แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การบรรยายที่เป็นการแนะนำสั่งสอนอบรมผู้บวชใหม่ในครั้งที่ ๖ นี้ ผมจะพูดโดยหัวข้อว่าความเข้าใจถูกเกี่ยวกับพระรัตนตรัย คือ เรื่องพระรัตนตรัยที่ผู้บวชใหม่ควรจะเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งนั่นเอง เราพูดกันมาถึงเรื่องความเข้าใจผิดมาหลายครั้ง เกี่ยวกับการบวช เกี่ยวกับการเรียน และก็งานอดิเรกของผู้บวช ความเคร่งความไม่เคร่ง แม้กระทั่งในกิจวัตรทั้ง ๑๐ ประการ เหล่านี้เราเรียกว่าเข้าใจผิด มองกันในแง่มุมที่ยังเข้าใจผิด แต่พอมาถึงพระรัตนตรัย ผมก็อยากจะถือว่าไม่มีแง่มุมที่จะเข้าใจผิด ควรจะเป็นเข้าใจถูก แม้จะมีความเข้าใจชั้นต้นที่เขาเรียกกันว่า งมงาย บ้าง ก็ยังถือว่าถูกอยู่นั่นเอง คือมันถูกนิดหน่อยก็ตามใจ คือมันมีส่วนดี มันไม่มีส่วนเสีย นี่จึงถือว่าเกี่ยวกับพระรัตนตรัยนี้จะเป็นเรื่องความเข้าใจถูกตลอดไป จึงได้เปลี่ยนหัวเรื่องเป็น ชุดความเข้าใจถูก และในวันแรกนี้ก็เป็นความเข้าใจถูกเกี่ยวกับพระรัตนตรัย ถ้ามันมีส่วนในแง่มุมที่จะเข้าใจผิดมันก็มีได้ จะเรียกว่าเข้าใจผิดก็ได้ จะถือว่าเป็นส่วนน้อย ถ้ามันเกี่ยวข้องกับพระรัตนตรัยแล้วมันก็จะต้องมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย เลยเอาเป็นความเข้าใจถูกเสียดีกว่า แต่แล้วความเข้าใจถูกนี้มันจะมีซักกี่ระดับนั่นแหละ จึงจะค่อยพูดกันต่อไป เมื่อเรารู้เรื่องความเข้าใจผิดมากพอสมควรแล้ว มันก็ย่อมจะเข้าใจถูกอยู่เอง มาถึงขั้นนี้ก็พูดถึงความเข้าใจถูกกันเรื่อยๆ ไปก่อนจะดีกว่า
การที่เรายังเข้าใจพระรัตนตรัยไม่ถึงที่สุด ไม่ได้ประโยชน์ถึงที่สุด นี่ก็มีอยู่ไม่ใช่ไม่มี ถ้าอยากจะเรียกว่าความเข้าใจผิดก็ได้ เรากำลังมีพระรัตนตรัยกันแต่ชื่อ ควรจะจำประโยคนี้ไว้ให้ดี เรากำลังมีพระรัตนตรัยกันแต่ชื่อ มันก็มีประโยชน์เท่าที่เรามีกันแต่ชื่อ เรารู้เท่านั้นก็ทำได้เท่านั้น ก็มีพระรัตนตรัยกันแต่ชื่อ ขอให้ทุกๆ คน ทุกๆ องค์ ทุกๆ รูปนี่ มองดูเข้าไปในจิตใจของตัวเองอย่างเป็นธรรมที่สุด คือซื่อตรงสุจริตต่อตัวเองไม่ลำเอียง แล้วก็มองดูเข้าไปในส่วนลึกแห่งจิตใจของตนของตน ว่าเรากำลังมีพระรัตนตรัยกันแต่ชื่อหรือเปล่าโดยเฉพาะเมื่อคุณบวช อุปัชฌาย์จะอธิบายถึงความสำคัญของพระรัตนตรัย โดยเหตุที่ว่าครั้งก่อนนู้นเพียงการถึงพระรัตนตรัยเท่านั้น ก็เป็นการบวชเป็นภิกษุที่สมบูรณ์ได้ มาเดี๋ยวนี้ลดลงมา การถึงพระรัตนตรัย หรือรับถือพระรัตนตรัยนี้เป็นเพียงการบรรพชาเป็นสามเณรโดยสมบูรณ์ เพียงเท่านี้ก็ไม่ใช่เล็กน้อยซะแล้ว ขอให้คิดดูให้ดี การรับถือพระรัตนตรัยเท่านั้นการบวชสามเณรโดยสมบูรณ์ยังไม่ถึงกับรับศีล ๑๐ เลย เมื่อครั้งกระนู้นเคยเป็นวิธีกรรมสำหรับอุปสมบทเป็นภิกษุด้วย ในวันที่ทำการบรรพชาอุปสมบทนั้นเราก็ได้พูดถึงเรื่องนี้กันมาก แล้วเดี๋ยวนี้มันติดอยู่เท่าไหร่ มันเหลืออยู่เท่าไหร่ เรามีความรู้สึกชนิดนั้นเหลืออยู่ในใจ จนกระทั่งบัดนี้กี่มากน้อย มันถึงเวลาที่จะต้องพูดจริงกันแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องดูตัวเองด้วยความซื่อสัตย์กันจริงๆ ว่าเดี๋ยวนี้เรามีพระรัตนตรัยเหลือในความรู้สึกของเรากี่มากน้อย เวลาที่เราเล่นหัวโลเลเหลาะแหละกันทั้งพระทั้งเณรนั้นน่ะ มันมีพระรัตนตรัยหรือเปล่า หรือที่ว่าเราคุยฟุ้งกันไปเรื่องไร้สาระกระทั่งเรื่องการเมืองก็มี อะไรก็มี จิตใจในขณะนั้นมันมีความรู้สึกที่เป็นพระรัตนตรัยหรือเปล่านี่ ถ้ามีก็จะมีแต่ชื่อ ก็ดูจะไม่มีเลยก็ได้ นี่ก็เรียกว่าส่วนมากที่สุดก็เป็นอย่างนี้ มีพระรัตนตรัยกันแต่ชื่อ ที่ดีขึ้นมาอีกนิดหนึ่งก็ว่า เรากำลังเกี่ยวข้องกับพระรัตนตรัยนิดๆ หน่อยๆ เนื่องด้วยพิธี เนื่องด้วยการทำพิธี ก็ทางปากโดยมากก็เป็นเรื่องทางปาก ถ้าเป็นเรื่องพระรัตนตรัยมันก็เป็นเรื่องพูด เรื่องเอ่ยถึง เรื่องทำพิธีรับศีลก็ต้องรับสรณคมน์ก่อน นี่เราเกี่ยวข้องนิดๆ หน่อยๆ ในพิธีการและก็แต่ทางปากเป็นส่วนมาก นี่ถ้าปากยังว่าอยู่ก็ยังดีกว่าที่จะไม่ได้ว่าเสียเลย
ขอให้มองไปถึงคนทั่วๆ ไปทั้งหมดด้วย ว่าเดี๋ยวนี้พุทธบริษัทนี่ เกี่ยวข้องกับพระรัตนตรัยนิดๆ หน่อยๆ แต่ในเรื่องพิธีรีตองด้วยซ้ำไป และก็ทางปากเท่านั้น นี่ก็เป็นความจริงอันหนึ่ง ทีนี้สูงขึ้นมาอีกหน่อย ก็คือเรากำลังสรรเสริญคุณของพระรัตนตรัยอย่างเลิศลอยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำวัตรเช้าทำวัตรเย็น ซึ่งคุณก็สวดอยู่ในเวลาที่ทำวัตรและก็มีคำแปลด้วย ขอให้พิจารณาดูคำแปลของคำเหล่านั้น มันสรรเสริญพระคุณของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างสุดๆ ที่เรียกว่าอย่างเลิศลอยทีเดียว ถ้าทั้งเช้าทั้งเย็นขยันก็ไม่ขาด นี่ก็เหมือนกันก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระรัตนตรัยที่สูงขึ้นมา บางคนก็ว่าแต่ปาก ที่บางคนก็ดีไปกว่านั้นคือรู้ความหมาย ก็ทำในใจถึงความหมายได้มากอยู่ จนกระทั่งบางครั้งก็รู้สึกอิ่มเอิบหรือมีปีติ บางคนยังฉลาดกว่านั้นก็ตรงที่ว่าไม่สวดด้วยตนเอง ก็หลับตาสำรวมจิตใจฟังหมู่ที่กำลังสวด แล้วส่งใจไปตามนั้นก็ยังได้ความหมายที่ลึกซึ้ง หรือได้กระทั่งได้ความรู้สึกที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีก
