แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การบรรยายประจำวันในวันนี้ ก็ยังอยากจะกล่าวถึงสิ่งที่เรียกว่า พรหมจรรย์ ต่อไปอีก ในบางแง่บางมุมโดยจะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า พรหมจรรย์กับความคงแก่เรียน เนื่องจากมีคนสงสัยว่าการประพฤติพรหมจรรย์นี้ มันไม่เกี่ยวกับการศึกษาเล่าเรียนปริยัติหรืออย่างไร บางคนก็เห็นไปทางหนึ่งสุดโต่งเกินไป อีกคนก็เห็นสุดโต่งไปอีกทางหนึ่ง เช่นพวกหนึ่งเห็นว่าไม่เกี่ยว อีกพวกหนึ่งก็เห็นว่าเกี่ยว พวกที่เห็นว่าเกี่ยว ก็เช่นพวกที่พูดว่า ถ้าไม่เรียนปรมัตถ์ เรียนอภิธรรม เรียนอะไรเข้าไป ทำวิปัสสนาไม่ได้ หรือปฏิบัติดับทุกข์ไม่ได้อย่างนี้ก็มี อีกพวกหนึ่งก็ว่าไม่เกี่ยวกัน ไม่ต้องเรียนเลย แต่ว่าทางที่ถูกนั้น จะพูดให้ผ่าซากลงไปอย่างนั้นไม่ได้
อย่างที่ได้กล่าวแล้วกล่าวอีกว่า สิ่งที่เรียกว่าพรหมจรรย์นั้นเป็นมัชฌิมาปฏิปทา หลักเกณฑ์อันนี้ใช้ได้ทั่วไปหมด จึงขอร้องพวกคุณที่เพิ่งบวช ที่ไม่ค่อยจะเคยได้ยินได้ฟังนี้ว่า ให้จำคำว่า มัชฌิมาปฏิปทา ไว้ให้ดีๆ จะถือโอกาสพูดเสียตรงนี้ว่า พระพุทธศาสนานี้ หรือพระพุทธเจ้าก็ตาม ท่านมีหลักว่าจะไม่พูดอะไรชนิดที่เป็นการผ่าซากลงไปส่วนเดียว ว่าต้องอย่างนั้นเท่านั้นอย่างอื่นไม่ได้ ต้องอย่างนี้เท่านี้อย่างอื่นไม่ได้ อย่างนี้ก็เรียกว่ามันเป็น สุดโต่ง อันตะ(นาทีที่ 3.24) เรียกว่าสุดโต่ง สุดโต่งฝ่ายซ้าย สุดโต่งฝ่ายขวา มันเป็นเรื่องเที่ยง ชนิดที่เรียกว่า สัสสต (นาทีที่ 3 :45) อะไรทำนองนี้ ที่เรียกว่ามัชฌิมาอยู่ตรงกลาง มันก็ต้องแล้วแต่เหตุปัจจัยที่เนื่องกันอยู่ แล้วก็เป็นเฉพาะคน เฉพาะคน เฉพาะราย ยกตัวอย่างเหมือนกับว่าจะยืนยันว่าสิ่งนี้มันดี โดยส่วนเดียว นี้มันก็ หรือไม่ดีโดยส่วนเดียว นี้ก็ไม่ถูก มันขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย แล้วแต่เหตุ แล้วแต่ปัจจัย บางทีมันก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าเหตุปัจจัยมันไม่เข้ารูปกัน ถ้าเหตุปัจจัยมันเข้ารูปกันมันจึงจะมีประโยชน์ ที่ว่าดีหรือไม่ดีมันก็ไม่แน่ นี่หมายถึงเรื่องทางโลกๆ ที่จะมายืนว่ามีหรือไม่มี ดีหรือไม่ดี นั้นก็ต้องดูก่อน ว่ามันมีเหตุปัจจัยเกี่ยวเนื่องกันอย่างไร นั้นจึงมีข้อแม้ว่า ถ้าดีก็จะดีเฉพาะอย่างนี้ อย่างนี้ มันก็ไม่ดีได้ ในอย่างอื่น ถ้าจะถามว่าความเป็นผู้คงแก่เรียน คือความรู้เรื่องปริยัตินี้มันจะต้องเกี่ยวข้องกันกับพรหมจรรย์หรือไม่ หรือว่าเป็นข้าศึกกับพรหมจรรย์ เราก็ไม่ตอบว่ามันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ แล้วก็ไม่บอกว่ามันจำเป็นที่สุดแก่พรหมจรรย์ด้วย มันแล้วแต่เหตุปัจจัยที่เกี่ยวกันอยู่กับบุคคลนั้น หรือว่าในกรณีนั้น การเรียนพระไตรปิฎก แตกฉานในปริยัติ ว่าโดยที่แท้มันก็ไม่เกี่ยวกับพรหมจรรย์ เพราะว่ามีผู้ปฏิบัติบรรลุมรรคผลได้ ตั้งแต่สมัยก่อนมีพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกเพิ่งจะเกิดขึ้นจากความรู้อย่างแตกฉานของบุคคลผู้ประพฤติพรหมจรรย์แล้ว ที่หลังๆ มา มันยิ่งมากขึ้น มากขึ้น จนกระทั่งมันเฟ้อในที่สุด จนคนสนใจแต่เรื่องพระไตรปิฎก ไม่สนใจกับเรื่องพรหมจรรย์ก็มี แต่ที่นี้ถ้าถามว่ามันไม่มีประโยชน์หรือไม่จำเป็น มันก็จำเป็นในบางแห่ง ในบางกรณี หรือว่าสำหรับบุคคลบางคน ที่ควรจะทำได้ ที่อาจจะทำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสืบอายุพระศาสนา ในตอนหลังๆ ก็ต้องอาศัยสิ่งที่เรียกว่าปริยัติ คือความเป็นผู้คงแก่เรียน เป็นผู้แตกฉานในพระคัมภีร์ ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกชั้นทุกระดับ นี่เป็นผู้คงแก่เรียน
