แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การบรรยายประจำวัน ก็จะได้กล่าวถึงสิ่งที่เรียกว่าพรหมจรรย์เรื่อยๆ ไปก่อน และเดี๋ยวนี้ก็เข้าใจว่าคุณคงจะรู้จักในสิ่งที่เรียกว่าพรหมจรรย์นี้กันขึ้นมาเป็นส่วนมากแล้วครั้งแรกทีเดียวคงจะฉงนในคำว่า พรหมจรรย์ เดี๋ยวนี้ก็ได้พูดมา ๔-๕ ครั้ง ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ทำให้เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าพรหมจรรย์
ดังนั้นในวันนี้คงจะไม่เป็นการยากลำบากที่จะเข้าใจหัวข้อที่จะพูด ว่าพรหมจรรย์ คือ สิ่งที่เรามีการปฏิบัติกันจนตลอดชีวิต พรหมจรรย์คือสิ่งที่เราจะต้องปฏิบัติกันจนตลอดชีวิต เมื่อพูดถึงสิ่งที่ต้องปฏิบัติจนตลอดชีวิตเราก็เรียกว่าพรหมจรรย์ ก็ลองคิดดูถึงข้อความที่ได้กล่าวมาแล้ว สิ่งที่จะต้องทำให้ดีที่สุดตั้งแต่แรกเกิดมาจนตลอดชีวิต นี่คือสิ่งที่เรียกว่าพรหมจรรย์ แต่คนที่ไม่เคยคิด และไม่เข้าใจความหมายอันแท้จริงคำว่าพรหมจรรย์ ก็จะไม่ยอมเชื่อเพราะว่าเขาได้ยินคนพูดคนกล่าวกันแต่พรหมจรรย์ที่วัด พรหมจรรย์อย่างนั้นอย่างนี้ ไม่มีทางที่จะแสดงให้เห็นว่าตั้งแต่แรกเกิดมาจนตลอดชีวิต ข้อนี้เป็นเพราะอะไรก็ไม่ทราบ ที่มีสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เข้าใจอย่างนั้น แต่เมื่อเรามาพิจารณาดู สังเกตดูเรื่องราวต่างๆ หลักฐานต่างๆ หรือว่ากฎเกณฑ์ต่างๆ ก็ทำให้เข้าใจคำว่าพรหมจรรย์นี้กว้างหรือไกลออกไปกว่านั้น คือเป็นสิ่งที่จะมีกันมาตั้งแต่แรกจนตลอดชีวิต หมายถึงสิ่งที่ต้องทำให้ดีที่สุด ให้สุดความสามารถอยู่ตลอดเวลา จนตลอดชีวิต
เดี๋ยวนี้เรามาบวชเป็นภิกษุในพุทธศาสนา ก็เรียกว่ามาประพฤติพรหมจรรย์ นี่มันพรหมจรรย์อย่างภิกษุ เมื่อพระพุทธเจ้าท่านยังทรงพระชนม์อยู่ ก็บวชคนด้วยการเรียกสักแต่ว่าเรียกมา มาเป็นภิกษุประพฤติพรหมจรรย์ เท่านั้นก็พอแล้วสำหรับสมัยนั้นซึ่งพระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้บวชให้เอง ทีนี้ก็ยังมีความแตกต่างกัน ถ้าคนนั้นยังไม่เป็นพระอรหันต์ ก็ยังต้องมีการตรัสให้ชัดลงไปว่า จงมาประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดแห่งความทุกข์ ผู้ที่ยังไม่ถึงที่สุดแห่งความทุกข์ก็จะต้องทำไปจนกว่าจะถึงที่สุดแห่งความทุกข์ ถ้าว่าบรรลุมรรคผลบางขั้นบางตอนแล้ว แต่ยังไม่ถึงพระอรหันต์ อย่างนี้เขาเรียกว่า พระเสขะ เป็นคำแปลกสำหรับผู้บวชใหม่ ก็รู้ไว้เสียด้วยว่าเรียกว่า พระเสขะ คือปฏิบัติจนบรรลุมรรคผล ยิ่งกว่าธรรมดา บุคคลธรรมดา แต่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ยังต้องปฏิบัติต่อไป อย่างนี้ก็เรียกว่าพระเสขะ หรือ เสขะบุคคล เช่น พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อย่างนี้ยังไม่จบ ต้องประพฤติต่อไป ปฏิบัติต่อไปจนกว่าจะเป็นพระอเสขะ คือเป็นพระอรหันต์ มีคำว่า อเสขะ เสขะ คือ ยังต้องศึกษาต่อไป อเสขะ คือไม่ต้องศึกษาอีกต่อไปแล้ว แม้อย่างนั้นพระองค์ก็ยังตรัสว่าจงมาประพฤติพรหมจรรย์ ก็แปลว่าเป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังประพฤติพรหมจรรย์ กลายเป็นมาอยู่อย่างดีที่สุด บางคนได้ฟังธรรมะแล้วบรรลุพระอรหันต์เสร็จแล้วที่ตรงนั้น ขอบวช ท่านก็ยังว่า มาประพฤติพรหมจรรย์
คำว่าพรหมจรรย์อย่างนี้มีความหมายพิเศษ คือมาอยู่อย่างชีวิตพรหมจรรย์ ไม่มีปัญหาที่จะดับกิเลสดับทุกข์อีกต่อไป กลายเป็นมาอยู่ในชีวิตแบบที่ประเสริฐที่สุดที่คนเราจะอยู่กันได้ นี่ก็เรียกว่าแม้พระอรหันต์ก็ยังต้องประพฤติพรหมจรรย์ คนทั่วไปจะไม่เชื่อหรือไม่ยอมเชื่อว่าพระอรหันต์ทำไมยังประพฤติพรหมจรรย์อีก ขอให้เข้าใจคำว่าพรหมจรรย์อย่างนี้ พระอรหันต์ก็ประพฤติพรหมจรรย์ หรือว่าอยู่อย่างถูกต้อง อย่างดีที่สุด อย่างเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด พระอเสขะ คือพระอรหันต์ก็ประพฤติพรหมจรรย์อย่างนี้ แล้วพระเสขะก็ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อให้ถึงที่สุด ที่ยังไม่เป็นพระเสขะ ยังเป็นปุถุชน ก็ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อให้เป็นพระเสขะ หรือเพื่อจะทำที่สุดแห่งความทุกข์
