แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ให้รู้จักไว้เป็นตัวอย่างเป็นการล่วงหน้า เราอยู่วันหนึ่ง ๆ มันสับเปลี่ยนกันอยู่ด้วยอำนาจของธาตุทั้ง ๔ นั้น เดี๋ยวเป็นกามเดี๋ยวก็หยุดไปจากกามไปบ้ารูป เดี๋ยวก็หยุดจากรูปไปหาอรูป แต่ว่ามันน้อยเต็มทีมันมักจะวกมาที่กามเสียอีก ถ้าวกมาที่กามมากเป็นประจำอย่างนี้เป็นลักษณะของปุถุชนอย่างนี้แล้วก็จัดบุคคลเหล่านั้นไว้ว่าตั้งอยู่ใน กามาวจรภูมิ แต่มันไม่ได้เป็นอย่างนี้ทุกคนไป มันมีบางคนที่มันมีจิตใจเป็นไปในทางรูป ชอบอยู่อย่างจืด ๆ ด้วยวัตถุที่ไม่เกี่ยวกับกาม ถ้ามันเป็นมากในนิสัยของเขาอย่างนั้น คนนั้นก็ต้องถูกจัดไว้ในฐานะสัตว์ผู้ตั้งอยู่ใน รูปาวจรภูมิ (01:06) เช่นพวกฤษี มุณี โยคีที่มันเป็นบ้าเป็นหลังในเรื่องเข้าฌาณเข้าสมาบัติอย่างรูปฌาณ มีความสุขเข้าฌาณนานนับเดือนไม่เคยเยื้องเคลื่อนกาย...จำศีล........................(1:19ฟังไม่ชัดไม่ได้ถอดเสียง)เป็นผาสุกทุกคืนวัน เมื่อเป็นเด็ก ๆ ไม่เคยอ่านหนังสือนี้บ้างหรืออย่างไร นั้นน่ะมันคือ รูปธาตุมันเป็นเจ้าเรือน ถ้าหากว่าเข้าฌาณสมาบัติสูงไปกว่านั้นโดยใช้อรูปธรรมเป็นอารมณ์แล้วมันก็ไกลไปกว่านั้นก็เรียกว่า ก็เรียกคนชนิดนั้นที่ชอบแต่อย่างนั้นว่าเขามีจิตใจที่ตั้งอยู่ใน อรูปาวจรภูมิ แต่เดี๋ยวนี้เรามาลงถึงคนธรรมดาสามัญนี้ก็เอาแต่ในคน ๆ เดียวกันและในปีเดียวกันเขาก็ยังมีจิตใจเปลี่ยนเดี๋ยวภูมินั้นเดี๋ยวภูมินี้ มันมากไปด้วยภูมิไหนก็จัดเขาไว้ในลักษณะนั้น หรือจะจัดให้ดีกว่านั้นก็ว่าในขณะใดเขามีจิตจมลงไปในกาม เขาก็เป็นสัตว์ใน กามาวจรภูมิ และเมื่อใดจิตของเขาดิ่งลงไปในรูปธรรมบริสุทธิ์ ก็จัดเขาไว้ว่าเป็นสัตว์ที่กำลังตั้งอยู่ใน รูปาวจรภูมิที่นี่และเดี๋ยวนี้ในบ้านนี้ในเรือนนี้ ถ้าสูงกว่านั้นก็เป็นอรูปาวจรภูมิ บ้าบุญบ้ากุศลบ้าเกียรติ์ บ้าอะไรไปตามเรื่อง อย่างนี้มันจริงกว่ามันเป็นปัญหาเฉพาะหน้ากว่า และโลกุตะระภูมิก็แทรกเข้ามาเป็นคราว ๆ เพราะว่ายังเป็นกุปปธรรม คือยังกลับกำเริบได้ เมื่อใดจิตสงบจากการรบกวนของธาตุทั้ง ๓ นั้นหรือภูมิทั้ง ๓ นั้นแล้วก็เรียกว่าอยู่ในโลกุตตรภูมิชนิดชั่วคราวชนิดตัวอย่างชนิดที่มันกลับกำเริบได้ แม้แต่แวบเดียวก็ยังดี (03:08) นี่ สิ่งที่เรียกว่าธาตุมันเป็นอย่างนี้ ถ้ารู้จักมันดีก็เรียกว่ารู้จักสิ่งที่สำคัญที่สุดพวกหนึ่งแล้วที่ทำให้เข้าถึงหัวใจของพระพุทธศาสนา เพราะว่าสิ่งที่เรียกว่า