แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คำกล่าวอบรมสำหรับผู้บวชใหม่ในวันแรกนี้ ผมจะกล่าวโดยหัวข้อว่า "ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการบวช" ได้สังเกตเห็นว่ายังเข้าใจผิดเกี่ยวกับการบวช เพราะทำให้ได้ประโยชน์อย่างอื่นน้อยลงไป หรือไม่ได้เลย ควรจะทำความเข้าใจกันในข้อนี้ก่อน สำหรับผู้เข้าใจผิดนั้น มีทั้งผู้ที่ยังไม่เคยบวชหรือไม่ยอมบวช และผู้ที่บวชแล้วและกำลังบวชอยู่แล้ว โดยไม่เข้าถึงวัตถุประสงค์ของการบวช คนไม่เคยบวชก็เข้าใจผิดไปอย่าง คนไม่ยอมบวชนี่ก็เข้าใจผิดไปอย่าง แล้วก็พวกที่บวชแล้วก็ยังเข้าใจผิด เพราะเห็นว่าส่วนมากแม้ที่บวชแล้ว แม้ที่อยู่ที่นี่ ก็ยังเหลวไหลไม่ได้รับประโยชน์อันแท้จริงจากการบวชอยู่เหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้บวชเพียงชั่วคราว ก็ยังโลเลต่อเรื่องของการบวช เพราะความเข้าใจผิด ซึ่งถ้าทำให้ดีแล้วก็จะมีประโยชน์กว่านั้นอีกมากทีเดียวมันเป็นอย่างนี้ นี่ก็ผู้เข้าใจผิดอยู่ที่นี่ ผู้ไม่เคยบวชนั้นก็เป็นธรรมดา อาจจะไม่รู้ เรื่องบวชนี้อะไรนัก ก็ปล่อยให้เขาคิดเอาเอง มันก็มีทางผิดมากสำหรับผู้ไม่เคยบวช ส่วนผู้ไม่ยอมบวชนั้นยิ่งผิดมากความเห็นผิดยิ่งรุนแรง ยิ่งขึ้นไปอีกจึงไม่ยอมบวชเด็ดขาด มันเป็นคนโง่คนละชนิด แต่ก็ว่าเป็นเพราะไม่รู้จักไอ้คำว่าบวชอยู่นั่นเอง ยิ่งผู้ที่บวชแล้วก็โง่อีกชนิดหนึ่งไม่รู้จักการบวช หรือเป็นผู้ประมาท มันก็เลยไม่ได้อะไรมากมายไปกว่าผู้ที่ไม่ยอมบวชเหมือนกัน ขอให้สนใจดูให้ดีๆ สังเกตดูให้ดีๆ ว่าเราจะอยู่ในพวกนั้นหรือไม่ ถ้าเราอยู่ในพวกนั้นก็รีบถอยออกไปเสีย นี่ถ้าจะรู้ให้ชัดเจนพอจนไม่เข้าใจผิดนี่ จะต้องดูกันต่อไปว่าอะไรเป็นอะไร
ในชั้นแรกนี้อยากจะให้ดูวัตถุประสงค์ หรือความมุ่งหมายของการบวชก่อน ถ้ากล่าวโดยทั่วไปตามประวัติของการบวช โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับพุทธศาสนา หรือที่เกี่ยวกับประเทศอินเดียที่เป็นที่เกิดของพุทธศาสนา ที่เต็มไปด้วยการบวช เราก็พบในเรื่องราวนั้นๆ ว่า ไอ้การบวชนี่ โดยวัตถุประสงค์ดั้งเดิมแท้จริงและส่วนมากนั้น มันเพื่อจะเลื่อนชั้นตัวเอง ไปตามวัยหรือตามความรู้สึกของจิตใจที่มันเลื่อนชั้นไป มันจึงกลายเป็นเรื่องของผู้ที่จิตใจสูง แล้วโดยมากก็ถือเอาอายุ วัย อายุหรือวัยนี่แหละเป็นหลัก หรือต่อไปถึงปัจฉิมวัยโดยมาก รู้สึกว่ามันไม่มีอะไรดีไปกว่านี้ มันแค่นี้เองที่จะรู้สึกอย่างนั้น ชีวิตครองเรือนมันแค่นี้เอง เรื่องความสุขอย่างครองเรือนอย่างโลกๆ นี้มันเพียงเท่านี้เอง เราจะแสวงหาความสุขที่ยิ่งขึ้นไป หรือบางทีก็เพราะเขามีระเบียบไม่ชัดว่า เมื่อชนะโลกนี้ได้แล้ว ก็ควรชนะโลกอื่นต่อไปให้ถึงที่สุด เกิดเป็นประเพณีขึ้นมา