แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในการบรรยายประจำวันในวันนี้ ผมอยากจะกล่าวถึงสิ่งที่เรียกว่าพรหมจรรย์ต่อไปอีก โดยจะกล่าวโดยหัวข้อว่า พรหมจรรย์กับผู้ไม่นิยมการบังคับตัวเอง ข้อนี้หมายความว่า คนที่ไม่นิยมการบังคับตัวเองก็ไม่สามารถที่จะได้รับประโยชน์อะไรจากพรหมจรรย์ แล้วก็ยังหมายความเลยไปถึงการประกาศพรหมจรรย์ ว่าการประกาศพรหมจรรย์ แก่ผู้ไม่นิยมการบังคับตัวเอง ก็เป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์อะไร ที่นี้เราผู้ที่จะเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ก็ต้องตั้งต้นด้วยการบังคับตัวเอง ก็ต้องพอใจในการตั้งต้นด้วยการบังคับตัวเอง ถ้าเราจะเผยแพร่ธรรมะที่เรียกว่าประกาศพรหมจรรย์ก็ทำได้แต่เฉพาะแก่ผู้ที่นิยมการบังคับตัวเอง นี่คือปัญหาสำคัญที่ซ่อนเร้นอยู่ คือข้อที่เราประพฤติพรหมจรรย์ไม่สำเร็จในส่วนตัวเรา ก็เผยแพร่พุทธศาสนาไม่สำเร็จ เพราะว่าในโลกนี้เวลานี้ แทบว่าจะมีแต่ผู้ที่ไม่ชอบการบังคับตัวเอง นี่เป็นหัวข้อสำคัญที่จะต้องทำความเข้าใจกัน ภิกษุ สามเณร ไม่ประสบความสำเร็จในการเป็นภิกษุ สามเณร มันก็เพราะข้อนี้ เพราะไม่ชอบการบังคับตัวเอง
ทีนี้อยากจะให้ทำความเข้าใจให้ดีๆ ว่า การบังคับตัวเองนั่น ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวหรือว่าเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะเดี๋ยวนี้คนมักจะกลัวการบังคับตัวเอง รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่น่าสนุกเกินไป เป็นการกดดันอยู่ตลอดเวลา ถ้าอย่างนี้ก็เข้าใจผิด คือเราต้องเข้าใจไอ้หลักพื้นฐานทั่วๆ ไป เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าเสียก่อนว่าท่านไม่ตรัสสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ไม่ตรัสสิ่งที่ผู้ฟังจะปฏิบัติตามไม่ได้ หมายความว่าโดยธรรมชาติสิ่งนี้ก็เป็นไปได้ ไม่ผิดธรรมชาติ ไม่ฝืนกฎธรรมชาติ มนุษย์นี้อาจจะปฏิบัติในสิ่งนี้ได้ คือสิ่งที่เรียกว่าพรหมจรรย์ สำหรับการบังคับตัวเองนั้น เมื่อผมเด็กๆ ได้ยินมากที่สุดในโรงเรียน หรือว่าในสำนักการศึกษาและก็ได้ยิน ได้ฟัง หรือได้เห็นว่าถ่ายทอดออกมาจากฝรั่งอีกนั่นเอง คือคำว่า Self - control อะไรพวกนี้ เป็นการบังคับควบคุมตัวเอง ครูบาอาจารย์ก็พูดกันมากโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ แต่เดี๋ยวนี้มันหายไปไหนหมด ไอ้คำว่าการบังคับตัวเองนี้ไม่ค่อยจะได้ยิน แล้วคนก็ไม่ค่อยชอบ เข้าใจว่าไอ้เรื่องประชาธิปไตยนี่มาทำให้เสียนิสัย ไม่ชอบถูกบีบบังคับจากภายนอก จากบุคคลด้วยกัน ทีนี้มันมากเกินไป มันก็เตลิดเปิดเปิงเข้ามาถึงข้างในจนว่าไอ้ตัวเองก็ไม่อยากจะบังคับตัวเอง เพราะนิสัยมันเคยชินที่จะไม่ให้ใครบังคับ ไม่ให้มีอะไรมาบังคับ กระทั่งว่าไม่ยอมให้พระเจ้ามาบังคับ นี่ประชาธิปไตยที่เป็นบ้าเป็นหลังมันมีผลลึกลงไปถึงอย่างนี้ สมัยก่อนดูจะเทิดทูนไอ้คำว่าบังคับตัวเองกันมาก โดยเฉพาะความหมายของคำว่าสุภาพบุรุษ เดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยพูดถึงคำว่าสุภาพบุรุษ กลายเป็นคำล้อเลียนไปเลย สมัยก่อนเป็นคำที่ใช้เป็นเครื่องวัด เป็นเครื่องเตือนสติซึ่งกันและกัน ไม่เป็นสุภาพบุรุษ ก็เรียกว่ามันใช้ไม่ได้ ก็ดูเอามากจากฝรั่งอีกเหมือนกัน Gentleman เดี๋ยวนี้มันก็หายไปอีก แม้ฝรั่งเองก็หา Gentleman ยาก ที่ไทยที่ไปตามก้นเขาก็เลยหมดไปด้วยเหมือนกัน ไม่มี Gentleman ที่บังคับตัวเอง ผมไม่ได้คิดจะหลอกพวกคุณ ซึ่งมีอายุน้อยๆ ซึ่งเกิดมาไม่ทันได้ยิน ได้ฟังคำเหล่านี้ ผมนี่เมื่อเด็กๆ ได้ยินมาก แล้วก็มันประทับอยู่ในจิตใจ ก็รู้สึกว่านี่คือหนทางรอดของมนุษย์เรา แล้วพอได้บวชได้เรียนในพุทธศาสนาก็ยิ่งเห็นว่า แหมมันตรงกับหลักพุทธศาสนาเลย หลักที่เขาถือกันเป็นสากลในหมู่ประชาชนชาวบ้านหรือทั่วโลก มาตรงกับหลักพุทธศาสนา ที่ว่าการบังคับตัวเอง