แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การบรรยายสำหรับผู้บวชใหม่ในวันนี้ ผมจะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับงานอดิเรก ขอให้ทบทวนไปถึงเรื่องที่กล่าวมาแล้วสองครั้ง ว่าทำความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการบวช ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเรียนมันมีอยู่อย่างไร วันนี้ก็พูดถึงเรื่องความเข้าใจผิดที่เกี่ยวกับงานอดิเรก สำหรับการบวชมีความมุ่งหมายโดยตรงอย่างไรก็มีชัดอยู่แล้วและการเรียนจะต้องเรียนอะไร เรียนปริยัติหรือเรียนปฏิบัติ ทีนี้ก็ยังเหลืออีกส่วนหนึ่งซึ่งเรียกว่างานอดิเรก จะเป็นผู้บวชใหม่หรือผู้บวชเก่าก็ตาม ย่อมเกี่ยวข้องกันอยู่กับสิ่งนี้ โดยที่ไม่มีทางจะหลีกเลี่ยงได้ ไม่มากก็น้อยหรือไม่โดยตรงก็โดยอ้อม ขอให้พิจารณากันดูโดยละเอียดด้วย คำว่าอดิเรกในภาษาไทยมันก็มาจากคำว่าอติเรก อติเรกะในภาษาบาลี อติแปลว่าเกิน เอกะก็แปลว่าหนึ่ง อติเรก อติเอกะ มาสนธิกันเป็นอติเรกะ มาเป็นไทยว่าอดิเรก ก็เกินกว่าหนึ่ง ก็คือมากกว่าที่เป็นหน้าที่โดยตรง หน้าที่โดยตรงซึ่งเรามักจะมีกันเพียงอย่างเดียวนั่นก็เรียกว่าหน้าที่โดยตรง ถ้าอะไรไปเกินกว่านั้นก็ถือว่าเป็นอดิเรก สำหรับความสำคัญ หรือความงดงาม หรือค่าของมันนั้นมันก็ไม่แน่ บางทีงานอดิเรกมีค่ามากกว่าก็มี ทำรายได้ให้มากกว่าก็มี ที่เป็นหน้าที่โดยตรงก็ถือว่ามีเพียงอย่างเดียว ที่นอกออกไปกว่าหน้าที่โดยตรงก็เรียกว่าอดิเรก เช่นอาหารที่เป็นอดิเรกกับลาบ คืออาหารที่มันแปลกไปจากอาหารที่เรามีกันตามธรรมดา ก็เรียกว่าอดิเรก เรื่องอื่นก็เหมือนกันที่งานอดิเรกนี่มีได้ทั้งแก่ผู้บวชใหม่หรือผู้บวชเก่า พิจารณากันดูต่อไป สำหรับหน้าที่โดยตรงเพียงอย่างเดียวก็คือเกี่ยวกับการทำความดับทุกข์ส่วนตน เช่นเรียนปริยัติก็เรียนเพื่อดับทุกข์ เรียนกรรมฐาน เรียนการปฏิบัติ นี่ก็ ก็เพื่อดับทุกข์ เรียกว่าเป็นหน้าที่โดยตรง ที่หน้าที่อดิเรกที่นอกไปจากหน้าที่โดยตรง ถ้าจะพูดกันสั้นๆ ก็คือการสืบอายุพระศาสนา หมายความว่ามันเป็นอีกสิ่งหนึ่งจากหน้าที่โดยตรง คนเราจะมีหน้าที่โดยตรงชั้นเอกชั้นเลิศก็เพียงอย่างเดียวคือปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ ในเรื่องการสืบอายุพระศาสนาก็กลายเป็นงานอดิเรก ซึ่งบางคนทำได้ บางคนทำไม่ได้ นี่ก็ไม่สมัครจะทำก็ยังได้เพราะว่ามีเหตุผลส่วนตัว สำหรับผู้บวชใหม่ก็ยังไม่แน่ว่าจะมีการกระทำหน้าที่อดิเรกอันนี้หรือไม่ แต่สำหรับผู้บวชเก่านั้นมีโอกาสมีช่องทางมีปัญหาเฉพาะหน้าที่ตัวอยู่ แต่ในที่นี้ก็ต้องการจะพูดรวมกันไป เพราะว่าความเข้าใจผิดเรื่องนี้ มันเข้าใจผิดลงไปบนนักบวชหรือบรรพชิตในธรรมวินัยนี้นั้นเอง สำหรับการสืบอายุพระศาสนานั้น ส่วนใหญ่ก็อยู่ที่การเผยแผ่พระพุทธศาสนา เมื่อเราบวชจริง หรือเย็นจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง มันก็ครบหมดเพราะว่าเรื่องของบุคคลคนหนึ่ง ถึงจะสอนผู้อื่นต่อไปจริงๆ เป็นการเผยแผ่พุทธศาสนานั่นแหละ มันจะเป็นส่วนอดิเรก เผยแผ่พุทธศาสนาโดยแท้ก็คือการสืบอายุพระศาสนาไว้อย่าสูญสิ้นไปได้ เป็นส่วนสำคัญ ถ้าเรียกอีกความหมายหนึ่งก็ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์กันให้ได้รู้สิ่งที่ควรจะได้รู้ หรือว่าจะได้รับ ฉะนั้นส่วนนี้จึงเป็นงานอดิเรก ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง อย่าทำให้มันผิด และก็อย่าโง่ถึงขนาดไปว่าคนอื่น ซึ่งเขาไม่ทำหรือว่าซึ่งเขาจะทำ คนเขาต้องการจะทำงานเผยแผ่ศาสนาก็มีบางคนโง่ ไปว่าไปทำทำไม หรือไอ้คนบางคนมันไม่อยากจะทำหรือไม่ทำ ไอ้คนมันก็ไปว่าโง่อีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นหยุดความเข้าใจผิดในการที่จะกล่าวหาซึ่งกันและกันอย่างเขลาๆ เกี่ยวกับงานอดิเรกข้อนี้กันเสียที ทีนี้สำหรับผมเมื่อจะพูดก็จะพูดให้สิ้นเชิง เกี่ยวกับงานอดิเรกอันนี้ คือเรารู้ว่า คือเราจะต้องรู้กันว่าการสืบอายุพระศาสนาในการงานที่เป็นงานอดิเรกนี้มันมีอะไรบ้าง ข้อแรกก็ต้องมีการสั่งสอน ซึ่งเป็นการทำให้ได้ยินได้ฟัง