บางคนเกิดมาแล้วก็พยายามกระทำให้ชนะโลกนี้ คือความเป็นผู้ครองเรือน สมบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติเกียรติยศชื่อเสียง มิตรสหายที่ดี มีความสุขอย่างโลกๆ ทำบุญให้ทานไปตามแบบของชาวบ้าน ถึงที่สุดแล้ว เขาก็รู้สึกว่าชนะโลกนี้แล้ว และไม่มีอะไรดีกว่านี้ อยากจะไปต่อไปอีก จึงออกไปสู่โลกอื่น หรือชนะโลกอื่น ตลอดถึงจะชนะโลกข้างหน้าหลังจากตายแล้วก็มี แต่เขาก็มองเห็นอยู่ว่าไม่ต้องตาย ไม่ต้องรอจนตายแล้วจึงจะโลกอื่น จึงจะเรียกว่าโลกอื่น โลกอื่นคือมันแปลกไปจากโลกนี้ เพราะฉะนั้นจึงไปอยู่อย่างอื่นที่มันแปลกจากที่เขาอยู่กันโดยมากในโลกนี้ มันก็เป็นโลกอื่นเหมือนกัน
ดังนั้นมันก็เกิดระเบียบแบบใหม่ขึ้นมาที่ว่า ออกไปอยู่อย่างนักบวช อย่างบรรพชิต ประพฤติพรหมจรรย์ ถ้าก่อนพุทธกาลเขาก็ใช้คำว่า เพื่อมีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า พรหมโลกแปลว่าโลกอันประเสริฐสูงสุด โลกนี้พอกันที ตอนนี้ก็ทำเพื่อโลกอันประเสริฐสูงสุดข้างหน้า เพราะฉะนั้นจึงออกบวช จึงเกิดเป็นประเพณี สำหรับผู้ที่พอแล้วสำหรับการครองเรือน มันก็หาสิ่งที่ดีกว่านั้น มันจึงเป็นการเลื่อนชั้นตัวเอง แล้วก็เล็งถึงความรู้สึกของคนผู้นั้นด้วย มันพอแล้ว สำหรับอันนี้ มันก็ต้องเลื่อนชั้น มันเบื่อที่จะซ้ำๆ ซากๆ แล้วโดยมากก็เป็นปัจฉิมวัย ถ้าเผอิญบางคน คนหนุ่มบางคนมันมีจิตใจสูงเร็วเกินไป มันก็ทำอย่างคนแก่ก็ได้ แต่ว่ามีเป็นส่วนน้อย ส่วนมากก็ไปตามเรื่องของความรู้สึกของร่างกายมันเป็นคนแก่โดยมาก เมื่อเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในการครองเรื่อนอย่างฆราวาส ท่านไม่ใช่คนโง่
กระทั่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินไปบวชอย่างนี้เขาก็เรียกว่า ราชฤๅษี หรือผู้ที่เคยเป็นพระราชามาก่อนตอนปลายนี้ไปบวช ก็เป็นนักบวชที่เก่งๆ เก่งกล้า ทั้งในตามสติปัญญาต่างๆ เป็นพราหมณ์มาก่อนแล้วไปบวช เขาเรียกว่า พรหมฤๅษี ตามแบบของเขา ซึ่งมันก็ไม่จำเป็นต้องทราบก็ได้ แต่มันไปบวชเพื่อสิ่งที่สูงขึ้นไป ตามระดับของจิตใจที่มันสูงขึ้น นี่ก็เป็นอย่างหนึ่ง เพื่อชนะโลกทุกโลกเป็นธรรมเนียมขึ้นมา
วัตถุประสงค์อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งมีธรรมเนียม มีประเพณีเหมือนกัน ไม่ได้มีความรู้สึกอย่างนั้น มีความรู้สึกว่า จะออกไปประพฤติพรหมจรรย์ บำเพ็ญตบะอะไรก็ตาม เพื่อให้เกิดการฝึกฝนบังคับตัวเอง บังคับจิตอย่างรุนแรง บังคับกาย วาจา ใจ อย่างรุนแรง สักแบบหนึ่งเพื่อวัตถุประสงค์อันหนึ่ง ตามความต้องการของตัว จะเป็นการชั่วคราวก็ได้ หรือจะเป็นการตลอดไปก็ได้ แต่มันประสงค์เพียงว่าจะบังคับ ฝึกการบังคับ สมัครไปเข้าอยู่ในกรอบ ในกรอบการบังคับ มุ่งหมายแต่จะบังคับ หรือจะกลับมาครองบ้านเรือนก็ได้ นี่เขาเกิดเป็นประเพณีขึ้นมาเหมือนกัน แต่มันเป็นระดับที่ต่ำลงมา ไม่มุ่งหมายสูงถึงกับว่าจะไปพรหมโลก ไปเป็นนักบวชเพียงว่าจะได้เป็นการบังคับตัวเองให้เป็นที่พอใจกันเสียที ส่วนมากก็เป็นชั่วคราวแล้วก็กลับมาครองเรือน มันก็เป็นนักบวชอีกแบบหนึ่ง
