แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้จะได้วิสัชนาธรรมเจตนาเพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธา ความเชื่อและวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัทให้เจริญงอกงามก้าวหน้าตามทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาอันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายกว่าจะสมควรแก่เวลา
ธรรมเทศนาในวันนี้ปรารภเหตุเนื่องด้วยวิสาขบูชาเป็นวันที่พุทธบริษัททั้งหลายประกอบการบูชาอันยิ่งใหญ่ เป็นที่ระลึกแก่พระพุทธเจ้าตามที่เราจะมองเห็นได้กันทั่วๆ ไป วันนี้มีเหตุการณ์เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ต่อไป ๒ เดือนถึงเดือนอาสาฬห์มีเหตุการณ์เกี่ยวกับพระธรรม ต่อไปอีก ๕ เดือนก็มีถึงมาฆบูชามีเหตุการณ์เกี่ยวกับพระสงฆ์ เป็นอันว่าปีหนึ่งเรามีวันพิเศษอยู่ ๓ วันด้วยกัน วันเพ็ญกลางเดือน ๖ เป็นวันสำหรับพระพุทธเจ้า วันเพ็ญกลางเดือน ๘ สำหรับพระธรรม วันเพ็ญกลางเดือน ๓ สำหรับพระสงฆ์ เมื่อคืนวันเช่นวันนั้นก็ได้ประกอบพิธีการบูชาอย่างใหญ่หลวงสุดความสามารถ เพื่อจะย้ำความสัตย์ ความเชื่อ ความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยของพุทธบริษัททั้งหลาย พุทธบริษัทมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งหรือจะกล่าวก็กล่าวได้ว่าเป็นทุกอย่างเพื่อความเป็นพุทธบริษัท ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีอะไรเป็นการย้ำในความเป็นพุทธบริษัทอยู่เสมอจนกว่าจะถึงที่สุดหรือเป็นที่พอใจ
ในวันนี้ก็มีการบูชาอุทิศแก่พระพุทธเจ้า ท่านทั้งหลายก็ได้มาประชุมกันในสถานที่นี้เป็นการแสดงออกมาซึ่งความตั้งใจอันเกิดมาแต่ความเชื่อ ความเลื่อมใส แม้ยังไม่ถึงที่สุดก็นับว่ามากอยู่เหมือนกัน อาตมาจึงถือจึงเห็นเป็นโอกาสที่จะได้กล่าวถึงความสำคัญของวันนี้ เมื่อถึงวันเช่นวันนี้ทุกคน ก็ควรจะซักซ้อมให้เกิดอาการในทางจิตใจคล้ายๆ กับที่เกิดแก่พระพุทธเจ้าให้มากเท่าที่จะทำได้ สำหรับพระพุทธเจ้านั้น เราก็ทราบกันอยู่ดีแล้วว่า เป็นวันประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพาน ถ้ากล่าวอย่างภาษาธรรมดาสามัญหรือสมมติบัญญัติก็หมายความว่า มีการประสูติเมื่อเที่ยงวันในวันเช่นวันนี้ ตรัสรู้เมื่อหัวรุ่งของวันเช่นวันนี้และก็ปรินิพพานตอนหัวค่ำของวันเช่นวันนี้ ถึงจะรู้ความหมายของคำว่า ประสูติ ตรัสรู้ และนิพพานให้ลึกซึ้งยิ่งไปกว่านั้นจนถึงกับมองเห็นได้ว่า มันเป็นสิ่งเดียวกัน คือมีขึ้นมาในวินาทีเดียวกัน แต่มีความสำคัญอยู่ที่การตรัสรู้นั่นเอง การตรัสรู้ คือ การรู้แจ้งชนิดที่เป็นการทำลายกิเลสให้หมดสิ้นไป แต่เป็นการรู้ด้วยพระองค์เองที่เรียกว่า “สัมพุทธโธ” การรู้เองนั้นเป็นการถูกต้อง คือ มีประโยชน์ในทุกอย่างทุกทางจึงได้เรียกว่า “สัมมาสัมพุทธโธ” สิ่งนี้มีได้ด้วยอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ คือ ญาณอันเป็นเครื่องรู้รับเฉพาะ อันไม่มีญาณอื่นใดยิ่งไปกว่าญาณนี้ เพราะอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณจึงได้ตรัสรู้
การตรัสรู้นั้น ก็คือ การเกิดใหม่ในทางจิตใจจะกลายเป็นผู้ที่มีจิตใจรู้แจ้งถึงที่สุดและทำความบริสุทธิ์ถึงที่สุด มีความสงบเย็นถึงที่สุด เพราะว่ากิเลสและความทุกข์ดับไปนี้เรียกว่า “นิพพาน” คำว่านิพพานโดยแท้จริงนั้น หมายถึง การดับไฟแห่งกิเลสและความทุกข์ ไม่ได้หมายถึง การดับไฟแห่งร่างกายล้วนๆ เพราะว่าการดับไฟแห่งร่างกายล้วนๆ นั้นก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันในระหว่างสัตว์ที่มีร่างกาย มีชีวิต ต่างกันอยู่ที่ว่าความดับไฟแห่งกิเลสหรือความทุกข์ต่างหากที่ของใครจะมีหรือจะไม่มีหรือจะมีมากหรือน้อย ในขณะแห่งการตรัสรู้นั้นก็คือ มีการดับไฟแห่งกิเลสและความทุกข์อย่างสิ้นเชิง เราจึงได้ความหมายเป็น ๓ ความหมายว่า มีการเกิดขึ้นใหม่แห่งคนใหม่ รู้แจ้งแห่งตลอดซึ่งธรรมะ ก็มีผลทำให้กิเลสและความทุกข์ดับไป
