แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นักศึกษาผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายชุด นวกานุศาสตร์ คือ คำแนะนำเกี่ยวกับผู้บวชใหม่หรือผู้เพิ่งจะเข้ามาใหม่ มาสู่ธรรมะวินัยนี้ คือ พุทธศาสนา เป็นว่าเป็นสิ่งจำเป็นจึงได้พยายามให้มีขึ้นมา และเพื่อความสะดวกสำหรับผู้ใหม่ทั้งหลาย จะเป็นภิกษุสามเณรผู้บวชใหม่ก็ได้ หรือแม้แต่คนที่เขาไม่เคยรู้เรื่อง ไม่เคยสนใจพุทธศาสนามาก่อน จะมาเริ่มศึกษาพุทธศาสนาก็ได้ เชื่อว่าหัวข้อเหล่านี้จะช่วยให้สำเร็จประโยชน์ได้ โดยสะดวกแล้วก็มีผลดี ในครั้งที่แล้วๆ มาก็ได้พูดกันมาตามลำดับ คือตามลำดับของเรื่องที่เห็นว่าควรจะทราบก่อน แล้วก็เลื่อนมาตามลำดับ นับตั้งแต่เรื่องการบวชการเรียน และงานอดิเรกของผู้บวชหรือนักบวช ความหมายคำว่าเคร่ง หรือไม่เคร่ง และสิ่งที่เรียกว่า กิจวัตร แล้วก็ถึงพระรัตนตรัย แล้วก็เป็นเรื่องพระสัทธรรม นั่นตัวสิ่งที่เรียกว่า ศาสนา มาเป็นอันดับที่ ๘ ในครั้งนี้ซึ่งเป็นครั้งที่ ๙ ก็จะได้กล่าวโดยหัวข้อ ว่าความเข้าใจถูกเกี่ยวกับพระคัมภีร์ทางศาสนา เกี่ยวกับพระคัมภีร์ทางศาสนานี้ ผมได้สังเกตดูรู้สึกว่า ยังมีปัญหามากหรือพูดอีกทีหนึ่งคือว่า ยังมีภาวะที่น่าสมเพชอยู่มาก เพราะว่ายังไม่เข้าใจ ไม่รู้จักไอ้สิ่งที่เรียกว่า พระคัมภีร์ ว่าคืออะไร เพราะความหมายของคำๆ นี้ก็เลือนมาตามลำดับด้วย ควรจะพิจารณากันดู
เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็ได้ยินคำว่า พระคัมภีร์ พระคำภีร์ของศาสนานั้นของศาสนานี้ ก็เรียกว่า พระคัมภีร์ไปหมด ถ้ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระศาสนา จะปลอมหรือไม่ปลอม ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนาก็ต้องเรียกว่าพระคัมภีร์กันไปหมด ทีนี้ก็คงมีความลำบากตรงที่ว่าสติปัญญาของผู้นั้นมันมีอย่างไร ถ้าเขามีน้อยหรือเขวก็ไปเอาส่วนที่มันเขวมาเป็นพระคัมภีร์ที่แท้จริงได้ แม้ในประเทศไทยเราก็ยังมีอาการอย่างนี้ แม้ในวงพระสงฆ์ สามเณรนี่ก็ยังมีอาการอย่างนี้อยู่ เมื่อไม่กี่ปีมานี้เพิ่งจะค่อยๆ รู้จักถูกต้องตรงตามที่เป็นจริงขึ้นมาบ้างก็เมื่อไม่กี่ปีมานี้ ถึงจะรู้ว่าพระบาลีคืออะไร อรรถกถาคืออะไร ฎีกาคืออะไร อนุฎีกาคืออะไร กระทั่งคัมภีร์พิเศษทั้งหลายคืออะไร แต่ถึงอย่างนั้นก็มิใช่ว่ารู้ทั่วถึงกันหมดทุกคน ยังมีคนที่ยังไม่รู้ไม่เข้าใจ ทั้งที่เป็นอุบาสก อุบาสิกา และที่เป็นภิกษุสามเณรอยู่นั่นเอง ยิ่งเป็นภิกษุสามเณรที่ไม่สนใจจะรู้จริงคือ สนใจแต่เพียงว่าเรียนเท่าที่เขากำหนดให้เรียน เพื่อให้สอบไล่ได้อย่างนี้แล้วก็ยิ่งจะไม่มีโอกาสรู้ถึงสิ่งเหล่านี้เลย ยังคงปนกันยุ่งไปหมด ไม่ต้องพูดถึงผู้บวชใหม่โดยมากอย่างที่นั่งอยู่ที่นี่
นั่นจึงเห็นว่าเป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจกัน จึงได้มีหัวข้อสำหรับพูดในวันนี้ว่า ความเข้าใจถูกต้องเกี่ยวกับสิ่งที่เราเรียกกันว่า พระคัมภีร์ ทางศาสนา ตัวศาสนาคืออะไร ก็พูดกันแล้วในครั้งที่แล้วมา ว่ามันคือการปฏิบัติ ทีนี้การปฏิบัติต้องมีความรู้อยู่ข้างหน้า นำหน้า ความรู้นั่นแหละที่มาเขียนเป็นตัวหนังสือขึ้นมาก็เรียกว่า พระคัมภีร์ เดี๋ยวนี้ก็เรียกกันอย่างนั้น ทีนี้ก็อยากจะให้รู้ให้ถูกต้องกว่านั้น ก็ควรจะต้องรู้กันมาตั้งแต่ คำๆ นั้นเพราะมันมีความหมายโดยตัวหนังสือ คือโดยพยัญชนะนั้นว่าอย่างไร
ดังนั้นเราต้องพิจารณาถึงคำว่า คัมภีร์ นี่ก่อน เพราะว่าคัมภีร์ ในภาษาบาลีเป็นคุณนามก็แปลว่า ลึกซึ้ง จะใช้เป็นนามนามไม่ค่อยมีจะใช้เป็นคุณนามไปประกอบนามอื่นอีก แต่พอตกมาสมัยนี้ ก็ใช้คำนี้อย่างกับว่าเป็นนามโดยสมบูรณ์คือ คัมภีร์ หมายถึงพระคัมภีร์นี่แหละ ตอนนี้คำนี้เป็นคุณนามมีความหมายว่า ลึกซึ้ง แล้วทำไมคำว่า ลึกซึ้ง จึงมาเป็นชื่อของคัมภีร์หรือตำราทางศาสนา ถ้าเข้าใจข้อนี้ก็จะเข้าใจพระคัมภีร์คืออะไรได้ง่ายขึ้น
