แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ล้ออายุทั้งหลาย ในการบรรยายภาคค่ำเป็นครั้งที่ 3 นี้ อาตมาจะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า “การเข็นโลกออกมาเสียจากวัตถุนิยม” ข้อนี้ก็เป็นที่เข้าใจกันอยู่แล้วว่าเป็นปณิธานอันหนึ่งซึ่งอาตมาได้ตั้งเอาไว้เพื่อความพยายามจนตลอดชีวิต
บางคนอาจจะยังไม่เข้าใจว่าวัตถุนิยมนั้นคืออะไร เดี๋ยวก็จะได้ชี้แจงให้เห็น เดี๋ยวนี้โดยหัวข้อนี้มีความมุ่งหมายว่าจะต้องช่วยกันเข็นโลกออกมาเสียจาก “วัตถุนิยม” พอพูดอย่างนี้ บางคนเขาว่า “บ้า” แล้ว ก็หมายความว่าคนนั้นเขามองเห็นว่ามันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ แต่เราก็เห็นว่ามันก็ยังต้องทำอยู่นั่นเอง มันไม่มีอะไรดีกว่านี้ในการที่จะช่วยกันรักษาโลกเอาไว้ ถ้าไม่พยายาม มันก็เปรียบเหมือนกับว่าเราก็ปล่อยให้คนจมน้ำตายไปต่อหน้าต่อตา เดี๋ยวนี้คนทั้งโลกมันจะจมน้ำตายลงไปต่อหน้าต่อตา ดังนั้นไม่ต้องกลัวใครว่าบ้า ขอแต่ว่าเราพยายามจะทำอย่างระมัดระวังก็แล้วกัน แม้ว่ามันจะหนักหรือลำบากเหมือนกับการกลิ้งครกขึ้นภูเขา ก็ต้องพยายามอยู่ดี
การกระทำเช่นนี้ อาตมาถือว่าสำหรับสมัยนี้แล้วก็เป็นการกุศลสุดยอด โลกมันกำลังจะพลัดตกลงไปในเหว หรืออีกอย่างหนึ่งก็จะเปรียบว่าเหมือนกับกำลังจะจมลงไปในเลน หรือจะเปรียบอีกอย่างหนึ่งว่ามันอยู่กลางกองไฟที่เผาไหม้อยู่ มันต้องช่วยกันผลักออกมา ถ้าทำได้มันก็เป็นการกุศลสุดยอด เพราะว่าอะไร ๆ ก็มีมาเพื่อ มีไว้เพื่อความรอดของมนุษย์ ศาสนาทุกศาสนาก็มีไว้เพื่อความรอดของมนุษย์ การที่ทำให้มนุษย์รอดก็ตรงตามหลักหรือความมุ่งหมายของศาสนาทั้งหมดทั้งสิ้น ดังนั้นจึงถือว่าเป็นการกุศลสุดยอด ถ้าจะมองกันอีกด้านหนึ่ง ก็จะต้องพูดได้ว่าเป็น “ธรรมทาน” สุดยอด พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า “ในบรรดาทานการให้ทั้งหลายนั้น ธรรมทานเหนือกว่าทานทั้งปวง”
การให้ธรรมทานเลิศกว่าทานทั้งปวงก็เพราะว่าบอกให้รู้วิธีที่จะดับทุกข์ได้ เดี๋ยวนี้เราก็ทำโดยลงไปตรง ๆ เพื่อให้ดับความทุกข์ในโลกนี้ได้ มันก็ต้องถือว่าเป็นธรรมทานสุดยอด บางทีจะพูดได้ต่อไปอีกว่า นี่แหละคือการให้นิพพานเป็นทาน ให้นิพพานเป็นทานแก่สัตว์เหล่านั้นที่กำลังอยู่ในกลางกองไฟ นี่ก็พอแล้วที่ว่าจะพยายาม แม้จะมีใครคัดค้านหรือดูหมิ่นอย่างไรก็ตามใจ ในการที่จะเข็นโลกออกมาเสียจากวัตถุนิยม
ทีนี้ก็จะพูดถึงสิ่งที่เรียกว่าวัตถุนิยม มันคืออะไร วัตถุนิยมก็คือนิยมวัตถุ แต่วัตถุนั่นมันไม่ได้หมายความถึงตัววัตถุ มันหมายความถึงรสอร่อยหรือเสน่ห์ของวัตถุ แล้วมันก็ไม่ได้หมายถึงวัตถุเฉย ๆ อย่างนั้น มันหมายถึงสิ่งที่ให้ความรู้สึกสนุกสนานเพลิดเพลินในทางกามคุณ คือทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็เรื่องเพศตรงกันข้าม หรือเพศกามารมณ์ อย่างนี้ก็เรียกว่าวัตถุนิยม
