แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
..ไปด้วยรถไฟ ไปนั้น มันเป็นเรื่องชั่วขณะๆ ไม่ใช่เดินอยู่ตลอดปี นั่นก็น่าเลื่อมใสผู้ที่เขาเดินอยู่ได้ตลอดปี เที่ยวจารึกสั่งสอน ถ้าครั้งพุทธกาลก็จำเป็นมาก มันไม่มีอุปกรณ์สื่อสาร อันนี้ก็เป็นวิธีการเผยแผ่อันหนึ่ง จารึกสั่งสอน
ทีนี้สิ่งถัดไปเรียกว่า การเปิดห้องสมุด เปิดห้องอ่านหนังสือ เปิดที่ เปิดอะไรที่มันเป็นเรื่องให้ความรู้ เรียกเปิดห้องสมุด ก่อนนี้มันไม่มีเพราะมันไม่มีสมุด ไม่มีหนังสือ เดี๋ยวนี้มันมีหนังสือมากขึ้น ก็เลยใช้วิธีนี้ขึ้นอีกวิธีหนึ่ง มีเปิดห้องสมุดห้องอ่านหนังสือ และก็ต้องรู้จักการเลือกหนังสือที่จะไม่ให้โทษแก่ผู้อ่าน นี่มันน่าหัวแล้วว่า ผู้อ่านมันก็อยากอ่านแต่หนังสือให้โทษนี่ ซึ่งมีคนสังเกตมาแล้ว ไอ้เราก็ไม่อยากให้ผู้อ่านได้อ่านหนังสือที่ให้โทษ เราก็เลยขจัดหนังสือให้โทษออกไปเสีย เอาไปเผาเสีย แต่ผู้อ่านมันก็อยากจะอ่านหนังสืออ่านเล่น อ่านหนังสือเหลวไหล อ่านหนังสือให้โทษ อะไร เอาไปเถอะ ระวังให้ดี จะเปิดห้องสมุดแล้วก็อย่าให้มันเป็นการแจกยาพิษ เพราะหนังสือนี้เหมือนกับยาพิษไปใส่เอาไว้
นี้ถัดไปอีก ก็อยากจะระบุไอ้เครื่องมือวิเศษสมัยใหม่ เช่น เครื่องกระจายเสียงหรือว่าโทรทัศน์ อะไรต่างๆ เหล่านี้ นี่เป็นอุปกรณ์วิเศษชั้นที่เรียกว่าเหมือนจะเป็นของทิพย์ ไม่ว่าจะเป็นวิทยุกระจายเสียงหรือเป็นโทรทัศน์ก็ตาม แต่แล้วมันก็ยังน่าเศร้าที่ว่าไอ้เครื่องวิทยุหรือว่าโทรทัศน์ในโลกเวลานี้ มันใช้เป็นยาพิษเสีย คุณไปสำรวจ พยายามสำรวจทั่วโลกก็ได้หรือในประเทศไทยโดยเฉพาะก็ได้ ว่าวิทยุกระจายเสียงหรือว่าโทรทัศน์นี่มันใช้หว่านยาพิษเสีย มันไม่ได้หว่านธรรมะ เพราะว่าประชาชน ผู้ฟัง ผู้ดู มันชอบแต่อย่างนั้น ไอ้ผู้จัดรายการมันก็คล้อยตามความต้องการของประชาชน เพราะนั้นไอ้เรื่องที่จะไปส่งไปออกนั้นมันก็เป็นเรื่องธรรมะน้อยหรือบางทีก็ไม่เป็นธรรมะ เมื่อเอามาบวก มาลบ มาอะไรกันแล้วมันกลายเป็นเรื่องลบไป คือมันเป็นยาพิษเสียมากกว่า เพราะนั้นน่าเสียดายที่ว่าอุปกรณ์อันวิเศษที่สุดนี่มันถูกใช้ไปในทางหว่านยาพิษ ทั่วๆ ไปทั่วๆ โลกนี่มันใช้เป็นเครื่องมือการเมือง การเมือง ก็คือเครื่องมือสำหรับจะฆ่ากัน จะเอาเปรียบกัน ทำลายกัน ใช้วิทยุกระจายเสียงเพื่อประโยชน์การเมือง เศรษฐกิจ ทหาร อะไรก็ตาม ที่ว่าจะให้การศึกษาให้การเผยแผ่นี่ มันเป็นการศึกษาที่เป็นบริวารของการเมือง วิทยุที่มันเป็นอิสระอย่างนี้มันก็ เป็นเรื่องเพลง เป็นเรื่องดนตรี อะไรมากเกินไป เราไม่มีปัญญาที่จะไปควบคุมเขา แต่ถ้ามีโอกาสจะใช้ก็ใช้ได้ ที่ผมว่าผมไม่ยอมให้มีเครื่องส่งกระจายเสียงที่นี่ แต่ไม่ได้หมายความว่าผมเกลียดมันหรือว่าจะไม่ยอมใช้มัน ถ้าถึงคราวที่จะต้องใช้มันมีประโยชน์บ้างก็ใช้เหมือนกัน อย่างที่เขาเอาบันทึกเทปของผมไปออกวิทยุกระจายเสียง ก็ไม่ได้ขัด ไม่ได้ห้ามอะไร ไม่ได้ตำหนิว่าผิดอะไร แต่ที่ให้มาทำเองนั้นมันเกินไป มันจะทำให้ยุ่งจนในส่วนอื่นเสียไป
นี้ถัดไปจะอีกเรียกว่า งานแสดงต่าง ๆ ที่เราจัดให้มีการแสดงอะไรต่าง ๆ ขึ้นเป็นพิเศษ เป็นครั้ง เป็นคราว แสดงวัตถุ แสดงสิ่งของ แสดงอะไรก็ได้ ที่คนมาดูแล้วฉลาดขึ้นนั่นก็ใช้ได้ แม้แต่จะแสดงต้นไม้ ถ้าว่ามันมีคนมาดูแล้วฉลาดขึ้น นั่นก็เรียกว่านั้นเป็นการแสดงที่มีประโยชน์ หรือว่าแสดง การแสดงต่าง ๆ แม้จะเป็นการแสดงงานประจำปี หรือว่าชั่วครั้งชั่วคราวอะไร มันก็มีประโยชน์
ทีนี้สิ่งถัดไปนี่ระบุไปยังศิลปะ ไอ้ ศิลปะ นี่หมายถึงว่า สิ่งดึงดูดใจแต่ไม่ใช่เป็นไปในทางลามก อนาจาร ศิลปะเดี๋ยวนี้เป็นไปในทางลามก อนาจารหมดทั่วทั้งโลก ก่อนนี้เขาใช้ศิลปะเพื่อดึงดูดใจมาหาความดี มาหาความ สะอาด สว่าง สงบ ใช้ศิลปะดึงคนมาสวดมนต์ไหว้พระนี่ เขาทำกันอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ศิลปะถูกใช้ไปในทางลามก อนาจารโดยไม่รู้สึกตัว เป็นกันเสียอย่างนี้ แต่ถ้ารู้จักใช้มันก็ยังเป็นประโยชน์อยู่ และคำว่าศิลปะนี้มันก็กว้าง จะเป็นการเขียนภาพก็ได้ เป็นการเสียงไพเราะทางหูก็ได้ หรือการแสดงอย่างอื่นๆ ก็ได้ แต่ขออย่างเดียวว่า ให้มันเป็นไปเพื่อขูดเกลากิเลส อย่าเป็นไปเพื่อส่งเสริมกิเลส
