แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ขอให้ทบทวนการบรรยายครั้งที่แล้วมา ว่าเราได้พูดกันมาตามลำดับอย่างไร
ครั้งแรก หลักธรรมสำคัญที่คุณควรทราบในที่นั้นหมายถึง หน้าที่ที่ทุกคนควรทราบ หน้าที่ที่จะต้องรู้ ธรรมะ ฟังธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ ได้รับผลของการมีธรรมะ ต่อมาเป็นเรื่องตนเองที่ตนเองควรจะรู้จัก คนโดย มากก็ไม่ได้รู้จักตัวเอง ก็พูดกันเสียใหม่ว่าไม่รู้จักตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรจะรู้จักอย่างยิ่ง คุณมันรู้จักกันแต่ตัวกู ของกู นั่นมันไม่ใช่ตัวเอง นั่นมันพูดสีตีปากของกิเลส มันไม่ใช่ตัวเอง แต่คุณก็รู้สึกว่าเป็นตัวเองอยู่เรื่อย ให้รู้จักตัวเองให้ถูกต้องกันเสีย อาตมาก็พูดถึงเรื่องอาหาร ที่ต้องรู้จักเลือก รู้จักกิน นี้ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่า ทำอาหารมันมีอะไรมากกว่าที่เราเคยรู้จัก รู้จักกินข้าวปลาอาหารเหมือนว่า กินเนื้อลูกกลางทะเลทราย ให้รู้จัก ผัสสาหารในแง่ที่ว่า เหมือนกับว่าวัวมันถูกถลกหนัง เดินไปในที่ไหนอย่างไร มันก็ต้องระวัง มโนสัญเจตนาหารเป็นอาหารให้เกิดกรรม มันก็หมิ่นเหม่อยู่ที่หลุมทางเดินต้องระวังกันขนาดนั้น เมื่อวิญญาณาหาร ให้มันถูกทางรอด แสวงหาหนทางรอด โจรจะเอาไปฆ่า ก็ต้องคิดหาทางหลุด ทางรอด อาหารเลือก รู้จักเลือก รู้จักกิน มันมากกว่าอาหารทางปาก อันถัดมา อันตรายที่ต้องรู้จักกลัว ไม่มีอันตรายอะไรจะร้ายกาจไปกว่า จิตที่ตั้งไว้ผิด และคนก็ไม่ค่อยรู้เรื่องว่าจิต ไม่รู้ว่าจิตตั้งไว้ผิดไว้ถูกอย่างไร เหมือนกับคนหลับอยู่เลย ไม่รู้จักอันตรายให้ดีๆ ที่ไม่เห็นว่าเป็นอันตราย ถือเป็นอันตรายอย่างยิ่งถ้าจิตตั้งไว้ผิด บางคนก็ชอบรับจิตที่ตั้งไว้ผิด เพราะมันเกิดกิเลสแล้วมันสนุกดี มันเอร็ดอร่อยดีทำนองนั้น
ทีนี้ก็มาถึงมิตรสหายที่จะได้กล่าวกันในวันนี้ เพื่อน เพื่อนที่ทุกคนควรจะรู้จักคบ ในชั้นแรกที่เรา
พิจารณากันถึงความหมายของคำว่าเพื่อน ให้เข้าใจกันพอสมควรซะก่อน มันมีความหมายกว้างมาก นับตั้งแต่คำว่า ญาติ มิตร สหาย คำว่าเพื่อน พรรคพวก มีอยู่หลายคำ คำว่าญาติเมไม่ได้เสียงว่าเพื่อน ก็นับว่าเป็นเพื่อนที่ดีอยู่ตลอดเวลา คำว่าญาตินี้แปลว่า ต้องรู้ ต้องรู้ ต้องรู้สึก ต้องระลึกถึงเสมอ ญาติ คนที่เป็นญาติหมาย ความว่า เราจะต้องนึกถึงเขาอยู่เสมอ ต้องรับรู้ว่าเขาเป็นญาติ อย่างนี้ถึงเรียกว่าญาติ
คำว่ามิตรนั้น มันจะเป็นคำว่ารักเมตตานั่นเองแหละ ถ้าเมตตาซึ่งกันและกัน ก็เรียกว่าเป็นมิตรสหาย คำที่แปลว่าไปด้วยกัน สห แปลว่า ด้วยกัน หายะ แปลว่า ไป ไปด้วยกันมาด้วยกันนี่เขาเรียกสหาย ทำร่วม กันเขาเรียกว่าสหาย คำว่าเพื่อนมาจากคำสหายมีความหมายกว้าง จะต้องพิจารณาดูน้ำหนักของคำคำนี้ดูให้ดี การพิจารณานี้ก็ไม่ยากลำบากอะไร มีเรื่องในพระคัมภีร์อยู่เรื่องหนึ่งเรียกว่า เรื่องสหายนี่ และก็วัดกันด้วยวาจา ก็มีลูกคนร่ำรวย ๔ คน ขี่รถขี่ม้าออกไปเที่ยวนอกเมือง นายพรานคนหนึ่ง เขาบรรทุกเนื้อเข้ามาเต็มเกวียนขับเข้ามาในเมือง พวก ๔ คนนี้ก็เลยคิดสนุกๆ ว่า เราจะลองว่าใครจะขอเนื้อจากนายพรานคนนี้ได้มากกว่ากัน ได้ดีกว่ากัน คนที่ ๑ เข้าไปขอใช้คำว่า นายพรานให้เนื้อแก่กูบ้าง ก็เป็นลูกเศรษฐีก็พูดกับนายพรานที่เป็นคนชั้นต่ำอย่างนั้น นายพรานก็พูดว่า