือว่าเป็นตัวอย่างที่ดี แสดงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าเป็นมนุษย์ต้องเป็นอย่างนี้ จึงจะมีความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ แล้วโลกนี้ก็เป็นโลกแห่งมนุษย์ ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความร้อน นี่ความเต็มของพระอรหันต์ เต็มมาถึงกระทั่งว่าเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย เรื่องไม่เป็นประโยชน์แก่ใครเลยนี่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าคนนั้นควรจะเปรียบด้วยดุ้นฟืนที่มีไฟลุกอยู่ทั้งหัวและท้าย คือทั้ง ๒ ข้างแล้วตรงกลางก็เปื้อนอุจจาระ แล้วใครจะใช้ไม้ฟืนดุ้นนี้ได้ ลองคิดดู นี่เพราะว่าเขาไม่ได้ทำประโยชน์ตน ไม่ได้ทำประโยชน์ผู้อื่น ไม่สมกับที่ว่าเป็นมนุษย์หรือเป็นพุทธบริษัท ถ้าจะให้เป็นมนุษย์เป็นพุทธบริษัทก็ต้องมีการบำเพ็ญประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น ให้เต็มทำนองเดียวกับพระอรหันต์ เมื่อเป็นผู้ทำลายกิเลสได้แล้ว มีชีวิตอยู่เฉยๆเพียงแต่ให้ดูว่าเป็นอยู่อย่างไม่มีกิเลสนี่อยู่กันอย่างไร เท่านี้ก็เป็นบุญ เป็นคุณ เป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงแล้ว ทำประโยชน์แก่ผู้อื่นอย่างสูงสุดทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรให้แก่เขา นอกจากทำตัวเองให้บริสุทธิ์ก็เป็นตัวอย่างให้ดูอยู่เฉยๆ ความเต็มเปี่ยมของพระอรหันต์ จึงเป็นการเต็มเปี่ยมทั้งในส่วนประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น อย่าได้คิดเข้าใจผิดไปตามคนเขลาที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่วัตถุ ว่าพระอรหันต์ไม่เห็นทำประโยชน์อะไรให้แก่ใคร อยู่ในป่าในดงตามความสะดวกสบายส่วนตัว เรียกว่าอยู่ในโลกนี้อย่างไม่คุ้มกันกับที่ว่าโลกเขาจะต้องเสียสละให้ หรือต้องเลี้ยงดูต้องบูชา นี่เราก็จะกระทำมาฆบูชากันอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว คือจะบูชาแก่พระอรหันต์ เราจะมีความคิดต่อพระอรหันต์ในลักษณะอย่างนั้นได้อย่างไรกัน หรือว่าถ้าใครยังสงสัยข้องใจอะไรอยู่ ก็ขอให้คิดให้ตก ให้หายสงสัย ให้เกลี้ยงเกลาไปทีเดียวว่าพระอรหันต์นั้นเป็นผู้สะอาด เป็นผู้งดงาม เป็นผู้เต็มเปี่ยม เป็นผู้สมควรแก่การบูชา ตามคำที่เรียกว่าพระอรหันต์ อรหะแปลว่าควร ควรแก่การบูชา เพราะว่าควรแก่การเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์ที่เต็มแล้วย่อมควรแก่การบูชา เมื่อได้ประมวลพระคุณของพระอรหันต์มาในลักษณะทั้ง ๓ คือความสะอาด ความงดงาม ความเต็มเปี่ยม พอเป็นเครื่องพิจารณา รู้คุณของท่าน เพื่อทำการบูชาต่อไปแล้ว ก็ขอร้องว่าให้ทุกคนเตรียมตน สำหรับจะทำมาฆบูชาด้วยจิตใจที่เข้าใจแจ่มแจ้ง