คำว่า “คัมภีร์” แปลว่า ลึก ก็คือลึกเกินวิสัยที่คนธรรมดาสามัญจะรู้ได้เอง มันลึกมากจนไม่ค่อยมีใครพบ ใครเห็น แล้วมันก็ลึกในการที่จะตีความหมาย มันก็ลึกในการที่จะเอามาใช้ได้เป็นประโยชน์ มันใช้ได้ยากเพราะมันลึกนั่นเอง ขอให้เข้าใจคำว่า คัมภีร์ มันหมายถึงอย่างนี้ คือมันลึก อะไรลึกก็เรียกว่าคัมภีร์ทั้งนั้นแหละ เดี๋ยวนี้มันหมายถึงไอ้เรื่อง หรือความจริง ความรู้ ที่มนุษย์ต้องการจะรู้ มันก็อยู่ลึกกันตามธรรมดา ไม่พบกัน จึงต้องมีการกระทำชนิดที่ให้พบ คือการค้นคว้าสิ่งที่ลึก เมื่อพูดกันอย่างนี้ต้องนึกถึงยุคสมัยโน้น สักกี่พันปีหรือหมื่นปีก็สุดแท้แต่ว่าต้องนานมากที่บุคคลคนแรกเขาจะไปนั่งนึกพินิจพิจารณา ให้ทบทวนอะไรอยู่ในที่สงัดคนเดียว ในป่า ในดง จนกระทั่งพบหลักเกณฑ์ความจริงหรืออะไรขึ้นมา นั่นคือพบของที่มันลึก อยู่ที่บ้านที่เรือนมันพบยาก ต้องออกไปอยู่ในความเป็นอยู่อย่างนั้น ซึ่งเราเรียกกันว่า ฤาษี มุนี โยคี แล้วแต่จะใช้คำไหน ทำหน้าที่เหมือนๆ กัน คือเอาไปปฏิบัติตน ก็เรียกว่าโยคี แสวงหาอยู่ก็เรียกว่า ฤาษี ค้นพบแล้วรู้แล้วก็เรียกว่า มุนี เป็นต้น ซึ่งมีคำเรียกอย่างนี้อยู่มากมายหลายคำ สรุปว่าเขาไปค้นจนพบแล้วก็กลายเป็นผู้รู้ ที่รู้เท่าไรก็สอนกันไปเท่านั้น มันค่อยๆ รู้มากขึ้นทีหลัง ก็ต้องยอมรับว่าทุกข้อความที่เขาพบนั้นมันลึก ก็มาพบสิ่งที่ลึกมีสิ่งที่ลึกขึ้นมาในหมู่มนุษย์แล้ว ทีนี้ก็ขอให้รู้ว่ามันไม่มีกระดาษ สมัยนั้นยังไม่มีกระดาษ ไม่มีใบลาน ไม่มีการเขียนหนังสือ แม้แต่จะการสลักที่หินเป็นตัวหนังสืออย่างนี้ก็ยังไม่รู้จักทำ เพราะมันยังไม่มีตัวหนังสือใช้ พระคัมภีร์นั้นไม่ใช่ใบลาน ไม่ใช่กระดาษ ไม่ใช่หนังสือ คัมภีร์ คือข้อความที่ลึกหรือความจริงที่ลึก ที่เขาค้นพบแล้วเขาก็จารึกไว้ในใจที่จำไว้ แล้วบอกสอนต่อๆ กันมา มันเป็นยุคเป็นสมัย ยุคแรกๆ ก็พบในระดับหนึ่ง ต่อมาก็พบอีกระดับหนึ่ง นี่ก็น่าสนใจที่ว่าไม่มีกระดาษจะบันทึก เขาจะต้องสรุปใจความให้มันสั้น สั้นที่สุดให้จำง่ายที่สุด มันก็เลยกลายเป็นคำกาพย์กลอนขึ้นมา ซึ่งมันจำง่าย มนต์ทั้งหลายมันอยู่ในรูปของคาถา คำว่า คาถา แปลว่า กาพย์ กลอน เพียงไม่กี่คำสั้นๆ ซึ่งฤาษีองค์นี้แกก็สรุปไว้เป็นคาถาเพียงไม่กี่พยางค์จำไว้ ก็บอกคนอื่นต่อไป ฤาษีองค์อื่นอีกมากเข้ามากเข้า คาถาที่เต็มไปด้วยความหมายที่ลึกก็มากขึ้น มากขึ้น เป็นหมวดเป็นหมู่ขึ้น ก็ต้องมีผู้รวบรวมเอามา แล้วก็เกิดตีความหมายกันขึ้นมา แผกเพี้ยนไปบ้าง ก็คนแรกก็ตายไปแล้ว คนที่หลังก็มาตีความเอาเอง มันก็เกิดไอ้สิ่งที่เรียกว่า คาถา เรียกว่าเป็นตัวสูตรทั้งหลายเป็นตัวบทสูตรขึ้นมาก่อน สั้นๆ หลายๆ สูตรก็เป็นหลายๆ เรื่อง คำอธิบายของสูตรก็เป็นศาสตร์เป็นอะไรขึ้นมา ยาวออกไป ทีแรกก็ไม่ได้เขียน ไม่ได้เขียน จำทั้งนั้นเลย จนกระทั่งยุคพุทธกาลนี้ก็ยังมีการจำด้วยปาก ท่องไว้ด้วยปาก
นี่ดูเอาเถิดว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่าคัมภีร์มันเป็นอย่างไร มันไม่ใช่กระดาษ ไม่ใช่สมุด ไม่ใช่ใบลาน มันคือ สิ่งที่ลึก ยากที่จะพบ ยากที่จะตีความและยากที่จะเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ นั่นแหละคือลึก คือมันลึก และยิ่งลึกคนก็ยิ่งรู้สึกว่ามันศักดิ์สิทธิ์ หรือสนใจมากขึ้น พระคัมภีร์ก็อยู่ในรูปของความศักดิ์สิทธิ์ด้วยเสมอไปคู่กันกับความลึก ต่อมาก็ยิ่งยึดถือมากขึ้น ศักดิ์สิทธิ์กันทุกแง่ทุกมุม จนเป็นที่เคารพเกรงกลัว
ที่นี้เรามาดูกันที่คำว่า ลึก ดีกว่า ความลึกมันมาจากไหน ไอ้บทพระธรรมทั้งหลายทางศาสนานี้ มันมาจากไหน ถ้าโดยเนื้อแท้จริงๆ มันก็คือกฎของธรรมชาติอันลึกซึ้ง มันก็อยู่ที่กฎของธรรมชาติอันลึกซึ้ง เมื่อไม่มีใครพบ ไม่มีใครเห็น ก็ไม่ปรากฏแก่มนุษย์ ต่อมามีคนที่ฉลาดเขาสังเกตเห็น เขาพบไปตามลำดับทีละนิดทีละนิด ก็รู้จักไอ้สิ่งนี้ คือกฎของธรรมชาติอันลึกซึ้งออกมาเรื่อยๆ แต่มันในลักษณะที่น่าอัศจรรย์ จนถึงกับว่าถ้าจะให้ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ แล้ว ควรจะถือกันเสียว่าพระเจ้าประทานหรือเทวดาประทาน คำนี้ก็ควรจะยอมรับ เพื่อประโยชน์อย่างอื่น มันลึกถึงขนาดที่เรียกว่ามันต้องพระเจ้ายินดียินยอม เพื่อที่จะให้รู้ขึ้นมา แม้แต่ในความฝันก็ตามเถอะ เพราะความที่มันน่าประหลาดน่าอัศจรรย์ เขาเรียกว่า พระเจ้ามอบให้ พระเจ้าบอกให้ มันจึงเกิดเป็นธรรมเนียม เป็นพิธีขึ้นมาว่าจะอ้อนวอนพระเจ้า ขอให้บอก ขอให้แสดงให้เกิดเป็นความรู้ ความฝันอะไรกันเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น กระทำอย่างนี้ก็ยิ่งมีผลให้ดีขึ้น พวกหนึ่งก็เลยยึดถือเป็นหลักตายตัวว่า ความจริงหรือพระธรรมนี้พระเจ้าก็โปรดประทานให้ อย่างนี้มีผลดีวิเศษไปทางหนึ่ง คือสำหรับประชาชนทั่วไปที่ไม่ฉลาด ถ้าบอกอย่างนี้เขายินดี เต็มใจที่จะรับปฏิบัตินับถืออย่างเคร่งครัด