ทีนี้พอมาถึงที่พวกเราทั้งหลายจะทำอย่างไรในหลักเกณฑ์อันนี้ก็ต้องทำให้คล้ายๆ กัน ให้อนุโลมกันให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ อย่างในวันนี้ สถานที่นี้ก็ได้พยายามทุกอย่างทุกทางที่จะให้เกิดมีจิตใจอันใหม่เหมือนว่ามานั่งอยู่ที่นี่ ก็มีจิตใจที่ใหม่ ที่แปลกไปจากจิตใจที่อยู่ที่บ้านหรือว่าจิตใจโดยทั่วๆ ไป เพราะว่าการนั่งอยู่ที่นี่ไปอาศัยธรรมชาติมีอิทธิพลคลอบงำ ทำให้กิเลสเกิดได้ยาก เกิดได้แต่ความรู้สึกที่เป็นความสงบ ที่เป็นความว่าง เป็นความหยุด เป็นความเย็น กระทั่งว่าเป็นความยอม คล้ายๆ ใครจะมาด่าเราที่นี่ เราก็ยอมได้ ยอมนิ่งเสีย ไม่รู้ไม่ชี้ ไม่เหมือนกับที่บ้าน ถ้าใครมาด่าเรา เราก็จะด่าตอบ นี่ลองคิดดูให้ดีว่า ธรรมชาติมีอิทธิพลมากถึงอย่างนี้ ดังนั้นเราจึงได้จิตใจที่ใหม่แม้จะเป็นเวลาอันสั้นช่วงขณะเล็กน้อยก็ตาม ถ้าเกิดมีจิตใจใหม่ขึ้นมาอย่างนี้แล้วก็จะมีความหมายอย่างเดียวกันกับว่า การเกิดขึ้นแห่งพุทธะในจิตใจของเรา เราก็มิได้อาจเอื้อมจนถึงขนาดว่าเป็นพระพุทธเจ้า แต่ก็มีอะไรบางอย่างที่พอจะอนุโลมกันได้ คือ การเกิดขึ้นแห่งจิตใจที่สะอาด สว่าง สงบตามสมควรแก่การประพฤติหรือการกระทำของตน วันนี้ก็ให้มีการเกิดใหม่อย่างนี้กันบ้าง ก็ตรงตามความหมายของคำว่าประสูติ คือ การเกิดขึ้นมาเป็นพระพุทธเจ้าในโลกนี้ เมื่อพูดถึงโลกในภาษาธรรมะนี้จะหมายถึง ร่างกายซึ่งประกอบอยู่ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คอยสัมผัสกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์จากข้างนอกและก็มีอะไรปรุงแต่งกันอยู่อย่างชุลมุนวุ่นวาย เดี๋ยวทางตา เดี๋ยวทางหู เดี๋ยวทางจมูก เดี๋ยวทางลิ้น เดี๋ยวทางกาย เดี๋ยวทางใจ เดี๋ยวก็เปลี่ยนไปในลักษณะที่ว่ายินดีบ้าง ยินร้ายบ้าง เป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง เป็นเรื่องวุ่นวายอย่างโลกภายนอกนั้นเหมือนกัน ที่นี้เราจะทำให้มันมีการเกิดอะไรอย่างหนึ่งขึ้นมาในโลกนี้ คือ เกิดแสงสว่างขึ้นมาในจิตใจ ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของจิตใจจนได้จิตใจดวงใหม่ วันวิสาขบูชาทีหนึ่งให้มีจิตใจทำนองนี้ดียิ่งขึ้นไปทุกๆ คราว ก็พอจะนับได้ว่า เป็นการเกิดขึ้นในโลกของจิตใจที่ควรจะเรียกว่า เป็น “พุทธะ” สำหรับทุกคน ทุกคนก็จะมีความเป็นพุทธะไม่มากก็น้อยขึ้นในใจของตนอย่างนี้ เรียกว่า เกิดพระพุทธเจ้าขึ้นในจิตใจของเราขึ้นในโลก คือ ร่างกายนี้จึงจะมีประโยชน์โดยตรง เกิดขึ้นในโลกธรรมดาสามัญอันใหญ่กว้างนี้ มันยังไกลนักให้มันใกล้เข้ามาก็คือว่า เกิดในโลกใน คือ ร่างกายนี้ ระบุลงไปในจิตใจให้เกิดมีอะไรใหม่เป็นแสงสว่าง ก็เรียกว่า เกิดพระพุทธเจ้า เรียกว่า การรู้หรือการตรัสรู้ของบุคคลนั้นเรียกว่า การดับเย็นของบุคคลนั้น ท่านจะสังเกตเห็นได้ว่า มันพร้อมกัน พอจิตใจถูกแวดล้อมให้หยุด ให้ว่าง มันก็เป็นความรู้สึกและก็เป็นความสงบเย็น เป็นของใหม่ขึ้นมาพร้อมๆ กันทีเดียว นี่แหละควรจะเห็นได้ว่า แม้สิ่งเหล่านี้จะมาเกิดในจิตใจของเราก็เกิดขึ้นในลักษณะพร้อมกันในวินาทีเดียวกัน คือ เกิดจิตใจดวงใหม่ เกิดแสงสว่าง เกิดความสงบเย็น มันก็ชั่วสายฟ้าแลบ มันก็เกิดขึ้นได้ครบถ้วน เมื่อเกิดแล้วก็จะรักษาไว้ให้ยืนยาวถาวรต่อไป ถ้ามันยังเกิดน้อยก็ให้มันมากขึ้น ถ้าเป็นไปได้อย่างนี้ก็เรียกว่า มีการก้าวหน้าในการทำพิธีวิสาขบูชา ไม่สักแต่ว่ามาเดินถือดอกไม้ ธูปเทียนเวียนๆ อยู่ ๓ รอบแล้วก็จะเป็นการทำวิสาขบูชาที่สูงสุด นั้นมันก็เป็นการกระทำวิสาขบูชาจริง แต่ยังไม่ใช่สูงสุด ถ้าสูงสุดเราต้องมีการกระทำชนิดที่พระพุทธเจ้าท่านทรงประสงค์ คือ ปฏิบัติบูชา ได้แก่ การปรับปรุงจิตใจให้สูงยิ่งขึ้นไปให้คล้ายจิตใจของพระพุทธเจ้าที่ท่านต้องการนัก เมื่อท่านต้องการอย่างนี้เราก็พยายามจะทำให้ดีที่สุดให้มันเกิดขึ้นในวันนี้เป็นการบูชาภายใน เมื่อตอนกลางวันทำไม่ได้ก็ทำเสียให้มันได้ในเวลานี้หรือในเวลาต่อไปในตอนดึก ตอนใกล้รุ่ง แต่ถ้าไม่พยายามตั้งอกตั้งใจกัน ก็คงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นในลักษณะอย่างนี้ คงจะย่ำเท้าอยู่ตามเดิม กี่ปีๆ ก็ไม่มีอะไรก้าวหน้า
การทำวิสาขบูชา เราจะต้องทำให้เป็นปฏิบัติบูชาอย่างที่ว่ามาแล้วนั้น เพราะฉะนั้นในวันนี้จะต้องอดทนอะไรบ้างก็จะอดทน ในตัวการอดทนนั่นแหละเป็นตัวการปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติแล้วก็มีผลแก่บุคคลผู้ปฎิบัตินี้มันก็นับว่าดี วิเศษมากอยู่แล้วที่บุคคลนั้นได้รับผลของการปฏิบัติและมันดียิ่งไปกว่านั้นอีกก็คือว่าตรงตามความประสงค์ของพระพุทธเจ้า คือ มีการปฏิบัติบูชาต่อพระพุทธเจ้านั้นอีกส่วนหนึ่ง คิดดูเพียงเท่านี้ ถ้าคิดเป็นและมองเห็นคนก็จะมีความรักพระพุทธเจ้ามากขึ้น เพราะอะไรๆ ที่ท่านสั่งให้ทำนั้นมันล้วนแต่เพื่อประโยชน์บุคคลนั้นๆ ทั้งนั้น ไม่ใช่เพื่อตัวท่าน โดยแท้จริงแล้วเพื่อประโยชน์แก่บุคคลนั้นทั้งนั้น พระพุทธเจ้าท่านทรงอยู่เหนือฐานะที่ว่าจะเรียกร้องเอาอะไรจากเราไปเป็นของท่าน มันมีแต่จะเรียกร้องให้เราทำเพื่อประโยชน์ของเราเองกว่าจะถึงที่สุด เพราะว่าท่านเกิดมาเพื่อมีหน้าที่อย่างนั้น ถ้าใครยังไม่ทราบก็ควรจะทราบกันเสียเดี๋ยวนี้ว่า พระพุทธองค์ทรงอุบัติขึ้นมาในโลกนี้เพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งที่เป็นเทวดาและมนุษย์อย่างกว้างขวางหาประมาณมิได้ ถ้าไม่ได้มีความหมายอันนี้แล้วก็จะเป็นพระอรหันต์องค์ใดองค์หนึ่งตามธรรมดาสามัญเท่านั้น คือ ไม่ได้มีหน้าที่จะไปช่วยสัตว์ทั้งหลายทางโลกเหมือนพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีหน้าที่แปลกออกไปจากนี้คือ เกิดมาเพื่อช่วยสัตว์โลก ไม่ใช่เกิดมาเพื่อพระองค์เองเหมือนพระอรหันต์ทั่วๆ ไป เราจะต้องเข้าใจข้อนี้แล้วจะต้องสนองพระพุทธประสงค์ สนองพระคุณ ท่านเกิดมาเพื่อประโยชน์แก่เรา มีความประสงค์เป็นความเกษมจากโยคะแก่พวกเราตามหน้าที่ของพระพุทธเจ้า ผู้ที่มองเห็นข้อนี้ก็จะรู้สึกว่าพระพุทธองค์มีพระคุณหรือมีพระมหากรุณาธิคุณหรือใช้คำอะไรที่มันยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก ก็ดูเหมือนจะยังไม่พอแต่เรียกสั้นๆว่า มีพระคุณหรือว่ามีพระคุณยิ่งกว่าสิ่งใด คนโบราณท่านได้กล่าวไว้ว่า เรื่องพระคุณ ก็ยกเอาคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์เป็นเบื้องหน้าก่อนจึงจะมาถึงพระคุณของบิดามารดาเป็นต้น ขอให้เอาไปคิด ไปนึกให้ดีๆ พระคุณของพระพุทธเจ้านี้มีมากถึงอย่างนั้นจริงหรือไม่ เราจะมีแต่บิดามารดาโดยไม่ต้องมีพระพุทธเจ้าอันนี้จะเป็นอย่างไร มันก็อาจจะมองเห็นได้ว่า แม้บิดามารดาของเราก็จะเอาตัวไม่รอด บิดามารดาของเราก็ได้อาศัยคุณของพระพุทธเจ้าที่ได้รับการสั่งสอน อบรมให้ปฏิบัติเป็นมรดกตกทอดกันมานมนานแล้ว จึงได้รับประโยชน์ของพระธรรม ได้เป็นมนุษย์ชนิดที่ดีกว่าคนธรรมดาทั่วๆ ไป ถ้าไม่มีธรรมะก็เป็นเหมือนกับคนที่สักว่าเกิดมาแล้วก็เป็นคน แต่ถ้ามีธรรมะแล้วก็ได้กลายเป็นผู้มีใจสูง อยู่เหนือกิเลส อยู่เหนือความทุกข์ กิเลสและความทุกข์ครอบงำ ย่ำยีไม่ได้ เราจึงได้เป็นมนุษย์ ซึ่งแปลว่า เป็นผู้มีจิตใจสูงหรือว่าเป็นเหล่ากอของบุคคลผู้มีจิตใจสูง เราควรจะยอมรับหรือว่าเชื่อกันเด็ดขาดตายตัวลงไปเลยว่า บรรพบุรุษของเราก็มีจิตใจสูง เพราะว่ามีธรรมะ เมื่อเราก็เป็นเหล่ากอของบุคคลที่มีจิตใจสูง
ดังนั้นเราควรจะมีจิตใจสูงสืบๆ กันไป จิตใจต่ำก็หมายความว่า ปราศจากธรรมะ ก็ได้โอกาสแก่กิเลสซึ่งจะเกิดขึ้นในจิตใจ เป็นความมืดมัว เป็นความเศร้าหมอง เป็นความเร่าร้อนตามชื่อของคำว่า กิเลส คำว่ากิเลสนี้ แปลว่า สกปรก แปลให้สุภาพก็แปลว่า เศร้าหมอง แต่ถ้าเป็นภาษาคนธรรมดา ชาวบ้านสามัญแล้ว คำว่า กิเลส นั้นแปลว่า ของสกปรกที่เราเกลียดชังกันนัก เห็นแล้วก็มี มองเห็นแล้วก็เบือนหน้าหนี นั่นคำว่า กิเลส ในภาษาธรรมดาหมายความอย่างนั้น แต่เดี๋ยวนี้พอมาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจก็กลายเป็นที่รักใคร่พอใจไปเสียอีก เพราะไม่มองเห็น ไม่รู้จักว่าสิ่งที่เรียกว่ากิเลสนั้น คือ เรื่องสกปรก เรื่องเศร้าหมองนั่นเอง อย่างนี้ก็เรียกว่า มันมีจิตใจชนิดที่ตรงกันข้ามกับมนุษย์ เพราะมันไม่สูง ดังนั้นก็เลยได้เป็นแต่ “คน” ยังมีกิเลสเต็มที่อยู่แล้วก็ควรจะเรียกว่าเป็นได้แต่เพียงคน มีกิเลสเบาบางได้ถึงขนาดที่เรียกว่า ปลอดภัย จึงจะพอเรียกได้ว่าเป็นมนุษย์ในขั้นเบื้องแรก คือ มีจิตใจเบื้องสูงแล้ว ขั้นสูงต่อไปอีกถึงระดับหนึ่งก็เรียกว่า เป็นมนุษย์ชั้นดี คือ จะเข้าเขตของพระอริยะเจ้า ซึ่งได้บัญญัติไว้ว่า เป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามีและพระอรหันต์ นี่เป็นสุดท้ายเป็นขั้นสุดท้ายของบุคคลผู้มีจิตใจสูง เป็นมนุษย์ขั้นสุดยอด เป็นความเต็มเปี่ยมของความเป็นมนุษย์ ถ้าเป็นคนก็ลองนึกถึงสมัยที่ว่ายังไม่มีการศึกษาอะไร มันก็รู้จักแต่สิ่งที่เป็นไปตามอำนาจของสัญชาตญาณ การกิน การนอน การประกอบเมถุน การขี้ขลาด การวิ่งหนี การอะไรต่างๆ เหล่านี้ นี่คือ “คน” ความเป็นคนมันทำได้เพียงเท่านี้ ต่อมามีสติปัญญามากขึ้นจึงทำได้อย่างที่มนุษย์จะทำ คือ มีความสูงในความรู้และการกระทำและผลที่ได้รับจากการกระทำนั้น ขอให้เราทั้งหลายรู้จักความเป็นมนุษย์กันให้ถูกต้องอย่างนี้ในชั้นรากฐาน พื้นฐานเสียก่อนและก็จะสามารถขยับขยายให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไปจนถึงความสมบูรณ์แห่งความเป็นมนุษย์ได้ ความมีจิตใจสูงนั่นเป็นเครื่องหมายของความเป็นมนุษย์
สำหรับพระพุทธเจ้านั้นก็มีจิตใจสูงสุด แปลกออกไปที่ว่าท่านทำได้เองและสูงสุดไปกว่าธรรมดาคือ สามารถจะชี้หนทางให้บุคคลอื่นทำความสูงสุดเช่นนั้นได้ จึงยกไว้ในฐานะเป็นบุคคลพิเศษ แต่เราก็พากันปฏิบัติตามเพื่อความมีจิตใจสูงอย่างนั้น นี่คือ สิ่งที่จะต้องทำให้เกิดการเกี่ยวข้องกันระหว่างเราทั้งหลายกับพระพุทธเจ้าควรนำมากล่าว มาพิจารณา มาปรึกษาหารือกันในวันเช่นวันนี้