แต่แล้วมันกลายเป็นเรื่องที่น่าเศร้าหรือน่าอะไรอย่างนี้ คือมันหายไปๆๆ จนเดี๋ยวนี้ไม่มีใครบูชาไอ้การบังคับตัวเอง มันก็เลยเป็นปัญหาเกิดขึ้น เพราะว่าพรหมจรรย์นี้มันเป็นเรื่องการบังคับตัวเอง พรหมจรรย์นี้มันเป็นไปไม่ได้ ในหมู่คนผู้ที่ไม่นิยมการบังคับตัวเอง และการบังคับตัวเองนี้ก็เป็นจุดตั้งต้นของทุกสิ่งทุกเรื่องที่เกี่ยวกับพรหมจรรย์ นั้นผู้ที่ไม่นิยมการตั้งต้นด้วยการบังคับตัวเองแล้วก็ไม่มีทางที่จะได้รับประโยชน์จากพรหมจรรย์ คือมันจะไม่มีพรหมจรรย์ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่มนุษย์จะต้องเกี่ยวข้องด้วยตั้งแต่เกิดออกมา จนเจริญเติบโต จนกระทั่งตายเน่า เข้าโลงไป มันอยู่ด้วยพรหมจรรย์ คือ การกระทำที่ดีที่สุดของมนุษย์เรา มันมีหัวใจอยู่ที่การบังคับตัวเองตลอดทุกเรื่อง ทุกระดับของชีวิตมนุษย์เรา ปราศจาการบังคับตัวเองแล้วมันเป็นเรื่องของกิเลส คือความล้มเหลว
เอาล่ะเรามาพูดถึงเรื่องที่สำคัญกันก่อนดีกว่า คือว่าเรื่องการบังคับตัวเองนี้ไม่ใช่น่ากลัว ไม่ใช่เจ็บปวดจนกระทั่งถึงกับว่าทนไม่ได้ เว้นไว้แต่ว่าคนนั้นมันยังเหลวไหลมาก มันก็ต้องบังคับกันหน่อยตอนแรกๆ ก็จะรู้สึกว่าเจ็บปวดบ้าง ถ้าทำถูกวิธีแล้วจะเป็นไปในทางที่เรียกว่าไม่เจ็บปวดจนถึงกับเดือดร้อน ไหนๆ เราก็เข้ามาบวชเป็นภิกษุ ก็ประพฤติพรหมจรรย์อย่างภิกษุ ก็ควรจะพิจารณากันดูว่ามันจะเดือดร้อนถึงขนาดที่เรียกว่าเดือนร้อนไหม สำหรับผู้ที่มีจิตใจเป็นปกติ ไม่ใช่ออดแอดจนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อหรืออะไรทำนองนั้นมา แต่ถึงอย่างนั้นก็จะไม่ทำให้คนชนิดนั้นตายลงไปเพราะการประพฤติพรหมจรรย์ที่เป็นการบังคับตัวเอง จะช่วยแก้ไขให้เขาเข้มแข็งขึ้น เข้มแข็งขึ้นทีละน้อยจนสามารถบังคับได้แล้วทีนี้ก็สบาย มันเหมือนกับการฝืนทำอะไรตอนแรกๆ บางอย่าง เช่นเรามีแผลเราจะต้องชำระชะล้าง ขูดแผลนี้ก็ต้องทนเจ็บปวดบ้าง พอมันหายแล้วมันก็สบายไปเลย ไม่ใช่ที่สุดแต่จะทายาลงไป มันก็มีแสบบ้าง ร้อนบ้าง อะไรบ้าง ชั่วขณะหนึ่งเสร็จแล้วมันก็หายแล้วก็สบาย ขอให้เพ่งเล็งกันอย่างนี้ในการประพฤติพรหมจรรย์ เพราะมันไม่มากเกินไปถึงขนาดทำให้ตาย หรือให้เป็นผู้ที่ทนทรมานอยู่ตลอดเวลา มันจะต้องต่อสู้บ้างในระยะแรกเสร็จแล้วก็สบาย เพราะว่าพรหมจรรย์นี้มีวิมุตติ คือความหลุดพ้นจากกองทุกข์เป็นอานิสงค์ ที่พูดพร้อมๆ กันไป กับคนในโลกพวกอื่นที่จะพลอยรับพรหมจรรย์นี้ โดยเฉพาะก็พวกฝรั่งอีก บางที พวกคุณบางองค์ก็ไปเกี่ยวข้องกับฝรั่งมาแล้ว บางทีก็พานิสัยฝรั่งติดมาบ้างไม่มากก็น้อย ก็ถือโอกาสพูดกันซะทีเดียวว่าไม่ต้องกลัวสิ่งที่เรียกว่าการบังคับตัวเองในพุทธศาสนา
การบังคับตัวเองในพุทธศาสนา ตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้นั้นมันวิเศษ คือเป็นหลักวิชชา หรือเป็นระบอบที่มีเหตุผลกลมกลืนกันไป จะเรียกว่าเทคนิคก็ได้เพื่อจะไม่เป็นของเหลือวิสัยแล้วก็ไม่เจ็บปวดจนทนไม่ไหว ตัวอย่างหมวดธรรมที่สำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็คือหมวดธรรมที่เรียกว่ากันว่าฆราวาสธรรมอีกนั่นเอง สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ ๔ อย่างนี่รวมเข้าด้วยกันกลมกลืนกัน แล้วก็เป็นการบังคับตนเองแบบที่ทั้งโลกเขาต้องการ คือบังคับตนเองให้ปกติทั้งกาย ทั้งทางวาจา ทั้งทางจิตใจ กระทั่งถึงทางวิญญาณ ความคิด ความเห็นมันอยู่ในร่องในรอยหมด ทมะ คำแรกก็แปลว่าบังคับ หรือทรมานด้วยซ้ำไป แต่นี้มันมีสัจจะอยู่ข้างหน้า เรียกว่าจะต้องตั้งสัจจะที่จะทำเรื่องนี้ คือประพฤติพรหมจรรย์นี้ มีทมะ คือ บังคับตัวเอง แล้วก็มีขันติ คืออดทน มีจาคะคือระบายออกในสิ่งที่ควรระบายออก นี่เพียงเท่านี้ก็จะเห็นว่าเป็นรูปเทคนิคทางจิตใจ แล้วเป็นเรื่องสำคัญที่อยากจะขอร้องให้สนใจเป็นพิเศษตลอดชีวิต เมื่ออยู่เป็นพระนี่ก็อาศัย ๔ อย่าง เมื่อออกไปเป็นชาวบ้านก็จะอาศัย ๔ อย่างนี้จนตลอดชีวิต มันเป็นธรรมะ๔ ข้อ แต่เขาเอามารวมกันเป็นข้อเดียว ให้สัมพันธ์กันเป็นเรื่องเดียว สำเร็จรูปเป็นการบังคับควบคุมตัวเอง