ทีนี้สิ่ง สิ่งถัดไปอีกก็เรียกว่า ของเล่น นี้ฟังแล้วก็ไม่ ไม่น่าเชื่อ ไอ้ของเล่นในที่นี้หมายถึง ไอ้สิ่งที่ทำให้เกิดความบันเทิงเพลิดเพลินเจริญใจเรียกว่าของเล่น จะเป็นเล่นหนัง เล่นละคร เล่นอะไรก็ได้ ขออย่างเดียวแต่อย่าให้มันส่งเสริมกิเลส ให้มันแก้ไขกิเลส กระทั่งของเล่นๆ อย่างเด็กๆ เล่นนี้ก็ได้ ถ้ามันจัดขึ้นแล้วมันให้ความรู้ให้ความฉลาด มันช่วยแก้ไขกิเลสไอ้ของเล่นนั้นมันก็มีประโยชน์ แต่เดี๋ยวนี้เห็นกันอยู่แล้วว่าบรรดาของเล่นทั้งหลายมันส่งเสริมกิเลสกันเสียทั้งนั้น อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้โง่ สนุกเกินไปจนโง่ จัดงาน แม้จัดงานในวัดในวา อาราม นี่มันสนุกเกินไปจนหลง จนโง่ จนพลัดไปในทางของกิเลส อย่างนี้ ของเล่นอย่างนี้ก็ให้โทษ อาจจะจัดเสียใหม่บ้าง เพราะว่าของเล่นก็มีอำนาจเหนือจิตใจของมนุษย์อยู่ชั่วกัลปาวสาน ไม่ ไม่ ไม่เลิก เพราะนั้นถ้าเราจะใช้ของเล่นให้เป็นประโยชน์ในการเผยแผ่ธรรมะ ก็ต้องจัดของเล่นให้มันเข้ารูปกัน เข้ารูปเข้ารอยกับธรรมะ แต่คงจะจัดยากเหมือนกัน
ทีนี้ก็มีการแยกแยะให้เห็นแปลกออกไปเป็นส่วนรายละเอียด เช่นว่า การแสดงปาฐกถา การสนทนา การโต้วาทีกัน อะไรต่าง ๆ นี้มันมีหลาย ๆ แบบ เราก็ควรจะเลือกดู ถ้าการแสดงปาฐกถาไม่สนุกก็จัดเป็นการอภิปราย การโต้วาที หรือการพูดอย่างอื่น หรือว่าการประกวดข้อความ การประกวดการเขียน ประกวดต่าง ๆ ให้มันเอามาเผยแผ่มาแสดงกัน มันก็จะเป็นเหตุให้ได้ยินได้ฟัง ทีนี้การถ่ายทอดให้เป็นภาษาต่างประเทศ นี่ก็อยู่ในพวกการเผยแผ่ให้ได้ยินได้ฟัง ถ้าเรื่องนั้นมันดี มันก็ต้องมีคนถ่ายทอดไปสู่ภาษาต่างประเทศนี้เป็นแน่นอน ทีนี้ว่าทำเป็นโดยอ้อมยิ่งขึ้นไปก็มี เช่นการจัดตั้งโรงเรียน อย่างนี้ ก็เป็นเรื่องการให้ได้ยินได้ฟังธรรมมะได้ นี้พวกคริสตังเขาใช้อยู่มาก เขาตั้งโรงเรียนสอนหนังสือเด็กในวิชาสามัญ แต่ได้ประโยชน์อีกส่วนหนึ่งซึ่งเขาได้ก็คือการสอนธรรมะ สอนศาสนาไปในตัว อย่างนี้เรียกว่าให้ได้ยินได้ฟังธรรมะในพระศาสนาด้วยการตั้งโรงเรียน ถ้าไม่มาตั้งโรงเรียนคนก็ไม่มา เพราะเขาอยากจะเรียนมากกว่า แต่ถ้าเขามาก็ได้เรียนก็เลยให้ความรู้ในทางธรรม ทางศาสนาออกไป แม้ที่สุดแต่การตั้งโรงพยาบาลให้ทานหยูกยา อะไรนี่ก็เหมือนกัน คนทางศาสนาคริสเตียนเขาก็เคยใช้กันอยู่มาก เป็นอันว่าการทำให้ได้ยินได้ฟังนี้มีมากมายหลายสิบชนิด นี่ยกมาให้ดูเป็นตัวอย่าง
อ้าว, ทีนี้ถึงพวกที่ ๒ ที่ว่า การทำให้ดู ไม่ได้ อันแรกนั้นการทำให้ได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็น ทีนี้การปฏิบัติให้ดู เราต้องปฏิบัติธรรมมะอย่างใดอย่างหนึ่งให้ดู อยู่ที่เนื้อที่ตัวของเรา เป็นพระเป็นเณร เช่นว่าเราศึกษาไม่เหลวไหล พระเณรทุกองค์เรียนในโรงเรียนของวัดวาอารามด้วยความขยันขันแข็งไม่เหลวไหล เท่านี้ก็เป็นการเผยแผ่ธรรมะ เผยแผ่ศาสนา คือ เผยแผ่ความขยันขันแข็ง ความไม่เหลวไหล ข้อนี้พระเณรเราทำได้ดี เรียนบาลีเรียนนักธรรมนี้เรียนอย่างขยันขันแข็งกว่าที่เขาเรียนอย่างโลกๆ ทีนี้ปฏิบัติธรรมะนั่นนะให้ดูทั้งอย่างธรรมดา ทั้งอย่างเคร่งครัด ถ้าเป็นบรรพชิตก็ปฏิบัติหน้าที่ของบรรพชิต ถ้าเป็นฆราวาสก็ปฏิบัติหน้าที่ของฆราวาส แต่ปฏิบัติธรรมะด้วยกันทั้งนั้น ให้ดูทั้งอย่างเคร่งครัดและอย่างไม่เคร่งครัด ทีนี้มันยังมีว่าจะต้องระมัดระวัง ปลีกย่อยออกไปอีก ซึ่งเป็นธรรมะที่ปลีกย่อยออกไปอีกเช่นว่า เราจะต้องสามัคคี ภิกษุสามเณรในวัดนี่สามัคคี ก็เป็นเรื่องสอนสามัคคี ชาวบ้านเห็นเข้าก็ชอบความสามัคคี แต่ถ้าว่าพระเณรมาชกมาต่อยกันเสียเอง กระทั่งทำอันตรายกันถึงตายซึ่งมีอยู่บ่อยๆ เมื่อเร็ว ๆ นี้ก็มี ถ้าพระเณรชกต่อยกันถึงตายหรือว่าไม่สามัคคีด้วยวิธีอย่างใดอย่างหนึ่ง มันก็ไม่สอนสามัคคี เพราะนั้นขอให้อดกลั้นอดทน อย่างไร อย่างไรก็แสดงความสงบเสงี่ยม ความสามัคคี ความอะไรให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ชาวบ้าน นี้เรียกว่าปฏิบัติให้ดู