ถ้าพวกที่เขาฉลาดในหมู่ผู้รู้ด้วยกัน เขาไม่ต้องบอกอย่างนี้ เขาถือว่าเป็นสัจจะเป็นความจริงของธรรมชาติอันลึกซึ้งที่ค้นพบ และอีกอย่างหนึ่งมันจะต้องค้นในภายในของบุคคลด้วย เพราะปัญหามันเกิดอยู่ที่คน ในความทุกข์มันเกิดอยู่ที่คน คนเขาจะต้องการจะแก้ปัญหาเหล่านี้ ดังนั้นการค้นมันก็ค้นเข้ามาในคน แล้วมันก็พบข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับคนที่ลึกซึ้ง ทีนี้คนมันไม่ได้อยู่คนเดียวนี่ในโลกนี้ มันมีมาก แล้วมันก็ยังมีเหลือข้อเท็จจริงอย่างอื่นที่ต้องค้นให้พบเกี่ยวกับคนทุกคนหรือสังคม อีกส่วนหนึ่งด้วย ปัญหาไหนมันเกิดก่อนก็แก้ปัญหานั้นก่อน ปัญหาที่เกิดแก่มนุษย์ในยุคนั้นก็จะเป็นปัญหาทางสังคมที่เบียดเบียนกัน ก็ค้นพบข้อที่ว่าเราจะไม่เบียดเบียนกันอย่างไรนี เรื่องศีล เรื่องบทบัญญัติทางศีลเกี่ยวกับสังคมนี้มันจึงพบก่อน ไม่ให้ฆ่า ไม่ให้รัก ไม่ให้ล่วงเกินของรัก ไม่ให้พูดเท็จ ไม่ให้ทำตัวให้หลงใหลในของมึนเมา
อันนี้มันมีทุกศาสนาตรงกันหมดเลยไม่ว่าศาสนาไหน ก็เรียกว่ามันพบทีแรกในขั้นรากฐานขั้นต้นๆ อย่างนี้ก่อน ต่อมาก็ค้นลึกเข้าไป เพราะว่าเมื่อได้ปฏิบัติถูกต้องตามหลักขั้นต้นๆ เหล่านั้นแล้ว ปัญหามันยังเหลืออยู่อีก โดยลำพังตัวคนเดียว มันก็มีกิเลส มีความทุกข์ ดังนั้นจึงค้นต่อไปอีกโดยตรงไปยังกิเลส และความทุกข์พบมากขึ้น มากขึ้น ๆจนกระทั่งพบถึงที่สุด เช่น ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงพบ มันก็จะเรียกว่า จบกัน ไม่มีอะไรที่สูงไปกว่านั้น แม้จะมีมันก็ไม่ดีไปกว่านี้แล้ว ไอ้ความจริงของธรรมชาติมันอาจจะมีอีกมาก แต่ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน ให้ยุ่งกันแต่ที่จำเป็นเช่นเรื่องกิเลส ที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ แล้วก็ดับทุกข์เสีย นี่เรียกว่าลึกที่สุดเลย จนใช้คำว่า คัมภีร์โล ขึ้นมา คัมภีร์ลา คัมภีร์ลัง แล้วแต่จะเรียกว่าอะไร แล้วก็เป็นโลกุตลาขึ้นมา เหนือโลกลึกกว่าโลกธรรมดาจะถึงได้ แล้วก็เป็นเรื่องเหนือวิสัยที่ชาวบ้านจะรู้ได้ เรื่องโลกุตระ
เรื่องโลกุตระเป็นเรื่องจบสิ้นของ การค้นและการพบสิ่งที่เราเรียกกันว่า คำสอนในพระพุทธศาสนา นี่พูดกันเฉพาะพุทธศาสนาซึ่งพวกเราที่อยู่ที่นี่ นับถือกันอยู่ หมายความมันก็จบกันเรื่อง มรรคผลนิพานมันก็จบเท่านั้น พวกอื่นเขาต้องการอย่างอื่นเขาก็ใช้คำอย่างอื่นเขาก็ใช้ตามแบบอื่นตามศาสนาอื่น แต่มันก็มุ่งหมายความพ้นจากทุกข์กันทั้งนั้นแหละ พ้นจากทุกข์สิ้นเชิง เราเรียกว่า นิพพาน ก็พ้นจากทุกข์สิ้นเชิงไปแบบนี้ เขาอื่นอาจจะเรียกว่า ไปอยู่กับพระเจ้าเป็นนิรันดรไปเลย ก็ได้เหมือนกันอย่าไปว่าเขา เมื่อเขารู้สึกว่าไม่มีความทุกข์เลยก็พอใจอย่างนั้น ควรจะถือว่าเขาพอใจแล้ว
นี่พระคัมภีร์นี้เกิดขึ้นในลักษณะอย่างนี้ คือ มนุษย์ได้พบของลึก ลึก ลึก ลึก ออกมา ออกมา จำไว้ด้วยปาก ที่ดีกว่าจำไว้ด้วยปาก ก็คือ จารึก ลงในการประพฤติ ปฏิบัติ ประจำวัน ทางกาย ทางวาจา ทางใจ นั่นเป็นการจารึกที่ดีที่สุด ที่ผมถือปฏิบัติมาว่าถ้าจะจำอะไรให้แม่นยำ ก็ขี้เกียจที่จะไปจดลงในสมุด ก็คือ การปฏิบัติมันเสียเลย ปฏิบัติสิ่งนั้นลงไปเสียเลย มันก็ไม่ลืม เพราะมันจารึกอยู่ที่กาย วาจา ใจ นี้ก็ขอให้ถือว่าการจารึกพระคัมภีร์ที่ดีที่สุด วิเศษที่สุด ประเสริฐที่สุด ก็คือ การที่เขาปฏิบัติ สืบสืบกันมา ด้วยกาย วาจา ใจ ถ้าจะมาพูดอีกทีก็ยังถูกต้องอยู่นั่นแหละ มันผิดยาก มันลืมยาก แต่ว่าได้คำพูดก็ยังคงเอาไว้ มนต์ทั้งหลายก็ยังคงท่องไว้ คัมภีร์อธิบายมนต์ทั้งหลายก็คงมีอยู่ แต่ว่าที่ดีที่มันมีประโยชน์แท้จริงที่มันปฏิบัติอยู่ที่เนื้อที่ตัว ที่กาย วาจา ใจ ดังนั้นสิ่งใดเป็นของดีมีประโยชน์ เราก็คุณอย่าไปจดไว้ในสมุดเลย จดมันไว้ที่ความประพฤติ การกระทำ ที่กาย วาจา ใจ ทุกวัน ทุกวัน ดีกว่า
นี่ก็เป็นอันว่ามันสืบมาได้เป็นพันๆ ปี ซึ่งเอาแน่ไม่ได้ ก็มันมีมากเรื่อง มันตื้นลึกหนาบาง มันต่างกันมาเป็นลำดับ ลำดับ แต่ควรจะถือว่ามนุษย์เริ่มสนใจ ในสิ่งที่ลึกซึ้งนี้เป็นพันๆ ปีมาแล้ว นั่นแหละคือตัวคัมภีร์แท้ๆ คือ ความลึกหรือสิ่งที่ลึกของธรรมชาติที่มนุษย์พบ นี่คือคัมภีร์ที่แท้จริง
พอมาถึงยุคนี้มันก็พิมพ์ลงไปในกระดาษเขียนลงไปในกระดาษ มันก็เลื่อนมาอยู่ที่ใบลานบ้าง ที่กระดาษบ้าง ซึ่งเราก็เรียกว่าคัมภีร์เหมือนกัน คัมภีร์ใบลาน คัมภีร์สมุดข่อย คัมภีร์อะไรต่างๆ เพราะมันบรรจุของที่ลึก นี่คือข้อที่จะต้องระวังให้ดี อย่าให้มันปนกันเสีย