เมื่อตะกี้นี้ พระทั้งหลายก็ได้สวดพระบาลีธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ในสูตรนั้นก็มีใจความสำคัญอยู่ตอนหนึ่งว่า อย่าไปข้องแวะกับกามะสุขัลลิกานุโยค (7:00) อย่าไปข้องแวะกับอัตตะกิละมะถานุโยค สิ่งทั้งคู่นี้เป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา สิ่งที่เรียกว่ากามะสุขัลลิกานุโยคในพระบาลีนี้นั่นเอง คือสิ่งที่เรียกว่าวัตถุนิยมโดยสมัยนี้ และสิ่งที่เรียกว่าอัตตกิละมะถานุโยค ก็คือเกลียดกามะสุขัลลิกานุโยค แล้วก็ทำไปสุดเหวี่ยงไปอีกขั้นหนึ่ง กลายเป็นการนิยมการที่จะทำลายเสียซึ่งวัตถุหรือสิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งกามารมณ์ มุ่งหมายเป็นเรื่อง “จิต” ล้วน ๆ โดยไม่อาศัยวัตถุ ก็จะต้องเรียกได้ว่า “จิตนิยม” (8:15) ท่านออกเสียงว่าจิดตะนิยม เลยไม่แน่ใจว่าควรสะกดอย่างนี้หรือสะกด “จิตตนิยม” ดี
ทั้งสองอย่างนี้มันไม่ใช่ความถูกต้อง ไม่ใช่ความพอดี อย่างหนึ่งเป็นไปเพื่อความต่ำทราม จมลงไป อีกอย่างหนึ่งก็เป็นไปด้วยความไม่มีประโยชน์ แห้งแล้งหรือว่าแผดเผาโดยไม่จำเป็น พุทธศาสนานั้นจะอยู่แต่ที่ตรงกลาง ไม่ใช่วัตถุนิยม ไม่ใช่จิตนิยม แต่อยู่ตรงกลางซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็น “ธรรมนิยม”
เมื่อเป็นดังนี้ ไอ้สิ่งที่เรียกว่าวัตถุนิยมก็คือสิ่งที่เราพุทธบริษัท พูดถึงกันอยู่เป็นประจำคือกามะสุขัลลิกานุโยค หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “อาทาหะปฏิปทา” (9:13) คือปฏิปทาเปียกแฉะ ตรงกันข้ามกับอัตตกิละมะถานุโยคเรียกว่า “นิชามะปฏิปทา” (9:20) คือปฏิปทาไหม้เกรียม เราไม่เอาทั้งเปียกแฉะ และก็ไม่เอาทั้งไหม้เกรียม เอาแต่ที่มันอยู่ตรงกลางที่พอดี
สำหรับกามะสุขัลลิกานุโยค นั้น มันกำลังทำอันตรายแก่โลกทุกวันนี้ แล้วคนก็กำลังหลงกันทั้งโลก ก็เรียกกันว่าเป็นอันตรายของโลกโดยแท้ ส่วนอัตตกิละมะถานุโยคนั้น ไม่มีใครสนใจอยู่แล้ว เพราะไปมัวเมาในอัตตกิละมะถานุโยคแล้ว มันก็เกลียด ก็ไปมัวเมาในกามะสุขัลลิกานุโยคแล้ว มันก็เกลียดอัตตกิละมะถานุโยค ก็คือ (10:10) เราจึงไม่เห็นว่าเป็นปัญหาอะไร ไม่ต้องพูดถึงในโลกสมัยนี้ก็ได้ เพราะว่ามันจะไม่ทำอะไร ไม่ทำร้ายหรือทำอันตรายใดแก่โลกเลย คงเหลือแต่เรื่องกามะสุขัลลิกานุโยคเท่านั้นที่กำลังเป็นอันตรายอันใหญ่หลวงยิ่งขึ้นจนเกินความหมายของคำว่ากามะสุขัลลิกานุโยคไปเสียอีก
เดี๋ยวนี้อาตมาเรียกในที่นี้ว่าวัตถุนิยม เหมือนกับที่เขาเรียก ๆ กัน มันเป็นการหลงใหลในเสน่ห์ของวัตถุที่ให้ความเพลิดเพลินทางวัตถุ ทางเนื้อทางหนัง จนลุ่มหลงกันอย่างที่เรียกว่าไม่ลืมหูลืมตา วัตถุนิยมกำลังเป็นอุปัทวะหรือเสนียดของโลก ก็ขอให้ดูให้รู้กันเสียขั้นหนึ่งก่อน
เรื่องที่น่าเกลียดน่าชัง แล้วก็ไม่ควรจะเป็นไปมากมาย ที่ปรากฎอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ทั้งหลาย ทุกวัน ทุกเดือน ทุกปีในเวลานี้นั้น เป็นอิทธิพลของวัตถุนิยมทั้งนั้น มีการฆ่ากันอย่างที่ไม่น่าจะฆ่ากัน ซึ่งสมัยก่อนนั้นไม่เคยฆ่ากันในเหตุเพียงเท่านั้น หรือว่ามีการยิงพี่ยิงน้อง ยิงภรรยาสามี อย่างที่ไม่เคยทำมาแต่ก่อน นี่ก็เพราะอำนาจของวัตถุนิยม สมัยปัจจุบันที่มีการลักการขโมย การประพฤติผิดในกาม การพูดเท็จกันระหว่างประเทศ ระหว่างซีกโลกตามแบบของการเมืองนั้น มันก็มีต้นเหตุมาจากวัตถุนิยม