ในสมัยหนึ่ง ในยุคหนึ่ง ไม่มีพรหมจรรย์ เอ่อ ไม่มีปริยัติ ไม่มีความเรียน ไม่มีการเล่าเรียนมากๆ อย่างนี้ ก็มีผู้บรรลุมรรคผลได้ ทีนี้ต่อมา มีความเปลี่ยนแปลงมาก จนกระทั่งมีการร้อยกรองทำให้เป็นปริยัติ เช่น พระไตรปิฎก จนกระทั่งเกิดความเปลี่ยนแปลงถึงขนาดที่ไม่มีผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ให้ติดต่อกันมา การถ่ายทอดทางการประพฤติโดยตรงมันขาดตอน มันก็มีเหลืออยู่ได้โดย ปริยัติคือคัมภีร์ ถ้าว่าปริยัตินี่สูญหายไปเสียอีก มันก็จะหมดเลย อาจจะไม่มี พุทธศาสนา อย่างที่เรามาเรียน มาปฏิบัติกันอยู่นี่ก็ได้ นั้นก็ต้องถือว่า ปริยัติหรือว่าความเป็นผู้คงแก่เรียน นี่ก็จำเป็นในบางกรณี ในบางยุคบางสมัย จนเขาเรียกชื่อขึ้นมาใหม่ชนิดหนึ่ง ว่าปริยัติพรหมจรรย์ พรหมจรรย์ในชั้นที่เป็นปริยัติ ก็หมายความว่า ต้องเรียนกันจริงๆ เรียนกันให้รู้จริงๆ นี่อย่าไปเข้าใจผิดว่าไอ้ความคงแก่เรียนมันก็เป็นของผิด เป็นโทษเป็นอะไรไปเสีย หรือจะถึงกับไปบูชาแต่เรื่องเรียน เรื่องปริยัติ เรื่องพระคัมภีร์ อย่างเดียวไม่สนใจกับตัวพรหมจรรย์ มันก็ใช้ไม่ได้ ก็มีคำกล่าวไว้ในพระคัมภีร์นั้นแล้ว เขาเรียกไอ้พวกเหล่านี้ว่า กำมือเปล่า เรียกพวกที่เรียกจนแตกฉานไปหมด เช่นอย่างเดี๋ยวนี้ก็เรียกว่าแตกฉานทั้ง ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ ทั้ง ๓ ปิฎก ก็ถูกประณามว่าเป็นคนกำมือเปล่า แม้ว่าครั้งพระพุทธเจ้าจะไม่มีการเรียนพระไตรปิฎกโดยตรง เพราะยังไม่เกิด พระไตรปิฎกสมบูรณ์ก็มีการเรียนการสอน การถามการบอกกันมากเหมือนกัน คือพอสมควร ภิกษุบางองค์ก็แตกฉานในเรื่องนี้ แต่ไม่ได้ปฏิบัติ ไม่มีพรหมจรรย์ที่เป็นการปฏิบัติก็เลยถูกประณาม พระพุทธเจ้าก็ตรัสประณาม ว่าพวกนี้เป็นพวกกำมือเปล่าๆ กำมือเปล่า หรือเป็นพวกรับจ้างเลี้ยงโค พวกที่รับจ้างเลี้ยงโค หมายความว่า เขารับค่าจ้างนิดหน่อยประจำวัน ไม่มีส่วนที่จะรีดนมโคกินได้ เป็นลูกจ้างเป็นเด็กเลี้ยงวัวรับจ้าง นี่การที่รู้แต่ปริยัติจำไว้มาก เที่ยวบอกคนอื่นได้ ไม่ได้ปฏิบัติ ไม่ได้ผลของการปฏิบัติ เรียกรับจ้างเลี้ยงโค ไม่มีส่วนที่จะได้ดื่มน้ำนม ส่วนคนที่ไม่ได้รู้ปริยัติมากถึงเท่านั้น แต่มีการประพฤติพรหมจรรย์ ก็เลยได้ดื่มนมของโค คือผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติ จนถึงขั้นพระโสดา สกิทาคา หรือไม่ก็สุดแท้ แต่ว่าอย่างน้อยก็ได้รับผลของการปฏิบัติ ก็เรียกว่า เป็นพวกที่ได้ดื่มนมของโค อีกชื่อหนึ่งก็เรียกว่า กำมือเปล่า มันกำไว้มาก แต่พอแบออกดู มันไม่มีอะไร ที่เป็นสาระ มันก็คล้ายๆ กับว่า บ้าหอบฟาง นี่เป็นคำพูดใหม่ๆ ในประเทศไทยเรานี่ มันหอบฟางไว้มากท่วมหัว ท่วมหู แต่ในฟางนั้นมันไม่มีเมล็ดข้าว คือปริยัติที่มันเฟ้อ เขาเรียกบ้าหอบฟาง หรือว่ากำมือเปล่า หรือว่าเด็กเลี้ยงโค ถ้ามากไปจะเป็นเสียอย่างนี้ แล้วเดี๋ยวนี้มักเป็นอย่างนี้ เป็นพวกแตกฉานในปริยัติมาก มีชื่อเสียงมาก มีอะไรมาก มีลาภสักการะมาก ก็เลยผิด ความมุ่งหมายเกี่ยวกับพรหมจรรย์นี้เป็นไปเพื่อวิมุตติ ไม่ใช่เพื่อลาภสักการะเป็นต้น นั้นผู้ที่ศึกษาพุทธศาสนาก็ควรจะศึกษาให้พอเหมาะพอดีกับความต้องการที่จะมีการประพฤติปฏิบัติ ก็เลือกให้มันตรงกับเรื่อง แล้วศึกษาให้แตกฉานในเรื่องที่ได้เลือกดีแล้ว ถ้ามีเวลา ถ้ามีกำลังสติปัญญาก็เรียนได้เหมือนกัน เรียนให้มากกว่าบางคน แต่อย่าให้มันมากจน จนไม่ได้ใช้อะไร เพราะมาหลงใหลแต่เรื่องเรียน ผลนี่มันเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันนี้ ในโลกของศาสนา ก็มีเรียนกันมาก เรียนพระไตรปิฎกเรียนกันมาก ทั้ง ๓ พระไตรปิฎก แล้วไม่เกิดผลในทางการปฏิบัติ ทีแรกอาจจะตั้งใจว่าเราเรียนนี่ หรือเราบวชนี่ก็ตามเพื่อจะปฏิบัติ จะศึกษาพอสมควรแล้วจะปฏิบัติให้บรรลุผลแท้จริง ในพุทธศาสนา พอมาเริ่มเรียนเข้า มันก็เกิดลาภสักการะ เสียงสรรเสริญอะไรต่างๆ มันเลยลืมไอ้ความตั้งใจในทีแรกเรียนเพลินไป ไม่รู้จักสิ้นสุด เป็นบัณฑิต เป็นนักปราชญ์ เป็นขรัว ในที่สุดก็สึก สึกอายุมากๆ ก็มี ก็ไปกินเหล้าเลยก็มี เพราะมันเป็นเรื่องบังคับไม่ได้ อย่างที่ว่า การบังคับตัวเองให้ได้เป็นความสำคัญ เป็นการเอาตัวรอด เดี๋ยวนี้ก็เป็นซะอย่างนี้โดยมาก เพราะนั้นในเรื่องการปฏิบัติ จึงเรียกว่าเงียบหายไป หรือจะเรียกว่าขาดตอนไปเสียทีหนึ่ง ที่พอมาคนชั้นหลัง ต้องการจะฟื้นขึ้นมาอีก มันก็ลำบากที่จะไปเอาจากทางอื่น ก็ต้องใช้ปริยัตินั่นแหละ กันใหม่ แต่ว่าใช้ให้มันถูกทาง ไปอาศัยพระไตรปิฎกเอามาทำการค้นคว้า เลือกเอามาเฉพาะที่จะเป็นหลักการปฏิบัติ แล้วอย่าไปเผลอลืมตัว ให้เตลิดเปิดเปิงไปทางโน้น คือทางไอ้ลาภสักการะเสียงสรรเสริญ นี่โดยเนื้อแท้มันจะคาบเกี่ยวกันอยู่เพียงเท่านี้ สำหรับพรหมจรรย์กับสิ่งที่เรียกว่าคงแก่เรียน
ที่จริงไอ้ความคงแก่เรียนนี้ไม่ใช้ไม่ดีมันก็ดี ยิ่งมีมากแก่บุคคลผู้มีจิตใจดีก็ยิ่งดี แม้เป็นพระอรหันต์แล้ว ก็ใช้ประโยชน์จากความคงแก่เรียนได้มากในการสอนในการเผยแผ่ธรรมะนี้ต่อไป แต่บางคนทำไม่ได้ เมื่อทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ เมื่อสติปัญญามันทำให้มากอย่างนั้นไม่ได้ ก็ควรทำเท่าที่ตัวจะทำได้ ความคงแก่เรียนนี้จึงไม่ค่อยจะเท่ากัน นั้นจึงหาได้ยาก ที่จะมีความคงแก่เรียนถึงที่สุด แล้วก็เป็นพระอรหันต์อะไรทำนองนี้ด้วย ถ้าเป็นพระอรหันต์ก็ไม่อยากเรียนอะไร ให้มันยุ่งลำบากมากไปอีก มัวเรียนมากก็ไม่เป็นพระอรหันต์ ก็ไปมัวเรียนบ้าเรียนมันจะเป็นอยู่อย่างนี้ มันก็เลยยากที่จะมีพระอรหันต์ผู้คงแก่เรียนก็มีการควบคุมมาดีแล้ว
ทีนี้ก็อยากจะพูดให้มันออกไปนอกวง คือไม่ใช่ภายในวงพุทธศาสนา หรือว่าทางศาสนาเราอย่างเดียว ไอ้ทางเรื่องโลกๆ มันก็อย่างนี้เหมือนกัน เดี๋ยวนี้มันการปฏิบัติ น้อยมาก มีแต่เรียน แต่รู้ แต่ปริญญามามากมาย การปฏิบัติตามความรู้นั้นมีน้อยมาก เพราะว่าเมื่อเรียนมีปริญญามามากก็หางานทำได้ มันก็พอใจเสียแล้ว ไม่อยากมี แล้วมันก็ทำผิดพลาดแล้วก็ไม่มีอะไรมาพิสูจน์ได้ มันเป็นความผิดพลาดของบุคคลนั้น ของบุคคลนี้โดยตรง มันไม่มีทางแก้ตัว ที่ไหนก็เหมือนๆ กัน สังเกตดู การเรียนนั้นไม่ตรงจุดของการปฏิบัติโดยตรง เพียงแต่ว่า มันเห็นมันตอบได้ ที่จะมาปฏิบัติให้เชี่ยวชาญชำนาญ มันก็ไม่ค่อยมีโอกาส เพราะว่าเมื่อได้เงินได้ชื่อเสียง เสียแล้วก็มักจะพอใจเสียแล้ว ก็ปล่อยไปตามอารมณ์เอาเวลาไปเล่นหัวดีกว่า ในโลกนี้มันมี ข้อเท็จจริงอย่างนี้อยู่ในปัจจุบันนี้ โลกนี้มันจึง ไม่ได้ผลจากการเรียนเต็มที่นัก เว้นไว้แต่ว่าไอ้เรื่องนั้นมันมีความจำเป็นอย่างอื่นบังคับ จำเป็นทางการเมือง จำเป็นทางการต่อสู้แข่งขัน ก็ค้นคว้ากันมากมาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สุด ไม่ถึงที่สุดของหลักวิชานั้นๆ ก็เป็นอย่างเดียวกันอีก ว่าเรามันเฉไปในทางที่จะ ได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลิน สิ่งที่เรียกว่าสันติภาพมันไม่ค่อยสนุก คนก็ไม่ได้ระดมทุ่มเทความคิดจิตใจไปเพื่อสันติภาพ ทุ่มเทความคิดสติปัญญาทั้งหมดไปเพื่อผลที่เป็น การได้ส่วนตัวเอง ไม่ได้คิดค้นเรื่องยากๆ เช่นว่า ฉันดี ฉันเลิศ มันเพื่อผลส่วนตัวเอง ไกลออกไป ไกลออกไป ไกลออกไป อย่างไม่น่าเชื่อ ที่จะวกมาหาสันติภาพ นี้มันไม่มี ในโลกเป็นส่วนรวมก็ไม่ได้รับมรรคผล คือสันติภาพ คือสันติสุข ทั้งที่ว่า มนุษย์ในโลกนี้เก่งกาจ สามารถในการศึกษาเล่าเรียนค้นคว้า ยิ่งกว่าคงแก่เรียนไปเสียอีก ไปทางไหนกันก็ไม่รู้ นี่เป็นข้อเท็จจริงอันหนึ่ง เป็นเหตุปัจจัยสำคัญอันหนึ่ง ที่มันไม่พอดีกัน ระหว่างการประพฤติพรหมจรรย์กับความเป็นผู้คงแก่เรียน ในกรณีอย่างนี้ ผมเรียกการประพฤติพรหมจรรย์ ว่าการปฏิบัติจริง เรื่องโลกก็ได้ เรื่องธรรมะก็ได้ คงแก่เรียนคือว่าวิชาความรู้ที่เต็มที่ บางวิชาเรียนมา เป็นวิชาล้วน ไม่เป็นการปฏิบัติเลยก็มี แล้วมันยังมีปัญหาคาบเกี่ยวกันที่ว่า ไม่สามารถจะบังคับตัวได้ แล้วการปฏิบัติมันก็มีไม่ได้ มันก็เลยหันไปหาประโยชน์ส่วนตัว