สัจจะนี่ไม่ต้องอธิบายกันนัก คือจริง จริงต่อทุกอย่าง ก็พูดสั้นๆ ก็ว่าเป็นคนจริง ที่นี้คนมันไม่จริง คนในโลกเดี๋ยวนี้ยิ่งไม่จริง พูดสัญญามั่นเหมาะ รับปากรับคำแล้วมันก็ไม่จริง ที่ไม่จริงมากในหมู่พวกเราก็คือ ไม่จริงตามข้อสัญญาที่ได้เปล่งวาจาออกไปในการขอบรรพชาอุปสมบท ในวันบรรพชาอุปสมบท อะไรที่มีไว้เป็นระเบียบ ซึ่งตัวก็ต้องยอมรับ แม้จะไม่มาเซ็นต์สัญากันเป็นข้อๆ มันก็ต้องยอมรับระเบียบของพรหมจรรย์ทั้งหมด หรือแม้แต่ว่าแสดงออกมาทางการกระทำ ก็เป็นการแสดงว่าเรายอมรับเพื่อจะประพฤติพรหมจรรย์นี้ เช่นการเข้ามาบวชนี่ ก็ถือว่าเป็นการยอมรับยอมสมัครว่าจะประพฤติตามกฎเกณฑ์ของพรหมจรรย์นี้ เสร็จแล้วมันก็เหลวไหล นี่คือไม่จริง คือไม่มีสัจจะหรือความจริง ต้องนึกถึงไอ้ความจริงกันก่อน พูดจริงทำจริง แล้วบูชาอุดมคตินี้จริงๆ คือสงวนไว้ซึ่งเกียรติของความเป็นคน หรือเกียรติของความเป็นลูกผู้ชาย หรือว่าความเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา ทุกอย่างนี้จะต้องชำระสะสางให้ถูกต้องให้บริสุทธิผุดผ่องซะก่อนว่ามันเป็นคนจริง พูดจริง ทำจริง อะไรจริงหมด แล้วก็ไม่เล่นตลกแม้กับตัวเอง นี่คิดดูเถอะข้อนี้ แม้แต่จะเป็นพระเป็นเณรนี้ก็ต้องมีถึงที่สุด แม้จะออกไปเป็นชาวบ้านมันก็ยังต้องการถึงที่สุดอยู่นั่นแหละ ก็มีการอธิษฐานจิตว่าเราจะทำอะไร เช่นเดี๋ยวนี้ว่าเราจะประพฤติพรหมจรรย์เป็นภิกษุที่ดีในพระพุทธศาสนา ถ้าสึกออกไปต้องมีอธิษฐานจิตเช่นเดียวกับที่ว่าอธิษฐานจิตที่จะเป็นภิกษุที่ดีในพุทธศาสนา จะเป็นเพื่อนที่ดี จะเป็นพ่อบ้านที่ดี จะเป็นอะไรที่ดี เป็นสามีที่ดี เป็นอะไรที่ดีไปทุกอย่างนั่นแหละ เรียกว่ามีการอธิษฐานจิตด้วยความจริงใจ นับตั้งแต่เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ เป็นสาวกที่ดีในพระศาสนา นี่เรียกว่าเป็นหลักใหญ่ๆ ทั่วไปจนตลอดชีวิต ทีนี้เราก็ยังมีหน้าที่ปลีกย่อย เป็นนายผู้บังคับบัญชาเขา ก็เป็นนายที่ดี เป็นสามีก็เป็นสามีที่ดี เป็นบิดาก็เป็นบิดาที่ดี นั่นแหละมันก็ต้องเป็นคนถึงขนาดนั้น เดี๋ยวนี้มันหลอกลวงตัวเอง โกหกตัวเอง พูดแต่ปาก ไม่กล้าพอที่จะเป็นคนจริงอย่างนี้แล้วมันใช้ไม่ได้ มันเหมือนกับ เด็กอมมืออยู่เรื่อย ไม่เข้มแข็งพอ อย่างนี้เรียกว่าสัจจะ คำแรก คือ จริง มีการอธิษฐานจิตด้วยความเคารพนับถือตัวเองเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์
นี้ข้อที่ ๒ เรียกว่า ทมะ ท ทหารกับ ม ม้าอ่านว่า ทะ-มะ แปลว่าการบังคับ การฝึกก็ได้ แต่ความหมายแท้ๆ มันหมายถึงการบังคับให้กระทำ ต้องถือว่าทุกคนเกิดมาเป็นธรรมะ นี่มันซ่อนตัว ม เข้าไปอีกตัวหนึ่ง เป็นธรรมะ แปลว่าผู้ที่ต้องฝึกได้ คือไม่เป็นคนเลวเกินไป ไม่เป็นวัตถุดิบที่เลวเกินไป จนใช้ทำอะไรไม่ได้ ถ้าเราเป็นคนเกิดมาเป็นคน เราต้องเป็นบุคคลที่ฝึกได้ ไม่ใช่คนบ้า แล้วก็ไม่ใช่คนพิกลพิการอะไรต่างๆ ไม่ใช่เป็นคนมีจิตใจทรามจนถึงกับว่าเป็นผู้ร้ายโดยกำเนิด ถ้าอย่างนั้นมันฝึกไม่ได้ มันอยู่ในวิสัยที่จะฝึกได้ เป็นคนพิเศษ เราไม่รวมอยู่ในคนพวกนั้น เรามันรวมอยู่ในคนที่ เวไนยสัตว์ ผู้ที่พระพุทธเจ้าอาจนำไปได้ เรียกว่าเป็น ธรรมะบุคคล ปุริสะธรรมะ คือเป็นบุรุษที่ฝึกได้ ที่ครูบาอาจารย์ฝึกได้ ที่พระพุทธเจ้าฝึกได้ ถ้าใครยังไม่เคยคิดเรื่องนี้หรือไม่เข้าใจเรื่องนี้ หรือมองเห็นความที่ตนไม่เป็นคนฝึกได้ ก็ขอให้ไปสะสางเสียก่อน เอาไอ้สิ่งที่เลวร้ายออกไปเสีย ให้มันมาอยู่ในวิสัยที่อาจจะฝึกได้ มันจึงจะมารับไอ้ธรรมะข้อที่ ๒ ที่เรียกว่า ทมะ คือการฝึก หรือการบังคับ เอาพูดไปต่อ ต่อไปให้จบเสียก่อนดีกว่า ว่าไอ้การบังคับนี่มันก็ต้องมีความรู้สึกประเภทกดดันบ้างเป็นธรรมดา แต่ไม่ใช่มากมาย