นิโรธธาตุ นั่นแหละสำคัญที่สุด และเป็นจุดมุ่งหมายของพุทธศาสนา และหวังว่านิโรธธาตุจะขึ้นมาเป็นเจ้าเรือน ถ้าผู้ใดมีนิโรธธาตุเป็นเจ้าเรือนมันก็ไม่หลงไปตาม กามธาตุหรือ รูปธาตุ หรือ อรูปธาตุ ก็จะเป็นบุคคลที่ว่าทำอะไรอยู่ได้ด้วยความเป็นสุขไม่มีทุกข์เลยแม้จะต้องทำงานมาก เช่น พระอรหันต์หรือพระพุทธเจ้า เป็นต้น ท่านก็ทำงานมากไม่แพ้กับพวกเรา ท่านไม่มีอะไรที่เป็นทุกข์หรือเป็นปัญหาหรือว่ารบกวนอะไร เพราะไม่มีกามธาตุ ไม่มีรูปธาตุ ไม่มีอรูปธาตุ เป็นต้นมารบกวน ถ้าเราทำไม่ได้อย่างนั้นเราก็พยายามที่จะทำให้ได้มากเท่าที่เราจะทำได้ คือพยายามที่จะไม่ปล่อยให้เกิดความทุกข์ความร้อนขึ้นมาในหน้าที่การงานในชีวิตประจำวัน เราจะจัดให้ดีที่สุดเกี่ยวกับธาตุหรือภูมิเหล่านี้ที่จะต้องควบคุมให้ได้ ให้สิ่งที่เรียกว่านิโรธธาตุนั้นน่ะมันเป็นเจ้าเรือนขึ้นมาเรื่อย ๆ คือดับ เย็นลงไป ไม่ปล่อยให้อำนาจของกามธาตุ หรือรูปธาตุ หรืออรูปธาตุครอบงำ สำหรับคนทั่วไปก็ต้องยอมรับว่าอำนาจของกามธาตุนั้นครอบงำยิ่งกว่าสิ่งใด จนถึงกับว่าแม้แต่จะได้สิ่งที่เป็นรูปธรรมมาก็มาเพื่อกามธาตุเสียแล้ว แม้แต่เล่นวัตถุสิ่งของมันก็น้อมนำไปเพื่อเป็นกามารมณ์ในแง่ใดแง่หนึ่งเสียแล้ว จะมีเงินเท่าไรก็เป็นไปเพื่อความหมายทางกามารมณ์ทั้งนั้น ยิ่งกินร้อนมาก(5:44)ยิ่งเป็นทุกข์มากก็รีบแสวงหาคุณค่าของธาตุที่ ๔ หรือธาตุที่มันจะหยุดหรือจะดับไอ้ความรู้สึกอย่างนั้นเสียก็อยู่(5:56)ด้วยสติปัญญา ทำการงานไปได้โดยไม่ต้องมีความทุกข์ เมื่อไม่ต้องตั้งหน้าตั้งตาเผชิญกับไอ้สิ่งที่เรียกว่ากิเลสขึ้นมาที่ติดตรึงขึ้นมาจากธาตุเหล่านั้น ถ้าขึ้น(6:13ไม่แน่ใจขึ้นหรือพึง)มาจากกามธาตุ มันก็เป็นกิเลสในทางกาม ถ้าพึงมาจากรูปธาตุมันก็เป็นกิเลสในทางรูป รูปธรรมหรือสิ่งที่เป็นวัตถุล้วน ๆ ถ้ามันเป็นสิ่งที่พึงมาจากอรูปธาตุมันก็หลงใหลในนามธรรมล้วนแต่เป็นความหลงใหลทั้งนั้น เรียกว่ากิเลสได้ทั้งนั้น บางทีก็อยู่ในรูปของอุปกิเลสคือมาในลักษณะที่มันแบ่งสัดส่วนกันมารบกวน เบากว่านั้นก็มาในรูปของนิวรณ์ ทำความรำคาญให้เสมอ ส่วนลึกมันก็เป็นสัญโยชน์ เป็นอนุสัย เคยชินอยู่ในสันดาน นี่ชีวิตประจำวันมันมีอย่างนี้ มีสติปัญญาให้พอมีสติคอยระวังให้พอ เดี๋ยวนี้เราจะเห็นได้ว่าคนในโลกนี้ทำผิดมากขึ้นทุกที
โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็ในธาตุที่ ๑ คือ กามธาตุ สิ่งที่เรียกกามธาตุได้หน้าที่ได้โอกาสเป็นเจ้าเรือนขึ้นขี่คอนั่งอยู่บนศีรษะ มนุษย์จึงกระทำผิดต่อสิ่งที่เรียกว่ากามธาตุมีผลทำให้เลวไปกว่าสัตว์ รับทุกข์รับโทษยิ่งไปกว่าสัตว์ เช่นโลกมนุษย์ต้องมีระบบโสเภณี ซึ่งสัตว์มันไม่ต้องมีนี้เรียกว่าดีหรือเลวกว่าสัตว์แล้วลองคิดดู มนุษย์ที่กามธาตุครอบงำอย่างบ้าหลังอย่างที่เราอ่านในหน้าหนังสือพิมพ์มันไม่น่าจะมีได้กระทั่งว่ามีการข่มขืนเด็กทารกอย่างนี้ สัตว์เดรัจฉานมันยังไม่มี นี้เพราะเหตุที่กามธาตุมันครอบงำมากเกินไปคนจึงเลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน แล้วก็ไม่มีใครหยิบขึ้นมาพิจารณาดูว่านี้เป็นปัญหา
นี่คือภูมิหรือชั้นของจิตใจมันแบ่งไปตามอำนาจของธาตุทั้ง ๔ เหล่านี้ ถ้า (8:32)ตามอย่างข้างต้นมันปรุงแต่งเป็นครั้ง ๆ คราว ๆ ไป โดยอาศัยนิโรธธาตุเข้ามาตัดตอนหรือระงับเสียคราวหนึ่ง คราวหนึ่ง ๆ ก็ยังเป็นการดีแล้ว ถ้าระงับได้สิ้นเชิงก็เป็นนิพพานที่แท้จริงและก็ไม่ต้องตาย และก็ทำอะไรได้ที่มีประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายเป็นอย่างมาก เช่นที่พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ท่านทำกัน
นี่คือการเข้าถึงหัวใจของพระพุทธศาสนามันมีลักษณะอย่างนี้ รู้จักไอ้สิ่งที่เรียกว่าธาตุนั้นแหละให้ถูกต้อง ขจัดให้ดี มีให้ดี ควบคุมให้ดีตลอดเวลานาทีในชีวิตวันหนึ่ง ๆ เดี๋ยวก็มีผล (9:24)เกิดขึ้นในระดับสูงที่เรียกว่ามรรคผลนิพพาน ทีนี้ครูบาอาจารย์พวกไหนก็อย่าออกชื่อเลย หรือว่าโดยมากแทบทั้งหมดก็ว่าได้เขาสอนว่ามรรคผลนิพพานนี้ไม่ต้องพูดถึงมันอยู่เหนือวิสัยหรือว่าเหลือวิสัย แต่อาตมาคิดว่าเราเอามาทำให้เป็นสิ่งที่มีอยู่กับเราในระดับหนึ่งเรียกว่า อย่างกุปปธรรมหรืออย่างโลกียะ ก็ได้ ถ้าเราพูดว่ามรรคผลนิพพานเป็นเรื่อง (10:02)โลกียะ ไม่มีใครยอมเชื่อไม่มีใครยอมฟังแล้วจะด่าว่าบ้าแล้วหรือว่าลบล้างพระพุทธวจนแล้ว นั่นก็เพราะว่ามันพูดตามตัวหนังสือมากเกินไปแล้วก็ติดตัวหนังสือมากเกินไป เพราะตัวหนังสือนั้นเขาก็พูดไว้ในลักษณะหนึ่ง หรือในบ้านหนึ่งไม่ได้พูดไว้ในลักษณะทั้งหมด สมมติว่าเรามองดูในลักษณะทั้งหมดแล้วเราอาจจะแยกไอ้สิ่งสูงสุดนั้นลงมาให้พออยู่ในระดับที่เราจะได้รับประโยชน์ได้ ยกตัวอย่างเช่น การบรรลุมรรคผลก็หมายถึงการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งลงไปอย่างถูกต้องแล้วก็ได้ผลขึ้นมาตามสมควร นั้นก็คือการบรรลุมรรคผล