เป็นอันว่าความลำบากยุ่งยากทั้งหลายในโลกนี้ โดยส่วนบุคคลก็ดี คณะบุคคลก็ดี หรือว่าตั้งครึ่งโลกก็ดี มันมีมูลมาจากการหลงในวัตถุนิยม การแย่งชิงวัตถุนิยม การแข่งขันกันกอบโกยวัตถุซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งวัตถุนิยม นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่าวัตถุนิยม
ในครั้งพุทธการก็เคยมี ก่อนครั้งพุทธกาลก็เคยมี แต่ว่าไม่รุนแรงร้ายกาจเหมือนสมัยนี้ เดี๋ยวนี้กำลังตั้งอยู่ในฐานะเป็นสิ่งที่ครอบคลุมโลกไปทั้งโลก แต่ครอบคลุมในลักษณะที่เป็นอุปัทวะหรือเป็นเสนียดจัญไรของโลก ก็ควรจะถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องช่วยกันแก้ไข มันเป็นทั้งมูลเหตุและเป็นทั้งตัวอาชญากรรม คือเป็นตัวอาชญากรรมอยู่ในตัว แล้วก็เป็นมูลเหตุแห่งอาชญากรรมนั้น ไม่เคยมีอย่างอื่น ไม่ว่าจะเป็นอาชญากรรมสามัญธรรมดาของบุคคล หรือว่าเป็นอาชญากรรมทางการเมืองที่ล้างผลาญกันเป็นประเทศ ๆ ไป นี่ก็มีมูลเหตุมาจากวัตถุนิยม
การกอบโกยทางวัตถุเป็นที่ปรารถนา คนก็ช่วยกันออกกฎ ออกระเบียบ ออกธรรมนูญต่าง ๆ มาให้เป็นประชาธิปไตยชนิดที่กอบโกยวัตถุได้ตามใจชอบ ใครมีปัญญา มีความสามารถอะไรก็กอบโกยได้เพราะว่าเป็นเสรีประชาธิปไตย ลัทธิอย่างนี้มันก็เกิดมาจากการหลงใหลในวัตถุนิยม ตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ มันขนานกันมากับความเจริญทางวัตถุของคน หรือของมนุษย์นั่นเอง มันเคียงคู่กันมากับความเจริญทางวัตถุโดยอัตโนมัติตามธรรมชาติธรรมดา แต่มันมารุนแรงขึ้นถึงที่ขีดสูงสุดในสมัยนี้
เราจะเรียกเราเองว่ามีโชคดีก็ได้ ที่ได้เกิดมาพร้อมสมัยกันกับวัตถุนิยมกำลังลุกลามในโลกถึงขีดสูงสุด แล้วได้เห็นสิ่งที่แปลกประหลาดยิ่งกว่าสิ่งใด มีอยู่ก็แต่ระวังอย่าให้พลอยผสมโรงเป็นผู้หลงใหลกับเขาไปด้วยเท่านั้นเอง จะดูเฉย ๆ ก็ยังสนุก ถ้าจะช่วยกันแก้ไขก็จะเป็นบุญเป็นกุศล หรือเป็นยอดของกุศล การให้นิพพานเป็นทานคือให้ความเยือกเย็นในทางธรรมะแก่โลก นี่แหละคือสิ่งที่กำลังเรียกว่าวัตถุนิยม อย่างน้อยที่สุด มันก็กำลังทำลายวัตถุที่เป็นทรัพยากรของธรรมชาติอย่างไม่จำเป็น อย่างไม่เป็นธรรม แล้วก็อย่างเป็นบ้าเป็นหลัง
วัตถุทรัพยากรบนดินหรือใต้ดิน หรือที่ไหนก็ตามที่ยังไม่ควรจะถูกเอามาล้างผลาญทำลายกันเสีย ก็เอามาทำลายกันเสีย เพื่อประโยชน์เพียงเพื่อวัตถุนิยม คือความเพลิดเพลินทางวัตถุ ยังไม่จำเป็นอะไรที่มนุษย์จะต้องทำเช่นนั้น แต่ก็พยามแข่งขันกันเอาขึ้นมาสร้างแล้วก็ยุบ สร้างแล้วก็ยุบ สร้างแล้วก็ทำลาย นี่ก็ฉิบหายไปมาก และแม้ว่าจะใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ ก็ล้วนแต่ทำให้เกิดกิเลส เกิดการเบียดเบียน เกิดความหลงใหล เกิดความลำบากยุ่งยาก ระส่ำระสาย เนื่องถึงกันไปหมดทั้งโลก