นี่ก็เป็นอาการอันหนึ่งที่เราเกี่ยวข้องกันกับพระรัตนตรัย ถ้าใครทำได้ดีก็นับว่ามีประโยชน์มาก เวลาธรรมดาอย่าเอาไปใช้เล่นหัวกันเสีย เอาบททำวัตรสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยมาพิจารณาดูอย่างยิ่งอย่างละเอียด ทำความเข้าใจกันอย่างยิ่ง แล้วสรุปลงไปได้ที่คำนั้นๆ ที่เป็นบทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณโดยตรงก็สรุปลงไปตามคำที่มีอยู่ เช่น ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน เป็นต้น และที่ขยายความกว้างไปกว่านั้น พุทธะวาระหันตะวะระตาทิคุณาภิยุตโต นั่นก็เหมือนกัน เป็นการขยายความที่ไพเราะยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเราไม่ศึกษาความหมายให้เข้าใจไว้ก่อน ก็ไม่อาจจะรู้สึกความรู้สึกอันนั้นได้ในขณะที่ปากว่าหรือทำวัตร พระเณรที่เอาจริงก็จะศึกษาถ้อยคำเหล่านี้ในเวลาอื่นให้แตกฉานช่ำชอง ไม่ใช้เวลาให้เสียเปล่าไปทางโลเลเหลาะแหละ ก็ได้ความเข้าใจเอามาทำความรู้สึกในเวลาทำวัตรเช้าทำวัตรเย็นจริงๆ และก็เหมือนกับที่ผมเคยบอกว่า ถ้าทำถูกต้องจริงก็เหมือนกับว่าไปนั่งเฝ้าพระพุทธเจ้า เช้า เย็น ถ้าได้อย่างนี้ก็ดีเป็นการเกี่ยวข้องกับพระรัตนตรัยที่ยิ่งขึ้นไปอีก
ที่นี้ถ้าหากว่าไม่ทำให้ดีที่สุดอย่างนี้มันก็เป็นเรื่องน่าสงสาร คือเราจะมีกันแต่สักว่าพิธีรีตอง เช่น ทำวัตรเช้าทำวัตรเย็นก็เป็นพิธีรีตองไปเสีย และก็มีกันแต่ชื่อ ถ้ามีกันแต่ชื่อเสียแล้ว มันก็ไม่ช่วยป้องกันคุ้มครองอะไรได้ การมีพระรัตนตรัยนี่มีทำไมกัน ก็มีเพื่อให้พระคุณของท่านคุ้มครองก็ได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล นี่เป็นขั้นต้นที่สุด สำหรับคนที่ยังไม่รู้อะไรยังอ่อนแอยังโง่เขลา แต่ว่าตั้งใจทำจริงๆ ก็มีพระคุณของพระรัตนตรัยคุ้มครอง ถ้าสูงขึ้นไปก็มีคุณของพระรัตนตรัยแท้จริงในตัวยิ่งขึ้นก็ดับทุกข์ได้ ก็ยิ่งได้รับประโยชน์สูงยิ่งขึ้นมาอีก
เดี๋ยวนี้เรากำลังมีกันแต่ชื่อ และผมก็ขอร้องว่าทุกคนมองดูเข้าไปในจิตใจของตน แล้วมันไม่มีพระรัตนตรัยเหลืออยู่ วันหนึ่งคืนหนึ่งมันเต็มไปด้วยความรู้สึกอย่างอื่นโลเลเหลาะแหละไม่มีความหมายแห่ง พระรัตนตรัยเลย ถือได้ว่าพูดด้วยปาก ครั้นในพิธีรีตองเสร็จแล้วมันก็พอแล้วอย่างนี้มันไม่ถูก ถ้าทำได้เพียงเท่านั้น พระรัตนตรัยก็ไม่คุ้มครองจริงเหมือนกัน ไม่คุ้มครองป้องกันอะไรได้ แม้แต่จะคุ้มครองว่าแกอย่าเป็นคนโลเลเหลาะแหละแม้เป็นพระเป็นเณร จะคุ้มครองเท่านี้ก็ไม่ได้ มันยังเป็นพระเป็นเณรที่โลเลเหลาะแหละ พระรัตนตรัยมาคุ้มครองป้องกันในความโลเลเหลาะแหละนี้ไม่ได้ หรือพระรัตนตรัยจะช่วยคุ้มครองอย่าให้พวกแกเป็นทาสยาเสพติดอะไรก็ตามใจนับตั้งแต่บุหรี่เป็นต้นไป มันคุ้มครองไม่ได้ อย่าให้พวกแกแม้แต่อย่าเป็นทาสของยาเสพติด
ยาเสพติดนี่มันไม่ใช่มีแต่เรื่องวัตถุอย่างนั้น สิ่งไรที่เราทำแล้วสนุกรู้สึกสนุกชอบทำมากขึ้นจนชินเป็นนิสัย ก็เรียกว่ายาเสพติดทั้งนั้น คนขี้อวดอย่างที่เขาเรียกว่าโม้หรือว่าอะไร มันก็เป็นโรคเสพติดเป็นยาเสพติดสำหรับบางคนมันละไม่ได้ ขี้โกรธ ขี้โมโห ขี้ดูถูกคนอื่น นี่มันยังเป็นพระเป็นเณรที่เลวที่สุด แต่ถ้ามันเป็นยาเสพติดแล้วมันก็ละไม่ได้ พระรัตนตรัยคุ้มครองคนนั้นให้ละยาเสพติดเหล่านี้ก็ไม่ได้ เพราะว่าไม่มีพระรัตนตรัยจริงๆ วิธีหนึ่งก็ว่าคุ้มครองอย่าให้เป็นคนคด คนคดนี่จำไว้สักคำนึงด้วย มันเป็นคำที่มีมาก เกี่ยวข้องกับบรรพชิต เช่นว่าคดแล้วมันก็ไม่ได้มันล้มละลาย ในภาษาบาลีมีคำว่า เสมอกัน นะสะเมติ (นาทีที่ 17:16) แปลว่าไม่เสมอกัน คือกายกับใจไม่เสมอกัน วาจากับใจไม่เสมอกัน หรือว่าใจไม่เสมอกันกับกายกับวาจาเป็นต้น ที่ว่าไม่เสมอกันนั่นคือไม่ตรงกันไม่เท่ากัน ถ้ากายวาจาใจมันเท่ากัน มันก็คือเหมือนกันมีอย่างเดียวกัน กายก็ตรง วาจาก็ตรง และใจก็ตรง พอไม่เสมอกันมันก็คือคดในที่นี้