ครั้งพุทธกาลท่านก็มี เป็นพระอรหันต์แล้วก็ออกสั่งสอน บางทียังไม่เป็นพระอรหันต์พระพุทธเจ้าท่านก็สั่งให้ออกสั่งสอนไปตามที่จะทำได้ เช่นพวกภัททวัคคีย์ก็ไม่ปรากฏว่าเป็นพระอรหันต์ แต่ก็มีข้อความระบุอยู่ชัด พระองค์ก็ทรงสั่งให้ออกไปเพื่อประกาศพรหมจรรย์ด้วยเหมือนกัน คิดว่าต้องมีระบบงานเกี่ยวกับการสั่งสอนนี้คนก็จะต้องสนใจ ทำให้เป็น มันก็เลยเกิดเรื่องแปลกออกไปอีกเรื่องหนึ่งคือว่า ต้องสั่งสอนให้เป็น อย่างฝึกฝนการเทศน์ การบรรยาย การอะไรเหล่านี้ เมื่อทำไปในทางที่ถูกต้องบริสุทธิ์ มันก็ดี ไม่มีส่วนที่คนโง่โง่จะไปตำหนิ เสียเวลานอกเรื่องนอกราวเพราะว่าตัวเองทำไม่ได้ แต่ว่าคนที่ทำได้ก็อย่ายกหูชูหางให้มันมากนัก เพราะมันเป็นงานอดิเรก ที่ข้อถัดไปเมื่อมันมีการสั่งสอน ก็ต้องมีสถานที่ มีอุปกรณ์ที่เหมาะสมและครบถ้วน นี่มันขยายออกไปละมันจะบานปลาย พอมีภาษามาในการสั่งสอนมันก็ต้องมีสถานที่ที่เหมาะสมที่ครบถ้วน มีเครื่องมือเครื่องใช้อุปกรณ์ที่มันครบถ้วน มันก็ต้องเกิดมีความสามารถในการสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้ขึ้นมาอีก ก็ดูวัดสมัยนี้ก็มีสถานที่ที่จัดขึ้นเพื่อการเผยแผ่สั่งสอนโดยตรง ซึ่งครั้นพุทธกาลก็เรียกได้ว่าไม่มี เพราะว่ามันมีปัญหาผิดกัน ข้อนี้คนหลับตาพูด พูดอย่างเกินโง่ไปเสียอีกว่าทำไมไม่ทำเหมือนครั้งพุทธกาล พวกคุณลองถามตัวเองดูว่าทำไมถึงไม่ทำเหมือนครั้งพุทธกาล เพราะว่ามันทำเหมือนได้แต่บางอย่าง บางอย่างมันทำไม่ได้ เพราะโลกมันเปลี่ยนแปลง ประชาชนมันเปลี่ยนแปลง แม้แต่วัดวาอารามมันก็เปลี่ยนแปลง อะไรก็ต้องเปลี่ยนแปลง ไอ้ตัวที่มันเปลี่ยนแปลงนี้มันทำเหมือนกันไม่ได้ โดยหลักโดยวิญญาณก็ต้องเหมือนกันได้ แต่โดยส่วนประกอบปลีกย่อยแล้วมันก็ทำไม่ได้ ที่จะให้เหมือนกันดี เพราะเหตุอะไรก็ไปมองดูเอง เข้าใจได้ไม่ยาก นี้จึงเกิดมีเครื่องมือเครื่องใช้ หรือสถานที่เพื่อการเผยแผ่ การโฆษณาขึ้นมา ก็ต้องมีคนที่สามารถจะทำจะใช้ ยิ่งทำเป็นการใหญ่แล้ว มันก็ยิ่งต้องมีเป็นแผนกงาน แม้แต่เพียงเกี่ยวกับอุปกรณ์ เครื่องใช้หรือสถานที่เท่านั้นแหละ อย่างวัดเรานี้ก็มีตึกโรงหนัง หรือว่ามีเครื่องอุปกรณ์อื่นๆ เกี่ยวกับการเผยแผ่ ก็เห็นได้ชัดเลยว่าถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ มันก็ทำอะไรมากเท่านี้ไม่ได้ ปัญหามันก็เหลืออยู่แต่ว่าที่ทำไปนี้มันมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ แต่ผมเห็นว่าอย่างน้อยมันก็มีประโยชน์ ซึ่งพิสูจน์อยู่แล้วว่าถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้พวกคุณก็คงไม่ได้มาที่นี่ ทุกคนเลย นี่ก็เรียกว่าส่วนหนึ่งละ คือสถานที่หรืออุปกรณ์ทั้งหลายปรับปรุงให้มันเหมาะสม ให้มันครบถ้วนยิ่งขึ้น ทีนี้ถัดไปก็ต้องการความมีสมรรถภาพ ที่อบรมขึ้นมาเพื่อกิจกรรมอันนั้นโดยเฉพาะ ถ้าเราจะทำการสั่งสอนกันอย่างพุทธกาลมันก็ไม่เหมือนกับเดี๋ยวนี้ มันจึงมีส่วนที่แปลกที่เราจะต้องฝึกฝนอบรมกันเฉพาะสมัยนี้ แม้แต่การพูดจาคิดดู มันจะต้องอบรมกัน ยิ่งในสมัยนี้ ถ้าพูดหยาบคายก็ต้องพูดว่าคนมันเป็นบ้ามากขึ้น พระบางองค์บวชกันแล้วก็ยังห่างเหลาะแหละโลเล เพราะว่ามันถูกดึงดูดโดยสิ่งยั่วยวน ที่ประชาชนก็เหมือนกันถูกดึงดูดโดยสิ่งยั่วยวนวัตถุนิยมอย่างสมัยใหม่ มันเป็นปัญหาที่ยากกว่าครั้งพุทธกาลมาก ครั้งพุทธกาล ประชาชนก็ดี นักบวชก็ดีไม่ถูกดึงดูดให้เป็นโรคเส้นประสาทมากกันเดี๋ยวนี้ ช่วยระวังกันหน่อยนะ พวกเราที่บวชแล้วอย่ามีโรคเส้นประสาท อย่ามีอาการของโรคเส้นประสาท มันจะขายหน้า เสียชื่อบิดามารดา ครูบาอาจารย์ นี่พูดระบุในข้อที่ว่าให้ประชาชนหรือโลกทั้งหลายนี้มันก็อยู่ในสภาพที่ถูกไอ้สิ่งที่หลอกลวงของสมัยปัจจุบันนี้ดึงดูดเอาไป มีจิตใจไม่สงบโดยง่ายเหมือนครั้งพุทธกาลแล้ว การที่จะเผยแผ่แก่คนเหล่านี้มันก็ต้องสามารถมาก เราก็พยายามกันไปตามเรื่อง ที่จะให้มีสมรรถภาพสำหรับต่อสู้กันกับโลกสมัยปัจจุบันนะ เกี่ยวกับการเผยแผ่ จึงต้องศึกษาอะไรหลายๆ อย่างเพื่อให้มีความรู้ทันกันกับคนเหล่านั้น เขารู้อะไรอย่างที่เรียกว่าเป็นวิชาความรู้ วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ปรัชญาอะไรกันมากมาย นี้พระไม่รู้อะไรเลยมันก็พูดกันไม่รู้เรื่อง หรือว่าเขาพูดด้วยวิธีสกัดนั้นสกัดนี้เข้าหน่อยโดยตรรกวิทยาเป็นต้น พระก็จน พูดไม่ได้ พูดไม่ออก ก็สมัยนี้จึงต้องเรียนอะไรเพิ่มขึ้นถ้าต้องการจะไปสั่งสอนแก่ประชาชนที่มันมากไปด้วยการศึกษา ยิ่งกว่านั้นอีกก็ต้องใช้ภาษาหลายภาษาออกไปอีก ภาษาของตัว อย่างเดียวก็ไม่พอ นี่มีอะไรอีกหลายๆ อย่างที่จะต้องทันกันกับปัญหาที่กำลังยุ่งยากลำบาก นี่มันแปลกออกไปอย่างนี้ก็ต้องเรียกว่าอดิเรกทั้งนั้น ถ้าใครเห็นก็สามารถจะทำได้ ก็ทำได้ ถ้าไม่เห็นว่าไม่สามารถจะทำก็อย่าไปทำเลย อย่างนี้ดีกว่า หรือว่าสามารถทำได้เพียงเท่าไรก็ทำได้เพียงเท่านั้น อย่าให้มันมากเกินไปมันจะห้าแต้ม จะแสดงความโง่เขลาอะไรออกมา ทีนี้ก็ดูต่อไปให้มันปลีกย่อยออกไปถึงวิธีการโฆษณา วิธีการโฆษณาสำหรับสมัยนี้นั้นจะมีแปลกออกไปจากครั้นพุทธกาลอีกเหมือนกัน มันก็มันเนื่องมาจากไอ้ที่แล้วมาว่า ไอ้คนมันเปลี่ยนมาก ทุกอย่างมันเปลี่ยนมาก สิ่งยั่วยวนมันก็มาก คนเขาไปติดไอ้ฝ่ายกิเลสนั้นน่ะเหนียวแน่น ถ้าการโฆษณามันไม่ทัน มันก็อาจจะไม่มีคนสนใจเลยก็ได้ ดูดีดี ถ้าวิธีการโฆษณามันไม่ทันกันบ้างนั้น ก็จะไม่มีใครสนใจเลยก็ได้ นี่เรียกว่าเพื่อจะทันกับไอ้โลกที่มันกำลังบ้าคลั่ง ทีนี้อีกทางหนึ่งวิธีการโฆษณาและก็สิ่งที่มันลึกลับ เป็นเรื่องของธรรมชาติ อันแท้จริง อันลึกลับ ก็จะมีวิธีสอน วิธีพูด วิธีโฆษณาอย่างไรให้คนมันเข้าถึง ความจริงของธรรมชาติอันเร้นลับ อย่างนี้คล้ายๆ ครั้งพุทธกาล แต่มันจะลำบากยิ่งกว่าครั้งพุทธกาล เพราะคนเดี๋ยวนี้มันไม่เหมือนครั้งพุทธกาล ก็จะดึงเขาให้มาสู่ธรรมชาติ อันบริสุทธิ์ อันลึกซึ้ง มันก็ยิ่งยากกว่าครั้งพุทธกาล ให้สิ่งที่เรียกว่าวิธีการ หรือว่าจะเรียกว่าอุบายอะไรก็สุดแท้นั้นมันแปลกออกไปกว่าครั้งพุทธกาล ก็มีมากอย่างด้วยวิธีต่างๆ ซึ่งในครั้งพุทธกาลไม่จำเป็นจะต้องมี นี่ผมพูดตามความรู้สึกที่สังเกตมาหลายสิบปีแล้ว แล้วก็มาสะดุดได้เสมอ ไอ้วิธีอย่างนี้ครั้งพุทธกาลไม่ต้องมี เชื่อเหลือเกิน ไม่ต้องใช้ แต่ว่าเดี๋ยวนี้มันเกิดเป็นต้องใช้ ต้องใช้อะไรขึ้นมา นี่ก็ถือว่ามันเป็นเรื่องอดิเรก ไกลเกินออกไปกว่าหนึ่ง นี่อีกทางหนึ่งต่อไปอีกก็ยังจะต้องมี สิ่งที่มันเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ ที่จะต้องมีปูชนียวัตถุ มีปูชนียสถาน กระทั่งมีวิธีการที่แสดงให้ประทับใจ ให้มีความขลัง มีความศักดิ์สิทธิ์ด้วย ครั้งพุทธกาลปรากฏว่าไม่ได้มีปูชนียวัตถุ ปูชนียสถานอะไรเลย เพราะว่ามันไม่มี มีไม่ได้ เพราะว่ายังไม่เกิด สิ่งเหล่านี้มันเกิดเมื่อมี เมื่อพระพุทธองค์ปรินิพพานแล้ว พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วจึงเกิดมีปูชนียสถาน ปูชนียวัตถุอะไรเรื่อยๆ มา กระทั่งมีวิธีการที่ดึงให้เกิดความรู้สึกขลัง ศักดิ์สิทธิ์ หรือเชื่อ แม้แต่เรียกว่าเป็นความงมงายก็เป็นความงมงายที่มีประโยชน์ แล้วจึงสร้างวัดวาอารามในรูปที่ดึงดูดใจ โบสถ์ วิหาร อะไร ก็ตามมันก็มีขึ้นมา ซึ่งมันไม่เคยมีมาแต่ก่อน นี้ก็อย่าดูถูกดูหมิ่น ถ้ามันทำผิดหรือเกินไปมันก็งมงายได้ แต่ถ้ามันทำความพอเหมาะพอดี มันก็พอดีได้ถือว่ามีประโยชน์ มันเป็นสัญลักษณ์ของพระธรรม เดี๋ยวเห็นโบสถ์ เดี๋ยวเห็นพระเจดีย์ จิตใจของคนมันก็รู้สึกไปในทางของศาสนา ถ้าไม่เช่นนั้นเขาจะยกมือไหว้หรือ เห็นโบสถ์ เห็นพระเจดีย์ เห็นพระสงฆ์ เขาก็ยกมือไหว้ ในฐานะที่เป็นปูชนียบุคคล ปูชนียวัตถุ ปูชนียสถาน เขาก็มองเห็นประโยชน์อันนี้ ว่ามีอยู่อย่างสำคัญแล้วจึงสนใจกันสร้างขึ้นมา แต่มันจะเฟ้อในตอนหลังนี่มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง หรือถ้ามันจะไม่ให้เฟ้อมันก็ยังได้ จะใช้ให้มันเป็นประโยชน์ยิ่งขึ้นไป ทีนี้มันก็เลยเกี่ยวโยงกันไปถึงไอ้พวกศิลปะต่างๆ ความวิจิตร หรือความลึกซึ้ง ทางศิลปะก็เข้ามาเกี่ยวข้อง ประโยชน์มันเลยไปถึงไอ้เรื่องทางวัฒนธรรมทางอะไรไกลออกไป เพราะว่าถ้าไม่มีศรัทธา คนก็ไม่เสียสละมากถึงขั้นนั้น