ทีนี้วัตถุประสงค์อีกอันหนึ่ง เป็นวัตถุประสงค์ที่มีอยู่ชัดในพระบาลี ทั้งในพระพุทธวัจนะ ท่านตรัสเอง เล่าถึงกุลบุตรบางคนมันได้ยินได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ตรัสสอน เกิดความเข้าใจเห็นชัดแจ้งว่ามันเป็นอย่างไร แล้วก็รู้สึกขึ้นมาทันทีว่า ไอ้ระเบียบนี้ อยู่ที่บ้านปฏิบัติไม่ได้ จะครองเรือนแล้วก็ประพฤติ ปฏิบัติการปฏิบัติระบอบนี้ คือการพรหมจรรย์นี้ให้บริสุทธิ์ เหมือนสังข์ที่ขัดดีแล้ว สำนวนที่ใช้อยู่ในบาลี หอยสังข์ที่ขัดดีแล้ว นี่แสดงถึงความบริสุทธิ์ถึงที่สุด อุปมา เหมือนอยู่ครองเรือนประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์อย่างนั้นไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเราจะบวชเพื่อประพฤติพรหมจรรย์ตามหลักคำสั่งสอนนี้ให้เต็มที่ นี่ก็เราเห็นได้ชัดว่าบวชเพื่อจะเป็นโอกาสที่จะประพฤติพรหมจรรย์ให้เต็มที่ ยังไม่พูดให้กว้างไปกว่านี้ ฉะนั้นเขาจึงบวชให้ไปขอบรรพชา ถ้าพระองค์ซักไซ้ว่าเขายังไม่ได้รับอนุญาตจากบิดามารดา จะกลับไปขออนุญาตบิดามารดาไม่ยอมก็ต่อสู้กัน อันนี้ก็มีเรื่องในบาลี จนในที่สุดก็ได้บวช มุ่งหมายอยู่ว่าเป็นโอกาสสำหรับประพฤติพรหมจรรย์ให้ถึงที่สุดเท่านั้น และการบวชแบบนี้เอง มันเป็นการบวชที่พอจะถือได้ว่าตามความมุ่งหมายในพุทธศาสนา จะเป็นคนหนุ่มหรือคนแก่ไม่แน่ เกิดได้ยินได้ฟังพระพุทธวัจนะเป็นที่เข้าใจแจ่มแจ้งเห็นชัดจึงทราบนี่ จึงอยากจะบวชขึ้นมาก็มี คนหนุ่มก็มี คนแก่ก็มี พระพุทธเจ้าก็อนุญาตให้บวชเพื่อประพฤติพรหมจรรย์มันก็ตามหลักที่ทรงสั่งสอนนั้น เรียกว่าทำที่สุดแห่งความทุกข์
ขอให้สังเกตดูให้ดีเท่าที่ยกมาเป็นตัวอย่างสามอย่างนี่มันก็พอแล้ว และโดยทั่วไปไม่ว่าในพระพุทธศาสนา ในศาสนาไหนก่อนพุทธศาสนามันก็มีได้ ที่ว่าคนเขาเบื่อระอาชีวิต ที่ก้าวขึ้นมาถึงขั้นสูงสุดของฆราวาสแล้ว ก็เลยออกไปเป็นชีวิตนักบวช อีกอย่างหนึ่งถ้าคนเขาไม่ได้คิดมากถึงขนาดนั้นก็ต้องการจะ เขาเห็นอยู่ว่าระเบียบการบวชนั้นมันเคร่งครัดในการบังคับฝึกฝนทรมานตนนี้ เขาชอบ เขาจึงสมัครไปดู ไปลองดูสักพักหนึ่ง แล้วก็มาทำอะไรต่อไปก็ได้ และอีกอย่างหนึ่ง ก็อย่างที่ว่าในพระพุทธศาสนานี้ บวชเพื่อให้ประพฤติพรหมจรรย์ โดยสะดวกถึงที่สุด หมายความว่า ที่บ้านก็ประพฤติได้ ไม่ใช่ว่าประพฤติไม่ได้ ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำลายกิเลสนี่ มันก็ปฏิบัติได้ แต่มันจะทำให้ดีที่สุดไม่ได้ เดี๋ยวนี้คนนี้เขาอยากให้ดีที่สุดให้เร็วที่สุดเขาก็ต้องบวช วัตถุประสงค์ล้วนแต่มีเหตุผลทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องงมงายที่บางคนมันจะพูดด้วยความเข้าใจผิด เป็นความเข้าใจผิดกันขึ้นมาก็ตามใจ (นาทีที่15:49) ก็จะพูดว่า.........