แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้ จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนาเป็นธรรมเทศนามีอุทา (นาทีที่ 01:20) เป็นลำดับ ต่อจากธรรมเทศนาที่วิสัชนาแล้วในตอนต้นแห่งราตรี ตามพระบาลีที่มีอยู่ว่า สุภาษิตบาลี (นาทีที่ 01:38) ดูกรวาเสฎฐาทั้งหลาย ธรรมนั้นเป็นอทิปปจัจนะ (นาทีที่ 1.42)ของพระตถาคต ธรรมกาโย อิติปิ คือคำว่า ธรรมกาย ดังนี้บ้าง พรหมกาโย อิติปิ คือคำว่า พรหมกาย ดังนี้บ้าง ธรรมภูโต อิติปิ คือคำว่า ธรรมภูติ ดังนี้บ้าง พรหมภูโต อิติปิ คือคำว่า พรหมภูติ ดังนี้บ้าง อันมีมาในบาลี อัคคัญญสูตร ธรรมเทศนาในวันนี้ ปรารภวิสาขบูชาดังที่ท่านทั้งหลายได้ทราบกันดีอยู่อย่างดีแล้ว เรามาประชุมกันที่นี่ตลอดวันหนึ่งคืนหนึ่งนี้ เพื่อธรรมวิสาขบูชาด้วยความมุ่งหมายจะแสดงความเคารพสูงสุดแด่พระบรมศาสดาในโอกาสอันพิเศษนี้ ได้กระทำการบูชาทางกาย วาจา ใจ อย่างที่เรียกว่าสุดความสามารถที่จะกระทำได้ แล้วก็ยังมีการสังสันทนาศึกษาเพิ่มขึ้น โดยหวังว่าจะเป็นเครื่องเจริญปัญญา ได้ออกความคิดเห็นต่าง ๆ นานาในเรื่องอันเกี่ยวกับพระพุทธองค์ ก็นับว่าเป็นการพยายามที่ดี มีความก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปตามลำดับ แต่ก็ยังมีส่วนที่เรียกว่า ยังไม่ถึงที่สุด ยังจะต้องแก้ไขกันต่อไป ทั้งนี้ก็เพราะว่าธรรมะนั้นมีอยู่หลายชั้นหลายระดับนั่นเอง หรือแม้แต่คำพูดคำหนึ่งๆ ก็มีความหมายหลายระดับ อย่างน้อยก็แยกได้ว่าเป็น ๒ ระดับ คือ มีความหมายในภาษาคนระดับหนึ่ง มีความหมายในภาษาธรรมระดับหนึ่ง ถ้าเกิดเอามาปนกันแล้วก็จะยุ่งยากลำบาก หรือยิ่งกว่านั้นก็คือทำให้เข้าใจผิด แทนที่จะรู้ก็กลายเป็นไม่รู้ แทนที่จะรู้ให้ถูกต้องก็กลายเป็นรู้อย่างผิดพลาดมากยิ่งขึ้น
ตัวอย่างที่เห็นกันได้ง่ายๆ ก็คือคำว่า พุทธะ นั่นเอง คำว่า พุทธะ จะหมายถึง พระพุทธเจ้า ถ้าพูดกันอย่างภาษาคนก็ต้องถือว่าท่านได้ประสูติหรือได้เกิดขึ้นในโลกที่สวนลุมพีนี เกิดมาเป็นทารก แล้วก็เติบโตจนกระทั่งได้ออกไปตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็ปรินิพพานที่ป่าสาละวัน อย่างที่เราพูดกันนี้ นี่เป็นภาษาคน มีพระพุทธเจ้าอย่างคน แล้วก็ขออภัยที่ต้องพูดว่า เป็นอย่างเปลือกเสียมากกว่า เพราะว่าพระพุทธเจ้าที่แท้จริงนั้นได้เกิดขึ้นในวันที่เราเรียกกันว่า วันตรัสรู้ หมายความว่าธรรมกายได้ปรากฏออกมา และพระพุทธองค์ก็ทรงถือเอาธรรมกายนี้ว่าเป็นพระองค์ ถือเป็นพระตถาคต แต่ไม่ใช่บุคคลที่สมมติกันว่าเป็นพระพุทธเจ้า ดังที่ท่านกล่าวในพระบาลีนี้ว่า นี้เป็นอภิวัจนะของพระตถาคต คือคำว่า ธรรมกาย บ้าง พรหมกาย บ้าง
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต นี้ย่อมแสดงว่า การเห็นธรรมหรือเห็นตถาคตนั้นมีอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้และในอนาคตอันยืดยาว ตลอดอนาคตกาลห่างไกล และเมื่อจะปรินิพพานก็ตรัสว่า ธรรมก็ดี วินัยก็ดี อันแสดงแล้ว บัญญัติแล้วนั้นจะอยู่เป็นพระศาสดาของพวกเธอตลอดกาลนาน เพราะการล่วงไปแห่งสังขารนี้ นี้ก็แสดงว่า พระศาสดายังอยู่ตลอดกาลนาน ดังนั้นถ้าผู้ใดมาคิดหรือมาพูดว่า พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วก็แสดงว่าเป็นคนแสนที่จะกตัญญู คือ เป็นผู้ฆ่าพระพุทธเจ้าให้ตายเสียเอง สาวกสมัยนี้เก่งมากที่สามารถฆ่าพระพุทธเจ้าให้ตายเสียโดยที่คิด และก็พูดว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว บาปของเขาเป็นอย่างไรบ้างที่กล้าพูดว่า พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ในเมื่อพระองค์ตรัสว่า จะอยู่ตลอดกาลนานกับพวกเธอทั้งหลาย ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เห็นได้ตลอดกาลเมื่อมีการปฏิบัติที่ถูกต้อง ถ้าพระพุทธเจ้าตายแล้วจะเห็นธรรมได้อย่างไร