การทำลายวัตถุที่เป็นทรัพยากรของธรรมชาตินั้น มันไม่ใช่เพียงแต่ทำลายให้หมดไปอย่างเดียว มันก็ทำมนุษย์ให้เดือดร้อนด้วย เกิดปัญหาทางวัตถุขาดแคลนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทั่วไปทุกหัวระแหง นี่ดูอำนาจของสิ่งที่เรียกว่าวัตถุนิยมว่ามันกำลังเป็นอย่างไร
ในทางธรรมะ ก็มีเป็นหลักปรากฎอยู่แล้วว่าพระพุทธเจ้าท่านแนะว่าอย่าไปเกี่ยวข้องกับมัน ก็พวกกามะสุขัลลิกานุโยค อัตตกิละมะถานุโยคนั้น แต่เดี๋ยวนี้มันก็ยิ่งกว่าที่จะเกี่ยวข้อง เพราะว่ามันระบาดไปทั่วโลก แล้วมันก็สร้างปัญหาให้ แม้แต่คนที่ไม่อยากจะเกี่ยวข้อง มันก็ได้รับการกระทบกระเทือนกันอย่างทั่วถึง
ที่วัด..... (19:00) ศาสนาทั้งหลายก็มีมาเพื่อจะช่วยโลก ก็สามารถช่วยได้จริงเพราะว่าไม่ทำให้ตกไปฝ่ายวัตถุนิยม หรือฝ่ายที่ตรงกันข้าม แต่ว่าให้อยู่ในฝ่ายที่พอเหมาะพอดี ไม่ได้เกลียดวัตถุจนถึงกับไม่เกี่ยวข้องกับวัตถุเสียเลย แต่ก็ไม่บูชาวัตถุจนเป็นทาสของวัตถุเหมือนกับที่กำลังเป็นกันอยู่ในเวลานี้ เพราะฉะนั้นจึงเหมาะสมสามารถที่จะใช้แก้ไขปัญหาอันนี้ของโลกได้ และยังมี “หลัก” บางอย่างบางประการขึ้นมาเพื่อจะแก้ไขวิกฤตการณ์อันนี้ของโลก คือความทุกข์ยากลำบากอันเกิดมาแต่วัตถุนิยม
เมื่อวัตถุนิยมเป็นตัวการ เราก็ไม่นิยมวัตถุ เมื่อวัตถุไม่ประกอบไปด้วยธรรม ด้วยธรรมะ เราก็ต้องอาศัยสิ่งที่ประกอบอยู่ด้วยธรรมะหรืออิงธรรมนั่นเอง เป็นเครื่องมือสำหรับจะแก้ไข เมื่อวัตถุนิยมมันเป็นปัจจัยให้ปัจเจกชนคนหนึ่ง ๆ หลงใหลในวัตถุจนเห็นแก่ตัว ก็ต้องมีลัทธิที่จะทำให้เห็นแก่ผู้อื่น ให้เห็นว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น อย่างนี้จึงจะเรียกว่าเป็น “สังคมนิยม” แต่ความกำกวมมันยังมีอยู่ว่าสังคมนิยมนั้น มันอาจจะเป็นวัตถุนิยมไปก็ได้ หรือว่าจะพร้อมเพรียงกันสร้างสรรค์วัตถุนั้น แย่งชิงวัตถุนั้นมาเป็นส่วนของสังคมก็ได้ ถ้าเป็นดังนี้มันก็ยิ่งเป็นอันตรายใหญ่หลวงต่อไปอีก
ด้วยเหตุฉะนี้เอง จึงต้องเป็นสังคมนิยมที่ไม่บูชาวัตถุ ไม่หลงไหลในวัตถุ แล้วก็ประกอบอยู่ด้วยธรรมะ มีรากฐานอยู่ที่ศาสนา ที่จะใช้เป็นคู่กับของวัตถุนิยมได้ อาตมาจะเรียกเอาเองว่ามันเป็น “ธรรมมิกสังคมนิยม” คือมีอุดมคติที่เห็นแก่ประโยชน์ของสังคมนิยม แล้วก็เป็นธรมมิกกะ คือประกอบไปด้วยธรรม ไม่ใช่นิยมวัตถุ แต่นิยมธรรมะ นิยมความถูกต้อง แต่ก็มิได้เกลียดวัตถุ และใช้วัตถุเป็นเครื่องอำนวยความสะดวกเพียงเท่าที่จำเป็น ไม่ต้องทำขึ้นมามากมายจนเป็นการล้างผลาญทรัพยากรธรรมชาติเพื่อความสนุกสนานแต่อย่างเดียว นี้เรียกว่าคู่ปรับของวัตถุนิยมหรือเรียกว่า “ธรรมมิกสังคมนิยม”
ระบุลักษณะให้ชัดลงไปว่าไม่เป็นวัตถุนิยม แต่แล้วก็ไม่ใช่จิตนิยมสุดเหวี่ยง แต่ว่าเป็น “ธรรมนิยม” อยู่ในระหว่างกลาง สามารถจะควบคุมได้ทั้งวัตถุ ได้ทั้งจิตให้อยู่ในสภาพที่พอดี จึงอาศัยกันแต่พอดี แล้วก็มีรากฐานมาจากศาสนาทุกศาสนา ดังที่ได้กล่าวมาแล้วหลายครั้งหลายหนว่า ทุกศาสนามีอุดมคติเป็นสังคมนิยมชนิดที่ประกอบอยู่ด้วยธรรม สังคมนิยมชนิดนี้แหละที่จะสามารถเข็นโลกออกมาเสียได้จากวัตถุนิยม จึงขอร้องให้จำคำนี้ไว้ให้ดี ๆ ว่า “ธรรมิกสังคมนิยม” เป็นคู่ปรับของสิ่งที่เรียกว่าวัตถุนิยม