เป็นเรื่องบ้าๆ บอๆ พ้นสมัยแล้วไม่อยากบวช
เราก็ลองเอาสามอย่างนี้ไปให้เขาดู เขาคงจะเห็นด้วย อย่างน้อยก็ตรงที่ว่าเป็นโอกาสหนึ่งที่จะบำเพ็ญตนให้ได้รับการฝึกฝน บังคับหรือว่าทรมานอะไรก็ตาม ให้มันเป็นร่างกาย จิตใจที่ฝึกฝนดีแล้วนี่ การบวชก็ไม่ได้เป็นเรื่องบ้าๆบอๆ เป็นความเข้าใจผิดของคนที่ไม่ยอมบวชก็มักจะเป็นอย่างนั้น เห็นว่าเป็นเรื่องพ้นสมัยบ้าง บ้าๆ บอๆ บ้าง ทีนี้บางคนมันก็งมงายถึงขนาดว่าไม่ได้บวช เขาถือว่าเป็นคนดิบ ก็บวชพอให้มันแล้วๆ ไป ความเข้าใจผิดอย่างนี้มันก็ยังมีอยู่เดี๋ยวนี้ บางทีก็เข้าใจผิดกันทั้งหมดเลย เรียกว่าทั้งโขยงดีกว่า ทั้งพ่อทั้งแม่ทั้งลูกทั้งญาติทั้งอะไร มันเข้าใจผิดกันเพียงเท่านี้ ไม่ได้บวชเป็นคนดิบ บวชให้แล้วๆ กัน บวชสามวัน เจ็ดวัน หมดเปลืองมาก แล้วก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร บวชไปแล้วๆ ไป กระทั่งเกิดเป็นธรรมเนียมขึ้นมาว่า มันบวชตามความประสงค์ของคนที่จะเป็นแม่ยาย พ่อตาในอนาคตนั่น ถ้าเป็นคนแบบเก่าก็ต้องการลูกเขยที่เคยบวชเคยเรียน ไอ้คนอย่างนี้มันก็บวชเหมือนกัน มันมีความเข้าใจเพียงเท่านั้น ก็ยังถือว่ามันเป็นความเข้าใจผิดอยู่นั่นแหละ จะถูกก็ถูกนิดเดียว เพราะมันไม่ได้ตั้งใจจะบวชจริงหรือปฏิบัติจริงเลย แล้วก็อยู่ในพวกที่ว่าบวชพอให้แล้วๆ ไป ไม่กี่วัน
ยังมีความเข้าใจผิด อีกอย่างหนึ่ง คือว่ามันเดี๋ยวนี้ โดยเฉพาะสมัยนี้ ความเข้าใจผิดว่าเป็นอาชีพที่ได้เปรียบ คนขี้เกียจหรือว่าหย่อนสมรรถภาพแล้วก็ต้องเกิดความคิดที่ว่า บวชนี่คืออาชีพที่ได้เปรียบ ก็บวชเข้ามาเพื่อเอาอาชีพที่ได้เปรียบนี้ อย่างนี้ต้องถือว่าเป็นความเข้าใจผิดเหมือนกัน คือไม่ใช่มาเพื่อประพฤติพรหมจรรย์ มันมาเพื่อจะให้ได้อาชีพที่เป็นการได้เปรียบ เขาให้เรากินแล้วเขายังไหว้เราอีก ทำไมไม่ได้เปรียบล่ะ คิดดูให้ดี มันมีส่วนที่ได้เปรียบมาก หรือว่าบางคนมันมีความเข้าใจผิด ชนิดที่เป็นการเข้าข้างตัว เห็นแก่ตัว ถือเอาประโยชน์ตัว ก็เอาการบวชนี้เป็นสะพาน เพื่อให้ได้อาชีพที่แพง ที่สูงยิ่งๆ ขึ้นไป เพราะว่าเราไม่มีเงินพอ จึงต้องใช้วิธีเรียนลัด โดยผ่านทางการบวชอย่างนี้ก็มี จะเรียกว่าเข้าใจผิดก็มีอยู่บ้างตรงที่ว่ามันไม่สมควรที่จะต้องทำอย่างนั้น แต่ถ้าสมัยนี้จะถือว่าเป็นการเข้าใจถูกก็ได้เหมือนกัน มันก็เป็นการถูกอย่างชั้นฆราวาสชั้นธรรมดาสามัญ ที่เขาถือกันว่าการเห็นแก่ตัวหรือการเอาเปรียบเพียงเท่านี้ นี่มันไม่หนักหนาอะไร ยกตัวอย่างของการเข้าใจผิดเกี่ยวกับการบวช
