แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การพูดนี้เป็นการพูดครั้งสุดท้าย ก็อยากจะรวบรวมใจความสำคัญต่างๆ มาพูด เพื่อสะดวกในการจดจำ เพื่อคนเรามันต้องมีหลักเกณฑ์อะไรอย่างหนึ่ง สำหรับที่จะเป็นอยู่ให้ได้ผลดีที่สุด อย่างบางคนเขาคิดว่าไม่ต้องรู้ไม่ต้องชี้ เอาไปตามอารมณ์ อย่างนี้คือคนที่อาจจะถูกเรียกในพุทธศาสนาว่า มันเป็นปุถุชนผู้มิได้สดับ มิได้สดับธรรมของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ไม่ถูกนำไป ไม่ได้ถูกฝึกฝนในธรรมของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ก็เลยเป็นปุถุชน คนมีอะไรหนา มีความไม่รู้หนา อวิชชาหนา จนกระทั่งไม่สนใจว่าเราจะต้องทำอะไรให้ดีที่สุด นอกจากที่ว่ามันจะได้ถูกใจเราที่สุด แล้วก็โดยเฉพาะหน้า
ทีนี้ถูกใจเราที่สุดสำหรับคนชนิดนี้นั้นก็เป็นเรื่อง บาลีเขาเรียกว่า อัสสาทะ คือรสอร่อยที่เป็นชนิดเป็นเสน่ห์ของสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบทางตา ทางหู ทางจมูก เป็นต้น ไอ้โลกมันมีสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เรียกว่า อัสสาทะ เป็นที่ยินดีของสัตว์ ในทางอายตนะ ๖ ตาก็สวย หูก็ไพเราะ แม้กระทั่งจิตก็ครึ้มไปแต่ในทางที่จะส่งเสริมความใคร่ ความรู้สึกที่เป็นกิเลส อย่างนี้เรียกว่า อัสสาทะ ทั้งนั้น จะมาจากอะไรก็ได้ นี่คือใจความหรือหัวใจของสิ่งที่เรียกว่า วัตถุนิยม กระทั่งเป็นรากฐานเป็นตัวเป็นหัวใจเป็นอะไรหมดของวัตถุนิยม บาลีเรียกว่า อัสสาทะ
เด็ก ๆ เกิดมาก็จำเป็นที่จะต้องเกี่ยวข้องแล้วก็เริ่มหลงใหลกับสิ่งที่เรียกว่า อัสสาทะ เราเกิดมาอย่างโบราณกินนมแม่ แล้วก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นรู้สึกเอร็ดอร่อยหรือสนุกสนานไปทางอื่นมากขึ้น ๆ จนกระทั่งเป็นอยู่ในสภาพที่เรียกว่า กามารมณ์ มันยากที่จะมีการสอนกันในตอนนี้ มันก็แล้วแต่วัฒนธรรมของประเทศชาติหนึ่ง ๆ ด้วยเหมือนกัน ประเทศชาติหนึ่ง ๆ อาจจะเตือนหรือว่าควบคุมบ้าง ให้ ๆ รู้จักระวังสิ่งเหล่านี้ แต่ทว่าส่วนมากไม่เป็นอย่างนั้น เรากำลังเห็นได้ชัดว่า เขาไม่ได้มีการทำให้เด็ก ๆ หรือคนหนุ่มคนสาว รู้จักไอ้เรื่องนี้และระมัดระวังเรื่องนี้ให้เย็นตะพรึด ให้หวังให้มาก ดังนั้น ความลุ่มหลงในอัสสาทะมันจึงมีมาก ยิ่งมากไอ้ความลำบากก็ยิ่งเกิดขึ้นมากในการที่จะควบคุมจิตใจหรือควบคุมกิเลส เวลามันโตขึ้นมาพร้อมกับปัญหาที่โตขึ้นมาตามนี้ ทีนี้เราจึงลำบากที่จะมาศึกษาธรรมะ