คำพูดนี้มันเหมือนกับพังผืด ก็เลยตัดแต่พังผืดหลายๆ ชิ้นรวมให้คนขอคนนี้ ลูกเศรษฐีอีกคนก็เข้าไปขอบ้าง บอกว่าพี่พรานขอเนื้อบ้าง นายพรานก็เลยว่า เป็นล่ำเป็นสันดีก็เลยให้เนื้อกล้ามมาคนนึง ลูกเศรษฐีคนที่ ๓ ก็ไปขอด้วยคำว่า พ่อ พ่อพราน พ่อขอเนื้อบ้าง นายพรานว่าคำว่าพ่อเป็นคำที่มีน้ำ หนักจับถึงขั้วหัวใจ ถ้าลูกมันเรียกว่าพ่อ พ่อมันรู้สึกจับใจถึงหัวใจ คำพูดนี้มันเหมือนกับหัวใจ เขาก็เลยคัด เลือกเอาพวกหัวใจให้แก่เศรษฐีคนนี้ ลูกเศรษฐีคนที่ ๔ ซึ่งเป็นโพธิสัตว์ เข้าไปขอด้วยคำว่าเพื่อน ขอเนื้อบ้าง นายพรานคิดว่าคำว่าเพื่อนมีความหมายคลุมไปทั้งโลก ถ้าโลกนี้ไม่มีเพื่อน โลกนี้ก็ไม่มีความหมาย ถ้ามีเพื่อนอยู่ในโลกนี้ โลกนี้มันมีความหมาย คำว่าเพื่อนมีความหมายเท่ากับโลก ฉะนั้นเขาให้เนื้อหมดทั้งเกวียนรวมตัวเขาด้วย ไอ้คำว่าเพื่อนนี้มีน้ำหนักอย่างนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศอินเดีย ที่เป็นต้นตอของถ้อยคำเหล่านี้ เขาให้น้ำหนักแก่คำว่าเพื่อนมาก ถึงขนาดนี้ที่เป็นทั้งหมดโลกนี้จะต้องมี ถ้าไม่ต้องการเชื่อนิทานชาดก ไม่ต้อง การรู้ว่าคำว่าเพื่อนนี้มันเคยมีน้ำหนักมาแล้วอย่างไร ทำไมมันจึงมีน้ำหนักมากกว่าพ่อ หรือพี่ หรือมันคงจะไม่หนักกว่า แต่มันกว้างกว่า ขอให้สังเกตดูดีๆ ความหมายของคำว่าเพื่อน เพื่อนแยกได้หลายๆ อย่าง อย่าลืมอย่างที่ผมพูดไว้เสมอว่า การศึกษาความหมายของคำแยกเป็น ๒ ชนิดเสมอ ก็คือภาษาคนอย่าง ภาษาธรรมอย่าง ภาษาคนภาษาที่ลึกซึ้งเช่น เรื่องทางจิต ทางวิญญาณ คำว่าเพื่อน ภาษาก็หมายถึงเพื่อนที่เรารู้จักกันดี ยังแยกได้ว่าเพื่อนที่อยู่ในเรือน เพื่อนที่อยู่นอกเรือน เพื่อนในเรือนหมายถึง บุตร ภรรยา สามี เป็นเพื่อนที่อยู่ในเรือน ร่วมเรือนใกล้ชิดเป็นสุพิชา สุหถยา แปลว่า สนิทใจ ใกล้ชิด เพื่อนในเรือน มาตา มิตฺตํ สเก ฆเร มารดาเป็นเพื่อนที่ไม่เลือน ภริยา ปรมาสขา ภริยาเป็นอย่างยิ่ง เป็นเพื่อนอย่างยิ่ง นี่ก็ไม่ต้องอธิบายแล้วพอจะรู้กันได้ ผมต้องการจะอธิบายเพื่อนชนิดอื่น จะมาพูดด้วยที่เพื่อนนอกเรือนนะ ก็มีเพื่อนฝูงทั้งหลายที่อยู่กันคนละบ้าน แต่มันก็ยังมีเพื่อนอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพื่อนธรรมดา เขาเรียกกันว่าเพื่อนยาก เพื่อนคู่ใจ เพื่อนสุข เพื่อนทุกข์ เพื่อนเหล่านี้มันห่างออกไป มันมีความต้องการก็ต่อเมื่อมันมีเรื่องจำเป็นเกิดขึ้น ร้องให้ผู้อื่นช่วย จึงเอาเพื่อนนอกเรือนมาช่วย มันเหลือกว่าความสามารถของเพื่อนในเรือน ก็ต้องเรียกเพื่อนนอกเรือนมาช่วย มีที่เห็นๆ กันอยู่ไม่ต้องอธิบายหรอกนะ แต่ก็เรียกว่าเพื่อน คือหมายถึงเพื่อนในภาษาธรรม ภาษาที่สูงไปกว่าภาษาธรรมดา นักเรียนลองคิดดู มีพระพุทธภาษิตตรัสเรียกบุคคลพวกที่เป็นเพื่อน หรือพวกเพื่อนว่าทิศเบื้องซ้าย ถ้าคุณท่องนวโอวาสมาแล้วก็รู้ได้ดี ทิศเบื้องหน้าคือบิดามารดา ทิศเบื้องหลังบุตรภรรยา ทิศเบื้องขวาครูบาอาจารย์ ทิศเบื้องซ้ายคือเพื่อนหรือมิตรสหาย มีความหมายเป็นผู้ช่วยอยู่ข้างซ้าย เรียกว่าแขนซ้าย คู่กับแขนขวาคือครูบาอาจารย์ นี่มันแสดงว่ามันขาดไม่ได้ ไม่ว่าในกรณีเรื่องลูกโลก เพื่อนบ้านเรือน ทำมาหากิน ก็ขาดเพื่อนไม่ได้ เชิงธรรมะในทางปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุมรรคผลคือนิพพาน เพื่อเดินทางไปในนิพพาน ก็ยังต้องการเพื่อน