ถ้าจะเข้าใจให้ถูกก็คิดดูตามวัตถุประสงค์ ๓ ประเภท อย่างที่กล่าวมาแล้ว บวชเพื่อเลื่อนชั้นของจิตใจ บวชเพื่อสมัครรับการฝึกฝนอย่างเฉียบขาดรุนแรงกันสักพักหนึ่ง ออกไปทำอะไรก็ได้ แล้วก็บวชเพื่อเป็นโอกาสบำเพ็ญพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดแห่งความทุกข์ตามหลักของพุทธศาสนา เข้าใจได้ง่ายในข้อนี้ก็ต้องดูที่ถ้อยคำนั้นๆ โดยเฉพาะของคำว่าบวชนั่นเอง
คำว่าบวชนี้เป็นภาษาไทยที่มาจากคำบาลีว่า "ปพฺพชฺชา" ป ว ช ก็มาเป็น บวช ในภาษาไทย คำว่า "ปพฺพชฺชา" นี่ หมายถึงบวชโดยตรงตัวหนังสือ แล้วก็ไม่ได้ระบุตรงลงไปว่าในพุทธศาสนาหรือ ศาสนาไหนโดยเฉพาะ มันมุ่งหมายอย่างวัตถุประสงค์ข้อที่หนึ่ง เพื่อจะเลื่อนชั้นให้สูงขึ้นไปตามระดับของจิตใจที่มันสูงขึ้น นั้นเป็นที่เชื่อได้ว่า คำว่าบรรพชานี่ มันได้มีใช้มาแล้วตั้งแต่ก่อนพุทธกาล ทีนี้เขาบวช บวชกันมาก่อนพุทธกาลก็ได้ใช้คำว่าบรรพชาด้วยเหมือนกัน ได้มีคำยกย่องสรรเสริญคำว่าบรรพชาไว้มาก แล้วก็ในรูปที่ก่อนพุทธกาล จนถึงกับว่าบวชออกจากเรือนเนื่องจากเรือนถือกระเบื้องเที่ยวขอทานอยู่ ก็ยังดีกว่าการเป็นจักรพรรดิครองราชย์สมบัติอย่างนี้ก็ยังมี
ก่อนพุทธกาลคนก็รู้จักแสวงหาความสุขที่ยิ่งไปกว่าธรรมดากันแล้ว ความสุขที่เกิดมาจากบรรพชานั่นเอง จนกระทั่งครั้งพุทธกาล จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็ได้ใช้คำนี้กันเรื่อยมา เรียกว่า บรรพชา หรือ บวช เราจะเห็นได้จากการที่เราบวชกันถึงวันนี้ ซึ่งคุณบวชมาไม่กี่วันนี่ คุณก็เห็นได้ว่ามันต้องขอบรรพชาก่อน แล้วจึงขออุปสมบท ขอบรรพชานี่ขอระเบียบชีวิตบรรพชากันก่อน ต้องเป็นนักบวชกันเสียก่อน จึงขอกันอีกทีหนึ่งว่า ขอมีสิทธิที่จะอยู่ร่วมในหมู่คณะสงฆ์นี้ ให้มันรัดกุมขึ้นมาอีกทีหนึ่ง จึงขออุปสมบท ตอนนี้ต้องเป็นเรื่องของคณะสงฆ์แล้ว ไม่ใช่ของอุปัชฌาย์แล้ว คณะสงฆ์จะยอมรับคนนี้หรือไม่ก็แล้วแต่เหตุผลที่สมควร เมื่อคณะสงฆ์เขายอมรับเมื่อเกิดเป็นสมาชิกของสงฆ์นี้ขึ้นมามีสิทธิ มีหน้าที่ มีอะไรต่างๆ ตามที่มีอยู่ในระบอบคณะสงฆ์นี้ เพราะฉะนั้นต้องทำตามระเบียบของคณะสงฆ์นี้ ถ้าไม่อย่างนั้นทำอย่างไรก็ได้ เพราะขอแต่บรรพชาได้เป็นบรรพชา เป็นบรรพชิตแล้วชอบอย่างไหนก็ทำอย่างนั้น ไปทำอย่างอื่นก็ได้ นั้นเธอเพียงเป็นบรรพชิต เป็นบรรพชา กระทั่งว่าเราบวชเอาเองก็ได้ เป็นนักบวช เป็นบรรพชิต ก็ถือวินัยตามเราชอบ อยู่ป่าอยู่ดงไปตามเจตนาอันบริสุทธิ์ นี่ก็เรียกบรรพชิตหรือมีบรรพชาอย่างเต็มที่เหมือนกัน นั้นมันส่วนของบรรพชา