เป็นเรื่องคอรัปชั่น อะไรกันไปหมด นี่มันออกไปนอกลู่นอกทางอย่างนี้ ไม่มีผู้ที่อุทิศชีวิต มีการมอบชีวิตนี้ให้แก่การประพฤติ หรือการประพฤติพรหมจรรย์ที่บริสุทธิ์ บ้านเมืองของเราหรือของผู้อื่นหรือว่าทั้งโลกนี้มันเป็นไปในทางที่จะกอบโกย เท่าที่จะกอบโกยได้ ที่นี้คนเก่งกอบโกยได้มาก คนที่มันอ่อนกำลังมันก็กอบโกยไม่ได้ มันเกิดความยุ่งยากลำบากหลายอย่างหลายประการ ต่อๆ กันไปอีก อย่างเช่นเดี๋ยวนี้ ก็มีความผิดกันมาก ระหว่างคนมั่งมีกับคนยากจน มีปัญหาขึ้น อย่างข้าวสารแพงคนมั่งมีก็ไม่เดือดร้อน ไอ้คนจนมันก็เดือดร้อนแสนสาหัส มันเกิดความเหลื่อมล้ำกันไอ้ตรงนี้ โลกนี้ก็ไม่มีสันติสุข ข้าวสารแพงถังละ ๑๐๐ บาท ไม่มีปัญหาอะไรสำหรับคนที่มั่งมี แต่คนจนเดือดร้อน ถึงขนาดที่จะฆ่าจะแกงกัน มันบกพร่อง มาแต่เดิมจึงได้จน พอจนแล้วมันก็มีความยุ่งยากลำบาก แผ่กว้างออกไปหมดจนทั่วโลก ปัญหาเกี่ยวกับคนจน จนเกิดลัทธิคอมมิวนิสต์ เป็นต้น
เดี๋ยวนี้มันก็ผมอยากจะพูดนอกเรื่องบ้าง เพื่อให้มันมีประโยชน์ทางอื่น ที่ผมสังเกตเห็นว่า เมื่อผมเด็กๆ ไอ้ปลาชนิดนี้ ตัวละ ๑ สตางค์เดียวเท่านั้น เดี๋ยวนี้มันบาทหนึ่ง ก็คือ ๑๐๐ เท่า มีของที่ขึ้นราคา๑๐๐ เท่าอย่างนี้อยู่หลายอย่างแม้แต่เกลือก็ขึ้นราคาตั้ง ๑๐๐ เท่า นี้พูดถึงข้าวสารเมื่อผมเด็กๆ มันถังละบาทเดียวเท่านั้น เพราะงั้นมันควรจะขึ้นราคาได้ถึง ๑๐๐ บาท หรือ ๑๒๕ บาท จะเหมาะสมที่สุดสำหรับข้าวสารเวลานี้ที่มันยังไม่ขึ้นตาม เต็มตามอัตราส่วนที่มันควรจะขึ้น ก็มีคนร้องโวยวายแล้ว มันมีความไม่สมดุลอะไรอยู่หลายๆ อย่าง นั้นไปคิดดูเถอะว่า ไอ้ที่เรามาโทษกัน หรือมาเอะอะโวยวายกันมาก มันเป็นเรื่องที่น่าหัวเราะ มันขาด มันขาดการปฏิบัติที่ ปฏิบัติสำเร็จ เพราะว่ามันขาดการบังคับตัวเองที่ดี ความรู้ก็ไม่มี การบังคับตัวเองก็ไม่มี มันก็จน แล้วจะไปโทษใคร แต่ยังมีปัญหาอย่างอื่นอีก เพราะว่าถ้าว่าอำนาจต่างๆ มันไปอยู่ในมือคนมั่งมีแล้ว ก็ยากที่คนยากจนจะดิ้นรนไปได้ มันก็เลยเกิดลัทธิใหม่ๆ ขึ้นมา สำหรับจะฟัดเหวี่ยงกันไป ฟัดเหวี่ยงกันมา ทำลายกันไป ทำลายกันมา ในโลกนี้ เพราะงั้นไม่มีทั้งการปฏิบัติที่บริสุทธิ์ ไม่มีทั้งความรู้ที่ถูกต้อง พอดีหรือเพียงพอแก่กัน นั้นเมื่อคุณจะศึกษาพุทธศาสนา ก็ศึกษา ให้มันพอดีพอสมควร แก่การที่จะต้องศึกษา และต้องปฏิบัติให้เต็มที่สำหรับส่วนที่จะปฏิบัติ ที่นี้คนมันไม่จริงหรือมันจะโง่ก็ได้ หรือมันฉลาด แต่มันเข้าข้างตัว มันก็ไม่ชอบการปฏิบัติ ซึ่งมันทำให้เหน็ดเหนื่อย เจ็บปวด หรือลำบาก มันก็เอาข้างเป็นไม่ซื่อ การเรียนมันก็เรียนอย่างไม่สมบูรณ์ คิดจะไปเอากันง่ายๆ อย่างที่เด็กๆ เรียกกันว่าเรียนลัด อะไรพวกนั้น มันก็ยุ่งกันไปหมด
ทีนี้การบวชเข้ามาในพุทธศาสนานี้ อย่าได้มีลักษณะอย่างนั้น ถ้าเรียนก็เรียนด้วยความบริสุทธิ์ คือเรียนเพื่อพรหมจรรย์ มันก็จะพบว่าจะเลือกเรียนได้ ส่วนที่เป็นประโยชน์แก่พรหมจรรย์ เราเรียนวินัย เรียนธรรมะ เรียนพุทธประวัติ เรียนอะไรก็ตามใจ ให้มันกลมกลืนกันไปที่จะเป็นประโยชน์แก่พรหมจรรย์ ถ้าอยากสอบไล่มันก็สอบได้ไม่เป็นไร ไม่เสียหายที่ตรงไหน แต่อย่าไปลืมตัวชนิดที่เรียกว่า เพื่ออย่างนั้นอย่างเดียว นั่นมันเป็นเหตุให้ต้องโกง คดโกงในเวลาสอบไล่ หรือว่าไปซื้อประกาศนียบัตร นี่มันไม่ใช่เรื่องที่นอกเหนือไปจากวงงานของมนุษย์เรา มันอยู่ในวงกิจการ หรือในวงชีวิตของคนเราเวลานี้ ซึ่งถ้าคุณไปคิดดู ไปสังเกตดู ต่อไปข้างหน้าเรื่อยๆ ก็จะพบ ว่ามันมีมากขึ้น แล้วก็อย่าให้มาเกี่ยวพันเอาเราไปด้วย คือมันไม่จริง ในที่สุดมันไม่จริง มีคำกล่าวที่เรียกว่า ปริยัติเป็นงูพิษ ใช้กับวงการปริยัติในพุทธศาสนา คือการเล่าเรียน ที่เขามุ่งจะใช้การเล่าเรียนนั้นเป็นเครื่องมือ หาประโยชน์หาลาภ หาเงิน หาอะไรก็แล้วแต่ที่ว่าชาวโลกเขาต้องการ มันก็เสียหายหมดในส่วนพรหมจรรย์ ที่จะบรรลุมรรค