จนถึงกับว่าจะต้องตาย หรือจะล้มละลาย จึงต้องมีการทน ถ้าเรามีนิสัยแห่งการทน เราจะรู้สึกว่า ไม่เจ็บปวดมากมาย คือมันจะทนได้ เดี๋ยวนี้เราไม่ชอบการทน ไม่มีการอด ไม่มีการทน ก็จะรู้สึกว่าไอ้การบังคับนี่มันมากไปเสียแล้ว แล้วก็ต้องทนจนเกิดนิสัยแห่งการทน มันเป็นธรรมชาติอันหนึ่งสำหรับมนุษย์เรา ถ้าเราทนมันก็จะเกิดการสู้ได้ ต่อต้านได้ เหมือนว่าเราเดินทีแรกไม่ได้สวมรองเท้า มันก็เจ็บบ้าง แต่ถ้าเราทนไปมันก็หายเจ็บ มันเป็นการสู้ได้ เช่นเท้ามันหนาขึ้นมา มันก็สู้ได้ แต่ถ้าเราไม่ทนเสียเลย มันก็ไม่มีการสู้ได้ หรือภาวะที่สู้ได้ขึ้นมา เพราะงั้นอย่างโง่ อย่างอ่อนแอจนถึงกับไม่ยอมทนอะไรกันเลย
ในการประพฤติพรหมจรรย์เป็นภิกษุในพุทธศาสนานี้ เรื่องกิน เรื่องนอน เรื่องอยู่ เรื่องอะไรต่างๆ ล้วนแต่ต้องมีขันติ กับทน ไปเปิดพระพุทธภาษิตดู มีเยอะมาก มีมากทีเดียวเรื่องขันติ ขันติเป็นกำลังของผู้บำเพ็ญพรต ขันติพลัง ว ยตีนัง ขันติเป็นกำลังของผู้บำเพ็ญพรต หมดขันติก็คือหมดกำลัง อาจจะฟังแปลกแต่พอเข้าใจแล้วจะเห็นว่าไม่แปลก และเป็นความจริง พอหมดขันติก็คือหมดกำลังสำหรับผู้บำเพ็ญพรต ขนฺตีปรมํตโป ตีติกฺขา ขันติเป็นตบะอย่างยิ่ง ถ้าคุณอยากจะมีตบะต่อตัวเอง คุณก็ต้องมีขันติ ถ้าคุณอยากจะมีตบะต่อลูกน้องใต้บังคับบัญชา คุณก็ต้องมีขันติ ไม่อย่างนั้นไม่มีทาง ทางอื่นมันไม่มีทาง เป็นคนโกรธง่าย โมโหง่าย เอ็ดตะโรไปหมด มันก็ล้มละลาย มันไม่เกิด อำนาจ หรือตบะอะไรขึ้น เพราะมันเป็นเด็กเกินไป เป็นเด็กที่จะไม่อดทน แต่เดี๋ยวนี้เราก็อบรมเด็กๆ ให้อดทน เด็กๆ ก็กลายเป็นผู้ที่เข้มแข็งและอดทน ยิ่งอยู่เป็นนักบวชก็ต้องยิ่งอดทน ขันติเป็นเครื่องขุดรากของไอ้ความชั่ว ความทุจริตหรือบาป บาปกรรมทั้งหลาย เรามีขันติ มีความอดทน ก็เท่ากับขุดรากของไอ้สิ่งที่เราจะต้องทำลายให้มันล้มโครมลงไป นี่หมายถึงปัญหาใหญ่ ก็เป็นความชั่วเป็นส่วนที่ต้องละ ก็มีความอดทนอยู่เพียงไร มันก็เหมือนกับขุดรากเข้าไปทีละน้อย ละน้อย ไม่เท่าไร ไอ้อันตรายหรือความชั่ว บาปอะไรต่างๆ นี้มันก็จะล้มครืนลงไป นี่ผมยกมาให้ฟังเป็นตัวอย่าง ๒-๓ บทเท่านั้น มันมีมาก เพราะถ้าเราไม่มีสิ่งที่เรียกว่าขันติแล้วก็ ขออภัยพูดหยาบๆ ว่า ไปตายเสียดีกว่า อยู่ในโลกนี้ก็ป่วยการ มันจะทำอะไรไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอัน น่าไหว้น่านับถือ มันก็เป็นลูกเด็กๆ คนหนึ่ง ทำอะไรพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันๆ หนึ่ง ก็ยังจะไม่ได้ซ้ำไป ขอให้ดูให้ดีๆ ที่เรามันรอดตัวมาได้ด้วยความอดกลั้นอดทน นับตั้งแต่เป็นเด็กมา เป็นนักเรียนมา เป็นคนหนุ่มมาอย่างนี้ เพราะว่าแม้แต่สัตว์มันยังต้องอดทน ผมก็นั่งดูสุนัขเป็นอาจารย์อยู่เสมอมันทำอะไรได้บ้าง ไอ้เราต้องไม่เลวกว่า มีหลายอย่างเหลือเกิน ความอดทนของมันก็เห็นแล้ว จนมันเป็นเกลอกับธรรมชาติได้ พอมีธรรมะบีบบังคับลงไปมันก็ต้องเจ็บปวด มันก็สู้ไว้ด้วยความอดทน คือ ขันติ นี่คือเทคนิคทางจิตใจ
อันสุดท้ายคือ จาคะ นี่แปลว่าสละออกไป เหมือนกับว่า ไว้สำหรับวัดไอ้ความดันถ้ามันเกินแล้วมันก็เปิดมันเอง มันก็ระบายออกไป มันไม่ระเบิด มันจะไม่ถึงกับระเบิด นี่มีจาคะ เป็นสิ่งคอยระบาย ความกดดันออกไปเรื่อย มันก็ไม่มากถึงกับระเบิด มันก็รวมมาถึงไอ้ความที่เราไม่ขี้เกียจ ไม่อะไรต่างๆ มันเป็นจาคะให้ สิ่งใดที่มันเป็นข้าศึก ทำให้เกิดระเบิดวินาศกันหมดนี่ มันก็ระบายออก มีรูรั่วคอยระบายออกเรื่อย ขอให้ขยันประพฤติ ปฎิบัติวัตรต่างๆ ไหว้พระ สวดมนต์ อะไรก็เรียกว่าเป็นวัตรปฏิบัติทั้งนั้นแหละ อันนี้เป็นการระบายรูรั่ว ระบายความกดดัน ชนิดที่จะทำให้ทนไม่ไหว คือขันติอยู่ไม่ไหว แล้วก็ระเบิดกันไปเลย ล้มละลายหมด ไอ้จาคะตัวนี้ก็แปลว่าสละออกไป ตามธรรมดาชาวบ้านได้รู้จักสิ่งนี้แต่ว่ามันเป็นการให้ทาน ที่จริงการให้ทานนั้นก็เป็นรูรั่ว ระบายสิ่งที่ไม่ควรมีอยู่ในใจเหมือนกัน