ข้อปลีกย่อยของผมมีไปกระทั่งถึงว่าเราจะทำด้วยการพิสูจน์ให้เห็นว่าเราทำได้ เราต้องทำได้ มนุษย์ต้องทำได้ เมื่อเขาพูดกันว่าไม่มีใครปฏิบัติให้บรรลุมรรคผลได้ เราจะพยายามพิสูจน์ให้เห็นว่าปฏิบัติได้ การปฏิบัติให้บรรลุมรรคผลนี้เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ หรืออย่างน้อยที่สุดก็พยายามพิสูจน์ว่าปฏิบัติได้มากกว่าที่ปฏิบัติกันอยู่ ที่เขาว่าปฏิบัติกันได้มากแล้ว พอแล้วนั้น เราจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเรายังปฏิบัติให้ได้มากกว่านั้นนี่ นี่มันก็เป็นการสอนที่ดี คือสอนให้ไม่ท้อแท้ ไม่ให้ท้อถอย ให้บากบั่น ให้ก้าวหน้า กระทั่งว่าเป็นที่พึ่งแก่ศัตรู ให้อภัยแก่ศัตรูนี่ ทำยากมาก เดี๋ยวนี้มาเป็นศัตรูกันเสียเอง ไม่สมัครสมานสามัคคี ไม่ให้อภัยแก่ศัตรู เพราะนั้นลองทำตัวให้เป็นผู้ให้อภัยแก่ศัตรู กระทั่งช่วยเหลือศัตรู นี่จะเป็นการสอนที่ประเสริฐที่สุด คือไม่อิจฉา ไม่ริษยา ไม่อะไรที่มันเป็นการผิดธรรมะ ถ้าจะจำแนกโดยรายละเอียดแล้วมันมีหลายสิบอย่าง หลายร้อยอย่างในการที่จะปฏิบัติให้ดู ล้วนแต่ทำยากยิ่ง ๆ ขึ้นไป เดี๋ยวนี้แม้แต่จะแสดงตัวอย่างของความสามัคคี พระเราก็ยังแสดงไม่ค่อยจะได้ ประเทศชาติบ้านเมืองต้องการความสามัคคีอย่างยิ่ง พระเณรเราก็ยังช่วยไม่ค่อยจะได้ นี่เพราะว่าเรามันไม่ได้บังคับตัวเองให้มากในส่วนนี้ เพราะนั้นการทำตัวอย่างให้ดูมันจึงมีไม่ค่อยได้
แล้วทีนี้มาถึงส่วนที่ ๓ ที่ว่าการเผยแผ่ธรรมะโดยการมีความสุขให้ดู จะให้ตัวอย่างรายละเอียดพอเป็นทางสังเขป ก็อย่างเรื่องยกมาแล้วว่า พระอัสสชิ เผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยการมีความสุขให้ดู ผู้เห็นเข้าก็ร้องอยู่ว่า มีอินทรีย์เยือกเย็น มีอินทรีย์น่าเลื่อมใส รู้สึกเป็นสุขด้วยขึ้นมาทันที อย่างนี้ เผยแผ่ด้วยการมีความสุขให้ดู กระทั่งว่าเราอยู่ตลอดเวลามีแต่ความสุข ไม่เดือดร้อนในกรณีที่ผู้อื่นเดือดร้อน ในกรณีที่ผู้อื่นอดกลั้นไม่ได้ เราอดกลั้นได้ ในกรณีที่เขาเป็นทุกข์เราไม่เป็นทุกข์ คนธรรมดาขี้มักยอมแพ้ง่าย ยอมเป็นทุกข์ ยอมร้องไห้ยอมอะไรต่าง ๆ ว่าทุกข์ไม่ไหวแล้ว มันเหลือเกินแล้ว ฉันทนไม่ไหวแล้ว ต้องเป็นทุกข์ แต่เราก็พยายามที่จะไม่เป็นทุกข์ให้ดูในกรณีที่ผู้อื่นเขาเป็นทุกข์ ในกรณีที่ผู้อื่นเขาร้องไห้เราไม่ร้องไห้ ในกรณีที่ผู้อื่นเขากลัวเราไม่กลัว หรือว่าในกรณีที่ผู้อื่นทำไม่ได้เราทำได้ นี้เป็นต้น จนกระทั่งสามารถจะพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่มีอันตรายอะไรที่จะมาย้ำยีจิตใจของเราได้ ทำให้เห็นว่าเราอยู่เหนืออันตรายทั้งปวง สิ่งที่มนุษย์เรียกกันว่าอันตราย หมายถึงสิ่งที่มาทำให้จิตใจเสียสภาพปกติ ให้เป็นทุกข์ อันตรายข้างนอก เช่น สัตว์มีอันตราย คนมีอันตราย หรืออันตรายข้างในคือ กิเลส อะไรก็ตาม เราก็จะเป็นผู้ที่ชนะอันตราย อยู่เหนืออันตรายให้ดู มันสูงขึ้นไปเหลือเกิน นี่
กระทั่งข้อสุดท้ายก็อยากจะพูดว่า มีอำนาจเหนือกรรมให้ดู พูดแล้วเดี๋ยวจะไม่เชื่อ เพราะว่าคนทั้งหลายนี่มัวแต่พูดว่าเราต้องเป็นไปตามกรรม พวกพระก็มัว มัวสวดแต่ว่า เราทำกรรมใดไว้เราจะต้องเป็นไปตามอำนาจแห่งกรรมนั้น ใช่ไหม แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนเพียงเท่านั้น ท่านสอนวิธีที่จะอยู่เหนือกรรมได้ เหนือกรรมดี กรรมชั่ว ไม่เวียนว่ายไปตามกรรมได้ เพราะนั้นถ้าผู้ใดไม่หวั่นไหวไปตามผลของกรรมดี กรรมชั่วอะไรก็ตาม มีความเป็นอิสระอยู่เหนือการปรุงแต่งของกรรม ของผลกรรมได้นั้นก็เป็นตัวอย่างที่ดีในข้อที่ว่ามีความสุขให้ดูถึงขนาดที่ว่าอยู่เหนือผลกรรมได้ นั่นนะ พูดเพียงเท่านี้ก็ควรจะทราบกันได้ทุกคนว่ามันหมายถึงความสิ้นกิเลสอาสวะ หรือเป็นพระอรหันต์ นั่นแหละจึงจะอยู่เหนือกรรมได้ แต่สำหรับผู้ที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ยังเป็นคนธรรมดา ยังเป็นไปตามกรรมนี้ก็ยังทำได้ ถ้าเมื่อกรรมมันมาถึงเข้าเราจะไม่ ไม่หวั่นไหว จะไม่ยอมแพ้ จะไม่ยอมแพ้แก่ผลกรรมที่มาบีบคั้นนี้ แต่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ จะทำอย่างพระอรหันต์หรือทำตามพระอรหันต์ นี้ก็เป็นการเผยแผ่ที่ดีสูงสุด สุดยอดก็เพียงเท่านี้ ไม่มีอะไรสูงไปกว่านี้ มันเป็นการเผยแผ่ด้วยการทำตนเป็นผู้มีความสุขให้ดู แล้วความสุขก็มันมีหลายชั้น หลายชั้นจนกระทั่งอันดับสุดท้ายว่าเหนือกรรม หรือว่าชนะกรรมให้ดู ก็เป็นอันว่ามันหมดแล้ว วิธีการเผยแผ่ประเภทที่ ๓ มีความสุขให้ดู ก็ไปดูทบทวนดูเองก็แล้วกันว่า ทำให้ได้ยินได้ฟัง แล้วก็ แสดงตัวอย่างให้ดู และอันที่ ๓ ก็มีความสุขให้ดู มันมีน้ำหนักสูงขึ้นไปตามลำดับ ทำให้ดูมีน้ำหนักมากกว่าสอนแต่ปาก ไอ้สอนแต่ปากมันก็ ก็ได้เหมือนกัน ยังดีกว่าไม่สอนเสียเลย แต่ถ้าสอนไม่สอนแต่ปาก ทำให้ดูด้วยก็ได้ ก็ยิ่งดี ที่ว่าทำดูแต่ยังไม่ได้พิสูจน์ ผลสำเร็จมันก็ยังไม่ถึงที่สุด เพราะว่ามีความสุขให้ดู อยู่เหนือกรรมให้ดู ก็เลยถึงที่สุด นี่การเผยแผ่ไปได้ไกลอย่างนี้
อ้าว, ทีนี่ถวายความรู้อีกอันหนึ่งก็มีว่า จะต้องทำให้ถูกกับเรื่องราวของบุคคลนั้นๆ ตัวเราเป็นผู้เผยแผ่ เป็นผู้สั่งสอน อีกฝ่ายเป็นผู้ฟังผู้รับคำสั่งสอน เราจะต้องทำให้ถูกตามเรื่องราว ตามลักษณะ สภาพ หรือสถานะ อะไรของบุคคลนั้นๆ นี่ตัวอย่างเช่นว่า เขาอยู่ในสถานการณ์อย่างไร เราต้องสอนให้มันเป็นประโยชน์ในสถานการณ์อย่างนั้น ก็เรียกว่าตามสถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่อย่างไร ให้มันถูกต้องกับสถานการณ์นั้นๆ แล้วก็ให้ถูกต้องตามวัย ตามอายุ เด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่ นี่ก็ระวังให้ดี อย่าให้มันไปสับกัน นี่เรียกว่าให้มันถูกต้องตามวัย ตามอายุ ทีนี้อันที่ ๓ ให้มันถูกต้องตามหน้าที่การงานของเขา คนมีหน้าที่การงานในโลกนี้แตกต่างกัน นี่เผยแผ่ธรรมะให้แก่เขาต้องให้ถูกต้องตามหน้าที่การงานของเขา
ข้อแรก ว่าให้ถูกต้องตามสถานการณ์ที่แวดล้อมในเวลานั้น เดี๋ยวนี้มันก็พอจะเข้าใจได้ โลกนี้มีสถานการณ์แปลกๆ เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ประเทศไทยเราก็เหมือนกัน ในบางคราวอยู่ในสถานะสงคราม อะไรมันก็ยุ่งยากลำบากขาดแคลน การสอนธรรมะก็ต้องช่วยแก้ปัญหาข้อนั้น ให้เหมาะสมกับสถานการณ์นั้นๆ ทีนี้บางคราวมันก็อยู่ในสถานการณ์ปกติ ไม่มีสงคราม มันก็มีปัญหาอย่างอื่น ก็ต้องสอนให้มันถูกกับสถานการณ์นั้นๆ บางทีอยู่ในภาวะคับขันอย่างใดอย่างหนึ่ง เดี๋ยวนี้ยกตัวอย่างเรื่องหยก ๆ นี่อย่างว่า มันไม่มีน้ำมันจะใช้ อย่างนี้ ก็ต้องสอนให้รู้จักเอาชนะให้ได้ถ้ามันไม่มีน้ำมันจะใช้ขึ้นมาจริงๆ จะทำอย่างไร โดยที่ไม่ต้องมีน้ำมันใช้เราก็อยู่ได้ เราก็ไม่เสียหายอะไร หรือว่าเราจะต้องประหยัดสักเท่าไรมันจึงจะอยู่ไปได้ หรือว่าถ้ามันไม่มีเลยจริงๆ เราจะต้องต่อสู้อย่างไร ท่านเจ้าคุณชยาภิวัฒน์ องค์ที่ล่วงลับไปแล้วเคยบอกว่า บางทีต้องเรียนหนังสือด้วยการเผาใบไม้ขึ้นให้ลุก มีแสงสว่างพอดู หนังสือเห็นทีหนึ่งก็ท่องไปทีหนึ่ง อย่างนี้ก็มี อย่างนี้ถ้า ถ้าเป็นอย่างสมัยนี้ก็ ก็เลิกกันหมดใช่ไหม เดี๋ยวนี้เรียนหนังสือด้วยไฟฟ้า มีตะเกียงมันก็ยังเหลวไหล ถ้าถึงขนาดที่ว่าจะต้องเผาใบไม้ จุดใบไม้แห้งๆ ขึ้นส่องหนังสือทีหนึ่งแล้วท่องไปทีหนึ่งเขาคงไม่ทำกัน เดี๋ยวนี้น้ำมันขาดแคลนในประเทศนี้หรือว่าทั้งโลกนี้ แต่มันยังไม่ถึงขนาดนั้น เพราะนั้นมันก็ต้องรู้จักทำให้ประชาชนเขารู้จักแก้ปัญหา หรือว่าแก้ไขสถานการณ์ แม้จะว่าน้ำมันขาดแคลนหรืออะไรขาดแคลนก็ได้ อย่าให้มันมีปัญหา อย่าให้มีความทุกข์ อย่าให้ต้องมาเดือดร้อน หรือถึงกับร้องไห้ เดี๋ยวนี้คนมันโง่ถึงขนาดว่าหมูแพงมันจะบ้าตายแล้ว เพียงแต่หมูแพงอย่างเดียวมันจะบ้าตายแล้ว มันก็ต้องมีเคล็ด มีแง่ มีอะไรที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ล่วงลุ ให้ลุล่วงไปได้โดยไม่ต้องเป็นทุกข์เป็นร้อนอะไร นี่พระเราควรจะเป็นผู้แก้ปัญหาได้ก่อน แล้วก็จะนำชาวบ้านได้ นี้ตัวอย่างว่าจะต้องมีการสั่งสอนด้วยข้อธรรมะที่มันถูกต้องกับสถานการณ์
