แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในการทำบุญอายุทั้งหลาย วันนี้เป็นวันที่อาตมาถือว่าเป็นวันพิเศษ อย่างน้อยก็เป็นวันที่พูดอะไรได้ตามใจชอบอย่างที่เคยเป็นมาแล้วในปีก่อนๆ ดังนั้นในวันนี้ก็จะเป็นอย่างเดียวกัน คำพูดเหล่านั้นเป็นคำพูดที่เป็นอิสระ นั้นจึงแปลกกว่าทุกครั้งที่มีการบรรยาย
โอกาสแรกในวันนี้ อาตมาขอแสดงความขอบคุณ โดยประการต่างๆ ขอบคุณในการมาด้วยความเสียสละ ด้วยความหวังดีนี้เป็นต้น บางคนก็ต้องเสียสละมาก ลำบากมาก ก็ด้วยความหวังดีในอาตมาเป็นต้น จึงได้พากันมา นี้ก็ขอขอบคุณ ขอบคุณในการให้ของขวัญ ซึ่งรู้กันอยู่แล้วว่าคืออะไร และในลักษณะอย่างหนึ่งก็คือการรับเอาของขวัญไปให้ได้ และนี้ก็ยังขอบใจหรือขอบคุณ ของขวัญจากสถานที่นี้ก็คือความเกลี้ยงเกลาแห่งจิตใจ สมกับความหมายของคำว่า โมกขพลาราม ก็ยังขอบคุณในการช่วยเหลือ บางคนก็ได้ให้การช่วยเหลือด้วยกำลังทรัพย์ ด้วยกำลังกาย ด้วยกำลังใจ ซึ่งทีแรกก็ไม่ได้มุ่งหมายว่าจะให้มีการกระทำอย่างนี้ แต่แล้วมันก็มีจนได้ ด้วยการหวังดี จะต้องขอบคุณอยู่นั่นเอง นี้คือการขอบคุณในลักษณะต่างๆ กันอย่างนี้เป็นต้น
ทีนี้ก็ขออนุโมทนา ในการที่ท่านทั้งหลายมาเพื่อการล้ออายุ ก่อนนี้ได้เคยกล่าวมาแล้วว่าการทำบุญเนื่องด้วยอายุนั้นมีหลายอย่าง เราถือเอาอย่างหนึ่งคือการล้ออายุ ท่านมาเพื่อล้ออายุ หรือที่เรียกว่ามาเพื่อปล่อยเต่า ซึ่งได้เคยพูดกันมาแล้วโดยละเอียดในปีก่อน หรือแม้แต่จะมาเพื่อการทดสอบตัวเองร่วมกันกับอาตมานี้ แต่ละปีๆ อย่างนี้ก็ขออนุโมทนาด้วย ขออนุโมทนาในการที่ว่าได้สร้างวิธีการอย่างนี้ขึ้นมา รักษาวิธีการอันนี้ไว้ด้วยการล้ออายุ และก็ยังพอใจในการถูกล้อด้วย ที่จริงการถูกล้อนั้นมันควรจะโกรธมากกว่า แต่ว่าท่านทั้งหลายก็ยังพอใจ ยังอุตส่าห์มากันอีก และขออนุโมทนายิ่งขึ้นไป ในการที่ไม่เลี้ยงไก่ไว้ไข่ให้สุนัขกินเหมือนที่ทำกันโดยมาก มีคนเป็นอันมากเหน็ดเหนื่อยมากขึ้น เปลืองทรัพย์มาก ในการช่วยกันบำรุงพระพุทธศาสนา ในด้านวัตถุก็ดี ในด้านการปฏิบัติก็ดี ในแง่อื่นๆ ก็ดี นี้เรียกว่าลงทุนเลี้ยงไก่คือพระศาสนาไว้ แม้ที่ได้กระทำแก่สถานที่นี้ก็มีเป็นอันมาก ดังที่ท่านทั้งหลายก็เห็นอยู่แล้วว่ามันมีอะไรบ้างในสถานที่นี้ ครั้นการกระทำนั้นมาถึงขั้นที่จะได้รับประโยชน์บ้าง ก็สนใจกันเป็นอย่างดี อย่างนี้เรียกว่าไม่เลี้ยงไก่ไว้ไข่ให้สุนัขกิน ก็ตัวเองก็ได้รับประโยชน์อันนั้น แต่จะต้องขออนุโมทนาเป็นพิเศษ ในข้อที่ว่าไม่กินเปลือกไข่ บางคนกินไข่ไก่ แต่กินเปลือกไข่เสียก็มี กินส่วนที่เป็นเนื้อขาวก็มี หรือลึกลงไปถึงเนื้อสีแดงก็มี อย่างนี้ก็มันต่างกัน นั้นขออนุโมทนาผู้ที่รู้จัก หรือเอาส่วนที่เป็นประโยชน์ที่สุด นี้ก็เป็นตัวอย่างของเรื่องที่ขออนุโมทนา ขอให้รับทราบความเท่านี้
ทีนี้ก็อยากจะขออภัยเหมือนกับที่เขาขอกันบ้าง ขออภัยในการที่ว่า ต้องขอร้องให้ทุกคนที่มานี้เป็นเจ้าของบ้านเสียเอง จะมาจากที่ไกล อย่างจะมาจากกรุงเทพฯหรืออะไรเป็นต้นก็ดี มาจากที่ใกล้ๆ นี้ก็ดี ขอให้ทุกคนเป็นเจ้าของบ้าน ไม่เป็นแขกที่ต้องต้อนรับ ข้อนี้ไม่ใช่เอาเปรียบ เดี๋ยวจะหาว่าเอาเปรียบ ที่จริงมันก็เป็นการเอาเปรียบ แต่มันเป็นการเอาเปรียบที่ต้องการให้ได้บุญยิ่งขึ้นไปอีกหลายชั้น ท่านทั้งหลายลองทำตัวเป็นเจ้าของบ้านเสียเอง ไม่เป็นแขก ก็จะต้องได้บุญเพิ่มขึ้นอีกชั้นหนึ่งหรือสองชั้น สามชั้น เป็นแน่นอน ทีนี้จะขออภัยที่ว่า ถ้าการพูดนี้มันจะเป็นการพูดพล่ามไปบ้าง หรือเลยเถิดไปเป็นสุนัขปากร้าย อย่างที่เคยบอกกันมาแล้วแต่ครั้งก่อนๆ นี้ก็จะต้องขออภัย เพราะมันช่วยไม่ได้ มันทำอย่างอื่นไม่เป็น
นี้ต่อไปก็จะต้องขอแนะนำให้เป็นการทำบุญอายุให้ถูกวิธี คือให้ได้ประโยชน์มากที่สุด และก็เลือกเอาวิธีนั้น ถ้าว่าที่จริงแล้วการทำบุญต่ออายุนี่ การทำบุญเนื่องด้วยอายุนี่ มันเป็นการต่ออายุอยู่ในตัวด้วยกันทุกวิธี ขอให้ฟังดูให้ดี แม้เรื่องล้ออายุนี้มันก็เป็นการต่ออายุ ถ้าจะต่ออย่างยิ่งหรือต่อจริงกว่าที่เขาทำกันโดยมากเสียด้วยซ้ำไป การทำบุญเนื่องด้วยอายุนี้มีหลายอย่าง ทำเพราะกลัวก็มี เช่นกลัวตายก็ต้องทำบุญต่ออายุ ช่วยไม่ได้ คนที่ยังกลัวตายก็ต้องทำอย่างนั้น หรือทำเพราะกล้าก็มี อย่างกับว่ากล้าล้ออายุที่เลยเถิดไปเพราะบ้าบิ่นก็มี แม้ว่าจะชอบบุญก็ยังต้องระวัง ทำบุญอย่างไร อย่างใด ก็ล้วนแต่หวังที่จะให้อายุมันยืนยาวออกไป แล้วถ้าทำเป็นบุญจริง อายุมันก็ยืนออกไปจริงๆ ด้วยเหมือนกัน สำหรับในที่นี้ แนะว่าควรจะทำการล้ออายุในลักษณะเป็นการคิดบัญชีกับอายุ เพื่อการแก้ไข เพื่อการปรับปรุง ให้มันรุดหน้ายิ่งขึ้น ก็ลองคิดดูว่ามันต่ออายุหรือไม่ต่ออายุ ล้ออายุนี้เพื่อให้รู้อะไรบางอย่าง ว่ามีการแก้ไข มีการปรับปรุงเกี่ยวกับอายุนี้ ให้มันถูกต้องยิ่งขึ้น นี่มันจะเป็นการต่ออายุที่แท้จริง ถ้ามีธรรมะมากขึ้น อายุมันต้องยาวออกไปแน่ แม้พระพุทธเจ้าท่านก็ได้ตรัสไว้ในลักษณะเช่นนั้น ว่าผู้ประพฤติธรรมนั้น มันเป็นคนที่ไม่ตาย สรุปแล้วก็ขอแนะนำว่า เราจะต้องทำบุญอายุให้เป็นการต่ออายุจริงๆ แล้วก็ยิ่งขึ้นไป
เดี๋ยวนี้เรามีกันแต่ความกลัว จึงคิดทำบุญต่ออายุ และโดยปกติก็ไม่ค่อยจะสนใจกันว่า มีแต่ความเป็นทาส ถ้าบอกว่ามีแต่ความเป็นทาสนั้น คนก็ไม่ค่อยชอบใจ นี้มันต่ออายุไปไม่ได้ เพราะมันไปเป็นทาสของอะไรเสีย ไอ้สิ่งที่มันมาเป็นเจ้าเป็นนายนั่นแหละมันยึดตัวเอาไว้เสีย ไม่เป็นอิสระ การทำบุญต่ออายุก็เป็นไปได้โดยยาก นั้นขอโอกาสพูดถึงเรื่องความเป็นทาสกันเสียบ้างก่อน ถ้าชอบกิเลส ก็ต้องเป็นทาสของกิเลส ถ้าชอบบาป ก็ต้องเป็นทาสของบาปโดยไม่ต้องสงสัย ถ้าชอบบุญ ในลักษณะไหนก็ตาม มันก็ต้องเป็นทาสของบุญโดยไม่ต้องสงสัย ชอบกุศลก็เป็นทาสของกุศล ถ้าชอบพระพุทธเจ้าก็เป็นพุทธทาส ถ้าชอบพระธรรมก็เป็นธรรมทาส ถ้าชอบพระสงฆ์ก็เป็นสังฆทาส ชอบนิพพานเท่านั้น ที่จะไม่ต้องเป็นทาสของอะไร ก็ไม่ถูกล้อด้วย ถ้าชอบสวนโมกข์ให้ถูกวิธี ก็อาจจะช่วยให้พ้นความเป็นทาสได้เร็วขึ้นบ้าง ไม่มากก็น้อย นี่ขอให้ดูเรื่องความเป็นทาสอันเหล่านี้ให้ดีๆ เพราะว่ามันเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกันอยู่ หรือว่ามันก็เป็นอยู่แล้วจริงๆ ถ้าชอบกิเลสก็เป็นทาสของกิเลส รวมทั้งเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ นี้เป็นเหยื่อของกิเลสทั้งนั้น ถ้าใครชอบเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ มันก็หลีกไม่พ้น ก็ต้องเป็นทาสของกิเลส อย่างที่เราเห็นๆ กันอยู่ ถ้าเราจะไม่ชอบทำตัวให้มันมากเกินไปก็คงจะเห็นได้ไม่ยากเลย ถ้าเราไปชอบบาป มันก็เป็นทาสของบาป ต้องเตรียมหาข้อแก้ตัวไว้ให้มากๆ สำหรับไปแก้ตัวกับยมบาล ถ้าชอบบุญ ก็ต้องเป็นทาสบุญ แต่ก็ต้องยังระวังให้ดี ต้องระวังให้ดี มันยังเป็นโรค เป็นประสาทได้อยู่ คนที่เป็นทาสของบุญมากเกินไปนี้ระวังให้ดี จะเป็นโรคเส้นประสาทที่รักษาได้ยาก ถ้าชอบกุศล ก็เป็นทาสของกุศล นี้ค่อยยังชั่วหน่อย เพราะว่ากุศลนั้นมันแปลว่าตัด หรือชำระชะล้าง เป็นชื่อของบุญที่แท้จริง เราเรียกว่ากุศล ถ้าชอบพระพุทธเจ้า เป็นทาสของพระพุทธเจ้า นี่ก็รู้สึกว่ามันปลอดภัยดี ที่ฝากเนื้อฝากตัวไว้กับพระพุทธเจ้า จะรับใช้พระพุทธเจ้า มันก็ยิ่งมีแต่ทางที่จะเกิดคุณประโยชน์ ไม่ประกอบด้วยโทษ เป็นประโยชน์กว้างขวางออกไป ถ้าทำได้จริงก็ต้องทั้งโลกตามพระพุทธประสงค์ อย่างที่พระองค์ได้ตรัสไว้ ว่าตถาคตเกิดขึ้นนี้เพื่อประโยชน์แก่สัตว์โลก รวมทั้งเทวโลก พรหมโลก ถ้าชอบพระธรรมเป็นทาสของพระธรรม ก็ยิ่งมีหวังที่จะรอดได้ ธรรมะนั้นเพื่อความรอด เพื่อวิมุตติเท่านั้น ไม่มีเพื่ออย่างอื่น ถ้าเป็นทาสของพระธรรม ต้องรู้ไว้ ต้องยอมรับรู้ว่าจะต้องทำตัวให้รอด ถ้าไม่อย่างนั้นมันเป็นเรื่องพูดลมๆ แล้งๆ ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าชอบพระสงฆ์ก็เป็นทาสของพระสงฆ์ แต่นี่ต้องขอโอกาสพูดว่าพระสงฆ์มีหลายแบบ ก็เลือกแบบที่จะเป็นที่พึ่งได้ ก็มีสมมติสงฆ์ มีอริยสงฆ์ แม้แต่สมมติสงฆ์ก็ยังมีหลายแบบ ก็ต้องเลือกเอาเอง ถ้าชอบนิพพาน มันก็เป็นทาสของอะไรไม่ได้ เพราะว่าพระนิพพานนั้นเป็นความหลุดพ้นออกจากความผูกมัด ทุกอย่าง ทุกประการ ในแง่ของการมืดมน ก็พ้นจากความมืดมน