ผล อย่างนี้ก็ ปริยัติอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านเรียกเองว่ามันเป็นงูพิษ มันเหมือนกันงูพิษ คือมันกัดคนนั้นให้ตาย ตายเสียจากการบรรลุมรรคผล ไม่เป็นผลดีแก่ศาสนา เดี๋ยวนี้เราก็ ทางโลกโลก ก็มักจะเรียนเพียงเพื่อให้ได้ประโยชน์ เป็นเรื่องวัตถุ เป็นเรื่องเห็นแก่ตัว ได้แก่ตัวเร็วๆ จะได้แก่เพื่อนมนุษย์ที่แท้จริง หรือ พลเมืองที่แท้จริงหรือไม่ จะได้แก่หน้าการงานที่แท้จริงหรือไม่ก็ไม่ค่อยสนใจ ถ้าลองเห็นว่าจะได้ประโยชน์เป็นวัตถุอะไรก่อน แล้วไปสนใจทางโน้นกันหมด นับวันยิ่งไม่มีบุคคลผู้ที่กล่าวได้ว่ารักการงานเป็นชีวิต ถ้าผมจะพูดก็เดี๋ยวจะหาว่าผมแกล้งตำหนิ รู้สึกว่าสมัยก่อนมันมีคนที่รักงานมากกว่ารักเงิน คือทำงานเพื่องานน่ะมันมีมาก เดี๋ยวนี้มันจะทำงานเพื่อเงินกันซะมาก มุ่งแต่จะให้ได้เงินอย่างเดียว ไอ้งานนั้นมันก็เป็นเรื่องหน้าไหว้หลังหลอกก็ได้ แล้วโลกก็จะยุ่งยากระส่ำระสายมากขึ้น พูดกันเข้าใจยากที่สุดข้อนี้คือว่า งานเพื่องาน หรือว่างานเพื่อเงิน ครั้งหนึ่งผมถูกชักชวนให้ เงินเพื่องาน งานเพื่อเงิน เงินคืองานบันดาลสุขพักหนึ่ง อย่างนี้มันผิดหลัก มันเพียงแต่จะยั่วให้งกเงินหาเงิน หลักจริยธรรมสากลนั้น ก็งานเพื่องานแล้วคนนั้นก็เคารพตัวเองได้ ก็หมุนไปทางถูกต้องและบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น แต่พอไอ้งานเพื่อเงินหรือว่า งานบันดาลสุข เงินบันดาลสุข นี่ก็คอยจ้องแต่เงินกันจนลืมตัว จนไปในทางทุจริตไป
ข้อนี้ก็อยากจะให้เอาไปใช้กันตลอดชีวิต ที่ว่าพรหมจรรย์ กับปริยัติ หรือความรู้นี้ มันต้องถูกเรื่องถูกส่วนกัน แล้วก็พูดตายตัวไม่ได้เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล มีเหตุปัจจัยเฉพาะกรณี แต่ถึงอย่างไรก็ดี พูดได้ว่าไม่เป็นข้าศึกแก่กัน พรหมจรรย์ กับความรู้หลักวิชานี่ ไม่เป็นข้าศึกแก่กัน ถ้ามันเป็นหลักวิชาเฉพาะการปฏิบัติ นั้นนั้นด้วยยิ่งจำเป็นที่สุด นี้เราเรียกว่าความเป็นผู้คงแก่เรียน คือมันเรียนมาก เผลอเข้ามันก็เป็น เป็นอันตรายแก่พรหมจรรย์ได้ ผมรู้สึกเรื่องนี้มาก เพราะว่ามันต้องคอยต่อสู้อยู่ตลอดเวลาถ้าไม่อย่างนั้นมันก็จะเฉไปในทางที่จะไปหาประโยชน์ เป็นวัตถุ เป็นเกียรติยศ ชื่อเสียง อะไรกันง่ายๆ เร็วๆ เสียมากกว่า ที่จะมาทำงานไอ้รื้อฟื้นสิ่งที่มันรื้อฟื้นยาก ที่จะทำให้คืนชีวิตกลับมาอีกนี่ มันเป็นงานที่ทำยาก ไอ้การศึกษาหรือการปฏิบัติ พุทธศาสนา ให้มันเป็นจริงเป็นจังลงไป ถ้ามันเผลอนิดเดียวมันก็ไปชอบไอ้เรื่องลาภสักการะสรรเสริญ มันก็ไปมุ่งหน้าในทางนั้น ไอ้ทางชนิดที่จะทำจริงนี่ นอกจากไม่สนุกแล้วบางที ถูกเขามองในแง่ร้าย ว่าบ้าหรือบอหรืออะไรก็ไปซะอีก ก็ได้ เพราะมันแปลกจากเขา นี่พูดถึงไอ้สิ่งที่เคยผ่านมา ไอ้การที่มีสวนโมกข์ตอนแรกๆ นี่มีคนว่าบ้าทั้งนั้น คือไปทำสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ หรือเขาไม่เคยทำ พอแปลกจากที่เขาทำเขาก็หาว่าเราเป็นคนบ้า งั้นคนบ้ามันก็ว่าเอา มันก็ต้องหาว่าคนดีบ้า เพราะคนดีมันทำแปลกจากคนบ้า นี้คนดีมันก็ต้องหาว่าคนบ้า นี้มันบ้า เพราะคนบ้ามันทำแปลกจากคนดี นี่เป็นเรื่องธรรมดาสามัญในโลก คุณอย่าไปเข้าใจผิด แล้วไปโกรธ เข้า เมื่อคนอื่นเขาตำหนิ กระทั่งเขาหาว่าบ้า ถ้าไปโกรธเขานี่ล่ะจะบ้าจริง นั้นมีอะไรที่เป็นอุดมคติ มีการศึกษาเพียงพอ มีการปฏิบัติ ที่มองเห็นประโยชน์จริงๆ โดยความบริสุทธิ์ใจแล้ว ควรจะคิดบากบั่นทำงานเพื่องานกันบ้าง บูชาอุดมคติของมนุษย์ อย่างบูชาเงินเสียท่าเดียว ที่จริงก็ไม่ถูกที่จะพูดว่าบูชาเงินเสียท่าเดียว ควรจะกล้าหาญพอที่จะถือสัตย์ว่าไอ้เรื่องเงินนี่ไม่ต้องบูชาแล้ว อย่าไปบูชาเงินให้มันขาดดีกว่า ควรจะเลือกบูชาอุดมคติ ให้เงินมันมาเป็นผู้ที่พลอยได้รับใช้สะดวกสบาย ส่วนที่เราหวังจะได้จริงๆ คือความดีจริงๆ การทำด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่องานที่มีประโยชน์แก่ เพื่อนมนุษย์ แก่โลก รวมทั้งตัวเองด้วย ถ้ามีคนคิดอย่างนี้มากๆ โลกนี้มันก็เปลี่ยนแปลงไปทางที่ประเสริฐ วิเศษยิ่งกว่าธรรมดามาก ยิ่งกว่ามีสันติภาพตามปกติเสียอีก ก็ยังมีสิ่งน่าเลื่อมใส น่าพอใจ มีแต่ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน นี่คือว่าเรื่องปฏิบัติกับเรื่องความคงแก่เรียน หรือวิชา ที่จะทำให้เป็นผู้มีชื่อเสียง ต้องจัดให้ถูกเรื่องถึงจะไปด้วยกันได้ มิฉะนั้นคนเราจะใช้วิชา ใช้แต่ปาก ใช้แต่ลมปาก หาประโยชน์ก็เป็นที่พอใจ ไอ้งานที่ทำจริงๆ ก็เลยหา มีน้อย พอลุ่มหลงในเรื่องเงิน บูชาเงินแล้วก็จะมีแต่เรื่องทุจริตคอรัปชั่นพูดกันไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวนี้ก็กำลังมีอยู่ในโลกนี้ ทำความลำบากยุ่งยาก แล้วก็จะมากขึ้นทุกที มันก็จะลุกลามเข้ามาในวัด ในวงของศาสนา ที่จะเรียกว่าโลกนี้มันจบกันถึงที่สุด คือวินาศกัน มันรอดมาได้ เพราะว่ามันมีคนที่ยังดีอยู่ไม่หมดซะทีเดียว ให้ถือว่าไอ้คนที่ดีนั้นแม้แต่คนเดียวมันก็คุ้มครองอะไรได้มาก แล้วฉะนั้นเอาชนะไอ้คนชั่วมากๆ ได้ แต่คนดีไม่มีซะเลยซักคนเดียวในโลกนี้ก็เป็นอันว่าสิ้นสุด จบกัน นี้ก็เพื่อไม่ให้ท้อใจ ไอ้เดี๋ยวนี้ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้ว มันไปกันอย่างนั้นแล้ว เราก็ไม่คิดจะทำการต่อสู้แก้ไขหรืออะไรแล้ว การที่กล้าหาญต่อสู้ในเมื่อเห็นว่าเกือบทั้งหมดเขาไม่เอากันแล้ว มีความหมาย เป็นความหมายที่มากเท่ากับความหมายพรหมจรรย์ คือมันยาก มันอุทิศ มันเสียสละ แม้แต่ชีวิตก็เสียสละได้ นี่คือความหมายลึกซึ้งของคำว่าพรหมจรรย์ ตายได้เพื่อความถูกต้องเพื่ออุดมคติ ที่ถูกต้อง
สมัยหนึ่งในโลกนี้มันเคยมีมากผู้ที่บูชาความถูกต้อง หรือพรหมจรรย์ เดี๋ยวนี้มันก็เลือนไป ละลายไป เปลี่ยนเป็นตรงกันข้าม มันก็ต้องวินาศหลังจากวินาศแล้วมันจะกลับคืนมาสู่ความถูกต้องอีกก็ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ดีเราไม่ควรจะหมดกำลังใจ หรือว่าเปลี่ยนผสมโรงกับเขาไปเสียเลย ให้ใช้ความรู้ที่แท้จริงต่อสู้รักษาความถูกต้องไว้ให้ได้ในโลกนี้ นี่ถ้ารู้จักใช้ความ รู้จักใช้คุณค่าของวิชชา ก็ทำได้อย่างนี้ นั้นความคงแก่เรียนต้องหมายถึงมีวิชาที่จะเป็นประโยชน์ ไม่ใช่วิชาเฟ้อ ก็ใช้ให้มันเป็นเครื่องมือต่อสู้ เขาก็ต่อสู้ได้จริงๆ ด้วย เป็นนักปฏิวัติที่แท้จริงที่ถูกต้องบางคนทำได้ ถ้าเป็นเรื่องดีจริงก็ถูกยกให้มันเป็นอัจฉริยะบุคคล มหาบุรุษไปเลย ถ้าเป็นเรื่องคดโกง ก็เป็นอันธพาลสุดยอดในโลกไปเลย ขอให้หลับตาเห็นไอ้คำว่าพรหมจรรย์ในสิ่งที่เรียกว่าพรหมจรรย์นี้ ให้ชัดเจนยิ่งๆ ขึ้นไป ยิ่งขึ้นไป ให้เป็นชีวิตอยู่ด้วยความประพฤติ หรือการประพฤติที่ประเสริฐที่สูงสุด ที่ยกมือไหว้ตัวเองได้ ความเคารพตัวเองก็เป็นคำหนึ่งที่สำคัญ ที่เขาใช้มาแต่กาลก่อน ที่คู่กันกับการบังคับตัวเองหรือสุภาพบุรุษเดี๋ยวนี้ก็หายๆ ไปพร้อมกันกับไอ้การบังคับตัวเอง พอหมดการบังคับตัวเองมันก็หมดการเคารพตัวเองไม่มีใครฝันถึงการเคารพตัวเอง คือเคารพความดีที่มีอยู่ในตัวเอง ซึ่งคนอื่นไม่รู้ ให้ถือว่านั่นแหละคือเครื่องวัดอันแน่นอนว่า มีพรหมจรรย์ที่แท้จริงอยู่ในตัวบุคคลนั้น ขอให้นึกถึงเรื่องนี้ให้มากๆ ถ้าเชื่อผม เพราะว่าผมจะเอาอะไรมาพูดนี่ก็นึกแล้วนึกอีก นึกแล้วนึกอีก จะพูดสิ่งที่มีประโยชน์คุ้มค่าหรือเกินค่า แต่แล้วเรื่องชนิดนี้มันไม่ชวนฟัง มันชวนเบื่อ มากกว่า โดยเฉพาะคนที่ท้อแท้อ่อนแอแล้วยิ่งไม่อยากฟัง ก็เลยไม่ค่อยได้ ไม่ค่อยมีบุคคลที่จะผ่านไปได้ หรือเอาตัวรอดได้ ผู้ที่จะเอาตัวรอดไปได้มันจึงมีน้อย น้อย ในกรณีอย่างนี้เขาชอบเปรียบกับ เขาวัวกับขนวัว ผู้ประสบความล้มเหลวไม่จริงมีมากเท่ากับขนวัว ผู้ประสบความสำเร็จเท่ากับเขาวัวซึ่งตัวหนึ่งมีสองเขาเท่านั้น