ทีนี้ที่ไม่บวชล่ะว่ายังไง ที่อยู่ที่บ้าน ก็มีการสมาทานศีลอย่างใดอย่างหนึ่ง ลดหรือวัตรปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งที่จะประพฤติให้ดีที่สุดนั้นก็เรียกว่าพรหมจรรย์ กระทั่งถึงเป็นคนวัยรุ่น ก็ต้องประพฤติพรหมจรรย์อย่างคนวัยรุ่นให้ดีที่สุด ซึ่งมีธรรมเนียมมาตั้งแต่โบราณกาล เพราะว่าคนวัยรุ่นนั่น กำลังอันตราย กำลังหมิ่นเหม่ต่ออันตราย ถ้ามีระเบียบวินัยให้ปฏิบัติเสียอย่างเคร่งครัดจนตลอดเวลานั้น มันก็รอดตัว ทีนี้คำว่าวัยรุ่นนี่จะลดลงไปถึงไหน มันก็ต้องลดลงไปจนถึงระดับที่เรียกว่าพูดกันรู้เรื่อง ด้วยอายุเท่าไร ก็เอานั้นแหละเป็นหลัก พูดกันรู้เรื่องเมื่อมีอายุเท่าไรก็อันนี้เป็นหลัก ที่เราดูให้ดีว่าถ้าพูดกันรู้เรื่องและก็มีทางที่จะสอนให้หรือควบคุมไว้ ให้ประพฤติอย่างดีที่สุด โดยผู้ที่มีหน้าที่สอน ก็ต้องจัดเป็นพรหมจรรย์ระดับหนึ่งของเขาด้วยเหมือนกัน นี่เดี๋ยวนี้เรามันไม่มีหลักเกณฑ์กันอย่างนี้ ยิ่งไม่มีใครสนใจสิ่งที่เรียกว่าพรหมจรรย์ ก็ปล่อยไปตามสะดวก บิดามารดาก็ไม่มีเวลาที่จะมาควบคุมบุตรธิดาด้วยตนเอง ก็ปล่อยไว้ให้คนเลี้ยงมันควบคุม มันก็ไม่มีหน้าที่ที่จะมาอบรมสั่งสอนเด็กให้ทำอะไรดีที่สุด ส่งไปโรงเรียนก็เรียนแต่หนังสือ ตามสบาย สิ่งที่ทำตามสบายนี้ไม่อาจจะเรียกว่าพรหมจรรย์ ต้องเป็นสิ่งที่ทำด้วยสุดกำลังชีวิตจิตใจ อย่างระมัดระวังเต็มที่ จึงจะเรียกว่าพรหมจรรย์
ดังนั้น เด็กๆ จึงไม่ได้เติบโตขึ้นมาด้วยพรหมจรรย์ที่ถูกต้อง เว้นไว้ว่าจะเกิดในถิ่น ในสมัย ในยุคที่เขาเข้มงวดกวดขันกันในเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศอินเดียในสมัยโบราณ หรือพุทธกาล พวกที่เขาได้รับการศึกษาอบรมกันมาดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือพวกที่เรียกว่าพวกพราหมณ์ ก็ดูแลให้เด็กให้ลูกให้หลานที่จะเติบโตขึ้นมานี้อยู่ในระเบียบวินัยที่ดี สำหรับโตขึ้นจะได้เป็นพราหมณ์ที่ดี เลยเรียกว่าเป็นพรหมจารีมาตั้งแต่เด็กๆ นับตั้งแต่พูดกันรู้เรื่อง ควบคุมกันได้ ขอให้เข้าใจคำว่าพรหมจรรย์กันให้ลึกซึ้งถึงขนาดนี้ แล้วก็จะรู้ได้เองว่านั่นแหละ มันเป็นหนทางรอดของมนุษย์เรา ของมนุษย์ทั้งหมดที่เรียกว่ามนุษยชาติ ความรอดของมนุษยชาติ เพราะว่ามันยากที่จะทำคนเดียว ให้รอดกันไปทั้งหมดหรือทั้งโลกได้ ต้องมีการกระทำที่ทำไปด้วยกัน พร้อมๆ กัน แล้วก็เป็นส่วนมาก แล้วมนุษยชาตินี้ก็จะรอดได้ หรืออยู่ดี ทีนี้ดูในโลกนี้มันมีพรหมจรรย์อะไรกันที่ตรงไหน ล้วนแต่ทำไปตามสบายใจ นับตั้งแต่เป็นนักเรียนอนุบาล ชั้นประถม ชั้นมัธยม วิทยาลัย มหาวิทยาลัย ล้วนแต่ปล่อยไปตามสบาย ถ้ามีอะไรมาเข้มงวดกวดขันบังคับบัญชาเข้าก็ไม่ชอบแล้ว แล้วก็ต่อสู้ มีอะไรปิดนั่นหน่อยก็หาว่ารุกล้ำสิทธิเสรีภาพ นั้นระบบประชาธิปไตยนี่ ไม่ส่งเสริมสิ่งที่เรียกว่าพรหมจรรย์เอาเสียเลย ให้อิสระ เสรีภาพจนยุ่งกันไปหมด มนุษย์เราก็เลยเปลี่ยน ที่เปลี่ยนอย่างน่าอันตรายที่สุด ก็คือเปลี่ยนเป็นผู้ไม่บังคับตัวเอง ไม่สนใจ ไม่ขวนขวายไม่ตั้งอกตั้งใจที่จะบังคับตัวเอง
และถึงตรงนี้ก็อยากจะเตือนอีก เตือนแล้วเตือนเล่าว่า พวกเราก็มาบวชในพระพุทธศาสนา ประพฤติพรหมจรรย์อย่างภิกษุ ก็ขอให้มีความตั้งใจจริงที่จะประพฤติพรหมจรรย์ในฐานะที่เป็นภิกษุ เพื่อจะอยู่ตลอดไปก็ตาม เพื่อจะสึกกลับออกไปก็ตาม ขอให้ประพฤติให้เป็นพรหมจรรย์ คือทำสุดความสามารถ สุดชีวิตจิตใจ ไม่ใช่ทำตามสบาย นั่นคุณจะเห็นได้ในข้อที่ว่า พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้อย่างไร วางไว้อย่างไรในการเป็นอยู่อย่างภิกษุ ไม่ให้มีอะไรเกินกว่าที่จำเป็นจะต้องมี ในเรื่องอาหารก็ดี เครื่องนุ่งห่มก็ดี ที่อยู่อาศัยก็ดี แม้ที่สุดแต่ยาแก้โรค ยารักษาโรค ก็ไม่ต้องการให้มันมีเกินกว่าที่จำเป็น ก็เลยต้องมีการระมัดระวังมาก และเป็นเหตุให้ต้องมีความอดกลั้นอดทนมาก ถ้ามันไม่มีการกระทำที่ต้องอดกลั้นอดทนแล้ว ก็ไม่มีพรหมจรรย์ ไม่มีการประพฤติพรหมจรรย์ ไม่มีพรหมจรรย์ได้ด้วยเหตุสักว่าโกนหัวแล้วก็นุ่งผ้าเหลือง อย่างนี้ก็มีบาลีพระพุทธภาษิตตรัสไว้ชัด แต่คนที่เขาประมาทเขาก็นึกว่าดีแล้ว เป็นพระแล้ว ประพฤติพรหมจรรย์แล้ว แต่ไม่มีการบังคับให้เรียกว่าถูกต้องตามระเบียบ หรือตามมาตรฐานของผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ยังออดแอดเหมือนกับเด็กอมมือ เรื่องอาหารการกินโดยเฉพาะภิกษุสามเณรสมัยนี้ยังโง่มากในเรื่องอาหารการกิน เพราะสมัยพระพุทธเจ้านั้นมีอาหารการกินอย่างไร ถ้าไม่เชื่อผมก็ไปเปิดดูเองก็แล้วกัน ในพระบาลีทั้งหลายก็มี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่เป็นเรื่องนำของการบัญญัติสิกขาบทแต่ละอย่างๆ พระไตรปิฎกใบแรก เรื่องแรกท่านก็พูดถึงพระพุทธเจ้ากับพระสงฆ์ พระอรหันต์บริวารจำนวนหนึ่ง ต้องฉันข้าวตากที่เขามีไว้สำหรับเลี้ยงม้ามาคลุกน้ำพอเปียกๆ แล้วก็ไม่ยอมหนี คือไม่ยอมหนีพรรษาจากที่นั้นไปหาที่สบาย ที่อื่นอยู่ บางคนอาจจะคิดว่าเรื่องนี้ไม่จริง แกล้งเขียนขึ้นไว้ให้คนกลัว แต่ถ้าไปอ่านเรื่องต่างๆ ที่ยังมีอีกมากมายแล้วก็จะมองเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ เป็นเรื่องจริง อาหารบิณฑบาตที่แม้พระพุทธเจ้าท่านฉันเองนั้น ก็เรียกว่าถ้ามาเทียบกับสมัยนี้แล้ว สมัยนี้ก็กลายเป็นฟุ่มเฟือยไป แม้ที่ไม่สู้จะมีอะไรฉัน อย่างวัดเรานี่ก็ยังดีกว่าที่พระอรหันต์ พระสาวกทั้งหลายมีฉันอยู่ในครั้งพุทธกาล และแม้พระพุทธเจ้าเองท่านก็ไม่ได้พิถีพิถัน บางทีก็มีภิกษุสงฆ์องค์อื่นแบ่งไปถวาย เรื่องธรรมดาก็คือข้าวราดด้วยผักดอง เป็นธรรมดาสามัญที่สุดถ้ามีเนื้อ มีปลา มีนม มีเนย นี้ก็เรียกว่าเป็นชั้นวิเศษ หรือพิเศษไปเลย นี่เป็นส่วนหนึ่งซึ่งทำให้ภิกษุสามเณรสมัยนี้บวชขึ้นมาแล้วก็ยังเป็นลูกเด็กๆ ยังอยากจะกินนั่น ยังอยากจะกินนี่ ต้องหามาเป็นพิเศษ ขอให้ศึกษาค้นคว้าดูให้รู้ว่า เรื่องขบฉันในครั้งพุทธกาลเป็นอยู่อย่างไร แต่ต้องเอาเรื่องในพระบาลีหรือที่มันมีหลักฐานแท้จริง อย่าเอาเรื่องที่คนชั้นหลังเขาแต่งขึ้นเพื่อชักจูงคนให้เมาบุญ มันจะยิ่งถูกหลอกสองชั้นนี่ก็แย่
ทีนี้มาถึงเครื่องนุ่งห่ม ก็เท่าที่จำเป็น เท่าที่จำเป็นคือสามผืน ในฤดูฝนมีผืนหนึ่ง นอกฤดูฝนก็สามผืน จึงมีอนุญาตถึงกับว่าถ้าจำเป็นก็ต้องเปลือยกายอาบน้ำก็ได้ ในเมื่อมีความเหมาะสม แต่อย่าไปทำประเจิดประเจ้อ เพื่อให้อดทน เพื่อให้สันโดษ เพื่อให้ไม่มีเรื่องมาก เป็นเรื่องประพฤติพรหมจรรย์ ต้องเป็นอย่างนั้น ที่อยู่อาศัยก็ให้มันน้อยที่สุด เท่าที่จำเป็น สร้างเองก็ ๗ คืบ ๑๒ คืบ หยูกยานั้นห้ามไม่ให้ฉัน ถ้าไม่เจ็บไข้ห้ามไม่ให้ฉันยา ถือว่าการฉันยาโดยไม่มีการเจ็บไข้นั้นเป็นอาบัติอย่างหนึ่ง หยูกยานี้ก็ง่ายที่สุด ไม่ต้องไปรบกวนใครที่ไหน เพราะมันเป็นอยู่อย่างผู้ประพฤติพรหมจรรย์ มันไม่ได้กลัวตาย หรือมันไม่ได้หาความสะดวกสบาย ถึงคล้ายๆ ว่าเราจะต้องไม่เจ็บอะไรเลย ไม่ต้องเจ็บปวดอะไรเลย นี่มันทำให้คนมันโง่จนไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าความเจ็บไข้นั้นเป็นอย่างไร แม้จะปวดฟันก็ยังไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร ปวดหัวก็ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร พอมีท่าว่าจะปวดฟัน ปวดหูก็ไปหาหมอ จนทำให้ไม่รู้จักกันกับความอดทน ไม่รู้จักกับรสชาติของความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันโง่กันที่ตรงนี้
การประพฤติพรหมจรรย์นี้มันก็เรียกว่าผิวเผินที่สุด หละหลวมที่สุด ขอให้เข้มแข็งพอสมควร ประพฤติพรหมจรรย์ แล้วก็ชิมรสของความขูดเกลาของการอดกลั้นอดทน ถ้าร่างกายสบายดีก็ดีไป ไม่ต้องอดทนเรื่องความเจ็บไข้ของร่างกาย ทีนี้ก็อดทนต่อการบีบคั้นของกิเลส กิเลสอัดเอาเจ็บปวดมาก ราคะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง ก็ให้รู้ให้ศึกษามัน เอาชนะมันให้ได้ อย่างนี้ต่างหากที่จะเรียกว่าเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ ขอให้ภิกษุ โดยเฉพาะนี้ถือว่าเรากำลังประพฤติพรหมจรรย์อย่างภิกษุ ตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ว่าประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดแห่งความทุกข์ นั่นหมายถึงเพื่อเป็นพระอรหันต์หรือเพื่อเป็นพระอริยบุคคลยิ่งๆ ขึ้นไป เดี๋ยวนี้เราคิดว่าเราบวชไม่กี่วันก็จะกลับสึกออกไป ก็เลยไม่สนใจ ก็เลยไม่มีพรหมจรรย์ บวชทั้งทีไม่มีพรหมจรรย์ ไม่เป็นพรหมจรรย์ เพราะฉะนั้นผมจึงขอร้องแล้วขอร้องอีก ตั้งแต่วันแรกบวชมาทีเดียวว่า ก็ขอให้มันเป็นพรหมจรรย์ จนกว่าจะถึงวันสุดท้ายที่จะลาสิกขาบท ให้เป็นพรหมจรรย์อย่างภิกษุจนถึงวันสุดท้าย ลาสิกขาบทออกไปแล้วก็ไปเอาพรหมจรรย์อย่างฆราวาสหรือคฤหัสถ์ที่ดีทีหนึ่ง นั่นแหละจึงจะเรียกว่าไม่เสียที ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา
อ้าว, ทีนี้ก็ย้อนกลับออกไปถึงพรหมจรรย์อย่างฆราวาสอีก ถ้าใครไม่เชื่อหรือเขาเถียงหรือเขาล้อ เขาหัวเราะเยาะอะไรก็ตามใจเขา อย่าไปสนใจ เราจะเป็นฆราวาสที่ดีที่สุดในมาตรฐานของฆราวาส อันนี้ก็ต้องเรียกว่าพรหมจรรย์ของฆราวาส ถ้าจะมีการสมรสแต่งงาน มีเป็นพ่อบ้านแม่เรือนไป มันก็มีพรหมจรรย์อย่างพ่อบ้านแม่เรือน ไม่ใช่ว่าพรหมจรรย์จะมีแต่คนโสด ถ้าทำอะไรดีที่สุดแล้วก็เรียกว่าเป็นพรหมจรรย์ได้ทั้งนั้น สำหรับฆราวาสนั้นก็ไม่ใช่เล็กน้อย คือจะต้องหาทรัพย์ได้ จะต้องจ่าย จัดการให้ทรัพย์นั้นเป็นประโยชน์ทั้งตนเองทั้งผู้อื่น แล้วก็มีการสงเคราะห์ผู้อื่นซึ่งเขาเรียกว่า การบำเพ็ญบุญกุศล อย่าเข้าใจให้มันเป็นความโง่เขลาไปอีกว่า ไอ้บำเพ็ญบุญกุศลนี้ เฉพาะทำเพื่อจะไปซื้อสวรรค์วิมานในชาติหน้าชาติโน้น คำว่าบำเพ็ญบุญกุศลนี่ก็หมายถึง สงเคราะห์ผู้อื่นในชาตินี้ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ให้ผู้อื่นพลอยได้รับประโยชน์จากเราที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ มันเป็นเรื่องสังคมสงเคราะห์อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ สงเคราะห์บำรุงพระศาสนาไว้เพื่อประโยชน์แก่สังคมต่อไปก็ได้ ถ้าคิดจะไปเอาสวรรค์วิมานแล้วมันจะเป็นสงเคราะห์ผู้อื่นอย่างไรได้ เพราะว่าไอ้สิ่งที่เราบริจาคไปนั้นมันไม่มีค่าเท่ากับเศษหนึ่งส่วนพันส่วนหมื่นของวิมาน ถ้าสมมติว่าได้วิมานจริงตามที่พูดกันแล้ว วิมานนั้นมันราคาเป็นแสนเป็นล้าน ลงทุนนิดเดียว ทำบุญไปแล้วได้วิมานมาอย่างนี้ไม่ใช่การสละเพื่อผู้อื่น เป็นการค้ากำไรยิ่งกว่าเกินควรเสียอีก มันจึงเป็นเรื่องของพระพุทธเจ้า หรือเรื่องในพุทธศาสนาไม่ได้ เพราะว่าท่านสอนให้สละ ให้ทำบุญกุศล หรืออะไรก็ตามเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นอีกส่วนหนึ่ง เลี้ยงตัว เลี้ยงบุตรภรรยา ครอบครัว เลี้ยงคนที่ควรจะเลี้ยงให้มีความสุขกันไปหมดภายใน และก็บำเพ็ญกุศลออกไปภายนอก ตั้งหน้าตั้งตาทำให้เคร่งครัดอย่างนี้ก็เป็นการประพฤติพรหมจรรย์เพราะต้องทำด้วยความอดกลั้นอดทน สุขุมรอบคอบ สุดฝีไม้ลายมือ ควรจะเข้าใจได้กันเสียที ถ้ามีอะไร มีการกระทำอะไรที่มันทำอย่างสุดความสามารถ สุดฝีไม้ลายมือ ก็ควรจะเรียกว่าเป็นพรหมจรรย์กันหมด ถ้าประพฤติอย่างดีที่สุดที่มนุษย์จะประพฤติได้ ที่ก็ลดลงไปเองถึงหนุ่มสาวถึงเด็ก เด็กๆๆ วัยรุ่นที่มันจะพูดกันรู้เรื่องอย่างไร ถ้าว่าสมมติว่าใครเป็นบิดามารดาต่อไปข้างหน้านี่ ก็ควรจะนึกถึงข้อนี้ ก็ต้องจัดให้ลูกหลานนี่ให้มันได้ประพฤติความดี หรือความจริงไอ้ที่มันอย่างสุดฝีไม้ลายมือ สุดกำลังจิตใจของเขา เป็นคนเข้มแข็งเป็นคนเอาจริง ไม่ปล่อยตามสบาย เหมือนคนสมัยนี้คือคนไม่จริง ลูกหลานมันก็เลยเหลวแหลก สอบไล่ตกอยู่นั่นน่ะ เพราะมันมีความไม่จริงมาจากผู้ปกครอง ผู้ควบคุม และก็ไม่จริงของตัวเอง โง่เขลาดื้อดึง เรียกได้ว่าไม่มีพรหมจรรย์ เพราะนั้นการสอบไล่ตกก็เกิดขึ้นเพราะการไม่มีพรหมจรรย์ พูดแล้วมันน่าหัว แต่เป็นความจริงอย่างนั้น ถ้าเด็กเล็กๆ สมาทานพรหมจรรย์ ก็จะรอดตัว นับแต่สอบไล่ได้ ไม่มีตก หรือมีอะไรอื่นๆ ดี น่ารักน่าเลื่อมใส น่าบูชาไปตั้งแต่เล็ก ก็ประสบความเจริญได้ง่ายจนตลอดชีวิต เดี๋ยวนี้เมื่อมันไม่มีพรหมจรรย์แล้วมันก็น่าเกลียดน่าชังไปทั้งหมด แม้แต่กิริยามารยาทมันก็น่าเกลียดน่าชังไปทั้งหมด มันก็ต้องสอบไล่ตก มันก็ต้องซื้อประกาศนียบัตร ต้องซื้อปริญญา ว่ากันไปตามเรื่องพอได้หลอกลวงกันไป ยิ่งไม่เป็นพรหมจรรย์ใหญ่ เพราะเป็นความหลอกลวง
อย่ากลัว หรืออย่ากระดากอายอะไร ที่ว่าเราจะยึดหลักเกณฑ์อันนี้ ว่ามนุษย์ตั้งแต่เกิดมาพอพูดกันรู้เรื่องก็ขอให้มีการประพฤติสิ่งที่เรียกว่าพรหมจรรย์ แล้วก็เลื่อนขึ้นไปก็เปลี่ยนไปๆ ตามลำดับๆ จนวาระสุดท้าย จนเป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังประพฤติพรหมจรรย์ เพราะพระพุทธเจ้าท่านตรัสเทศน์อย่างนั้น จะเป็นพระยสกุลบุตร หรือใครก็ตาม เป็นพระอรหันต์แล้วตั้งแต่ยังไม่ทันจะบวชท่านก็ยังบอก มาประพฤติพรหมจรรย์ คำว่าพรหมจรรย์ก็มีแม้กระทั่งที่เป็นพระอรหันต์แล้ว คือมาอยู่กันอย่างน่าดูที่สุด ประเสริฐที่สุด มาอยู่กันแบบครองชีวิตที่ประเสริฐที่สุด ก็เป็นอันว่าตั้งแต่ต้นจนปลายนี้เราจะต้องเกี่ยวข้องกันอยู่กับสิ่งที่เรียกว่าพรหมจรรย์ พรหมก็แปลว่าประเสริฐที่สุด จรรย์ คือ จริยะ คือประพฤติ คือการประพฤติ หรือระบบที่ควรประพฤติ นี่เราจะต้องมีการเป็นอยู่ในลักษณะนี้ แม้ว่าหมดกิเลส หมดทุกข์แล้วก็ยังมีการเป็นอยู่ที่ประเสริฐนี้ เป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่นต่อไป เรื่องของตัวมันหมดแล้ว