ในแง่ของการผูกพัน ก็พ้นจากความผูกพัน ในแง่ของความทุกข์ ก็พ้นจากความทุกข์ ไม่มีอะไรที่จะต้องเป็นทาสอีกต่อไป นั้นอายุชนิดนี้ ไม่ควรจะถูกล้อ นี้ถ้าชอบสวนโมกข์ ก็ต้องไม่เป็นทาสใดๆ ด้วยเหมือนกัน เพราะคำว่าโมกข์มันแปลว่าพ้น ความหมายธรรมดาแปลว่าเกลี้ยง คือไม่มีอะไรมาพัวพัน ก็คือพ้น ถ้าพ้นแล้วจะเป็นทาสของอะไรได้อย่างไร นั้นถ้าเข้าใจความหมายของคำว่า โมกข์ หรือโมกขพล หรือกำลังของโมกข์ ก็ต้องช่วยให้พ้นความเป็นทาสไปตามลำดับ เดี๋ยวนี้เราไม่ค่อยคิดกัน ไม่มองกัน จึงไม่รู้จักความเป็นทาสที่มีอยู่ เพราะว่ามันมีได้โดยไม่รู้สึกตัว นั้นมองก็มองยาก เพราะว่าถ้าเป็นทาสอะไรเสียแล้ว ไอ้สิ่งนั้นแหละมันจะเป็นผู้มอง เช่นว่าเป็นทาสของกิเลสเสียแล้ว ไอ้กิเลสก็เป็นผู้มอง เพราะว่ามองกิเลสเป็นของดีไปหมด จึงได้หลงใหลในเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติอะไรต่างๆ นี้ ความลำบากมันก็อยู่ที่ตรงนี้ นั้นเราจะต้องทำกันอย่างสุดฝีไม้ลายมือ อย่าได้ประมาทเลย จึงจะรู้จักความเป็นทาสของสิ่งต่างๆ ที่กำลังเป็นกันอยู่ ในที่สุดก็จะขอร้องว่า ขอให้กลับไปด้วยความเกลี้ยง ถ้ามาทำบุญล้ออายุก็ขอให้กลับไปด้วยความเกลี้ยง ซึ่งเป็นความหมายของคำว่าโมกข นั่นแหละคือของขวัญ เป็นของขวัญที่ยิ่งๆ ขึ้นไป อย่าได้มีความเผลอเลอผิดพลาดในสิ่งใดๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็ในวินาทีสุดท้าย ที่จะต้องรู้จักกระโจนออกไปด้วยความดับไม่เหลือ นั้นมันก็เป็นยอดสุดของสิ่งที่มนุษย์ควรจะได้รับ เดี๋ยวนี้โลกนี้มันโคลงเคลงๆ ยิ่งขึ้นทุกที อย่างน่าเวียนหัว ก็ขอให้สนใจในการที่ อย่าให้มันทำให้เราโคลงเคลงไปตามโลกด้วย นี่คือเงื่อนงำที่จะต้องรำลึกในวันนี้ ที่เป็นการล้ออายุ
ทีนี้อาตมาก็ขอโอกาสที่จะพูดปรารภเรื่องของตนเองบ้าง โดยสิทธิที่ว่าวันนี้มันเป็นวันที่เราล้ออายุของอาตมา วันที่ ๒๗ พฤษภาคม เป็นวันที่สมมติไว้ สมมติของการโผล่ออกมาของสังขารกลุ่มหนึ่ง ซึ่งกำลังหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัย เขาเรียกกันว่าพุทธทาสบ้าง อะไรบ้างก็ตามใจ มันไม่ยอมฟัง มันมีแต่สังขารกลุ่มหนึ่งที่ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย จะไปดีไปร้าย หรือไปถึงที่สุด มันก็เป็นเรื่องของสังขารกลุ่มหนึ่งๆ ทีนี้มาคำนึงถึงข้อที่ว่าได้เวียนมาในลักษณะอย่างนี้ มากเข้า มากเข้า ความรู้สึกมันก็เปลี่ยนไป รู้สึกว่ายิ่งปี มันก็ยิ่งสั้นเข้า ปีหนึ่งดูมันยิ่งสั้นเข้า ทุกๆ ปี จนคล้ายกับว่าเมื่อวานนี้เอง นี้ดีว่ามันมีฤดูฝนมีอะไรออกมา เป็นเครื่องช่วยให้กำหนดได้ว่า ปีหนึ่ง ปีหนึ่ง ถ้าไม่มีอะไรมาเป็นเครื่องกำหนดอย่างนี้แล้ว คนก็จะไม่รู้สึกเลย จะประมาทมากขึ้น ขอให้สังเกตดูให้ดีๆ ว่า เด็กๆ มันรู้สึกอย่างไร คนหนุ่มคนสาวเขารู้สึกอย่างไร พ่อบ้านแม่เรือนจะรู้สึกอย่างไรต่อเวลาปีหนึ่งๆ หนึ่งๆ แล้วคนที่แก่มากๆ นี่ มันมีความรู้สึกอย่างไรในเวลาปีหนึ่งๆ ซึ่งจะมาล้ออายุกันเสียที ความรู้สึกนี้จะต้องแตกต่างกันมาก มันมีความแตกต่างกันโดยหลายอย่าง หลายทาง นั้นขอให้สมมติว่า อาตมาจะรายงานตัวเองให้ท่านทั้งหลายฟัง ทีนี้ความเปลี่ยนแปลง หรือความแปลกประหลาด ในส่วนร่างกายนี้มันก็แสดงออกมาให้เห็น จากการมองดูร่างกายของตัวเอง ก็รู้สึกว่าข้าศึกมันมีวิธีรุกอย่างไม่ให้เรารู้สึกตัว จะรู้บ้างก็เมื่อรุกเสร็จแล้ว ร่างกายถูกความชราเป็นต้น รุก มันก็ไม่เคยรู้สึกตัว มันรู้เมื่อมันรุกเสร็จแล้ว กำลังรุก หรือก่อนหน้ารุกนี้ไม่มีวี่แวว อย่างอาตมานี้เพิ่งรู้จักสิ่งที่เรียกว่าเป็นลมกับเขานี่เมื่ออายุตั้ง ๖๙ ปีแล้ว ก่อนนั้นโง่ ไม่รู้ที่เรียกว่าเป็นลมนั่นคืออะไร ที่มันหวิวๆ สั่นๆ หน้ามืด ความรู้สึกเหลือนิดเดียวนั้นน่ะ มันเพิ่งรู้จักเมื่อปลายปีที่แล้วมานี่เอง แต่มันก็ไม่เคยรู้ว่าที่ว่าเป็นลมนั้นคืออย่างไร เมื่อเห็นเขาเป็นกันบ้างก็ไม่รู้สึกว่ามันเป็นอย่างไร มันเพียงแต่เห็น ไม่ได้รู้รสรู้ชาติของการเป็นลม นี้เรียกว่ามันรุกชนิดที่ไม่ให้รู้สึกตัว รู้กันก็ต่อเมื่อรุกเสร็จแล้วอย่างนี้ เป็นต้น นั้นร่างกายของคนอายุมาก แม้จะอยู่ในสภาพที่เรียกว่าปกติดี บริบูรณ์ดี มันก็ไม่เหมือนกับของคนหนุ่มไปได้ มันมีอะไรที่น่าหัวหลายอย่าง น้ำแข็งเดี๋ยวนี้ก็ไม่เย็นมากเท่าที่เคยกินเมื่อหนุ่มๆ หรือเมื่อเด็กๆ อะไรมันเปลี่ยนไป น้ำแข็งมันก็คงจะเท่านั้นเอง แต่เรารู้สึกต่อมันนี้ มันเปลี่ยนไป น้ำตาลก็ไม่หวานเท่าที่เคยกินเมื่อหนุ่มๆ หรือเมื่อเด็กๆ แล้วกินน้ำมันก็ไม่ชื่นใจ เหมือนกับที่เคยกินเมื่อเด็กๆ ภูเขาเลากาต่างๆ มันก็ดูเล็กลงเป็นกอง บึง หนองนี่ ดูจะเหลือเท่ากับฝ่ามือ สิ่งที่มันเท่าฝ่ามืออยู่แล้ว ก็มองไม่เห็นไปเลย ปัญหาทางร่างกายมันก็น้อยไป หมดไปเพราะเหตุนี้ นี้ส่วนร่างกายมันก็ยังมี มีความเปลี่ยนแปลงอย่างนี้เป็นตัวอย่าง นี่คิดว่าท่านทั้งหลายคงจะสังเกตได้ ตามส่วนของวัยที่ได้ล่วงมา ล่วงมา นี้มาดูในแง่จิตใจกันบ้าง ถ้าดูในแง่จิตใจแล้วมันก็รู้สึกว่า มีกำลังใจ หรือมีใจชื้นขึ้นมาบ้าง ที่เดี๋ยวนี้มันก็รู้ความหมายของความดี หรือความชั่ว มากขึ้นกว่าแต่ก่อน เมื่อเป็นเด็กนั้นไม่ค่อยจะรู้ความหมายของความดีหรือความชั่ว ปัญหาไม่เกิด ความวิตกกังวลไม่เกิด แต่พอรู้จักความหมายของความดี ความชั่ว มันก็มีปัญหาเกิด ซึ่งมันเกิดมุทะลุ เป็นบ้าในเรื่องของความดี นี้มันก็เป็นปัญหา เพราะว่าที่จริง เพราะว่าอย่างน้อยมันก็ทรมาน แต่ความมุทะลุมันมีมาก มันก็เลยไม่รู้สึกเป็นทุกข์ในเรื่องทำความดี มันคงจะทำกันไปเรื่อยๆ นี้ก็ผ่อนคลายความยึดถือลง นี้ความดีมันก็จะทรมานเราน้อยลงเหมือนกัน เดี๋ยวนี้อะไรๆ ที่กินเข้าไปนี้ดูเหมือนจะไปเพิ่มกำลังใจ ไม่ได้เพิ่มกำลังกายเลย อาตมาไม่รู้สึกว่ามันแข็งแรงขึ้นเพราะกินอะไรเข้าไป แต่ส่วนจิตใจรู้สึกว่ามันมีแรงมากขึ้น ก็ถือเสียว่าอะไรๆ ที่กินเข้าไปนี้ ไปเพิ่มกำลังใจมากกว่าจะเพิ่มกำลังกาย ถึงจะอ้วนก็ไม่มีแรง แต่จิตใจนั้นมันอยากจะทำอะไรมากขึ้น ทั้งที่ร่างกายมันไม่มีแรง มันสั่นหัว มันตอบว่าไม่สู้ แต่ว่าจิตใจมันไม่ยอม มันเกิดความขี้เกียจแบบใหม่ ไม่ใช่ขี้เกียจแบบแต่ก่อน แต่ก่อนมันขี้เกียจเพราะอยากจะเอาเปรียบ เดี๋ยวนี้ถ้ามันจะขี้เกียจบ้างก็เพราะว่าร่างกายมันทนไม่ไหวจริงๆ มันต้องการจะพักผ่อน นี้ความทะเยอทะยานก็มีได้แต่ส่วนกำลังใจ ส่วนกำลังกายมันก็ไปไม่ไหว มันอย่างจะพักผ่อนยิ่งขึ้น ต้องการเวลาพักผ่อนมากขึ้น ความคิดมันก็อุตริแหวกแนว ไปในทางที่ว่า ให้เขาว่าเราเป็นคนบ้า เป็นคนเลว อะไรเสีย เขาจะได้ไม่มารบกวนเวลาพักผ่อนของเรา มันอุตริต้องการไปอย่างนี้ เป็นความเปลี่ยนแปลงที่น่าหัวเหมือนกัน เมื่อก่อนถ้าจะด่าใคร ก็ด่าเขาอย่างอวดดีบ้าๆ บอๆ แต่ว่าเดี๋ยวนี้ถ้าจะด่าใครบ้าง มันก็รู้สึกว่า ด่าเพราะว่ามีดีที่จะอวด หรือไปชี้แจง หรือไปว่ากล่าวเขา แต่ดูอีกทีหนึ่งก็ว่าเรี่ยวแรงที่จะไปด่าว่าเขานี้มันก็ลดน้อยลงทุกที แม้อย่างล้ออายุนี้ก็ขอให้สังเกตดูเถิดว่า มันต้องผิดกับปีแรกๆ ก็สงสัยว่าตัวเองนี้มันวิปริต วิปลาสมากขึ้นแล้ว มันทำอะไรแปลกๆออกไป มันแหวกแนวไปเรื่อย แต่คิดว่าคนอื่นๆ ก็คงจะมองตัวเองเห็นในลักษณะอย่างนี้ด้วยเหมือนกัน ความวิปริตนี้มันก็ไม่ใช่เลวไปส่วนเดียว วิปลาสก็เหมือนกัน มันแปลกธรรมดาไปก็ต้องเรียกว่าวิปริต หรือวิปลาส แต่ว่ามันมีประโยชน์ก็มี อีกทางหนึ่งเดี๋ยวนี้ก็ขี้ลืมมากขึ้น นี้ต้องขอถือโอกาสนี้ขออภัยทุกคน ทุกท่าน ทั้งหญิง ทั้งชาย ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ จำชื่อไม่ได้ ถูกต่อว่าอยู่บ่อยๆ บางทีก็ต่อว่าแรงๆ ด้วย ว่าได้เคยไปที่นั่น ได้เคยช่วยทำอย่างนี้อย่างนั้นให้แล้วทำไมจำไม่ได้ นี่มันก็จำไม่ได้จริงๆ ทั้งที่อยากจะจำมันก็ลืม มันมีมากขึ้นจนจำไม่ไหว ที่จำเป็นจริงๆ แล้วก็ต้องจด ที่จะเหลืออยู่บ้างก็แต่สิ่งที่คิดนึกได้เอง หรือว่าสำคัญที่สุดที่จะลืมไม่ได้นี้จึงจะจำได้ นี้ก็ต้องตัดใจว่าถ้าใครจะโกรธ เพราะลืมชื่อลืมหน้าลืมอะไรก็ยอม วิปริตเลยเดินเตลิดเปิดเปิงไปถึงว่า ถ้าเขาโกรธเพราะเหตุนี้ก็ไม่เป็นไร ไม่กลัวว่าเวลาตายจะไม่มีใครมาเผาศพ เพราะว่าไม่มีใครมาเผาศพก็ยิ่งดี อยากตายคนเดียวมากขึ้น นี่ดูความวิปริตอาตมาอย่างนี้ นี่แหละเป็นโอกาสที่ให้เป็นทาสของสังคมน้อยลง มันก็มีโอกาสได้เป็นทาสของพระพุทธเจ้ามากขึ้น สมตามเจตนา นี่คือข้อที่ว่าความเปลี่ยนแปลงมันได้เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ อย่างนี้ ทีนี้ก็ดูส่วนปัญญา มันเปลี่ยนแปลงในทางเจริญงอกงาม เข้าใจความหมายของพระพุทธวจนะมากขึ้นหรือลึกขึ้น การเปลี่ยนแปลงในส่วนปัญญานี้มันดูน่าจะพอใจ ความเปลี่ยนแปลงในทางร่างกาย ทางจิตใจนี้มีทำให้เกิดความยุ่งยาก ลำบาก ก็ยิ่งมองเห็นว่าไอ้เรื่องของปัญญานี้ ไม่ต้องมาจากอื่นแล้ว นอกจากที่จะทำให้เข้าใจในสิ่งที่กำลังมีอยู่นั่นแหละให้มากขึ้น ไอ้วัตถุดิบสำหรับที่จะเอามาปรุงเป็นปัญญานั้นมันเฟ้อแล้ว ล้นเหลือแล้ว ไอ้เราไม่ค่อยจะตั้งใจทำกับมันให้จริงจัง มีแต่เพ้อๆ เลื่อนลอย เพ้อๆ ไปนั้นแหละ หามามากเอาไว้คุยอวดกันเสีย ไม่ได้เอามาไตร่ตรองให้ลึกซึ้ง ไม่เอามาทดลองปฏิบัติ ไม่เอามากระทำไว้ให้มันเป็นนิสัยสันดานขึ้นมาใหม่ อาตมารู้สึกว่าปัญญามันเพิ่มขึ้น หรือมันเปลี่ยนแปลงไปในทางดีขึ้น นี่ก็เพราะว่าเรามันไตร่ตรองลึกซึ้งมากกว่าแต่ก่อน ทีนี้เรามาทดลองปฏิบัติมากยิ่งขึ้นไปกว่าแต่ก่อน แล้วมันก็ค่อยๆ จะเคยชินเป็นนิสัยในลักษณะอย่างนั้นมากขึ้นๆ เรื่องของปัญญามันเปลี่ยนแปลงมาในลักษณะที่น่าพอใจอยู่ เดี๋ยวนี้ก็อยู่ด้วยจิตว่างมากขึ้น ก็รู้จักสุญญตามากขึ้น จนจะพูดได้ว่าทุกๆ ปี มันไม่ได้คงที่ มันไม่ได้ถอยหลัง การอยู่ด้วยจิตว่างที่ถูกวิธี ถูกเรื่องของมันโดยแท้จริงนี้ มันก็เป็นเรื่องของสติ เรื่องของปัญญาอยู่มาก เมื่อก่อนเราพูดว่าเรารู้แล้ว เข้าใจแล้ว ที่จริงมันก็รู้นิดเดียว ไม่รู้จักสุญญตาหรือนิพพาน แม้สักครึ่งหนึ่งของความหมายทั้งหมด ขออย่าได้ประมาทเลย เดี๋ยวนี้ก็มีความผิดพลาดน้อยลง จนอยากจะท้ากับพวกพระพวกเณรที่หนุ่มๆ ที่กำลังอวดดี ว่าเดี๋ยวนี้อาตมามีความผิดพลาดน้อยลง เพราะมันระมัดระวังมากขึ้น เพราะมันมีการผ่านสิ่งต่างๆ มากขึ้น มีจิตเป็นอิสระจากสิ่งที่มายั่ว มากวนมากขึ้น ที่เป็นหนุ่มก็ทำไม่ได้เพราะว่ากำลังไม่รู้ว่าอะไร เป็นอะไร จะไปทางทิศไหน ทางไหน นี่เป็นตัวอย่างของการที่รู้สึกว่าความเปลี่ยนแปลงในทางปัญญานั้นก็เป็นไปในทางที่น่าจะพอใจอยู่
นี้มาดูในส่วนสติสัมปชัญญะ ก็รู้สึกว่าเปลี่ยนแปลงมากไปทุกปี คือมีปัญหาในทางนี้น้อย น้อยลง เพราะมันมีเรื่องที่จะต้องใช้สติสัมปชัญญะน้อยลง คือไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกับเรื่อธรรมดาสามัญ มันเกี่ยวข้องกับเรื่องในภายในมากขึ้น ทำด้วยความระมัดระวังดี มันก็ไม่มีการผิดพลาด ในอีกทางหนึ่งมันก็ไม่อยากจะทำอะไรเพิ่มขึ้น รู้สึกว่าไอ้ความอยากจะมีนั่น มีนี่ ทำนั่น ทำนี่ สร้างนั่น สร้างนี่ มันน้อยลง เรื่องที่จะต้องระมัดระวังมันก็น้อยลงตาม เดี๋ยวนี้ความผิดพลาดมันก็น้อยลง เพราะทำอะไรน้อยลง เพราะต้องการน้อยลง จะทำอะไรสักนิด ก็ทูลถามพระพุทธเจ้าก่อน สอนเท่าไรๆ พระหนุ่ม เณรหนุ่มก็ไม่ค่อยเชื่อ ยังอวดดีอยู่นั่นเอง ในข้อที่ว่า ทำอะไรให้ถามพระพุทธเจ้าก่อน มันก็เรื่องนิดเดียว ถ้าถือหลักเกณฑ์ว่าทำอะไรถามพระพุทธเจ้าก่อน แล้วก็จะมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ได้ง่ายขึ้น ยิ่งขึ้น เดี๋ยวนี้ก็รู้สึกรับผิดชอบมากขึ้น เมื่อก่อนนั้นจะเห็นว่า จะด้วยก็จะถือว่าถ้าปัดได้ก็เป็นปัด เพราะบางทีเราก็แก้ตัวซึ่งหน้าไปน้ำขุ่นๆ อย่างนั้น ที่จะไม่ต้องรับผิดชอบ เดี๋ยวนี้มันสมัครจะรับผิดชอบ และบางทีมันจะมากเกินไปด้วยเสียอีก พูดถึงความกลัว มันก็กลัวดีขึ้น เมื่อก่อนนี้มันกลัวอย่างโง่ๆ เลวๆ เดี๋ยวนี้ความกลัวของเรามันดีขึ้น ที่จริงรู้จักกลัว รู้จักแก้ปัญหา ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่าง ที่แสดงความเปลี่ยนแปลง ขอให้สังเกตไว้ สำหรับเอาไปล้อตัวเองเล่น ในเรื่องของอายุ ซึ่งจะต้องเป็นมา เป็นมา มีรายละเอียดมากมาย ซึ่งจะทำหวัดๆ หยาบๆ กันมันไม่ได้ แต่ถ้าเป็นคนประมาท ก็ไม่เห็นว่ามันมีเรื่องอะไรที่จะต้องระมัดระวัง ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วก็ ก็จะมีอายุชนิดที่ไม่น่าสนุกเลย จะมีอายุชนิดที่จะควรล้อ หรือว่าควรตบตีซ้ำไป
เอ้า, ทีนี้มาพูดถึงการล้ออายุ การล้ออายุนี่ เมื่ออาตมาเป็นคนล้อ ถ้าล้อตัวเองมันก็เป็นการเผชิญหน้ากันกับอายุเพื่อจะคิดบัญชีกันมากกว่า ถ้าจะมองไปยังสังคม หรือโลก มันก็จะกลายเป็นวันเห่าหอนของสุนัขปากร้ายเสียมากกว่า มันไม่รู้จะพูดอย่างไร ถ้าขืนพูดออกมามันก็จะเป็นลักษณะอย่างนี้ทุกที ขอให้ดูให้ดีเถอะว่ามันมีเรื่องที่จะต้องพูดกันมากในวันเช่นวันนี้ เมื่อจะล้อตัวเอง มันก็นึกถึงปณิธานที่เคยตั้งไว้ นี้บางคนก็ทราบดีแล้วว่าคืออะไร ตลอดเวลามานี้อาตมาตั้งปณิธานไว้ ๓ ประการ ว่าจะพยายามเข็นพุทธบริษัทนี้ให้เข้าใจในพระพุทธศาสนาของตัวเองยิ่งขึ้นๆ ข้อที่ ๒ ก็จะพยายามทำความเข้าใจระหว่างศาสนา อย่างที่๓ อันสุดท้าย ที่ถูกหาว่าบ้าบอที่สุด ก็คือพยายามที่จะเข็นกันให้ออกมาเสียจากอำนาจของวัตถุนิยมด้วยกันทั้งโลก โลกกำลังจะวินาศเพราะสิ่งที่เรียกว่าวัตถุนิยม เราก็อดไม่ได้ ไปคิดไปนึก มันทนอยู่ไม่ได้ นี่ก็คือปณิธานที่ว่าจะต่อสู้ จะดิ้นรน จะเข็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันออกมาเสียจากวัตถุนิยม บางคนเขาพอได้ยินหรือได้พิจารณาดูแล้ว เขาว่ามันเป็นเรื่องบ้า แต่เราก็สมัครที่จะบ้า ด้วยการที่จะรักษาปณิธาน ๓ ประการนี้ไว้ เพราะว่ามันตรงกับเจตนารมณ์ของคำว่าพุทธทาส คือมันเป็นความประสงค์ของพระพุทธเจ้า ยิ่งพิศก็ยิ่งเห็น ยิ่งพิจารณาก็ยิ่งแน่ใจ ว่าความประสงค์ของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้ อาตมาเลยรับเอามาเป็นปณิธาน ว่าจะช่วยให้พวกเราเข้าใจ หรือเข้าถึงหัวใจของพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น ก็ทำความเข้าใจอันดีระหว่างมนุษย์ด้วยกันในปัญหาที่มันเกี่ยวกับศาสนา หรือวิธีที่จะออกไปจากทุกข์ ในที่สุดเลยต้องดึงเพื่อนมนุษย์ด้วยกันออกมาเสีย จากอำนาจครอบงำของสิ่งที่เรียกว่ากิเลส ทีนี้ใช้คำว่าวัตถุนิยมมันตรงตัวดี ปณิธานทั้ง ๓ ประการนี้ มีคนรับรู้ เห็นด้วยแต่มันน้อยมาก มันน้อยเหลือเกิน เกิดเป็นภาระยากขึ้นมาอีก เพราะว่ามีคนยอมรับรู้ด้วยน้อยเหลือเกิน ถ้ามีผู้รับรู้เพิ่มขึ้น อาตมาก็ขอขอบพระคุณ เพราะหน้าที่ที่จะต้องทำนั้นมันก็คงจะเบาบางไปได้บ้าง เดี๋ยวนี้แต่ละคนๆ มีหน้าที่ของตนเป็นอิสระ ตามแต่ความพอใจจะพาไป คือแล้วแต่มันจะพาไปเป็นทาสของอะไร ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น เขาจึงมารับรู้เหมือนเราไม่ได้ จะรับรู้ความมุ่งหมายของเรา จะร่วมมือกันนี่ มันน้อย มันมีน้อย มันก็ไม่ควรจะไปโทษใครเพราะว่าปณิธานมันไม่เหมือนกัน ฉะนั้นถ้าผู้ใดมีปณิธานตรงกันก็คงจะง่ายที่จะร่วมมือกัน เพราะฉะนั้นอาตมาจึงยืนยันหรือประกาศปณิธาน ๓ ประการนั้นอยู่บ่อยๆ แล้วก็ถามกันดูเองเถิดว่ามีกี่คน ที่ยังเห็นว่าอาตมาทำถูกแล้ว มันวัดได้ด้วยจำนวนคนที่มาร่วมทำบุญล้ออายุกันในวันนี้ ถ้าเทียบกับคนทั้งหมดแล้วมันก็คงจะได้สักหยิบมือเดียว ปัญหาต่างๆ ที่มันเกิดอยู่ในโลกเวลานี้ มันก็ล้วนแต่เป็นทาส หรือคือตรงกันข้ามกับปณิธานนั้นๆ โลกมันกำลังมีปัญหานานาประการ ล้วนแต่เป็นของตรงกันข้ามกับปณิธานของเรา นี้ก็เพิ่มงานให้เรามากขึ้น คือโลกกำลังมีวิกฤตการณ์ ความโกลาหลวุ่นวาย ระส่ำระสาย ทุกข์ยากลำบาก ที่เรียกว่าวิฤตการณ์ มันแน่น แน่นหนาขึ้น ระบุกันเป็นเรื่องหนึ่ง ก็อย่าหาว่าด่าเลย เพราะว่าโลกมันกำลังเมาไอ้สิ่งที่เรียกว่าเสรีประชาธิปไตย ที่ให้โอกาสแก่การกอบโกยเพื่อตนๆ แล้วก็ว่าด่า อีกแล้ว เสรีในการที่จะตามใจกิเลส ส่วนธรรมะก็ดี พระเจ้าก็ดี ที่มาขวางทางในข้อนี้ ก็ถูกกีดกันออกไป ก็ถูกเหยียบย่ำให้มันหมดไปเลย นี่ไม่มีธรรมะ ไม่มีศาสนา ในโลกของบุคคลชนิดนั้น แต่ก็ระวังให้ดี ระวังให้ดี ว่าในโลกของบุคคลบางประเภทนี้ ก็กำลังทำอยู่โดยไม่รู้ตัว ถึงแม้พวกเราที่นั่งอยู่ที่นี่ ก็ยังต้องขอว่าให้ระวังให้ดี จะไปเหยียบย่ำธรรมะ หรือพระเจ้าเข้าโดยไม่รู้สึกตัว ตลอดเวลาที่ยังไม่ได้จบปฏิบัติตามพระพุทธประสงค์ อย่างแท้จริงแล้ว ก็ยังจะต้องเรียกว่าเหยียบย่ำพระพุทธประสงค์อยู่โดยไม่รู้สึกตัวอยู่นั่นเอง เห็นภิกษุ สามเณร หรือว่าเป็นอุบาสก อุบาสิกาอยู่ ก็อาจจะมีอาการอย่างนี้ได้โดยไม่รู้สึกตัว แม้ว่าล่วงมาจนถึงที่เรียกว่าแก่ชราหัวหงอกแล้วก็ยังมีได้ เพราะว่าคนแก่ๆ มักจะอวดดีมากยิ่งขึ้น ก็มี เข้าใจว่าตัวมีอายุมากแล้ว รู้อะไรพอแล้ว มันก็ให้โอกาสแก่ความอวดดี ที่จะไปเหยียบย่ำพระพุทธประสงค์เข้าโดยไม่รู้สึกตัว พระองค์ต้องการให้มีธรรมะอย่างที่มันจะมีในจิตใจโดยแท้จริง ก็มีกันแต่สำหรับพูดเท่านั้นเอง อย่างนี้จะไม่เรียกว่าเหยียบย่ำพระพุทธประสงค์อย่างไร ก็เดี๋ยวนี้ที่เขาว่าชาวโลกทั่วไปนั้นมันมากกว่านั้นมาก คนที่เหยียบย่ำธรรมะ เหยียบย่ำอะไรทุกอย่าง กระทั่งว่าพระเจ้า คือตัดพระเจ้าออกไปเสียจากวงของชาวโลกโดยเจตนาก็มี คือมันตกเป็นทาสของกิเลสแล้ว มันก็เหยียบธรรมะ เหยียบพระเจ้าโดยเจตนา แล้วมันยังมีบางเรื่อง บางอย่างเหลืออยู่มันรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็ทำไปโดยไม่รู้ตัว นั้นเรื่องที่จะต้อง คือพิจารณาให้ดีๆ ด้วยความไม่ประมาทนี้ยังมีอีกมาก มันเป็นปัญหาที่หนักมาก และใหญ่มาก