จึงมีความหมายสูงกว่าธรรมดาเป็นกัลยาณมิตร ช่วยชี้ทางสำหรับไปนิพพาน พระพุทธเจ้าเป็นจอมเพื่อน เป็นยอดของเพื่อน ในกรณีนี้ก็หมาย ถึงบุคคลภายนอก ในภาษาวิญญาณในภาษาธรรม ทีนี้ยังมีเพื่อนที่เป็นธรรมโดยตรงที่หนึ่งคือ ธรรมะ ตัวธรรมะนี่แหละที่จะเป็นเพื่อนจริงยิ่งกว่าเพื่อนใดๆ ธรรมะที่เราประพฤติได้ ได้มันก็เป็นเพื่อนในความหมายสูง สุด ในคำว่ามิตรสหายที่ทุกคนควรรู้จักคบหมายถึงส่วนนี้ เป็นใจความสำคัญคือเป็นแกนกลางธรรมะที่ช่วยได้เรียกว่าเพื่อน ก็ดูดีเถอะว่า จะเห็นว่าไม่มีอะไรจะช่วยคนเราได้ดีไปกว่าธรรมะ ถ้าเรามีเพื่อน มีสำหรับจะช่วย และอะไรจะช่วยยิ่งไปกว่าธรรมะ จึงถือเอาธรรมะเป็นกัลยาณมิตรชั้นสูงสุด เพื่อนธรรมดาที่เป็นมนุษย์ด้วยกันก็ช่วยกันได้ ช่วยกันไปหลายอย่างหลายทาง แต่ไม่อาจช่วยได้มากเหมือนธรรมะ ธรรมะมันเข้าไปช่วยได้ถึงจิต ใจและให้มันช่วยได้ลึกซึ้ง ช่วยได้มากกว่า เราจะพูดกันถึงส่วนนี้มาก
คำว่าเพื่อนมักจะเป็นภาษาธรรมะ มันเองมี ๒ ความหมาย เป็นบุคคลก็ได้ถ้าบุคคลชี้ทางไปนิพพาน นี่คือเพื่อนจริงๆ ฉะนั้นครูบาอาจารย์ที่ชี้ทางไปนิพพาน ก็จัดไว้เป็นเพื่อนในระดับนี้ และไม่จัดเป็นครูบา อาจารย์ เขาเรียกว่าเพื่อน แต่เรียกเต็มที่ว่ากัลยาณมิตร เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้อยู่ อาจารย์ที่สอนกรรมฐาน ถ้าเรียกให้ถูกต้อง ก็ต้องเรียกกัลยาณมิตร เพราะว่าถือว่าไม่มีใครพาใครไปได้ต้องไปเอง อาจารย์ก็เป็นผู้ช่วยให้คำแนะ นำบอกกล่าว ก็ยิ่งนั้นๆ เป็นเพื่อนอย่างบุคคลสูงสุดเป็นกัลยาณมิตร ชี้ทางไปนิพพาน เพื่อนที่ยิ่งไปกว่านั้นอีก ก็เป็นธรรมะ เป็นนามธรรม คือธรรมเราปฏิบัติให้มีขึ้นที่กาย ที่วาจา ที่ใจ นับว่าช่วยระงับดับกิเลส ช่วยทุกอย่างให้เป็นปัญหาให้มันหมดไปได้ ธรรมะเป็นเพื่อนสูงสุด แต่ต้องเป็นธรรมะที่ปฏิบัติถูกต้อง ที่นี้เราจะต้องมองชีวิตกันในเง่ที่มันลึกๆ ว่า ชีวิตนี้ไม่เพียงแต่ว่ามันเป็นอยู่ จะกินอาหาร มันจะอาบ มันจะถ่าย และมันจะ ต้องตาย เรียกว่าชีวิต นี่ยังมองกันผิวๆ เผินๆ ว่า ชีวิตอย่างนี้มองที่วัตถุ มองที่เนื้อหนังที่ร่างกาย ชีวิตในความ หมายที่ลึกก็หมายนามธรรม ทีนี้ก็พูดได้ว่าไอ้ชีวิตนี่มันเป็นการเดินทางอยู่ในตัวชีวิต ชีวิตมันเดินทางไปไหน จะเดินทางไปหาจุดสูงสุด สุดท้ายที่ปลายทาง ถ้าพูดได้ตามหลักของชีวิต คนมีชีวิตที่ต่ำต้อย วิชาชีวิตเป็นอะไรทำนองนี้ วิวัฒนาการเรื่อยมาหลายล้านปี จะเป็นชีวิตที่สูงขึ้นมาจนเป็นพืช จนเป็นสัตว์ จนเป็นมนุษย์ กระทั่งเป็นมนุษย์อย่างเทวดา อย่างพรหม ดูตามทิวทัศน์อันนั้น ก็เหมือนว่าชีวิตคือการเดินทาง จากสัตว์เซลล์เดียวแท้ๆ มาเป็นสัตว์ที่เป็นหลายเซลล์วิเศษอย่างมนุษย์ ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็จะไปโลกพระจันทร์ได้ จะไปไหนได้เกินสติ ปัญญาขนาดนั้น แต่แล้วก็ยังไม่รู้จักใช้ธรรมะให้เป็นเพื่อน โลกนี้ยังไม่มีสันติภาพ ต้องยังขาดธรรมะมาเป็นเพื่อน ในการเดินทางของมนุษย์มองในอีกแง่หนึ่งว่า ชีวิตนี้มันเป็นการต่อสู้ ถึงแม้ว่าชีวิตคือการเดินทาง การเดินทางเป็นการต่อสู้อยู่ในตัวการเดินทาง เช่น สัตว์เซลล์เดียว วิวัฒนาการมาเป็นสัตว์หลายเซลล์ มาเป็นคนนี่ มันเป็นการต่อสู้ มันพ่ายแพ้ มันตาย มันสูญหาย ถ้าไม่รู้ว่ากี่สาย กี่แขนง เดี๋ยวนี้มันเหลือแต่สายแขนงที่มันต่อสู้ได้ มาเป็นมนุษย์อย่างนี้ เขาเรียกว่าชีวิตคือการต่อสู้ แต่อย่างนั้นการต่อสู้ทางภายนอกร่างกายก็ไม่สำคัญ ความหมายที่สำคัญคือการต่อสู้สภาพจิตกิเลส
เอ้า, คนเราๆ เดี๋ยวนี้ที่เดินทางมาถึงที่นี่แล้วด้วยการต่อสู้ ยังเหลือการต่อสู้อย่างน่าหวาดเสียวคือการต่อสู้ด้วยกิเลส ไอ้คนที่ไม่ได้การต่อสู้ด้วยกิเลส นั่นก็หมายความว่าใช้ไม่ได้ เป็นคนเลว มันใช้ไม่ได้ ถือว่าพ่ายแพ้แก่กิเลสซะแล้ว ถ้ายังเป็นมนุษย์ที่มีเกียรติของมนุษย์อยู่ มันก็ต้องต่อสู้ตัดกิเลส ซึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดาและก็เจริญมากขึ้น ตามที่สมองมันเจริญมากขึ้น ต้องต่อสู้กับกิเลสให้กิเลสพ่ายแพ้ไปเท่าไร ความดีความงามมันก็มีมากขึ้น เดี๋ยวนี้เราต้องอยู่ด้วยการต่อสู้ด้วยกันทั้งนั้น ทางร่างกายก็ต่อสู้เรื่องกินอาหาร เรื่องการเจ็บป่วย ก็ต่อสู้กันไป ทางจิตใจในการต่อสู้อย่างละเอียด อย่างเร้นลับ กิเลสเกิดขึ้นก็ทำให้เร้าร้อน ก็ทำให้เป็นทุกข์ ต้องต่อสู้เพื่อให้มันเย็นลง ถ้าชนะมันก็เย็นลงสำเร็จ เป็นความเย็นเป็นนิพพานน้อยๆ อยู่เป็นคราวๆ ถ้าไม่มอง เห็นข้อนี้ ก็จะไม่มองเห็นความจำเป็นเลย ที่ว่าเราจะต้องมีเพื่อนที่ดีที่สุดคือธรรมะ มันเหมือนว่าเราไม่มีศัตรู เราก็ไม่ต้องมีเพื่อนมาช่วยคือธรรมะ ฉะนั้นธรรมะก็เป็นเพื่อน เป็นมิตร หรือกัลยาณมิตรได้เหมือนกัน ในความหมายหนึ่ง ยิ่งคิดหาเพื่อนในชั้นสูงสุดหรือชั้นลึกซึ้งในทางผ่านปรมัตถธรรม ได้แก่ธรรมเป็นเพื่อน ทีนี้ก็เกิดแง่มุมที่จะพูดจะพิจารณากันเป็นขึ้นมาตามตัวหนังสือ
ธรรมมี ๒ ความหมายในกรณีอย่างนี้ คือ ธรรมที่เกิดความเป็นเพื่อน ยกตัวอย่างและธรรมที่มันเป็นเพื่อนตัวเอง ธรรมในความหมายหนึ่งมันเป็นเพื่อนของเราซะเอง แต่ธรรมในอีกความหมายหนึ่งเป็นเพียงเครื่องกระทำให้เกิดความเป็นเพื่อน เช่นการที่เราจะมีเพื่อนสักคนสองคนที่เป็นเพื่อนที่ดีนะ มันต้องมีธรรมะมาเป็นเครื่องกระทำ ถ้าเพื่อนประกอบด้วยทาน ไอ้เราก็ต้องประกอบ ด้วยทาน ต่างคนต่างมีธรรม มันจึงจะเกิดเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน อย่างนี้ก็พูดได้ตั้งแต่ชั้นต่ำๆ ขึ้นไป เราเป็นเพื่อนที่ดีกันเท่าไร เราก็ต้องมีธรรมะมากขึ้นเท่า นั้น ให้ทานที่ทำความเป็นเพื่อน ต้องประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง จะ ต้องสงเคราะห์จะต้องปฏิบัติกันอย่างไร ผูกพันกันอย่างไร ให้มันมีอยู่จนกระทั่งถึงกับมันเลื่อนขึ้นไปถึงสิ่งที่ว่าคนอื่นช่วยไม่ได้ บุคคลที่ ๒ มาช่วยเรา ไม่ได้ มันทำได้แต่ตัวเองคนเดียว ก็ต้องมีธรรมแท้ๆ เป็นเพื่อน ต้องประพฤติธรรม ต้องสร้างธรรมขึ้นมาเรียก ว่ามีธรรมเป็นที่พึ่ง ผู้ใดมีธรรมะเป็นที่พึ่ง การต้องประพฤติธรรมะ ชนิดที่มันจะเป็นที่พึ่งแล้ว ธรรมะนั่นมันเป็นที่พึ่งได้จริงยิ่งกว่าเพื่อนที่เป็นคนๆ ด้วย ถ้ามันมีธรรมะเป็นเพื่อน ตัวธรรมะมันเป็นเพื่อนซะเอง ขั้นสูงสุดขั้นละเอียดลึกซึ้งที่สุด เพื่อนหรือสหายหรือมิตรที่ดีก็คือธรรมะ ซึ่งตนจะต้องครองธรรมด้วยตนเอง ในเมื่อพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า จงมีตนเป็นสรณะ จงมีตนเป็นที่พึ่ง ท่านก็ตรัสอธิบายว่า มีธรรมเป็นสรณะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง เป็นภาษาบาลีว่า อตฺตทีปา อตฺตสรณา มีธรรมเป็นเพื่อน มีธรรมะเป็นที่พึ่ง