มันก็ขัดกันกับข้อที่ว่า พระองค์ตรัสว่า เราจะอยู่เป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลายตลอดกาลนาน แต่เดี๋ยวนี้ มาถือเอาตามหลักแห่งบาลี อัคคัญญสูตรนี้ มันง่ายกว่า ซึ่งพระองค์ตรัสว่า คำนี้เป็นไวพจน์ของตถาคต คือคำว่า ธรรมกาโย ดังนี้บ้าง ธรรมกายนั่นเป็นตถาคต แล้วธรรมกายนี้มันตายได้เมื่อไร ใครจะฆ่าธรรมกายให้ตายได้ นอกจากปากอันสกปรกของสาวกผู้อวดดีที่พูดว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว แต่ว่าเมื่อกล่าวในภาษาธรรมก็กล่าวกันอย่างนั้น อาตมาก็ต้องกล่าวอย่างนั้นตามที่เขากล่าวๆ กันไป นึกแล้วก็น่าสังเวชใจที่เรามารู้เรื่องของพระพุทธเจ้าแต่เพียงเท่านี้ แล้วก็ฆ่าพระพุทธเจ้าให้ตายอย่างโง่เขลา อย่างมายา อย่างลมๆ แล้งๆ กันอยู่ทุกวันที่พูดว่า พระพุทธเจ้าปรินิพพานเสียแล้ว ถ้าจะพูดให้ถูก จะพูดว่า พระพุทธเจ้าปรินิพพานดี หรือว่าจะพูดว่ากิเลสปรินิพพานดี ถ้ากิเลสปรินิพพานนี้ก็พอจะมองเห็นจริง ก็กิเลสดับอย่างหมดเหตุหมดปัจจัยต่อไป ไม่อาจจะเกิดขึ้นอีกสำหรับพระพุทธเจ้านั้น กิเลสต่างหากมันปรินิพพานดับสนิทเย็นมอดไปไม่มีเหลือ แต่พระพุทธเจ้าต้องยังอยู่กับเราจนกระทั่งเดี๋ยวนี้และตลอดอนาคตกาลนานไกล เพราะพระองค์ได้ตรัสว่า ธรรมกาโย อิติปิ ตถาคต คือ ธรรมกาย ดังนี้บ้าง พรหมกาโย อิติปิ ตถาคต คือพรหมกาย ดังนี้บ้าง ธรรมภูโต อิติปิ ตถาคต คือ ธรรมภูติ ดังนี้บ้าง พรหมภูโต อิติปิ ตถาคต คือพรหมภูติ ดังนี้บ้าง
ที่พูดว่า ธรรมกาย เห็นจะฟังง่าย คือ เป็นกายแห่งธรรม ตายไม่ได้ที่พูดว่า พรหมกาย ก็คือกายที่เป็นพรหม คือ ประเสริฐ คือไม่รู้จักตายด้วยเหมือนกัน คำว่า พรหม มีอยู่หลายความหมายที่นอกพุทธศาสนาออกไปก็ถือว่า พระพรหมเป็นผู้สร้างโลกและพระพรหมก็เป็นสิ่งสูงสุดกว่ามนุษย์ใดๆ แต่ถ้าคำว่า พรหม มาใช้ในพระพุทธศาสนา ก็หมายถึง สิ่งที่สูงสุด ก็ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่าธรรมนั่นเอง เป็นสิ่งที่สูงสุด ประเสริฐที่สุด ล้วนแต่เป็นเรื่องสูงสุดทั้งนั้น ข้อที่ว่า พระองค์เป็นธรรมภูโต แปลว่า เป็นธรรม เป็นแล้ว หรือว่าพรหมภูโต เป็นพรหม เป็นแล้ว นี้เป็นเรื่องยืนยัน ได้เป็นแล้ว ไม่ใช่ว่าจะเป็น แต่ว่าได้เป็นแล้ว เป็นธรรม เป็นแล้ว เป็นพรหม เป็นแล้ว ดังนั้นใครจะฆ่าให้ตายได้ แล้วใครจะกล้ามากล่าวว่า พระพุทธเจ้าปรินิพพานสูญสิ้นไปหมดแล้วหรือจะกล่าวให้เตลิดเปิดเปิงไปกว่านั้นก็ยังมี
เมื่อตอนกลางวันเราปรารภกันถึงพระพุทธเจ้าในส่วนที่เป็นบุคคล ในภาษาคน เราก็พูดว่า ประสูติบ้าง ตรัสรู้บ้าง นิพพานบ้าง อาตมาก็ได้กล่าวให้เห็น แนะให้เห็น ชี้ให้เห็นอยู่เสมอว่า ดูให้ดี การประสูติ การตรัสรู้ และปรินิพพานนี้มีได้ในวินาทีเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่หมายถึง บุคคลที่เป็นอย่างนี้อย่างนั้น แต่หมายถึงธรรมหรือธรรมกายที่ปรากฏขึ้นในวินาทีนั้น เรียกว่า การเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า การตรัสรู้แห่งพระพุทธเจ้า การปรินิพพานของพระพุทธเจ้า นี่ดูดีๆ ว่า หมายถึงอะไร ที่ตรงไหน ถ้าเราพูดอย่างคนก็ หมายถึง คน มีเนื้อมีหนังเกิดขึ้นแล้วก็ตายไป ถ้าพูดถึงธรรมก็หมายถึง สิ่งที่ไม่รู้จักตาย หากแต่ว่าปรากฏขึ้นแก่จิตใจของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แล้วท่านก็เลิกถือว่า ร่างกายนั้นเป็นตัวท่าน หรือว่าจิตใจนั้นเป็นตัวท่าน เพราะว่าร่างกายกับจิตใจ หรือรูปกับนามนี้ มันเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงเกิดดับอยู่เสมอ แต่ว่าสิ่งที่มาปรากฏแก่จิตใจนั้น ถ้าเป็นอย่างพิเศษ ที่เรียกว่าธรรมกายอย่างนี้แล้ว ไม่เกิดไม่ดับกับใครหมดจะเป็นตัวมันเองอยู่ได้ตลอดเวลา จนถึงกับเรียกว่า พรหม ที่ตายไม่ได้และมีอยู่ตลอดเวลา เป็นอนันตกาล เป็นความหมายที่ใช้ในภาษาที่พูดกันอยู่ในสมัยพุทธกาลนั้น ดูให้ดีๆ ก็จะเห็นว่า ยังมีพระพุทธเจ้าในภาษาคนที่เรียกว่า ธรรมกายบ้าง พรหมกายบ้าง ที่ไม่รู้จักกาย