อยู่ในคุณของพระอรหันต์นั้นเถิดจะไม่เป็นการเล่นละคร ในใจเข้าใจระลึกอยู่ถึงคุณของพระอรหันต์ ซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นประธานและร่างกายและวาจาก็พร่ำกล่าวความรู้สึกนั้นออกมาเป็นคำพูด อย่าได้พูดแต่ว่าท่องอย่างนกแก้วนกขุนทองเลย เดี๋ยวนี้เรามักจะสวดมนต์กันอย่างนกแก้วนกขุนทอง มันก็ได้ประโยชน์อย่างนกแก้วนกขุนทอง ให้มากกว่านั้นมันก็ต้องกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกที่มีอยู่ในใจจริงๆ โดยเฉพาะในเวลาที่เราจะบูชามาฆบูชา สรรเสริญคุณของพระอรหันต์ก่อนการเวียนเทียนนั้น ขอให้เป็นจริงทั้งทางใจและทางวาจากระทั่งทางกายด้วยกันสักครั้งสักคราวสักระยะหนึ่งก็ยังดี ฉะนั้นจึงขอให้ตั้งอกตั้งใจเป็นพิเศษที่จะทำให้ได้จริงสักครั้งคราวหนึ่งก็ยังดี ช่วงเวลาที่ทำการบูชานี้ และก็พยายามรักษาไว้ให้ได้ มันจะพลั้งเผลอไปบ้างก็ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ถ้าว่าในโอกาสพิเศษเช่นนี้ซึ่งจะกระทำเดี๋ยวนี้แล้วก็ขออย่าให้มีความพลั้งพลาดเลย ในใจระลึกนึกถึงคุณของพระอรหันต์อยู่และก็ว่าเป็นวาจาออกมา หรือแม้แต่จะว่าเป็นวาจาที่กล่าวไปตามผู้นำให้ว่าตาม ก็ให้เข้าใจความหมายของคำที่กล่าวให้ว่าตามนั้นทุกๆคำด้วย ทีนี้สำหรับการแสดงทางกายนั้นเรียกว่าเวียนประทักษิณ เหมือนอย่างที่เห็นๆกันอยู่ทุกคราวที่มีการเวียนเทียน คือเดินเวียนประทักษิณนั้น ทางขวามือของผู้เดินเวียนนั้นให้อยู่ทางวัตถุที่แทน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ การบัญญัติอย่างนี้มันมีความหมาย เรารู้ความหมายการบัญญัติแล้วก็จะต้องทำให้สำเร็จประโยชน์ เพราะการเดินเวียนประทักษิณหรือเวียนข้างขวานั้นแปลว่า เวียนไปในทางถูก คำว่าประทักษิณหรือข้างขวานี่เป็นชื่อของสติปัญญาที่นำมาซึ่งความถูกต้อง จะมีปัญญาหรือไม่มีปัญญาก็ตามใจ ขอให้มีความถูกต้องก็แล้วกัน ถ้ามันมีความถูกต้องแล้วก็ให้ถือว่ามีปัญญาอยู่ในนั้น ที่เราเดินอย่างถูกต้องสำหรับเป็นเครื่องบูชาแก่พระอรหันต์ หรือแก่พระรัตนตรัยก็ตาม เป็นการกระทำอย่างที่เรียกว่าปฏิบัติบูชา การที่เรามีดอกไม้ธูปเทียนอยู่ในมือก็ยังกล่าวว่า เอาร่างกายนี้ เป็นภาชนะใส่ดอกไม้ธูปเทียนแล้วก็เวียนประทักษิณนั้นมันเป็นส่วนวัตถุ นี่เป็นส่วนร่างกายล้วนๆ นี่เพื่อให้มีความหมายมากไปกว่านั้นอีก ก็ให้รู้ความหมายของคำว่าประทักษิณ ในข้อที่ว่าร่างกายนี้แหละ จะใช้เพื่อการกระทำที่ถูกต้อง ความถูกต้องที่เคยกระทำมาแล้วอย่างไร หรือกำลังจะทำอยู่เวลานี้ก็จะใช้เป็นเครื่องบูชาพระอรหันต์ในวันนี้ เมื่อเดินเวียนเทียน เวียนประทักษิณนี่ในจิตก็คิดถูกต้อง วาจาก็ว่าถูกต้องหรือจะไม่ออกเสียงมาว่าอยู่ข้างในใจก็ถูกต้อง