ธรรมะสรณา มีธรรมะเป็นที่พึ่ง หมายความอย่างเดียวไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้ง เป็นเรื่องภายในล้วน เป็นเรื่องข้าศึกคือกิเลสโดยตรง คนอื่นช่วยไม่ได้ กำลังปฏิบัติธรรมให้ถูกต้อง ให้ระงับไป ฆ่าพญามารเสีย ฆ่ากิเลสเสีย ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถือว่าธรรมะเป็นที่พึ่งแห่งตน เอาตนเป็นธรรมะ เอาธรรมะเป็นตน นั่นแหละเพื่อนที่แท้จริง เมื่อไรเรามีธรรมะเป็นตน มีตนเป็นธรรมะ เรานั้นจะได้เพื่อนสูงสุด เพื่อนแท้จริง เพื่อนที่ทุกคนควรรู้จักคบ ที่นี่มมาคบกันแต่เพื่อนที่ไม่จริง คบเพื่อนไว้สำหรับตัวเองจะได้แก้ตัวเมื่อสูบบุหรี่ กินเหล้าเป็นต้น หลายคนแล้ว เคยบวชอยู่ที่นี้ ห้ามกินเหล้า ห้ามสูบบุหรี่ พอพบกันตอนหลังผมก็ถามว่าทำไม ทำอย่างนั้น เมื่ออยู่ที่นี่ทำไมไม่ทำ เค้าบอกว่าเสียเพื่อนไม่ได้ พบกับเพื่อน เพื่อนก็เลยต้องกินเหล้าสูบบุหรี่บ้าง มันมีเพื่อนไว้แก้ตัว ไม่ก็สูบบุหรี่ ไม่ก็กินเหล้า เพื่อนอย่างนี้เป็นเพื่อนชนิดไหนลองคิดดู ก็เป็นเพื่อนสำหรับเลวด้วยกัน เป็นข้อแก้ตัวสำหรับกันและกัน จะเลวลงไปเพื่อนสำหรับเลวลงนรก แล้วก็มีเพื่อนชนิดที่ให้มันสูงขึ้นไป ให้มันจริง ให้มันถูกต้องขึ้นไป คือธรรมะเป็นเพื่อน และก็มีธรรมะด้วยตนเอง เพื่อประโยชน์แก่ตนเอง ในกรณีที่คนอื่นช่วยไม่ ได้ เพื่อนไหนก็ช่วยไม่ได้ เมื่อมันเกิดอันตรายทางภายนอก เป็นน้ำท่วม ไฟไหม้ โจรปล้น อะไรก็ตาม เพื่อนช่วยกันได้ บิดามารดาช่วยได้ มิตรสหายช่วยได้ แต่ความเจ็บ ความแก่ ความตาย กิเลสทั้งหลายมันทำอันตรายเอานี่ ไม่มีใครช่วยได้ นอกจากเพื่อนคือธรรมะ ที่ต้องทำขึ้นด้วยตนเองให้ถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้คือ ตนเองเป็นที่พึ่ง มีธรรมะเป็นที่พี่ง ถ้าจะมองกันที่ตนก็ต้องถามว่า ตนชนิดไหนที่เป็นที่พึ่งแก่ตนได้ นั่นก็ต้องเป็นคนที่เต็มอยู่ที่ธรรมะ หรือธรรมะเต็มแล้วจึงจะเป็นที่พึ่งได้ เพราะฉะนั้นตนกับธรรมะในที่นี้ ก็กลายเป็นสิ่งเดียวกันโดยพฤตินัย แม้จะเรียกชื่อต่างกัน แต่โดยตัวจริงแล้วคือสิ่งเดียวกัน มีตนเป็นธรรมะ มีธรรมะเป็นตน เป็นเพื่อนที่แท้จริง เพื่อนนอกนั้นก็เป็นเพื่อนรองๆ ลงไป ส่วนประกอบรองๆ ลงไป คือถ้าจะระบุชื่อให้ชัดออกไปหน่อย มีธรรมะเป็นเพื่อนนี่ ธรรมะข้อไหนก็ได้ทุกข้อ เพราะธรรมะไม่อาจแยกกันเด็ด ขาดได้ มันเนื่องกันอยู่ทุกข้อ แต่ถ้าจะให้ชัดหน่อยก็ระบุธรรมะประเภทที่เป็นสติปัญญา เป็นวิชชา เป็นแสงสว่าง จะระบุสัมมาทิฏฐิดีกว่า เพราะเป็นชื่อได้ยินกันอยู่บ่อยๆ สัมมาทิฏฐิ แปลว่า ทิฏฐิหรือปัญญา ที่มันถูก ต้อง มันช่วยได้มากช่วยได้ลึกค่อยเตือนใจคำๆ นี้ ที่มันเข้าพระพุทธภาษิตที่ได้คัดไว้ว่า บุคคลล่วงพ้นความทุกข์ทั้งปวงได้ ด้วยสมาทาน สัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิ สมาทานา สัพพัง ทุกขัง อุปัจจะคุง เพราะสมาทานสัมมาทิฏฐิจึงล่วงทุกข์ทั้งปวงได้ ถ้าจะให้เพื่อนข้างนอกช่วยมันเหลืออีกมากที่เค้าช่วยไม่ได้ แต่ถ้าเรามีสัมมา ทิฏฐิเป็นเพื่อนแล้วมันช่วยได้หมด ถ้ามีสัมมาทิฏฐิมันก็เลือกเพื่อนที่ดีได้ มาเป็นเพื่อนรอบนอก เป็นเพื่อน ภรรยา สามี ถ้ามีสัมมาทิฏฐิมันก็รู้เลือกคนที่ดีเป็นเพื่อน ทีนี้ถ้ามีสัมมาทิฏฐิมันก็รู้จักปฏิบัติอย่างนั้นอย่างนี้ ป้องกันโจรขโมย โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้ เช่นนี้