ทีนี้ที่ว่าถูกต้องตามวัย อายุ นี่ผมไม่ต้องพูดแล้ว พูดตอนนี้ก็เป็นเรื่องรำคาญ เพราะรู้อยู่ได้เองแล้วว่า เด็กก็อย่างหนึ่ง เด็กทารกก็อย่างหนึ่ง เด็กวัยโตแล้วก็อย่างหนึ่ง วัยรุ่นก็อย่างหนึ่ง หนุ่มสาวก็อย่างหนึ่ง พ่อบ้านแม่เรือนก็อย่างหนึ่ง ผู้เฒ่าผู้แก่ก็อย่างหนึ่ง คนแก่หง่อมไปไหนไม่ไหวก็อย่างหนึ่ง ก็ไปเลือกธรรมะให้มันถูกกับวัยหรืออายุ
ทีนี้ข้อที่ ๓ ที่ว่าตามหน้าที่การงาน เขามีหน้าที่การงานอย่างไร ก็ไปแก้ไขปัญหาที่มันจะเกิดขึ้นในการปฏิบัติธรรมะสำหรับผู้ที่มีหน้าที่การงานอย่างนั้น หน้าที่การงานนี่คือสิ่งสำคัญ เพราะว่าชีวิตมันคือการงาน หรือว่าโลกที่มันอยู่ได้มันก็อยู่ได้เพราะการงาน เดี๋ยวนี้ก็มีวรรณะอยู่ในโลกนี้ตามหน้าที่การงาน ไอ้วรรณะว่าเกิดมาเป็น กษัตริย์ พราหมณ์ แพทย์สูตร นั้นเลิกได้ เลิกไปแล้ว แล้วก็เลิกแล้วด้วย ไอ้วรรณะที่เอาตามที่เกิดมาจากท้องแม่นั้นเขาเลิกกันแล้ว แต่วรรณะตามหน้าที่การงานนี้ไม่เลิก ไม่มีใครอาจจะเลิกได้ พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่เลิก ท่านยังสนับสนุนวรรณะที่ว่าทำไปตามหน้าที่การงาน เป็นคนเลวก็เพราะกรรม เป็นคนดีก็เพราะกรรม เป็นพราหมณ์ก็เพราะกรรม เป็นไอ้ ไม่ใช่พราหมณ์ก็เพราะกรรม เป็นบัณฑิตก็เพราะกรรม คือการกระทำ หรือหน้าที่การงานมันทำให้คนนั้นเป็นนั้น คนนี้เป็นนี้ เป็นวรรณะๆ ไป เช่น วรรณะชาวบ้าน ถ้าพระก็เรียกว่า วรรณะสมณะ เพศสมณะ วรรณะสมณะ นี่เรามีวรรณะแตกต่างจากคฤหัสถ์แล้ว ก็ต้องทำหน้าที่ของบรรพชิต เรียกว่า วรรณะบรรพชิต วรรณะมันเลิกไม่ได้ในโลกนี้ ไม่ว่าเขาจะต้องเป็นชาวนา ชาวสวน ชาวตลาด หรือว่า แล้วแต่ว่าหน้าที่การงานจะเป็นอย่างไร การสอนธรรมะมันก็จะต้องถูกต้องตามหน้าที่การงาน นี่ที่ผมเขียนไว้ เมื่อผมไปเที่ยวสั่งสอนอยู่ ไม่เคยอยู่ติดวัดอยู่หลายปีตอนนั้น ก็รู้ว่า โอ้, มันต่างกัน นี่ประชาชนทั่วไปก็สอนไปอีกอย่าง แล้วผู้มีอาชีพบนความทุกข์ยากของผู้อื่นก็ต้องสอนอีกอย่าง นึกออกไหมว่าผมพูดอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร มันมีบุคคลพวกหนึ่งมีอาชีพอยู่บนความทุกข์ยากของบุคคลอื่น เช่นหมอ เช่นทนายความ อย่างนี้ พวกหมอ พวกทนายความนี่ มันเป็นตัวอย่าง อย่างหนึ่ง เขามีอาชีพอยู่บนความทุกข์ยากของผู้อื่น คือเราต้องสอนคนเหล่านี้ให้ ให้เป็นพุทธบริษัทที่ดี ให้ระวังให้มาก
ทีนี้พวกที่มีอาวุธหรือมีอำนาจในมือ พวกตำรวจ พวกทหาร นี้มันก็ต้องไปกันอีกอย่างหนึ่ง ทีนี้พวกนักเรียนก็ต้องสอนอย่างหนึ่ง พวกครูก็สอนอย่างหนึ่ง เพราะการกระทำที่บ้าบอที่สุดที่ผมไปผ่านมาตามที่ต่างๆ เขาเอาครูกับนักเรียนมานั่งรวมกันให้ผมเทศน์ แล้วมัน ผมก็กลายเป็นคนโง่ไปทันทีไม่รู้จะเทศน์อย่างไร นี่นักเรียนตัวเล็กๆ แล้วก็นี่ก็ครูตัวโต เรียกมาหลายๆ โรงเรียนพร้อมๆ กันแล้วไม่รู้จะเทศน์อย่างไร นี่มันก็ลำบากว่าเราจัดเองไม่ได้ แต่เราก็ต้องพยายามให้เขาจัดให้ อย่าทำอย่างนี้เลย เอาคนชั้นผู้ใหญ่มารวมกับคนชั้นผู้น้อยที่สุดแล้วให้มาเทศน์รวมกัน อย่างนี้แล้วเราก็กลายเป็นคนโง่ งงไปทันที มันๆ มันเลือกข้อธรรมะยาก เพราะนั้นผมจึงจดไว้เลยว่าธรรมะสำหรับสอนนักเรียนมันก็อย่างหนึ่ง สำหรับสอนครูมันก็อย่างหนึ่ง ที่สอนนักโทษมันก็อย่างหนึ่ง ก่อนนี้ผมก็ไปสอนนักโทษในเรือนจำหลายจังหวัดต่อหลายจังหวัด ก็ไปนึกได้ในเวลานั้นว่าจะต้องสอนอย่างไร มันไม่เหมือนกับที่จะสอนคนประชาชนทั่วไปในสถานการณ์ธรรมดา มันต้องนึกต้องคิดมาก ต้องมีแง่มุมที่อะไรหลายอย่าง ถ้าเขาเอานักโทษล้วนๆ ไม่มีใครปนมาให้สอนนี่มันสอนง่าย มันดูหน้า มองหน้า มองตาแล้วมันก็สอนไปตามนั้นได้ มันก็ถูกตามเรื่องตามราวได้ มันก็ได้ผล