“ธรรมิกสังคมนิยม” ก็คือ ตัวของศาสนาที่จะออกมาอยู่ในฐานะเป็นเครื่องมือสำหรับจะปราบปรามสิ่งที่เป็นข้าศึกศัตรูของมนุษย์ทั้งปวง ทีนี้ปัญหาที่จะดูต่อไปก็มีต่อไปอีกว่า ในการที่จะให้ธรรมมิกสังคมนิยมช่วยโลกทันแก่ท่วงทีนั้น เราจะต้องมีวิธีปฏิบัติงานให้ทันแก่เวลา คือต้องใช้วิธีเผด็จการจึงจะทันแก่เวลา คำว่าเผด็จการนี้ บางคนพอได้ยินเข้าแล้วก็สะดุ้ง เพราะว่าเขาไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าเผด็จการอย่างถูกต้องครบถ้วน ขออภัยที่จะต้องใช้คำว่าเขายัง “โง่” ต่อสิ่งที่เรียกว่าเผด็จการ คำว่าเผด็จการนี้เป็นเพียงวิธีปฏิบัติงานเท่านั้น ยังไม่ใช่อุดมคติ เมื่อเรามีอุดมคติที่ถูกต้องแล้ว ถ้าจะให้เป็นไปตามนั้นเร็วเข้าก็ต้องใช้วิธีเผด็จการ
พระพุทธเจ้าท่านมีอุดมคติเป็นสังคมนิยม แต่วิธีปฏิบัติงานของท่านนั้นเป็นเผด็จการ ไปหาอ่านดูจากพระบาลีทั้งหมดก็จะพบข้อเท็จจริงอันนี้ว่าท่านเป็นสังคมโดยอุดมคติ เต็มไปด้วยความเมตตากรุณา เห็นแก่สรรพสัตว์ทั้งมวล แม้แต่หลักการในหมู่ภิกษุสงฆ์ก็ให้ ให้อยู่ในรูปของสังคมนิยมอย่างเคร่งครัด ภิกษุองค์ใดองค์หนึ่งจะมีส่วนเกินไม่ได้ จะไว้แต่พอดี ที่เหลือนอกนั้นไปเป็นประโยชน์แก่สังคม คือหมู่สงฆ์นั่นเอง
โดยเนื้อแท้แล้ว หลักธรรมะทั้งหลายนี้ก็เป็นสังคมนิยม อุดมคติสำหรับความดับทุกข์ สำหรับการดับทุกข์นั้นเป็นสังคมนิยม แต่วิธีปฏิบัติงานที่จะเป็นเช่นนั้นได้นั้น ท่านใช้วิธีเผด็จการ หรือว่าจะดูในระยะต่อมา พระเจ้าอโศกมหาราช พุทธบริษัท หรืออุบาสกที่สำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา มีความสำเร็จในการรักษาหรือเผยแผ่พระพุทธศาสนายิ่งกว่าผู้ใด แม้พระเจ้าอโศกมหาราชนี้ก็มีอุดมคติสังคมนิยมอย่างเคร่งครัดตามหลักของพระพุทธศาสนา แต่วิธีที่จะปฏิบัติงานเช่นนั้น ก็ใช้วิธีเผด็จการอย่างเดียวกัน ด้วยจิตใจที่เป็นธรรม และแน่ใจในความเป็นธรรม ก็ใช้วิธีเผด็จการเพื่อให้มันเร็วเข้า
หรือว่าธรรมมิกราชาทั้งหลายต่อมาในยุคหลัง ๆ ราชาที่ประกอบไปด้วยธรรม มีธรรมเป็นหลัก มีธรรมเป็นธงชัยเหล่านั้น ก็ล้วนใช้วิธีเผด็จการทั้งนั้นจึงประสบความสำเร็จในการเป็นธรรมราชา ดังนั้นควรจะถือว่าวิธีปฏิบัติงานซึ่งเป็นเผด็จการโดยบุคคล หรือคณะบุคคลที่ประกอบไปด้วยธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่สมควรที่จะนำมาใช้ในการที่จะเข็นโลกนี้ออกมาเสียให้ได้จากอำนาจของวัตถุนิยม และให้ทันแก่เวลาด้วย ถ้าพูดอีกทีหนึ่ง ก็คือวิธีในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ว่าเป็นวิธีนอกคอกนอกรีตนอกรอย ที่ใครมันจะคิดขึ้นมาเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของตัว ดังนั้นเราต้องเติมคำว่า “เผด็จการ” ต่อท้ายธรรมมิกสังคมนิยมเข้าไปคำหนึ่ง มันจึงได้หลักการ ที่เต็มความเต็มรูปว่า “ธรรมมิกสังคมนิยมอย่างเผด็จการ” หรือว่าเผด็จการด้วยอุดมคติสังคมนิยมที่ประกอบอยู่ด้วยธรรม