ธรรมเทศนานี้เป็นธรรมเทศนาครั้งสุดท้ายของวันนี้ จึงได้พูดถึงเรื่องของพระพุทธเจ้าในภาษาธรรม คือ มีธรรมเป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็ไม่ต้องพูดถึงการเกิดการตายในทางเนื้อหนัง จะพูดได้ก็แต่การปรากฏออกมาของสิ่งนั้นที่จิตใจของบุคคลที่เราสมมติกันว่าเป็นพระพุทธเจ้า ก็เลยเป็นการกล่าวถึงพระพุทธเจ้าในภาษาธรรม ตัวธรรมนั่นเป็นพระพุทธเจ้าและก็เป็นพรหมด้วย คือ มีอยู่ตลอดอนันตกาล จึงได้นามว่า ธรรมกาย คือ กายแห่งธรรม และได้นามว่า พรหมกาย คือ กายแห่งพรหม และทรงย้ำอีกทีหนึ่งว่า ธรรมภูโตเป็นธรรมะที่เป็นแล้ว เป็นเสร็จแล้ว พรหมภูโตเป็นพรหมที่เป็นแล้วและเป็นเสร็จแล้ว และก็เป็นอยู่ตลอดกาล
เมื่อพูดถึงพระพุทธเจ้าในภาษาธรรมอย่างนี้แล้ว ระวังให้ดีๆ อย่าพูดผิดๆ จนถึงกับเป็นลูกกตัญญูฆ่าพระพุทธเจ้าเสียเอง ทุกคนก็ได้พูดกันมาก อธิบายกันมากเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ฟังดูรู้สึกว่า ปนเปกันไปหมด จนกระทั่งเอาการปรินิพพานมาเป็นการดับไม่มีอะไรเหลืออยู่สำหรับพระพุทธเจ้า อย่างนี้มันก็มากเกินไป แม้แต่คำว่า นิพพานหรือปรินิพพานก็ยังเข้าใจกันประหลาด ๆ ไม่มองเห็นตามที่เป็นจริงว่า มันมีธรรมประเภทสังฆธรรมอยู่ส่วนหนึ่ง ธรรมส่วนนี้จะมีการเกิดดับๆ สลับกันไป แล้วกิเลสก็รวมอยู่ในธรรมประเภทสังฆธรรม เพราะฉะนั้นมันก็เกิดและดับ เมื่อใดมันเกิดขึ้น มันก็ร้อน แต่สิ่งที่มีความรู้สึก คือ มันร้อนแก่จิตใจซึ่งเป็นที่เกิดของกิเลส แต่เมื่อใดกิเลสมันดับลงไปตามธรรมดาแห่งสังฆธรรม เมื่อนั้นมันก็มีนิโรธะหรือนิพพานะหรือนิพพานเป็นการชั่วคราวปรากฏขึ้นแก่จิตนั้น ตอนนั้นมันก็ไม่ร้อน คือ มันเย็น เป็นนิพพานที่เป็นอยู่เองตามธรรมชาติ เราไม่ได้ไปทำให้มันดับลงไป มันดับเพราะมันหมดเหตุหมดปัจจัยของสังฆธรรม ส่วนนั้น ดังนั้น กิเลสชื่อนั้นที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยอันนั้น ในกรณีนั้นมันจึงดับลง จิตมันก็เย็นตามปกติ ตามสภาพธรรมชาติ แต่แล้วจิตนี้ยังไม่ได้รับการอบรมที่ดี มันจึงไปเอาอะไรมาก่อให้เป็นกิเลสขึ้นได้เป็นคราวๆ เสมอไป มันก็มีร้อนๆ เย็นๆ สลับไป แต่ควรจะถือว่า ความเย็นเพราะว่างจากกิเลสนั่น มันเป็นพื้นฐาน มันมีมากกว่าความร้อนที่เป็นผลของกิเลส เราจึงอยู่กันได้แม้ว่ายังเป็นปุถุชน ไม่ถูกกิเลสเผาอยู่ตลอดเวลานาที นี่ควรจะรู้จักนิพพานหรือความเย็นที่เป็นไปเองตามธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่ตลอดเวลาแต่ว่าเราไม่เป็นเจ้ากี้เจ้าการเข้าไปจับเข้าไปทำ มันเป็นไปตามธรรมดาของสังฆธรรมทั้งหลายที่ว่า นิพพานที่เป็นไปตามธรรมชาติ ทีนี้ก็มาถึงนิพพานที่ในบางครั้งบางคราวเรามีการป้องกันไม่ให้กิเลสเกิดขึ้น หรือเมื่อกิเลสเกิดขึ้น เราก็มีสติสัมปชัญญะรู้ทัน ขจัดให้หายไปทันควันนั้น ก็มีอาการดับไปแห่งกิเลสด้วยน้ำมือของเราเอง ด้วยเจตนาของเราเอง กิเลสดับลงไปก็เป็นนิโรธะหรือนิพพานะ คือ เป็นนิพพาน นี้ก็เรียกว่า นิพพานที่ปรากฏออกด้วยการกระทำของเราโดยเจตนา มันก็ยิ่งมีค่าดีไปกว่าที่จะให้มันเป็นไปเอง และเราก็จะได้ชิมลองอยู่เสมอ คนโง่เท่านั้นที่จะไม่รู้จักชิมลองกิเลสชนิดนี้ นิพพานชนิดนี้