ปัญหาของโลกเวลานี้ อีกแง่หนึ่งก็คือว่ากำลังบ้าปรัชญา บางคนจะไม่เข้าใจ เป็นชาวบ้านเกินไป ไม่รู้ว่าปรัชญานั้นคืออะไร จะบอกให้ฟังย่อ ๆว่า ปรัชญานั้นคือสิ่งที่เขาเห่อตามก้นพวกฝรั่งแล้วเอามา จะเรียนอะไรก็เรียนอย่างวิถีทางของปรัชญา จะเรียนพุทศาสนาก็เรียนอย่างวิถีทางของปรัชญา เลยไม่รู้จักพระพุทธศาสนาในส่วนที่เป็นพุทธศาสนา เห็นส่วนที่เป็นพุทธศาสนาคือเป็นศาสนานั้นเป็นของทึบ เห็นพุทธศาสนาส่วนที่เป็นของปรัชญานั้นว่าเป็นของโก้ เป็นของมีเกียรติเป็นของอะไรตามก้นพวกฝรั่ง ซึ่งเมาปรัชญากันทั้งโลกมากขึ้นทุกที อะไรๆ ก็จะเอ่ยคำว่าปรัชญาขึ้นมาก่อน ปรัชญานั้นมันไม่วิเศษอะไร เจ้าตำหรับปรัชญาก็ต้องตาย ต้องฆ่าตัวเองตาย นี้ไปถามดูเถอะ ไอ้นักศึกษาหนุ่มๆ ว่าใครเป็นต้นตำหรับปรัชญา แล้วก็จะระบุไปยังคนที่เด่นที่สุดคือโสเครติส แล้วก็ไปศึกษาประวัติของเขาดู เขาก็ต้องตาย ต้องยอมกินยาพิษตาย เพราะว่าความดันทุรังในแง่ของปรัชญา ถ้าเขารู้สิ่งเหล่านี้ในแง่ของศาสนาคือการปฏิบัติกาย วาจา ใจ โดยตรง โสเครติสไม่ต้องตาย นั้นอย่าไปบ้าปรัชญา ชนิดที่ทำให้ผู้ก่อการขึ้นมานั้นจะต้องตาย สรุปแล้วปัญหามันมากขึ้น แม้ว่าจะมีการต่อสู้กันสักเท่าไรๆ มันก็รู้สึกว่ายังไม่ค่อยจะแน่ใจหรือจะหวังผลได้ แต่แล้วก็ต้องพยายามต่อสู้ไป ใครจะว่าเป็นสุนัขปากร้ายก็ยินดี มันก็เห่าเพ้อๆ ไปข้างเดียว ด้วยความหวังว่าศีลธรรมมันจะกลับมาครองโลกนี้ สรุปความในข้อนี้ก็ว่าปัญหามันมากขึ้นสำหรับทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับอาตมาผู้มีปณิธานไว้อย่างนี้ ก็สงสารตัวเองมากขึ้น และก็สมน้ำหน้าที่มันมีปณิธานเช่นนี้ แต่แล้วมันก็ไม่ยอมแพ้ อย่างไรๆ มันก็จะดันทุรังเรื่อยไป นี่คือเรื่องของอาตมาโดยส่วนตัว เป็นเรื่องควรจะเก็บไว้เป็นความลับของตัวไม่เอามาเปิดเผย แต่เดี๋ยวนี้มันเป็นวันที่จะล้ออายุ ถ้าไม่เปิดเผยมันก็ไม่รู้จักเจ็บปวด ไม่น่าละอายที่ตรงไหน เอามาแสดงอาบัติแก่เพื่อนพุทธบริษัททั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันในวันเช่นวันนี้ ในเรื่องที่จะปรารภถึงตนเอง
ทีนี้ก็มันจะนึกถึงข้อต่อไปว่า แล้วจะทำอะไร จะรู้อะไร จะแก้ปัญหากันอย่างไรต่อไปนี้ ในวันนี้ในภาคเช้านี้ ตั้งใจว่าจะพูดถึงเรื่องการเข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตน ของตนให้ยิ่งขึ้นไป เพียงข้อเดียว หรือเพียงปณิธานเดียว การเข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตนนี้ ขอฝากไว้สำหรับทุกคน จะไปพิสูจน์ทดลองดูว่าเข้าถึงหรือเปล่า เข้าถึงมากน้อยเท่าไร ขอยื่นให้แก่ท่านทั้งหลายด้วยความบังคับ ก็ขอให้เอาไปพิสูจน์ดูว่าตัวเองกำลังเข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตนเท่าไร ถ้าท่านไม่ลำเอียง ไม่เอาเปรียบ ก็คงจะยอมรับคือเห็นด้วย ว่ามันเป็นสิ่งที่สมควร หรือจำเป็น ยิ่งกว่าสมควร ยิ่งกว่าจำเป็น ในการที่ทุกคนจะต้องเข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตน อย่าเพ้อ อย่าเพ้อ อย่าหว่านโปรยแกลบ จนไม่มีเม็ดข้าว ถ้าเข้าใจเรื่องสุญญตา หรือสุตตันตะที่เนื่องด้วยสุญญตา ก็เรียกว่ามันเป็นพระพุทธศาสนาที่แท้จริงแต่ดั้งเดิมที่พระพุทธเจ้าท่านยืนยัน เดี๋ยวนี้เรามันก็ไปชอบไอ้สิ่งที่เป็นเปลือก ที่เป็นกระพี้ เพราะว่ามันสนุกสนาน เอร็ดอร่อย สวยงามดี คือเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับสุญญตา แต่ว่าได้ร้อยกรองขึ้นมาใหม่ สละสลวย ด้วยอักขระ พยัญชนะ ที่เสนาะโสต หนังสืออย่างนี้ขายดี จนต้องเอาเรื่องสุญญตาซึ่งเป็นสาระพระพุทธศาสนานี้ไปปั้น ไปแต่ง ไปหุ้มห่อ อะไรออกไปขายหรือออกไปเผยแพร่ ถ้าขายก็เอาเงิน ถ้าเผยแพร่ก็เอาเกียรติ นั้นการสอนที่มันเป็นเหมือนกับกลองศึก ที่ชื่ออานกะของกษัตริย์ทสารหะ ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงยกขึ้นมาเป็นอุทาหรณ์นี้มันมากขึ้นทุกที่ ที่ร้านขายหนังสือธรรมะ หนังสือธรรมะประเภทกลองศึกชื่ออานกะนี้ มันขายดี ไอ้หนังสือชนิดที่พูดถึงสุญญตาโดยตรงนั้นมันขายยาก นี้ก็เป็นเครื่องวัดความเปลี่ยนแปลง ถ้าเราไม่ลำเอียง เราก็ต้องรู้ว่าเรากำลังจะทำพุทธศาสนานี้ให้มันมีเปลือกหุ้มห่อหนาขึ้น คือเอาของอื่นมาปะ มาดาม มาปะ มากขึ้นจนไอ้เนื้อเดิมมันจะไม่มีเหลือ ทีนี้ขอให้ดึงจิตใจกลับมาใหม่โดยไม่ลำเอียง คือพยายามจะขุด จะแคะ จะควักลงไปให้ถึงเนื้อแท้ที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาให้จนได้ มันก็จะได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ด้วย นี้ดูถึงความลำเอียงกันบ้าง บางคนอาจจะกำลังคิดว่าความลำเอียงนี้มันเป็นเรื่องที่จะพูดกันกับพวกผู้พิพากษา จะวินิจฉัยคดี ตัดสินคดีความเท่านั้น เพราะว่าเรื่องอคติ ๔ เราก็พูดกับคนๆ นั้นมาก ถ้าอย่างนี้ก็โง่ไปถนัด เพราะเรื่องความลำเอียงนี้มันไม่ใช่เฉพาะเรื่องอย่างนั้น มันเรื่องเกี่ยวกับทุกคนที่จะต้องทำหน้าที่ของตนด้วยความไม่ลำเอียง รับผิดชอบโดยที่ไม่ลำเอียง ถ้าเกิดความลำเอียงแล้วมันก็เสียหายหมดไม่ว่าเรื่องอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่จะเข้าถึงหัวใจแห่งพระพุทธศาสนานั่นแหละ จะเสียหมด ถ้าท่านมีความลำเอียง มันก็ไม่ ไม่ ไม่มี ไม่มีความพยายามที่จะเข้าถึงหัวใจพระพุทธศาสนา เพราะความลำเอียงของกิเลสนั่นแหละมันมาดึงไป ลากพาไปเสีย ความลำเอียงทุกชนิดเป็นเรื่องของกิเลส ช่วยให้เข้าใจง่ายท่านจึงแยกมันออกไปเป็น ๔ อย่าง ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรัก โทสาคติ ลำเอียงเพราะโกรธหรือไม่ชอบ ภยาคติ ลำเอียงเพราะกลัว โมหาคติ ลำเอียงเพราะโง่ ๔ อย่างนี้เป็นที่ตั้งแห่งความลำเอียงและก็วินาศในทาง ทางศีลธรรม ในทางธรรม ในของจิตใจโดยเฉพาะ ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรัก มันรักกิเลส มันรักเนื้อหนัง รักกิน รักกาม รักเกียรติ ก็ไม่ให้ความเป็นธรรมแก่พระธรรม ก็สะสมเงินไว้ สะสมเรี่ยวแรง เวลา อะไรต่างๆ ไว้ ก็เพื่อจะใช้ไปในทางในสิ่งที่ตัวรัก อย่างนี้ก็เรียกว่าลำเอียงต่อพระธรรม ลำเอียงต่อความถูกต้องในความเป็นมนุษย์ของตัวเอง ถ้าจะมองกันถึงโทสาคติ ลำเอียงเพราะเกลียด เพราะโกรธ เพราะไม่ชอบ คนที่เป็นปุถุชน คนที่รังเกียจนิพพาน รังเกียจความสงบ มันไม่อยากมาวัด มันไม่อยากสนใจกับธรรมะที่เป็นเรื่องของความสงบ มันต้องการจะไปที่นั่น ที่กิเลสของเขาต้องการจะไป มันก็โกรธคนที่สั่งสอน เปิดเผย ชี้แจงเรื่องความสงบด้วย มันไม่เพียงจะเกลียดความสงบอย่างเดียว มันพาลโกรธไอ้คนที่ชี้แจง สั่งสอนเรื่องความสงบ อย่างนี้มันลำเอียงเพราะมันเกลียด เพราะมันโกรธนิพพาน ซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ดูต่อไปถึงความลำเอียงเพราะกลัว เห็นอยู่ ได้ยินอยู่ บางคนนี้ไม่กล้าสนใจธรรมะ อย่าว่าแต่จะปฏิบัติธรรมะเลย แม้แต่สนใจธรรมะก็ไม่กล้า หรือกลัว กลัวลูกจะโกรธ กลัวเมียจะโกรธ กลัวผัวจะโกรธ อะไรจะโกรธ อย่างนี้ก็กลัว อย่าให้ยกตัวอย่างให้มากกว่านี้เลย เพราะพอจะมองเห็นกันอยู่แล้ว นี้มันลำเอียงเพราะหลง โมหาคตินี้มันโง่ว่า ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม มันก็ลำเอียงได้โดยไม่รู้สึกตัวและโดยอัตโนมัติด้วย ไม่รู้สึกตัวด้วย นี่เป็นการลำเอียงต่อพระธรรม หรือว่ามีอยู่แต่ทุกคนก็ว่าได้ มันไม่มากก็น้อยที่ลำเอียงต่อพระธรรม นี้ความลำเอียงต่อพระธรรม มีแก่ผู้ใดหรือของผู้ใด มันก็ทำอันตรายผู้นั้น หรือถึงกับเชือดคอผู้นั้นเลยก็ได้ กลัวต้องสูญสิ้นไปจากความดีที่จะได้รับจากพระธรรม หรืออย่างน้อยมันก็เป็นอุปสรรค ทำให้คนนั้นล้มลุกคลุกคลานในการที่จะปฏิบัติธรรมไปตามทางของพระธรรม นี่เรื่องความลำเอียง นี้อย่าเอาไปโยนให้แก่พวกผู้พิพากษาหรือพวกผู้มีหน้าที่อย่างนั้น ทุกคนนั่นแหละมีความลำเอียง แก้ความลำเอียงข้อนี้ให้ได้แล้วความลำเอียงอย่างอื่นจะหมดไป ไม่มีเหลือ สรุปในข้อนี้ก็ว่าต้องหยุดความลำเอียงกันเสียที โดยเฉพาะอย่างยิ่งโมหาคติที่ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม อันนี้แหละโมหาคติ เป็นสิ่งที่ทำให้เรากลายเป็นแรด ใครจะเป่าปี่เท่าไรมันก็ไม่ได้ยิน ถ้าหมดอคติเหล่านี้แล้ว การเป่าปี่ให้แรดฟังมันก็จะหมดไปเอง คือมันไม่มีแรด เดี๋ยวนี้มันมีแรดตั้ง ๒ จำพวก คือแรดที่เป่าปี่เท่าไรมันก็ไม่ได้ยิน ก็เป็นแรดพวกหนึ่ง แล้วแรดพวกหนึ่งมันได้ยินผิดๆ พูดอย่างนี้มันได้ยินอย่างโน้น เช่นพูดว่าความว่างนี้ มันก็ว่าว่างที่มันไปเล็งเป็นความว่างที่น่ากลัว จนวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงไปไม่สนใจ ได้ยินธรรมะในลักษณะที่ไม่น่าจะรับเอา ก็มีภาพๆ หนึ่งเขียนไว้ที่ผนังชั้นบนด้านนอก เป็นภาพแจกลูกตา แล้วจำนวนมากไม่ยอมรับเอา วิ่งหนีเสีย ไม่ต้องมีลูกตากัน ไอ้ที่ยอมรับลูกตาเอาไปสวมใส่ไว้มีสองสามตัว ไอ้ที่ไม่ยอมรับ วิ่งไปอย่างคนหัวขาดนั้นมันมีเป็นฝูงๆ นี่แรดอย่างนี้มันก็มี ไม่ฟังหรือไม่ได้ยินเสียเลยมันก็มี แล้วฟังก็มีแต่จะฟังผิด ได้ความหมายเป็นอย่างอื่น เลยเข้าใจเรื่องจิตว่างเป็นสิ่งที่น่าเกลียด น่ากลัว ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ แล้วก็ค้านจิตว่างขายเป็นอาชีพไปเลย คือมีอาชีพด้วยการค้านเรื่องจิตว่าง ทีนี้แรด ๒ พวกนี้มันจะหายไป ถ้าว่าเลิกอคติกันเสียอย่างเดียวเท่านั้น ก็ขอให้ระวังสักหน่อยว่า เรากำลังเป็นแรดกันหรือเปล่า ขออภัยระบุที่นั่งกันอยู่ที่นี้ ในบรรดาแรด ๒ จำพวกนั้น เราเป็นชนิดไหนกับเขาด้วยหรือเปล่า ถ้าเป็นแรดแล้วก็ไม่รู้จักความสงบแน่นอน ไม่ว่าความสงบชนิดไหน เพราะหัวใจของพระธรรม หรือพระศาสนานั้น มันก็อยู่ที่ความสงบ แล้วก็ไม่เข้าใจความสงบ ไม่ชอบความสงบ จะพูดว่าหัวใจของพระศาสนา ทีนี้มันก็ยังมีปัญหาซึ่งต้องพูดกันมา โดยเฉพาะในวันเช่นวันนี้ พอบอกว่าหัวใจของพุทธศาสนานั้น มันอยู่ที่ความสงบในจิตใจของคน เขาก็หาว่าพูดอย่างละเมอๆ เพ้อเจ้อ หัวใจของพระศาสนาทำไมมาอยู่ในหัวใจของคนนี้ เขาไม่ฟัง จะหาว่าผู้พูดนี้เสียสติไปแล้วก็ได้ เขาชอบหัวใจของพระศาสนาก็อยู่ในพระไตรปิฎก หัวใจศาสนาก็จารึกไว้ตามแผ่นอิฐ เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา ขุดพบเยอะแยะที่นครปฐมว่าหัวใจพุทธศาสนา แต่หัวใจศาสนา โดยเฉพาะพุทธศาสนานี้มันต้องอยู่ในหัวใจของคนที่มีความสงบ ทีนี้เขาชอบให้หัวใจของศาสนาอยู่ในพระไตรปิฎก หรือในจารึก หรือว่าในเสียงที่กำลังพูด กำลังเทศน์ กระทั่งว่ามันอยู่ที่พิธีรีตอง อยู่ในเครื่องรางของขลัง เหล่านี้มันไม่ใช่อยู่ในคนทั้งนั้น อย่างดีที่สุดมันก็เป็นเรื่องช่วย กันลืม ป้องกันการลืม ให้คนเอามาทำ ให้มันเกิดขึ้นจริงๆ เหมือนมันอยู่ในหัวใจของคนนั่นแหละจึงจะเรียกว่าหัวใจของพระศาสนาโดยแท้จริง ไม่ใช่เรื่องตัวหนังสือ ไม่ใช่เรื่องคำพูด ไม่ใช่เรื่องที่เอามาคำนึง คำนวณกันไม่มีที่สิ้นสุด ถ้ามันอยู่นอกตัวคนแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร เพราะว่าสิ่งมันเป็นตัวปัญหา เป็นความทุกข์ ความร้อน ความยากลำบากนั้นมันอยู่ในหัวใจคน พูดอย่างนี้มันอยู่ในหัวใจคน ก็คงจะยอมรับ แต่พอสิ่งที่จะเอามาแก้ไข ชะล้าง ทำลายสิ่งเหล่านี้ กลับเอาไปไว้นอกคน ก็เลยสร้างนั้น สร้างนี้ขึ้นเต็มไปหมด ห้ามก็ไม่ค่อยจะฟัง ว่ารูปของอาตมานั้นไม่ต้องหล่อ คนทำงานเหล่านี้มันก็ยังหล่อขึ้นมา ให้เกะกะ ก็แล้วจะไปปิดบังคำสั่งสอนต่างๆ แล้วไม่เท่าไรก็จะขอกันให้ยุ่งไปหมด แล้วก็ไปยึดไปติดอยู่ที่นั่น มันอยู่นอกตนแล้ว มันก็เอาไว้แขวนอวดกันเท่านั้นเอง คือเอาไว้อวดกันโดยแง่ใดแง่หนึ่ง มันก็ไม่ใช่ธรรมะที่จะเป็นประโยชน์ได้ ก็ได้คิดกันเสียใหม่ สังคายนากันเสียใหม่ ปรับปรุงกันเสียใหม่ ว่าอย่างไรๆ ก็ให้หัวใจของพระพุทธศาสนานั้นอยู่ในหัวใจของคนๆ เถิด ให้ดีกว่านั้นก็ให้มันเป็นหัวใจของคนเสียเอง หัวใจของธรรม ก็คือหัวใจของคน หัวใจของคน ก็หัวใจของธรรม ให้มันเป็นสิ่งเดียวกันเสียเอง อย่าเอาหัวใจไหนไปแขวนไว้ที่ปลายต้นไม้ มันจะเป็นหัวใจลิง ที่มันหลอกจระเข้ว่า หัวใจของฉันแขวนอยู่ที่ยอดไม้นั่น หัวใจธรรมก็หัวใจคน หัวใจคนก็หัวใจธรรม ถ้ายังแยกกันอยู่ ก็ให้มีอยู่ด้วยหัวใจธรรมที่หัวใจคน นี่ขอให้ดูกันต่อไปว่า มีหัวใจอยู่กันเนื้อกับตัว อย่าเอาหัวใจไปแขวนไว้ที่ปลายต้นไม้ แล้วให้หัวใจนั้นมันเป็นอยู่ด้วยธรรม นี้เป็นสิ่งที่ธรรมชาติได้จัดมา ธรรมชาติมันต้องการอย่างนั้น แต่เมื่อมันรู้จักธรรมชาติ มันก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน นี้ขอให้รู้ดีๆ ให้รู้จักธรรมชาติดี ๆ ว่าธรรมชาติมันสร้างหัวใจมาให้อยู่กับเนื้อกับตัว แล้วในหัวใจนั้นต้องมีความสงบ ไม้อย่างนั้นมันจะตาย ความสงบมีหลาย หลายๆ ชนิด แม้จะสงบชั่วคราว หรือจะสงบเพราะกินเหยื่ออะไรก็ตามเถิด มันก็ยังเป็นความสงบ เพราะมันช่วยให้พักผ่อนบ้าง หรือไม่ต้องตาย ถ้าความสงบแท้จริงมันก็เป็นอันว่าไม่ต้องมีความตายกันอีกต่อไป ทีนี้มันเกิดแยกกันขึ้น เป็น ๒หัวใจ หัวใจเนื้อๆ ก้อนเนื้อนี้ก็หัวใจ หัวใจธรรมะ ที่เป็นนามธรรมก็เป็นหัวใจ เกิดแยกกันไปเสียอย่างนี้ ก็เป็นเรื่องข้างนอกเสียตลอดเวลา พิจารณาดู ตั้งปัญหาดู โดยไม่ลำเอียงอย่างที่ว่ามาแล้ว มีใครกี่คนที่กำลังมีหัวใจอยู่กับตน เป็นความสงบ เพราะว่ากิเลส ตัณหา มันเข้าไปสิงแทนอยู่เต็มไปหมด มีความทุกข์อยู่ก็มี มีความทรมาณเดือนร้อน กระวนกระวาย อยู่ทั้งกลางวันกลางคืน กลางคืนอัดควัน กลางวันเป็นไฟอย่างนี้มันก็มี มันมีหัวใจเป็นอะไร ก็ไม่มีหัวใจมากกว่า ถ้าอยู่ที่นั่นมันก็เป็นหัวใจที่ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่หัวใจของธรรม เรานั่งกันอยู่ที่นี่ มีหัวใจอยู่กับตนถึงครึ่งหรือเปล่า บางทีอาจจะนึกถึงเรื่องอื่น ที่อื่นก็ได้ นึกถึงบ้าน นึกถึงอะไรที่แล้วก็มี กำลังกระสับกระส่ายอยากจะกลับไปเสียก็มี ฉะนั้นนั่งกันอยู่ที่นี่ก็ยังไม่รับประกันเลยว่า มีหัวใจอยู่กับตนร้อยเปอร์เซ็นต์ นั่งโยกหลับไปเสียก็มี อย่างนี้ก็มีหัวใจอยู่ที่ไหน พุทธบริษัททั้งทีก็ต้องมีหัวใจอย่างพุทธบริษัท นี่ขอให้ท่านจำไว้ด้วย ว่าเป็นพุทธบริษัททั้งทีก็ต้องมีหัวใจอย่างพุทธบริษัท เดี๋ยวนี้มีแต่ชนิดที่เลือกเอาเอง ว่าเอาเอง ชอบเอาเอง คะเนเอาเอง ว่าเราเอาอย่างนี้ เราเอาอย่างนี้ เราไม่เอาอย่างอื่น มันก็ได้สิ่งที่ไม่ใช่หัวใจมา ก็ไม่มีความสงบเท่านั้นเอง ขอให้นึกถึงความสงบ เอามาเป็นหัวใจ ความสงบเป็นที่ของพระนิพพาน จะเรียกอย่างอื่นก็ได้ ความสะอาด ความสว่าง ความสงบ หรือแม้ที่สุดแต่คำว่า ความว่างจากตัวกู ว่างจากของกู นี้ก็เป็นสิ่งเดียวกันกับนิพพาน เป็นความสงบ ถ้าไม่ว่างแล้วไม่มีสงบ ว่างชั่วขณะก็สงบชั่วขณะ ว่างแท้จริงก็สงบแท้จริง หรือเป็นนิพพานแท้จริง เดี๋ยวนี้เรามาเล่นตลกกันเสียกับพระนิพพาน หรือความสงบ ดูเหมือนว่าเราทำอะไรนี้ มันทำไปด้วยอำนาจของกิเลสที่เหลืออยู่โดยไม่รู้สึกตัว ที่เขาพูดกันมาก เพราะว่าอยากดี อยากเด่น อยากดัง อาตมาก็ได้ฟังกับเขาเหมือนกัน แล้วก็นึกเรื่องนี้เข้าที ไอ้เรื่องอยากดี อยากเด่น อยากดังนี้ มันประหลาด คือมันจะใช้กันในแง่ไหนก็ได้ เอาไปลงนรกก็ได้ หรือจะไปสวรรค์ ไปนิพพานก็ยังได้ มันผิดกันแต่ว่า มันดีอย่างไหน มันเด่นอย่างไหน มันดังอย่างไหน ถ้าพูดถึงดังกันแล้ว ไอ้ดังจริงๆ มันก็เป็นเรื่องความเงียบของพระนิพพานมากกว่า ที่เราเรียกว่าตบมือข้างเดียวนี้ มันมีเสียงดังอยู่ตลอดจักรวาล แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่อย่างนั้นที่เขาพูดกันอยู่ สังเกตกันดูแล้ว มันดี มันเด่น มันดังอย่างอื่น ถ้าไม่ได้ดี ไม่ได้เด่น ไม่ได้ดังแล้ว จะเชือดคอตาย จะยิงตัวตาย จะกินยาตาย ซึ่งคนสมัยก่อนเขาไม่ทำหรอก เพราะว่าเขาไม่บ้าดี บ้าเด่น บ้าดังเหมือนคนสมัยนี้ เดี๋ยวนี้เราก็อยากเรียน อยากรู้ แล้วก็อยากพูด อยากเรียนจะได้ดี ได้เด่น ได้ดัง อยากรู้ ก็จะได้ดี ได้เด่น ได้ดัง อยากพูดพล่ามอย่างนี้ก็เพราะว่า มันอยากดี อยากเด่น อยากดัง เราอยากดี เราอยากเด่น เราอยากดัง เป็นอัตโนมัติ ภายใต้สำนึกมันก็อยากของมันได้ นอนมันก็ฝัน เราทำบุญ ทำทาน การกุศล ก็เพราะอยากดี อยากเด่น อยากดัง นี้ไม่ใช่ด่า จะบอกให้พิจารณาดูให้ดีว่าใครกำลังทำบุญ ทำทาน การกุศล เพราะอยากดี อยากเด่น อยากดัง แม้แต่ที่ตรงกันข้าม ทำบาป ทำดีไม่ได้ ก็ทำชั่วทำบาป นี้มันก็เพราะ อยากดี อยากเด่น อยากดัง เพราะมันทำดีไม่ได้ เพราะมันเข้าใจผิด ระหว่างดีกับชั่ว มันไปทำบาป อันธพาลเหล่านั้นมันก็อยากดี อยากเด่น อยากดัง บวชพระ บวชชี ส่วนมากนี้ก็เพราะ อยากดี อยากเด่น อยากดัง ขอฝากพระหนุ่มๆ สามเณรหนุ่มๆ ไปแยกธาตุดู ในจิตใจว่า บวชนี้เพราะอยากดี อยากเด่น อยากดังใช่หรือไม่ แม้ทำบุญอายุโดยมาก ก็ดูเถิดว่า มันอยากดี อยากเด่น อยากดัง ถึงแม้จะหนีไปอยู่ในป่าในถ้ำในที่สงัด ในเกาะร้าง มันก็อยากดี อยากเด่น อยากดัง อยู่ในใจของมันคนเดียว แล้วบางคนก็คิดว่าเด่น ดังไปถึงพรหมโลก ถ้าไปเขาฌาณได้ เข้าสมาบัติได้ อย่างนี้มันก็เป็นเรื่องเด่น ไปถึงพรหมโลก รู้ไปถึงพวกพรหม ที่ดี เด่น หรือดัง ซึ่งเป็นเรื่องฝ่ายกิเลส ฝ่ายอวิชชานี่ มันเป็นอย่างนี้ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องของวิชชา ของสติปัญญามันก็มีความหมายเป็นอย่างอื่น ไม่ต้องมีใครเห็น ไม่ต้องมีใครรู้ก็ได้ เหมือนอยู่ในโลกนี้เมื่อพูดถึงดี เด่น ดัง ครั้งไหนก็ตาม มันเป็นเรื่องของกิเลส พูดกันมากเข้า นิยมกันมากเข้า ก็กลายเป็นโรคเสพติดของโลกไป ไม่รู้จักเบื่อ ไม่รู้จักเอือมต่อความดี ความเด่น ความดัง มันมีให้ไม่หยุดหย่อน
ทีนี้ก็มาประชุมกันล้ออายุ มันจะช่วยให้หายจากโลกนี้บ้างหรือเปล่า ถ้าเราใช้ให้ถูกวิธี การล้ออายุนี้มันก็คงช่วยขูด ช่วยเกลาไอ้อยากดี อยากเด่น อยากดัง นั้นได้มากเป็นแน่นอน การที่ได้พูดจาให้คนอื่นเข้าใจธรรมะ มันก็เป็นเรื่องจะช่วยกันแก้ไอ้โรค อยากดี อยากเด่น อยากดัง ให้ค่อยๆ หายไป ไม่ต้องลำบากมาก เดี๋ยวนี้เรามาวิจารณ์ วิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ เกี่ยวกับที่เราได้ผ่านมาในปีหนึ่งๆ เหมือนคนแก่แก้ได้มาก อาตมายอมตนเป็นสุนัขปากร้าย ก็เพราะจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ ก็ขอให้พวกที่พยายามจะช่วยเป็นสุนัขปากร้ายนั้นระวังให้ดี สังเกตดูมัน มันปากร้ายผิดจากที่อาตมาทำ นั้นการที่จะเอาไปพูดต่อ ไปเขียนต่อ ไปโฆษณาต่อนั้นขอให้ระวังให้ดีๆ แล้วคนที่จะไปฟังเสียงชนิดนี้ก็ต้องระวังมากเป็นพิเศษ ว่าเขาพูดตรงตามที่อาตมาพูดหรือเปล่า มันต้องฟังอยู่ที่ว่ามันรู้จักตัวเองหรือเปล่า ถ้ารู้จักตัวเองแล้วก็ไม่มีทางที่จะทำอะไรผิด ทีนี้มันอยากดี อยาดเด่น อยากดัง หรือว่ามันอยากทุกอย่างนั้น มันทำไปโดยไม่รู้จักตัวเองทั้งนั้น ก็อย่างที่กล่าวมาแล้วว่าเพราะไม่รู้จักตัวเอง ก็เอากิเลสมาเป็นตัวเอง กิเลสมันก็บัญชาไปตามที่มันต้องการ กิเลสก็เลยเป็นตัวเองอยู่เรื่อยไป ตัวเองคือตัวกิเลสอยู่เรื่อยไป ทุกทีไป ต้องระวังข้อนี้ให้มาก การที่รู้จักตัวเองก็คือรู้จักธรรมะ รู้จักธรรมะคือรู้จักตัวเอง มีตัวเองเป็นที่พึ่ง ก็คือมีธรรมะเป็นที่พึ่ง มีธรรมะเป็นที่พึ่ง เรียกว่ามีตัวเองเป็นที่พึ่ง มันเข้าใจได้ยากในเรื่องที่ทำตัวเองให้เป็นที่พึ่งที่มีความสงบ เมื่อเราอ่านพระพุทธวจนะในประไตรปิฎกมันก็มีสะดุด เกี่ยวกับคำที่ใช้ในเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ เมื่อถึงเรื่องที่สำคัญที่พระพุทธเจ้าท่านประสงค์จะให้กระทำอย่างละเอียดลออนี้ ท่านก็ตรัสคำที่มันซ้ำๆ กันอย่างน่ารำคาญ สำหรับคนที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงอันนี้ จนเขามาต่อว่าอาตมา ว่าทำไมเรียบเรียงข้อความนี้ซ้ำๆ ซากๆ อย่างนี้ บอกว่า ก็บอกเขาว่าพระพุทธเจ้าท่านทำอย่างนั้น ก็ว่าก็จะไปรู้อะไรนี้ ก็ใช้คำว่า อภิชานาติ รู้ยิ่ง แล้วยังมาย้ำด้วยคำอีกคำว่า ปชานาติ นี่รู้ให้มันทั่วถึง ชัดเจน ยังย้ำว่า ปริชานาติ มันรอบไปหมด รู้รอบไปหมด ที่จริงมันก็เรื่องรู้คำเดียวนั่นแหละ ให้มันรู้ยิ่งด้วยสิ่งที่เรียกว่าอภิญญา ให้รู้ทั่วถึงด้วยสิ่งที่เรียกว่าปัญญา ให้รู้รอบคอบด้วยสิ่งที่เรียกว่าปริญญา นี่อย่างน้อยก็ตั้ง ๓ คำแล้ว อภิญญา รู้ยิ่ง ปัญญา รู้ทั่ว ปริญญา รู้รอบ จะรู้จักกิเลสก็ดี รู้จักโทษของกิเลสก็ดี รู้จักวิธีละกิเลสก็ดี ต้องรู้กันด้วยความหมายครบถ้วนอย่างนี้ เดี๋ยวนี่เราทำอย่างนี้กันหรือเปล่า ก็มีแต่หวัดๆ หวัดๆ อย่างที่อวดว่าเรามันรู้แล้ว เรามันเก่งแล้ว เราทำด้วยมือซ้ายก็ได้อย่างนี้ ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วไม่มีทางที่จะละอคติได้ ไม่มีทางที่จะพบกันกับตัวเองที่ควรจะพบ คือไม่รู้จักความสงบ มีอาการเหมือนกับคนเพ้อ ที่แบกกระได แบกกระได คนๆ หนึ่ง มีเรื่องกล่าวไว้ในพระบาลี ว่าคนๆ หนึ่งแบกกระได เที่ยวตะโกนไปตามถนนทั่วไปทุกหนทุกแห่ง ให้เขารู้ว่าเขาแบกกระได ให้คนทั้งหลายรู้ว่าเขาแบกกระได ก็ถามเขาว่าเอากระไดไปไหน จะเอาไปจรดที่ตรงไหน เพื่อจะขึ้นไปสู่ที่ไหน มันก็ไม่รู้ มันก็บอกว่าไม่รู้ แต่มันก็แบกกระได อยู่ทั้งวันทั้งคืน นี้เหมือนกับว่า ถ้าเราเรียนธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ ด้วยซ้ำไป ก็ไม่รู้ว่าเพื่อวัตถุประสงค์อะไร มันก็เหมือนกับคนแบกกระได พูดเพ้อเหมือนกับคนบ้า อาตมาก็เทศน์ไป มันก็รับไปฟังไป พูดกันไป มันก็อาจจะมีลักษณะเหมือนแบกกระไดนี้ก็ได้ คือไม่รู้จะไปจรดเข้าที่ตรงไหน ที่ถูกมันก็จะต้องจรดเข้าที่ความสงบที่จะเป็นตัวตน หรือเป็นหัวใจของตนโดยแท้จริง ทีนี้มันน่าหัวยิ่งไปกว่านี้อีก คือยิ่งไปกว่าคนเที่ยวแบกกระไดเที่ยวบ่นเพ้ออีก ก็ตรงที่ว่าไอ้สิ่งที่จะต้องจรดกระไดนั้น มันอยู่ที่หน้าผากแล้ว ก็คนมันโง่เอง มันหามากไปเอง ทำมากไปเอง มันเกินๆ ยิ่งกว่าเกินอีก ตัวเองมันอยู่ที่หน้าผากแล้ว ไอ้ความสงบมันก็อยู่ที่หน้าผากแล้ว ถ้ามันเป็นเรื่องจริง ถ้ามันไม่จริง มันก็ไม่รู้ที่ไหน ก็หาไปเถิด ถ้ามันจริงมันอยู่ที่หน้าผาก กระทั่งต้องมองดูข้างใน อย่าไปมองดูข้างนอก คือเอาหน้าผากมาเป็นอุปมานี้ ก็เพราะว่ามันมีลักษณะประหลาด ทุกคนก็ดูหน้าผากไม่เห็น ถึงแม้ว่าจะเอามือคลำก็ยังไม่ค่อยรู้ว่าไอ้หน้าผากนี้มีรูปร่างอย่างไร ข้อนี้มันแสดงว่าต้องใช้ดวงตาอีกชนิดหนึ่ง เรียกปัญญาจักษุ หรือว่าสิ่งที่เขาใช้กันนั้น มันก็ต้องมาทำด้วยวิธีทั้งสาม ที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ในที่ทั่วๆ ในพระบาลีนั้น ว่าให้ทำการรู้ยิ่งด้วยอภิญญา รู้ชัดด้วยปัญญา รู้รอบด้วยปริญญา อย่างนี้เป็นต้น ก็ความรู้นั้นให้มันมีอาการครบถ้วนอย่างนี้ รู้ยิ่ง รู้จริง รู้ซึ้ง รู้ลึกถึงรู้รอบ รู้ทั่ว อย่างประจักษ์แก่ปัญญาจักษุ คือดวงตาข้างใน นี้มันอยู่ที่หน้าผากแล้วแต่มันไม่พบ ก็เพราะมันขาดสิ่งเหล่านี้ พยายามสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา จะเรียกอภิญญาก็ได้ เรียกปัญญาก็ได้ เรียกปริญญาก็ได้ ภาษาบาลีก็ฟังยาก ไม่ต้องสนใจก็ได้ ถ้าจำได้ก็ดี มันช่วยความจำ ช่วยความคิด เดี๋ยวนี้ให้เอาสิ่งต่างๆ ที่มันเคยผ่านมาแล้ว ว่าตั้งแต่เกิดมา ตั้งแต่จำความได้ จนบัดนี้ มันได้ทำอะไรที่มันเป็นเรื่องที่น่าชื่นใจบ้าง มันมีทรัพย์สมบัติ มีเกียรติยศ ชื่อเสียง มีความนับหน้าถือตา อะไรก็มาเสียมากมายแล้ว ตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ มีเงินนับไม่ไหวก็มี มีอำนาจวาสนาเหลือประมาณก็มี แต่มันมีอะไรบ้างที่มันน่าชื่นใจ หรือมันเป็นความพักผ่อนที่ถือว่ามันมีประโยชน์ เป็นที่มุ่งหมายของมนุษย์ ถ้าพักผ่อนที่สุดก็เป็นเรื่องนิพพาน ที่พักผ่อนได้จริงๆ เดี๋ยวนี้เราก็กำลังยุ่งไม่มีที่จบ ไม่รู้ว่าจะยุ่งไปทำไม แต่ถ้ารู้จักธรรม แล้วมันจะมีความพักผ่อนตลอดเวลาได้เหมือนกัน