ทีนี้ก็จะดูถึงลักษณะของจิตใจที่มีความสูง นี่ก็เรียกกันว่า “มีธรรมะ” ที่ทำความเป็นพระพุทธเจ้า บางคนอาจจะยังไม่ทราบคำว่า”ธรรมะ”นั้นหมายความว่าอย่างไร คำว่า ธรรมะ นั้นหมายถึง สิ่งทั่วไป ไม่ยกเว้นอะไร ผิดก็ธรรมะผิด ถูกก็ธรรมะถูก ทีนี้เราพูดกันว่า ธรรมะเฉยๆ อย่างนี้ เราลืมถึงในฝ่ายถูก เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ทั้งนั้นเรียกว่า “ธรรมขาว” ที่เป็นฝ่ายผิดก็เรียกว่า “ธรรมดำ” เราพยายามที่จะละเว้นธรรมดำที่ทำให้จิตใจต่ำมาประกอบในธรรมขาวที่จะทำให้จิตใจสูง และมันก็สูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงระดับหนึ่งซึ่งจะพ้นจากความดำ ความขาว นั่นเรียกว่า ความเต็มเปี่ยมของคุณธรรมที่จิตใจจะบรรลุถึงได้ จิตที่พ้นไปจากความดำ ความขาวนั้น ก็คือ จิตใจของพระอรหันต์ ผู้หลุดพ้นแล้วจากกิเลส อาสวะทั้งปวง เราก็มีวิธีปฏิบัติให้เกิดความเป็นอย่างนั้น คือ ให้พ้นจากความดำและความขาว ได้แก่ การตรัสรู้ ได้แก่ การรู้ตามการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า การที่ทรงสั่งสอนไว้อย่างไรว่า จะอยู่เหนือกิเลสและความทุกข์ได้ ธรรมดำมันก็เป็นระบอบปฏิบัติอย่างหนึ่ง คือ ปฏิบัติไปตามกิเลสและได้ผลเป็นธรรมดำ ถ้าครอบงำกิเลสได้ก็ได้ผลเป็นธรรมขาว แต่ว่ากิเลสยังไม่ถูกทำลายให้สิ้นซากสิ้นเชื้อ มันจึงยังวนเวียนอยู่ เดี๋ยวดำ เดี๋ยวขาว ดังนั้นก็จะต้องทำให้ดียิ่งขึ้นไปกว่านั้น คือ ไม่ให้มีดำ มีขาวกันอีกต่อไป จะเรียกว่าอะไรก็เรียกว่าไม่ดำไม่ขาว เรียกอย่างนี้มันเป็นวัตถุมากเกินไปก็เลยเรียกว่า มันว่าง มันว่างจากความที่เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ เรียกว่า มันเหนือไปหมด เหนือความดี เหนือความชั่ว เหนือบุญ เหนือบาป เหนือสุข เหนือทุกข์ เหนือไปทุกสิ่งทุกอย่าง นี่คือ จิตใจที่สูง
ที่นี้เรามีภาพสร้างขึ้นมาเรียกว่า “ภาพสระนาฬิเก” เป็นสิ่งที่อยากจะแนะนำให้ทุกๆ ท่านไปดูกันและก็มีความเข้าใจ ที่สระนั้นมีต้นมะพร้าวต้นหนึ่งอยู่กลางสระ เพราะสระน้ำนั้นมันเป็นเรื่องของวัฏฏะสงสาร คือ ดำขาว จึงได้เรียกว่าทะเลที่พึ่ง เดี๋ยวเหลว เดี๋ยวแข็ง เดี๋ยวเป็นของเหลว เดี๋ยวเป็นของแข็งแล้วแต่เหตุแล้วแต่ปัจจัย ต้นมะพร้าวนาฬิเกนั้นอยู่เหนือความเป็นอย่างนั้น เป็นบทที่กล่อมลุกให้นอนถิ่นนี้มาแต่โบราณ คือ ตั้งแต่สมัยที่พุทธศาสนาได้เจริญมากอีกยุคหนึ่งซึ่งเชื่อกันว่ากว่าพันปี จะตกราวๆ ๑,๒๐๐ ปีมาแล้ว คนจึงมีความรู้ดีพอที่จะเอาเรื่องของพระนิพพานมาประกอบเป็นบทเพลงสำหรับกล่อมลูกหรือกล่อมน้องให้นอนได้ ก็น่าสนใจอยู่ จึงเอามาทำไว้เป็นภาษาบาลีเรียกว่า สระนาฬิเก ควรจะไปเยี่ยมกันบ้าง ถ้าไปนั่งพินิจพิจารณาอยู่นานๆ ก็จะเกิดความเข้าใจแจ่มแจ้งมากขึ้นในความรู้วูบวาบออกมาว่า ความดับทุกข์มันอยู่ที่ความทุกข์ อย่าไปหาที่อื่นเลย ตรงไหนมีความทุกข์ จงจับให้มันดับลงไปที่นั่น ถ้าไปหาความดับทุกข์ที่อื่นไม่ได้ต้องหาที่ความทุกข์ ถ้าอยากที่จะฉลาดก็ต้องรู้จักดับทุกข์ตรงที่ความทุกข์ พูดให้เลยไปก็ว่า เราขอบใจความทุกข์ที่มันมาทำให้เราฉลาด ถ้าไม่มีความทุกข์ มันก็ไม่มีปัญหา คนก็ไม่ขวนขวายที่จะคิด จะนึก จะแก้ไขอะไร มันก็โง่ เมื่อมีความทุกข์ก็คือมีปัญหา ก็ต้องคิดจะแก้ปัญหามันก็ต้องใช้ความฉลาด คนเราก็ค่อยๆ ฉลาดขึ้นมาตามลำดับอย่างนี้ นี่คนที่โง่ก็ไม่รู้จักใช้ความทุกข์ให้เป็นประโยชน์ดีแต่นั่งร้องไห้ หรือบางทีก็ฆ่าตัวตาย หรือบางทีก็เป็นบ้าไปเลย สมน้ำหน้าของคนโง่ ไม่รู้จักใช้สิ่งที่มีประโยชน์ให้เป็นประโยชน์ แต่กลับไปใช้มันเป็นโทษขึ้นมาเสียอย่างนี้ จึงหวังว่าท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัทจะต้องเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า หรือเป็นบริษัทของพระพุทธเจ้าให้สมกันทีเดียวให้สมน้ำสมเนื้อกันกับที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า มีความรู้สว่างไสว รู้จักเปลี่ยนความทุกข์ให้กลายเป็นความดับทุกข์ได้ ความทุกข์นี่มันเป็นของธรรมดาสามัญมีอยู่ในสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่มีความไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง แล้วสิ่งนั้นก็ต้องมีความทุกข์หรือเป็นความทุกข์หรือมีลักษณะแห่งความทุกข์ แล้วมันเป็นสิ่งที่มีอยู่ทั่วไปอย่างที่หลีกเลี่ยงไม่พ้น สิ่งทั้งปวงในโลกมันก็ไม่เที่ยง สิ่งต่างๆ ที่รวมกันอยู่กันภายในร่างกายของเรานี้ เป็นร่างกายทั้งหมดนี้มันก็ไม่เที่ยง มันก็ต้องแสดงอาการที่เป็นทุกข์ออกมาหรือลักษณะแห่งความทุกข์ออกมาให้เห็น ถ้าเราสาวกของพระพุทธเจ้า เราก็ต้องรู้ จะต้องรู้จัก จะต้องเข้าใจ จะต้องแก้ไขปัญหาเหล่านั้นให้ได้ คือ อย่าให้มันเป็นความทุกข์แต่มันกลายเป็นความดับทุกข์ขึ้นมาเสีย มีปัญญา มองดู เข้าใจและก็จะแก้ไขได้ในข้อนี้ เช่นว่า ไม่ยอมรับเอามาว่าเป็นของเรา มองเห็นว่าเหล่านั้นมันเป็นธรรมชาติ มันไม่ใช่ตัวตนของเรา มันก็เลยเป็นไปตามธรรมชาติ ถ้าจิตใจมองเห็นอย่างแรงกล้าจริงๆ มันก็ตัดออกไปได้จริงๆ ว่า ไม่ใช่ของเรา ความเกิดก็ไม่ใช่ของเรา ความแก่ก็ไม่ใช่ของเรา ความเจ็บไข้ก็ไม่ใช่ของเรา ความตายก็ไม่ใช่ของเรา ในทางตรงกันข้าม ความสนุกสนาน เอร็ดอร่อย สรวลเสเฮฮานี้ก็ไม่ใช่ของเรา ทั้งสองฝ่าย ทั้งสองด้าน เป็นด้านที่น่ารัก น่าพอใจก็ไม่ใช่ของเรา ด้านที่ไม่น่ารัก ไม่พอใจ ไม่น่าพอใจก็ไม่ใช่ของเรา อย่างนี้แล้วก็จะเอาชนะปัญหาเหล่านี้ได้ มันไม่เที่ยงก็เป็นของมัน มันเป็นทุกข์ก็เป็นของมัน มันเป็นอนัตตา มันก็เป็นของมัน เป็นของธรรมชาติ จิตนี้จึงหลุดพ้นออกมาจากอาการของธรรมชาติ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา การที่เป็นอย่างนี้ได้มันต้องมองเห็นสิ่งเหล่านี้ ต้องมองเห็นข้อเท็จจริงเหล่านี้ ถ้าใครมองเห็นข้อเท็จจริงเหล่านี้ มันก็ถอนจิตใจมาเสียได้จากสภาพที่เป็นทุกข์ ดังนั้นการเห็นอนิจจัง อนัตตาจึงกลายเป็นประโยชน์ทั้งที่ตัวอนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั้นมันเป็นตัวโทษ มันเป็นตัวอันตรายที่ร้ายกาจ แต่ถ้าเรามองเห็นแล้วมันกลับกลายเป็นทำอะไรไม่ได้ ความรู้ที่เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กลายเป็นประโยชน์ ทำให้สลัดออกไปได้ ไม่ยึดมั่นถือมั่นไว้โดยความเป็นตัวตน ของตน
พระคุณของพระพุทธเจ้าอยู่ที่ตรงนี้ คือ สอนให้เห็นความที่ไม่ได้เป็นของตนให้ชัดเจนแจ่มแจ้งถึงที่สุด ท่านก็ได้ตรัสไว้ว่า การมองเห็นอนิจจังหรือมองเห็นทุกขังนี่ก็มีคนมองเห็นกันมาบ้างแล้ว แต่ที่ยังไม่มีใครมองเห็น ก็คือ เรื่องของอนัตตา จึงได้ตรัสสอนสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องอนัตตา อย่าได้ไปรับเอาเรื่องที่เป็นอนิจจัง ทุกขังนั้นมาเป็นตัวตนหรือของตน นี่คือ ปัญหาที่รออยู่สำหรับทุกคนว่าจะแก้ได้หรือไม่ ถ้าไม่สามารถจะสลัดอนิจจัง ทุกขังออกไปได้ มันก็ต้องเอาไว้เป็นตัวของตน ตัวตนของตน ดังนั้นก็ต้องมีทุกข์ ไม่มีใครช่วยได้ พระพุทธเจ้าก็ไม่อาจจะช่วยได้ เพียงแต่ได้ชี้ทาง ทำได้แต่เพียงชี้ทางไปคิดเสียใหม่ให้ถูกต้อง และมันก็ไม่รับเอามาเป็นตัวตนหรือเป็นของตน เห็นเป็นแต่สักว่า มันเป็นธรรมชาติแท้ๆ เป็นธรรมชาติล้วนๆ มันเกิดขึ้นอย่างนั้น เปลี่ยนแปลงไปอย่างนั้นก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ ถ้าจิตมันไม่ไปโง่ ไปหลงเอาธรรมชาตินั้นมาเป็นตัวตน จิตนี้ก็จะเรียกว่า หลุดพ้น ที่นี้เรามีคำว่า “โง่ขะ”ใช้แปลว่า เกลี้ยง เกลี้ยงก็คือหลุดพ้น ไม่มีอะไรเป็น ไม่มีอะไรไปแตะต้องศาตราผูกมัดรัดตรึงครอบงำอะไรไม่ได้เลย เรียกว่า มันเกลี้ยง ไม่มีอะไรมากวน
ก็อยากจะย้ำถึงคำว่า “โง่” นี่บ่อยๆ เช่นเดียวกับที่ท่านทั้งหลายก็ชอบมาบ่อยๆ ยังไม่เบื่อหน้ากัน มาทีไรก็พูดแต่เรื่องนี้คือพูดเรื่อง “โง่” แล้วก็ “เกลี้ยง” ให้ทุกคนรู้จักความเกลี้ยง แม้จะเป็นความเกลี้ยงเล็กน้อยที่ได้เพิ่งสังเกตหรือพบเห็นเป็นครั้งแรกก็ยังเป็นการดี เอาความเกลี้ยงในจิตใจเช่นนี้ติดไปบ้าง กลับไปบ้านแล้วก็ให้มันมีความเกลี้ยงอย่างนี้บ้าง นี้เรียกว่าสามารถจะพาเอาสวนโมกข์นี้ติดกลับไปบ้านได้ เอาไปคิดดูว่ามันจะมีอะไร มันก็มีอะไรที่ดีมากไปกว่าเดิม จิตที่มันเกลี้ยงอย่างนั้น คือ มีความเป็นพุทธะรวมอยู่ด้วย แล้วแต่จะมีมากมีน้อยหรือที่พูดอีกอย่างหนึ่งว่า คนก็มีเชื้อแห่งความเป็นพุทธะอยู่ในจิตแล้วด้วยกันทุกคน เมื่อได้รับคำชี้แจง อบรม ปรับปรุง พอสมควรแล้ว เชื้อแห่งความเป็นพุทธะนั้นมันงอกงาม เป็นต้นเป็นใบอะไรขึ้นมา ถ้าไม่มีเชื้อแห่งความเป็นพุทธะ มันก็งอกออกมาเป็นพุทธะไม่ได้ เดี๋ยวนี้เราก็เห็นๆ กันอยู่ว่า มันมีการงอกกันออกมาเป็นพระอรหันต์ก็ได้ จะเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ แล้วทำไมเราจะต้องเป็นคนที่เหมือนกับว่า เป็นเมล็ดพืชที่มันลีบ มันไม่มีเชื้อในเมล็ดพืชที่ลีบเอาไปฝังดิน มันก็ไม่งอกขึ้นมา ดังนั้นจะต้องถือว่า เราก็เป็นผู้มีพืชพันธุ์ที่ดี มีเชื้อแห่งความเป็นพุทธะอยู่ในจิตใจของเราด้วยเหมือนกัน ไม่ลีบ ถ้าเราไปรักษาไว้ไม่ให้มันถูกทำลาย แต่รับคำอธิบายตามที่พระพุทธองค์ทรงแนะให้แล้ว ก็เพาะปลูกให้มันงอกงาม เกิดเป็นหน่อ เป็นต้น เป็นใบ เป็นดอกออกมาที่เรียกว่า เป็นมรรคและเป็นผล ขอให้ทุกคนอย่าได้ทำลายเชื้อแห่งความเป็นพุทธะหรือจะกล่าวอย่างหนึ่งว่า เอาไปเพาะปลูกมันผิดวิธี มันก็เกิดผลตรงกันข้าม แต่ในที่สุดมันก็ต้องดิ้นรนมาหาความถูกต้องให้ได้ เพราะมันเป็นเชื้อแห่งความเป็นพุทธะ ถ้าเราเอาไปปลูกไปฝังผิดวิธีให้เหตุปัจจัยไม่ถูกต้อง