นี่ถ้าหาก (29.35) สิ่งนี้เท่านั้นที่จะสามารถเข็นโลกออกมาเสียได้จากวัตถุนิยมอย่างที่ทันแก่เวลา ส่วนลัทธิสังคมนิยมตามธรรมดาที่เขามี ๆกันอยู่ในโลกนี้ ในเวลานี้นั้น ใช้ไม่ได้ ใช้ไม่ได้โดยแน่นอน เพราะว่ามันเป็นวัตถุนิยมเสียเอง ลัทธิสังคมนิยมที่กำลังมีอยู่ในโลกนี้ ที่เอ่ยอ้างกันนักนั้นเป็นวัตถุนิยม หลงในวัตถุ บูชาวัตถุเสียเอง มันเป็นลัทธิที่เกิดขึ้นมาเพราะว่ายังไม่ได้วัตถุตามใจชอบมาแจกจ่ายกันให้เพียงพอแก่สังคมนั้น หรือมิฉะนั้นก็เป็นสังคมนิยมของการแก้แค้น ของการอาฆาตต่อพวกนายทุนที่มันกอบโกยไว้มากเกินไป สังคมนิยมอย่างนี้มันไม่ประกอบไปด้วยธรรม แต่มันประกอบไปด้วยความอาฆาต แก้แค้น แล้วมันก็ละโมบโลภมากต่อวัตถุ มุ่งหมายต่อวัตถุ ไม่ประกอบอยู่ด้วยธรรม ก็เป็นวัตถุนิยมด้วยกันนั่นแหละ มันจึงเป็นคู่วิวาท คู่อาฆาตกับเสรีประชาธิปไตยตลอดมา
ดังที่ควรจะทราบกันไว้ให้ชัดเจนว่าเสรีประชาธิปไตยนั้นมันเป็นวัตถุนิยม แล้วก็เปิดโอกาสมากจนให้แต่ละบุคคลกอบโกยได้ตามความสามารถของตน นี่เป็นประชาธิปไตยที่อันตรายในข้อที่ว่าไม่เห็นแก่สังคม แต่เห็นแก่บุคคล เปิดโอกาสให้บุคคลกอบโกยได้ตามความสามารถของตน
เมื่อพูดถึงประชาธิปไตยก็ต้องระวังกันให้ดี ๆ ประชาธิปไตยเสรีอย่างนี้ มันช่วยกันทำให้โลกนี้มันลุกเป็นไฟมากขึ้น คือเป็นวัตถุนิยมที่เสรี ก็เอาอำนาจของแต่ละคนมาใช้กัน หลงในวัตถุ กอบโกยวัตถุอย่างเดียวกันไปหมด เป็นเสรีประชาธิปไตยชนิดที่ไม่ประกอบอยู่ด้วยธรรมะในศาสนาไหน ๆ เลย ภาษาไหน ๆ ก็ไม่ให้เสรีประชาธิปไตยในลักษณะอย่างนี้ แต่ให้เสรีในทางที่ถูกที่ควร คือประกอบอยู่ด้วยธรรมเท่านั้น แต่แล้วก็ต้องไม่หลงวัตถุด้วยหรือไม่เป็นวัตถุนิยมนั่นเอง
เสรีประชาธิปไตยที่ไม่ประกอบด้วยธรรม หลงไหลบูชาวัตถุนี่ มันก็กลายเป็นคู่อาฆาต คู่วิวาทกันกับสังคมนิยมตามธรรมดาสามัญที่บูชาวัตถุ นั่นจะเป็นปัจเจกชนกระทำก็ตาม หรือจะเป็นสังคมกระทำก็ตาม แต่ถ้าเป็นไปเพื่อวัตถุนิยมแล้ว มันก็ทำให้โลกนี้เป็นวิกฤตการณ์ด้วยกันทั้งนั้น แต่ถ้าเป็นเอกชนก็ตาม เป็นสังคมก็ตามไม่เป็นทาสของวัตถุนิยม มายึดหลักธรรมนิยมอยู่อย่างแน่นแฟ้น ก็เป็นเรื่องที่จะช่วยมนุษย์นี้ให้รอดไปได้ และเพื่อให้เร็วเข้าก็ต้องใช้วิธีดำเนินงานอย่างเผด็จการ คือให้สิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้นเป็นคู่เผด็จการถือเป็นหลักในการปฏิบัติงาน จะเป็นพระราชา เอกชนก็ได้ จะเป็นสังคมคือคณะบุคคลก็ได้ ที่มีธรรมะเป็นหลักการ แล้วก็ดำเนินงานอย่างที่เรียกว่ารวบรัด กระทำลงไปอย่างรวดเร็วให้มันทันแก่เวลา
นี้เป็นความรู้สึกของอาตมา ในเมื่อได้พิจารณาทั้งดูสองฝ่าย (34:45) ดูโลกที่กำลังลุกเป็นไฟอยู่ในวัตถุนิยม แล้วก็ดูพระธรรม หรือธรรมะในศาสนาทั้งปวง มาเทียบกันดูแล้วมันก็เห็นข้อเท็จจริงอันนี้ว่าโลกสมัยนี้กำลังลุกเป็นไฟ คุกรุ่นอยู่ทั่วไป แต่จะเย็นลงได้ก็เพราะอำนาจของพระธรรม มีหลักชนิดที่ว่าไม่นิยมวัตถุ แล้วก็นิยมธรรมะ มีรากฐานอยู่ที่ว่าสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จนถึงขนาดที่จะเอาเปรียบกันไม่ได้ อย่าว่าแต่จะฆ่าฟันกันเลย แม้แต่ แม้เพียงแต่จะเอาเปรียบกันก็ยังทำไม่ลง นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่า “ธรรมิกสังคมนิยมโดยวิธีเผด็จการ” ให้ความจริงหรือความถูกต้องเป็นหลักสำหรับปฏิบัติการ สำหรับเผด็จการ ไม่ใช่ให้บุคคลที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลสเป็นผู้เผด็จการ