ไอ้เรื่องทำงานนั้นมันก็เป็นเรื่องของร่างกายมันก็ทำไปสิ จิตใจอาจจะพักผ่อนอยู่ตลอดเวลาก็ได้ นั่นแหละคือประโยชน์ของพระธรรมที่อยู่ที่หน้าผาก ถ้าหาพบมันจะคุ้มครองป้องกันได้ถึงขนาดนั้น แล้วมันจะมีความพักผ่อนของจิตใจอยู่ในตัวการงานนั่นเอง อย่าทำไปด้วยความยึดมั่นถือมัน เป็นตัวกูของกู มันก็เป็นการพักผ่อน มันก็ทำได้ด้วยจิตว่างอย่างที่ว่าเว้นไว้แต่จะเข้าใจสิ่งนี้ให้ถูกต้อง นี่ก็การพักผ่อนมันก็คือเป็นการศึกษาไปในตัว การงานที่ทำไม่ได้ทำให้เราเป็นความทุกข์อีกด้วย ยิ่งกว่านั้นก็จะเป็นการศึกษาไปในตัว ให้รู้แจ้งอะไรยิ่งๆ ขึ้นไป นี่แสดงว่าไม่ได้ห้ามว่าอย่าทำอะไร แล้วก็ไม่ได้ห้ามว่าทำแต่น้อยๆ นี้ก็บอกว่าให้ทำให้สมควรแก่กำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา นี้มันไม่เท่ากัน เพราะว่าคนมันไม่มีเท่ากัน และใครมีมากก็ทำมาก แต่ว่าทุกคน ทุกชนิดของบุคคล ต้องทำชนิดที่ไม่สร้างความเป็นนรกหมกไหม้ขึ้นมาในใจของตน มันมีเพชรเม็ดหนึ่งอยู่ที่หน้าผาก ถ้าหาพบมันก็มาคุ้มครองให้การกระทำทั้งหลายทั้งวันทั้งคืนนี้ ไม่ ไม่ได้เป็นไปอย่างลักษณะทีเรียกว่ากลางคืนอัดควัน หรือกลางวันเป็นไฟเลย แต่มันเป็นความสงบเป็นการพักผ่อนทั้งกลางคืน และกลางวัน นี้อานิสงส์ของธรรมะ ที่ให้ได้พบความสงบที่มันมีอยู่เองแล้ว ที่ธรรมชาติใส่มาให้เสร็จแล้ว เราก็คลำไม่พบ ทีนี้ก็มาดูต่อไปอีก ถึงว่าทำไมมันจึงแล่นมาในลักษณะอย่างนี้ อาตมาสังเกตดูแล้วก็ เขาก็ไม่มีอย่างอื่นนอกจากตามหลักที่รู้กันอยู่ทั่วไปแล้วว่ามันเป็นความประมาท แต่ความประมาทนี้มันก็ลึกลับซับซ้อนหลายชั้น เพียงชั้นน้อยๆ ชั้นตื้นๆ คือการปล่อยไปตามบุญตามกรรมนี้มันก็พอแล้ว มากพอแล้วที่จะทำลายให้เสียหายหมด การปล่อยไปตามบุญตามกรรม นี้เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนปล่อยอะไรไปตามบุญตามกรรมอยู่ตลอดเวลา ทำอะไรเรื่องเดียวกันนั่น มันไม่คงเส้นคงวา เพราะว่าใจมันลอย ปล่อยไปตามบุญตามกรรม ไปสังเกตดูให้ดี เรามีอะไรที่ไม่คงเส้นคงวา ที่ใส่กลอนประตู บางวันใส่ผิดตลอด ที่กลอนมันจะใส่ได้ บางวันครึ่งเดียว บางวันค่อนหนึ่ง บางวันนิดเดียว บางวัน แม้แต่ใส่กลอนประตู้นี้ คนมันก็ยังทำไปตามบุญตามกรรมนี่ แล้วเรื่องอื่นๆ ที่มันสำคัญกว่านั้น มันก็มีอาการอย่างนี้มากขึ้น ถ้าเป็นเรื่องของธรรมะด้วยแล้วมันก็ยิ่งมีมากขึ้น การปล่อยไปตามบุญตามกรรม ยิ่งมีได้แต่คนที่เรียนมาก และก็อวดดีหรือทะนงตัว ก็ทำอะไรอย่างที่เรียนว่า (นาที 1:39:05) ขึ้นชื่อ นี่คือการปล่อยไปตามบุญตามกรรม แล้วมันแปลกที่ว่า มันทำไปได้โดยรู้สึกตัว เมื่อเราพูดว่าการปล่อยนี่มันคล้ายๆ กับว่ามีเจตนาจะปล่อยทำไปโดยรู้สึกตัว แต่ถ้าการปล่อยตามบุญตามกรรมนี้มันไม่รู้สึกตัว มันจึงเกิดอาการที่เรียกว่าปล่อยไปตามบุญตามกรรม นี้ก็ขอให้ระวังให้มาก กำลังมีอยู่ในหลายๆ อย่าง ในเรานี้แหละ แล้วก็ทุกวันก็ว่าได้ มันไม่ใช่ปล่อยอย่างที่เรียกว่าเห็นเราปล่อยเด็กเหลือขอ ตัดหางปล่อยวัด ปล่อยสัตว์เลี้ยง นั่นมันปล่อยตามบุญตามกรรมเหมือนกัน แต่นั่นมันเรื่องข้างนอกจะเอามาเทียบกันไม่ได้ ที่ว่าความโง่ความประมาทนี้มันทำให้จิตใจเลื่อนลอย ปล่อยไปตามบุญตามกรรม ทีนี้มันยังสำคัญกว่านั้นอีกว่า ไอ้เรื่องปล่อยตามบุญตามกรรมนี้มันมีอยู่ได้ แม้ที่เราตั้งใจจะทำให้ดีที่สุดเพราะว่าเรามีอวิชชา เราตั้งใจทำให้ดีที่สุด แต่การกระทำนั้น มันก็คล้ายกับว่าใจลอย หรือว่าปล่อยไปตามบุญตามกรรมด้วยเหมือนกัน เพราะว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นมันไม่ถูก มันไม่ตรง มันก็ทำไปด้วยอำนาจของอวิชชา ตั้งใจจะทำบุญทำกุศล ว่ากันอย่างนี้ดีกว่า แต่ถ้ามันใช้อำนาจอวิชชาแล้ว มันคือการปล่อยให้ล่องลอยไปตามบุญตามกรรม ในวัฏสงสารแห่งกิเลส แห่งกรรม แห่งวิบาก มันก็ลอยไปตามบุญตามกรรม การตั้งอกตั้งใจทำที่ดีที่สุดนี้ระวังให้ดี บางทีมันก็มีการปล่อยไปตามบุญตามกรรมอยู่ในเรื่องนั้นเอง มันไม่ตรงต่อธรรม ไม่ถูกต้องตามธรรม มันก็ต้องมีอาการอย่างนี้เสมอ ทีนี้อีกข้อหนึ่ง อีกชั้นหนึ่ง ก็อยากจะบอกว่า แม้การเชื่อผู้นำนี่ก็ระวังให้ดี ทำตามผู้นำมันก็ยังเป็นการปล่อยไปตามบุญตามกรรมก็ได้ เพราะว่าผู้นำมันไม่รู้ มันก็นำไปตามบุญตามกรรม ถ้าเกิดเชื่อผู้นำมันก็ทำตามบุญตามกรรมไปด้วย ถึงแม้ว่าผู้นำเป็นผู้รู้ แต่การฝากความคิด นึก รู้สึกสติปัญญา อะไรทั้งหมดไว้กับผู้นำมากเกินไป มันก็ยังเป็นการปล่อยตามบุญตามกรรมอยู่นั่นเอง ขอให้สังเกตดูให้ดีว่าคนเรานี้ ถ้าลองเชื่อใครด้วยใจจริงแล้ว มันไม่วิพากษ์วิจารณ์คนนั้น มันไม่ค่อยคิด ไม่ค่อยนึก ไม่ค่อยระวังระไวอะไร มีแต่จะทำตามไอ้คนๆ นั้นไปเสียเรื่อย ก็เหตุนี้พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสในกาลามสูตร มีอยู่ข้อหนึ่งว่า มา สมโณ โน ครูติ อย่าเชื่อเพราะเหตุว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา ซึ่งหมายถึงพระองค์เองด้วยซ้ำไป ถ้าพูดตรงๆ ก็หมายความว่า ให้วิพากษ์วิจารณ์ได้ จนกระทั่งเชื่อตัวเองได้ จึงจะไม่เป็นการปล่อยไปตามบุญตามกรรม ระวังให้ดี เชื่อผู้นำ เชื่อครูบาอาจารย์ เชื่ออะไรในทำนองเดียวกันนั้น กระทั่งเชื่อพระพุทธเจ้าโดยไม่มีความคิดนึกอะไรของตน อย่างนี้มันก็เป็นการปล่อยไปตามบุญตามกรรมด้วยเหมือนกัน คนที่เขาหวังเอาศรัทธาเป็นที่พึ่ง เขาก็คงไม่ชอบฟังคำพูดนี้ แล้วเขาจะพูดว่าอาตมาบ้าแล้วตามเคย คนที่เขาใช้ความเชื่อเป็นเบื้องหน้ามากเกินไปนั่นแหละ มีโอกาสที่จะปล่อยสิ่งต่างๆ ไปตามบุญตามกรรม มันก็ไม่ก้าวหน้าอาจจะถอยหลังด้วย นี้อย่างอื่นอีก ที่อยากจะขอร้องให้ดูให้ละเอียดลออยิ่งๆ ขึ้นไป ว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่าโชคดี โชคดีนั่นหละระวังให้ดี มันก็จะทำให้มีการกระทำอย่างปล่อยไปตามบุญตามกรรมมากขึ้น ถ้าเผอิญมันได้อะไรอย่างอกอย่างใจไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะโชคดี หรือเพราะบังเอิญ หรือเพราะอะไรก็ตาม ก็ระวังให้ดี เพราะการได้อะไรไปเสียอย่างอกอย่างใจทุกอย่างนั่นแหละเป็นอันตราย แต่เราก็ชอบ อยากให้ได้ตามใจไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง พอมีอะไรที่ไม่ได้ตามใจสักอย่างเดียวก็โกรธแล้ว เป็นฟืนเป็นไฟแล้ว มันเสียนิสัยไปอย่างนี้ ได้อะไรตามใจไปเสียทุกอย่าง มันก็ยิ่งทำให้ทนง มันก็ปล่อยไปตามเรื่องตามราว ตามความคิดที่หวัดๆ ได้ง่ายขึ้น นี่คือความประมาทอย่างยิ่งแต่ไม่มีใครกลัว ความหลงไปในสิ่งที่มันได้อย่างอกอย่างใจไปเสียทุกสิ่งทุกอย่างนี้เป็นความประมาทอย่างยิ่ง แต่ไม่มีใครกลัวหรือระวัง ที่ลำพองใจว่ามีบุญ มีบุญ กูมีบุญ มีบุญอย่างนั้น อย่างนี้ แต่ระวังตัวนั้นน่ะคือบาป ดังนั้นเลิกอวดกันเสียบ้างว่ากูมีบุญ พูดออกมาอย่างนั้น นั่นคือมีบาปเสร็จแล้ว ก็บุญนั่นแหละมันหลอกยิ่งกว่าบาป บาปมันไม่หลอกใคร มันกัดเอาเจ็บๆ แต่บุญนี้มันไม่รู้ มันทำให้เปรม ให้เคลิ้ม ให้หลง ให้สนุกสนานไปเลย ฉะนั้นคนที่มีบุญนี้แหละที่มักจะมีอาการที่ปล่อยไปตามบุญตามกรรมยิ่งขึ้น ไม่รู้สึกตัวยิ่งขึ้น ดังนั้นระวังให้ดี คนที่มีอำนาจวาสนา ต้องการแต่จะไม่ให้มีใครขัดคอ ต่อต้านนี้ระวังให้ดี มันจะมีไอ้โรคปล่อยไปตามบุญตามกรรม ชนิดที่ไม่รู้ตัวและก็มากขึ้นด้วย นี้ก็จะมาปรารภถึงสิ่งที่เป็นอยู่จริง เป็นกันอยู่จริงทั้งแก่อาตมา และทั้งแก่ท่านทั้งหลาย เป็นการล้ออายุในวันนี้ ยังไม่ได้พูดสักทีว่า ทำอย่างไรจึงจะเข้าถึงหัวใจแห่งพระพุทธศาสนา ทุกๆ ปี แต่ละปี ได้เคยพูดในข้อใดข้อหนึ่ง แง่ใดแง่หนึ่ง ปริยายใดปริยายหนึ่ง ว่าทำอย่างไรจะเข้าถึงหัวใจแห่งพระพุทธศาสนา ปีนี้ก็ต้องพูด เพราะนี้มันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เอาเวลาที่เหลือนี้ก็จะพูดเรื่องนี้ ว่าทำอย่างไรจึงจะเข้าใจและเข้าถึงหัวใจของพระพุทธศาสนา