ถ้าไม่อย่างนั้นเราจะมีความขี้เหนียวมากเกินไป เห็นแก่ตัวมากเกินไป ให้ทานมันเสียบ้าง แม้ว่าเราจะไม่เป็นคนร่ำรวย เราก็ให้ไปตามที่เราจะให้ได้ ให้เงิน ให้ของ ให้ความช่วยเหลือ ให้เรี่ยว ให้แรง ให้อะไร บริจาคอยู่เรื่อย นี่เราก็จะระบายความขี้เหนียว ความเห็นแก่ตัวออกไปเรื่อยๆๆ ขืนเก็บเอาความเห็นแก่ตัวนั้นไว้มันจะฆ่าเราวินาศไป นั้นหัด หัดเห็นแก่ผู้อื่น ช่วยเหลือสงเคราะห์ผู้อื่น ที่เรียกว่าให้ทาน แต่คำว่า จาคะ ในกรณีนี้ มันมีความหมายกว้างกว่านั้น คือให้ระบายสิ่งที่ไม่จะควรมีอยู่ในใจออกไปเรื่อยๆๆ จะเป็นความโกรธ ความกำหนัด ความอะไรก็สุดแท้ กระทั่งความขี้เหนียวที่สุดต้องระบายออกไป เป็นเครื่องชำระชะล้างสิ่งสกปรกภายใน เหมือนเครื่องจักร เหมือนกับเครื่องยนต์ที่เราไปเปิดไอ้รูอันหนึ่งมันจะพ่นสิ่งสกปรกข้างในออกมาหมด
ขอให้จำไว้ให้ดี วันนี้พูดเผื่อเอาไว้ตลอดกาลด้วย ว่าการบังคับตัวเองนี้จะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบที่สมบูรณ์ สัจจะ ทมะ ขันตี จาคะ ๔ อย่างนี้ อย่าให้ต้องถามใครว่าแปลว่าอะไร ให้ศึกษาค้นคว้าจนให้เข้าใจอย่างกว้างขวางสำหรับคำเพียง ๔ คำ ว่าสัจจะ จริง ทมะ บังคับ ไม่ยอม ไม่ยอมแพ้ คือไม่ยอมเสียสัจจะ แล้วขันตี กัดฟันทน บางคราวถึงกับต้องน้ำตาไหลก็ทนได้ มันไม่ตายนี่ แล้วมันกลายเป็นดี ที่เราให้หมอทำแผลอะไร ในกรณีที่มันไม่มีเครื่องบรรเทาความเจ็บ ไม่มีเครื่องระงับความเจ็บ เราก็ต้องทนน้ำตาไหล เพื่อให้เอาอันนั้นออก เอาส่วนร้ายออกแล้วรักษาหาย นี่แต่โบราณเขาทำกันอย่างนี้ เดี๋ยวนี้มีความสะดวกมากเกินไป มียากินจนไม่ต้องมีอะไรเจ็บมันเสียแล้ว ก็ไม่ค่อยจะรู้จักความทน เปลี่ยนนิสัยเป็นคนอ่อนแอ ขันติก็ได้ ขันตีก็ได้ ถูกทั้งสองคำ ก็แปลว่าความอดทน คือความอด ในกรณีอื่นๆ อาจจะแปลว่าความอด ในกรณีนี้แปลว่า อดทน มันมีความหมายกว้าง แต่ว่าสรุปแล้ว อดทนไอ้การบีบคั้นของอะไรก็ตามที่มันเข้ามาบีบคั้นกดดัน ในตำราเรียนนักธรรมก็มีอธิบาย ไปหาอ่านดูกันโดยรายละเอียด แม้เราเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องอดทน แม้เราจะต้องต่อสู้กับธรรมชาติอันโหดร้าย ความร้อน ความหนาว ก็ต้องอดทน แม้กระทั่งเหน็ดเหนื่อยในการทำหน้าที่เราก็ต้องอดทน แต่ว่ายังไม่ร้ายเท่ากับการบีบคั้นของกิเลส กิเลสในใจบีบคั้นนี่ต้องอดทนมาก มันล้มละลายกันที่ตรงนั้น กิเลส ราคะ โทสะ โมหะ อะไรก็ตามที่มันบีบคั้นเอา เดี๋ยวนี้คนไม่อดทน จึงมีการทำอาชญากรรมที่ไม่น่าจะทำ เรื่องนิดเดียวก็ฆ่ากันตาย ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ก็มี เรื่องนิดเดียวก็ยิงตัวเองตาย บางทีก็ยิงคู่รักตาย นี่ผมอยากจะอ้างข้อนี้มาเป็นพยานหลักฐานว่าสมัยผมเด็กๆ มันเต็มไปด้วยคำว่าสุภาพบุรุษ ผู้มีการบังคับตัวเอง มีความอดกลั้นอดทน ที่เรื่องอย่างนี้มันก็ไม่ค่อยมี เดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนจนลืมไอ้คำว่าความอดกลั้น อดทน มันก็มีคนใจเบา คนมักง่าย ฆ่าตัวเองตาย คล้ายๆ ว่าตัวเองนี้ไม่มีค่าอะไรเลย บางทีฆ่าคู่รักตายเพราะไม่ยอมตามความประสงค์ แล้วตายกันทั้งสองคนเลยก็มี นี่เป็นอันธพาลอย่างยิ่งที่ไม่ควรจะเป็น ล้วนแต่การไม่มีการอดทน หรือไม่มีทั้ง ๔ อย่างนี้ทั้งนั้น
โลกในสมัยนี้กลายเป็นไม่นิยมการอดทน คือการบังคับตัวเอง ก็เลยไม่เหมาะที่จะประพฤติพรหมจรรย์ หรือประพฤติพรหมจรรย์มันก็ไม่เหมาะกับคนเหล่านี้ มันก็ยากที่คนเหล่านี้จะมาประพฤติพรหมจรรย์ ถ้าคนเหล่านี้ประพฤติพรหมจรรย์ได้ ถ้าออกไปไอ้เรื่องอย่างที่ว่านั้นจะไม่มี จะฆ่ากันง่ายๆ ฆ่ากันทั้งสองฝ่าย เป็นครูบาอาจารย์ผิดใจนิดเดียวยังยิงกัน มันก็ไม่รู้จะพูดยังไงละ พูดก็พูดคำหยาบ นี้ดูกว้างออกไปถึงประเทศอื่นทั่วโลกออกไป มันก็มองเห็นอย่างเดียวกัน เห็นสภาพอย่างเดียวกัน ว่ามนุษย์ชั่วครึ่งศตวรรษนี้เลวลงมากในทางคุณธรรม