คัมภีร์ที่เป็นนามธรรมก็คือสิ่งที่เป็นความลึก ความจริงอะไรต่าง ๆ คัมภีร์ที่เป็นรูปธรรมหรือวัตถุธาตุคือ กระดาษ หรือใบลานหรือสมุดข่อย นี่มันบรรจุสิ่งนั้น ถ้ารู้จักแยกความหมายของคำๆ นี้เป็นสองชนิดอย่างนี้แล้วก็ดี มันไม่ปนกัน เดี๋ยวนี้เรื่องมันก็เลื่อนมาบูชาไอ้กระดาษ หรือว่า คัมภีร์นี้มากขึ้น มากขึ้นด้วย ตัวนามธรรมนั้นมันยาก มันไม่มีตัวตน
แม้กระทั่งทุกวันนี้เราจะเห็นระเบียบ หรือพิธีทางศาสนา พวกที่ไม่มีพระพุทธรูป ก็เอาพระคัมภีร์ คัมภีร์กุรอาน คัมภีร์ไบเบิ้ล อะไรต่างๆ มาตั้งเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ สำหรับจะสบถสาบานในฐานะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องเอาพระคัมภีร์ เดี๋ยวนี้จะเขียนรัฐธรรมนูญลงไปในกระดาษ ก็ต้องใช้กระดาษนั้นเป็นของศักดิ์สิทธิ์ แต่ของศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงมันคือ ความจริงของธรรมชาติที่จริงแท้ ที่เด็ดขาด ที่สูงสุด ที่เขาเอามาบรรยายเป็นตัวหนังสือ แล้วก็เขียนไว้ในกระดาษ
คัมภีร์หนึ่งมันแตะต้องได้ด้วยจิตใจ คัมภีร์หนึ่งมันเพียงแต่อ่านได้ด้วยสายตา แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่ามันสำเร็จประโยชน์ในการที่จะถือกันอย่างนั้น เราก็ไม่ไปหัวเราะ หรือไปดูหมิ่นใครที่เขายังจะถือกันในระดับหนึ่งๆ นี่คัมภีร์ทางศาสนาไม่ว่าศาสนาไหนมันก็มีอยู่อย่างนี้ทั้งนั้น และโดยเฉพาะปัจจุบันนี้คำว่า คัมภีร์ คำนี้หมายถึง ตัวสมุด ตัวพระคัมภีร์ ตัวกระดาษ เป็นส่วนใหญ่
ที่นี้พอจะดูต่อไปถึงพระคัมภีร์ในลักษณะนี้ ว่าตามทางพุทธศาสนาของเรา เท่าที่เราควรจะเข้าใจ จะตัดตอนเอาแต่เพียงคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าโดยตรง ก่อนหน้านั้นก็ไม่เกี่ยวกับเราโดยตรง ก็ไม่พูด ที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าโดยตรง คือ พระพุทธเจ้าท่านออกผนวช ไปค้นหาสัจจะธรรม คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์ ท่านก็ได้ตรัสรู้ จนถึงกระทั่งพอใจว่าไม่มีอะไรยิ่งกว่านี้ ทีนี้การตรัสรู้ของท่านก็ต้องแปลกไปจากที่เขาเคยมีกันอยู่ก่อน การที่พระพุทธเจ้าท่านเคยศึกษาอะไร ที่เขาเคยมีอยู่ก่อนก็มีอยู่ส่วนหนึ่ง แต่นั่นดับทุกข์มาได้ถึงที่สุด ส่วนใดมันมีประโยชน์หรือดับทุกข์ได้บ้างท่านก็คงไว้ ยอมรับว่าถูกต้อง มารวมอยู่ในคำสอนของท่านทีหลังก็มี สำหรับการตรัสรู้ของท่านที่แท้จริงนั้น แปลกออกไป จากที่เขารู้กันอยู่ก่อน
ถ้าเกิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องอริยสัจ ๔ เรื่องปฏิจจสมุปบาท นี่ก็จะมีคำว่าเป็นเรื่องที่ตถาคตไม่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อน แต่ในที่สุดก็เป็นเรื่องอริยสัจทั้งนั้นแหละ เรื่องอริยสัจ ๔ เพราะว่าเรื่องปฏิจจสมุปบาทเป็นเรื่องอริยสัจ ๔ เรื่องมรรคมีองค์ ๘ นี่ก็รวมอยู่ในเรื่องอริยสัจ ๔ ทั้งที่เราพบก็พบอริยสัจ ๔ เรื่องปฏิจจสมุปบาท เรื่องมรรคมีองค์ ๘ เป็นเรื่องที่ตถาคตไม่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ก่อน
ตัวเรื่องที่เขาพูดกันอยู่แต่ก่อนนั้น ท่านไม่เห็นด้วยว่าจะดับทุกข์ได้สิ้นเชิง แต่ยอมรับว่ามันก็มีประโยชน์ หรือว่าดับทุกข์ได้บ้างในบางระดับ ที่ท่านตรัสรู้เรื่องความดับทุกข์สิ้นเชิงนี้แล้ว เรียกว่า เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านได้สอนอะไรไว้ ที่ไหน เมื่อไหร่ เราก็ถือกันว่าให้รวบรวมเอาไว้หมด ไอ้ส่วนใหญ่นั้นก็ถือกันว่า พระอานนท์ พระสาวกของท่านได้ขอร้อง พูดอะไรตรัสอะไรที่ไหนก็มาเล่าให้พระอานนท์ฟังอีกครั้งหนึ่ง รวบรวมอยู่ที่พระอานนท์เป็นส่วนมาก ที่พระสงฆ์องค์อื่นๆ ได้ยินได้ฟังก็มี ก็จำไว้ ก็รวบรวมไว้
จึงถือว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านี้ได้รับการรวบรวมเอาไว้เป็นส่วนใหญ่ จนกระทั่งหมดก็ได้ ถ้าจะพูดว่าทั้งหมดก็ได้นี่หมายความว่า มันไม่มีเรื่องอะไรจะมากไปกว่านั้น เรื่องดับกิเลสดับทุกข์นี่ แง่นั้นบ้าง แง่นี้บ้าง มันจะต่างกันไปบ้างก็เป็นเรื่องเดียวกันคือ จะต้องดับ ความยึดมั่นถือมั่น อุปปาทาน พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า การสอนการบัญญัติของตถาคตนี้ แต่ก่อนก็ดีเดี๋ยวนี้ก็ดี มีแต่เรื่องความทุกข์กับความดับทุกข์เท่านั้น ฉะนั้นเราจึงง่ายในการที่จะ เลือกคัด ก็เลือกเอาแต่เรื่องความทุกข์กับความดับทุกข์เป็นของถูกต้อง นอกนั้นก็ไม่ต้องไปสนใจก็ได้ ถ้ามันไม่เกี่ยวกับความดับทุกข์