ทีนี้ก็ต่อมาอีกก็มีการปฏิบัติยิ่งขึ้นไปจนกิเลสไม่อาจจะเกิด เรียกว่า เป็นการฆ่ากิเลสให้ตายไป ทำกิเลสให้นิพพานไป ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ก็จะสามารถรู้รสของนิพพานอันถาวรชนิดนี้ ถ้าเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี เป็นต้น ก็ยังไม่ถึงขนาดนี้ แต่ท่านก็ได้รับรสของนิพพานชิมลองมากกว่าที่ปุถุชนจะพึงได้รับ ขอให้รู้จักว่า แม้แต่นิพพานก็ยังมีความหมายในภาษาคนบ้าง ในภาษาธรรมบ้าง และก็มีอยู่เป็นชั้นๆ อย่างที่ว่ามันเป็นไปเอง ดับเอง เพราะว่าธาตุมีอยู่ธาตุหนึ่งเรียกว่า นิโรธธาตุ สำหรับควบคุมกามธาตุ รูปธาตุ และอรูปธาตุ ธาตุทั้ง ๓ นี้ คือ กามธาตุ รูปธาตุ และอรูปธาตุ นี้เป็นสังฆธรรม มันจึงดับได้เป็นปกติด้วยอำนาจของนิโรธธาตุ ซึ่งเป็นเหตุเป็นปัจจัยอันหนึ่งซึ่งจะแทรกเข้ามา ในเมื่อเหตุปัจจัยแห่งกามธาตุ หรือรูปธาตุ หรืออรูปธาตุ ก็ดี ได้สิ้นไป นิโรธธาตุนั้นก็คือธาตุนิพพาน จะเป็นการดับตามธรรมชาติเป็นครั้งคราว หรือว่าดับเพราะมีเจตนาในการปฏิบัติเป็นคราวๆ หรือว่าเพราะอำนาจการปฏิบัติสูงสุดทำให้กิเลสดับไปได้โดยสิ้นเชิง และเป็นผลแห่งนิโรธธาตุที่เกิดขึ้นทำหน้าที่ของมันทั้งนั้น บางทีก็เรียกว่า นิพพานธาตุ บางทีก็เรียกว่า สุญญธาตุ หรือสุญญตธาตุ ซึ่งมีความหมายที่ลึกยิ่งขึ้นไปอีก แล้วก็ไม่พ้นที่จะมีอยู่ในจิตใจ เมื่อใดความว่างจากกิเลสและความทุกข์ปรากฏขึ้นในจิตใจของผู้ใด เมื่อนั้นก็เรียกว่า สุญญตธาตุ ได้ปรากฏในจิตใจของบุคคลนั้น จะเป็นการชั่วคราว ชั่วขณะ หรือบางส่วนก็ดี จะเป็นการหมดจดสิ้นเชิงไม่กลับกำเริบอีกก็ดี ก็มีความหมายเป็นสุญญตธาตุ คือ ความว่างจากกิเลสและความทุกข์ หรือเรียกว่า ว่างจากตัวตน ว่างจากตัวกูของกู ซึ่งจะขอสมมติเรียกว่า จิตว่างตลอดไป คือ เมื่อใดจิตประกอบอยู่ด้วยสุญญธาตุ ซึ่งบางทีก็เรียกว่า นิพพานธาตุ ซึ่งบางทีก็เรียกว่านิโรธธาตุ แล้วแต่จะใช้คำไหน
ขอให้รู้จักพระนิพพานในลักษณะที่เป็นประโยชน์ได้ให้มากที่สุดเพียงใด ขอแต่อย่าให้เพ้อเจ้อก็แล้วกัน การที่พูดกันอย่างเพ้อเจ้อนั้นก็เป็นที่น่าเวทนาสงสาร และก็ไม่ควรจะพูดกันในเวลาอันสมมติไว้ว่า ศักดิ์สิทธิ์ เช่น วิสาขบูชา เป็นต้นนี้ ผู้พูดจะต้องระมัดระวังให้ดีจึงจะเป็นเครื่องบูชาแก่สมเด็จพระบรมศาสดาในโอกาสเช่นนี้ เพราะเราต้องยอมรับว่า ท่านยังอยู่ ความโง่หรืออวิชชาออกไปเมื่อใด ท่านนั้นจะสัมผัสแก่จิตใจของบุคคลนั้นเมื่อนั้น ที่นี่และเดี๋ยวนี้ และตลอดอนาคตกาลนานไกล ฉะนั้นขอให้เปลื้องเปลือกที่สกปรกนั้นออกไปเสีย แม้แต่ชั่วขณะหนึ่งก็ยังดี นิสัยสันดานแห่งความโลภ ความกำหนัดก็ดี นิสัยสันดานแห่งความโกรธ ความผูกโกรธ ความหงุดหงิด ความคับแค้นเหล่านี้ก็ดี หรือความโง่ ความหลง ความสะเพร่า ความขาดสติสัมปชัญญะนี้ก็ดี ถ้าเปลื้องออกไปได้เมื่อใด ท่านก็จะสัมผัสจิตใจของบุคคลนั้นเมื่อนั้น ดังนั้นอย่าได้เผลอ อย่าได้สะเพร่า อย่าได้ประมาทเลย พยายามที่จะยกสติสัมปชัญญะขึ้นมาเป็นเบื้องหน้า เพื่อจะขจัดป้องกันเสียซึ่งเปลือกอันจะหุ้มห่อจิตให้จิตนี้มีการเปิดและรับเอาซึ่งธรรมกายเป็นการชั่วครั้งชั่วคราวก็ยังดี จนกว่าจะมีธรรมกายนั้นตลอดไป จึงเรียกว่า ธรรมภูโต เป็นธรรมกาย เป็นแล้วบ้าง พรหมภูโต เป็นพรหมกาย เป็นแล้วบ้าง ดังนี้พระพุทธเจ้าชนิดที่เป็นธรรมกายหรือเป็นพรหมกายนี้มีอยู่ในที่ทั่วไปทุกหนทุกแห่ง ไม่จำกัดเวลา ไม่จำกัดสถานที่ พระองค์ก็ทรงยืนยันว่า ธรรมนี้เป็นชื่อของตถาคต นั้นคำว่า ตถาคต ก็เกิดมีขึ้นใน ๒ ความหมาย คือ ทั้งภาษาคน ทั้งภาษาธรรม ดังที่กล่าวแล้ว
ในโอกาสอันสูงสุดเช่นวิสาขบูชานี้ เราก็มาตั้งหน้าตั้งตารู้จักท่านกันให้ดีๆ นับตั้งแต่เปลือกนอกที่สุดจนถึงเนื้อใน จนกระทั่งไม่รู้จะเรียกว่าอะไร คือ ธรรมกาย อย่าได้เข้าใจธรรมกายนี้ว่า เป็นตัว เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เหมือนที่เราเข้าใจอย่างพระพุทธเจ้าให้เข้าใจธรรมกายในความหมายของธรรมกาย คือ เป็นอะไรก็ได้ คือ เป็นธรรมก็แล้วกันหรือว่าเป็นพรหมก็ได้ คือ เป็นสิ่งสูงสุด ไม่มีที่สิ้นสุดอย่างนี้ก็ได้ เมื่อใดมีความรู้สึกหรือมีความเข้าใจต่อสิ่งนี้ เมื่อนั้นก็เป็นเวลาที่ประเสริฐที่สุดสำหรับบุคคลนั้น และจะมีโอกาสดีที่สุดคือเหมือนกับว่าได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเฉพาะหน้าทีเดียว หรือว่าได้เป็นอันเดียวกันกับพระพุทธเจ้าชั่วขณะหนึ่งก็ยังดี อย่างนี้ก็เรียกว่า นิพพานชิมลองเสมอไป ขยันชิมลองพระนิพพานอย่างนี้กันให้มากๆ เข้าไว้ ก็เชื่อว่า จะใกล้พระพุทธเจ้ายิ่งขึ้น เป็นพระพุทธเจ้าที่แท้จริง ไม่ใช่พระพุทธเจ้าที่ปรินิพพานได้เหมือนอย่างที่เข้าใจกัน
คำพูดที่พูดกันอยู่นั่นทำให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลนั้นๆ เช่น ที่พูดว่า พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว จนตกเป็นเหยื่อของการล้อเลียนของศาสนาอื่นที่เขาถือว่ามีพระพุทธเจ้าที่ไม่รู้จักกายหรือมีพรหมที่ไม่รู้จักกาย ส่วนพระพุทธเจ้าของพุทธบริษัทนี้ตายแล้วเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว พวกนั้นเขาก็เลยล้อให้ว่า นี่แกจะพึ่งคนที่เขาตายแล้วดีหรือว่าแกจะพึ่งคนที่ยังอยู่ไม่รู้จักตายดี โอกาสแห่งการถูกล้อเช่นนี้มันสร้างขึ้นโดยสาวกที่โง่ ที่ไปฆ่าพระพุทธเจ้าให้ตายเสีย ไม่เหลืออยู่เป็นอนันตกาล มันก็ไม่สมกับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ตถาคตเป็นธรรมกาย ตถาคตเป็นพรหมกาย พรหมกายนั่นมีความหมายอย่างเดียวกับพระเจ้าที่ไม่รู้จักตายของศาสนาไหนๆ ถ้าพุทธบริษัทคนใดถูกบริษัทในศาสนาอื่นล้อว่า แกจะพึ่งคนที่เขาตายแล้วดีหรือจะพึ่งคนที่ยังอยู่ดี เราก็บอกว่า ฉันก็พึ่งคนที่ยังอยู่เหมือนกับพวกแก เขาก็จะถามว่า ทำไมแกถึงพูดว่า พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วคือตายแล้ว เราก็จะบอกว่า ฉันไม่ได้พูดอย่างนั้น คนโง่หลับตาพูด พูดอย่างนั้น พูดให้พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้วจนพวกสาวกไม่มีที่พึ่ง เรื่องมันก็จะจบกันได้ด้วยดี ไม่ตกเป็นเหยื่อแห่งการล้อเลียนของผู้อื่นอีกต่อไป
วันนี้เราก็มาพูดกันถึงเรื่องพระพุทธเจ้าให้มันก้าวหน้าขยายออกไป ให้ไกลออกไป คือ ให้ใกล้พระพุทธเจ้ายิ่งขึ้นหรือว่าให้รู้จักพระพุทธเจ้ายิ่งขึ้นนั่นเอง ถ้าเขามีพระเจ้า เราก็มีธรรมกายที่ไม่รู้จักตายเป็นพระเจ้า จะเรียกสั้นๆ ก็เรียกว่าพระธรรม นั่นเป็นพระเจ้าที่ไม่รู้จักตาย ผู้ใดรู้จักใช้ก็จะเป็นที่พึ่งแก่บุคคลนั้นทันที เหมือนกับที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ธรรมทีปา ธรรมสรณา วิหราตะ เธอทั้งหลายจงอยู่โดยมีธรรมะเป็นประทีป มีธรรมะเป็นสรณะเถิด เพราะว่าสิ่งที่เรียกว่าธรรมนั้น เป็นสิ่งที่ไม่รู้จักตายนั่นเอง พระองค์จึงได้ตรัสเช่นนั้น ได้ยืนยันว่า พระองค์ที่เป็นเนื้อแท้หรือเป็นตัวจริงนั้นควรจะเรียกว่า ธรรมกายหรือพรหมกายดังนี้บ้าง ก็คิดดูว่าใครจะไปฆ่าท่านให้ตายได้ การที่พูดว่า พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปหมดแล้วนั้น มันเป็นภาษาคน เป็นภาษาพูดอย่างคนที่ยังไม่รู้อะไร ถ้าพูดเป็นภาษาธรรมก็ควรจะพูดว่า กิเลสต่างหาก ถ้ามันจะดับ หรือมันจะตาย หรือมันจะสูญหายไป เพราะว่าคนมันก็ไม่มีอยู่แล้ว โดยความจริงไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล มีแต่ธรรมชาติล้วนๆ เป็นไปตามเหตุปัจจัยพวกหนึ่ง และก็มีธรรมชาติที่ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัยหรืออยู่เหนืออำนาจเหตุอำนาจปัจจัยก็ตั้งอยู่โดยไม่รู้จักดับ คือ เป็นอนันตกาล นี่คือส่วนที่เป็นธรรมกายหรือพรหมกาย อย่าได้ไปอธิบายกันอย่างอื่นสำหรับคำว่า ธรรมกาย จะไม่ตรงตามความหมายของพุทธบริษัทได้ยินและได้ฟังคำอธิบายเรื่องธรรมกายทั้งแปลกๆ อย่างอื่นผิดความหมายอันนี้ก็มีก็เลยสลัดทิ้งออกไปเสีย ธรรมกายชนิดนั้นเราไม่ต้องการ เราต้องการธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ว่านั่นเป็นธรรมกาย ถือว่าธรรมวินัยอันใดที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว จะอยู่เป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลายตลอดกาลนาน นั่นเป็นธรรมกายหรือสิ่งใดที่พระองค์ทรงมุ่งหมายในพระบาลีนี้ว่า ธรรมกาโย อิติปิ พรหมกาโย อิติปิ นี่คือธรรมกาย