ลองใคร่ครวญดูในโลกนี้มันมีผู้ที่ไม่เคารพตัวเองได้ ไม่มีอะไรดีจนไหว้ตัวเองได้เท่ากับ ขนวัว คนที่จะเคารพตัวเองได้มันก็เท่ากับเขาวัว ตัวหนึ่งมีสองเขา อย่างมากก็สักสี่เขา เคยไปเห็นที่ประเทศอินเดีย มีวัวตัวหนึ่งเขาเอามาเก็บสต๊าฟมันมีเขาตั้งสี่เขา มันก็จะตัวเดียวเท่านั้น มันบังเอิญก็ไม่รู้ คือไม่มีอะไรดีกว่านี้ สำหรับผู้ที่มาบวชประพฤติพรหมจรรย์อย่ามาเห็นแก่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เรื่องปาก เรื่องท้อง เรื่องกระจุกกระจิกหยุมๆ หยิมๆ ซึ่งมันจะต้องมีความไม่ได้อย่างใจเรื่องนี้เป็นธรรมดา แต่ถ้าเราอ่อนแอมันยิ่งเป็นมาก ถ้าเราเข้มแข็งมันจะไม่มี มันจะไม่ค่อยปรากฏ ถ้าเรายังหัวเราะได้ในเรื่องที่มันไม่ค่อยจะเป็นไปตามที่เราปรารถนา
ที่นี้บางทีบวชเข้ามาแล้ว มาสนใจแต่เรื่องไม่เกี่ยวกันเลยกับพรหมจรรย์ ไม่รู้ว่าบวชมาเพื่อประพฤติพรหมจรรย์ ก็เลยกลายเป็นคนที่ไม่รู้จักพรหมจรรย์หลับหูหลับตาไปสนใจเรื่องอะไรไม่รู้ แม้แต่เรื่องกินเรื่องนอนเรื่องอะไร ก็เรียกว่าไม่ใช่พรหมจรรย์แล้ว ถ้าไปเห็นแก่เรื่องเหล่านั้น แล้วเป็นคนมีความคิดหยุมๆ หยิมๆ มันก็รู้สึกเหมือนกับว่าทุกคนเขาไม่ชอบเราเกลียดเรา แกล้งเรา นี่มันจะเป็นโรคเส้นประสาท มันจะเป็นบ้าไปเลย ถ้ามันมีสิ่งที่ ที่เขาเรียกว่ามันเป็นข้าศึก หรือว่ามันเป็นเครื่องที่มันขัดขวางเรา แอนตี้เรา อย่าไปโกรธเข้ามันจะเป็นคนโง่ที่สุดในโลก มันจะทำลายตัวเอง ทำลายคนอื่น ทำลายมากเทียว ต้องรับเอาในฐานะว่ามันเป็นสิ่งที่มาฝึกฝนเรา มาสอนเรา มาสอบไล่เราในที่สุด เพราะมันช่วยไม่ได้ ที่ว่าในโลกนี้ ในหมู่นี้ สังคมนี้ ที่ไหนก็ตามที่จะไม่มีคนบ้าๆ บอๆ คนที่ทำอะไรขวางหูขวางตาพูดจาอะไรไม่น่าฟัง มันต้องมี แล้วเราไปเสียเวลารับเอามาเป็นเรื่องของเรา เราก็เป็นคนโง่ที่สุดในโลก แต่ถ้าเราคิดว่านี่มาสำหรับสอนเราทดสอบเราให้ตัวเรา ฝึกฝนสำหรับที่จะไม่ใช่รับเอามาโกรธมา เคืองมาหงุดหงิดอยู่ จะกลายเป็นคนประพฤติพรหมจรรย์ไปทันที บางทีก็มีพระพุทธภาษิตสรุปไว้เพียงคำพูดสองคำว่า พูดจริงแล้วก็ไม่โกรธ สรุปใจความของพรหมจรรย์ว่า พูดจริงแล้วก็ไม่โกรธ สองคำเท่านั้น แล้วคุณก็ไปคิดดูจะต้องมีอะไรกันนักหนาเล่า ถ้าจะเอาพรหมจรรย์กันจริงๆ ไอ้คนที่บังคับตัวให้ไม่โกรธได้ คือบังคับกิเลสได้ ไอ้บังคับไม่โกรธได้ มันมีเหตุผลหรือข้อเท็จจริง ลึกซ้อนอยู่ในตัวมันบังคับความโลภได้ บังคับความโง่ได้ แล้วพูดจริง ก็หมายความว่ามันจริงอยู่แล้ว เป็นคนจริงอยู่แล้ว แล้วถ้าเป็นภิกษุอย่างนี้ พูดจริงแล้วรอดตัวหมด หมายความว่าเมื่อเข้ามา บรรพชาอุปสมบท มันได้พูดอะไรออกไปบางอย่างแล้ว ซึ่งกินความหมายกว้างขวางหมด คือจะมาพฤติ จะมาขอบวชประพฤติพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนา นี่ก็เรียกว่าพูดจริงแล้วก็ไม่โกรธ คือบังคับตัวได้ บังคับให้เป็นไปตามความสัตย์นั้นได้ มันก็รอดตัว ทีนี้คนที่ว่าบวช ขอบวชพูด กล่าวคำขอบวชมันเป็นการกล่าวสัจจะไปอย่างหนึ่ง ทีนี้พอบวชเข้ามาแล้วมันกลายเป็นคนเห็นแก่ปากแก่ท้อง หรือว่าเป็นคนหงุดหงิดขี้โกรธ ไปเอาเรื่องที่ไม่ใช่เขาว่าเรา มาเป็นเรื่องของเราสำหรับโกรธสำหรับด่าเขาอย่างนี้ก็มี
คำอย่างนี้มีในบาลีมีในพระพุทธภาษิต เขาไม่ได้ว่าเราก็คิดแต่ว่าเรา หรือเขาว่านิดเดียวมันก็เอาทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตร้อยเท่าพันเท่า สำหรับมาน้อยใจสำหรับมาโกรธเป็นกิเลสของคน ที่เรียกว่ายังเป็นอันธพาลอยู่มาก คือยังอ่อนอยู่มาก ดูเหมือนพระพุทธเจ้าท่านจะเอามาตรฐานอันนี้เป็นมาตรฐานอันแรกด้วยสำหรับการประพฤติพรหมจรรย์ เขาพูดอะไรนิดเดียวก็เอามาโกรธได้มาก กระทั่งว่าเขาไม่ได้ว่าเรา แต่เราก็เข้าใจว่าเขาว่าเราแล้วก็เอามาโกรธ นี่เป็นอันดับแรก เรียกว่าจะเป็นชั้นอนุบาลด้วยซ้ำไป ที่ว่าจะต้องผ่านไปให้ได้ มิฉะนั้นจะเสียเวลา เสียผ้าเหลือง เสียทุกอย่าง ที่เข้ามาบวชในศาสนานี้ มันถ้าทำอย่างนี้ไม่ได้ แล้วก็ทำอย่างอื่น ต่อๆ ไปทำไม่ได้ นี่ก็เป็นเครื่องบอกให้เห็นชัดว่ามันไม่เกี่ยวกับความคงแก่เรียน เพียงแต่ว่าพูดจริงกับไม่โกรธนี่มันก็พอซะแล้ว เป็นพรหมจรรย์สำหรับเพียงพอที่จะดับทุกข์แก้ทุกข์ได้ แต่ถ้าว่ามีความคงแก่เรียนก็ให้มันมาช่วยประกอบข้อนี้ มาช่วยประกอบการที่ช่วยเผยแผ่สั่งสอนผู้อื่นต่อไป