ทั้งกิริยาอาการก็ต้องถูกต้อง ไปตามความรู้สึกที่มันถูกต้อง ฉะนั้นจึงไม่มีเรื่องเล่นหัวในเวลาที่เดินเวียน ไม่มีเรื่องละเมอเพ้อหรือว่าใจลอยไปตามความรู้สึกที่ฟุ้งซ่าน หรือเป็นของที่มีทำความตื่นเต้นแล้วก็ไปตื่นเต้นเสีย จิตใจที่ตื่นเต้นนี่มันก็ไม่มีความรู้สึกที่ถูกที่ควรอะไรนัก ฉะนั้นต้องไม่ควรจะตื่นเต้น ไอ้เรื่องตื่นเต้นเพราะความประหลาดหรือเพราะความสวยงามนี้ควรจะหมดไปเสียที เพราะว่าเราก็โตมากพอแล้ว ไม่ใช่ลูกเด็กๆจึงระงับความฟุ้งซ่านหรือความตื่นเต้นได้ จึงสามารถควบคุมกายให้ประพฤติกระทำไปตามวิธีที่ควรจะทำ ที่จริงเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องบัญญัติ คือจะบัญญัติให้ทำอย่างอื่นก็ได้ แต่เมื่อได้บัญญัติให้ทำอย่างนี้แล้ว เราก็จะทำอย่างนี้ แต่ว่าทำอย่างนี้นั้นต้องทำให้มีความหมาย ถ้าจะเดินเวียนประทักษิณก็ขอให้ประทักษิณจริง คือเวียนไปทางขวา คือประกอบอยู่ด้วยความถูกต้อง ทางจิตก็ถูกต้อง ทางวาจาก็ถูกต้อง ทางกายก็ถูกต้อง มันก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว นี่แหละคือความเต็มเปี่ยมอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน เต็มเปี่ยมทั้งทางจิต ทางวาจา และทางกาย ก็เป็นการอนุโลมตามความเต็มเปี่ยมของความเป็นพระอรหันต์ ทั้งที่เรายังไม่เป็นพระอรหันต์ อย่างนี้เรียกว่าเรากำลังทำตามพระอรหันต์ เหมือนบทปัจจเวกขณ์ของอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย ที่ได้กล่าวอยู่ทุกวันในอุโบสถว่า เราทำตามพระอรหันต์ในวันนี้ด้วยการกระทำอย่างนี้ อย่างนี้ อย่างนี้ ตามบทปัจจเวกขณ์อุโบสถนั้น เดี๋ยวนี้ก็มีความหมายอย่างเดียวกันว่า เราจะทำตามพระอรหันต์โดยการอุทิศชีวิตเรี่ยวแรงทุกสิ่งทุกอย่างที่จะทำได้ กระทั่งวัตถุสิ่งของก็หามาเพื่อแสดงการบูชา ประกอบกันเข้ากับทางกายทางวาจาและทางจิต ถ้าทำได้อย่างนี้ก็น่าจะกล่าวได้ว่าเราได้ทำดีที่สุดแล้ว ในการที่จะบำเพ็ญมาฆบูชา ขอร้องให้ท่านทั้งหลายเตรียมทุกอย่างเพื่อสำเร็จประโยชน์ตามนี้ ธรรมเทศนานี้มิใช่อะไรอื่นนอกจากเป็นธรรมเทศนาที่เป็นการตระเตรียม ช่วยให้ท่านทั้งหลายได้มีการตระเตรียมสำหรับจะทำมาฆบูชาให้สำเร็จประโยชน์เต็มตามความมุ่งหมายนั้นทุกประการ และเราก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ทำตามพระอรหันต์มากยิ่งขึ้นในวัน วันนี้ ซึ่งเป็นวันกำหนดไว้สำหรับเป็นที่ระลึกแก่พระอรหันต์ ๑๒๕๐ องค์ ดังที่ทราบกันอยู่แล้วทั่วๆไป เพื่อจะมีความก้าวหน้างอกงามไปตามทางของพระศาสนา ของสมเด็จพระบรมศาสดาอันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลายตลอดกาลนาน ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลาเอวังก็มีด้วยประการฉะนี้