ทีนี้ที่ว่าเพื่อนที่นี้มันช่วยเข้าไปถึงข้างในคือจิตใจ แม้ว่าจะมีการอารักขาดีแล้ว แต่มันยังกลัวอยู่ แล้วมันก็รบกวนอยู่ข้างในจิตใจ แล้วใครจะตามไปแก้ได้ ก็ต้องธรรมะเท่านั้น ถ้าสิ่งอะไรที่ทำให้เราวิตกกังวลหวาดเสียวเกิดขึ้น กลัวทำให้รำคาญทำให้ผวาอยู่เสมอ มันต้องแก้ด้วยปํญญาคือความรู้ที่ถูกต้อง ถ้าไม่มีปํญญาความรู้อันนี้มันเกิดขึ้น แล้วอันนั้นมันจะหายไป คือความกลัวก็ดี ความรู้สึกที่เป็นสิ่งที่เบียดเบียนความสงบของใจมันจะหายไป เพียงขอสังเกตให้มากหน่อย ในข้อนี้ว่าไอ้เรื่องที่มันกลุ้มอกกลุ้มใจไม่มีใครแก้ได้ เพื่อนก็แก้ไม่ได้ บุตรภรรยาสามีก็ช่วยไม่ได้ มันก็ต้องแก้ด้วยสัมมาทิฏฐิคือความรู้ที่ถูกต้อง ถ้าความรู้ไม่ถูกต้องมันก็แก้ไม่ได้เหมือนกัน กลุ้มอยู่นั่นแหละ ก็มีความทุกข์ทางใจอยู่นั่นแหละ พอมีสัมมาทิฏฐิเข้ามา มันก็มองเห็นได้หรือปลงตก หายไปหมดเลย จะเห็นความทุกข์เกี่ยวกับความตาย คนรู้ว่าจะตายแน่ ถ้าคนโง่ก็จะเป็นทุกข์เดือด ร้อน ถ้าคนมีสติปัญญาก็ไม่ต้องเดือดร้อนอะไร ถึงคราวที่ต้องตายก็ตาย มันก็ไม่ต้องเดือดร้อนให้มันเสียเวลา สัมมาทิฏฐิมันจะช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ได้ทุกครั้ง ทุกระดับเลย แม้กระทั่งในจิตใจที่คนอื่นตามเข้าไปช่วยไม่ได้ ธรรมะคือสัมมาทิฏฐิ จะเป็นเพื่อนที่สูงสุดในชื่อที่เรียกว่าธรรมะเป็นเพื่อน ธรรมะเป็นเพื่อน มันจะต้องพยายามให้สุดความสามารถที่จะอบรมสัมมาทิฏฐิให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป คือพอกพูนสัมมาทิฏฐิเรียกว่าปัญญาก็ได้ ถ้ามันยิ่งๆ ขึ้นไปถ้ามันจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด ที่ประเสริฐที่สุด ทุกหนทุกแห่ง เพราะมันตามติดอยู่ในใจด้วย มันจะระงับดับทุกข์ก็ได้ ดับกิเลสก็ได้ ปัญญาสัมมาทิฏฐิมันก็ดับกิเลสอยู่แล้ว ดับสกัดต้นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ได้ กิเลสเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ถ้ามันตัดได้มันก็ไม่เกิดทุกข์ คือว่าถ้าทุกข์มันได้เกิดแล้ว ร้องฟูมฟายอยู่ในใจ ไอ้ตัวสัมมาทิฏฐิแหละจะช่วยดับทุกข์ที่อยู่ในใจ มันจึงว่ากิเลสก็ดับได้ ความทุกข์ก็ดับได้ เพราะเพื่อนคนนี้คือสัมมาทิฏฐิ เรียกว่ามีธรรมะเป็นสหาย หรือมีสหายเป็นธรรมะ ไม่ว่าจะพูดคำไหน เรามีธรรมะหรือมีพระธรรมเป็นสหาย หรือว่าเรามีสหายเป็นพระธรรม นี่คือเพื่อนที่ดีที่สุด ธรรมะสหายหรือสหายธรรมความหมายเหมือนกัน มีธรรมะเป็นสหาย มีสหายเป็นธรรมะเหมือนๆ กัน
คราวนี้ดูให้ดีอีกนิดหนึ่ง ดูศัตรูดูให้ครบถ้วน ดูออกไปถึงศัตรู รู้ค่าของมิตรสหายได้ดียิ่งขึ้นไปอีก ศัตรูมันก็ไม่มีอะไรที่ร้ายกาจยิ่งไปกว่ากิเลส กิเลสนั่นแหละ มันทำความเป็นศัตรู การที่เราจะเพาะศัตรูที่เป็นมนุษย์เป็นคนๆ รอบๆ ตัวเราขึ้นมาได้ ก็เพราะว่าเรามีกิเลส หรือว่าเขาก็มีกิเลส คนพาลที่เป็นศัตรูของเราก็เพราะว่า เราทำให้กิเลสของเราไปทำให้เขาขัดใจ หรือว่าตัวเขาเองก็มีกิเลสเป็นเครื่องทำความเป็นพาลของเขา ฉะนั้นเราพูดว่าศัตรูที่แท้จริงคือกิเลสนะ มันไม่มีทางผิดหรอก หมายศัตรูที่เป็นคนๆ ก็ได้ มันมีกิเลสที่เป็นศัตรูกับเรา หรือว่าอยู่กันดีๆ ทำเขาให้เป็นศัตรูแก่เราขึ้นมา เพราะว่าเรามีกิเลส เราโง่ไปพูดผิดทำผิดแสดงอะไรผิดนะ มันก็ศัตรูมา