คำว่า ความเป็นผู้คงแก่เรียนนี้ คุณช่วยกันระวังให้ดีๆ อย่าให้มันเกิดเป็นงูพิษขึ้นมา มันจะพาไปหาไอ้เรื่องคอร์รัปชั่นก็ได้ ถ้ามันพาไปหาคอร์รัปชั่น แล้วมันคอร์รัปชั่นลึก เพราะมันฉลาดมันเป็นคนคงแก่เรียน มันก็ทำอันตรายมากเรียกว่าตายเลย ความคงแก่เรียนมันต้องอยู่ในความถูกต้อง หรืออยู่ในการควบคุมที่ดี ก็มีประโยชน์เต็มที่ ทีนี้เราก็เรียนเรื่องที่เป็นอุปกรณ์กันก็มากเหมือนกัน เช่นภาษา เช่นอะไรต่างๆ ถ้าเรียนได้มันก็ดี มันก็ช่วยให้การงานมันสะดวก มันไม่ใช่ตัวพรหมจรรย์ ตัวพรหมจรรย์แม้ไปเอาอย่างกันโดยไม่ต้องพูดกันมันก็ยังทำได้ ผมสังเกตเห็นคนชั้นผู้เฒ่าแต่กาลก่อน มันน่าเลื่อมใส ทั้งที่คนผู้เฒ่านั้น ไม่รู้ ไม่เคยเรียนนักธรรม และก็ไม่รู้ว่าคำว่าพระไตรปิฎกหมายความว่าอะไร แต่พอแล้วยิ่งดูไป เอ๊ะ,นี่ทำไมมันมีมีอะไรที่เป็นความบริสุทธิ์ใจ เป็นความจริง จริงทั้งข้างนอก จริงทั้งข้างใน เราชักจะละอายคนเหล่านี้ แล้วมันก็พิสูจน์ประหลาดที่ว่า พวกประชาชนก็นับถือ พระ หลวงพ่อ หรือหลวงอะไรที่ไม่ค่อยจะรู้อะไรนี่มากกว่า แล้วก็นับถือด้วยใจจริง ด้วยความบริสุทธิ์ใจมากกว่า ที่จะไปนับถือมากกว่าพระที่คงแก่เรียนปรู๊ดปร๊าดเป็นนักปราชญ์ สอบไล่ได้มีชื่อเสียงก็ยังได้รับความเคารพหรือความบริสุทธิ์ใจน้อยกว่า หลวงพ่อชนิดที่ไม่ จะเรียกว่าไม่รู้อะไรเลยก็ได้สำหรับเรื่องที่เขาเรียนกัน แต่มีอะไรแสดงอยู่ที่เนื้อที่ตัวว่าแกไม่เป็นอันตรายแก่ใคร ไม่หลอกลวงใคร มีความจริงใจมีความเปิดเผย ขอให้ ให้นึกถึงสิ่งเหล่านี้ด้วย จะรู้ว่าไอ้ความรอดไปได้นั้นมัน มันอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่คงแก่เรียน หรือว่ามันอยู่ที่ตัวพรหมจรรย์ ผมเข้าใจว่า สมัยโบราณโน้น คงจะสนใจ บุคคลที่บริสุทธิ์เปิดเผยนี่ มากกว่าที่จะสนใจคนที่เป็นนักปราชญ์ เรียนมาก เดี๋ยวนี้ก็ดูยากนะ ดูจะเป็นเฮกันไปหมดทั้งโลก เป็นเรื่องนักปราชญ์หรือเป็นผู้บริสุทธิ์เป็นพวกนี้ดูมันลำบากแล้ว มันเป็นโรคระบาดจนหา ผู้บริสุทธิ์ยาก เอาและเป็นอันว่า อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่ว่าเราเป็น พุทธสาวก เป็นสมณะศากยบุตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งชั่วเวลาที่บวชครองผ้ากาสาวพักตร์ อย่าไปปฏิเสธเลย ว่าที่ ว่าเราจะไม่เป็นสาวก ของพระพุทธเจ้า หรือเป็นสมณะศากยบุตร เพราะว่าเรามันประกาศตัวไปอย่างนี้ ชาวโลกเขาก็อุปโลกน์กันเป็นอย่างนี้ เราไม่ต้องแก้ตัว เป็นอย่างอื่น ให้ไปนอนนึกถึงแต่ว่าจะทำอย่างไร ให้เป็นสมณะศากยบุตรให้สุดฝีไม้ลายมือ สุดความสามารถของเรา กว่าจะลาสิกขาออกไป หรือว่ากว่าจะตาย ถ้าว่าออกไปเป็นฆราวาสก็ไปเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าที่ดี ที่สุดที่จะทำได้ เป็นอุบาสกที่ดี ชาวบ้านที่ดี ถึงไม่ถึงขนาดสมณะศากยบุตรก็ มันก็ไม่เป็นไร ก็นับว่าดีสุดความสามารถให้หมายมั่นที่ตรงนี้ก่อน ไอ้นอกนั้นให้มันเป็นรองๆ ลงไป ถ้าว่าเป็นเรื่องทุจริตหลอกลวงตบตา แล้วอย่ามีเลยดีกว่า อย่าไปหวังพึ่งสิ่งเหล่านี้ เรียนก็ต้องรู้จริงไม่ไปเรียนลัด แล้วไม่ใช่ลัดมาสำหรับ ถือเอาประโยชน์ในทางที่มันไม่เป็นธรรม ถ้าเรียนลัดก็หมายความว่าจะถือเอาประโยชน์ในทางที่คิดว่ามันจะไม่เป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม นี่คือคำพูดกันวันนี้ก็เพื่อจะให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าพรหมจรรย์ยิ่งๆ ขึ้นไปอีกทีละนิดทีละนิด