ชีวิตยังเหลืออยู่ก็เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นต่อไป อันนั้นก็ยังเป็นพรหมจรรย์อยู่ดี ขอให้เอาไปนอนนึกนอนคิดดู ว่าเราบวชเข้ามานี้ก็หลายวันแล้ว นับตั้งแต่วันบวชมา มันก็เป็นพรหมจรรย์ขึ้นบ้างหรือยัง หรือว่าเท่าไหร่แล้ว ไอ้เป็นพรหมจรรย์โดยขึ้นทะเบียนนี้มันเป็นแล้วตั้งแต่วันบวช แต่มันโดยขึ้นทะเบียน มันจดทะเบียน นี่เป็นพรหมจรรย์จริงที่เนื้อที่ตัวที่จิตที่ใจนี้มันเป็นขึ้นมาเท่าไหร่อย่างไร ให้รู้จักพรหมจรรย์ของภิกษุนี้ให้ถึงที่สุดกันเสียทีก่อน เพราะว่าก่อนหน้านี้เราไม่รู้อะไรเลยในเรื่องของพรหมจรรย์ รู้ก็อย่างผิวๆ เผินๆ ลมๆ แล้งๆ บางทีจะคิดแต่ถึงผู้หญิงมากกว่า ที่ครองตัวได้ดีไม่มีราคี ก็เรียกว่าประพฤติพรหมจรรย์ อาจจะรู้กันเพียงเท่านั้นก็ได้ อย่างนี้มันก็น่าหัวน่าละอายที่รู้เพียงเท่านั้น ในพุทธศาสนานี้มีมากกว่านั้นอย่างที่ได้กล่าวมาให้ฟัง ตั้งแต่เป็นเด็กจนเป็นพระอรหันต์ก็ยังประพฤติพรหมจรรย์อยู่อย่างนั้นเอง
ทีนี้เมื่อเรามารู้จักพรหมจรรย์ในความหมายอย่างนี้ แล้วเมื่อบวชเป็นภิกษุแล้วก็พยายามให้ดีที่สุดที่จะมีพรหมจรรย์อย่างภิกษุ ก็จะเข้าถึงตัวพรหมจรรย์มากขึ้น แล้วก็จะเกิดความพอใจขึ้นมาเอง เรียกว่าด้วยอำนาจของพระธรรม จะทำให้เกิดความพอใจขึ้นมา เดี๋ยวนี้ไม่พอใจก็เพราะว่าเหลวไหล ไม่เข้าถึงตัวพระธรรม เห็นแก่ปากแก่ท้อง ก็ไม่เข้าถึงตัวพระธรรม ไม่มีความอดกลั้นอดทน พระธรรมก็ไม่เป็นที่พอใจ คนนั้นก็ไม่ชอบ ไม่ชอบพระธรรม คือไม่อาจจะชอบพรหมจรรย์ขึ้นมาได้ ลองดูกันใหม่ ยอมเสียสละเรื่องปากเรื่องท้องเรื่องอะไรเสีย ให้รู้จักการบังคับตัวเอง การประพฤติที่กระทบกระแทกต่อกิเลส แผดเผากิเลส ไม่ใช่สุดจะพอใจ สิ่งที่เรียกว่าพรหมจรรย์หรือพระธรรม ถ้าอย่างนี้แล้วก็รอดตัว ถ้าใครเกิดพอใจในพระธรรมขึ้นมาได้ คนนั้นจะรอดตัว อย่าเข้าใจว่าสักว่าบวช บวชเข้ามาแล้วมันจะรับประกันว่ารอดตัว จะต้องประพฤติจนกระทั่งถึงธรรมะ และพอใจในธรรมะ แล้วยิ่งคุ้ยเขี่ยในเรื่องของธรรมะ ก็จะยิ่งพอใจมากขึ้น เพราะว่าธรรมะนั้นเป็นอย่างนั้นเอง นี่จึงมีความมั่นคงในพรหมจรรย์ในพระศาสนา เรียกว่ามีความมั่นคง เป็นที่ปลอดภัยแก่ตนเองในพระศาสนานี้ บางทีก็เลยไม่อยากจะละพรหมจรรย์อย่างภิกษุนี้ไปเสียอีก คือไม่สึก แต่ถ้าเรื่องมันจะต้องสึกก็ไม่เป็นไร อย่างที่พูดมาแล้ว มันยังมีพรหมจรรย์ที่ยังเหลืออยู่อีกมากที่มันจะเป็นเครื่องทดสอบเรา ที่เราจะประพฤติให้ชนะได้มันยังยากอยู่มาก เอาเท่านั้นให้มันชนะก่อน ถ้าชอบใจจริงๆ ค่อยบวชกันใหม่ตอนแก่เฒ่าก็ยังได้ เดี๋ยวนี้พรหมจรรย์ของเด็กๆ นี่ให้ชนะเสียก่อนสิ กลัวจะมันเหลวไหลและพ่ายแพ้อยู่ตลอดเวลาไปตามเดิม
หน้าที่การงานอะไรที่จะต้องประพฤติก็ทำ เมื่อสึกออกไปเป็นฆราวาสนั้นน่ะจะเป็นพรหมจรรย์ เป็นบทเรียนพรหมจรรย์ ต้องทำให้ดีที่สุดให้ชนะที่สุด ให้ชนะการงาน ให้ชนะผู้บังคับบัญชา ให้ชนะน้ำใจของบิดามารดา จนกระทั่งบิดามารดาจะรู้สึกว่าแหมไม่เสียทีที่เกิดมันมา ทำอะไรได้ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะทำได้ อย่างนี้ก็เรียกว่าชนะน้ำใจของบิดามารดา เป็นบุตรที่ได้โปรดบิดามารดาให้พ้นจากนรก คือความร้อนใจโดยแท้จริง นี่คำว่า บุตร เขาอธิบายกันมาอย่างนี้แต่ครั้งบรมโบราณ ครั้งพุทธกาลในอินเดีย มีนรกเรียกว่าปุตตะ ปุตตะเป็นชื่อของนรก นรกนั้นคือความร้อนใจ ผู้ที่ยกบิดามารดาออกไปเสียได้จากนรกนั้น ได้ชื่อว่าเป็นบุตร บุต ตะ ระ บุต ตะ ที่แท้จริง นี่ก็เรียกว่าโปรดบิดามารดา ชนะน้ำใจบิดามารดา ถ้าคนชนะน้ำใจบิดามารดาได้ถึงขนาดนี้ ก็เป็นอันว่าชนะอื่นได้หมดนะ คือหน้าที่การงานมันดีหมด เป็นคนจริงเป็นคนเข้มแข็ง เพราะว่าเอาจริง มันสำเร็จเพราะความเอาจริง คล้ายมันจะโง่มาก่อน ถ้าเป็นคนจริงมันก็หายโง่ในเวลาอันสมควรอย่างนี้ มันไม่สามารถมาก่อน เมื่อมันเอาจริงก็ต้องมีความสามารถขึ้นมาในเวลาอันสมควร นั่นคือพรหมจรรย์