ก็เป็นอันว่าคำที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสได้สอนไว้ ก็ได้รับการรวบรวมเก็บไว้หมด เรียกว่าเป็นคำที่ออกจากพระโอษฐ์ เป็นชั้นสูงสุดของถ้อยคำของหลักเกณฑ์ต่างๆ ผ่านมาทางปากของพระสาวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ พระอานนท์ ถ้าถือตามหลักของการทำสังคายนาก็มี พระอานนท์เป็นผู้บอก เป็นผู้แสดงพระพุทธวจนะเกี่ยวกับพระธรรม แล้วก็พระอุบาลีเป็นผู้บอก ผู้แสดงพระพุทธวจนะที่เกี่ยวกับพระวินัย ทีนี้ต่อมาคำว่าพระธรรมก็มาแยกเป็น สุตตันตะ เป็น อภิธรรม ที่หลัง
ในครั้งสังคายนาทีแรก ข้อความเหล่านี้ก็ถูกนำมาพิจารณาในที่ประชุม พระอานนท์ท่านก็แสดงออกมาว่าพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสอย่างนี้ อย่างนี้ เมื่อทุกคนมองเห็นและยอมรับว่ามันต้องอย่างนั้นจริง ก็ยอมรับไว้ ยอมรับไว้ๆ ก็เป็นอันว่าพระอานนท์ต้องแสดงถูกหมด ไม่ปรากฏว่ามีใครค้าน พระอุบาลีก็มีหน้าที่แสดงเกี่ยวกับวินัย เสร็จแล้วก็ยอมรับในคณะสงฆ์ว่า ถูกต้อง แล้วก็ช่วยกันท่องไว้ทุกๆ ข้อ ทุกๆ ข้อ คือเมื่อตกลงกันว่าข้อนี้ถูกต้อง ก็สวด ซ้อมกันไว้ด้วยปาก ข้อนี้ถูกต้อง ก็ซ้อมสวดกันไว้ด้วยปาก คือ ช่วยกันจำไว้ ตั้งหลายร้อยองค์ช่วยกันจำไว้ นี่ก็เรียกว่าทำสังคายนาครั้งแรกก็เป็นอย่างนั้น
ในส่วนพระธรรมนี้ก็พูดถึงเรื่องยาวๆ พูดเรื่องขนาดกลาง พูดเรื่องสั้น พูดเรื่องเป็นหมู่ๆ พูดเรื่องเบ็ดเตล็ด แล้วก็ร้อยกรองให้เป็นหมวดหมู่ตามลักษณะของเรื่องที่มีลักษณะอย่างไร ถ้าเกิดเป็นพระธรรม หรือพระวินัยที่ได้รับการสังคายนา ข้อความนี้เท่านั้นที่ถือว่าเป็นชั้นสูงสุด ชั้นแรกที่สุด ชั้นที่ถูกต้องที่สุด หรือสูงสุดจึงเรียกว่าพระบาลี ไม่ใช่ภาษาบาลีนะ ถ้าไม่เคยทราบก็ต้องทราบไว้ก่อน เรียกว่าเป็น พระพุทธวจนะชั้นบาลี ชั้นพระบาลี คือ ชั้นที่พระอรหันต์ได้ตรวจสอบ เป็นที่รับรองต้องกันหลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วไม่กี่เดือน
นี่คำว่า บาลี มีความหมายอย่างนี้ ภาษาบาลีนี่อีกคำหนึ่งความหมายอย่างอื่น เพราะว่าข้อความชั้นที่ลองๆ ลงไปก็ใช้ภาษาบาลี เฉพาะบาลีที่เป็นเครื่องบอกถึงระดับความสำคัญของพระพุทธวจนะนั้นก็หมายความว่า ข้อความที่มันผ่านการวินิจฉัย ผ่านการรับรองของพระเถระ พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ ประชุมกันเป็นครั้งแรกนั้นพระบาลี เรียกว่าทำสังคายนา ต่อมาเขาก็ทำกันอีกหลายๆ ครั้ง ด้วยเหตุบางอย่างที่เป็นเหตุให้ต้องทดสอบกันอีกใหม่ คราวนี้มันก็จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปบ้าง ทำให้เกิดแตก แยก ออกไปให้มันมากขึ้นหรือสมบูรณ์ขึ้น ตอนแรกก็ทำกันแต่พระพุทธวจนะที่เป็นชั้นบาลี เรียกว่า ทำสังคายนา พอตอนหลังๆ มาครั้งที่ ๙ ที่ ๑๐ ก็ทำสังคายนาทั้งอรรถกถา ทั้งอะไรด้วย อรรถกถา คือ คำอธิบายพระบาลี ถ้าอรรถกถาถูกอธิบายอีก ต่อไปอีกก็เรียกว่าฎีกา ถ้าฎีกาถูกอธิบายต่อไปอีกก็เรียกว่า อนุฎีกา ทั้งหมดนี้เลยกลายเป็นพระคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาไปหมด ชั้นบาลีทีแรกที่พระอรหันต์ท่านรับรองกันนั้นก็เรียกว่า พระคัมภีร์ ต่อมามีผู้อธิบาย พระบาลีนั้นว่ามันยากเกินไป คำอธิบายนั้นก็เรียกว่าพระคัมภีร์ ต่อมาพระอรรถกถานั้นถูกอธิบายอีก เป็นฎีกาออกมาก็เรียกว่าพระคัมภีร์ อนุฎีกาก็พระคัมภีร์ ต่อมามีผู้แต่งเรื่องขึ้นเป็นเรื่องๆ โดยตรง คือ รวบรวมเรื่องในบาลี อรรถกถาฎีกามาแต่งเป็นเรื่องสมบูรณ์ขึ้นเรื่องหนึ่งก็เรียกว่า ปกรณ์ เดี๋ยวนี้ก็ปกรณ์หรือปกรณ์พิเศษนี่เรียกว่าพระคัมภีร์เป็นพระคัมภีร์วิสุทธิมรรค และคัมภีร์พระสังคาหะ นี่ก็เรียกว่า พระคัมภีร์นี่ก็รวบรวมในสิ่งที่ลึกซึ้งไว้ด้วยเหมือนกัน
นี่ฟังดูให้ดี ให้เข้าใจว่าคำว่า พระคัมภีร์ ขยายตัวออกมาอย่างไร มาตั้งแต่มนุษย์แรกค้นพบกฎของธรรมชาติอันลึกซึ้งนั้น เรียกว่าพระคัมภีร์ไม่มีตัวไม่มีตน เป็นเสียงหรือเป็นกระดาษอะไร ต่อมาเกิดพระศาสดาสอนคำสอนมาถูกท่องจำไว้ ก็เป็นพระคัมภีร์ที่ท่องจำไว้ ต่อมาก็เขียนลงไปในกระดาษในใบลานก็เป็นพระคัมภีร์ จนกระทั่งเดี่ยวนี้