ทีนี้คนหนุ่ม คนคะนองนี่ก็อย่างหนึ่ง คนไม่ได้รับการศึกษา นี่คนหนุ่มที่มันมีการศึกษาสูงก็อย่างหนึ่ง นี้ชาวต่างประเทศที่เขาไม่รู้จักวัฒนธรรมของเรา เมื่อเราต้องไปสอนเขามันก็ต้องมีวิธีหรือว่าข้อธรรมะอีกอย่างหนึ่ง นี้ชาวต่างศาสนาที่เขานับถือศาสนาอื่น เช่น คริสเตียน เป็นต้น เราก็ต้องพูดกับเขาอย่างหนึ่ง แม้ที่สุดแต่ว่าเป็นพุทธบริษัทด้วยกันแล้วมันต่างนิกาย ผมอยู่ที่นี่มีพระจีน พระอะไรที่เป็นมหายาน อุตส่าห์มาจากไทเปตรงมาที่นี่ มาถามมาอะไรก็มี แม้มันรู้สึกว่าเป็นปัญหาที่หนัก ที่เราจะต้องพูดไม่กระทบกระเทือนด้วย แล้วถูกต้องด้วย แล้วมีประโยชน์ด้วย แล้วก็จริงด้วย แต่เราจะไปพูดแต่ว่าให้ถูกใจเขาอย่างเดียวเดี๋ยวมันก็กลายเป็นพูดเท็จขึ้นมา นี่แม้แต่นักบวชในพุทธศาสนาด้วยกันแต่มันต่างนิกายกันนี่ ต้องระมัดระวังในการที่จะพูดหรือจะสอน
นี่สอนคนฉลาดคือ นักประพันธ์ เป็นต้น มันก็ยังมีปัญหา แล้วต้องสอนคนที่ไม่มีสติปัญญา กรรมกรตามท่าเรือ อย่างนี่ สอนกรรมกรตามท่าเรือนี่ สอนกุลี สอนอย่างนี้ มันก็อย่างหนึ่ง ซึ่งๆ ซึ่งที่จริงเขาก็ไม่ค่อยอยากจะฟังหรอก แต่บางทีมันก็ มันก็ต้องสอนก็มี นี้มันข้าราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อย่างนี้ก็อีกอย่างหนึ่ง จะสอนกำนัน ผู้ใหญ่บ้านเหมือนกับสอนประชนชนนี้มันก็ดูน่าหัว นี้มีบุคคลที่มีอาชีพขัดต่อธรรมวินัย ทีนี้บางคนจำเป็นเขาต้องทำประมงหรือว่าทำอะไรเหล่านี้ แต่เขาก็เป็นชาว เอ่อ, คนไทยเป็นพุทธบริษัทก็ต้องสอน มันก็ต้องสอนไปข้อที่ว่าจะไม่ทำให้เกิดเสียหายอะไรขึ้น ไปๆ ไปรู้พอดีเอาเองเถอะ จะต้องทำจิตใจอย่างไร จะไปสอนว่ากุ้งฝอยนี้เป็นแต่เพียงฟองน้ำอย่างนี้มันก็มีปัญหาอยู่เหมือนกัน แต่บางทีมันก็จะต้องสอนอย่างนั้น มันก็ดูแต่ มันก็แล้วแต่สถานการณ์ นี่เขาเรียกว่าการที่ไปสอนบุคคลผู้มีอาชีพขัดต่อธรรมวินัยนี้มันยาก แต่บางทีมันก็มีความหมายที่ตัวเองไม่เข้าใจเช่นว่า คนเป็นเพชฌฆาตอย่างนี่ไม่ควรไปถือว่าเขามีอาชีพที่ว่าเป็น มิจฉาทิฏฐิ ตรงกันข้าม อะไรนัก ก็บอกเขาว่าคุณทำหน้าที่ให้มันด้วยจิตใจที่เที่ยงธรรม ตรงตามกฎหมายเพื่อจะพิทักษ์รักษาธรรม คนที่เป็นเพชฌฆาตนั้นเขาก็เบาใจไปได้ เขากลับไปรู้สึกว่าเขาได้ทำสิ่งที่จำเป็นแก่มนุษย์ในโลกนี้ เขาก็จะรู้สึกว่าเขาได้บุญก็ได้ นี่มันๆ มันแล้วแต่ว่าจะมีเหตุผลอย่างไร ไอ้สิ่งที่มันไม่มีประโยชน์มันทำให้เขาเป็นทุกข์หรือลำบากใจก็อย่าเอามาพูด เอาแต่สิ่งที่ทำให้เขาได้ประโยชน์มาพูดและเราก็ไม่ต้องโกหกด้วย นี่มันก็ถูกแล้ว นี่มันเป็นตัวอย่างที่เอามาพูดให้ฟัง ว่าเมื่อจะต้องสอนธรรมะแก่ผู้ที่มีอาชีพขัดต่อธรรมวินัยอยู่เป็นปกติ ผมเคยได้เห็นคนรุ่นผู้ใหญ่ๆ เมื่อผมยังเป็นเด็กๆ นี่ เขาเลี้ยงหมูเขาก็ยกมือไหว้พระพุทธเจ้าว่าขอโอกาสสักทีเถอะมันจนนัก ขอเลี้ยงหมูสักทีพอแก้จนแล้วก็จะเลิก อย่างนี้แสดงว่าเขายังมีจิตใจที่ดีอยู่ ผมยังพลอยว่าถูกแล้วกับเขา ขออนุโมทนาว่าเขาทำถูกแล้ว นี่เป็นตัวอย่างของความยากลำบากที่เราจะต้องพูด ตอบปัญหาหรือสอนกับบุคคลที่มีอาชีพขัดต่อธรรมวินัยอย่างนี้
ทีนี้คนมันกำลังยากจน ตกทุกข์ อุบัติเหตุ อะไรต่างๆ นี่มันก็สอนยาก คนมันร้องไห้เรื่อยนี่สอนกันไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ก็มันก็มีวิธีจะต้องทำ จะต้องสอน คนมันกำลังจะตาย มันริบหรี่เหมือนตะเกียงกำลังหมดน้ำมันจะตายอยู่แล้ว มันก็ต้องสอน มันก็ต้องมีวิธีการสอน มีหัวข้อธรรมอย่างอื่นที่จะต้องสอน มันคงจะไปพบเข้าแน่นอน เพราะว่าถ้าเราไปเที่ยวสั่งสอนตามที่ต่างๆ ก็จะ วันหนึ่งก็จะมีโอกาสพบกับคนอย่างนี้ ซึ่งเขาก็ขอให้สอน นี่คนมันเป็นกรรม มีโรคภัยไข้เจ็บ เป็นคนพิการอย่างยิ่ง ทนทรมานอยู่อย่างยิ่ง ด้วยโรคภัยไข้เจ็บนั้นมันก็ต้องสอน มันก็ต้องสอนด้วยข้อธรรมะอย่างอื่นซึ่งไม่เหมือนกับที่สอนคนสบายๆ นี่ไปนึกดู ไปๆ ไปเตรียมไว้นี่ว่าเป็นภิกษุสามเณรด้วยกันมันก็ต้องสอน เหมือนอย่างเดี๋ยวนี้ผมก็ขออภัยที่จะพูดว่า ผมกำลังทำหน้าที่สอนแม้แต่เพื่อนภิกษุสามเณรด้วยกัน แต่ไม่ใช่แต่อย่างนี้ ไม่ใช่แต่อย่างที่ผมกำลังพูดนี้ แม้ถึงที่อื่นๆ เราก็ต้องพบปัญหานี้หรือบางทีเราก็ต้องสอนลูกศิษย์ลูกหาด้วย แล้วก็อบรมภิกษุสามเณรพวกหนึ่งซึ่งไม่ค่อยรู้อะไรในเรื่องบางเรื่องที่เรารู้มากกว่า หรือว่าเราถนัดกว่า เราเจนจัดกว่าในเรื่องนั้น นี่เรียกว่า แม้แต่สอนภิกษุสามเณรด้วยกันก็ต้องสอน ทีนี้มันก็น่าหัวหรือมันหนักยิ่งกว่านั้นคือบางทีก็ต้องสอนอาจารย์ก็มี