อีกชื่อหนึ่งเขาเรียกว่าไฟ คือ ตบะ แปลว่า ไฟ ตรงนี้แปลว่าเผา อะไรที่ควรเผา เผาหมด ทั้งอยู่ที่บ้าน บำเพ็ญตบะได้ อะไรมันเลวมันชั่วเราเผาเสียหมด ที่มีอยู่ในจิตใจในสันดานของเรา เผาให้หมด ก็เรียกว่าบำเพ็ญตบะ แม้ที่สุดแต่จะทิ้งบุหรี่ให้ได้ด้วยใจเข้มแข็งก็เรียกว่า ตบะอันหนึ่ง สงเคราะห์ลงไปในตบะอันหนึ่ง มันเผาความเหลวไหลออกเสียได้ มีเรื่องอีกมากที่จะต้องเผา ความเหลวไหลอีกหลายๆ ชนิดที่จะต้องเผาไปให้ไหม้ไปให้หมด ไม่มีเหลืออยู่ในจิตใจ คำว่า ตบะ แปลว่าอย่างนี้ แปลว่าไฟ แล้วก็เผาสิ่งที่ไม่ควรจะมีอยู่ในจิตใจ คำว่าตบะ กับคำว่าพรหมจรรย์ นี้ เป็นไวพจน์แทนกันได้ เรียกว่าตบะก็ได้ เรียกว่าพรหมจรรย์ ก็ได้ ก็คือความเข้มแข็งและเฉียบขาดนั่นเอง แม้เป็นฆราวาสก็ต้องการมาก พ่อบ้านแม่เรือนนี่ต้องการมาก ความเฉียบขาดในตัวของตัว ที่จะเผาความเหลวไหลของตัวเสียก่อนแล้วจึงจะทำให้ลูกเด็กๆ เคารพนับถือ และเป็นผู้เชื่อฟัง และแผดเผาไอ้ความชั่วความเลวในใจของเด็กๆ เองให้มันหมดไปอีก บ้านเรือนนั้นมันก็สะอาด ครอบครัวนั้นมันก็สะอาด ไม่มีสิ่งที่น่ารังเกียจ เกลียดชัง เหลืออยู่ในครอบครัวนั้น มันช่วยกันเผาเสียให้หมด บ้านเรือนที่ประพฤติพรหมจรรย์แท้จริงตามหลักของพุทธศาสนา แล้วคุณก็ยิ่งเห็นได้ว่าตามที่ผมพูดนั้นมันมีเหตุผลที่แสดงอยู่ในตัว ไม่ต้องเชื่อใคร ไม่ต้องเชื่อผมด้วย ทั้งที่ผมเป็นผู้แนะให้ทำอย่างนี้ แล้วก็อย่าไปเชื่อไอ้คนเหลวไหลอื่นๆ ที่มันจะมาล้อเลียนชักชวนว่าไม่ให้ทำอย่างนี้ แต่ให้เชื่อตัวเอง เมื่อไม่เชื่อทั้งสองฝ่ายก็ขอให้เชื่อการกระทำของตัวเองลองดู เห็นจริงแล้วก็เชื่อ จะเชื่อตัวเองได้โดยไม่ต้องถามใครในสิ่งที่ตัวจะต้องเกี่ยวข้อง หรือแม้ในธรรมะที่พระศาสดาได้ตรัสไว้อย่างไร ที่เราไม่ยอมเชื่อพระศาสดา แต่เราก็เชื่อตัวเอง เพราะว่าเรามองเห็นชัดอยู่ในการกระทำนั้นๆ ว่าจริงตรงตามที่พระศาสดาได้ตรัสไว้ อย่างนี้เขาเรียกว่าไม่ต้องเชื่อตามผู้อื่น ซึ่งรวมทั้งพระศาสดานั้นด้วย ในธรรมที่พระศาสดาได้ตรัสไว้ เขาให้อิสรเสรีภาพที่ถูกต้องที่แท้จริงที่บริสุทธิ์ถึงขนาดนี้ ไม่ใช่เสรีภาพหลอกลวง เสรีภาพคดโกงไปได้เปรียบแก่กิเลสอย่างที่คนปัจจุบันนี้เขาหลงกันนัก เสรีภาพที่จะไปลงเหวลงนรก แล้วก็ชอบกันนัก ส่วนเสรีภาพที่จะหลุดพ้น อิสระออกไปได้นี้กลับไม่ชอบ นี่เป็นเหตุให้ไม่รู้จักพรหมจรรย์ ไม่รักพรหมจรรย์ ไม่บูชาสิ่งที่เรียกว่าพรหมจรรย์ คือเป็นคนจริง พูดจริง ทำจริง อะไรจริง จนสำเร็จประโยชน์ในที่สุด นั่นแหละคือพรหมจรรย์
ความเป็นคนจริงอย่างเฉียบขาดนี้ หาดูได้ยากขึ้นทุกที นี่ชั่วอายุของผมที่มีอยู่นี้ก็สังเกตเห็นว่าไอ้คนที่จริงๆ นี่มันน้อยลงไปทุกที ในที่สุดก็มองเห็นต่อไปอีกว่าเพราะว่าในโลกนี้ในสมัยนี้มันมีสิ่งที่มาดึงดูดมายั่วเย้าคนให้ไปหลงใหลแล้วก็ยอมสูญเสียความจริง ความเป็นคนจริง ความแน่วแน่นั้นไปเรื่อยๆ นั้นคนที่จริงต่อธรรมะหรือว่าจริงต่ออุดมคติของความเป็นมนุษย์นี่มันน้อยลงไป มันไปจริงที่จะตามใจกิเลส มันจะเรียนจริง ค้นคว้าจริง ไปโลกพระจันทร์ได้ มันก็จริงไปในทางที่เป็นประโยชน์เพื่อจะตามใจกิเลส อย่างนี้ก็ไม่เป็นพรหมจรรย์ไปได้ ใช้ความสามารถ วิริยะอุตสาหะที่สุดมากมายเท่าไรมันก็เป็นพรหมจรรย์ไปไม่ได้ เพราะมันเป็นไปเพื่อประโยชน์เป็นความต้องการของกิเลส ของการตามใจตัวเอง ซึ่งเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ถ้าตามใจตัวเองมันก็ตรงกันข้ามกับพรหมจรรย์ การค้นคว้าเหล่านี้ไม่ได้เพื่อทำลายกิเลสของตัว ไม่ได้เพื่อสร้างความดีอะไรที่เป็นธรรมะธัมโมอะไร เป็นไปเพื่อสร้างอำนาจ แสวงหาประโยชน์เป็นเรื่องในที่สุด รวมไปอยู่ที่ประโยชน์เป็นวัตถุเป็นเนื้อเป็นหนัง นั้นจะปฏิบัติให้เหนื่อยยากเป็นตายกัน ตายกันแล้วแล้วตายกันเล่าอีก ก็ไม่เป็นพรหมจรรย์ได้ เพราะไม่ได้เป็นไปเพื่อดับทุกข์ ไม่ได้เป็นไปเพื่อวิมุตติ ไม่ได้มีวิมุตติเป็นอานิสงส์ เป็นไปเพื่อวัฏฏะสงสารมากขึ้น มันจึงควรจะเห็นเสียได้เองว่าตัวพรหมจรรย์นี้คือการเอาจริง แต่ว่ามันเอาจริงในทางที่ควรจะจริง คือดับทุกข์ของตัวเองและของผู้อื่นได้ ถ้าจะเอาจริงในการที่เอาเปรียบผู้อื่นหรือทำลายผู้อื่น มันก็ไม่ใช่พรหมจรรย์ อย่างน้อยก็ไม่ใช่พรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนานี้ เป็นพรหมจรรย์ก็ไม่ได้ เว้นไว้แต่จะมีสมมติขึ้นสำหรับอันธพาล ว่าเป็นพรหมจรรย์ของอันธพาลล่ะก็ได้ แต่ก็ไม่เคยมีคำอย่างนี้ใช้