นี่เรียกว่ากิเลสคือความโง่ของเรา มันสร้างศัตรูมา ถ้าใครโกรธ ใครอยู่ว่าง ถ้ามีใครคู่ไม่พอ ใจกันอยู่ว่าง พิจารณาให้ดี มาจากกิเลสของคนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคน ถ้าว่ากำจัดกิเลสได้ก็กำจัดศัตรูได้ ป้องกันการเกิดแห่งศัตรูได้ จึงเหมาไว้ให้ที่กิเลสทั้งหมดทั้งสิ้น ตัวคนถ้าดูอีกทีนึง กิเลสโดยตรงก็เป็นศัตรูยิ่งกว่าคนที่มีกิเลส หรือไม่เชื่อก็ไปคิดดูเองก็แล้วกัน ศัตรูที่เป็นตัวกิเลสโดยตรง กับศัตรูที่เป็นคนที่มีกิเลส มันหมายถึงคนนะ ๒ อย่างนี้อันไหนที่มันน่ากลัวกว่าหรือเป็นศัตรูกว่า ไปคิดดูให้ดี คนที่ปราศจากธรรมะแล้วก็เป็นศัตรู เพราะธรรมะมีความเป็นมิตร คนที่เป็นมิตรเมื่อปราศจากธรรมะแล้วก็เป็นศัตรู เพราะมันต้องทำไปด้วยพระธรรม กิเลสมันก็เลยเป็นศัตรู ไม่ว่าไปที่ไหนก็เป็นศัตรู เปะปะๆ มีแต่ความเป็นศัตรู อธรรมะเป็นศัตรู ธรรมะก็เป็นเพื่อน ที่เราดูว่าศัตรูก็เป็นคู่ปรปักษ์ ตรงข้ามกับเพื่อน ธรรมะแท้ก็เป็นเพื่อนแท้ อธรรมะแท้ก็เป็นศัตรูแท้ได้เหมือนกัน สำคัญที่จะชนะศัตรูได้จริงก็ต้องอาศัยเครื่องมือที่แท้จริง ก็คือธรรมะ ในเมื่อพูดว่ามิตรสหายที่ทุกคนควรรู้จักคบ หมายความไกลไปถึงส่วนนี้ ศัตรูทั้งหลายที่ทุกคนควรรู้จักหลีก ก็คืออธรรมะหรือกิเลสนั่นเอง เรารู้จักได้พร้อมๆ กันไปทั้ง ๒ อย่างเลย เพราะมันตรงกันข้ามอยู่ นี่เราต้องมีเพื่อนในทุกระดับ ในทุกความหมาย แต่ในทุกระดับในทุกความหมายที่จะต้องเนื่องด้วยธรรมทั้งนั้น ก็ปริยายหนึ่ง คำว่าเพื่อนในทุกความหมายจะต้องเนื่องด้วยสิ่งที่เรียกว่าธรรม แม้แต่เพื่อนเล่นกีฬา เพื่อนเล่นหัวต่างๆ กันก็ต้องเนื่องด้วยคำว่าธรรม แต่เป็นธรรมชั้นต่ำๆ ธรรมชั้นไหน ถ้าเพื่อนช่วยกิจการงาน ก็ธรรมะให้สูงขึ้นไป เพื่อนช่วยให้รอดที่ตามนิพพานได้สูงสุด เขามอบธรรมให้แก่เรามาเป็นเพื่อน ถ้าผู้ใดมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นเพื่อนได้ละก็ นับว่าถึงที่สุดแห่งความหมายอันนี้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มาไว้ในใจก็นับว่าเป็นเพื่อนที่ดีจริง จะเอาสัญลักษณ์ของท่านมาแขวนไว้ที่คอ เป็นพระเครื่องลางก็ได้ ที่เป็นเพื่อนกันลืม สำหรับให้ระลึกนึกคิดไว้ว่ามีธรรมะขึ้นมาในใจ ทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันรวมอยู่ที่คำว่าธรรมคำเดียว ความถูกต้องแยกเป็นความสะอาด ความสว่าง ความสงบ ก็ลงด้วยคำว่าความถูกต้องคำเดียวเป็นใจความสำคัญ หรือความหมายสำคัญของคำว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าเราเอาท่านมาไว้ในใจได้ ก็เป็นเพื่อนสูงสุด เอาพระเครื่องมาแขวนคอเป็นสัญลักษณ์ของท่านก็เพื่อกันลืม อย่าลืมเสียถ้ามีองค์จริงๆ อยู่ข้างในก็คุ้มครองได้
มีเพื่อนตั้งแต่อย่างที่เรียกว่าต่ำที่สุด ผมก็มีเพื่อน ๒ ขาบ้าง ๔ ขาบ้างอย่างสุนัขนี่ก็เพื่อนในชั้นต่ำ ความ หมายที่ต่ำที่สุด มันช่วยได้หลายอย่างเหมือนกัน ก็เป็นเพื่อนบางทีก็เป็นเพื่อนที่ดีในความหมายนึ่ก็ได้ คือมันไม่เคยโกรธเลยผมสังเกตดู สุนัขนี่จะตีมันจะด่ามันมันไม่โกรธเลย ไอ้เพื่อนที่เป็นคนมันยังโกรธนะ ลองไปตีไปด่าไปว่ามันมันโกรธ ฉะนั้นจึงมีเพื่อนในหลายๆ ความหมาย เรามีไว้สำหรับช่วยให้เกิดความสบายใจ พอใจ บางทีนะก็จำเป็นต้องมี เป็นเพื่อนคุ้มครองทรัพย์สมบัติ ไปในป่าในดงก็มีสุนัขเป็นเพื่อนเรียกว่า