ครั้นจะไปโทษใครก็ไม่ได้ มันเป็นเรื่องชอบกล เป็นเรื่องของส่วนรวม เป็นเรื่องของขนบธรรมเนียมประเพณี ที่อาจจะเคยดีที่สุดแล้วมันเปลี่ยนแปลงไป ไอ้วัฒนธรรมก่อน ๆ คงจะตักเตือนเด็ก ๆ นี้ ให้ระวังที่จะให้โลภ ต้องเพิ่มเติมว่าอย่าให้ตะกละ และก็อย่าให้โลภ อย่าให้หวง อย่าให้ขี้เหนียว แล้วก็อย่าบันดาลโทสะ อย่าโกรธ อย่าพูดคำหยาบ กระทั่งว่าอย่าไปหลงใหลในสิ่งที่มันสนุกสนาน หรือยั่วยวน หรือจะทำให้จิตใจมันหลงใหลเกินไป
ชนชาติโบราณ ๆ เขามีวัฒนธรรมอย่างนี้ จนกระทั่งว่าหนังสือไม่ต้องเรียนก็ได้ ขอแต่ให้มันรู้ไอ้อย่างนี้ ทำอย่างนี้ให้ได้ มันก็สบายหรือรอดตัว หรือไม่เป็นภัยแก่สังคม ทีนี้เขาก็ไม่ค่อยเรียนหนังสือหรือไม่สนใจจะเรียนหนังสือ สนใจแต่เรื่องให้ทำมาหากินเป็น แล้วก็ให้ส่วนที่สุด สำคัญที่สุดก็ให้มีจิตใจดี จนกลายเป็นขนบธรรมเนียมประเพณี เดี๋ยวนี้เราก็ให้เด็ก ๆ เรียนหนังสือมาก แล้วก็ไม่ จนก็ไม่รู้ว่าไปทางไหน คือมากตามหลักสูตรที่เขาเขียนให้มันมากขึ้น ให้มันเก่งฉลาดรอบรู้ แต่แล้วมันไม่ไปเพื่อ เป็นไปเพื่อที่จะบังคับจิตใจ อย่าให้โลภ อย่าให้ตะกละ ตะกละความรู้ก็คือตะกละเงินนั่นแหละ ตะกละเงินนั้นคือตะกละไอ้อัสสาทะที่จะมาเอร็ดอร่อยทางตา ทางหู ทางจมูกนั้นน่ะ ทีนี้ส่งเสริมกันอย่างนี้ไม่มีขอบเขต จนเด็กเล็ก ๆ นี่มันก็มุ่งหมายเป็น นี่พอโตกันขึ้นพร้อม ๆ กันในโลกนี้มันเป็นโลกของบุคคลที่มุ่งแต่วัตถุนิยม ทีนี้เราก็ไปเอากับเขาด้วย ระวังที่จะมากเกินกว่าครูไปด้วยซ้ำ
ในเมื่อพวกฝรั่งอาจจะถึงจุดอิ่มตัวแล้วขอให้กลับ นี่ไอ้คนไทยกำลังอาจจะมุ่งไปหนักเต็มที่ก็ได้ นี่วัตถุนิยมในชาติเล็ก ๆ ทนอยู่ไม่ได้ ถ้ารวมกันทั้งโลกแล้วก็บูชาวัตถุนิยม อย่างนี้แล้วไม่มี ไม่มีพระเจ้าที่ไหนจะมาช่วยได้ หรือไม่มีศาสนาไหนจะช่วยได้ ก็คนมันไม่สนใจศาสนา ล้วนแต่บังคับ ยิ่งไปเข้าใจคำว่า “ประชาธิปไตย” เสรีภาพผิด ๆ ด้วย มันก็ยิ่งหันหลังให้ศาสนาเป็นธรรมดา นี่โลกเราก็ต้องเป็นอย่างนี้ นี่คือปัญหา ทีนี้เราเกิดมาตัวเล็ก ๆ เหมือนกับลูกหนู ลูกไก่ ลูกแมว ลูกกระต่ายมันก็ต้องไปตามที่มันเขาเป็นกันอยู่โดยมาก ทีนี้ถ้าเราจะไปเรียนให้รู้อะไรดีอะไรชั่ว อะไรจริง อะไรไม่จริง อะไรถูก อะไรผิดนี้เราไปเรียนตามแบบของเขาที่เขาวางไว้เพื่อการณ์อย่างนั้นเสียแล้ว แล้วในที่สุดมันสำคัญอยู่ที่ว่า คนมากลากไป โบราณเขาพูดเป็นนานแล้ว ทีนี้ความนิยมส่วนใหญ่ในโลกนี้จะลากไป เพราะไอ้ความนิยมส่วนใหญ่นั้นมันไปก่อให้เกิดกำลังมหาศาลที่บีบบังคับใครที่ไหนก็ได้ ให้หมุนไปตามนั้น