ทำไมพระรัตนตรัยจึงไม่คุ้มครองเราพระเณรทั้งหลายให้เป็นคนตรงได้ ไอ้คดนี่ก็คดหลายอย่าง คดโดยตรงก็มี คดโดยอ้อมก็มี คดโดยรู้สึกตัวแกล้งประชดก็มี นี่ยิ่งคดลึกคดหนักเข้าไปอีก มันเป็นเรื่องคดสองซ้อนสามซ้อน ไม่ตรงและยังประชดอีกมันก็เลยสองคดสามคด มันหลายชั้นกันมา ทำไมพระรัตนตรัยช่วยป้องกันอย่าให้เป็นคนคดไม่ได้ เพราะว่าเราไม่จริงต่อพระรัตนตรัยนั่นเอง มันก็เลยเป็นผู้ทำอณาจารบ้าง อเนสนาบ้าง ค้าเกียรติยศบ้าง ค้าเกียรติยศนี่หมายความว่าทำท่าทางเคร่งครัดอวดคนว่ามีเกียรติเพื่อให้เขานับถืออย่างนี้ก็มี หรือแม้แต้จะพูดจา เทศน์ ปาถกฐา อะไรก็เหมือนกันมันเป็นเรื่องค้าเกียรติก็มี ในเมื่อไม่ได้ทำจริง ทำตรงตามที่ปากว่า คือมันคด
เมื่อตอนแรกๆ ผมมาศึกษาบาลี อรรถกถานี่ พบเรื่องหนึ่งที่ว่าน่าห่วงเรียกว่า เรื่องสุกรยักษ์ในอรรถกถาของคีตนิกาย พระปาฐกถาจารย์เอาเรื่องนี้มาเล่าไว้เพื่อสำหรับเป็นตัวอย่างของผู้ที่มีกายวาจาใจไม่เสมอกัน สุกรยักษ์คือสัตว์ที่มีรูปร่างประหลาดที่สุด ข้างหนึ่งเป็นสุกรข้างหนึ่งเป็นวัว และก็มีเขาเป็นวัว มีเสียงเป็นแพะ นี่มันทำได้หลายอย่างมันเป็นยักษ์ ที่ทำได้หลายๆอย่างนี่ จับสัตว์อื่นกินเป็นอาหาร เห็นแพะมามันก็ซุ่มซ่อนตัวเสีย ทำเสียงแพะขึ้นมา แพะมาใกล้ก็หนีไม่ทันจับกินเสีย มีวัวเข้ามามันก็ซ่อนตัวเสียโผล่แต่หัวซึ่งมีเขาเป็นวัว วัวเข้ามาใกล้หนีไม่ทันมันก็จับกินเสีย ถ้าหมูเข้ามามันเอาข้างซ้ายที่มันเป็นเหมือนกับหมู ก็แสดงออกไป ให้หมูมันคิดว่าหมูด้วยกัน มันเข้ามาใกล้หนีไม่ทันมันก็กินเสีย นี่เป็นเรื่องในอรรกถา ยกมาไว้สำหรับอธิบายความคดของภิกษุผู้มีความคด เพราะว่าพระรัตนตรัยไม่มีช่วยป้องกันหรือคุ้มครองอย่าให้เกิดความคดชนิดนั้น นี่เป็นตัวอย่างพอแล้วว่าถ้าเราไม่มีพระรัตนตรัยแท้จริงเป็นเครื่องคุ้มครองแล้วสิ่งเหล่านี้มันก็มีก็เกิดขึ้น เป็นอันตรายแก่ผู้นั้นแล้วก็อันตรายแก่ผู้อื่น กระทั่งมันเป็นอันตรายแก่พระศาสนาเป็นส่วนรวม นี่คือข้อที่เราจะต้องพูดกันให้ไปนึกไปคิดว่าเรากำลังมีพระรัตนตรัยกันอย่างไร ในระดับไหน และก็กลัวให้มากถ้ามีกันในระดับที่สักแต่ว่าชื่อ สักแต่ว่าพิธีรีตอง มันจะค่อยกลายเป็นความเสียหายอย่างที่ว่า เป็นคนโลเลเป็นทาสของสิ่งเสพติดเป็นคนไม่ตรงอย่างนี้เป็นต้น
ทีนี้ก็ดูกันต่อไปว่าเราจะต้องทำอย่างไรเกี่ยวกับพระรัตนตรัย เรียกว่าหน้าที่ที่เราจะต้องกระทำต่อ พระรัตนตรัย ผมจะพูดด้วยภาษาธรรมดาสามัญที่สุดในการบรรยายสำหรับผู้บวชใหม่อย่างนี้ เพราะเราจะต้องพยายามทราบเรื่องพระรัตนตรัยนี้ให้มาก และก็จะระลึกถึงอยู่เสมอตามเวลาที่เราจะระลึกได้ มีแต่เพิ่มศรัทธาให้มันพอกพูนยิ่งขึ้นๆ ทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี มีศรัทธาที่พอกพูนยิ่งขึ้น ไม่ใช่ศรัทธางมงาย ศรัทธายิ่งเห็นพระคุณยิ่งเห็นประโยชน์ ยิ่งเห็นอานิสงส์แล้วมันยิ่งมีศรัทธราลงไปจริงๆ ไม่ใช่มาศรัทธางมงายว่าเอาแต่ปาก เพิ่มศรัทธาอยู่เรื่อยไปตลอดเวลา จะต้องมองให้เห็นพระคุณของพระรัตนตรัยแง่ใดแง่หนึ่งอยู่ตลอดเวลา แล้วมันก็จะเพิ่มขึ้นเองตลอดเวลา แล้วก็พยายามทำตามอย่าง คือตามความหมายนั้นๆ ในพระคุณของท่านมีความหมายว่าอย่างไร เราพยายามทำตามอย่างในพระคุณข้อไหนก็แล้วแต่ เรียกว่าทำตามอย่างอย่างยิ่ง จนกระทั่งว่าที่มีคุณสมบัติหรือความหมายของพระรัตนตรัย คือ ความสะอาด ความสว่าง ความสงบ ๓ ส นี่อยู่ในใจมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ที่ควบคุมไว้ไม่ให้พลั้งเผลอก็มี ก็มี ๓ ส อยู่ในใจ ก็ทำจริงเป็นนิสัยไปเลยมันก็มีอยู่ในใจเหมือนกัน บางกรณีเราต้องมีสติควบคุมให้มันมีอยู่ บางกรณีแล้วเราทำมันจนชินให้มันเกิดเป็นนิสัยของเรา ให้เกิดเป็นคนซื่อตรงขึ้นมาให้รู้อะไรขึ้นมานี้ก็เรียกว่ามี 3 ส ประจำอยู่ในใจ นี่คือหน้าที่ของเรา
มาดูกันให้ละเอียดสักหน่อย ทีละเรื่อง ทีละข้อ ที่ว่าพยายามทราบเรื่องพระรัตนตรัยให้ยิ่งขึ้นไปนี่หมายความว่าเราจะศึกษา แล้วก็ศึกษาแล้วศึกษาอีก ศึกษาให้ยิ่งขึ้นไป เรื่องของพระพุทธเจ้าทั้งในส่วนพระประวัติของท่านก็ดี ในส่วนพระคุณของท่านก็ดี จะศึกษาเฉพาะเรื่องที่แท้จริงอย่าไปเสียเวลาศึกษาเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องศึกษา เราไม่จำเป็นจะต้องเสียเวลาศึกษาเรื่องปาฏิหาริย์เรื่องอะไรให้มันยุ่งหัวแล้วไปเถียงไปทะเลาะวิวาทกันเลย ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าเรื่องของพระพุทธเจ้าถ้ามีปาฏิหาริย์ก็ต้องเป็นปาฏิหาริย์ที่มันเป็นเรื่องดับทุกข์ ปาฏิหาริย์อย่างอื่นไม่สำคัญเท่าปาฏิหาริย์การดับทุกข์ ก็ต้องศึกษาประวัติก็ตาม พระคุณจริยาวัตรอะไรของท่านก็ตาม ในส่วนที่มันเป็นความดับทุกข์ นั้นเราต้องเป็นคนมีความทุกข์จริงอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ นับตั้งแต่ว่าเราเป็นคนมีกิเลสอย่างไร เป็นคนคดโกงอย่างไร เป็นคนร้อนอกร้อนใจ เป็นคนนอนไม่ค่อยจะหลับ เป็นคนโกรธง่าย กลัวง่าย วิตกกังวลง่าย ใจน้อย ใครว่าอะไรก็ไม่ได้ มากมายเรียกว่าโรคของคน คนหนึ่งๆ เป็นความทุกข์ เป็นโทมนัส คือจิตที่เลว คำว่าโทมนัสนี่ผมเพิ่งจะสังเกตเห็นว่า แหม, มันมีความหมายมากเหลือเกิน ก่อนนี้มันรู้นิดเดียวอย่างภาษาคนโง่ว่าโทมนัสก็คือขัดใจ แต่นี่มันรู้นิดเดียว รู้อย่างคนโง่ คำว่าโทมนัสก็คือใจเลว “ทุ” ก็แปลว่าเลว “มนัส” ก็แปลว่าใจ ทุมนัสก็คือใจเลว ใจเลวชนิดไหนก็ตามจะเรียกว่าโทมนัสทั้งนั้น