ในวันซึ่งวันนี้อันเป็นวันศักดิ์สิทธิ์สูงสุดนี้ เราควรจะรู้จักธรรมกายกันในลักษณะอย่างไร หรือจะเกี่ยวข้องกับธรรมกายนั้นได้สักเท่าไร มันก็ขึ้นอยู่กับบุคคลนั้นจะสลัดเปลือกที่หุ้มห่อจิต คือ กิเลส มีอวิชชาเป็นต้น ออกไปได้เท่าไร ป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นครอบงำจิตใจได้เท่าไร ถ้าทำได้เท่าไร ธรรมกายก็จะปรากฏเท่านั้น ดังนั้นขอให้ตั้งใจทำให้ดีๆ คือ จัดหรือเตรียมหรือระวังหรืออะไรก็สุดแท้ให้ดีๆ ให้สิ่งที่เรียกว่าธรรมกายนั้นเข้าสัมผัสกับจิตใจให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ทำอย่างนี้จะได้ชื่อว่า เป็นปฏิบัติบูชาแด่สมเด็จพระบรมศาสดาที่ไม่รู้จักตาย อยู่มาให้เราได้เป็นที่พึ่งจนกระทั่งถึงทุกวันนี้อย่างมากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ในวันนี้อย่าได้มีความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความโศกเศร้า หรืออะไรต่างๆ ให้มันขายหน้าพุทธบริษัทแก่คนเหล่าอื่นที่เขามีพระเจ้าเป็นที่พึ่ง วันอื่นๆ อยากจะร้องไห้บ้างก็ตามใจ แต่ขออย่าได้มากระทำกันในวันนี้ ซึ่งเป็นวันสูงสุดเป็นที่ระลึกแก่พระพุทธองค์ซึ่งไม่รู้จักตาย คำพูดที่พูดกันอย่างตอนบ่ายว่า วันประสูติ วันตรัสรู้ วันปรินิพพานนั้น ในปริยายหนึ่งมันเป็นคำพูดในภาษาคนพูดว่า การปรินิพพานของพระพุทธเจ้านี้มันก็ชักจะเสียวไส้ว่าเป็นคนโง่เสียเต็มที แต่ก็มีการอธิบายอย่างหนึ่งให้ในนาทีเดียวกันมันมีทั้ง ๓ อย่าง ทั้งประสูติ ทั้งตรัสรู้ และทั้งปรินิพพาน นั่นมันจะเป็นเครื่องป้องกันว่าพระพุทธเจ้าไม่รู้จักตาย ยังคงอยู่ในฐานะเป็นธรรมกาย พูดกันตอนหนึ่ง ซึ่งยังไม่ชัดเจน เดี๋ยวนี้เมื่อตอนหัวค่ำและตอนนี้ก็พูดกันให้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า ธรรมกายที่เป็นองค์พระศาสดาโดยแท้จริงนั้นคืออะไร และเป็นอย่างไร เราก็จะได้ที่พึ่งอันอุ่นใจ คือ ไม่รู้จักตาย
ถ้าจิตใดเข้าถึงสิ่งนี้ จิตนั้นก็เข้าถึงสิ่งที่ไม่รู้จักตาย ไม่มีตัวตนสำหรับจะตาย ถ้าส่วนที่มันจะตาย มันก็เป็นส่วนที่เป็นรูป เป็นนาม เป็นสังฆธรรมเปลี่ยนไป ดับไป ก็ตามใจมัน แต่สิ่งๆ หนึ่งจะยังคงอยู่เสมอ ถ้าจิตอยากจะโง่ ให้มีอะไรเป็นตัวตนกันบ้าง ก็เอาสิ่งนี้ว่าเป็นตัวตน อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านจะตรัสว่า อัตตทีปา อัตตสรณา ต่อท้ายคำว่า ธรรมทีปา ธรรมสรณา ซึ่งหมายความว่า ผู้ที่มีธรรมะเป็นดวงประทีป มีธรรมะเป็นสรณะ นั่นชื่อว่าเป็นผู้มีตนเป็นดวงประทีป มีตนเป็นสรณะดังนี้ อยากมีตนก็มีตนที่ธรรมกาย นี้เรียกว่า พูดกันอย่างคนที่มันอยากจะมีตัวตน ถ้าพูดให้ถูกให้จริงแล้วก็อย่ามีตัวตนเลย มีแต่ธรรมกาย ก็มีธรรมะเป็นสรณะ มีธรรมะเป็นที่พึ่งก็พอแล้ว การที่พูดเผื่อไว้ทั้งสองอย่างอย่างนี้ก็ด้วยความประสงค์ว่า คนที่ยังไม่ละตัวตนได้ ยังมีตัวตนอยู่ ก็จงพยายามให้สุดความสามารถที่จะเอาธรรมะนั่นเป็นตัวตนดังนี้ นี่เป็นธรรมที่ตักเตือนกันในวันนี้ มันใกล้จะรุ่ง จะสว่างอยู่แล้ว รีบทำความเข้าใจให้ทันแก่เวลาสำหรับวันวิสาขบูชาว่า เราได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งอย่างหยาบ ทั้งอย่างบาง ทั้งอย่างละเอียด จนทั้งอย่างละเอียดที่สุด จนไม่มีตัวไม่มีตน อย่าเอาไปปนกัน พูดกับคนโง่ชั้นที่มีตัวตน ก็พูดอย่างมีตัวตนไปตามภาษาชาวบ้าน แต่จิตใจเราก็ไม่ได้เข้าใจอย่างนั้น เมื่อพูดกับคนที่ฉลาดสักหน่อย คือ กำลังพยายามที่จะทำลายตัวตนอยู่ ก็พูดให้รู้ว่าเขาจะต้องพยายามทำลายความยึดถือว่าตัวตนในลักษณะที่ให้มันใกล้ธรรมกายเข้าไป ทีนี้จะพูดกันในภาษาธรรม ในระหว่างบุคคลที่มีความเข้าใจแล้ว ก็พูดกันให้มุ่งหน้า ให้ตั้งตาตั้งใจ ให้จดจ่อลงไปที่อื่นที่เรียกว่า ธรรมกาย นั่นเถิด เพราะพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่า นั่นเป็นอภิวัจจนะ คือ เป็นธรรมสำหรับเรียกทัพของตถาคต ตถาคตที่แท้จริงอยู่ที่นั่น ตถาคตที่พูดกันอย่างในภาษาคน ภาษาชาวบ้านนั้นก็เป็นตถาคตสมมติ เช่นเดียวกับเราสมมติธรรมต่างๆ สมมติสิ่งต่างๆ สำหรับเรียกกันอยู่ เมื่อพูดกันอย่างสมมติก็ไม่มีใครว่า เพราะว่ามันก็ถูกต้องไปตามภาษาของการสมมติ แต่เมื่อจะพูดกันอย่างสัจจะ คือ อย่างความจริงก็ไม่ต้องสมมติ ก็ควรจะพูดกันได้อย่างที่เรียกกันว่าโดยปรมัตถ์ คือ โดยอรรถอันแท้จริงและสูงสุด เมื่อพูดว่าพระตถาคตก็ดี เมื่อพูดว่าพระพุทธเจ้าก็ดีก็เล็งถึงสิ่งที่ไม่รู้จักตายยังคงมีอยู่สำหรับเป็นที่พึ่งแก่เราทั้งหลายตลอดกาลนาน เมื่อรู้จักพระพุทธองค์ในลักษณะที่เป็นธรรมกายหรือพรหมกายอย่างนี้แล้วก็เรียกว่า พุทธบริษัทนี้ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่องในบรรดาสิ่งที่จะต้องมี เมื่อพูดว่าพระเจ้า เราก็มีสิ่งนี้เป็นพระเจ้า คือ พรหมกายของตถาคตนั้น เพราะฉะนั้นพวกที่พูดว่า ในพุทธศาสนาไม่มีพระเจ้า นี่ดูจะโง่หรือหลับตาพูดมากไปเสียแล้ว เพราะคนพูดมันเป็นนักวิทยาศาสตร์ มันเอาแต่เรื่องทางวัตถุเป็นหลัก เป็นเกณฑ์ เป็นประมาณ มันไม่รู้จักเอาเรื่องทางจิตทางวิญญาณมาเป็นหลักกัน พุทธบริษัทไม่ควรจะรู้จักแต่เรื่องทางวัตถุ รู้แต่ความหมายตื้นๆ ตามตัวหนังสือที่เขาใช้พูดกัน อย่างคำว่า พระเจ้า เป็นต้นนี้ ตัวก็มีแท้ๆ คือ มีพระธรรมเป็นพระเจ้า อย่างที่ในที่นี้พระองค์ก็ตรัสว่า เป็นพรหมกาย คือ เป็นกายของพรหม ก็คือ พระเจ้านั่นเอง พุทธบริษัทก็มีพระเจ้าในความหมายนี้ จึงกล่าวว่า พุทธบริษัทมีทุกสิ่งทุกอย่างครบถ้วนถูกต้อง ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง ก็สมกับที่เป็นพุทธบริษัทจริงๆ คือ เป็นบริษัทของคนที่ฉลาด รอบรู้ สามารถทุกอย่างทุกประการในการที่จะกำจัดความทุกข์ให้สูญสิ้นไป ถ้าเกินไปกว่านั้นไม่ต้องมีก็ได้ แต่ถ้าอยู่ในขอบข่ายที่ว่า จะกำจัดความทุกข์กันแล้ว เราก็มีครบถ้วน จะเป็นความคิดนึก รู้สึก หรือบัญญัติ หรือสมมติอะไร ก็มีทั้งนั้น มีพระพุทธเจ้าชนิดที่ให้ลูกเด็กๆ แขวนคออย่างนี้ก็มี ติดตั้งไว้ในโบสถ์ให้กราบไหว้เป็นกันใหญ่จนกระทั่งเซ่นสรวงก็มี มีพระพุทธเจ้าอย่างเป็นคนๆ ที่เสด็จไปมาอยู่ในประเทศอินเดียเมื่อสองพันกว่าปีดังนี้แล้วก็มี พระสรีระของท่านถูกเผาผลาญไปแล้วเหลือแต่กระดูก เรียกว่า พระธาตุ เป็นพระพุทธเจ้าแทนดังนี้ก็มี แล้วยังมีพระพุทธเจ้าที่แท้จริงยิ่งขึ้นไปกว่านั้น คือ ธรรมะที่เคยมีอยู่ในจิตใจ ในดวงหฤทัยของบุคคลที่เราสมมติกันว่าเป็นพระพุทธเจ้านั้น และธรรมะนั้นยังอยู่จนกระทั่งบัดนี้ และยังอยู่เป็นอนันตกาลในนามว่า ธรรมกายดังนี้บ้าง ในนามว่าพรหมกายดังนี้บ้าง ผู้ใดเข้าถึงสิ่งนั้นแล้ว ผู้นั้นก็จะได้นามว่า เป็นธรรมภูโต เป็นผู้เป็นธรรม เป็นแล้วบ้าง เป็นพรหมภูโต เป็นผู้เป็นพรหมดังนี้บ้าง เราก็ไม่น้อยหน้าศาสนาอื่นที่เขาสอนกันอยู่แล้วว่า เรามีจุดหมายปลายทาง คือ เข้าถึงความเป็นอันเดียวกันกับพระเจ้าผสมกันเป็นอันเดียวกันกับพระเจ้าหรือกับพระพรหม ก็แล้วแต่เขาจะเรียก แต่ในพุทธศาสนานี้ก็มีโอกาสที่จะเป็นอย่างนั้น คือ เป็นธรรมะเสียเอง เป็นพรหมเสียเอง ด้วยการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้สอนให้ ได้ชี้ทางไว้ ถึงจุดนี้แล้วก็เป็นธรรมเสียเอง เป็นพรหมเสียเอง ขอให้มองดูให้ดีๆ โอกาสยังมีอยู่ เพราะว่าคงจะไม่ตายเสียในวันนี้ คืนนี้ คงยังมีอยู่หลายวัน หลายคืน หลายปี เราก็อย่าได้เป็นผู้ประมาท รีบจัดรีบทำ ให้โอกาสอันนี้มันมาถึงเข้า ที่ได้เห็นธรรมกาย ได้รู้จักธรรมกาย ได้ปฏิบัติจนเข้าถึงธรรมกาย กลายเป็นเนื้อเป็นตัวไปเสียก็จะดีกว่า