เดี๋ยวนี้เขาพิสูจน์แล้วว่าไอ้ปูชนียสถานที่สำคัญ ที่น่าอัศจรรย์นั้นมันทำด้วยแรงศรัทธา ในศาสนาไหนก็ตาม อย่างนครวัดก็ทำด้วยแรงศรัทธาเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่ทำด้วยแรงหวาย ยกตัวอย่างในพุทธศาสนาเรา ไอ้กลุ่มถ้ำอชันตา หลายสิบถ้ำนั้นมันเกิดขึ้นด้วยแรงศรัทธา ไม่ใช่ด้วยแรงหวาย ศึกษากันนักหนาแล้วก็นี่ไม่ใช่แรงดาบ แรงหวาย ก็เป็นเหตุให้เกิดศิลปวัตถุขึ้นมาส่วนหนึ่ง ในทางหนึ่งก็เป็นปูชนียสถานอันสูงสุด คนไปเห็นแล้วก็ขนลุกก็เลยเกิดเชื่อในบารมีของพระธรรมขึ้นมาว่าถ้าไม่มีบารมีหรืออิทธิพลของพระธรรม ก็ไม่มีใครเสียสละกันถึงขนาดนี้ นี่เราก็มาดูเจดีย์ย่อมๆ เล็กๆ ที่เขาสร้างกันก็เหมือนกันน่ะมันด้วยศรัทธามาก เป็นส่วนของบุคคลน้อยๆ ลงมา ถ้าไม่แรงศรัทธาแล้วมันก็ทำไม่ได้ จึงถือว่ามันเป็นเครื่องสืบอายุศาสนาด้วยเหมือนกัน คือรักษาศรัทธา รักษาความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ ของพระธรรมของอะไรไว้ได้ ถ้าตัวเองโง่ทำไม่เป็นแล้วก็อย่าไปด่าเขาเลย หรือว่าถ้าตัวเองทำเป็นทำเก่ง ก็อย่าอวดดี อย่ายกหูชูหาง ว่าเพียงเท่านี้มันเก่งแล้ว มันถึงที่สุดแล้ว มันก็ไม่ถูกเหมือนกัน นี้เราจะต้องมีการสืบอายุพระศาสนาในฝ่ายที่เป็นการทำให้รู้ ทำให้มีความรู้ ทำให้มีศรัทธา ทำให้มีความยึดมั่นในพระศาสนา ก็เป็นอย่างนี้ นี่เป็นส่วนงานอดิเรก จึงควรจะพิจารณาดูว่ามันก็ได้มีประโยชน์ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ค้ำจุน ให้เกิดความมั่นคงแก่การทรงอยู่ของพระศาสนาด้วย การเผยแผ่พระศาสนาให้แพร่หลายกว้างขวางออกไปกว่า เพียงแต่ว่าจะทรงอยู่ ให้มันทรงอยู่ด้วย ให้มันเจริญกว้างขวาง งอกงาม ออกไปด้วย นี่ผมพูดถึงเรื่องงานอดิเรก แต่แล้วคุณก็สังเกตดูสิว่ามันได้พูดกว้างขวางใหญ่โตเลยออกไปถึงเรื่องของศาสนาไปแล้ว งานอดิเรกไม่ได้เป็นเรื่องของบุคคลเล็กๆ มันกลายเป็นเรื่องของพระศาสนาไปทั้งหมดเลย จะเห็นว่ามันมีการเผยแผ่พระพุทธศาสนากันใหญ่โตอย่างไรในเวลานี้ ในประเทศไทย ในประเทศอื่น แล้วกระทั่งประเทศที่ไม่ได้นับถือพุทธศาสนามาแต่ก่อน เขากำลังขวนขวายกันเป็นอย่างยิ่ง ต้องใช้เครื่องมือเครื่องใช้กันกี่มากน้อย เมื่อได้ดูอีกแง่หนึ่งในทางโบราณคดีซึ่งผมก็สนใจอยู่ มันก็พบว่าแม้ดูทางโบราณคดีแล้วมันก็เห็นร่องรอย ของการที่มีพุทธศาสนาเจริญในที่บางแห่งอย่างไม่น่าเชื่อ แม้ว่าเดี๋ยวนี้สถานที่นั้นมันได้เปลี่ยนเป็นศาสนาอื่นไปแล้ว แต่มันก็ยังแสดงร่องรอยอยู่ อย่างพระเจดีย์มหาศาลที่เรียกกันว่าบรมพุทโธที่ประเทศชวา ซึ่งเดี๋ยวนี้เป็นประเทศอิสลามไปแล้ว ไปดูไปศึกษาดูก็จะเห็นว่ามัน มันบอกถึงความศรัทธา ความเอาจริงเอาจัง ความมีรกรากมั่นคงของพระพุทธศาสนาลงไปที่นั่น มันก็เหลือให้คนทั้งโลกรู้และยอมรับรองอยู่จนกระทั่งบัดนี้ ถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่มีมันก็ไม่มีใครรู้ หายไปหมดแล้ว เหลือสิ่งเหล่านี้มันยังอยู่มันทำด้วยหินยังอยู่อีกหลายร้อยปีหรือหลายพันปีก็ได้ งานอดิเรกมันก็เป็นเรื่องเกิน และถ้าว่าเกินในทางที่จะให้มันอยู่ได้มันก็ยิ่งดี ถ้าจะมีเปลือกหนาๆ หน่อยไอ้เนื้อในมันก็อยู่ได้ปลอดภัยมากขึ้น มองเห็นกันอย่างนี้ก็จึงทำกันอย่างนี้ ต่อไปก็อาจจะประคบปะหงมกันมากกว่านี้ ในส่วนที่เป็นอดิเรก ทีนี้ก็ดูกันต่อไปถึงประสิทธิภาพส่วนบุคคล ประสิทธิภาพส่วนบุคคลหมายถึงบุคคลคนหนึ่งๆ ที่เขาจะมีประสิทธิภาพในการที่จะทำงานอดิเรกเช่นว่านี้ได้อย่างไร ผมก็ยอมรับว่าผมคนหนึ่งเป็นคนที่บางคนเขาหาว่าเป็นคนนอกรีต นอกรอย แหวกแนวอะไรต่างๆ คือทำการเผยแผ่พุทธศาสนาชนิดที่ไม่มีใครเขาทำกันมาแต่ก่อน แม้ที่สุดแต่การใช้คำพูดหรือวิธีเทศน์หรือวิธีบรรยาย วิธีอธิบาย การใช้อุปกรณ์อะไรมันแหวกแนวไม่เหมือนใคร ก็ยกให้เป็นประสิทธิภาพ หรือสมรรถภาพส่วนบุคคลที่จะต้องพิจารณาเหมือนกัน ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าไปทำดีกว่า ถ้าทำได้ก็ทำตามที่ควรจะทำ แต่ถ้าดูให้ดีแล้ว คนไม่เลวกว่าสุนัข ควรจะทำได้ตามมากตามน้อย ที่พูดว่าทำไม่ได้เลยนั้นไม่มี