นี่พูดนอกเรื่องนิดหน่อยว่าหลักธรรมะที่ประเสริฐที่สุด คือสติปัฏฐานที่พระพุทธเจ้าท่านสอน ท่านเพียงตรัสแต่เพียงว่านำออกเสียซึ่งอวิชชาและโทมนัส คล้ายๆ ว่ามันมีแต่สองอย่างเท่านี้ จริงๆ มันก็มีตั้งร้อยอย่าง พันอย่าง หมื่นอย่าง แต่ถ้าท่านสรุปเหลือแต่อวิชชาและก็โทมนัส คือจิตที่มันเพ่งเล็งจะเอาแต่ได้อวิชชา โทมนัสคือจิตที่มันต่ำ มันเลว มันเป็นทุกข์ เป็นอะไรทุกอย่าง กระทั่งว่าไม่ได้ทำผิดอะไรเลย ก็มันมากลัววิตกกังวล มันเป็นความผิดอยู่ในตัวมันแล้ว ตัวไม่ได้ทำผิดอะไรเลย แต่ว่าไปมัวกลัวมัววิตกกังวลมัวกระสับกระส่ายจิตใจอยู่ มันก็เป็นความผิดอยู่ดี เป็นความเลวของจิตใจชนิดหนึ่ง ก็แยกอวิชชาคือว่าโลภอยากจะได้ไปทางเรื่องที่มันได้ แล้วโทมนัสมันมาทางเรื่องที่มันไม่ได้ ไม่ได้อย่างใจ มันก็มาอยู่ในรูปของจิตที่เป็นทุกข์ ทุกชนิดทุกประเภท แม้แต่ความกลัวความวิตกกังวลก็จัดไว้ในพวกโทมนัส ถ้าเราเป็นมีคนทุกข์เราก็เป็นคนเจ้าทุกข์
เมื่อเรามีทุกข์ของเราเป็นเรื่องราวอยู่อย่างนี้แล้ว เราก็ศึกษาพระรัตนตรัยเฉพาะในแง่ที่จะแก้ปัญหานั้นๆ โดยตรง ที่จะดับความทุกข์อันนั้นโดยตรง นี่ดี นั้นที่ว่าเราจะพยายามศึกษา ศึกษาให้ยิ่งขึ้นไปในเรื่องของพระรัตนตรัย ก็ศึกษาในส่วนที่จะดับทุกข์ให้มันยิ่งๆ ขึ้นไป อย่าไปเสียเวลาศึกษาเรื่องอื่น เห็นคนจำนวนมากไปศึกษาเรื่องแปลกๆ เรื่องอัศจรรย์แล้วมามัวถามว่าจริงไหม อะไรอย่างนี้ มันเป็นคนโง่เหมือนกัน มันเสียเวลาเปล่า ไอ้เรื่องปาฏิหาริย์มันก็มีไว้สำหรับคนบางพวก มีประโยชน์เหมือนกัน แต่มันไม่จำเป็นสำหรับเรา ก็ไม่ต้องที่จะไปศึกษาก็ได้ แล้วก็อย่าลืมว่าถ้าจะมองดูพระพุทธเจ้าในแง่ของปาฏิหาริย์แล้วก็ดูตรงนี้ ดูเฉพาะตรงนี้ ตรงที่ว่าการแนะนำของท่านน่ะมันดับทุกข์ได้ นั่นแหล่ะมันปาฏิหาริย์เหลือประมาณ ส่วนปาฏิหาริย์อย่างอื่นท่านจะเหาะได้ หรือท่านจะประสูติทางสีข้างพระมารดา อย่าไปนึกถึงเลย มันไม่จำเป็น มันไม่ใช่เรื่องของเราด้วย และที่ข้อที่ว่าท่านแสดงอะไรออกมาแล้วมันดับทุกข์ได้จริงตามนั้น อันนั้นคือปาฏิหาริย์อย่างยิ่ง เรามาศึกษาพระรัตนตรัยที่มันเกี่ยวเนื่องกันเป็นเรื่องดับทุกข์อย่างยิ่งทั้งพระพุทธ ทั้งพระธรรม ทั้งพระสงฆ์ ให้มากขึ้น มากขึ้นๆ นี่หน้าที่ข้อแรกก็จงศึกษาแล้วศึกษาให้ยิ่งขึ้นไปในส่วนเกี่ยวกับปัญหาของความดับทุกข์
ที่นี้ข้อสองให้ระลึกถึงเป็นอนุสรณ์เป็นอนุสติอะไรก็ตามระลึกถึง พระรัตนตรัย ระลึกถึงเป็นวัตรนี่ก็เรียกว่าเป็นวัตรเลย ให้เป็นระเบียบไปเลย เช้าก็นึก เย็นก็นึก ค่ำก็นึก หัวรุ่งก็นึก อะไรก็นึกตามเวลาที่เราจะทำได้ ระลึกถึงพระรัตนตรัยเป็นวัตร ทำตามเวลา ทีนี้ก็ระลึกทุกคราวที่มันเกิดอารมณ์ เกิดเรื่องอะไรขึ้นมา เมื่อเรามีเรื่องอะไรกระทบใจเข้ามา ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้นอะไรก็ตามเรียกว่ามีเรื่องแล้ว ตอนนี้ต้องระลึกอย่างวัตรเลย อย่างเร็วที่สุดเลยให้ทันกัน ระลึกถึงพระรัตนตรัยก่อนแต่ที่เราจะพูดอะไรออกไป ก็ดูมันพูดคำหยาบ ด่าคน ดูถูกคน อะไรออกไปเพราะมันไม่ได้นึกถึงพระรัตนตรัย ถ้ามันนึกถึงละก็ พูดไม่ได้ หรือจะทำผิดอย่างอื่น ผิดวินัยอะไรอย่างอื่น ถ้านึกถึงพระรัตนตรัยก็ทำไม่ได้
เราเรียกว่าระลึกถึงพระรัตนตรัยเมื่อเกิดอารมณ์มากระทบ ปรุงเป็นอารมณ์ขึ้นมาในจิตใจอย่างใดอย่างหนึ่ง อารมณ์ข้างนอกมาปรุงให้เกิดความรู้สึกข้างในที่เขาเรียกกันว่าอารมณ์เหมือนกัน ภาษาไทยเรียกว่าอารมณ์เหมือนกัน ทุกครั้งที่มันเกิดอารมณ์ นี่ก็ต้องนึกถึงพระรัตนตรัยก่อนที่จะพูดอะไรออกไป ที่จะทำอะไรลงไป ที่จะคิดนึกอะไรต่อไป ข้อนี้ผมก็ได้พูดมาแล้วในที่อื่นและก็ได้สรุปความไว้ให้สั้นๆ ว่าจะทำอะไรให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน จะทำอะไรออกไปทางกาย ทางวาจา หรือทางใจต่อไปก็ขอให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน เพียงแต่นึกเท่านั้นมันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทันที ถ้าเราไม่นึกถึงปล่อยไปตามอารมณ์นั้นมันก็ไปตามอารมณ์นั้น พอนึกถึงพระรัตนตรัยมันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทันที อย่างน้อยก็หยุดชะงักอยู่ มันก็มีสติระลึกอย่างนั้นระลึกอย่างนี้ รวมความแล้วก็ระลึกว่า มันมีกรณีอย่างนี้เกิดขึ้นแล้ว พระพุทธเจ้าท่านจะทรงแนะนำว่าทำอย่างไร คนนี้มันมาด่าเราแล้ว มาตีเราแล้ว มาขโมยของเราแล้ว มาทำอะไรเราแล้วก็ตามใจ เมื่อมันมีเรื่องขึ้นอย่างนี้แล้ว พระพุทธเจ้าท่านจะแนะนำว่าทำอย่างไร นั้นมันจะถูกหมดเลย ไม่มีผิด