ทีนี้ในส่วนของมีสิทธิหน้าที่มีอะไรสมบูรณ์ในคณะสงฆ์นี้โดยเฉพาะนี่ มันต้องขออุปสมบทโดยการเข้ามาอยู่ร่วม เป็นสมาชิกในคณะสงฆ์นี้อีกทีหนึ่ง นี่มันยิ่งกว่าบรรพชาคือมันแคบเข้ามาอีกให้มันชัดเจนรัดกุมเข้ามาอีก ว่าต้องทำอย่างนี้เลย ทำอย่างอื่นไม่ได้ สำหรับบรรพชิตนี้
ทีนี้สำหรับคำว่าบรรพชา ที่เป็นคำทั่วไปใช้ได้แก่ทุกลัทธินิกายนั่นล่ะ มันก็มีความหมายชัดเจนอยู่ในตัวเหมือนกัน ป ว ช แปลว่าไป หมด ไปหมดจากความเป็นฆราวาส มีความหมายอย่างเดียวกับคำว่า เนกขัมมะ แปลว่า หลีกออกไปจากเพศฆราวาส คำว่า เนกขัมมะ เป็นภาษาบาลี ภาษาไทยเราใช้ภาษาสันสกฤตเป็นรากฐาน มันจึงมีคำว่า (นาทีที่ 25:44) เนศกรม หรือคำว่า อภิเนศกรม ที่เป็นรูปภาษาสันสกฤต ที่แท้ก็คือคำว่า เนกขัมมะ ในภาษาบาลี ตัวนี้แปลว่า หลีกออกไปจากความเป็นฆราวาส
ที่นี้มันก็ความหมายเดียวกันกับ ป ว ช หรือ "ปพฺพชฺชา" นี่แหละ แต่ไปหมด ออกไปหมดจากความเป็นฆราวาส มันก็เป็นอันสรุปความได้ว่า ต้องเลิกจากความเป็นฆราวาสโดยสิ้นเชิง ถึงจะมากินเล่นหัวโลเลเหลาะแหละเหยาะแหยะ อย่างฆราวาสอยู่อีกก็เรียกว่าเป็นความเข้าใจผิดของผู้บวชนั่นเอง เพราะฉะนั้นอย่าได้มีอาการอย่างนั้นเลย อย่าสุมหัวกันคุยเล่น อย่าสุมหัวกันกินเล่น อย่าสุมหัวกันหัวเราะสรวลเสเฮฮาอย่างที่เป็นๆ กันอยู่โดยมากเลย มันจะไม่เป็นบรรพชา คือไม่เป็นแม้แต่เพียงบรรพชา ต้องเลิกที่ทำๆ อะไรกันอยู่ ถ้ามันผิดระเบียบไปจากบรรพชานี่ต้องเลิก อย่าเห็นแก่หัวเราะ อย่าเห็นแก่กิน อย่าเห็นแก่เล่น อย่าเห็นแก่หยอกเย้ากันอะไรทำนองนี้ เพราะมันเป็นเรื่องของฆราวาส ไม่เป็นบรรพชา ไม่เป็นเนกขัมมะ
ทีนี้ ปะ วะ ชะ ตามภาษาบาลีก็แปลได้เพียงว่า เว้นหมด เว้นหมดก็คือเว้นจากระเบียบต่างๆ ที่ว่าควรจะเว้น ถ้าพูดให้ดีก็ว่า เว้นจากสิ่งที่เป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ คำนี้จะกว้างและจะกินความหมด สิ่งใดเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ สิ่งนั้นต้อง ป ว ช คือต้องเว้นหมด เว้นเด็ดขาด มันก็ไปเข้าเรื่องเดียวกันอีกแหละ อย่าเล่นหัวอย่างฆราวาส อย่ากินอยู่อย่างฆราวาสนั้นเสร็จไปชุดหนึ่งตอนหนึ่ง แล้วทีนี้การอย่างอื่นที่มันไม่เหมือนกับฆราวาส แต่มันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ก็ยังต้องเว้นอีก ก็แปลว่าสิขาบทวินัยทั้งหลายที่มีอยู่อย่างไรก็ต้องเว้นกันให้หมดอีกทีหนึ่ง ก็เป็น ป ว ช ขึ้นมาเต็มที่ คือไปหมด เว้นหมดขึ้นมาอย่างเต็มที่ ข้าศึกแก่พรหมจรรย์น่ะ มันกว้าง มันจะมีสักกี่ร้อยข้อพันข้อก็ได้ ถ้ามันไม่เหมาะสมแก่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ก็ต้องเว้นหมด และคุณก็ต้องมีสติสัมปชัญญะให้ดีที่สุด แม้มันไม่ไปตรงกับเรื่องของฆราวาสแล้ว แต่มันยังใช้ไม่ได้สำหรับเรื่องของบรรพชิตล่ะก็อุตส่าห์ระมัดระวัง มันเป็นของที่ละเอียดประณีตขึ้นมา