เมื่อมีการอบรมกันเพียงพอแล้วก็ มันต้องทำได้ไม่มากก็น้อย ที่จะปฏิเสธว่าทำไม่ได้เลยนั้นเป็นไปไม่ได้ คนมันไม่ยอมรับการอบรม มันแก้ตัวให้แก่ตัวเอง แล้วพูดถึงประสิทธิภาพก็ต้องเป็นอันว่า แล้วแต่ละคนจะทำได้ ไม่ได้เกนให้ทำเหมือนกัน แต่ควรจะทำได้ ตามความถนัด ตามความถนัดกันก่อนข้อแรก มาบวชพระเข้าแล้วหลายๆ คนนี่ใครมันถนัดทำอะไรมาก่อนคนนั้นต้องทำในส่วนนั้น เมื่อพระองค์หนึ่งมันหย่อนสมรรถภาพ ปลงผมเองไม่ได้ ก็ควรจะมีคนที่สามารถช่วยปลงผมให้ไม่ดีหรือ มันก็เป็นเรื่องที่ถนัดมาก่อน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีใครช่วยกัน ระหว่างบุคคลที่คนหนึ่งมันไม่ถนัด คนหนึ่งมันถนัด มันต้องช่วยกันไปจนกว่ามันจะถนัด ฉะนั้นอย่ามีใครอวดดียกหูชูหางว่าตัวไม่ต้องพึ่งใคร ในเมื่อตนมีความถนัดทางไหน ก็ใช้การถนัดทางนั้นออกมา เมื่ออยู่กันหลายคนมันก็เลยครบบริบูรณ์ มีคนถนัดในแง่มุมต่างๆ ผมยังคิดว่าแม้แต่จะกวาดลานให้เตียนนี้ก็ยังมีต่างๆ กัน ไอ้คนที่ถนัดก็กวาดได้มากกว่าได้เตียน แล้วก็ชอบกวาด ไอ้คนที่ไม่ถนัดแล้วกวาดก็ดูไม่ได้แล้วมันก็ขี้เกียจกวาดด้วยซ้ำไป นี่มันแล้วแต่ถนัด เพราะนั้นเมื่อบวชเข้ามาในศาสนานี้แล้ว ตัวถนัดอะไรก็จงใช้ในทางที่มันไม่ผิดธรรม ไม่ผิดวินัย เรื่องนี้ต้องเอาความบริสุทธิ์ใจเป็นหลักกัน ไม่ใช่ว่าเป็นความกันในศาลแล้วจะหาพยานโกหกหรือข้อบิดพลิ้วแก้ตัว มันเอาบนความบริสุทธิ์ใจกัน ว่าเราได้ทำนี้ทำเพื่อพระศาสนาจริง ไม่ใช่ทำเหงื่อไหลไคลย้อยให้เขาสรรเสริญ อย่างนั้นมันก็ไม่ถูกแล้ว มันไม่จริงแล้ว ถ้าทำเหงื่อไหลไคลย้อยด้วยความเห็นแก่พระศาสนาจริงมันก็ใช้ได้ แม้แต่กวาดวัดอยู่นี้ คุณกวาดเพราะอะไร เพราะให้เขาสรรเสริญ หรือว่า เพราะว่ามันมีระเบียบบังคับ หรือว่ากวาดได้ออกอนามัยกำลัง หรือว่ากวาดตามกิจวัตร ธรรมวินัยในพระศาสนา หรือว่ากระทั่งกวาดด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่ว่าเราต้องช่วยกันบำรุงสมบัติของศาสนาอย่างนี้เป็นต้น ถ้าทำอะไรในส่วนนี้เป็นงานอดิเรกแล้วก็ขอให้ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ตามความถนัดกันอย่างหนึ่ง หรือตามความสามารถหรือสมรรถนะที่มากน้อยเพียงไร นี่มันหมายถึงข้อปลีกย่อยเรื่องเดียวกัน บางคนทำได้มาก บางคนทำได้น้อย เกี่ยวกับฝีไม้ลายมือ ว่ามีความสามารถมาก ชนิดที่คนอื่นมันทำไม่ได้ก็มี มีอยู่หลายอย่าง เราจะต้องให้โอกาสคนที่มีความสามารถได้ทำทุกอย่างที่เขาสามารถจะทำได้และเป็นประโยชน์แก่พระศาสนา ให้ช่วยกันสนับสนุน อย่าเป็นคนคดโกง เมื่อตัวทำไม่ได้แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาแต่จะขัดคอ ขัดขวางบ่นว่าติเตียนเพราะตัวเองมันทำไม่ได้ หรือมันเป็นมีปมด้อยอย่างใดสูงอยู่มาก ไอ้คนที่มีปมด้อยมันก็มักจะทำอย่างนั้นน่ะ พยายามพูดทำลาย ความดี ความงาม ความสามารถของผู้อื่น ระวังให้ดี เพราะสิ่งเหล่านี้มันมีได้ไม่รู้สึกตัว กิเลสนี้มันลึกซึ้งมาก มันขึ้นขี่คอคนนั้นอยู่โดยที่คนนั้นไม่รู้สึกตัว นี้เขาก็มองไม่เห็นเพราะมันอยู่บนหัว มันก็มองไม่เห็นว่าคิดว่าที่ทำนี้มันก็ดีไปเสียอีก ก็เลยทำสิ่งที่ไม่ควรจะทำ มันจึงเกิดความไม่สามัคคี ไม่ร่วมมือ ไม่อะไรต่างๆ ในสิ่งที่มันควรจะสามัคคีและควรร่วมมือ มันมีแต่คนออกไปยืนเอามือไขว้หลังแล้วก็ขัดคอ วิพากษ์วิจารณ์ ทำนองขัดคอหรือทำลายไปเสียเลย เพราะฉะนั้นศาสนาก็ไม่เจริญเท่าที่ควรจะเจริญ เพราะว่าเจ้าหน้าที่เหล่านั้นมันไม่รู้จักตัวเอง มันก็ไม่รู้จักทุกอย่างที่ควรจะรู้จัก ในส่วนที่เป็นงานอดิเรกนั้นน่ะ มันต้องแต่ละคนจะทำได้ ตามความถนัด ตามความสามารถในระดับไหน ถ้ายิ่งกว่านั้นก็ต้องตามที่ได้รับการขอร้องและมอบหมายด้วย ในบางกรณีมันจำเป็นต้องขอร้องให้ช่วยทำ หรือมอบหมายให้ช่วยทำ เมื่อมันไม่มีใครทำมันจะเป็นเรื่องล้มละลายเสียหาย ถึงแม้ผู้นั้นจะไม่ค่อยมีสมรรถภาพหรือจะไม่ถนัดอะไรนักก็ต้องขอร้องให้ทำอยู่ดี ก็ทำไปสิทำไปเรื่อยๆ ไม่เท่าไรมันก็สามารถหรือถนัดขึ้นมา อย่างนี้แหละจำเป็นและต้องขอร้อง ถึงคุณจะยังทำไม่ค่อยจะได้ ครูบาอาจารย์ก็จะขอร้องให้ทำไปก่อน