อาตมาเห็นว่า เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องที่ควรเอามาพูดกันในวันเช่นวันนี้ และในโอกาสสุดท้ายการแสดงธรรมะในตอนนี้ โดยหวังว่า ท่านทั้งหลายจะได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าได้ครบถ้วนทุกระดับ เอามาพูดกันในโอกาสอันศักดิ์สิทธิ์ คือ โอกาสแห่งวิสาขบูชา แล้วก็อย่าได้เข้าใจว่า มันจะพูดกันได้แต่วันนี้วันเดียว มีความมุ่งหมายว่า เมื่อเราพูดกันไม่ได้ทุกวันก็ต้องมีสักวันหนึ่งที่กำหนดไว้สำหรับพูดกันในเรื่องนี้ แล้วธรรมะนี้มันมีความแปลกตรงที่ว่า ถ้าเข้าใจเสียสักทีหนึ่งแล้ว มันก็จะคุ้มไปได้นาน ดังนั้นปีหนึ่งพูดกันจริงๆ ให้เข้าใจกันจริงๆ สักวันหนึ่ง มันก็คุ้มไปได้ตลอดปีเป็นแน่ และเรายังมีโอกาสที่จะพูดอย่างเดียวกันนี้ในโอกาสแห่งอาสาฬหบูชา หรือมาฆบูชากันเป็นคราวๆ ต่อไปอีก มันก็เป็นเรื่องคุ้มกันไม่ให้ลืมไม่ให้เลือนไปได้ แต่ถ้าถึงวันใดแล้ว ก็ขอให้ตั้งใจให้สุดกำลังจิตใจ ด้วยชีวิตจิตใจทั้งหมดทั้งสิ้น อย่าได้ทำสิ่งอะไรที่เป็นความฟุ้งซ่าน นำมาซึ่งความประมาท เดี๋ยวนี้ก็รู้สึกว่า มันทำอะไรปนเปกันอยู่ มีหนังฉายบ้าง มีโปกฮาบ้าง มีอะไรบ้าง เคยคิดว่าดี เดี๋ยวนี้ชักจะมองเห็นว่า ไม่สู้จะดีซะแล้ว แยกออกกันไปได้ เป็นคนละอย่าง คนละคราว คนละวัน ก็น่าจะถูกกว่า ขอให้ไปคิดดูด้วย ถ้าเห็นร่วมกันแล้ว เราก็จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขกำหนดการหรือที่เรียกว่า โปรแกรม กันเสียใหม่ ให้วันอันพิเศษสูงสุดนี้มีความพิเศษสูงสุดหรือบริสุทธิ์ให้มากให้ถึงที่สุดตามที่จะกระทำกันได้ ให้มีพิธีวิสาขบูชาที่หมดจดงดงามยิ่งขึ้นทุกที นี่คือ ความมุ่งหมายที่จะปรารภเป็นครั้งสุดท้ายแห่งคืนนี้ ขอให้เอาไปด้วย คือ นำไปคิด ไปนึก ไปปรึกษาหารือกัน และก็จะได้แก้ไขปรับปรุงให้มันดียิ่งขึ้น เรื่องมันก็จะเร็วเข้าหรือจะสั้นเข้าในการที่จะเจริญไปในทางธรรมของสมเด็จพระศาสดานั้น นึกถึงคำว่า ธรรมกาย เอาไว้บ้างเถิด หรือจะนึกถึงคำว่า พรหมกาย ก็ได้ มันมีความหมายในทางเป็นพระเจ้าซึ่งคนเขาชอบ และในที่สุดก็นึกถึงคำว่า ธรรมภูโต กันบ้าง คือ ได้เป็นธรรมแล้ว เป็นเสร็จแล้ว เป็นตัวธรรมแล้ว และในที่สุดก็เป็นพรหมภูโต คือ ได้เป็นพรหม เป็นแล้ว และก็จบกันเท่านั้น เพราะนั่นเป็นสิ่งสูงสุด ไม่มีอะไรจะสูงยิ่งไปกว่านี้แล้ว
สรุปความว่า ในโอกาสแห่งวิสาขบูชานี้เป็นวันเพ็ญ เป็นวันยี่เป็งแห่งพระจันทร์ ถ้าเป็นเรื่องของพระจันทร์ก็ หมายถึง แสงสว่าง ไม่ใช่ก้อนดินที่เดี๋ยวนี้เขาก็ขึ้นไปเหยียบย่ำกันเสียแล้ว นั่นก็ไม่ใช่พระจันทร์ มันเป็นก้อนดิน เป็นเปลือกของพระจันทร์ ถ้าจะถือเอาความหมายนี้ให้มีประโยชน์บ้าง ก็จงถือเอาแต่แสงสว่างของพระจันทร์เถิด ไม่มีใครเหยียบย่ำได้ แม้จะไม่มีมากเท่าแสงอาทิตย์ มันก็ยังดีกว่าไม่มีซะเลย วันเพ็ญวิสาขปุณณมีเป็นวันที่มีแสงสว่าง ก็จงเป็นแสงสว่างแก่จิตใจของเรา เพราะว่าแสงอาทิตย์นั้นอาจจะจ้าเกินไปจนตาพร่าก็ได้ แสงจันทร์นี้มันก็เย็นตาดี อย่างแสงไฟฟ้าอย่างนี้ก็ไม่จ้าในตามากเหมือนกับแสงอาทิตย์ ก็คงจะพอดี ถือโอกาสนี้ ความหมายนี้ ลักษณะนี้เป็นหลักแล้ว ก็จะอยู่ในรูปของมัชฌิมาปฏิปทา จึงมีความพอดีสำหรับสัตว์อย่างนี้จะก้าวหน้าไปตามทางแห่งพระพุทธศาสนา สำหรับการดับทุกข์มีความก้าวหน้าทุกทิวาราตรี ธรรมเทศนานี้เป็นกัณฑ์สุดท้าย คือ เป็นยอดสุดของการบรรยายที่ได้ทำแล้วในตอนบ่าย ตอนหัวค่ำ ก็เห็นว่าพอสมควรแก่เวลา ขอยุติธรรมเทศนาแต่เพียงเท่านี้ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้