มันก็จะออกมาเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม คือ เป็นความทุกข์นั่นเอง มันเป็นอวิชชา มันรู้ไม่ถูกต้อง ถ้ามันเป็นวิชชา มันเป็นความรู้ถูกต้อง มันก็ออกมาเป็นความไม่ทุกข์แล้วแต่ว่าเราจะใส่เหตุปัจจัยอะไรให้แก่เชื้อแห่งความเป็นพุทธะ คือความรู้สึกได้ เจริญงอกงามได้ อบรมบ่มได้ให้มันถูกทาง แม้จะผิดทางก็ไม่ต้องกลัว มันไปไหนไม่ได้มันต้องกลับมาหาถูก หาความถูกทางอีก แต่ว่ามันป่วยการ มันเจ็บปวด มันเสียเวลา มันไม่น่าสนุก อย่าทำให้มันผิด มีแต่มันถูกต้องเรื่อยๆ มา มันไม่เจ็บปวด มันไม่ทนทรมาน มันค่อยๆ แจ่มใสเบิกบานขึ้นมาตามลำดับ มีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องขึ้นมาตามลำดับ มีจิตใจสูงอยู่เหนือกิเลสและความทุกข์นั่นเอง อย่าได้ลืมในข้อนี้เสีย พระพุทธองค์ทรงกระทำตัวอย่างเป็นบุคคลคนแรกที่หลุดพ้นออกมาได้ ซึ่งพระองค์ได้ตรัสไว้เป็นพระพุทธสุภาษิตปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์นั้นๆ ว่า ทรงเป็นลูกไก่ตัวแรกที่ออกมาจากฟองไข่ได้ นี้หมายความว่าอย่างไร หมายความว่า สัตว์ทั้งหลายหรือชีวิตทุกชีวิต มันมีเชื้อแห่งความเป็นพุทธะ แต่มันยังออกมาไม่ได้ มันถูกห่อหุ้มไว้ด้วยฟองไข่ เปลือกฟองไข่ คือ อวิชชา ดังนั้นลูกไก่ตัวใด มันมีเหตุปัจจัยดีจนแม่ไก่กกให้ความร้อน ให้ความอบอุ่นเพียงพอแล้วก็เป็นลูกไก่ออกมาได้ พระองค์เป็นลูกไก่ตัวแรกที่ธรรมะอบรม แวดล้อมดีจนออกเป็นลูกไก่ออกมาได้จากเปลือกที่หุ้มห่อ ซึ่งได้แก่ อวิชชา นี่เราจะต้องรู้ว่าแม้แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ยังตรัสว่า ฉันก็อยู่ในสภาพอย่างนี้ แต่ว่าลูกไก่ส่วนมากมันออกมาไม่ได้ มันก็ตายอยู่ในไข่ แต่ก็มีลูกไก่ไม่น้อยเหมือนกันที่มีโชคดี มีโอกาสดี ได้เหตุปัจจัยดี ที่มีการกกฟักดีก็ออกเป็นลูกไก่ ออกมาจากเปลือกฟองไข่ได้ นี่เป็นพระอริยะเจ้าทั้งหลายที่ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้านั่นเอง
นี่ก็มาถึงพวกเราจะสมัครเป็นลูกไก่ที่ตายเน่าอยู่ในเปลือกไข่กันจะเอาไหม ก็คงไม่มีใครเอาแน่ มีแต่คนสั่นหัว แต่พอชักชวนกันว่า ช่วยกันฟักให้ดี ให้บริหารให้ดี ให้ประพฤติให้ดี ก็ชวนกันเฉยเสียอีกหรือบางคนก็ว่ายังไม่เอา พลัดเพี้ยนอยู่เรื่อยๆ ไปจนมันก็พ้นเวลาหรือว่ามันจะออกมาได้ มันก็ไม่น่าดู มันอาจจะพิการ ควรจะถือโอกาสอันเร็วอันสั้นนี่ คือเพาะ คือกกหรือฟักให้ดี ให้อบรมด้วยธรรมะให้เพียงพอถูกต้อง ก็จะช่วยให้เป็นตัวออกมาจากฟองไข่ คือ อวิชชาได้ นี้มันเป็นเรื่องของนามธรรม มันไม่ใช่เรื่องของวัตถุ ซึ่งเป็นฟองไข่ที่ให้ความร้อนเท่านั้นเท่านี้องศา แล้วภายในเท่านั้นเท่านี้วัน มันก็ออกมาเป็นตัวอย่างแน่นอนเหมือนกับเครื่องจักรแบบที่เขาฟักไข่ขาย อย่างนี้มันเป็นฟองไข่ของอวิชชาแล้วมันก็อยู่ในลักษณะที่ต่างกัน ผิดกันของแต่ละคนๆ ก็ต้องมีวิธีปฏิบัติเฉพาะตนเป็นคนๆ ไปให้ถูกต้องให้เหมาะสมตามเรื่อง เรื่องราวของแต่ละฟองไข่จึงจะออกมาเป็นตัวได้
นี้ท่านทั้งหลายจะนึกกันบ้างก็จงนึกเถอะว่า ในวันเช่นวันนี้ คือ วันวิสาขบูชานี้ ลูกไก่ตัวแรกได้ถีบกระเปาะฟองแตกกระจัดกระจายแล้วออกมาเป็นลูกไก่ก็คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างที่พระองค์ได้ตรัสไว้เองว่า ตถาคตเป็นลูกไก่ตัวแรกที่ออกมาได้ แล้วเรื่องราวก็ระบุไว้ว่า ในวันเช่นวันนี้ คือ วันที่พระจันทร์เต็มดวงอยู่ในกลุ่มแห่งดาวฤกษ์ชื่อว่า “วิสาขะ” ก็เลยเรียกว่า “วิสาขบุณมี” คือ วันเช่นวันนี้ เป็นวันที่ระลึกแก่ลูกไก่ตัวนั้น เราจะต้อนรับพระพุทธเจ้าในลักษณะนี้ไม่ได้หรืออย่างไร คือว่า ทำไมเราจะไม่กล้าคิดกล้านึกว่า เราก็จะเป็นลูกไก่ที่ถีบทำลายเปลือกไข่ออกมาเป็นตัวลูกไก่ให้ได้ นั่นจะเป็นการทำวิสาขบูชาที่มีความหมาย มีความประเสริฐสูงสุด ก็เป็นประโยชน์ที่สุดให้แก่สัตว์นั้นๆ ขอให้พยายามพิจารณาให้ลึกซึ้งลงไปยิ่งๆ ขึ้นทุกๆ ปีเถิด ก็จะสามารถทำลายกระเปาะฟองของอวิชชาได้สักวันหนึ่งเป็นแน่ และโดยเฉพาะเมื่อถึงวันเช่นวันนี้ ปีหนึ่งครั้งเดียวจะพยายามสุดความสามารถที่จะให้ทุกอย่างมันปรากฏออกมา คือ ความจริงที่ว่าอะไร เป็นอย่างไร รู้จักพระพุทธเจ้ายิ่งๆ ขึ้นไป ยิ่งขึ้นไปทุกปี พร้อมกันนั้นก็ยังรู้สึกพระธรรม พระสงฆ์ มันแยกกันไม่ได้ เป็นของเกี่ยวเนื่องกันอย่างที่แยกกันไม่ได้ ความเป็นเช่นนั้นนั่นคือพระธรรม คนที่ได้รับทีแรกก็เป็นพระพุทธเจ้า คนที่ได้รับถ่ายทอดต่อมาก็เป็นพระสงฆ์ ขาดพระธรรมเสียแล้วก็ไม่มีพระพุทธเจ้าหรือไม่มีพระสงฆ์
พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า บทสวด(นาทีที่ 54.16-54.33) ซึ่งแปลว่า คำว่าธรรมกายก็ดี คำว่ากุมมกาย(นาทีที่ 54.42)ก็ดีนี้เป็นอภิวัจนะของตถาคต อภิวัจนะนี่ เดี๋ยวนี้เขาเรียกกันในภาษาไทยว่า “ไวพจน์” คือ คำที่แทนกันได้ อย่างที่ในโรงเรียนเรียกว่า Synonym เป็นคำที่แทนกันได้ ดังนั้นจะเรียกพระองค์ว่าพุทโธหรือว่าพระพุทธเจ้าก็ได้ จะเรียกธรรมกาโยเป็นธรรมกายก็ได้ จะเรียกว่า พรหมกาโยเป็นพรหมกายบ้างก็ได้ ที่เรียกว่า ธรรมกาย นี่ก็หมายถึง กายแห่งธรรม กายที่เป็นธรรม ที่เรียก พรหมกาโย ก็กายที่ประเสริฐ กายที่เป็นพรหม กายที่สูงสุดที่ภาษาธรรมดาเขาเรียกกันว่า พระเป็นเจ้า ถ้าใครรู้จักความหมายดีก็จะรู้ว่า คำว่า “ธรรม” กับคำว่า “พรหม” นี่ก็แทนกันได้ ธรรมะ ก็คือ พระเจ้านั่นเอง หมายความว่า เป็นสิ่งสูงสุด ธรรมะนี่ก็แปลว่า ประเสริฐหรือสูงสุดเหนือสิ่งใดก็จะเรียกว่า พระเจ้าก็ได้และทั้งสองคำนี้เป็นไวพจน์ของพระตถาคต จะเรียกว่า พระตถาคต ก็ได้ จะเรียกว่าพระตถาคตนั้นว่าธรรมกายก็ได้ จะเรียกพระตถาคตนั้นว่าพรหมกายก็ได้ ดังนั้นพระตถาคตในที่นี้จึงไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่คนอย่างที่เราจะไปยึดถือเอาร่างกายเนื้อหนังของท่านว่า เป็นตถาคตเพราะพระองค์ได้ตรัสไว้ชัดว่าพรหมกาย ธรรมกายนั่นเป็นชื่อเรียกตถาคต ธรรมกายจะอยู่ที่ไหนก็กายแห่งธรรมจะอยู่ที่ไหน มันก็อยู่ที่ความถูกต้องที่ได้เกิดความรู้แจ้ง เป็นความสะอาด สว่าง สงบขึ้นมาและดับทุกข์ได้ มีอำนาจสูงสุดเด็ดขาดที่จะทำความเป็นอย่างนั้น นั่นคือ ธรรมกาย ถ้าใครมีสิ่งนี้ก็เรียกคนนั้นมีธรรมกาย มีกายธรรมะต่างหากออกไปจากกายเนื้อหนัง ร่างกายที่นั่งกินข้าวปลาอาหารเข้าไปหล่อเลี้ยงไว้ นี่ก็เรียกว่า กายเนื้อ มันเป็นเพียงเปลือกนอกที่มันเน่าเก่ง รักษาไว้ไม่ดีมันก็เน่า แต่มันก็มีประโยชน์ที่จะรักษาเนื้อในที่เป็นที่ตั้งเป็นที่ปรากฏเป็นที่ศึกษาค้นคว้าแห่งธรรมกาย ถ้าจิตใจของผู้ใดเข้าถึงธรรมะ คือ ธรรมกาย ก็จะเรียกว่า เข้าถึงความเป็นอันเดียวกันกับพระพุทธเจ้าได้ตามมาก ตามน้อยเรื่อยๆ ไปตามลำดับจนกว่าจะถึงธรรมกายอันสมบูรณ์ พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงธรรมกายก็เพื่อว่าอยากให้พวกเราประสงค์ที่เปลือกที่เนื้อหนัง เพราะนั้นมันเป็นสิ่งที่ตายได้ ท่านได้ตรัสไว้ในที่อื่นอีกว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ผู้ใดเห็นตถาคต ผู้นั้นเห็นธรรม คือ ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดไม่เห็นธรรม ผู้นั้นไม่เห็นเรา ผู้ใดไม่เห็นเรา ผู้นั้นไม่เห็นธรรม จนถึงกับให้คำเปรียบเทียบไว้ว่า แม้ว่าเขาจะจับจีวรของเราดึงไว้ แต่ว่าเมื่อเขาไม่เห็นธรรมเขาหาได้เห็นเราไม่ นี่ก็เป็นเครื่องแสดงลักษณะธรรมกายอันหนึ่งซึ่งว่า ถ้าผู้ใดเห็นแล้วก็จะเป็นอันว่าเห็นพระตถาคตด้วย จึงเป็นการตรงกับพระพุทธสุภาษิตที่ตรัสว่า คำว่าธรรมกายก็ดี คำว่าพรหมกายก็ดีเป็นไวพจน์ของตถาคตดังนี้ ส่วนเนื้อหนังร่างกายนั้นใครๆ ก็เห็นแต่แล้วก็ไม่เห็นพระองค์ที่เป็นพระพุทธเจ้าจริงๆ ดังนั้นจึงปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ที่เชื่อถือได้ว่า ในประเทศอินเดีย ในสมัยพุทธกาลนั้นก็มีคนด่าพระพุทธเจ้าหลายปริยายด้วยกัน ที่ถูกด่ามากก็ดูเหมือนจะถูกด่าว่าคนหัวโล้นที่ดีแต่ทำให้พวกผู้หญิงเป็นหม้าย ก็ไปเปิดดูในพระวินัย มีคำด่าพระพุทธเจ้าอย่างนี้ เพราะถ้าการที่เขาไปบวช เขาก็เป็นหม้าย เขาไปยกโทษให้พระพุทธเจ้าก็ดีแต่ทำให้คนเป็นหม้ายเพราะว่ามีพระสาวกผู้ชายไปบวชเป็นจำนวนร้อย จำนวนพันอย่างนี้เป็นต้น ถ้าเขามองเห็นรูปร่างของพระพุทธเจ้าและก็รู้จัก เขาคงจะไม่เข้าใจอย่างนั้นหรือว่าบางทีก็มีคนคิดทำลายพระพุทธเจ้า จ้างคนมาปลงชีวิตพระพุทธเจ้าอย่างนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้จักพระพุทธเจ้าหรือเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้ใหม่ๆ เดินสวนทางกับนักบวชนิกายหนึ่ง เขาก็ไม่รู้ว่า นี่เป็นพระพุทธเจ้า โต้ตอบกันสองสามคำ เขาก็กล่าวขึ้นมาอย่างมากแต่เพียงว่า เออ, เห็นน่าจะเป็นได้ แล้วเขาก็หลีกไป เขาก็ไม่ยอมเชื่อว่า นี่เป็นพระพุทธเจ้า การเห็นด้วยตาตามธรรมดาก็ไม่มีทางที่ทำให้รู้จักพระพุทธเจ้าเพราะไม่เห็นธรรมกาย นี่ท่านทั้งหลายยังเห็นพระพุทธรูปแล้วเห็นพระพุทธเจ้าอย่างนี้ มันก็ยังไกลเพราะว่าคนที่เห็นเนื้อตัวแท้ๆ ที่ยังเดินได้ในประเทศอินเดียสมัยนั้นแท้ๆ ก็ยังไม่เชื่อว่าเห็นพระพุทธเจ้า ดังนั้นควรจะนึกกันให้มาก อย่าได้ประมาทเลยว่าเราจะมีดูกันแต่พระพุทธรูปอย่างที่อยู่บนโต๊ะนี้ที่จะเห็นพระพุทธเจ้าได้โดยวิธีใด ก็มีแต่ว่ามองให้ลึกซึ้งให้ทะลุพระพุทธรูป ให้ทะลุเนื้อหนังร่างกาย ซากศพไปจนถึงในภายใน คือ จิตใจที่ประกอบอยู่ด้วยธรรมกายหรือจะถือว่าเป็นธรรมกายที่มีอยู่ทั้งเนื้อทั้งตัวของพระองค์ก็ได้ แต่มันไม่ใช่เนื้อตัว มันเป็นอะไรอันหนึ่งต่างหากที่มีอยู่ ปรากฏอยู่ได้ทั่วไปที่เนื้อที่ตัวของพระองค์นั่นคือ ธรรมกาย ถ้าเราเห็นสิ่งนี้เราก็เห็นพระพุทธเจ้าและจะมีโอกาสมากไปกว่านั้นก็คือว่าเราสามารถที่จะมีธรรมกายอย่างเดียวกับที่พระพุทธเจ้าท่านมี จากนี้ก็เรียกไปว่า เราก็เป็นพระพุทธเจ้าได้เองและมากขึ้นๆ เพราะว่ามีธรรมกายตามมากตามน้อยกว่าจะถึงที่สุด มีคำกล่าวในที่หลายแห่งที่แสดงว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่หวงลิขสิทธิ์ ไม่หวงกรรมสิทธิ์อะไรต่างๆ ในการที่จะไม่ให้ใครบรรลุธรรมะอย่างเดียวกับที่พระองค์มีหรือบรรลุก็เห็นได้ชัดแล้วว่า ทรงสั่งสอนอยู่ตลอดเวลาให้คนเห็นธรรมกาย ให้คนมีธรรมกาย ให้เป็นธรรมกายเสียเอง
เนื่องในโอกาสวันวิสาขบูชานี้ อาตมาก็พยายามอย่างยิ่งที่จะให้ท่านทั้งหลายรู้จักพระพุทธเจ้าในแง่หนึ่งมุมหนึ่งที่แปลกออกไปว่า เป็นธรรมกายที่จะมองเห็นได้ในที่ทุกหนทุกแห่งถ้ารู้จักมอง เพราะว่าธรรมะนั้นคือความจริง ธรรมกายนั้นก็คือความจริง มันเป็นตัวแห่งความจริง มองเห็นความจริงนี้แล้วก็เชื่อว่า เห็นธรรมกาย มองข้างนอกไกลออกไปมันลำบาก มันเห็นยาก สู้มองข้างในไม่ได้ มองที่เนื้อที่ตัว ที่สังขารร่างกาย มองที่จิตที่ใจจนรู้จักว่า อะไรเป็นอะไรอย่างถูกต้องตามที่เป็นจริง แล้วความจริงนั่นมันจะแสดงผลออกมา แสดงฤทธิ์เดชออกมาขจัดความโง่ โมหะ อวิชชาต่างๆ ได้ เกิดความรู้แจ้งในความถูกต้องทั้งหลายเหล่านี้เป็นผู้มีความคิดเห็นถูกต้องที่เรียกว่า “สัมมาทิฐิ” เป็นเบื้องต้น นี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมกายและก็มีสัมมาสังกัปโป ปรารถนาใฝ่ฝันได้ถูกต้องตามอำนาจของสัมมาทิฐินั้น นี้ก็เป็นธรรมกาย มันก็มีการพูด การกระทำ การเลี้ยงชีวิต ความพากเพียรพยายามต่างๆ ถูกต้อง แม้นี้แต่ละอย่างๆ ก็เป็นธรรมกาย ถ้ามีสติถูกต้องมีสมาธิถูกต้องอยู่เป็นประจำก็มีความก้าวหน้าไปในทางที่จะส่งเสริมให้ความถูกต้องนี้มันยิ่งๆ ขึ้นไปเป็นความถูกต้องถึงที่สุดเมื่อไรก็เป็นธรรมกายที่สมบูรณ์ จิตที่ลุถึงธรรมกายหรือกลายเป็นธรรมกายไปเสียเองอย่างนี้ก็มีความเป็นพุทธะที่เบิกบานถึงที่สุด ก็แปลว่า จิตนั้นได้รับสิ่งที่ดีที่สุด คือ ได้มีการวิวัฒนาการจนถึงจุดสูงสุดที่มันจะดีที่สุด นี้ก็คือ บุคคลที่สมมติกันว่าเป็นเจ้าของจิตนั้น คือ เป็นตัวผู้นั้น นั่นก็ปล่อย สมมติว่าได้รับสิ่งที่ดีที่สุดไปตามด้วย เขาเกิดมาก็ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ นี้ไปตั้งสมมติว่ามันมีคน แต่ถ้าฝ่ายที่ไม่สมมติก็มีแต่จิตที่เป็นสังฆธรรมอันหนึ่งก็วิวัฒน์มาด้วยดี คือว่า ได้รับการอบรมเจริญธรรมะมาเป็นอย่างดีแล้วมันก็เปลี่ยนไปจนถึงที่สุดอย่างนั้น แล้วก็อย่าได้ถือว่าเป็นอัตตาเป็นตัวตนอะไร เพราะว่ามันเป็นเรื่องพูดความจริง แต่ถ้าพูดอย่างสมมติ พูดอย่างชาวบ้านก็เรียกว่า ตัวตนได้ คือ ตัวตนนั่นแหละไปลุถึงความจริง ได้รับประโยชน์สูงสุด บรรลุมรรคผล นิพพาน คำพูดนี้มันดิ้นได้ มันกำกวม บางทีเราต้องพูดว่า ตัวตนทั้งที่ความจริงก็มองเห็นอยู่ว่าไม่ใช่ตัวตน มันเป็นเพียงธรรมชาติ เป็นรูปเป็นนามเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัยอยู่เนืองนิตย์อย่างนี้ ถ้าถูกทางมันก็สูงขึ้น เจริญขึ้นไปในทางที่เรียกว่าสูงและก็สูงสุดอยู่เพียงความหลุดพ้นเท่านั้นเอง
เดี๋ยวก็มาถึงคำว่าโมกขะอีก โมกขะหรือโมกษะก็ได้ หลุดพ้นออกไปได้ มันไม่อยู่ภายใต้ความโง่ของสิ่งที่เรียกว่า “อวิชชา” นี่เรียกว่า ธรรมกายปรากฏแล้วมันก็ต้องเป็นอย่างนี้ คือ เป็นลูกไก่ที่ทะลายกระเปาะฟองออกมาได้ตามลำดับๆ ตามหลังลูกไก่ตัวแรก คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง อันนี้เรามากำหนดพิจารณาธรรมในใจถึงลูกไก่ตัวแรก คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นกันให้มาก นี่สูงสุดให้ถึงที่สุดก็จะไม่เสียทีที่ประกอบพิธีวิสาขบูชา ความยากลำบากทั้งหลายนั้นก็กลายเป็นเรื่องน่าพอใจ เพราะว่ามันเป็นไปเพื่อความเจริญก้าวหน้าในการที่จะทำลายเสียซึ่งเปลือกไข่ คือ อวิชชาที่หุ้มห่อดวงจิตไว้
หวังว่าท่านทั้งหลายที่รู้จักพระพุทธเจ้าในฐานะที่เป็นธรรมกาย คือ กายธรรมบ้าง ลุเป็นธรรมกายคือ กายอันประเสริฐบ้าง และว่ามันมีโอกาสสำหรับเราทั้งหลายที่จะถึงธรรมกายหรือพรหมกายนั้นตามพระพุทธเจ้าไปได้ตามลำดับๆ ไม่เสียทีที่ได้รับสมมติว่า เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนาโดยนัยยะ ดังที่วิสัชนามาก็สมควรแก่เวลา ขอยุติธรรมเทศนาในตอนนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้