มันก็จะทำได้มากขึ้นโดยมอบหมายให้ทำอย่างเรียกว่าบังคับกันเลยก็มี ถ้ามันจำเป็นจะต้องทำอย่างนั้น มันก็เคยได้ดิบได้ดี ได้ประโยชน์ ได้อานิสงส์เข้ามาเพราะข้อนี้เป็นส่วนใหญ่ ก็ข้อนี้เป็นส่วนมากแล้วเหมือนกัน ทีแรกก็ไม่อยากทำไม่สนใจทำ แต่เมื่อถูกมอบหมายให้ทำขัดไม่ได้ก็ทำจนได้จนดี จนเก่ง จนกลายเป็นชิ้นดี ชิ้นเอก ของบุคคลนั้นไปก็มี เหมือนกับว่าเมื่อเราบวชเข้ามานี้ บางทีก็ไม่ได้ตั้งใจอะไรนัก บวชเข้ามาตามประเพณีหรือไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แต่พอมาฝึกฝนการปฏิบัติ มากขึ้นมากขึ้น มันก็ได้รับผลเหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าสิ่งใดที่มันเป็นประโยชน์กับส่วนรวมคือศาสนา แม้จะเป็นงานอดิเรก ถ้าได้รับการขอร้องการมอบหมายแล้วก็ผมคิดว่า ทำให้ดีที่สุดและดี ดีกว่าไม่ทำ ทีนี้อยากจะขอให้ดูต่อไปอีกในข้อที่ว่า อย่าได้ไปหลงผิดถือว่านั่นเป็นงานสูงนี่เป็นงานต่ำ นั้นคนโง่มันพูด หรือว่าคนตะกละเห็นแต่เงินเห็นแต่ค่าจ้างมันพูด ถ้าพูดตามหลักธรรมะแล้ว ก็ไม่ควรจะถือว่ามีอะไรเป็นงานต่ำงานสูงงานอะไร ถ้าหากว่ามันเป็นงานที่ขาดไม่ได้ต้องถือว่ามีค่าเท่ากัน ถ้ามันขาดไปแล้วกิจการทั้งหมดมันล้มละลายนี้ ก็ต้องถือว่ามันมีค่าเท่ากัน จะเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ได้อย่างไร ถ้ามันไม่มีคนกวาดถนน บ้านเมืองมันจะอยู่ได้อย่างไร แล้วทำไมเราจึงถือว่ามันเป็นงานสูงงานต่ำ นั้นก็เพราะว่าเขาเอาประโยชน์เป็นหลัก หรือควรจะเห็นแก่ประโยชน์มันพูด แต่ถ้าให้ธรรมชาติมันพูดมันจะเห็นว่าทุกสิ่งที่มีความจำเป็นนี่มีค่าเท่ากัน คนเดี๋ยวนี้เขาก็พูดกันอย่างนี้ เขาว่าแม้แต่บุรุษไปรษณีย์นี้ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่ง มีค่าสูงสุด เราไม่มีบุรุษไปรษณีย์โลกนี้คว่ำลงไปเลยได้ มันไม่มีทางจะติดต่อกันยังไงได้ให้เป็นประโยชน์ได้ อย่าไปถือว่างานนี้ต่ำ งานนี้สูง งานนี้มีเกียรติ งานนี้ไม่มีเกียรติ นั้นมันคนโง่พูดตามความรู้สึกของผู้ที่เห็นแต่รายได้ เห็นแต่ประโยชน์ เห็นแต่ความนิยมของสังคม ถ้าเห็นแก่ธรรมะหรือความยุติธรรมเขาก็ต้องมองดูในแง่ที่ว่า ถ้าขาดส่วนนี้แล้วทั้งหมดมันล้มละลาย เช่นว่าขาดคนกวาดลานนี้อยู่ได้ไหม คิดดู มันก็จะอยู่ไม่ได้นะ ไม่ต้องไปพูดถึงว่าถึงกับขาดศาสตราจารย์ ขาดอะไรทำนองนี้ เพียงแต่ขาดคนที่จะดูแลความสะอาดนี้มันก็ขาดไม่ได้แล้ว มันจำเป็นที่จะต้องมีหน้าที่กันคนละหน้าที่หลายๆ สิบหน้าที่ ถ้าหน้าที่ที่ต่ำที่สุดตามความรู้สึกของคนทั่วไป พระพุทธเจ้าท่านสรรเสริญเพราะว่ามันทำยากไอ้คนมีกิเลสไม่ยอมทำเป็นอันขาด มันจึงมีเรื่องที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ที่เชื่อถือได้นี่เพราะว่าพระพุทธองค์เองต้องทรงไปปฏิบัติให้พระองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นโรคผุพังเปื่อยเน่า เหม็นระอุไปทั้งตัว พระองค์อื่นๆ ไม่ค่อยจะสนใจกัน จนกว่าพระพุทธองค์จะได้ทรงกระทำด้วยพระองค์เอง จึงจะเกิดความสนใจกันขึ้น เราจะถือว่ามันขาดสิ่งใดไม่ได้และก็ถือว่าสิ่งนั้นมีค่าเท่ากันหมด อย่างวัดอย่างนี้ต้องมีอาจารย์หรือเจ้าอาวาสด้วย และต้องมีลูกวัดด้วย ขาดข้างใดข้างหนึ่งแล้วมันมีได้เมื่อไรเล่า มันต้องมีอะไรอีกก็ไปคิดดูเอาเอง ถ้าต้องลงไปถึงสัตว์เดรัจฉานบางชนิดซึ่งมันก็ต้องมี เพราะฉะนั้นอย่าลืมค่าอะไรของสัตว์เหล่านี้ ผมคิดว่าถ้าวัดนี้ไม่มีแมวมันก็จะอยู่ไม่ได้ เพราะหนูมันชุมเหลือประมาณมันกัดวินาศ จนแม้แต่จีวรที่ห่มอยู่กับตัวมันก็จะกัด นี่หนูชนิดนี้ไม่ใช่แกล้งพูด คุณไม่รู้เรื่องเหล่านี้ผมมันเคย นอนในที่ไม่มีแมว หนูมันจะมากัดแม้แต่จีวรที่กำลังห่มอยู่ ทีนี้มีแมวอยู่ทั่วๆ ไป หนูก็ไม่มากัดแม้แต่ของที่ควรจะกัดหรือจะกิน คิดดู นี่ไม่ต้องพูดถึงคน เพราะฉะนั้นกำลังจะพูดว่าคนนั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลยนี่ นั้นคนโง่มันพูด มันต้องมีประโยชน์น่ะ เพราะแม้แต่แมวมันก็ยังมีประโยชน์ แล้วทำไมคนจะไม่มีประโยชน์ เพียงแต่ประโยชน์นั้นมันไม่ตรงกับที่เขาต้องการกัน