ทีนี้หน้าที่ของเราก็เหลืออยู่แต่ว่า เราจะทำอย่างไรกับพระคัมภีร์ ก็ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์ ตรงตามความมุ่งหมายคือ ดับทุกข์ให้ได้ ปฏิบัติดับทุกข์ให้ได้ นี่ก็จะต้องดูกันอีกแง่หนึ่งก็คือว่า พระคัมภีร์นี้ได้เป็นมาอย่างไร เชื่อถือได้เพียงไร นี่คือเรื่องยากเรื่องลำบาก ลำบากอย่างยิ่งโดยเฉพาะสำหรับผู้ที่แรกบวช แรกเรียน มันรู้ได้ยาก เพราะพูดไปมันก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรอยู่มาก ค่อยๆ ผ่านการศึกษาพระบาลีพระอรรถกถาเรื่อยๆ ไปจนมากพอ แล้วก็จะพอเข้าใจได้เหมือนกัน ว่าอะไรมันเพิ่งจะแปลกปลอมเข้ามา ก็มาอยู่ในรูปพระคัมภีร์ที่ยึดถือกันอย่างขลังศักดิ์สิทธิ์ก็มี ไม่ใช่ว่ามาอยู่เป็นชั้นที่ไม่มีใครนับถือ นี่ก็คือปัญหาที่กำลังมีอยู่เวลานี้ ที่ผู้ที่ไม่ศึกษาให้ทั่วถึงจะตอบเองไม่ได้ จะพบเองไม่ได้ ก็ต้องอาศัยผู้ที่เขาศึกษาอย่างทั่วถึง แต่ว่ามันมีทางรับประกันได้ว่าจะไม่ผิด คือว่า ไอ้ข้อความทุกคำ มันจะต้องเป็นไปเพื่อดับทุกข์ ถ้ามันไม่เป็นไปเพื่อดับทุกข์แล้วมันก็ไม่ใช่
ทีนี้เป็นไปเพื่อดับทุกข์มีลักษณะอย่างไรบ้างนี่ ก็เหมือนพูดกันบ่อยๆ ว่าลักษณะตัดสินธรรมวินัย ๘ ประการ เป็นต้น และข้อความอื่นซึ่งเราก็ได้บรรยายกันไปแล้ว ถ้ามันไม่เข้าหลักอันนั้น มันก็เรียกว่านี่ไม่ใช่คำสอนของพระศาสดา ที่นี้ถ้ามันเผื่อว่าเรามันโง่ไปวินิจฉัยผิดๆ ก็อาจจะเป็นได้ ถ้าปัญหามันเกิดขึ้นมาอย่างนี้ เราก็เอาแต่ว่าเท่าที่เรามองเห็นชัดว่ามันจะดับทุกข์ได้ เราเอาขึ้นมาก่อนแล้วปฏิบัติไปก่อน ไอ้ส่วนที่มันลึกเกินกว่าความรู้ของเราก็ปล่อยไว้ก่อนก็ได้ จนกว่าความรู้ของเรามันจะเจริญสูงขึ้น เราจะพบเองว่าอะไรมันจะดับทุกข์ได้อีก ลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ถ้าถือหลักอย่างนี้ไม่มีทางจะผิดพลาด เข้าตามหลักของคำสั่งของพระองค์ ที่เรียกว่ากาลามสูตร ซึ่งมีอยู่ข้อหนึ่งที่สำคัญที่สุด อย่าเชื่อเพราะมันมีอยู่ในตำราหรือปิฎก อย่าเชื่อเพราะเหตุว่ามันมีอยู่ในตำราหรือปิฎก มันก็ต้องเอาข้อความนั้นมาพิจารณาหรือถึงกับปฏิบัติดูก็ได้ ถ้ามันดับทุกข์ได้แล้วก็ใช้ได้ จึงไม่ยอมเชื่อแม้แต่เพียงว่ามันมีอยู่ในพระไตรปิฎกก็ได้ เพราะพระไตรปิฎกในตอนหลังๆ นี้ก็มีโอกาสที่ใครจะเพิ่มเติมเข้าไปก็ได้
เรื่องกาลามสูตรมีหัวข้อ ๑๐ ข้อนี้ก็ไปศึกษาตามที่เคยบรรยายให้ฟังแล้ว ที่เขาบอกๆ ตามๆ กันมา ที่เขากระทำตามๆ กันมา ที่เขาเล่าลือกันกระฉ่อน ก็มีอยู่ในปิฎก กระทั่งข้อสุดท้ายที่ว่า ผู้พูดนั้นเป็นครูบาอาจารย์ของเรา ข้อสุดท้ายของกาลามสูตรนี่ มันไปอยู่ในหลักมหาประเทศ ๔ ประการ ในมหาปรินิพพานสูตร ๔ ประการ นั้นแสดงไว้ชัดว่า ถ้าได้ยินพระเถรว่า ได้ยินธรรมะกถึกว่า ได้ยินคณะสงฆ์ว่า ถ้ามันไม่ลงกันได้กับหลักใหญ่ คือ มันไม่ดับทุกข์แล้วถือว่าจำมาผิด สอนกันมาผิด นี่เปิดโอกาสไว้ให้ถึงอย่างนี้ จึงเป็นอันว่าไม่ยึดถือหรือเชื่อลงไปโดยหมด หมดความเชื่อ เต็มความเชื่อเพราะเหตุมันมีในพระไตรปิฎกหรือเพราะครูบาอาจารย์ว่า ต้องดูก่อนว่านั่น ปฏิบัติแล้วมันจะดับทุกข์หรือไม่ ถ้าดับทุกข์ ก็ใช้ได้ ที่อาจารย์ว่านั้นก็จริง ที่มีอยู่ในพระไตรปิฎกนั้น ก็เป็นพระไตรปิฎกจริง ไม่ใช่ปลอมเทียม
ที่มีคำที่พูดไว้ให้ง่ายกว่านั้นขึ้นไปอีกก็คือว่า เมื่อมันเกิดเป็นปัญหาขึ้นทางข้อความในพระคัมภีร์ หรือคำสอนครูบาอาจารย์ก็ตาม ให้ใช้วิธีที่เรียกว่า (นาทีที่ 47.43) สังฆัสเสตัปพะ โอสาเตตัปพะ คือ เปรียบเทียบสอดส่อง ดูว่ามันเข้ากันได้ในสูตรและในวินัยทั่วไป ถ้าพูดอย่างภาษาธรรมดา ธรรมดาหน่อย มันคือเข้ากันได้กับหลักทั่วไปที่มีอยู่แล้วในสูตรในวินัย ที่นี้หลักทั่วไปมันก็รู้กันอยู่แล้วว่าต้องไปเพื่อดับกิเลสดับทุกข์ ถ้ามันไม่ดับกิเลสไม่ดับทุกข์คือมันก็ไม่เข้ากับหลักทั่วไป มันลงกันไม่ได้ในสูตรในวินัยมันก็เหมือนกันแหละ เพราะฉะนั้นมันก็เป็นสิ่งที่มุ่งหมายอย่างเดียวกัน ถ้าพระคัมภีร์มันเกิดเป็นปัญหาขึ้นมา เราสงสัยขึ้นมา คือไปได้รับคัมภีร์ที่มันไม่รู้ว่าจะปลอมหรือไม่ปลอมเข้ามา ก็ใช้วิธีอย่างนี้