ขอให้รู้จักแยกกันออกมาเสียให้ดี ๆ ว่า คำว่าเผด็จการนั้น ถ้าเป็นลัทธิหรือเป็นอุดมคติแล้ว มันก็ใช้ไม่ได้ มันบ้าคลั่งด้วยอำนาจของกิเลส มันก็ทำอันตรายผู้อื่น ย่ำยีข่มเห่งผู้อื่น แต่ถ้าคำว่าเผด็จการนี้เป็นเพียงวิธีดำเนินงานแล้ว มันก็ดี แล้วยังจะวิเศษเสียด้วย อย่างพ่อแม่จะกระทำแก่ลูก ถ้ามีความถูกต้องแล้ว ก็ใช้วิธีเผด็จการคือการเฆี่ยนตี หรือการทำอะไรที่จะให้เกิดความถูกต้องขึ้นมา หรือว่าจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม เมื่อมันมีอุดมคติที่ถูกต้องแล้ว ก็ควรจะใช้วิธีเผด็จการดำเนินงานให้มันสำเร็จไปโดยเร็ว คนเหลวไหลมันก็ควรจะถูกเฆี่ยนบ้าง หรือว่าแม้จะถูกฆ่าบ้างก็ไม่เป็นไรเพราะมันเป็นคนเหลวไหล เมื่อมันมองเห็นไอ้การเอาจริงเอาจังอย่างนี้ มันก็ไม่กล้าเหลวไหล ในที่สุดก็ไม่มีใครที่ถูกเฆี่ยนหรือถูกฆ่า ก็ดูแต่ว่าไอ้ลูกเด็ก ๆ ที่มันเป็นเด็กที่ดี มันก็ไม่ต้องถูกเฆี่ยน แม้ว่าจะใช้วิธีเผด็จการ มันก็ไม่ถูกเฆี่ยน มันก็ไม่ถูกกระทำให้ช้ำชอกแต่อย่างใด
แม้ว่ายังมีการเฆี่ยนหรือการฆ่า ถ้ามันประกอบไปด้วยธรรม ก็ให้ถือว่าธรรมะต่างหากเป็นผู้เฆี่ยนหรือเป็นผู้ฆ่า หรือถ้าพูดให้ถูกยิ่งไปกว่านั้นอีก มันก็ว่าไอ้ความเหลวไหล ความเลวของเขานั่นแหละ มันเฆี่ยนเขาหรือมันฆ่าเขา หลักธรรมนิยมมันก็มีมาอย่างนี้ เพื่อให้มันเร็วเข้า ก็ต้องใช้วิธีที่เรียกว่าเผด็จการโดยธรรม
นี้เป็นวิธีการที่ว่าจะเข็นโลกออกมาเสียจากวัตถุนิยมได้อย่างไร ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าให้ดูตามรายงานต่าง ๆ ทั่วโลกหรือแม้แต่ในประเทศไทยเพียงแห่งเดียว วัตถุนิยมก็ได้แสดงให้เห็นความเลวทราม ทำลายทุกอย่างที่เป็นความดีความงาม จะเป็นวัฒนธรรมก็ดี เป็นศีลธรรมอะไรก็ดี สิ่งที่เรียกว่าวัตถุนิยมนี้ไปทำลายเสียจนหมดสิ้น เพราะฉะนั้นจะต้องตั้งปณิธานกันในการที่จะระงับลัทธิวัตถุนิยมนี้เสีย อย่าได้เป็นเครื่องเบียดเบียนโลกต่อไปอีกเลย นี่แหละคือข้อที่ตั้งใจไว้จะกล่าวในตอนนี้ โดยสรุปใจความได้เพียงเท่านี้
ทีนี้ก็จะขอกล่าวเพื่อการยุติการบรรยาย โดยขอร้องซ้ำแก่ท่านทั้งหลายอีกครั้งหนึ่งว่าในการทำบุญเกี่ยวกับการล้ออายุนี้ เราก็ได้กระทำกันแล้วในลักษณะอย่างนี้ ขอขอบคุณท่านทั้งหลายในการมาด้วยความเสียสละ ด้วยความหวังดี ให้นั่นให้นี่ ช่วยเหลือนั่นช่วยเหลือนี่ ก็ด้วยจิตใจที่เห็นแก่ธรรมะนั่นเอง ขออนุโมทนาที่ว่ามีความตั้งอกตั้งใจที่จะล้ออายุด้วยการปล่อยเต่า เป็นการทดสอบกันและกันเป็นประจำปี รักษาวิธีการอันนี้ไว้ให้ได้รับประโยชน์แท้จริงจากพระศาสนา ไม่เลี้ยงไก่ไว้ไข่ให้สุนัขกิน ฉะนั้นต้องขออภัยในความที่... ขอร้องให้ทุกคนเป็นเจ้าของบ้านเสียเอง และถ้าพูดอะไรหยาบคายไปบ้าง ก็ต้องขออภัยด้วย