ชั้นต่ำที่สุด มีเพื่อนเป็นสัตว์เดรัจฉาน สูงขึ้นมาถึงคนหลายๆ ชนิด กระทั่งมีพระพุทธเจ้าเป็นยอดของเพื่อนในบุคคลเป็นบุคคล และก็ล้วงเอาหัวใจของท่านมาเป็นเพื่อนคือธรรมะหรือพระธรรม มันเห็นได้ชัดว่าเราจะอยู่โดยไม่มีเพื่อนก็คงจะไม่่ได้เป็นแน่นอน จะอยู่ในโลกนี้หรือโลกไหนโดยไม่มีเพื่อนมันไม่ได้ ถ้าบางอย่างมันต้องช่วย กัน ซึ่งถ้าเราไม่มีเพื่อนทำนา เราก็ไม่มีข้าวกิน เพราะว่าเราต้องทำอย่างอื่นไปทำนาไม่ได้ ฉะนั้นจึงต้องมีเพื่อนทำหน้าที่ต่างๆ กัน จนครบถ้วนในโลกนี้ อย่างเป็นหมอนี่มีความสำคัญมาก ขาดแล้วก็ลำบากโรคภัยไข้เจ็บ ก็มีเพื่อนอยู่ในโลก ชาวนาก็ทำนา หรือว่าพวกทำเสื้อผ้าก็ทำเสื้อผ้า ทำบ้านทำเรือนก็ทำบ้านเรือน กระทั่งหมอก็ช่วยเป็นเพื่อน จึงมีสัตว์ กระทั่งต้นไม้ มีนก มีปลาเป็นเพื่อน และก็มีคนเป็นมิตร เป็นเพื่อนที่ทำให้อยู่ในโลกได้โดยสะดวก และก็มีพระอริยบุคคลเป็นเพื่อน ยอดสุดของบุคคล และก็มีธรรมะของอริยบุคคลก็เป็นเพื่อน ตรงกับจิตใจเรียกว่าเป็นคนที่มีเพื่อน เพราะว่าเราจะอยู่ในโลกคนเดียวไม่ได้จึงต้องมีเพื่อน เพื่อนสูงสุดก็ต้องระบุไว้ที่ตนเอง ให้ตนเองมันช่วยตนเอง โดยการทำตนเป็นธรรมะ ให้มีธรรมมีตนเป็นธรรมะ มีธรรมะเป็นตน ไอ้เพื่อนที่แท้ก็คือตนเอง ก็ต้องหมายถึงตนที่อบรมดีแล้ว คนที่ไม่ได้อบรมหรือว่ามันอบรมตนเอง หรือว่าความทุกข์ความเจ็บปวดมันสอนให้เอง มันก็เลยรู้ได้ คิดได้ สังเกตได้ รู้วิธีที่อบรมตนเอง ถ้ามันเหลือวิสัยที่ทำได้ แต่ในที่สุดก็ต้องมาอบรมตนเอง ดังนั้นตนเองที่อบรมมาดีแล้วเท่านั้น จึงเป็นที่พึ่งที่ดีแก่ตนได้ จำไว้เป็นคำสุดท้ายว่า ตนเองที่อบรมมาดีแล้วเท่านั้นจึงเป็นที่พึ่งที่ดีแก่ตนได้ คือมันกลายเป็นธรรมไปแล้ว ไอ้คนที่อบรมดีแล้วกลายเป็นธรรม เราก็พึ่งธรรม คนถูกทั้ง ๒ ความหมาย จึงเป็นอันเป็นว่าขอให้ตั้งหน้าตั้งตา ตั้งอกตั้งใจที่จะอบรมตนเองกันทุกๆ คนเทอญ
เมื่อฟังอย่างนี้ เมื่อมองอย่างนี้ เห็นอย่างนี้ ก็ไม่มีหน้าที่อะไรเหลืออยู่ นอกจากพยายามอบรมตนเอง อย่าได้ปล่อยโอกาสให้เสียไป ให้เวลาเสียไปแม้แต่เล็กน้อย ให้มันเต็มไปด้วยการอบรมตนเอง รู้จักเข็ดหลาบ รู้จักละอาย รู้จักกลัวต่อกิเลสความทุกข์ จะมีการอบรมตนเองอย่างดีที่สุดอยู่เสมอ คือระวังดีไม่ให้มันชั่วขึ้นมา เมื่อชั่วขึ้นมาก็จะได้ละเสีย ทางที่ดีมีอยู่แล้วก็จะได้ทำให้มันยิ่งขึ้นไป มาอบรมตนเองเป็นการอบรมบ่มนิสัย เป็นการสร้างบารมี แล้วแต่จะเรียกชื่อได้ต่างๆ กัน ก็คือการอบรมตนเอง ถ้าจะมีการศึกษา ก็ขอให้มีการศึกษาที่อบรมตนเองให้เจริญก้าวหน้า อย่ามีการศึกษาที่ทำลายตนเอง เดี๋ยวนี้มักจะมีการศึกษาที่ทำลายตนเอง คือการ ศึกษาที่มันคิดเก่ง พูดเก่ง ทำเก่งไปในทางที่จะหาเหยื่อคือกิเลส การศึกษาในโลกปัจจุบันมันเปลี่ยนไป ให้เก่งไปในทางที่จะตามใจกิเลส พอกพูนกิเลส สะสมกิเลส การศึกษาก็ทำอันตรายแก่มนุษย์แก่โลก โลกมันไม่มีสันติภาพเลย เรียกว่าโดยส่วนรวม โดยส่วนสังคมมันเป็นอย่างนี้ โดยส่วนตัวมันก็เป็นอย่างนี้ จะต้องมีธรรมะเป็นที่พึ่ง ทั้งโดยส่วนตัวเองและส่วนสังคม อบรมตนเองให้เป็นหน่วยของสังคมที่ดี เป็นที่พึ่งแก่ตนแล้ว ก็จักเป็นที่พึ่งแก่สังคมได้เป็นแน่นอน ขอระบุธรรมะในฐานะเป็นมิตรสหายสูงสุด ที่ทุกคนควรรู้จักคบ การบรร ยายสมควรแก่เวลาแล้ว ก็ขอยุติไว้เท่านี้ซะก่อน