เราเป็นลูกศิษย์จะต้องสอนอาจารย์ก็มี มันจึงต้องมีวิธีอย่างอื่นนะคุณอย่าไปสอนอย่างตรงๆ อย่างนี้เข้ามันจะบ้า ถ้าจะไปให้อาจารย์นึกได้ จะเตือนสติให้อาจารย์นึกได้อย่าๆ อย่าทำเหมือนกับอย่างทำกับเพื่อนกัน มันต้องมีวิธีอย่างอื่นที่ทำให้อาจารย์นึกได้และก็เป็นสิ่งที่ต้องทำด้วย เพราะว่าในหลักธรรมทั่วไปในพระพุทธศาสนานี้ก็มีอยู่อย่างนี้ ว่าในบางคราว (นาทีที่ 35.01น) ก็จะต้องทำตนเป็นที่พึ่งแก่อุปัชฌาย์อาจารย์เหมือนกันในเมื่อท่านเผลอไปนี่ มันก็มีอยู่ในๆ ในธรรมะ ในวินัย ผมจึงจัดไว้ในพวกที่ว่าบางทีก็ต้องนึกถึงหรือว่าจะต้องสอน
นี่เราได้พูดกันมาทุกๆ ทุกฐานะของบุคคลแล้ว กระทั่งว่าจะต้องสอนผู้ที่มีหน้าที่สั่งสอนต่อไป เราจะต้องสั่งสอนคนที่มีหน้าที่ที่จะสั่งสอนต่อไป เหมือนว่าเราเกิดเปิดการอบรมครั้งหนึ่ง อย่างครั้งนี้ก็มีผู้ที่มีหน้าที่ต้องมาสอน มาบรรยายให้แก่ผู้ที่จะทำหน้าที่อบรมสั่งสอนต่อไปนี่ อย่างเดี๋ยวนี้ก็เรียกว่าผมกำลังพูดกับท่านทั้งหลายที่มีหน้าที่ที่จะต้องอบรมสั่งสอนต่อไป มันก็เป็นเรื่องอีกเรื่องหนึ่งซึ่งไม่เหมือนเรื่องธรรมดาสามัญ สอนอุบาสกอุบาสิกาทั่วไปนี่ หรือสอนอุบาสกอุบาสิกาที่กำลังอยู่ในภาวะฉุกเฉิน ฉุกละหุก คับขัน อย่างนี้ มันก็คนละเรื่องคนละแบบ กระทั่งสอนพวกที่มีความรู้ดี มีการศึกษาดี เป็นข้าราชการชั้นสูง กระทั่งราชสำนัก จะไปสอนในราชสำนักสอนเจ้านายอย่างนี้ บางคราวมันจำเป็นมันหลีกไม่ได้มันต้องเทศน์ถวายในหลวง อย่างนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็น เป็นเรื่องที่ต้องคิดไว้แล้ว คิดไว้ก่อนหรือว่าเตรียม คิดไว้มันอาจจะมาถึงเข้าก็ได้ อย่าพูดถึงกับสอนเลยแม้แต่จะพูดสนทนากันมันก็ไม่ใช่ง่าย ผมอยากจะให้ไปคิดว่านี่ที่นั่งอยู่ทุกๆ องค์นี้ ถ้าเผอิญว่าไปที่ไหนเกิดไปพบกับในหลวงเข้าแล้วต้องพูดจากันนี้จะพูดถูกต้องไหม จะพูดถูกต้องด้วยถ้อยคำหรือว่าศัพท์แสง หรือว่าสำนวนโวหาร น้ำเสียงดีไหม นี่จะต้องคิดดู เพียงแต่พูดเท่านั้นแหละมันจะไม่ได้เสียแล้ว ถ้ามันจะต้องสอนเข้าอีกนี้มันจะยิ่ง ยิ่งยากกว่า นี่ถึงต้องนึกว่า นึกไว้ว่าราชสำนักซึ่งมีพระเจ้าอยู่หัวเป็นประมุข นี่มันก็ มันก็ต้องสอนในบางคราว ก็เป็นปัญหาที่ต้องสอน นี่เป็นอันว่าผมได้แจกให้เห็นบุคคลที่ต่างๆ กันที่เราจะต้องสอน
ที่นี้ข้อปลีกย่อย ปัจจัยที่ให้สำเร็จในการสอน เป็นปัจจัยหมายความว่าเป็นเครื่องเกื้อกูลที่จะให้การสอนนั้นมันสำเร็จง่ายเข้านี้มีมาก แต่ว่าตัวอย่างนี่ผมนึกเอาตามที่เคยผ่านมา อย่างแรกเช่นว่า เราจะต้องมีอำนาจบังคับได้ ถ้าเราบังคับไม่ได้เสียเลยมันก็สอนกันไม่ได้ จะสอนเด็กในวัดมันต้องมีอำนาจบังคับได้ ถ้าเราบังคับคนไม่ได้ ก็ให้ทางบ้านเมืองเขาช่วยบังคับ มันต้องมีการบังคับได้แล้วจึงเอามาสอนได้ ถ้าเราสามารถจะบังคับได้นั่นก็ให้ใช้การบังคับให้ถูกวิธีการสอนนั้นก็จะมีผล ทีนี้ถ้าไม่สามารถบังคับเราก็มีสิ่งเกลี้ยกล่อมหรือล่อใจว่าจะให้เขามาวัด เกลี้ยกล่อมให้เขามาวัด บางคนเคยพูดว่าเอาหนังมาเล่นในวัดให้เขามาดูหนังแล้วจะได้สอนเขาที นี่สอน ถ้าทำได้ก็ดี ก็เรียกว่าลงทุนด้วยการล่อใจหรือว่าเกลี้ยกล่อม บางทีเอาหนังไปฉายให้ดูแล้วก็สอนธรรมะไปพลางอย่างนี้ แต่ผมไม่เคยเห็นทำสำเร็จ ถ้าทำถึงขนาดนั้น
ทีนี้การสงเคราะห์บริสุทธิ์ คือสงเคราะห์ให้เกิดความรักใคร่เคารพนับถือ นี่ก็เป็นปัจจัยให้เขายินดีรับคำสั่งสอน นี่ก็อยากจะพูดถึงสิ่งที่เรียกว่า ปาฏิหาริย์ เพราะคำว่าปาฏิหาริย์นี้ก็กว้างขวางมาก ปาฏิหาริย์ที่บางอย่างเราอาจจะทำได้ ที่ไม่ผิดวินัย ไม่อะไรต่างๆ นี่ ถ้ามันมีอะไรที่น่าอัศจรรย์คนก็ยินดีรับคำสั่งสอนหรือมาฟังคำสั่งสอน แต่ถ้าดีกว่านั้น จริงกว่านั้น ก็คือว่ามีสิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใสดึงมานี่ เพราะที่ดีที่สุดก็สติปัญญาที่มันเพียงพอ ที่เหนือกว่านี่ จะเป็นปัจจัยให้สำเร็จประโยชน์ในการสั่งสอนยิ่งกว่าสิ่งไหนหมด แต่ดูแล้วมันก็มีหลายอย่าง อำนาจก็ใช้ได้ สิ่งล่อใจก็ใช้ได้ การสงเคราะห์กันจริงๆ ก็ได้ ปาฏิหาริย์ก็ได้ ความรักความเลื่อมใสก็ได้ แต่มันไม่สู้สติปัญญาที่เหนือกว่าไปได้ เพราะนั้นขอให้พยายามศึกษาอบรมตนเองให้มีสติปัญญาที่เหนือกว่าผู้ที่จะสั่งสอน เอ่อ, ผู้ที่จะรับคำสั่งสอนอยู่เสมอไป