นี่ผมก็จะนึกเสียว่าอย่างน้อยมันก็มีประโยชน์คือทำให้โลกนี้มันมีมนุษย์เพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง เท่านี้ก็ถือว่าประโยชน์ ถ้าเขาอยากจะทำอะไรบ้างด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ของเขาก็คงมีประโยชน์มากขึ้นไปอีกแน่ะ ไม่ใช่มีประโยชน์แต่เพียงว่าทำให้มนุษย์ในโลกเพิ่มอีกคนหนึ่ง อย่าเข้าใจผิดว่าเราดีกว่าเขา เขาดีกว่าเรา อะไรก็ทะเลาะวิวาทกัน ทิ่มแทงกันด้วยหอก ปาก นี่เป็นภาษาบาลี ทิ่มแทงกันด้วยหอกคือปาก ถ้าว่าพระเณรมีแล้วเป็นพระเณรที่เลวที่สุด จะทิ่มแทงกันด้วยหอกปากน่ะ เพราะว่าเป็นคำกล่าวไว้ในพระบาลีชัด ขอร้องการพูดร้าย การทำร้ายต้องไม่มี เราจะไม่ถือว่าเราดีกว่าเขา เขาดีกว่าเรา มันเป็นมานะ เป็นกิเลส เป็นสังโยชน์ พอปัญหาอย่างนี้เกิดขึ้น ปิดทันทีปิดเงียบทันที จะปิดความคิดทันทีที่มันจะเกิดความรู้สึกขึ้นว่าเขาดีกว่าเราหรือเราดีกว่าเขา หรือว่าเราจะโค่นเขาให้ล้มลงไปเลยนี่มันก็ทิ่มแทงกันด้วยหอกคือปาก มันก็ฟัดเหวี่ยงกันด้วยความรู้ นี่การที่ไม่ดูให้ดีว่าทุกคนมันมีอะไรที่มีค่ากันอยู่ได้ทั้งนั้น เพราะถ้ามันลืมไปแล้วมันก็จะเกิดกิเลสขึ้น มันก็จะมาทำการข่มขี่ซึ่งกันและกันแล้วก็ไม่ยอมกัน ก็ทิ่มแทงกันด้วยหอกคือปาก แล้วก็ใช้พระธรรมนั้นเองเป็นเครื่องทำร้ายแก่กันและกัน ไม่ได้ใช้พระธรรมสำหรับปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ อย่างพระบาลีที่ว่าธรรมะนี้เหมือนกับพ่วงแพ ก็ลงที่อุปมาธรรมะนี้มันเปรียบอุปมาเหมือนกับพ่วงแพสำหรับข้ามฟากไปฝ่ายโน้น แล้วคนมันทะเลาะกันมันก็เลยเอาไม้ในแพนั้นมาประหัตประหารตีกันจนตายไปเลย ตกน้ำไปเลย เหมือนกับที่ว่าสมัยนี้อาจจะใช้ธรรมะประหัตประหาร ย่ำยีกัน ทะเลาะกันด้วย เรื่องของธรรมะ เอาธรรมะมาเป็นวัตถุสำหรับทะเลาะวิวาท ทำร้ายกัน ไม่ได้ใช้เป็นพ่วงแพ มันก็เลยหมดความหมายที่ว่าเรามันเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เดี๋ยวนี้มันเป็นเรื่องอดิเรกเท่านั้นที่เราจะเผยแผ่พระพุทธศาสนา ไม่ใช่เรื่องหัวใจแท้ที่อยู่ที่การปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ได้ นี้การหัดเทศน์ หัดสอน หัดอะไรต่างๆ นี่มันเป็นงานอดิเรก เพื่อจะไม่ให้เกิดความเสียหายขึ้นเพราะเหตุนี้ ไม่ต้องมองในแง่ที่ว่า เราดีกว่าเขา เขาดีกว่าเรา เรา..(นาที 47:05) เขาแล้วพยายามที่จะทำลายกัน นี่เรียกว่างานอดิเรก แล้วมันก็อดิเรกจริงๆ เสียด้วย ถ้าเราจะปฏิบัติแต่เพียงดับทุกข์กันโดยตรง ปัญหาเหล่านี้ก็คงจะไม่เกิด มีความสันโดษ มักน้อย ปฏิบัติธรรมะโดยตรง ปัญหาชนิดนี้ก็ไม่เกิด เดี๋ยวนี้เรายอมรับว่าเราทำงานอดิเรก จนอดิเรกนี่มันทำให้มีโอกาสที่จะเกิดอะไรเลยเถิดไป เช่นว่าเรียนให้มันเก่ง พอเก่งกันแล้วมันก็ลืมไป มันก็ใช้ความเก่งนั้นในทางอันธพาล นี้ก็เลยเรียกว่าโทษมันเกิดขึ้นแล้วเพราะงานอดิเรก ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับงานอดิเรกนี้จึงมีมาก นี่ขอร้องว่าจงทำงานอดิเรกที่มันบริสุทธิ์ ก็จะมีทำอะไรนอกไปจากตัวพรหมจรรย์โดยตรง เช่นจะมาเผยแผ่พุทธศาสนาอะไรก็ตามนี่เรียกว่างานอดิเรกแล้ว ก็ให้มันบริสุทธิ์ มันมีได้ตามความจำเป็น ตามความเหมาะสมแก่ยุคแก่สมัย อย่างที่พูดแล้วข้างต้นว่ามันไม่เหมือนกับครั้งพุทธกาลแล้ว มันต้องมีเรื่องอดิเรกเพื่อแก้ปัญหาข้อนี้ แล้วก็ให้งานอดิเรกนี้มันบริสุทธิ์ มันก็เหมาะสมแก่ยุคแก่สมัย เดี๋ยวนี้ที่เห็นชัดกันอยู่ก็คือว่ามันแยกกันไม่ออกแล้ว เรื่องบ้านเรื่องเมือง เรื่องการเมือง การศาสนานี้มันแยกไม่ออก ด้วยเหตุหลายอย่าง ใครอย่าไปอวดดีพูดว่ามันแยกออก คนนั้นมันหลับตาพูด มันยิ่งปลุกปั่นกันไปมากขึ้นทุกที จนกระทั่งว่าศาสนานี้มันก็อยู่ได้เพราะการบ้านการเมือง ถ้าประเทศชาติมันล้มละลายไปแล้ว ศาสนาจะอยู่ได้อย่างไรมาคิดดู มันจึงมีพระพุทธานุญาตไว้อีก ไว้ระบบหนึ่งทีเดียว เขาเรียกว่าอนุวัติการบ้านเมือง ที่จะอนุวัติได้เพียงไร สมัยโน้นก็มีพระเจ้าแผ่นดินเป็นผู้ปกครองบ้านเมือง เขาก็ต้องอนุวัติตามพระเจ้าแผ่นดิน