เอาล่ะเป็นว่าวันนี้ก็ไม่พูดอะไรมากมาย ไปกว่าที่เคยพูดแล้วพูดเล่า แต่ทำไมต้องพูดแล้วพูดเล่า เพราะเพื่อให้เข้าใจชัดขึ้น เพื่อจะย้ำในการที่จะเข้าใจชัดขึ้นให้เห็นลู่ทางที่จะเป็นไปได้อย่างนั้นมากขึ้น นั้นเราพูดเรื่องเดียวนี้ให้มันแจ่มแจ้งออกไป กว้างขวางออกไป จนเป็นที่แน่นอนว่าชีวิตของเรานี้จะเป็นพรหมจรรย์จริง เป็นพรหมจรรย์ยิ่งขึ้นไปจริง ๆ จนกระทั่งว่าในครอบครัวนั้นในบ้านเรือนนั้นมันเต็มไปแต่พรหมจรรย์ ถ้าว่าฆราวาสนะ และถ้าในวัดนี้มันก็เต็มไปแต่พรหมจรรย์ หรือว่าในทุกๆ วัดในพระศาสนานี้ก็เต็มไปแต่พรหมจรรย์ อย่าให้มันมีเรื่องเหลวไหล นับตั้งแต่เรื่องเห็นแก่ปากแก่ท้อง เห็นแก่หลับแก่นอนหรือเห็นแก่อะไรต่างๆ พรหมจรรย์นี้มันยังเหลืออยู่มากที่จะต้องปฏิบัติ คือกว่าจะดับทุกข์หมดเป็นพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังเหลืออยู่อีก สำหรับจะเป็นอยู่ให้ผู้อื่นดู ให้สัตว์โลกได้รับประโยชน์จากการที่ว่ามีพระอรหันต์อยู่ในโลกนี้ นั่นแหละเป็นพรหมจรรย์ที่ไกลถึงขนาดนั้น ฉะนั้นเราจะต้องยอมเสียสละได้ทุกอย่างทุกประการเพื่อจะเอาพรหมจรรย์ไว้ ทีนี้บวชแล้วมันก็ไม่รู้เรื่องนี้แล้วก็โมโห โทโส วันหนึ่งตั้งหลายๆ หน ไม่มีโมโหโทโสอะไรก็โมโหโทโสเรื่องกิน เรื่องไม่ได้อย่างอกอย่างใจ วันหนึ่งหลายๆ หน เดี๋ยวโมโหคนนั้นคนนี้ อย่างนี้มันก็ต้องเรียกว่าล้มละลาย มันไม่เป็นพรหมจรรย์ที่จะบังคับจิตใจอย่างผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ความโลภอาจจะรบกวนน้อย แต่เรื่องราคะอาจจะรบกวนไม่น้อย แล้วก็มีเรื่องความโกรธหรือโทสะอีก นี่ก็ล้วนแต่เป็นข้าศึกกันอยู่กับพรหมจรรย์มาแต่เดิม เป็นธรรมชาติที่มันเป็นข้าศึกกับพรหมจรรย์มาแต่เดิม บวชเข้ามาประพฤติพรหมจรรย์ก็เพื่อจะทำลายสิ่งเหล่านี้ เพื่อจะต่อสู้สิ่งเหล่านี้ นี่มันก็มาตามหน้าที่ของมันเพื่อจะทำลายพรหมจรรย์หรือจะทดสอบพรหมจรรย์ของบุคคลผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ในโลกนี้ก็มีสิ่งที่มายั่วให้รัก ให้โลภ ให้โกรธ ให้โมโห ให้หลงใหล ให้โง่เขลางมงาย มันมีอยู่ตามธรรมชาติในโลก ระบบพรหมจรรย์มันก็เกิดขึ้นมาโดยผู้รู้ผู้ฉลาด ก็ประพฤติเพื่อเอาชนะสิ่งเหล่านี้เรียกว่าประเสริฐ เรียกว่าพรหมจรรย์
อ้าว,ทีนี้ก็มาคิดดูซ้ำอีกทีว่าเราก็บวชแล้ว ผมจะต้องขอพูดเสมอๆ เพื่อพูดกับพวกคุณว่า เราก็บวชแล้ว เข้ามาในขอบเขตของพรหมจรรย์แล้ว ขอให้สนใจ ให้มีพรหมจรรย์ให้จนได้ คนที่มีอายุมากแล้ว ไม่กี่ปีจะตายแล้วก็ควรจะนึกกันมากเป็นพิเศษ เพื่อจะรวบรัดเอาแต่ส่วนพรหมจรรย์ที่จำเป็น ที่ยังหนุ่มอยู่ก็มุ่งหมายพรหมจรรย์ที่กว้างไปกว่านั้น ที่มีการศึกษา หรือว่าฝึกฝนอบรมให้มันกว้างไปกว่านั้น เพราะว่าเรายังมีเรี่ยวแรง มีสติปัญญา มีเวลา แต่ก็อย่าให้มันเหลวแหลกไปในที่สุด คือมันพร่าไปจนไม่ไปตามวัตถุประสงค์ที่แท้จริง ที่ถูกที่แท้ที่จริง นั้นมันก็เรียกว่าเวลาน้อยทั้งนั้น แม้ว่ายังหนุ่มอยู่ ก็อย่าเข้าใจว่าเวลามันมาก เพราะว่าส่วนที่ทำให้ดีได้ มันมีมาก มันขยายออกไปได้ ไม่ใช่เพียงแต่ว่าหมดความทุกข์ส่วนตัวแล้วก็ดีเพียงเท่านั้น มันควรที่จะขยายออกไปได้ว่ามีเวลามากกว่านั้น หรือช่วยผู้อื่นได้มากกว่านั้น ถ้าเอาอย่างนี้เป็นหลัก เป็นเกณฑ์ เป็นมาตรฐานแล้วก็ คนเราไม่ได้มีชีวิตมากมายเหลือใช้เลย แม้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ถึงร้อยปี ทำอะไรได้ถึงร้อยปี ก็ไม่มาก มันมีหน้าที่ที่ควรทำมากกว่านั้นมาก อย่าคิดว่าเรื่องมันมีน้อย อายุเรามันมีมาก อย่าคิดอย่างนั้น เป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง เวลาของเรา อายุของเรานั้นไม่พอ ไม่เท่ากันกับความดีที่มีอยู่มากมายที่เราอาจจะทำได้ มันมีอยู่มาก มีให้ทำมาก เราทำได้เท่าที่เราทำได้นี่ไม่ใช่มันหมด ไม่ใช่ทั้งหมด สมมติว่าไม่ขี้เกียจ ขยัน มีอายุอยู่ได้สักสองร้อยปี สามร้อยปี ผมก็คิดว่ามันยังมีงานให้ทำ ไม่ต้องว่างงาน ในการจะทำสิ่งที่ดีที่มีประโยชน์นั้นมันยังมี มันก็มียิ่งๆ ขึ้นไป มันขยายออกไปได้ ที่มันเป็นประโยชน์แท้จริงยิ่งๆ ขึ้นไปนี้มันยังมี คนเราอย่าไปคิดว่าอายุมันมากพอที่จะทำอะไรไปตามสบายเอื่อยๆ ควรจะทำให้พอเหมาะ พอดี ไม่มีเวลาให้เสียเปล่า คือไม่เอื่อย ให้พอดี จึงจะสำเร็จประโยชน์ ถ้าเกินไปมันก็ไม่ได้เหมือนกัน มันก็อาจจะตายก็ได้ คือมันเจ็บไข้หรือมันสู้ไม่ได้ ร่างกายมันสู้ไม่ได้มันก็ตายเสียอีก ถ้าพอดีๆ ยังไปกันได้ จงคิดถึงข้อนี้ นั้นคำว่าพรหมจรรย์ก็ขึ้นอยู่ที่มัชฌิมาปฏิปทา เหมือนที่ได้พูดแล้วบรรยายแล้วในการบรรยายครั้งแรกๆ คำว่าพรหมจรรย์ คือ มัชฌิมาปฏิปทา ความพอดี ความสมดุล ของทุกอย่างที่มันเกี่ยวข้องกัน นี่ก็เป็นสิ่งที่ลืมไม่ได้ ถ้าประมาทก็เป็นอันว่าผิดทันที คือทำผิดความพอดีทันที นั้นเป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้ ทำเล่นไม่ได้ หวัดๆ สะเพร่าๆ หรือที่เรียกว่า อวดดี ไม่ได้ เพราะอวดดีก็เรียกว่าประมาท เพราะประมาทก็คือตายทางจิตใจ เคยประมาทมากี่มากน้อย กี่ครั้งแล้วก็ไปนึกดูเอาเอง เคยตายมาแล้วกี่ครั้งกี่หนแล้ว ก็ไปนึกดูเอาเองของ เรื่องหนหลังที่แล้วมา ทุกคนเคยประมาทเคยตาย ในทางวิญญาณ ในทาง Spiritual นี้มันเคยประมาท มันเคยตาย บางคนมันเก่งมาก เคยตายมาหลายสิบครั้งหลายร้อยครั้งแล้วก็ได้ ดีแต่ว่าร่างกายมันยังไม่ตายให้ตั้งต้นใหม่ เกิดใหม่เพื่อจะทำความไม่ประมาทต่อไป ทีนี้เวลาข้างหน้ามันก็ไม่มากสำหรับร่างกาย ไอ้เครื่องรองรับนี่มันจะผุพังไป เวลาของอายุทางร่างกายจำกัด เราก็ใช้ให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ให้ถึงสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้เสียก่อนแต่ร่างกายนี้แตกทลายออกไป จิตได้รับการอบรมถึงจุดสูงสุดที่มนุษย์ควรจะถึงได้เสียก่อนแต่ร่างกายนี้มันจะพังทลายลงไป ร่างกายนี้ก็แตกง่ายแตกแน่ เปรียบเหมือนหม้อ ภาพปริศนาธรรมเป็นอย่างนั้น ระวังอย่าให้มันแตกทลายลงไปเสียก่อนแต่ที่จะได้ ใช้ให้เป็นประโยชน์ที่สุด คือการประพฤติพรหมจรรย์ ผนวกเอาการเรียน การศึกษาเข้าไปไว้ในนั้นด้วย การปฏิบัติจริงๆ ก็ไปไว้ในนั้นด้วย และการได้รับผลของการปฏิบัตินั้นทันตาเห็นด้วย นี่เราจะมาพูดกันมาก ว่า บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง สอนสืบๆ กันไปจริง นี่คือบรรพชาที่ถูกต้อง มันล้วนแต่จริงไปหมด ตั้งแต่บวชก็ให้บวชจริงๆ โดยบริสุทธิ์ใจ แล้วก็เรียนก็เรียนให้จริงๆ ปฏิบัตินี่ยิ่งจริง จริงมากขึ้นก็ได้ผลจริง ต่อไปนั้นก็เพื่อผู้อื่นแล้ว จริงเหมือนกัน สำหรับเรื่องเพื่อผู้อื่นนี้อาจจะทำไปได้แม้แต่บัดนี้ ส่วนใดที่เราทำได้เองแล้ว ส่วนนั้นเราแนะผู้อื่นได้ สอนผู้อื่นได้ ถ้าเรายังปฏิบัติไม่ได้ อย่าเพ่อไปแนะผู้อื่น อย่าไปสอนผู้อื่น คือสอนแต่เขาตัวเองทำไม่ได้นี่ พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า เป็นบัณฑิตสกปรก เป็นขรัวสกปรก เป็นอาจารย์สกปรก แล้วก็ไม่ใช่บัณฑิตที่แท้จริง เป็นบัณฑิตสกปรก เป็นบัณฑิตปลอม นั้นสิ่งใดที่ตัวเองทำไม่ได้ อย่าเพิ่งไปสอนคนอื่น แต่ถ้าหากว่ามันเป็นเรื่องบอกเล่ากัน ไม่ใช่ยืนยันว่าเราทำได้ อย่างนี้ก็ทำไม่ได้เหมือนกันมันมีอีกประเภทหนึ่ง คือเราได้ยินได้ฟังมาแล้วเรากำลังค้นคว้า แล้วก็แนะให้ผู้อื่นไปค้นคว้าได้ ไม่ได้ยืนยันว่าเราทำได้ และเราก็ไม่ได้สอนเขาในลักษณะอย่างนี้ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เราสอนเขาแล้วก็ต้องเป็นเรื่องที่เราทำได้ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วเป็นเรื่องแนะนำปรึกษาหารือให้แสดงความคิดเห็นให้อะไรอย่างนี้ ก็รวมอยู่ในสิ่งที่เรียกว่า พรหมจรรย์ ด้วยเหมือนกัน เพราะทำไปด้วยความจริงใจ ด้วยความบริสุทธิ์ใจแล้วก็ทำสุดความสามารถที่จะทำได้อย่างนี้
นี่ขอให้นับวันนับคืนของการที่บวชอยู่ประพฤติพรหมจรรย์นี้ให้ดีๆ ให้มันล่วงไปด้วยความถูกต้อง เข้มแข็ง อดทน ให้เป็นพรหมจรรย์จริงๆ อย่าอ่อนแอเรื่องปาก เรื่องท้อง เรื่องหลับ เรื่องนอน อะไรอย่างนี้ มันเป็นเรื่องที่จัดไว้พอเหมาะสมว่าเราอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในรูปของอาศรมที่มีระเบียบ ทุกกระเบียดนิ้วเป็นไปเพื่อการขูดเกลา ก็พยายามรับเอาให้มาก รับเอาให้ได้ ถ้าเกิดมีคนเหลวไหลก็อย่าไปเอาใจใส่เขา อย่าไปตามเขาก็แล้วกัน มันเป็นคนเหลวไหล ถ้าจะตามกันบ้างก็ตามคนที่จริง แต่ไม่ต้องตามใครก็ได้ เพราะว่าเรามันมีความรู้ความเข้าใจในสิ่งเหล่านี้พอที่จะทำจริงของเราเองได้ อย่าให้วันคืนเสียไป เพราะว่าพวกที่ลาบวชนี้ก็จะบวชได้เพียง ๓ เดือน ๑๒๐วันอย่างมาก จัดให้วันแต่ละวันให้ดีๆ ให้เต็มที่ เป็นพรหมจรรย์อย่างภิกษุเต็มที่ แล้วก็จะเหลืออยู่เป็นเงื่อนงำรอยรอยสำหรับติดไปจนตลอดชีวิต เป็นนิสัยที่ดี ที่ได้อบรมไว้ดี ไม่มีความเหลวไหลโลเล เหลาะแหละ อ่อนแอ กันอีกต่อไป เผาผลาญกิเลส เผาผลาญไอ้ความไม่ดีต่างๆ ให้หมดไปได้ นี่ไม่เสียทีที่ได้บวช นี่พรหมจรรย์คือสิ่งที่มันจริงอย่างนี้ แล้วต้องมีกันตลอดชีวิตอย่างนี้ แม้กระทั่งเป็นพระอรหันต์แล้ว
ก็ขอให้คำอธิบายนี้เป็นที่กระจ่างยิ่งขึ้นกว่าคำอธิบายในครั้งที่แล้วๆ มา ยืดออกไปขั้นหนึ่ง ก็เป็นอันว่าเวลาก็พอดีแล้ว หมดแล้ว ยุติการบรรยายวันนี้ไว้เพียงเท่านี้.