นี่เราระลึกถึงเมื่อมีอารมณ์เกิดขึ้น ที่จะให้เราเกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือทำอะไรผิดๆ เสียหาย นี่คนจึงเสียหายในกรณีที่ไม่ควรเสียหาย เพราะว่าเขาไม่ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไม่ระลึกถึงพระเป็นเจ้า ไม่ระลึกถึงอะไรตามหลักแห่งศาสนาของเขา เขาถึงทำอะไรผิดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องในครอบครัวเรื่องผัวเรื่องเมียอันนี้ มันมีทำผิดไปหมด เพราะว่าต่างฝ่ายต่างไม่เคยนึกพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อะไรกันเลย
ทีนี้อันที่สาม ระลึกเมื่อ ข้อนี้ระลึกถึงเมื่อมันมีความทุกข์เกิดขึ้น ที่ว่าระลึกถึงผมแยกกันสามหัวข้อ ระลึกถึงเป็นวัตรอยู่เป็นตามกำหนดเป็นระเบียบอย่างหนึ่ง ระลึกถึงเมื่ออารมณ์มันเกิดมา ต้องถามกันก่อนและระลึกถึงเมื่อมันมีความทุกข์โดยสมบูรณ์มันเกิดขึ้น ขอให้ระลึกถึงพระรัตนตรัย สามชนิดสามอย่างนี้ก็พอ มันมีอีกแต่ว่ามันไม่จำเป็นต้องมาพูด เวลามันก็ไม่อำนวย นี่เอาตัวอย่างว่าการระลึกถึงพระรัตนตรัยและระลึกถึงเป็นวัตร และก็ระลึกถึงอารมณ์หรือเรื่องร้ายเกิดขึ้น ระลึกถึงเมื่อความทุกข์มันเกิดขึ้น นี่ก็สำคัญ เพราะว่าเราจะต้องมีความทุกข์ง่ายดายที่สุดเป็นตามธรรมชาติ ต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย นี่ต้องประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักอะไรก็ตามมันเป็นความทุกข์อยู่นั่น ทุกคราวที่เกิดความทุกข์เราก็ต้องหาทางแก้โดยนึกพระรัตนตรัย แล้วจะพบยาแก้ทุกข์นั้น จากพระคุณของพระรัตนตรัยข้อใดข้อหนึ่งเป็นแน่นอน
ทีนี้หน้าที่ต่อไปอีกก็คือ เพิ่มศรัทธา เพิ่มศรัทธาก็ควรจะเข้าใจได้ว่าเรามีศรัทธาทีแรกนั้นน่ะไม่แน่นแฟ้นไม่มั่นคงไม่สมบูรณ์ไม่เต็มเปี่ยม คือเพิ่มกันเรื่อยเมื่อเห็นความดี เห็นอานิสงส์ เห็นประโยชน์เห็นความจริงอะไรขึ้นมาอย่าง แล้วก็จะเกิดศรัทธาเพิ่มขึ้นในพระรัตนตรัยครั้งหนึ่งเสมอไป ก็จงพยายามที่จะพิจารณาพระคุณของพระรัตนตรัยอยู่เสมอ เรียกว่าสร้างศรัทธาขึ้นมาก่อน แล้วก็เพิ่มศรัทธาอยู่เรื่อยๆ กระทั่งมีศรัทธาเต็มเปี่ยมเรียกว่ามอบกายถวายชีวิต พุทธัสสาหัสมิ ทาโส วะ ข้าพเจ้ามอบกายถวายชีวิตนี้แด่พระพุทธ แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ เป็นที่สุดของศรัทธา ครั้งแรกก็สร้างศรัทธา โดยการชักจูงของผู้อื่นก็ได้ แต่ไม่พอมันต้องเป็นเรื่องของตัวเอง นี้ก็มีสร้างศรัทธาขึ้นมาเป็นจุดตั้งต้น และก็เพิ่มศรัทธาโดยทำอย่างเดียวกันให้มันมากขึ้น หรือเห็นให้มันกว้างออกไป ให้มันลึกออกไปในพระคุณนั้นๆ มันจะเพิ่มศรัทธาและโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีอารมณ์ร้ายเกิดขึ้นอย่างที่ว่ามาแล้ว หรือเมื่อเรามีความทุกข์อย่างที่ว่ามาแล้ว แก้ไขอย่างไรได้ แล้วศรัทธามันจะเพิ่มขึ้นเอง และไม่เท่าไหร่เราจะเป็นคนที่ว่ามอบกายถวายชีวิตนี้แด่พระพุทธ แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ได้จริง คือเป็นทาสของพระพุทธของพระธรรมของพระสงฆ์โดยแท้จริงได้ อย่างนี้ก็เรียกว่าเพิ่มศรัทธาจนถึงสมบูรณ์ เป็นหน้าที่ที่ทุกคนนี่โดยเฉพาะเพิ่งบวชใหม่ที่จะต้องเพิ่มศรัทธาในพระรัตนตรัยอยู่ตลอดเวลา อย่าเอาเวลาไปเที่ยวอวดดีเที่ยวโม้เที่ยวเบ่งเที่ยวดูถูกคนอื่น เที่ยวทำในสิ่งที่ไม่ใช่หน้าที่ของตัว เอาเวลามาเพิ่มศรัทธาในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์กันดีกว่า
ทีนี้หน้าที่ต่อไปอีกเป็นอันดับที่สี่ คือกระทำตามอย่าง เมื่อเราได้ทราบว่าพระพุทธเจ้าท่านทำอย่างไร หรือพระธรรมมีหลักอย่างไร พระสงฆ์ท่านได้ทำอย่างไร เราทำตามอย่าง ศึกษาพุทธจริยา ศึกษาพุทธจริยาจะรู้เรื่องนี้มากกว่าศึกษาพุทธประวัติที่เนื้อที่ตัวอย่างนั้น พุทธจริยาคือท่านทำอย่างไร ที่ให้ความทุกข์มันดับไป และก็ช่วยผู้อื่นแก้ไขความทุกข์อย่างไร นี่ก็ส่วนที่จะดับทุกข์ก็ทำตามอย่างท่าน ละทีนี้ก็ ที่ท่านทำมากอีกอย่างคือการเสียสละเพื่อผู้อื่น เราก็ทำตามอย่างท่าน เสียสละเพื่อผู้อื่นนี่เป็นสิ่งเป็นสิ่งที่มหาศาล เป็นสิ่งที่ใหญ่โตมาก สำหรับมนุษย์ไม่ค่อยจะ มันหายากหาคนที่เสียสละน่ะมันหายาก แต่ถ้าเราดูอย่างพระพุทธเจ้าแล้วมันก็ค่อยๆ เกิดความเสียสละขึ้นมาเอง
จงสนองพระพุทธประสงค์ เราจะรู้ได้จากการศึกษาในชั้นแรกแล้วว่าท่านทรงประสงค์อย่างไร เรื่องของตัวทำเสียให้เสร็จ คือดับทุกข์เสียให้ได้ ให้ได้พอจะพูดได้ว่าเราก็ดับทุกข์ได้บ้างแล้วก็ยังดี ต่อจากนั้นก็เผยแผ่วิธีดับทุกข์นี้ด้วยการช่วยผู้อื่นให้ดับทุกข์ได้ด้วย ความเสียสละนั้นมันเป็นต้นทุน ถ้าไม่มีเสียสละแล้วมันก็ไม่ทำ สนองพระพุทธประสงค์ในข้อที่ว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น อย่าทะเลาะวิวาท อย่าขบอย่ากัด อย่าอิจฉาริษยา อย่าอะไรกันเลยนั่นเป็นหลักใหญ่ๆ
ทีนี้หน้าที่ต่อไปอีก อันดับที่ห้าก็คือว่ามี ๓ ส ให้สมบูรณ์ ส สะอาด ส สว่าง ส สงบ นี่มาพูดกันในรายละเอียดอีกทีหนึ่ง มี ๓ ส มันก็เหมือนกับเรื่องอื่นๆ ชั้นแรกมันต้องทำให้มีขึ้นมา ตามที่จะทำได้ เรียกว่ามีภาวะสะอาด สว่าง สงบ ขึ้นมาในจิต เมื่อมีแล้วมันก็ต้องรักษา หากไม่รักษามันจะละลายไปอีก มีรักษาอยู่ได้แล้วก็ทำให้เจริญงอกงามกว้างขวางสูงประเสริฐ ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไป เกี่ยวกับภาวะสะอาดสว่างสงบนี้ทำให้มีขึ้นมา รักษาไว้ให้ได้ แล้วก็ทำให้เจริญงอกงามยิ่งๆ ขึ้นไปก็เป็นสามระดับ ที่เกี่ยวกับ ๓ ส
ผมเคยบอกให้เจ้านาค อุปสัมปทาเปกข์ ผู้จะบวชให้รู้เรื่องเกี่ยวกับ ๓ ส ว่ามันเป็นคุณ เป็นพระคุณที่เขาเรียกกันว่าค่าเดี๋ยวนี้ คุณค่าของพระพุทธของพระธรรมของพระสงฆ์ ไปดูแล้วจะพบพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ มีหัวใจเป็นความสะอาด สว่าง สงบ ทั้งนั้น ถ้าเราเอาสิ่งนี้มาไว้ในใจของเราได้ เราก็มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยแท้จริงอยู่ในใจของเรา ก็เรียกว่ามี รักษา และก็ทำให้เจริญ
หน้าที่ต่อไปอีกอันดับที่หก ก็คือ ขมาโทษพระรัตนตรัย ขอขมาโทษต่อพระรัตนตรัย บางคนไม่เข้าใจ บางคนเข้าใจผิดบางคนคิดว่าเป็นเรื่องงมงายทางประเพณี เพราะถ้าถือตามหลักของศีลธรรมในทุกศาสนาจะถือว่าเมื่อเราประพฤติชั่ว ประพฤติเลว ประพฤติผิดลงไปแล้ว นั่นคือเราเหยียบย่ำพระรัตนตรัย คือสิ่งสูงสุดในศาสนานั้นๆ ในคนอันธพาลที่เป็นพระเป็นเณรก็ตามใจ มันทำผิดทำชั่วอะไรลงไปคุณมองดู จะเห็นว่าเป็นการเหยียบย่ำพระรัตนตรัยไม่เชื่อฟังดื้อดึง และความผิดมันจะเกิดขึ้นระหว่างใครกับใคร ก็เกิดขึ้นระหว่างคนกับพระรัตนตรัยนั่นเอง เมื่อเราทำผิดจะสำนึกบาป จะสำนึกผิดต้องขอขมาพระรัตนตรัย ไปขอขมาบุคคลที่เราไปล่วงเกินเขามันเป็นเรื่องข้างนอก ก็ทำไปตามธรรมเนียม ไปด่าเขา ขอโทษเขา แต่แล้วต้องไปขอขมาพระรัตนตรัย อย่างน้อยที่สุดคือพระพุทธเจ้าที่ท่านได้ขอร้องว่าอย่าไปด่าเขา เดี๋ยวนี้คนมันโง่มันบ้ามันหลงอะไรก็ตาม รู้ตัวก็ตามไม่รู้ตัวก็ตาม มันไปด่าเขาเข้าแล้ว ไปขอโทษคนนั้นเสียแล้วก็มาขอโทษพระรัตนตรัย นั้นขอให้ถือใจความอย่างนี้ก็แล้วกันว่าวันหนึ่งๆ ที่เรามาทำวัตรเย็น เรียกว่า กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา พุทเธ กุกัมมัง ปะกะตัง มะยา ยัง อันนี้ขอให้เป็นการขมาพระรัตนตรัย สำหรับความผิดความชั่วที่ได้ทำไปในวันหนึ่งๆ เล็กบ้างใหญ่บ้าง เจตนาบ้างไม่เจตนาบ้างอะไรก็ตาม อย่าทำอย่างงมงาย ก็ไม่รู้ทำไปทำไม
หรือถ้าคนอื่นคนภายนอก คนศาสนาอื่นเขาถามว่าว่านี่ทำอะไรกัน ว่าขอขมาพระพุทธเจ้า เขาไม่เข้าใจเขาจะเห็นเป็นเรื่องคนโง่ คนงมงาย เราอธิบายเขาให้ถูกต้อง เมื่อพุทธบริษัทนั้นขอขมาพระรัตนตรัยกันในแบบนี้ คือแบบสำนึกบาป และอยากจะถอนตัวออกจากบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้น นี่เรียกว่าขมาโทษ ขอขมาโทษ ต้องทำถ้าเมื่อเป็นอันธพาลกิเลสครอบงำมันเป็นเจตนากระทำก็มี และเมื่อพลั้งเผลอ เผลอไปก็ต้องยอมรับว่าเป็นความผิดด้วย เป็นการลบหลู่พระรัตนตรัยด้วยความพลั้งเผลอ ไปทำชั่วทำบาป ก็มาขอขมาพระรัตนตรัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาแสดงอาบัติ อย่าทำอย่างนกแก้วนกขุนทอง แม้ว่าเราจะแสดงอาบัติกับเพื่อนพระภิกษุด้วยกัน มันเป็นการเปิดเผยตัวเองให้เกิดการล้างบาป ใช้คำอย่างนี้ก็ได้ ตามวิธีของพุทธบริษัท จะต้องเปิดเผยต้องประจานตัวเองอย่างหนัก อะไรก็ตามเสียก่อน และในขณะนั้นจะต้องนึกถึงพระรัตนตรัยและขอขมาโทษพระรัตนตรัยด้วย ในเวลาที่แสดงอาบัตินั้น จึงจะเป็นการแสดงอาบัติที่เต็มเปี่ยมถูกต้องตามความหมาย นี่ขมาโทษต้องมีเสมอ ดีแล้วที่ว่าทำวัตรเย็นก็มีขมากันทีหนึ่ง แต่อย่าทำแต่ท่า อย่าทำแต่ปาก ขอให้จิตใจกังวลว่าไอ้ความผิดอะไรที่เรากระทำไปในวันนี้เป็นการเหยียบย่ำพระรัตนตรัยทั้งนั้น แล้วมาขอขมาโทษต่อพระรัตนตรัย แล้วเงยหัวขึ้นมาใหม่ก็ให้มันเกลี้ยง เพราะว่าเราทำกันด้วยใจจริงๆ