ข้อสุดท้ายก็คือ บุคคลที่จะต้องร่วมมือด้วย นี่เป็นข้อสุดท้ายที่ผมจะพูด ถ้าไม่มีผู้ร่วมมือมันทำยากเหลือเกินในโลกนี้ไม่ว่าทำอะไรหมด เพราะนั้นต้องมีอุบาย มีศิลปะในการที่จะชนะน้ำใจผู้ที่จะมาร่วมมือกับเรา ดึงมาเป็นผู้ร่วมมือในแขนงใด แขนงหนึ่งให้ได้ ผมอยากจะระบุว่ารัฐบาลก่อน ถ้าเราจะสอนประชาชนนี้ถ้าได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลมันทำง่าย ผมเคยทำมาแล้ว เพราะนั้นต้องประสานงานกับรัฐบาล ให้ได้รับความร่วมมือจากคนของรัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล นี้เรียกว่ารัฐบาลก็แล้วกันรวมถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล นี่ว่าคณะสงฆ์เองด้วย ถ้าคณะสงฆ์เองไม่ร่วมมือ เพราะว่าสิ่งที่เราสอนนั่นมันแหวกแนวหรือมันอะไร มันสอนไม่ได้แน่ เพราะนั้นต้องได้รับความร่วมมือจากผู้หลักผู้ใหญ่หรือคณะสงฆ์ซึ่งยอมรับรองหลักการอันนี้ หลักคำสอนอันนี้ นี่ก็ต้องได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่พระคณาธิการของคณะสงฆ์ อย่างไปที่ไหนก็ได้รับความร่วมมือจากเจ้าอาวาสวัดนั้น ไม่บ้าบิ่นอย่างบางคน บุกเข้าไปสอนในวัดที่ว่าเจ้าอาวาสเขาก็ไม่ยินดี อย่างนี้มันก็เหลือเกิน มันมากเกินไปแล้ว ทีนี้นักปราชญ์ ราชบัณฑิต ผู้มีปัญญา เราควรจะเอาความร่วมมือกับเขาไว้ให้ได้ นี้คนทั่วๆ ไปนี้จะแวดล้อมช่วยเหลือได้อย่างไร ญาติมิตรสหาย บิดามารดา ครูบาอาจารย์นี่มันก็อยู่ในพวกที่จะช่วยเหลือได้ พวกหมอ พวกแพทย์ อย่างนี้ มันเคยไปด้วยกันไปสอนมันก็ได้ผลกว่า การไปทำงานเผยแผ่ธรรมะร่วมกันกับบุคลที่เขาสามารถในหน้าที่การงานที่จำเป็นแก่การเป็นอยู่ของประชาชนนี่ มันก็เป็นพวกที่ต้องร่วมมือ ต้องประสานงาน ทีนี้แม้ที่สุดแต่ว่า พวกล่ามมันก็ต้องจำเป็น บางทีเราต้องใช้ล่ามไปพูดกับชาวมลายู พูดมลายูไม่ได้ต้องใช้ล่าม อย่างนี้ก็มี ถ้าล่ามไม่ดีมันก็ใช้ไม่ได้ ถ้าล่ามดีมันก็สำเร็จประโยชน์เหมือนกัน กระทั่งผู้ที่เขามีเครื่องไม้ใช้สร้อย เครื่องไม้ เครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ ก็ต้องร่วมมือ พวกที่มีปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มีเกียรติยศสูง มีคุณธรรมสูง ก็ต้องร่วมมือ เพราะว่าถ้าคนเหล่านี้ออกปากมาคำเดียวเท่านั้นว่าคนนี้เทศน์มันน่าฟัง คนทั้งหลายมันก็ฟัง คนเฒ่าคนแก่ที่เป็นที่เคารพของบ้านเมือง เขายกย่องว่าผู้สอนคนนี้มันสอนได้ดีเท่านั้นแหละ คนมันก็ยินดีรับฟัง อย่างนี้เป็นต้น นี้เป็นตัวอย่างของบุคคลไม่น้อยกว่า ๑๐ ประเภท ที่ว่าผู้ที่จะทำการเผยแผ่จะต้องแสวงหาความร่วมมือจากเขา
เอาละเป็นอันว่าผมได้พูดทุกเรื่อง ทุกแง่ ทุกมุม ที่จำเป็นจะต้องพูด แม้ว่าในบางเรื่องก็จะพูดได้แต่เพียงเป็นตัวอย่างเพราะเวลามันไม่พอ แต่ผมก็คิดว่ามากพอแล้วสำหรับที่จะเอาไปศึกษา ไปใคร่ครวญ ถ้าทำได้ตามหัวข้อหรือหลักการใหญ่ๆ อย่างนี้แล้ว การเผยแผ่นั้นจะต้องสำเร็จแน่ แล้วก็ในที่สุดก็ขอให้ระลึกย้อนกลับไปทางหนหลังว่า มันที่เกี่ยวกับการพัฒนาตัวเองอย่างไร พัฒนาตัวเองก่อน ทำตัวเองได้ก่อนแล้วจึงสอนผู้อื่น เหมือนที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า (นาทีที่ 45.02น) สอนตัวเองก่อนแล้วสอนผู้อื่นที่หลังจะได้ไม่เป็นบัณฑิตสกปรก
นี่ ขออาราธนา อำนาจของพระธรรมซึ่งรวมทั้งพระพุทธ พระสงฆ์ด้วย ถ้าพูดว่าพระธรรมก็รวมทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วย จงมีอานุภาพที่จะดลบันดาลจิตใจให้เกิดการกระทำ เกิดหน้าที่การงานนี้ให้สำเร็จประโยชน์ในหน้าที่ของ พระสังฆาธิการหรือพระคัณณาธิการ (นาทีที่ 45.37น) ที่จะรับภาระศาสนาหรือภารกิจของรัฐบาลอีกส่วนหนึ่งในการพัฒนานี้ จงได้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของแต่ละองค์ ละองค์ จง ทุกๆ ท่านเทอญ