ให้รู้จักสังเกตว่าการทำบุญอายุนี้ ไม่ใช่..ไม่ว่าวิธีไหน ล้วนแต่เป็นการต่ออายุกันจริง ๆ ทั้งนั้น ถ้าทำด้วยความกลัว มันก็ต่อให้คนที่กลัว ถ้ามันทำด้วยความกล้า มันก็ต่อให้คนที่มีความกล้า แต่ว่าเราทำบุญอายุกันในลักษณะที่เป็นการแก้ไขปรับปรุงสิ่งที่ควรแก้ไขปรับปรุงให้มันรุดหน้า แล้วเราก็จะเป็นผู้ชนะกิเลสในความทุกข์ อย่าได้ชอบกิเลสจนเป็นทาสของกิเลส อย่าไปหลงในบาป ชอบบาปจนเป็นทาสของบาป แล้วก็อย่าได้หลงบุญ หรือชอบบุญจนถึงขนาดที่จะเป็นทาสของบุญ ถ้าเป็นทาสของกุศลมันก็ค่อยยังชั่วหน่อย เพราะว่าบุญกับกุศลนี่ไม่ใช่อย่างเดียวกันแท้ ถ้าชอบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ขอให้เป็นทาสของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์กันให้จริง ๆ ถ้ามีจิตน้อมไปเพื่อนิพพานแล้ว มันก็ไม่ต้องเป็นทาสของอะไร คือน้อมไปเพื่อความไม่เป็นทาสของสิ่งใด ๆ นั่นเอง
ขอร้องว่าให้ทุกคนรู้จักใช้สวนโมกข์นี้ให้ถูกวิธี ก็คงจะได้รับประโยชน์อย่างที่เรียกกันว่าโมกข์ หรือเกลี้ยงคือเกลี้ยง หลุดพ้นกันบ้างโดยแน่นอนไม่เร็วก็ช้า ขอให้ปลอดภัยด้วยความเกลี้ยงบางอย่าง ในฐานะเป็นของขวัญติดตัวไปด้วยกันทุกคน อย่าได้เป็นผู้ประมาท ถือเอาโอกาสอันสุดท้ายให้ได้ โดยเฉพาะในวินาทีที่จะดับขันธ์ อย่าได้โคลงเคลงไปตามโลกที่มันโคลงเคลงยิ่งขึ้นทุกทีในสมัยนี้
ทีนี้ก็มาดูกันอีกนิดหนึ่งเป็นเรื่องสุดท้ายว่าอาตมาก็โชคดีที่ยังมีอะไรที่อาจจะล้อ ก็มี ที่ควรจะถูกล้อ ก็มี ยังมีชิวิตที่สามารถปรับปรุงให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นได้ต่อไปอีก แม้ท่านทั้งหลายก็ต้องเรียกว่ามีโชคดี ได้ดูการล้อ มันก็สนุกหรือว่าถูกล้อบ้าง มันก็ยังสนุก และ (46:35) จะต้องรับเอาไอ้การล้อไปไว้ล้อกิเลสตามควรแก่กรณี แม้ว่าจะยังไม่ละกิเลสได้โดยเร็ว มันก็คงจะทำให้กิเลสซบเซาไปบ้าง ยังจะพอเป็นบัณฑิตได้ เพราะเหตุนี้ที่รู้จักข้อบกพร่องของตัว พยายามแก้ไขอยู่ นี้ก็เรียกว่าท่านทั้งหลายก็ยังโชคดี
ทีนี้โลกนี้ก็ยังโชคดี มองดูแล้วก็จะเห็นว่าโลกนี้ก็ยังมีโชคดีที่ยังมีพวกคนที่เขาหาว่าบ้า ชนิดพวกเรานี้เอง เพราะว่าอย่างน้อยคนบ้าชนิดนี้แหละมันจะห้ามล้อไอ้โลกนี้ไว้บ้าง อย่าให้มันหมุนเข้าไปในกองไฟหรือในเหวของวัตถุนิยม นี่เรียกว่าโลกมันยังมีโชคดีอยู่บ้าง เพราะข้อนี้ (47:50)
ศาสนานี้ก็ยังมีโชคดีอยู่บ้าง คือศาสนาได้มีโอกาสทำประโยชน์แก่โลก แม้ว่าจะถูกวัตถุนิยมเหยียบย่ำ มันก็ยังเรืองแสงอยู่ เพราะว่าพวกเรานี่แหละช่วยกันกระทำให้มันยังคงอยู่ได้ ในที่สุดสวนโมกข์นี้ก็ยังมีโชคดี คือยังคงเป็นที่สำหรับปล่อยเต่าอยู่ตลอดไป
อาตมาขอยุติการบรรยาย เพราะว่ารู้สึกไม่ค่อยจะมีแรง เขา (48:35) จะพูดให้มากไปกว่านี้ แต่เท่าที่พูดมาแล้วนี้ มันก็มากพอที่จะเอาไปคิดไปนึก หรือเอาไปทำให้เป็นการกระทำจริง ๆ ขึ้นมา ก็จะมีประโยชน์เหลือหลาย พูดชั่วโมงเดียว ทำได้เป็นปี ๆ ก็ไม่หมด จึงเป็นอันว่ายุติการพูดไว้ในลักษณะเช่นนี้เพียงเท่านี้