ทีนี้จะแถมข้อสุดท้ายเป็นอันว่าเอามาแขวนคอไว้ แขวนคอนี่เราอยู่ในอัญประกาศ ถ้าเอาพระเครื่องมาแขวนคอไว้ แขวนคอนี่ไม่ต้องอยู่ในอัญประกาศ ถ้าเอาพระรัตนตรัยแท้จริงมาแขวนคอต้องอยู่ในอัญประกาศเพราะมันเป็นนามธรรม แขวนไว้ในใจ เอาพระรัตนตรัยมาแขวนคอไว้เหมือนที่คนทั่วไปเขาเอาพระเครื่องมาแขวนคอไว้ ก็ไอ้พวกที่มันเอาพระเครื่องมาแขวนคอไว้ มันทำในใจถูกต้องว่านี่เป็นสัญลักษณ์ของพระรัตนตรัยเอามาแขวนคอไว้กันลืมอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน แต่เราทำมากกว่านั้นคือว่า ในใจของเรามีคุณของพระรัตนตรัยอยู่เป็นประจำ มีไว้ในฐานะเป็นของคู่กันอยู่กับชีวิต ถ้ามันยังมีชีวิตอยู่ตราบใด ขอให้มีพระรัตนตรัยแขวนอยู่กับชีวิต อย่างนี้ก็เรียกแขวนคอ เอาพระรัตนตรัยแท้จริงมาแขวนคอไว้อย่างแท้จริง คือแขวนไว้ที่ใจ
นี่เป็นหน้าที่ที่สรุปข้อสุดท้ายไว้ให้ทุกคนรู้จักทำ เป็นหน้าที่สูงสุดที่จะต้องทำ และทีนี้ก็สรุปหน้าที่ว่า ต้องศึกษาให้ทราบเรื่องจริงๆ ต้องระลึกถึงอยู่ตามเวลา ต้องเพิ่มศรัทธา ต้องทำตามอย่าง ต้องมี ส ส ๓ ส นี่อยู่ในใจ ต้องรู้จักขมาโทษเป็นนิสัย มันก็มีค่าเท่ากับว่าแขวนไว้ที่คอ โดยคำพูดที่เป็นอุปมา
เอ้า, ทีนี้พูดกันถึงคำว่าพระรัตนตรัยกันเสียบ้าง เวลาจะหมดแล้ว จะต้องมีความเข้าใจถูกเกี่ยวกับพระรัตนตรัยเป็นพิเศษ ตรงที่คำว่า รัตนตรัย “รัตนะ” แปลว่าแก้ว “ตรัย” แปลว่า สาม สามแก้วก็คือแปลว่าแก้วสามดวง รัตนะนี่เป็นชื่อของสิ่งที่ใครมีแล้วยินดีที่สุด ใครมีแล้วคนนั้นจะมีความยินดีที่สุด เป็นเพชรพลอยก็เรียกว่ารัตนะอย่างวัตถุ ใครมีก็ยินดีที่สุด แต่นี่เรื่องทางจิตทางวิญญาณ ก็มีเพชรพลอยคือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ดังนั้นจึงยืมคำว่าพระรัตนะมาใช้กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นเรื่องทางวิญญาณ และมีสามอย่างเรียกว่า พระรัตนตรัย
นี่เป็นสิ่งที่มี เป็นสิ่งที่ต้องมีที่ขาดไม่ได้ ถ้าทางโลกใครไม่มีเงินไม่มีทรัพย์สมบัติเลยมันก็อยู่ไม่ได้ มันไม่มีอะไรจะเป็นที่พึ่งที่หวังที่อุ่นใจ มันก็มีเพชรพลอยเงินทองเป็นรัตนะ แต่ว่าทางจิตใจมันไม่เกี่ยวกับไอ้เรื่องอย่างนั้น มันต้องมีของมันอีกแผนกหนึ่ง เช่นว่าร่างกายกินอาหาร มันก็มีเงินมาซื้อกินได้ ทีนี้จิตใจมันก็กินอาหาร แต่มันกินข้าวกินปลาไม่ได้ เงินมันก็ซื้อมาให้ไม่ได้ มันต้องจัดหามาให้อย่างหนึ่งคือ พระรัตนตรัย สำหรับจิตใจนี่จะได้อาศัยอยู่ เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงอยู่ จึงต้องเข้าใจถูกอย่างเป็นพิเศษทีเดียวว่าพระรัตนตรัยยังเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ต้องมีในโลก ในบุคคล ในจิตของบุคคล พูดกว้างๆ ก็ต้องมีในโลก ถ้าพระรัตนตรัยไม่มีในโลก โลกนี้ก็วินาศไปนานแล้ว
ทั้งโลกต้องมีคุณธรรมของพระรัตนตรัยคุ้มครองอยู่โดยรู้สึกตัว หรือโดยไม่รู้สึกตัวก็ตามใจ และก็มีชื่ออย่างอื่นในลัทธิอื่น ในศาสนาอื่นก็ได้ แต่ความหมายมันจะตรงกัน คือพระธรรมที่จะดับทุกข์ได้นี่ต้องมี ต้องมีในโลก คิดดูอีกทีก็ต้องมีในคน ในบุคคลมันจึงจะมีอยู่ในโลก ถ้าจะมีในบุคคลมันก็ต้องมีอยู่ในจิต จะใส่ไว้กระเป๋ามันไม่ได้ มันคนละเรื่อง มันทำไม่ได้ มันมีที่เก็บเพียงแห่งเดียวคือในจิต มันต้องมีพระรัตนตรัยอยู่ในจิต นั่นแหล่ะคือมีอยู่ในบุคคล เมื่อมีในบุคคลมันแล้ว คือมีอยู่ในโลกเพราะโลกนี้มันเป็นไปตามน้ำมือของบุคคล
นี่ความเข้าใจเป็นพิเศษถูกเกี่ยวกับพระรัตนตรัย นี่ถ้าสรุปโดยย่อ ก็ขอให้ถือว่าจำเป็นที่ต้องมีในโลกในบุคคลในจิตก็ตามใจ คำๆ นี้มีความหายหลายชั้น ความหมายที่เป็นภาษาคนก็มี ภาษาธรรมก็มี ถ้าเป็นภาษาคนก็ว่าชั้นต่ำๆ ชั้นไม่ฉลาด ภาษาธรรมชั้นต่ำๆ ก็มีชั้นลึกถึงปรมัตถ์ก็มี แต่นี่เราเอากันเท่าที่จะพอมองเห็นได้ว่าเกี่ยวกับพระรัตนตรัยนี้เป็นอย่างไร
คำแรกที่สุด คำว่าพระรัตนตรัยก็แปลว่าแก้วสามดวง เขาเขียนภาพเป็นแก้วสามดวงแทนแก้วสามดวงจริงๆ ก็ได้เหมือนกัน พระพุทธดวงหนึ่ง พระธรรมดวงหนึ่ง พระสงฆ์ดวงหนึ่ง มันก็แยกกันโดยภายนอก พระพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทาง พระธรรมนั้นเป็นตัวทาง พระสงฆ์เป็นผู้เดินตามทาง เมื่อครบทั้งสามมันก็มีประโยชน์ ถ้าไม่ครบทั้งสามมันก็ไม่เกิดประโยชน์ มันก็มีผู้ชี้ทาง มีหนทางและก็มีการเดินตามทาง มันจึงนับได้เป็นสาม ก็เกิดเป็นแก้วสามดวงขึ้นมา
หรือบางทีก็ใช้สำนวนอย่างอื่น เช่นสำนวนว่า ผู้ปลุก พระพุทธเจ้าเป็นผู้ปลุก กิริยาที่ปลุกหรือความตื่นจากหลับก็ดีนั้นเป็นพระธรรม และพระสงฆ์นั้นเป็นผู้ถูกปลุกให้ตื่น มันก็น่าดูถ้ามันมีคนตื่น นี่มันมีแต่คนหลับ พูดได้หลายอย่างโดยอุปมาอย่างนี้ บางทีก็เรียกว่าผู้ส่อง ส่องแสง ส่องไฟไว้ในที่มืดที่เราสวดอยู่บ่อยๆ พระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้ส่องตะเกียง พระธรรมเป็นแสงสว่างหรือตะเกียง พระสงฆ์เป็นผู้ใช้ประโยชน์จากแสงสว่างคือเห็นหนทางแล้วก็เดินไปอย่างนี้ก็ได้