แต่เขามักจะเอาไปใช้กับคำบรรลุมรรคผลทางพระนิพพานทางโลกุตะระในทางชาวบ้านนี้ไม่ค่อยใช้ แต่ข้อเท็จจริงมันกลับมีว่ายืมคำชาวบ้านต่ำ ๆ นี้แหละไปใช้แล้วก็กลายเป็นเรื่องสูงสุด โลกุตะระ ในทางพระนิพพานไป มรรคก็คือการปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งก็เรียกว่า มรรค ผลเกิดขึ้นก็เรียกว่าผล หรือว่าถ้ามรรคเป็นหนทาง การกระทำก็คือการเดินทาง ถึงปลายทางก็ได้ผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ทีนี้เราขอยืมคำนี้กลับมาหยิบดึงออกมาเรามีสิทธิ์ที่จะหยิบดึงออกมา (11:40)เพราะว่าเขายืมของเราไป คำธรรมะทุกคำชั้นสูงสุดนั้นยืมคำชาวบ้านไปใช้ให้มีความหมายอย่างนั้น ทีนี้ทวงคืนมาให้ความหมายตามเดิม ว่าถ้ามรรคและผลก็คือการปฏิบัติแล้วก็บรรลุผล ได้อานิสงส์คือ สงบ เย็น ถ้าต้องการหาเงิน ปฏิบัติลงไปนั่นคือมรรคได้เงินมาก็เป็นผล ความสุขที่ถูกต้องจากสิ่งนั้นก็เรียกว่านิพพานได้ นี่อย่าง
โลกียะก็หมายความกันอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ก็ไม่สนใจไม่รู้จักใช้หลักเกณฑ์อันเดียวกันให้มันแก้ปัญหาได้โดยถูกต้อง มันก็เลยไม่มีหลักเกณฑ์อันไหนที่จะมาช่วยแก้ปัญหานี้ได้
ทีนี้เราจะแบ่งเป็น ๒ ฝ่ายไว้เสมอว่าชนิดชั่วคราว เป็นโลกียะ เป็นกุปปธรรมจะเป็นการกระทำก็ดี เป็นผลคือทางจิตก็ดี มันก็มีอย่างชนิดเป็นโลกียะเป็นกุปปธรรม แต่ถ้าว่าใจมันเย็นโดยนิโรธธาตุแล้วแม้ชั่วคราวหรือเป็นกุปปธรรมมันก็มีผลเหมือนกัน มีอาการมีรสชาติอย่างเดียวกันกับที่เป็นการถาวร ก็ถ้าเรานอนหลับถ้าหลับจริงมันก็มีผลมีรสมีชาติเหมือนกัน จะหลับมากหรือหลับน้อยหลับสั้นหรือหลับนาน มันต่างกันอยู่ที่ตรงนี้ว่ามันกลับมาอีกหรือมันไม่กลับมาอีก ถ้าเราระงับความทุกข์ได้มันก็มีรสชาติอย่างเดียวกัน มันผิดกันอยู่แต่ว่าอย่างหนึ่งมันกลับเปลี่ยนเป็นมีทุกข์อีก(13:29)อย่างหนึ่งมันกลับอีกไม่ได้มันมีเท่านั้น ..............................(13:34 ฟังไม่ชัดไม่ได้ถอดเสียง)กับสิ่งที่มันกลับไปกลับมานี้อย่าให้มีความทุกข์เกิดขึ้นได้ คือมีสติรู้ทันความคิดที ถ้ามันจะผิดเราก็รู้ทำความคิดดี อย่าให้มันผิด (13:42) มันก็รักษาความถูกนั้นไว้ได้และมันก็ยาวออกไป ยาวออกไป ยาวออกไปเดี๋ยวมันก็ชนกันหมดจนไม่มีช่องว่างที่จะให้ความทุกข์แทรกแซง ที่นี่และเดี๋ยวนี้ในโลกนี้ในชีวิตนี้เพราะปัญหามันอยู่ที่นี่ มันไม่ได้มีปัญหาต่อตายแล้ว เรื่องตายแล้วจะเกิดอีกหรือไม่เรายังไม่พูด เพราะว่าปัญหามันอยู่ที่นี่ ก็ต้องแก้ปัญหาที่นี่ให้ได้จึงจะเป็นคนฉลาด ถ้าหวังจะแก้ปัญหาต่อตายแล้วข้างหน้านั้นขออภัยนี่เรียกว่าคนโง่เกินกว่าที่จะโง่ เพราะปัญหามันอยู่ที่นี่ความทุกข์มันอยู่ที่นี่ทำไมจะไปคิดแก้ต่อตายแล้ว