ความเป็นสุภาพบุรุษ ความอดทน ความเสียสละ อะไรต่างๆ เพราะวัตถุมันเจริญ หลงใหลในรสของวัตถุ มีความเห็นแก่ตัวมาก มันก็กลบเกลื่อนคุณธรรมเหล่านั้นหมด มันก็เลยเป็นบาปเป็นกรรมของประเทศ ของหลายๆ ประเทศหรือของทั้งทั้งโลก ในการที่ว่ามันจะไม่มี สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ ต่อกัน แล้วก็ลองคิดดูเถอะว่าจะทำอะไรกันดี กระทั่งโลกมันเป็นบ้าเสียอย่างนี้ แล้วเราก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไรเหมือนกัน คือพูดกับใครไม่รู้เรื่อง แม้ว่าเราจะเข้าใจถูกและมีคุณธรรม แต่หาคนพูดด้วยยาก เพราะเขามันพูดไม่รู้เรื่อง เรื่องอย่างนี้เขาไม่เอา นี่ผมสังเกตเห็น หรือเพราะว่ามันสนใจอยู่ตลอดเวลา ที่จะประพฤติพรหมจรรย์ ที่จะเผยแพร่พรหมจรรย์ ก็รู้สึกว่ามันเป็นสมัยที่ประหลาด ที่ว่ามนุษย์ไม่ต้องการสิ่งที่จะช่วยมนุษย์ ต้องการจะทำไปในทางสะดวก ตามอารมณ์ ไม่ต้องการการบีบบังคับ พอขึ้นชื่อว่าบังคับมันก็ไม่เอาแล้ว ถ้าวัดไหนมีข้อบังคับกติกาค่อนข้างจะตึงเครียดล่ะก็ ไม่ค่อยมีใครมาบวช หรอกมันกลัว ก็เพราะมันไม่ชอบการบังคับ สู้ไปบวชที่วัดอื่นๆ ที่มันไกลๆ ไปเพื่อจะหลีกเลี่ยงการบังคับ นี่โรงเรียนก็จะเหมือนกัน กระทั่งมหาวิทยาลัยก็จะเหมือนกันต่อไปนี้
ทีนี้เมื่อโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยมันกลายเป็นการค้า มันประจบลูกค้า มันก็เลยเลิกกฎระเบียบต่างๆ ที่เคยเฉียบขาด ที่เคยบังคับกันเสีย มันเป็นการค้าไปเสียอย่างนี้ มนุษย์ทั้งโลกมันก็เลวลงไม่ต้องสงสัย เรียนจบก็ได้เป็นฮิปปี้ ได้บูชายาเสพติด นั่นมันเป็นพยานที่เห็นชัดอยู่แล้ว พวกนั้นไม่ชอบบังคับ อยากจะอารมณ์มันอิสระไปตามเรื่องของกิเลส ก็เกิดลัทธิอย่างนี้ขึ้นมา ที่จริงมันก็ไม่ใช่ของใหม่มันเคยมีมาอยู่แล้ว กระทั่งครั้งโบราณดึกดำบรรพ์ แต่มันไม่มาก มันไม่แสดงให้ปรากฏ เดี๋ยวนี้มันมากจนแสดงปรากฏกันส่วนใหญ่ของบุคคลในโลก คือผู้ไม่บังคับตัวเอง ผู้ตามใจตนเอง พอดี สบเหมาะกับประชาธิปไตยที่เข้าใจผิด ผิด ก็ส่งเสริมกันดี โลกนี้ก็เป็นโลกที่ลอย ล่องลอยไปตามอำนาจของกิเลส ไม่มีการบังคับตัวเอง นี่จะฝากไว้สำหรับไปคิดนึก ไม่ใช่มันจบกันที่ตรงนี้ ที่พูดกันตรงนี้ เพราะว่าคุณจะไม่เชื่อก็ได้ แต่ว่าขอให้เอาไปคิด ถ้าไม่เชื่อ อย่าคิดเป็นคนนั้นคนนี้ หรือว่าเป็นตัวเราโดยเฉพาะ คิดถึงเพื่อนมนุษย์ทั้งโลกดีกว่า เพราะเราคงจะต้องเกี่ยวข้องกับเพื่อนมนุษย์อีกมาก จะได้รู้ข้อเท็จจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปสรรคที่ทำให้โลกนี้ไม่มีสันติภาพ คืออะไร แล้วมันรัดตัวเข้ามาจนถึงกับว่าในประเทศหนึ่งๆ หาความสงบยาก บังคับกันยาก กระทั่งในวงงานส่วนน้อย ในหน่วยงานในแผนกงาน ส่วนน้อยลงมาน้อยลงมา มันก็บังคับกันยาก ต่างคนต่างจะเอาเปรียบกัน ต่างคนต่างจะบิดพลิ้ว มันก็เลย ความเสื่อมเสียมันเกิดขึ้นในหมู่มนุษย์
นั่นแหละคือประโยชน์ของสิ่งที่เรียกว่าพรหมจรรย์ ที่จะตามไปเป็นประโยชน์ แม้ในบ้านในเรือนในออฟฟิตที่ทำงาน ในที่ทุกหนทุกแห่งและทั่วโลกด้วย ของดีวิเศษมันคืออย่างนั้น มันใช้ได้แก่ผู้ที่ยินดีสมัครรับเอาการบังคับตัวเอง นิยมการบังคับตัวเอง ฝรั่งรุ่น รุ่นๆๆ ก่อน ครึ่งศตวรรษก่อนน่าดู มีความเป็นระเบียบ มีการบังคับตัวเอง นิยมความเป็นสุภาพบุรุษ คล้ายๆ กับไม่ยอมเสียเกียรติของสุภาพบุรุษ มันจึงน่าดู เราก็พอจะเอาอย่างเขาได้ มันก็ควรจะเอาอย่างเขาได้ ที่มาเดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนจนไม่มีเหลือหรอก ก็ไม่ใช่ควรจะเอาอย่างแล้ว เพราะบางทีเราอาจจะต้องพูดกับเขาล่ะทีนี้ เถียงกับเขา อาจจะต้องสอนเขาว่าคุณสมบัติของฝรั่งที่เคยเป็นที่นับถือของคนตะวันออกนี้ได้เสียหาย สูญหายไปมากแล้ว หันหน้าไปหาพระเจ้ากันหน่อยเถอะ พระเจ้าของศาสนาไหนก็ใช้ได้ ถ้าเข้าใจถูกต้องนะ ล้วนแต่สอนให้บังคับตัวเอง ไม่ให้เห็นแก่ตน