สมัยนี้ก็บางประเทศก็ไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน เขาก็ต้องอนุวัติตามอำนาจคนที่เป็นผู้ปกครอง เพื่อให้มันเป็นไปด้วยกันได้มันรอดอยู่ได้ ประเทศไทยเรานี้ยังค่อยยังชั่ว ประเทศบางประเทศแล้วแหมมันเกี่ยวพันกันหรือถูกบีบคั้นชนิดที่ต้องคล้อยตามเรื่องของบ้านเมืองอย่างยิ่ง จนกระทั่งมันเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในพุทธศาสนา มีแยกขึ้นเป็นหลายนิกาย ไปสนองความต้องการของบ้านเมืองเป็นนิกายนิกายไปเลย พวกจะเคร่งไปตามเดิมมันก็ต้องแยกพวกออกไปจากพวกที่เห็นว่าจะต้องไปช่วยบ้านเมือง อย่างนี้เป็นต้น พระพุทธเจ้าท่านก็เป็นผู้ที่สัพพัญญูอย่างที่เราเรียกกัน แล้วก็จึงไปตรัสอะไรไว้หลายอย่างที่มันป้องกันไม่ให้มันเกิดความผิดพลาดขึ้นมาได้ คือไม่ให้มันเกิดงัดกันขึ้นอย่างโง่เขลา ให้มันอนุวัติตามกันไปได้ ราชานัง อนุวัตติตุงนี่บาลีจะว่าอย่างนี้ ให้มันอนุวัติได้ในสิ่งที่ควรอนุวัติเพราะวินัยหลายๆ อย่าง หลายๆ ข้อบัญญัติโดยเห็นแก่หลักเกณฑ์ทางฝ่ายบ้านเมือง ทีนี้ที่มีเหตุผลส่วนตัวเองโดยเฉพาะก็ยังมีไอ้ข้อที่ว่าจะต้องทำให้มันเรียบร้อยได้เท่าไหร่ อย่างยกตัวอย่างว่าไม่ให้สะสมอาหาร จะเอาอาหาร ประเภทอาหารมาสะสมไว้ฉันพรุ่งนี้ นี่ก็เรียกว่าสะสมอาหารเป็นอาบัติ แต่ยังมีข้อยกเว้นว่าสะสมส่วนหนึ่งไว้สำหรับถ้าพวกโจรมันมาเรียกร้องก็จะมีให้ เรื่องมันมีขึ้นมาว่า พวกโจรมันมาขออาหารกินนี่พระที่อยู่ที่ในป่า พระบอกว่าไม่มีอะไรเลย โจรมันก็เตะหรือตีหรือเขกกบาลให้เอาว่าเป็นพระทั้งทีไม่มีสมบัติอะไร นี่เรื่องมันเขียนไว้อย่างนี้ โจรอีกรายหนึ่งถามว่าวันนี้วันอะไรวันนี้นักษัตรอะไร คุณต้องฟัง เพราะเมื่อก่อนนี้ไม่มีปฏิทินวันที่เหมือนอย่างนี้ ถ้าเรื่องปฏิทินก็ถามว่านักษัตรอะไรวันนี้พระองค์นั้นแกไม่ได้เรียนแกก็บอกไม่ทราบ ก็โจรก็ทุบตีอย่างที่เดี๋ยวนี้ก็เรียกว่าเขกกบาล เมื่อทราบถึงพระพุทธเจ้าท่านก็อนุญาตว่า ถ้าจะเรียนดาราศาสตร์เรียนเพื่อรู้ไอ้นักษัตรนี้ก็ได้ แต่ไม่ใช่เรียนโหราศาสตร์นะ นี้เป็นเรื่องอนุญาตพิเศษให้เรียนดาราศาสตร์ เพียงว่าตอบว่าวันนี้เป็นวันอะไร หรือว่าให้มีอาหารสำหรับพวกโจรเขาจะต้องการนี้ก็จะมีให้เขา เขาก็จะไม่ทำอันตรายเรา แต่อย่าได้ตะกละถึงกับมาสะสมไว้กินเอง ซึ่งมันจะทำให้ละเลยสิกขาบทมากขึ้นมากขึ้น จนกระทั่งว่ามันดื้อดึงในการกินอาหารในเวลาวิกาลขึ้นมาไม่ทันจะรู้ มันก็มีอยู่เหมือนกันไอ้ที่บางแห่งบางถิ่น นี้ถ้าเราจะมีการช่วยผู้อื่นในการเจ็บไข้โดยวิชาการแพทย์ โดยบริสุทธิ์ไม่ใช่อาชีพไม่เรียกร้องอะไรนี่มันก็ทำได้ แต่ถ้าตั้งตนเป็นหมอหาประโยชน์อย่างนี้มันก็ทำไม่ได้ มันก็จะถือว่าเป็นงานอดิเรก อย่าว่าเขาเลยถ้าเขาจะเรียนดาราศาสตร์บ้างเป็นงานอดิเรกเพื่อแก้ปัญหาอย่างนี้ หรือจะประกอบเวชกรรมเยียวยารักษาโรคบ้าง เพื่อประโยชน์บริสุทธิ์ใจอย่างนี้ ก็อย่าไปว่าเขาเลย นี่คือให้เข้าใจถูกในเรื่องอดิเรก งานอดิเรก อย่าเข้าใจผิดในเรื่องงานอดิเรก มันจะมีปัญหาเกิดขึ้นโดยไม่จำเป็น เดี๋ยวนี้ก็มีอดิเรกอาจจะเฟ้อก็ได้ แต่ว่าอาจจะทำให้ไม่เฟ้อก็ได้ ยกตัวอย่างเรื่องนวกรรมก็มีในพระวินัย พระพุทธเจ้าทรงยกย่องพระโมคคัลลานะเองว่าเป็นผู้ฉลาดในนวกรรม ที่ช่วยควบคุมการนวกรรม นี่ก็แสดงว่าครั้งกระโน้นเขาก็มีนวกรรมหรือสถาปัตยกรรมที่เรียกกันอย่างเดี๋ยวนี้ ยังมีศิลปกรรม ยังมีวิจิตรศิลป์ ท่านสรรเสริญพระที่มีปากแสดงธรรมไพเราะ พระองค์หนึ่งเป็นเอตทัคคะอย่างนี้เป็นต้น นี้เป็นอดิเรกทั้งนั้น วันนี้ก็ไม่พูดอะไรนอกจากพูดว่างานอดิเรกนี้ ควรจะได้รับการได้รับความเข้าใจที่ถูกต้อง อย่าเข้าใจผิด แล้วทำผิดเสียเอง หรือไปนินทาว่าร้ายคนอื่น หรือว่ายกหูชูหางตัวเองว่าเป็นผู้เก่งในส่วนงานอดิเรก นี่ก็ไม่ได้พูดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการบวช ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเรียน นี่กำลังพูดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับงานอดิเรก เพราะฉะนั้นขอร้องทุกคนให้เอาไปพิจารณาดูให้ดี ให้สำเร็จประโยชน์ตามนี้ด้วย เวลาก็หมดแล้ว