หรือว่าจะเป็นผู้เปิด พระพุทธเจ้าเป็นผู้เปิด ธรรมะมันอยู่ภายใต้ของปกปิด ท่านก็เปิด ธรรมะก็เป็นสิ่งที่ถูกเปิด พระสงฆ์ก็ได้รับประโยชน์จากการเปิดของพระพุทธเจ้า ที่ได้มีสิ่งที่ก่อนนี้มันลึกลับอยู่ บางทีก็ว่าหงายของที่คว่ำอยู่ นี่ไปดูเองก็แล้วกัน จะได้เห็นว่ามันมีอยู่สามเสมอ ก็เป็นแก้วสามดวง อย่างนี้ก็ยัง นับว่ายังเข้าใจถูกขึ้นมากแล้ว อย่าเอาตัวบุคคล หรือเอาวัตถุอะไรกันนัก เอาตัวบุคคลเช่นพระพุทธเจ้าที่เกิดขึ้นในประเทศอินเดียก็นิพพานไปแล้ว ไม่มีตัวตนอยู่แล้ว มันก็ลำบากอย่างนี้ เอาพระธรรมเป็นที่วัตถุก็ไปเอาที่พระไตรปิฎกบ้างที่อะไรบ้าง มันก็ลำบาก เอาพระสงฆ์ที่คนนี่ก็ลำบาก ฉะนั้นอย่าเอาที่บุคคลกันนัก เอาที่ความหมายหรือหน้าที่ของบุคคลหรือของวัตถุว่าเป็นผู้ชี้ทาง เป็นหนทาง เป็นผู้เดินตามทาง นี่ก็เรียกว่าเข้าใจถูกต่อพระรัตนตรัยในฐานะที่เป็นแก้วสามดวง
ทีนี้ผมอยากจะพูดว่า ดูให้ดีไปอีกกว่านั้น ดูให้ดีกว่านั้นไปอีกว่า ดวงเดียวสามเหลี่ยมดีกว่า มันมีดวงเดียวดีกว่า มันไม่เกะกะมากนัก แต่มันมีสามเหลี่ยม เหลี่ยมที่มันเป็นผู้ชี้ทาง หรือว่าเป็นตัวทาง เป็นผู้เดินทางก็ได้ มันเป็นแก้วดวงเดียว มันก็ทำง่าย หามาไว้ในใจได้ง่าย ให้นึกถึงว่า ๓ ส สะอาด สว่าง สงบ นั่นน่ะ ถ้าเราไปแยกมันก็เป็น ๓ ส ปากพูดแยกได้ แต่โดยเนื้อแท้มันแยกไม่ได้ เพราะว่าความสะอาด ความสว่าง ความสงบ มันอยู่ด้วยกันเป็นสิ่งเดียวกัน นี่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็เหมือนกัน ถ้าเราไปพูดแยก ถ้าเรามันแยกก็ตามชอบใจ แต่ถ้าเอาคุณธรรมแท้จริงแล้ว ทั้งสามอย่างนั้นจะเป็นอย่างเดียวกันได้ เป็นก้อนเดียวกลุ่มเดียวกันได้ เป็นความสะอาด สว่าง สงบ ที่อยู่ในรูปแบบต่างๆ กัน โดยเอาเปลือกเป็นเครื่องวัด เช่น สะอาด สว่าง สงบที่มาอยู่ในพระพุทธเจ้ามันก็อยู่ในภาชนะอันหนึ่ง สะอาด สว่าง สงบที่อยู่ในพระธรรมมันก็ในภาชนะอันหนึ่ง สะอาด สว่าง สงบในพระสงฆ์ก็ในภาชนะอันหนึ่ง แต่ถ้าหยิบเอามาแต่ความสะอาด สว่าง สงบแล้วมันกลับเป็นเหมือนกัน ไม่ต่างอะไรกันเลย ที่จะหาในพระพุทธ ในพระธรรม ในพระสงฆ์ อุปมาเหมือนกับแก้วดวงเดียว มันสามเหลี่ยมสามด้าน
ทีนี้ลองคิดต่อไปอีก ให้ยิ่งไปกว่านั้นอีก ก็จะกลายเป็นว่ามันเป็นแก้วที่ไม่ต้องมีดวง จะดีไหม ถ้าเป็นแก้วที่ไม่ต้องมีดวง มันก็ลำบากน้อย คือไม่ลำบากอะไรไม่ยุ่งยาก ไม่ลำบากอะไร มันเป็นความว่างจนไม่ต้องเป็นดวง แล้วมันจะอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่งได้ ถ้าฟังไม่ถูกก็ไม่ต้องสนใจก็ได้ แต่ผมฟังถูก จึงนำมาพูด ว่าแก้วที่ไม่ต้องมีดวงนี่สำคัญที่สุด มันเป็นความว่าง พระพุทธก็ว่าง พระธรรมก็ว่าง พระสงฆ์ก็ว่าง เอามาปนกันยังไงมันก็ยังว่างอยู่นั่นแหล่ะ เป็นแก้วคือของประเสริฐวิเศษประเสริฐเหลือจะกล่าวได้ แต่ว่าไม่ต้องมีดวง ไม่มีตัวไม่มีตนที่จะเป็นดวงเป็นก้อนเป็นอะไร
นี่พระรัตนตรัยชั้นสูงสุดก็จะเรียกว่าแก้วที่ไม่มีดวง ไม่ต้องมีดวง แก้วสามดวงก็คงจะรุงรังหน่อย แก้วดวงเดียวก็รุงรังน้อยขึ้นมา แก้วไม่มีดวงก็ยิ่งไม่ต้องลำบาก ความเข้าใจถูกควรจะเดินมาตามลำดับในลักษณะอย่างนี้ ใครเอาได้ถึงไหน ก็ได้เท่านั้นแหละ ถ้าถึงแก้วที่ไม่ต้องมีดวงได้แล้วมันก็จะอยู่ในจิตใจในเนื้อในตัวในที่ทุกหนทุกแห่งทั้งโลกไปเลยก็ได้ ขอให้มีความเข้าใจถูกต้องในพระรัตนตรัย หรือเกี่ยวกับพระรัตนตรัยในลักษณะอย่างนี้ เห็นที่เป็นอยู่จริง มันจะไม่เป็นอย่างนี้เหมือนกับที่ว่าทีแรกแล้วว่า เรากำลังมีพระรัตนตรัยแต่ชื่อ แต่ลมๆ แล้งๆ ไม่มีแม้แต่ชนิดสามดวงหรือดวงเดียว หรือไม่ต้องเป็นดวง มันก็เลยเป็นว่า เป็นไก่ เป็นลิง เป็นแมว เป็นหมู เป็นปู เป็นปลากันไปหมดต่อพระรัตนตรัย เมื่อเป็นไก่ มันพบพลอยเม็ดหนึ่ง มันก็ไม่สนใจ เป็นลิงได้แก้วมา ก็ไม่รู้ว่าเอาไปทำอะไร หยิบขึ้นดูหน่อย ก็ขว้างทิ้ง เป็นแมวเป็นหมูเป็นปูเป็นปลา เป็นอะไรก็ตามได้แก้วมา มันก็ไม่เอา ใครให้มันก็ไม่เอา
เพราะว่าคนเราคงจะคิดว่าเอาไปขายได้ แต่นั่นมันแก้วทางวัตถุ มันไม่ใช่พระรัตนตรัย ไอ้ลิงมันเอาแก้วไปขายไม่ได้ แต่ถ้าคนได้แก้วถึงแม้มันจะไม่ใช้เอง มันก็ไปขายได้ แต่ว่านั่นมันเป็นแก้วทางวัตถุ ทีนี้แก้วทางวิญญาณทางนามธรรมนี้มันจะขายที่ไหนได้ คนก็ไม่เอา แล้วคนก็เป็นไก่เป็นลิงเป็นหมูเป็นปลาเป็นเต่าเป็นอะไรไป เกี่ยวกับพระรัตนตรัยนั่นเอง แต่ถึงอย่างไรก็ดีว่า ถ้าเผอิญว่าถ้าเขายังออกชื่อพระรัตนตรัยอยู่ เรียกว่ายังดีกว่าไม่ออกชื่อ หรือไม่รู้จักเอาเสียเลย ยังเป็นผลดีที่แม้แต่ว่าจะเพียงออกชื่อ แล้วก็ค่อยๆ ปรับปรุงให้มันเป็นความหมาย เป็นความจริงขึ้นมา นี่เขาเรียกว่าความเข้าใจถูกเกี่ยวกับพระรัตนตรัย พูดกับท่านทั้งหลายผู้เป็นพระบวชใหม่อย่างนี้ นี่ก็หมดเวลาแล้วก็ขอยุติการพูดนี้ไว้เพียงเท่านี้