ทีนี้ก็จะพูดต่อไปถึงเรื่องที่มันอาจจะทำผิดได้คือ พระคัมภีร์ทั้งหลายนี้ มันก็บอกแล้วมันมา มันมีตั้งแต่ชั้นถูกต้องที่สุด ชั้นแรกที่สุด และอธิบายกันเพิ่มเติมออกมากระทั่งร้อยกรองขึ้นทีหลัง มันก็เป็นพระคัมภีร์ถูกต้องและมีประโยชน์ ทีนี้มันหนักเข้าๆ มันก็มีพระคัมภีร์ที่ผู้ทำได้กระทำขึ้นด้วยความมุ่งหมายหรือ เจตนาที่ดี แต่มันมีลักษณะที่เพี้ยนออกไปจากหลักพระบาลีทีแรกก็มี ถึงเป็นเรื่องใหม่เกิดขึ้นอย่างใหม่แปลกทั้งหมดเข้ามาก็มี มันมีอย่างนี้ อย่างแม้ข้อความนี้เกิดขึ้นใหม่ แต่งขึ้นใหม่ นี่ก็ยังเรียกว่า พระคัมภีร์อยู่นั่น นี้ในยุคหลังๆ ก็เกิดขึ้นมาก เพราะว่าสิ่งต่างๆ มันเปลี่ยนแปลง หรือเกิดความคิดเห็นขึ้นมาว่า คนบางประเภทก็มีสติปัญญาน้อย ไอ้ที่เป็นพระคัมภีร์ชั้นเดิมแท้นั้นลึกเกินไป เขาไม่อาจจะรับเอาได้รับประโยชน์ได้ เขาต้องแต่งให้มันง่าย ทั้งคัมภีร์ที่ให้มันปฏิบัติง่าย หรือไปสวรรค์กันง่ายๆ อย่างนี้มันก็เกิดขึ้น เช่น อย่างคัมภีร์พระมาลัยนี้ ทำอย่างนั้นไปนรก ทำอย่างนั้นไปสวรรค์ ก็มีผู้ไปดูมาแล้วมาบอกให้ นี่ก็เป็นพระคัมภีร์ที่ไม่มีในพระไตรปิฎกหรอก แต่มันก็เป็นเรื่องที่มีประโยชน์ในยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง ในถิ่นบางถิ่น พระคัมภีร์นี้ก็มีประโยชน์ไม่จำเป็นต้องไปว่า ของปลอมของอะไร เพราะมันมีประโยชน์
ทีนี้คัมภีร์ที่มุ่งหมายจะให้ถือปฏิบัติกันง่ายๆ นี้ก็มีมากขึ้น แล้วก็ได้รับความสนใจหรือเชื่อถือ หรือปฏิบัติกันมากกว่าพระคัมภีร์ที่ลึกๆ เพียงแต่ว่าให้รู้จักเว้นความชั่ว ให้ทำความดี ทำบุญ เพื่อหวังจะไปสวรรค์ตามที่พระคัมภีร์ชั้นนี้สอนอย่างนี้ มันยังดีกว่าไปทำชั่ว เกิดคัมภีร์ระดับนี้ขึ้นมาในตอนหลังมาก ไอ้คนที่มันจะไม่มองเจตนาของผู้หวังดีเสียเลย ก็ไปประณามเป็นของปลอมเป็นของไม่ใช่ในพุทธศาสนา อย่าไปคิดอย่างนั้น มันก็เป็นพุทธศาสนาแง่หนึ่งแขนงหนึ่งที่เขาเอาไปทำให้ใช้ประโยชน์ได้ แก่ประชาชนชั้นทั่วๆ ไป ที่จะต้องใช้คำว่ายังโง่เขลา นั่นก็เป็นธรรมดาเป็นชาวไร่ชาวนา ยังไม่ศึกษาอะไรได้มาก ก็ต้องมีพระคัมภีร์ชนิดนี้ เกิดพระคัมภีร์อย่างนี้ขึ้นมามากในยุคหนึ่ง เกิดขึ้นที่ประเทศลังกาหรือที่ไหนก็สุดแท้ แต่ว่าในที่สุดก็ได้แพร่หลายมาถึงประเทศไทย ก็มีอยู่มากในประเทศไทย จารึกอยู่ในใบลาน
แม้ที่สุดแต่คัมภีร์ที่เรายอมรับยาก ถ้าจะเล่น ไม่แกล้ง ไม่ยอมรับ ไม่เชื่อกันก็ได้เหมือนกันล่ะ เช่นคัมภีร์อนาคตวงศ์มีชื่อเสียงมาก เรียกว่า อนาคตวงศ์ วงศ์ของพระพุทธเจ้าที่จะมาในอนาคต เขาเขียนไว้ในใบลานใช้นิยมใช้เทศน์กันตามวัดต่างๆ แทบจะทุกวัดในยุค ๔๐-๕๐ ปีมานี้ ผมก็เคยเทศน์ เรื่องพระพุทธเจ้าองค์นี้ขึ้นไปแล้ว หมดศาสนาแล้ว จะมีศาสนาพระศรีอริยเมตไตรย์ ครบ ๕ องค์ในพัทธกัปป์นี้ ก็พูดถึงกัปป์ต่อไปอีก ก็มีพระพุทธเจ้าชื่อนั้นชื่อนี้ต่อออกไปจนครบ ๑๐ องค์ ถัดจากพระพุทธเจ้าชื่อเมตไตรยนี้ จะมีพระพุทธเจ้าชื่อรามะ แล้วก็ชื่ออะไรต่อๆ ไปอีก นี่ก็ชื่อคล้ายๆ พระราม แล้วก็บอกๆ ว่า แม้แต่พญามารก็จะมาเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง แม้แต่ช้างนาฬาคิรีที่ดุร้ายนั้น ก็จะมาเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง แม้แต่ช้างปาลิไลยกะที่อุปฐากพระพุทธเจ้า เมื่อเสด็จออกไปอยู่ในป่าคราวหนึ่ง ช้างตัวนี้ก็ยังจะมาเป็นพระพุทธองค์หนึ่ง เป็นที่ องค์ที่ ๑๐ ถ้านับจากพระศรีอริยะเมตไตรย์ไปนี้ นี่ก็เรียกคัมภีร์ อนาคตวงศ์คือ พระพุทธเจ้าที่จะมาข้างหน้า ฝ่ายเถรวาท เรามีอย่างนี้
ถ้าเป็นอย่างฝ่ายมหายานก็มีอย่างอื่นเรื่องพระพุทธเจ้ามากมาย เขาก็มีอย่างอื่น นี่ผมยกตัวอย่างคัมภีร์ที่ชื่ออนาคตวงศ์ในฝ่ายเถรวาทเรา ที่ใช้สอนกันอยู่ คุณได้ฟังเรื่องอย่างนี้แล้วคุณคิดว่าอย่างไร ก็คงจะหัวเราะแล้วว่ามันไม่ไหว เอาไปเผาไฟดีกว่า พระคัมภีร์นี้ควรเอาไปเผาไฟดีกว่า แต่อย่าไปคิดอย่างนั้น เพราะว่าเราต้องนึกถึงยุคสมัยที่มันผิดกันในถิ่นที่มันผิดกัน คำพูดอย่างนี้มันมีประโยชน์ มันเคยมีประโยชน์ เขาก็ใช้กันไปอย่างมีประโยชน์ มันก็จะมองในแง่ว่า ถ้าช้างมันยังเป็นพระพุทธเจ้าได้แล้ว ทำไมคนจะยังมามัวโง่อยู่เล่า มันควรจะไม่เลวกว่าช้าง มันควรจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ อย่างนี้ก็มีประโยชน์แล้ว ฉะนั้นอย่าไปคิดกับเขาที่พูดไว้อย่างไม่มีประโยชน์ มันมีส่วนที่จำเป็นที่จะต้องพูดกันอย่างนั้น เพื่อพยุงน้ำใจเพื่อจะส่งเสริมให้ความกล้าหาญไปตามเรื่อง นี่ยกมาแต่ชื่อแต่หัวข้อเรื่องรายละเอียดพิสดารหลายร้อยหน้า คัมภีร์ชนิดนี้ยังมีอีกมากมายหลายสิบคัมภีร์ ก็เรียกว่า พระคัมภีร์ทางศาสนาในพระพุทธศาสนา เดี๋ยวนี้ก็ยังมีพิมพ์อยู่ ถ้าไปพบเข้าก็ต้องทำใจดีๆ อ่านก็อ่านอย่างหาเหตุผลหาอะไรไปตามเรื่อง หรือไม่อ่านก็ได้ ไม่ต้องอ่านก็ได้