ทีนี้ขอให้รู้เท่าทันสิ่งที่เรียกว่าธาตุที่จะดึงจิตใจให้เป็นไปแบบหนึ่ง แบบหนึ่งในชีวิตประจำวันนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือกามธาตุจะทำให้หลงใหลในกามารมณ์ ถ้าเรารู้เท่าทันและควบคุมได้ แล้วเราก็จะแปลงกิเลสให้เป็นประโยชน์ได้ ก็ไม่มีใครเชื่ออีกว่าจะแปลงกิเลสให้เป็นประโยชน์ได้ กิเลสน่ะมีกำลังเอาส่วนที่ผิดออกไปเสียให้เหลือแต่ส่วนที่เป็นกำลังก็เอามาใช้เป็นประโยชน์ได้ บางทีเราจะสามารถใช้คนบ้าให้เป็นประโยชน์ได้ถ้าเรารู้จักใช้ให้มันถูกกับเรื่องกับราวเพราะว่ามันมีกำลัง ถ้าจะโลภก็โลภให้สบาย ถ้าจะโกรธก็โกรธให้สบาย ถ้าจะโง่ก็โง่ให้มันสบายไปเลย นี่มันรู้จักอย่างนี้อย่าให้ไอ้ส่วนที่ผิดที่เลวร้ายมันเข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วก็โลภก็ได้ทำความดีอย่างเป็นคนละโมบโลภมากก็ได้ อย่าให้อวิชชามันเข้ามาครอบงำมันก็โลภได้สบาย แม้พระพุทธเจ้าท่านก็ได้ตรัสไว้ว่าไม่ต้องกลัวต่อความดี คือว่าไม่ต้องสันโดษในการทำความดี นี้เรียกว่ารู้จักโลภให้มันสบาย มันก็สบาย ก็มีกำลังอันหนึ่งสำหรับให้ทำงานที่เป็นประโยชน์ ถ้าจะโกรธก็โกรธให้สบายอย่าให้มันร้อนให้มันบังเกิดเย็น ไอ้โกรธนี้มันมีขึ้นมาเมื่อไม่ได้อย่างใจ ไม่ได้อย่างใจเราก็โกรธกับเขาบ้างเหมือนกัน แต่ว่าโกรธให้สบาย คือให้ไอ้ที่มันไม่ได้อย่างใจนั้นน่ะมันมาสอนเราให้เราฉลาดให้มันเป็นการศึกษา นี่โกรธให้สบาย โกรธเท่าไรก็ได้โกรธให้มันเย็น ถ้าโง่ก็โง่ให้มันสบายคือไม่อยากอะไร ไม่ต้องการอะไร ไม่อยากจะไปสัมภาษณ์สอนอะไร (17:06) ไม่อยากจะทำอะไรด้วยซ้ำไป ถ้าทำได้อย่างนี้ก็หมดดอันตราย กิเลสทั้งหลายก็มากลายเป็นอุปกรณ์สำหรับที่จะทำประโยชน์ไปเสียอีก แม้แต่ความตายก็กลายเป็นของมีประโยชน์ เพราะสอนให้เรารู้ว่ามันคืออะไรจนกระทั่งรู้จักความไม่ตาย ถ้ามันไม่มีความตายแล้วเราไม่มีทางที่จะรู้จักความไม่ตายหรอก พระนิพพานนั้นเป็นความไม่ตายหรือเหนือความตายก็สุดแท้มันต้องมีความตายมาเป็นปัญหามาเป็นการศึกษาเราจึงจะสามารถอยู่เหนือความตาย นี่พูดอย่างนี้มันบ้าหรือดี คนที่ไม่เข้าใจมันก็ว่าบ้าแต่คนที่มันเข้าใจมันก็คงจะคิดว่ามันน่าพิจารณามันน่าจะรับไว้พิจารณา