จะเข้าถึงหัวใจพุทธศาสนาจะต้องผ่านอะไรเข้าไป ก็ผ่านสิ่งที่เป็นปัญหาทั้งนั้น สิ่งที่ยั่วยวน สิ่งที่ต้านทาน หรือว่าล่อหลอก ชีวิตนี้มันมีปัญหา ถ้าเราผ่านปัญหาไปได้เราจึงจะถึงความสงบ แม้แต่หัวใจพุทธศาสนามันก็มีสิ่งห่อหุ้ม ธรรมะสำหรับชีวิตนี้ มันเป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องมี ก็คือธรรมะที่แสดงให้เราเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าชีวิตนั่นเอง ในทุกแง่ทุกมุม ถ้าธรรมะไหนมันไม่ได้แสดงหรือไม่ช่วยให้เราเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าชีวิตแล้ว มันก็ไม่ควรจะเรียกว่าธรรมะที่พึงประสงค์ มันเป็นธรรมะที่เกลื่อนกลาดไปหมด อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เราตรัสรู้นั้นมีปริมาณเท่ากับใบไม้ทั้งป่าทั้งดง แต่เอามาสอนพวกเธอเท่ากับใบไม้กำมือเดียว คือทรงสอนเฉพาะธรรมะที่จะทำให้เข้าใจปัญหาต่างๆ ของชีวิตว่าคืออะไร มันมาอย่างไร มันไปอย่างไร ถ้ามีธรรมะนี้แล้วก็จะเอาชนะไอ้ปัญหาต่างๆ ในชีวิตนี้ได้ ประสบความสำเร็จได้ทุกอย่าง แต่เรายังนึกถึงความสำเร็จสูงสุด คือสิ่งที่ดีที่สุด เท่าที่มนุษย์เราจะพึงได้จากสิ่งที่เรียกว่าชีวิตนั่นเอง ทีนี้เราก็ยังไม่รู้ถึงความมุ่งหมายอันนี้ ไม่รู้จักธรรมะข้อนี้ ทั้งที่ธรรมะข้อนี้ ชนิดนี้มันแทรกอยู่ในที่ทุกหัวระแหง ในทุกเรื่อง ในทุกโอกาสในชีวิตประจำวันของเรา ฉะนั้นเราจะต้องมองในชีวิตนั้นเอง ในลักษณะที่ไม่ลำเอียงอย่างที่ว่ามาแล้วข้างต้น ทุกเรื่องมันแสดงความจริง ทุกโอกาสมันอาจจะพบความจริง ที่เราทำกันอยู่วันหนึ่งๆ แม้แต่เรื่องกิน เรื่องนอน เรื่องอาบ เรื่องถ่าย เรื่องเจ็บ เรื่องไข้ ตามธรรมชาตินี้ก็ดี หรือการงาน อาชีพ ที่ทำไป ผิดหวังก็มี สมหวังก็มี ขาดทุนก็มี กำไรก็มี เราก็ไปง่วนอยู่แต่กับที่ว่า ถ้าได้กำไรแล้วก็ลิงโลด ถ้าขาดทุนแล้วก็ตกนรกอยู่ในใจ ก็เลยไม่ต้องรู้กันว่าที่ทำไปทั้งหมดนี้มันเพื่ออะไรกันแน่ ฉะนั้นเราจะต้องเข้าใจไอ้ตัวสิ่งที่เรียกว่าชีวิตตามวิธีของพุทธศาสนา ให้เข้าถึงหัวใจของพุทธศาสนา ทีนี้เราจะดูชีวิตกันให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป ให้เห็นอะไรได้ทุกๆ โอกาส ทุกๆ กรณี ถ้าอย่างนี้เรามาดูสิ่งที่เรียกว่า ภูมิ หรือ ชั้น ของชีวิตกันก่อน เราจะพบไอ้สิ่งที่สำคัญสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า ธาตุ ธา ตุ หรือ ธาตุ เราจะเข้าใจ จะเข้าถึงหัวใจพุทธศาสนาได้ด้วยความรู้เรื่องสิ่งที่เรียกว่าธาตุ เพราะว่าสิ่งที่เรียกว่าธาตุนั้น มันก็คือทุกสิ่งอยู่แล้ว ที่ประกอบกันขึ้นเป็นชีวิต หรือเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิต ถ้าเรารู้เราสามารถจะปรับมันได้ จะควบคุมมันได้ ก็มีมันไว้ในลักษณะที่เป็นนิพพาน หรือเป็นพักผ่อนได้ตลอดเวลา แม้ว่าจะทำงานเหงื่อไหลไคลย้อยอยู่ แต่จิตใจมันคงอยู่กับความสงบเย็นได้ เพราะว่าสิ่งที่เรียกว่าธาตุนี้มีอยู่ ๔ อย่าง สนใจรู้จักสิ่งที่เรียกว่าธาตุ ที่ประกอบกันขึ้นเป็นตัวเรา แล้วมันยังสิงประจำอยู่ตลอดเวลา ธาตุ ๔ อย่าง คือ กามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ นิโรธธาตุ ธาตุชนิดนี้เป็นนามธรรมทั้งนั้น คือคุณสมบัติของวัตถุธาตุ ถ้ากามธาตุ ก็เป็นธาตุแห่งจิตใจชนิดหนึ่ง ที่เมื่อได้โอกาสแล้วก็ปรุงแต่งให้เกิดความพร่ายไปในทางกามจะเป็นเรื่องเพศ ถ้ารูปธาตุ ถ้ามันได้โอกาสเกิดขึ้นทำหน้าที่แล้ว มันก็ปรุงแต่งจิตใจให้พร่ายไปในสิ่งที่เรียกว่ารูปล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับกาม คือรูปบริสุทธิ์ ทีนี้อรูปธาตุ คือธาตุที่ว่าถ้าได้ทำหน้าที่แล้วมันก็เกิดความใคร่ ความพอใจไปในทางที่เป็นอรูป คือไม่มีรูป แต่ว่าเป็นนาม นี่ ๓ ธาตุนี้มันต่างกัน ก็ธาตุหนึ่งมันดึงไปหากาม ธาตุหนึ่งมันดึงไปหารูปที่บริสุทธิ์ไม่เกี่ยวกับกาม ธาตุหนึ่งมันดึงไปหาสิ่งที่ละเอียดยิ่งขึ้นไปกว่ารูป แล้วก็ไม่เกี่ยวกับกาม นี้ธาตุสุดท้ายเรียกนิโรธธาตุ คือธาตุที่ทำให้เกิดความดับขึ้นแก่ธาตุทั้ง ๓ นั้น เป็นครั้งๆ คราวๆ บ้าง อย่างที่เป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน แล้วถ้าทำได้ถึงที่สุดเด็ดขาด และเป็นการถาวร คือการบรรลุนิพพาน พวกเรานี้กามธาตุเกิดขึ้นเป็นเจ้าเรือน ครอบงำจิตใจอยู่ มันก็เป็นบ้า ไปในทางกาม ลักษณะต่อมา ไอ้นิโรธธาตุมันก็เกิดขึ้น ดับไอ้ความรู้สึกของกามธาตุนั้นเสีย หรืออย่างน้อยก็กรณีหนึ่งดับไป แล้วกรณีอื่นก็เกิดขึ้น เกิดเป็นกามธาตุอีกก็ได้ แต่ถ้ามันมีความกดดันมาก มันก็เบื่อของมันได้เอง การที่จะเกิดกามธาตุ ไอ้สิ่งที่เรียกว่า รูปธาตุ หรืออรูปธาตุ มันก็มีมาให้ได้สนใจในเรื่องที่เป็นรูปล้วนๆ เสีย เช่นการพักผ่อนอยู่ด้วยวัตถุธาตุอะไรบางอย่างซึ่งไม่เป็นที่ตั้งแห่งความรู้สึกที่เป็นกาม เวลาที่เบื่อจากกามแล้วก็ไปทำงานทำการเสีย ยุ่งกับวัตถุสิ่งของอย่างนั้นๆ เสีย มันก็ไปอาศัยไอ้นิโรธธาตุมาดับไอ้กามธาตุเสีย ได้โอกาสแก่รูปธาตุ นี้แม้ว่ามันเบื่อขึ้นมาอีก มันก็ไปนึกถึงทางอื่น ไปนึกถึงบุญถึงกุศล นึกถึงโลกหน้า นึกถึงความดี นึกถึงเกียรติยศอย่างนี้มันก็ได้โอกาสแก่อรูปธาตุ จนกว่ามันจะถึงจุดอิ่มตัว นิโรธธาตุมันก็เกิดขึ้นมาช่วยดับมันเสีย เปลี่ยนไป เปลี่ยนมา ได้เรื่อยไป แต่ว่าในระหว่างๆ นั้นขอให้สังเกตดูให้ดีว่ามันมีความหยุด มีความดับ มีความระงับ ไปด้วยตอนหนึ่งก่อน แล้วมันจึงจะเปลี่ยนไปได้ ไอ้ธาตุที่แทรกเข้ามาแล้วก็หยุดหรือดับไอ้ธาตุ ๓ อย่างข้างต้นนั้นแหละคือนิโรธธาตุ ซึ่งเป็นธาตุของพระนิพพาน นี้ได้อวตารมาช่วยเรานิดๆ หน่อยๆ ไปก่อน อย่าให้เป็นบ้าเสีย หรืออย่าให้มันตายเสีย ด้วยการรบกวนของกามธาตุ รูปธาตุ หรืออรูปธาตุ ที่เรียกว่าชั้น ภูมิ ของชีวิตนั้น มันก็แบ่งไปตามธาตุเหล่านี้ เพราะถ้าธาตุอะไรมันมาเป็นเจ้าเรือนมาก ก็เรียกคนนั้นมันตกอยู่ในภูมินั้น เช่นกามธาตุ เป็นเจ้าเรือนมาก คนนั้นก็เรียกว่าอยู่ในภูมิกามาวาจร มีจิตใจของคนชนิดที่ยังเป็น ยังตกอยู่ใต้นิสัยของกามธาตุ กามธาตุมีโอกาสมากกว่า ธาตุอื่นใด นี้ถ้าบางคนไม่เป็นอย่างนั้น หรือในบางขณะไม่เป็นอย่างนั้น จิตมันไปง่วนอยู่กับไอ้พวกรูปธรรมล้วนๆ เช่นทำการทำงานสนุกสนานไปเสีย หรือไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับกาม ถ้าจิตมันเป็นอย่างนั้นมาก มีความเป็นอย่างนั้นเป็นเจ้าเรือน ก็เรียกว่าคนนี้มันอยู่ในภูมิรูปาวาจร ถ้าดีไปกว่านั้นอีก ก็หมายความว่ามันไปง่วนอยู่กับสิ่งที่ละเอียด ประณีต สุขุม ลึกซึ้งไปกว่านั้น จนกระทั่งไม่มีรูป ก็เรียกคนที่มีจิตอย่างนั้นเป็นเจ้าเรือนว่า อรูปาวจร เป็นได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ แต่อาจารย์สอนบางพวกบางเหล่านั้นเขาเอาไปไว้ที่อื่น เขาเอาไปไว้หลังต่อตายแล้ว หลังจากตายแล้ว เรารับไม่ได้ ก็พอเราอธิบายอย่างนี้ เขาก็หาว่าเรานี้พูดผิดแล้ว วิปริตแล้ว แหวกแนวแล้ว มันก็พูดกันไม่รู้เรื่อง แต่ว่าถือตามหลักพระบาลี เท่าที่ได้สำรวจมาแล้ว กามวจรก็ดี รูปาวจรก็ดี อรูปาวจรก็ดี แม้แต่โลกุตรภูมิก็ดี มันอยู่ในจิตนี้ ในจิตนี้ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ โดยแท้จริง คนที่จะมี จะเป็น ต่อตายแล้ว เข้าโลงไปแล้ว ไปที่อื่นแล้วก็ตามเรื่องของเขา มันไม่มีปัญหาแก่เรา ปัญหาที่มีในเวลานี้ก็คือที่มันมีอยู่ในจิตใจนี้ เดี๋ยวมันเป็นกาม ก็บ้ากามไปพักหนึ่ง เดี๋ยวมันเป็นรูป ก็ไปบ้าเรือก บ้าสวน บ้าไร่ บ้านา อะไรพักหนึ่ง เดี๋ยวมันก็เป็นอรูป ก็ไปบ้าเกียรติ บ้าบุญ บ้ากุศลอะไรไปพักหนึ่ง ล้วนแต่มันไม่หยุดทั้งนั้น นี้พระนิพพานเข้ามาช่วยเป็นคราวๆ ยังไม่เป็นของจริงหรือถาวรได้ คือให้หยุดพักระงับไปได้เป็นคราวๆ นั้นโอกาสนั้นเป็นโอกาสของนิโรธธาตุ ถ้าจะเรียกว่าโลกุตตรภูมิก็ได้ แต่เป็นของตัวอย่าง เป็นของชั่วคราว เป็นของให้ดูชั่วคราว แต่ความเป็นชั่วคราวนี้ไม่ใช่เล็กน้อย คือถ้าไม่มีอันนี้มาแทรกชั่วคราวแล้วคนจะเป็นบ้า จะเป็นโรคประสาท แล้วก็จะตาย ขอให้ขอบคุณนิโรธธาตุที่เกิดขึ้นเป็นคราวๆ มาช่วยยับยั้งให้คนไม่ต้องตาย ไม่ต้องเป็นบ้า ไม่ต้องเป็นโรคเป็นประสาท ไม่ต้องทรมานมากเกินไป อาตมาเรียกว่านี่แหละนิพพานตัวอย่าง นิพพานล่วงหน้า ที่เข้ามาเป็นคราวๆ เมื่อเราจิตใจมันสงบเย็น ไม่ถูกรบกวนด้วยกามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุแล้ว ก็ถือว่าเป็นนิพพานชั่วคราวโดยบังเอิญ แม้ที่สุดจะเข้ามาในป่า ในภูเขา จิตใจมันเย็นมันว่างไป ไม่กลัวตาย ไม่อยากอยู่ ไม่อะไรทั้งหมด มันสงบ ก็เรียกว่านิโรธธาตุได้ เรียกว่าพระนิพพานมีอวตารแบ่งภาคมาช่วยคนโง่ๆ เหล่านี้