อย่างสิขาบทในพระปาฏิโมกข์นั้นฆราวาสก็ไม่ต้องเว้น เราก็ต้องเว้นแล้ว ถึงแม้ที่สุดจะทำอะไรที่มันไม่น่าดูสำหรับพระซึ่งเป็นของชั้นละเอียดเรียกว่า การประพฤติที่ต้องประพฤติให้ยิ่งขึ้นไปก็ต้องเว้น อย่างจำพรรษาไม่ไปไหน มันก็เป็นเรื่องที่ประพฤติให้ยิ่งขึ้นไป อยู่ในพรรษาแล้วยังจะคิดไปเที่ยวไปไหนตามต้องการกันอยู่ ถามว่ามาทำไม มาเที่ยวนี่ ก็เห็นว่ามันไม่ไหวแล้ว คือไม่เอื้อเฟื้อต่อความมุ่งหมายของพรหมจรรย์แล้ว นี่คำว่าเว้นหมด ไปหมด ด้วยการประพฤติพรหมจรรย์ พรหมจรรย์แปลว่าการประพฤติที่ประเสริฐแล้วสูงสุด แล้วก็ถึงที่สุด
ขอให้เข้าใจให้ถูกต้องตามนี้ ให้เรียกว่าหมดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการบวช ทางโน้นบ้างทางนี้บ้าง ไอ้ที่เกลียดถึงกับไม่ยอมบวช มันก็มีก็เป็นเรื่องเข้าใจผิด ที่บวชที่เข้ามาอย่างยิ่งด้วยความงมงายก็ต้องเรียกว่าเข้าใจผิด แต่มันก็ยังดีอยู่ว่าแก้ไขให้มันถูกได้ บวชเข้ามาด้วยความจับพลัดจับผลู สะเพร่า งมงาย บวชมา บวชแล้วก็มาแก้ไขให้มันถูกได้นี้ก็ยังหมดความเข้าใจผิดไปได้ ขอให้เป็นไปตามความประสงค์ที่แท้จริงอย่างใดอย่างหนึ่งในสามอย่างที่กล่าวมาแล้วนั่นเอง
เดี๋ยวนี้เราเป็นภิกษุหนุ่มอย่างนี้ มันก็คงจะไม่ถึงขนาดที่เรียกว่าจิตมันสูง มันต้องการจะเลื่อนระดับสูงสุด มันก็คงไม่ถึง แต่ว่าอย่างน้อยมันก็จะต้องมาอยู่ในสองระดับ ที่เราจะถือโอกาสที่บวชนี้ฝึกฝนบังคับตัวเอง คือบังคับกิเลสให้เต็มที่กันสักที จะเป็นคนที่เรียบร้อยน่าดูว่องไวในการทำสิ่งที่ดีสึกออกไปแล้วมันก็ยังได้ประโยชน์ อย่างนี้ก็เรียกว่าบวชเพื่อเป็นโอกาสประพฤติการฝึกฝนบังคับตัวเองกันสักยกหนึ่ง แล้วก็ไปต่อสู้ต่อไปก็ได้ หรือถ้าใจมันสูงขึ้นมา มันก็จะตั้งปณิธานว่า เราจะบวชเพื่อเป็นโอกาสสำหรับประพฤติพรหมจรรย์กว่าจะถึงที่สุดแห่งความทุกข์ อย่างนี้ก็ได้เหมือนกัน แต่อย่างไรก็ดีมันก็ไม่พ้นไปจากความมุ่งหมายที่ว่า การบวชนี้จะต้องเป็นการฝึกฝนตนเอง บังคับตนเองอย่างยิ่ง แล้วก็อย่าได้มองข้ามไปเสีย เมื่อการบวชนี้มันมีได้ ตั้งแต่ระบบโรงเรียน หรือระบบเด็กวัดกันเลยทีเดียว ถ้าเด็กวัดมันอยู่ในระเบียบวินัยดี มันจะผิดจากที่อยู่ที่บ้านมาก แม้เด็กตัวเล็กๆ ยังพูดอ้อแอ้อยู่นี่ ถ้ามันมาเป็นเด็กวัด แล้วมันประพฤติตามระเบียบของเด็กวัด มันก็เป็นการบวชชนิดหนึ่ง เพราะมันต้องเชื่อฟังอยู่ในกรอบในขอบเขต ในความหมายเดียวกับพระ เณร เหมือนกัน มันก็เป็นการบวชระบบเด็กวัด ถ้ามันออก อยู่นอกวัดเป็นเด็กนักเรียนในโรงเรียน มันก็เป็นการบวชในระบบเด็กนักเรียน ถ้าว่าโรงเรียนนั้น มันเป็นโรงเรียนที่ดี โรงเรียนสมัยนี้มัน