รับไว้พิจารณาดู เมื่อทำอย่างนี้แล้วมันก็เป็นการเข้าถึงหัวใจของพระพุทธศาสนาได้เร็ว ๆ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ชีวิตนิรันดรหรือว่าความสุขนิรันดรมันอยู่แค่เอื้อมอย่างนี้มันอยู่ใกล้ ๆ อย่างนี้ มันอยู่ที่หน้าผากแล้วด้วยซ้ำไป เข้าถึงหัวใจของธรรมะให้ได้สิ่งเหล่านั้นก็ปรากฏออกมา นี่อานิสงส์ของการเข้าถึงหัวใจของพระพุทธศาสนามันมีอยู่อย่างนี้ แล้วมันไม่เหลือวิสัยแล้วมันทำได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ถ้าฉลาดสักหน่อยมันก็จะได้โดยไม่ยาก
ทีนี้ก็มาคิดดูว่าเราตั้งแต่เกิดมาจำความได้จนบัดนี้เราได้ดำเนินชีวิตมาอย่างไร ได้ทำอะไรไปโดยกำลังจิตกำลังใจกำลังกายทั้งหมดอย่างสุดเหวี่ยงแล้วมันได้อะไรมา เรากำลังหลงใหลในอะไรหวังพึ่งอะไร หวังพึ่งเงินที่สะสมไว้มาก ๆ หวังพึ่งเพื่อนฝูงมิตรสหายที่ได้ทำการผูกพันกันไว้มาก ๆ หรือว่าจะหวังพึ่งเกียรติยศชื่อเสียงอำนาจวาสนาที่หาไว้ได้มาก ๆ เอาสิจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้หรือไม่ มันจะเพิ่มความเป็นไฟร้อนให้มากขึ้นหรือไม่ มันต้องเข้าใจมันต้องเข้าถึงหัวใจของพุทธศาสนาเสียก่อน เงินจึงจะทำความเย็น เกียรติยศชื่องเสียงจึงจะทำความเย็น อำนาจวาสนาจึงจะทำความเย็น อะไรมันจึงจะพอเย็นแค่ว่าเข้าถึงธรรมะเสียก่อน นี้จึงเป็นสิ่งที่ต้องพูดกันกับบุคคลที่ไม่รู้จักสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่เกิดตั้งแต่จำความได้จนมาถึงบัดนี้ก็ยังไม่รู้จักสิ่งเหล่านี้
วันนี้มันเป็นโอกาศที่จัดไว้เป็นพิเศษสำหรับพูดตรง ๆ ไม่ต้องอ้อมค้อมไม่ต้องเกรงใจใครหมด เพราะว่าเรามาล้ออายุ เราประกาศสงครามกับสิ่งที่เรียกว่าอายุ แล้วเราจะตีฝ่าให้มันแตกหักออกไปให้มันทะลุออกไปได้ให้อายุมันหมดความหมาย ให้ชีวิตมันหมดความหมายที่เป็นเรื่องของความทุกข์ร้อน ฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายพิจารณาดูให้ดี ถ้าสิ่งแรกหรือสิ่งสุดท้ายคือสิ่งเดียวกันสำหรับพวกเราว่าจะต้องเข้าถึงหัวใจของพระพุทธศาสนาให้ได้ ปีนี้ก็ได้พูดในแง่นี้ในลักษณะอย่างนี้ ขอให้นำไปพิจารณา เวลาสำหรับการบรรยายในภาคเช้านี้ก็ควรจะถือว่าพอสมควรแก่เวลาแล้ว ก็ขอยุติไว้ก่อนจะมีพูดกันในภาคบ่ายหรือภาคกลางคืนอีกต่อไปตามหมายกำหนดการนั้น ดังนั้นอาตมาจะขอยุติการบรรยายในภาคเช้านี้ไว้แต่เพียงเท่านี้