คนที่บังคับตัวเองไม่ได้ก็ต้องเห็นแก่ตน คือไม่ยอมทำตามบทบัญญัติของพระเจ้าเพราะมันรักกิเลสของตน พุทธศาสนาก็เหมือนกัน มีธรรมะเป็นพระเจ้า มีพระธรรมนั้นเองเป็นพระเจ้า มีความหมายอย่างเดียวกันเลย แต่เขามันมีพระเจ้าอย่างบุคคล พูดอย่างบุคคล จนเสียหลักทาง logic จนเด็กๆ มันไม่ค่อยเชื่อ ส่วนเรานี่พูดพระเจ้าเป็นพระธรรม มีอำนาจ เป็นสิ่งๆ หนึ่งซึ่งไม่ใช่คน แล้วก็ลึกลับยิ่งกว่าคน เพราะฉะนั้นจึงมีอำนาจยิ่งกว่าคน จึงเป็นสิ่งที่พูดไม่ได้ว่าเป็นอะไร และเป็นสิ่งที่คนที่เข้าไม่ถึงพระเจ้าก็ไม่อาจรู้ได้ว่าพระเจ้าหรือพระธรรมนี้เป็นอะไร นี่คนสมัยนี้มันอวดดี อะไรก็รู้ซะหมด รู้เท่าที่ตัวนั้นคิดไปเอง มันก็ผิดหมด ให้พระเจ้าเป็นคน ให้พระเจ้าเป็นผี อย่างนี้ก็ไม่ได้ คือไม่เป็นอะไรชนิดที่คนรู้จักกันอยู่ ศาสนาที่อธิบายพระเจ้าอย่างคน จึงตกหนักตกที่นั่งคับขันอย่างยิ่ง คือคนสมัยนี้มันไม่เชื่อ ไม่ยอมรับ ตัวเองไปพูดให้พระเจ้าเป็นคน พระเจ้าต้องเป็นอำนาจอะไรอันหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่คน ไม่เหมือนคน ไม่เหมือนใคร ไม่เหมือนอะไรทั้งปวง มันก็เหมือนพระเจ้านั่นเอง จะเป็นพระเจ้าอย่างในศาสนาคริสต์เตียน หรืออะไรก็ตาม พระเจ้าอย่างในพุทธศาสนาคือพระธรรมก็ตาม อย่าไปทำเล่นกับพระเจ้า พอทำผิดก็มีเรื่อง มีความวินาศ นั้นมันเป็นกฎของธรรมชาติที่มีอยู่อย่างตายตัว คือพระเจ้า พอทำผิด มันก็เกิดความวินาศ พอทำถูกก็เกิดความเจริญ ตามที่ ที่ต้องการจะได้ แต่เสร็จแล้วมันไปสรุปรวมอยู่ที่การบังคับตัวอย่างเดียวกัน ที่เป็นหนทางให้สำเร็จ ก็ต้องเป็นไอ้การบังคับตัว ที่อยู่ในเทคนิคอย่างที่ว่านี้ คือ ๔ อย่างนี้พ่วงกันไปเรื่อย ประกอบด้วย factor ๔ นี้เรื่อยไป แต่เรียกว่าการบังคับตัว นี่เป็นเรื่องที่พระเจ้าต้องการ พระเจ้าในกรณีไหนก็ตาม ต้องการสิ่งนี้ ให้คนบังคับตัว แล้วทำตามที่พระเจ้าต้องการ ก็ไม่มีทางที่จะตกไปในความชั่วหรือความทุกข์ นี้คนมันเห็นแก่กิเลส เห็นแก่เนื้อหนัง เห็นแก่ความอร่อย ก็ไม่เชื่อพระเจ้า ไอ้โลกนี้มันก็กำลังทรุดหนักลงไปในทางที่จะวินาศ ทำลายทรัพยากร คือสมบัติของพระเจ้าให้เร็วเกินไป แล้วก็มาแย่งชิงกัน จะฆ่าฟันกันด้วยไอ้วัตถุที่เป็นที่ตั้งแห่งความเอร็ดอร่อย ทางเนื้อหนัง มันก็วินาศ ทั้งหมดนี้มันก็ตรงกันข้ามกับคำสั่งของพระเจ้า เขาต้องการบังคับตัวเองให้เป็นไปอย่างถูกต้องอย่างมีระเบียบ ไม่ต้องถึงกับว่าละโมบโลภลาภ เอาแต่พอดีๆ จะเป็นอยู่จะมีชีวิตเป็นอยู่ให้มันพอดี กินดีอยู่ดี อาจจะเลยไป กินอยู่แต่พอดี นั้นล่ะถูก คิดถูก คนโง่ก็พูดกันไม่รู้เรื่อง คนอ่อนแอมันก็ไม่เชื่อ คนตะกละเห็นแก่ปากแก่ท้องมันยิ่งไม่เชื่อใหญ่ เพราะกามารมณ์มันมีมากแบบ ทางปากก็มี ทางตาก็มี ทางหูก็มี ทางอื่นๆ ก็มี ลุ่มหลงในเรื่องอย่างนี้ มันก็พูดกันไม่รู้เรื่องกับสิ่งที่เรียกว่าพรหมจรรย์หรือพระเจ้า หรือพระพุทธ หรือพระธรรม หรือพระสงฆ์ อะไรต่างๆ แล้วแต่ว่าศาสนาไหนจะใช้คำไหน เดี๋ยวนี้คุณก็มาบวชในพระพุทธศาสนา ซึ่งมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมกันเป็นพระพุทธศาสนา มีพระธรรมนี้เป็นสิ่งที่เฉียบขาดเด็ดขาดราวกับว่าเป็นพระเจ้า มีเจตนารมณ์ที่ให้ทุกคนบังคับตัวเองให้อยู่ในร่องรอยของความถูกต้อง มันก็สบายกันดีทุกคน ยินดีที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้วย เดี๋ยวนี้เราส่วนตัวเราก็ยังไม่พอ ไม่ช่วยเหลือใคร เห็นแก่ตัว ไม่ยอมช่วยเหลือใคร แล้วใครจะมาบังคับ ก็ไม่เอาทั้งนั้นแหละ ตัวเองก็ไม่บังคับตัวเอง ระเบียบอะไร กฎหมายอะไรที่มาบังคับ ก็พยายามจะบิดพลิ้ว ดิ้นให้ออกไป ไม่รู้มันจะเป็นอะไรทีนี้ เพราะมันจะเป็นมนุษย์ก็คงไม่ได้ จะเป็นเทวดามันก็เป็นไม่ได้ จะเป็นผีก็ไม่ใช่ เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ไม่เชิง เพราะมันไม่อยู่ในร่องในรอยของมนุษย์ มันเป็นมนุษย์ไม่ได้ แต่ก็ไม่ดีจนถึงกับเป็นเทวดา เป็นต้น ก็เรียกว่า ไม่ใช่มนุษย์ก็แล้วกัน มันก็ไม่มีจิตใจสูงอย่างมนุษย์ ไม่ช่วยกันสร้างสันติภาพให้ในโลกของมนุษย์ ที่ไปถ่ายพืชพันธ์ไว้ในลูก ในหลาน ในเหลนมันก็ยิ่งเป็นกันใหญ่ พูดกันไม่รู้เรื่อง เป็นอะไรชั่วชั่วคนไปเลย เป็นโรคถ่ายติดต่อ ถ่ายบาปนี้ ให้แก่กันติดต่อไปเรื่อย ในที่สุดโลกนี้ก็วินาศ จริงแน่นอน เป็นมิคสัญญี แล้วก็วินาศแน่นอนเพราะคนชนิดนี้ ไม่มีระเบียบ ไม่มีการบังคับตัวเอง แต่ว่าอย่าเชื่อว่าโลกมันจะต้องเป็นไปอย่างนี้โดยเด็ดขาด มันก็แล้วแต่มนุษย์ในโลก ถ้ามนุษย์รู้ทันเปลี่ยนกันเสียทัน ไอ้โลกนี้มันก็ไม่วินาศเหมือนกัน นี่กำลังเป็นยุคชนิดที่ลืมตัว เผลอตัว เป็นทาสของวัตถุ คือเนื้อหนังนี่ มันก็กำลังแสดงให้เห็นว่ามันจะไถลลงไปในความล่มจมความวินาศ เห็นแก่ตัวจัดกันทุกคน ก็จะฆ่ากันได้ง่ายๆ อย่างตบยุง อย่างเขาเรียกกันว่าฆ่าสัตว์ มิคสัญญี ฆ่ากันได้ อย่างฆ่าสัตว์ ฆ่าปลา ฆ่ายุง ก็ถ้าเผอิญมันเกิดสำนึกกันได้ เปลี่ยนเป็นผู้บังคับตัวเองกันทั้งหมด โลกนี้ก็เปลี่ยนทันที เป็นโลกของมนุษย์ แล้วก็จะดีขึ้นๆ เป็นโลกของพระศรีอารย์ได้ ทุกศาสนาสอนกันตรงๆ กันที่ว่า ในอนาคตมันจะมีบุคคลที่พิเศษขนาดพระพุทธเจ้า แต่ยังดีพิเศษกว่าพระพุทธเจ้าที่แล้วมาตรงที่สามารถทำให้มีความสมบูรณ์ทางวัตถุด้วย สำหรับพระพุทธเจ้าของเราในเวลานี้นั้นก็ต้องยอมรับว่า ท่านไม่นิยมวัตถุ ท่านไม่ต้องการความสมบูรณ์ทางวัตถุ เอาแต่ความพอดี แต่ก็มีหวังกันว่าจะมีศาสนา ที่จะมาข้างหน้าที่จะมีพระพุทธเจ้าชนิดที่สมบูรณ์ทั้งทางจิตใจ ทั้งทางวัตถุนี่ก็อาจจะเป็นได้ ขอให้ทุกคนบังคับตัวเอง อยู่ในร่องในรอย ถ้าผลิตมันก็ผลิตเพื่อความพอเหมาะพอสม พอสะดวกสบาย ไม่ใช่มาสำหรับฆ่ากันหรือมาบำรุงบำเรอกามารมณ์ของตัวเองไม่มีขอบเขตอย่างนี้ มันจะมีความสะดวกสบายทางวัตถุด้วยมีจิตใจที่พ้นจากกิเลสด้วย ก็เรียกว่ามนุษย์นี่จะสร้างโลกได้ สร้างชนิดไหนก็ได้ โดยกฎเกณฑ์ของพระเจ้า ที่เรียกว่าพระเจ้าสร้างโลก ก็ต้องสร้างผ่านทางมนุษย์ ตัวกฎของธรรมชาติ มันก็เป็นกฎอยู่แล้ว ต้องผ่านทางมนุษย์ที่มนุษย์จัดทำลงไปอย่างไร ไอ้โลกนี้มันก็เป็นอย่างนั้น ที่เรียกว่ามนุษย์สร้างโลกนี่มันก็ถูก ถ้ามนุษย์มันไม่เป็นมนุษย์ มันก็ไม่สร้างเป็นโลกมนุษย์ได้ มันเป็นอะไรไปก็ไม่รู้ คือเป็นอันธพาล ถ้ามนุษย์เป็นมนุษย์ดีจริง มีจิตใจสูงสมกับมนุษย์จริง มันก็สร้างโลกมนุษย์ที่น่าดู อย่าท้อแท้ว่าเราคนเดียวทำไม่ได้ เราก็พูดไปสิให้เพื่อนฝูงของเรานิยมการบังคับตัวเองให้อยู่ในร่องในรอยของมนุษย์ มันก็จะมีมนุษย์ในโลกนี้ที่แท้จริงมากขึ้น เดี๋ยวก็เป็นโลกมนุษย์ที่น่าดู มนุษย์เคลื่อนไหวไปตามหลักเกณฑ์ความเป็นมนุษย์ มีความถูกต้องมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย บังคับตัวเองได้ นี่สำคัญ นี่พรหมจรรย์ก็จะแผ่ไพศาลครอบงำสากลจักรวาล ให้เป็นสันติสุข นี่ผมนึกแล้วไม่มีเรื่องอะไรดีกว่าเรื่องนี้ จึงเอามาพูด แล้วก็คิด แล้วก็เชื่อว่าพวกคุณทั้งหลายที่มาอยู่ที่นี่คงหวังที่จะได้อะไรที่ผมเห็นว่าดีที่สุด หรือได้ดีที่สุดจากผม ผมก็ไม่มีเรื่องอะไรนอกจากเรื่องนี้ ก็มีแต่ช่วยเราตัวเองให้มันรอด แล้วก็ช่วยเพื่อนมนุษย์ให้รอด เป็นอันว่าโลกนี่มันรอด ก็ขอร้องว่าอย่าคิดอย่างไม่ใช่มนุษย์ ด้วยช่างหัวมัน เอาแต่ได้เข้าว่า เราจะเอาแต่ได้ของเรา ไม่กี่ปีเราก็ตาย เดี๋ยวนี้เราก็จะเอาแต่ที่มันได้ข้างเราไว้เรื่อย เหมือนที่บางคนดูเหมือนจะคิดอย่างนั้น เราอย่าไปเอาอย่างเขาเลย ยังไงก็ยอมตายอย่างที่เป็นมนุษย์ดีกว่าที่ไม่ใช่มนุษย์ แต่มันไม่ต้องตาย มันไม่ถึงกับตาย มันจะต้องแก้ปัญหาได้ มันมีทางที่จะไม่ต้องตาย แล้วก็มีประสพความสำเร็จตามสมควร นี่คือพรหมจรรย์ มีสำหรับบุคคลผู้ยินดีในการบังคับตัวเองอย่างนี้ เวลาก็พอหมดก็พอดีกับเวลาที่ฝนมันกำลังมา ก็ยุติการบรรยายนี้ไว้เพียงเท่านี้ก่อน