มันเต็มทีมาก มันมุ่งแต่จะสอนหนังสือกันอย่างเดียว ถ้าเป็นโรงเรียนสมัยก่อนมันอบรมจริยธรรมด้วย มันมีระเบียบอย่างนั้นอย่างนี้ ที่เกี่ยวกับศีลธรรม จริยธรรมอะไรต่างๆ ไม่เพียงแต่สอนหนังสือกันอย่างเดียวเหมือนเดี๋ยวนี้ จะเห็นระบบการเรียนเดี๋ยวนี้ มันสอนแต่หนังสือให้ฉลาด แล้วก็ฉลาดเพื่อเป็นอันธพาลด้วย การศึกษาชนิดนี้ยิ่งเจริญเท่าไรก็ยิ่งเต็มไปด้วยเด็ก พอโตขึ้นก็เป็นอันธพาล ก็เรียกว่าสมน้ำหน้ามันที่มันจัดการศึกษากันแบบนี้ คือระบบโรงเรียนนั้น มันไม่เป็นการบวชชนิดหนึ่งอยู่ในตัว
ถ้าหากว่าทำไปในตามแบบที่ถูกต้องตามความมุ่งหมายเดิมแล้ว ระบบโรงเรียนนั้นมันก็จะเป็นการบวชระดับหนึ่ง ชนิดหนึ่ง อยู่ในตัวมันเอง มันต้องประพฤติ ปฏิบัติเคร่งครัด แล้วก็จะไม่มีนักเรียนเกเรเหลวไหล เรียนไม่สำเร็จอย่างเดี๋ยวนี้ แล้วไม่ออกไปเป็นอันธพาลฝูงอย่างเดี๋ยวนี้ ถ้าระบบโรงเรียนมันก็เป็นระบบบรรพชาอยู่ในระดับหนึ่ง อย่างสมัยโบราณเพียงห้าสิบกว่าปีมานี้ ระบบเด็กวัดก็เป็นการบวชชนิดหนึ่ง ระบบเด็กนักเรียนก็เป็นการบวชชนิดหนึ่ง เรียกว่าบรรพชาได้เหมือนกัน แต่เขาไม่เรียกกัน แต่มันเป็นอยู่ในตัว มันเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ชนิดหนึ่งตามประสาเด็กและเด็กนักเรียน เคร่งครัดในระเบียบวินัยนี่
ถ้ามองเห็นถึงขนาดนี้แล้วผมยืนยันได้ว่า คุณไม่เข้าใจผิดเลยเกี่ยวกับเรื่องของการบวช ไม่ใช่เรื่องบ้าๆ บอๆ อย่างบางคนเข้าใจ แม้สมัยนี้ก็ยังมีความต้องการที่ว่าให้คนเราได้รับการฝึกฝนอบรมในระเบียบที่เคร่งครัดกันเสียสักพักหนึ่งก่อน แล้วจะไปทำอะไรก็ได้ เป็นชาวนา เป็นข้าราชการ เป็นอะไรก็ได้ มันเป็นคนที่ดีที่มันได้รับจากการบังคับตัว ข่มขี่กิเลส ปรับปรุงไปพอสมควรแล้ว จะไปเป็นข้าราชการที่ดี เป็นพลเมืองที่ดีได้ มันยังมีความจำเป็นอยู่จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ การบวชแม้ในระยะหนึ่งนั้น อย่างน้อยที่สุดเขาก็จะสามารถบังคับตัวเองได้ สามารถที่จะช่วยตัวเองได้เมื่อเกิดปัญหาในทางจิตใจขึ้น เพราะการบวชนี่อย่างน้อยนี่เขาก็ได้ยินเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มากกว่าที่บ้าน เป็นคนหนุ่มคนสาวก็มีปัญหาไอ้ร้อนแรงขึ้นมาในจิตใจก็จะสามารถขจัดออกไปได้โดยความรู้จากการบวชแม้เพียงชั่วขณะหนึ่งของการบวชนี้ยังมีประโยชน์อยู่
ขอให้หยุดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการบวชกันเสียทุกๆ ฝ่าย ทั้งฝ่ายที่ไม่เคยบวช และไม่ยอมบวช และทั้งฝ่ายที่บวชเข้ามาแล้ว ยังโง่ ยังงมงายอยู่เกี่ยวกับการบวชนี่เอง ก็ขอให้ไปปรับปรุงกันเสียใหม่ทุกๆ องค์ การบรรยายวันนี้ก็เห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้ว ขอยุติไว้เพียงเท่านี้ก่อน