นี่ผมบอกให้ฟังว่า คัมภีร์พุทธศาสนานี้มันเป็นอย่างนี้ มีตั้งแต่ที่ว่าบริสุทธิ์แล้วก็มีขยายออกไปตามคำอธิบาย ความคิดเห็นของผู้อธิบายเรื่อยๆ มาจนกระทั่งเขาก็รวบรวมข้อความเหล่านั้นมาแต่งเป็นรูปเรื่องขึ้นใหม่ก็แต่งลดลงไปๆ จะทำให้เป็นประโยชน์แก่ประชาชนชั้นที่ไร้การศึกษา แต่ยังจะต้องประพฤติให้ดีที่สุดในการที่จะกลัวบาป แล้วก็รักบุญ บำเพ็ญกุศล แล้วนับว่าเขาทำถูกต้องแล้ว
ทีนี้ก็ยังมีอีกแง่หนึ่งที่จะพูดให้ฟัง ไม่ว่าคัมภีร์ชั้นไหนก็ตามเถิด ชั้นบาลี ชั้นอรรคกถา ฎีกา อนุฎีกา จนกระทั่งคัมภีร์แต่งขึ้นทีหลังนี่ มันก็ต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติม มีส่วนที่เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกันเรื่อยไป ใครจะไปห้ามใครได้ มันตั้งสองพันกว่าปีมาแล้ว มันเคยตกอยู่ในกำมือของไอ้คณะสงฆ์บางแห่ง บางกลุ่ม บางสมัย ซึ่งอาจจะแก้ไขได้ ถ้าไปพบข้อความใดๆ ในพระคัมภีร์นั้นๆ แม้ที่สุดแต่ในตัวพระไตรปิฎกเองก็ทำใจให้เป็นกลางไว้อย่างนี้ เดี๋ยวเขาอาจจะหมายความอย่างอื่น เขามุ่งหมายจะแสดงใจความอย่างอื่น ไม่ได้ต้องการให้เชื่อเรื่องฝอยชนิดนั้น ที่เขาวิจารณ์กันมาก ซึ่งสูตรที่ว่าด้วยเรื่องพระราหูอมเอาพระอาทิตย์หรืออมพระจันทร์แล้วแต่โอกาส แล้วก็พระอาทิตย์หรือพระจันทร์นั้นแหละ เขาร้องขึ้นมาถึงพระพุทธคุณของพระพุทธเจ้า ราหูมันต้องคายทิ้งทันที ถ้าขืนไม่คายทิ้งหัวมันจะแตกเป็นเจ็ดเสี่ยง ข้อความอย่างนี้ก็มีในพระไตรปิฎก และบาลีชั้นภาษาพระบาลี จริงๆ แล้วมันมีอยู่น้อยมากมันน้อยมาก มีอยู่ไม่กี่สูตร สูตรชนิดนี้มีในพระไตรปิฎกเท่านั้นเอง ก็อย่าเพิ่งไปคิดว่ามันเป็นเรื่องมิจฉาทิฐิ เรื่องผิดพลาด คือว่าเราไม่สนใจก็แล้วกัน ถ้าสนใจก็ต้องสนใจไปในแง่ที่ว่าเขาตั้งใจจะให้คนนับถือพระพุทธเจ้าอย่างแน่นแฟ้นมากขึ้น เพิ่มพูนศรัทธาในพระพุทธเจ้ามากขึ้น ถึงขนาดที่ว่ามีอันตรายมาก ถ้าออกชื่อพระพุทธเจ้าแล้วอันตรายนั้นก็หายไป อาจจะเป็นไอ้หลักที่ต้องตีความเป็น สัมมาธิษฐานในรูปนี้ แล้วก็เขียนในรูปบุคลาธิษฐานเช่นนั้น จึงต้องขอร้องว่าอย่างเพิ่งไปเอะอะ เอะอะกับเรื่องอย่างนี้แล้วไปกล้าพูดว่า มันเป็นของแปลกปลอม ก็ไม่ถูกทั้งนั้น แต่เราไม่พูดดีกว่า พระอาจารย์ทั้งหลายก็ลงมติเห็นพ้องกันว่า ไม่ควรจะไปตัดทิ้งหรือลบออกให้คงมีอยู่อย่างนั้นในพระไตรปิฎกนั้น ต่อไปนี้ก็เป็นข้อยุติกันว่าพระคัมภีร์ พระไตรปิฎกนั้นต่อไปนี้จะไม่ไปแตะต้อง ไปตัดออกหรือไปเพิ่มค่า ถึงอรรถกถาหรือฎีกาก็เหมือนกัน เพราะคนสมัยนี้เขามีการศึกษาดี เขารู้ว่า รักษาไว้อย่างนั้นสำหรับการศึกษาต่อไปข้างหน้าดีกว่า ที่จะไปอวดดีทำเป็นผู้รู้แล้วไปตัดบางอย่างออกเสีย
นี่ปัญหาเกี่ยวกับคัมภีร์พระพุทธศาสนา พูดให้มันเกลี้ยงเกลาในแง่ต่างๆ แต่ดูมุ่งหมายว่าเพื่อให้พวกคุณนี่รู้จักว่า พระคัมภีร์คืออะไร เราถือเอาแต่ที่มันมีประโยชน์ก็แล้วกัน กระทั่งว่าไม่ต้องถือในลักษณะเป็นของขลังของศักดิ์สิทธิ์ผิดธรรมดาก็ได้ แต่ให้ยอมรับว่ามันเป็นความลึกซึ้งของธรรมชาติที่เขาพบแล้ว ดับความทุกข์ได้อย่างนี้พอ ถ้ามีข้อความใดที่เราไม่เห็นด้วย ก็ทิ้งไว้นั่นแหละ คือเราไม่ไปยุ่งกับมัน เราก็จะเก็บเอามาแต่ที่จะใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ ถ้ามันมีไว้มากๆ ก็ยิ่งดี มันก็ในป่าในดงก็ไม่มีอะไรมาก เราต้องการอะไรเราก็ไปเก็บเอาเฉพาะสิ่งนั้น ส่วนนั้นดีกว่า ข้อที่เราจะต้องปฏิบัติแด่พระคัมภีร์ทั้งหลายในปัจจุบันนี้มันมีอยู่อย่างนี้
นี่ผมจึงพูดวันนี้โดยหัวข้อว่า ความเข้าใจถูกต้องเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า พระคัมภีร์ในพระพุทธศาสนา เอาล่ะก็พอสมควรแก่เวลาเท่าที่เรามีอยู่ ให้สรุปว่าเราต้องมีความเข้าใจถูกต้องเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าพระคัมภีร์ในพระพุทธศาสนา ซึ่งใช้ได้กับศาสนาอื่นด้วย กลัวว่าจะไปทำชนิดที่ไม่ควรจะทำ แก่สิ่งที่เรียกว่า พระคัมภีร์ในพระพุทธศาสนา จึงพูดกับท่านผู้บวชใหม่ อย่าไปมีความรู้เพียงพอที่จะไปเกี่ยวข้องหรือไปกระทำกับสิ่งที่เรียกว่า พระคัมภีร์ ซึ่งมีความหมายเลือนมาๆๆ อยู่ในรูปของกระดาษหรือใบลานนั้น ดังที่ว่ามาแล้วนั้น เอาล่ะพอกันทีสำหรับวันนี้