ดังนั้น โลกส่วนใหญ่ก็หมุนไปทางวัตถุนิยมหมดเลย ไม่มีเหลือ มีผลรู้จักแต่วัตถุ หลงใหลแต่วัตถุ ทีนี้พวกพุทธศาสนาหรือพวกที่ยังเคร่งในศาสนานี่ก็เกิดปะทะกันขึ้นบ้าง แต่ในที่สุดก็มักจะพ่ายแพ้ คนแก่ก็เริ่มพ่ายแพ้ คนหนุ่มคนเด็กนี้ก็เริ่มพ่ายแพ้มากขึ้น เพราะว่าไอ้วัตถุนิยมมันมีรสมีชาติมากกว่า แต่แล้วมันก็ส่งเสริมกิเลสทั้งความโลภ ทั้งความโกรธ ทั้งความหลง นี่เขาเรียก กิเลส กลายเป็นความเคยชินของกิเลสหนักแน่นเข้านี้ก็เรียกว่า อาสวะ เราก็ไม่สามารถจะทำให้สิ้นอาสวะได้แล้วก็ตายไป
ตามหลักพุทธศาสนามันตรงกันข้าม เกิดมาเพื่อทำลายอาสวะนี้ให้สิ้นไปเสีย ก่อนแต่ที่จะตายนี้ มีทางออกอยู่หน่อยหนึ่งว่า เราเกิดอีก แล้วเราก็ทำอีก เพื่อสิ้นอาสวะ อย่างนี้มันได้แต่พูดเท่านั้น แล้วที่นี่ไม่ทำ ไม่สนใจจะทำ ไม่นิยมที่จะทำนั้น แล้วมันก็มีความเคยชินในทางที่จะส่งเสริมอาสวะมากกว่า บางทีตายไปชาติหน้า ถ้าเกิดมาจริงก็จะพบไอ้โลกที่มันส่งเสริมอาสวะยิ่งไปกว่านั้นอีกก็ได้ ถึงแม้ในสวรรค์ก็ที่รู้จักกันอยู่เวลานี้ก็คิดดูสิ มันก็เรื่องกิเลสเรื่องอาสวะอยู่มาก สวรรค์ในความหมายที่เขาใช้สำหรับล่อหรือชักจูงคนให้ทำบุญทำกุศล
สวรรค์ที่แท้จริงมันควรจะเป็นอย่างอื่น คือทำความดีที่พอใจตัวเอง ไหว้ตัวเองได้ รู้สึกสบายก็ไหว้ตัวเองได้นี้ อย่างนี้เป็นสวรรค์แล้วก็ไม่เป็นไร ถ้าสวรรค์เรื่องเทวดา นางฟ้า เรื่องกามารมณ์ นั้นมันก็เป็นความบ้าชนิดหนึ่งมากกว่าเรื่องที่เราจะต้องรู้กันให้แน่นอน แม้แต่จะคร่าว ๆ ก็ให้มันแน่นอนว่าจะเกิดมาทำไมกัน ถ้าไม่รู้ข้อนี้ ข้ออื่นก็ไม่รู้ว่าจะมีรากฐานอยู่ที่ไหน ถ้าเรารู้ข้อนี้ว่าเราเกิดมาเพื่อทำอะไร มันจะได้เด็ดขาดลงไปว่าเราจะต้องทำอะไร สิ่งอื่น ๆ ที่จะมาช่วยให้ทำอย่างนั้นได้ จริง ๆ ทั้งหมดทั้งสิ้น
ถ้าเรารู้ว่าเกิดมาทำอะไร เราก็ต้องเรียนเพื่อสิ่งนั้น หาเงินมาได้ก็เพื่อสิ่งนั้น มีชีวิตอยู่ก็เพื่อสิ่งนั้น มันก็ชัดเจนดี ง่ายเข้า ถ้าถูกสอนมาตั้งแต่เล็ก ๆ ว่าเกิดมาเพื่ออะไร นี้ก็จะง่ายขึ้นอีกมาก เดี๋ยวนี้ถ้าเราจะไปสอนอย่างนั้น ไอ้คนสมัยนี้ก็จะหัวเราะเยาะว่าครึคระ ถ้าสอนตามแบบเก่า ถ้าสอนตามแบบใหม่ เกิดมาเพื่อปสาทะ เพื่อกิน เพื่อเล่น เพื่อสนุกสนานร่าเริงเต็มที่ตามแบบของวัตถุนิยม
ไม่ใช่ว่าเราจะด่าพวกฝรั่งไปเสียตะพรึด ฝรั่งที่ดีก็มี ถ้าอาตมาใช้คำว่า “ฝรั่ง” ก็หมายความว่า พวกวัตถุนิยม เขาหาเงินทำอะไร สะสมเงินไว้ทำอะไร พอสิ้นปีเขาทำอะไร แล้วเขามีเงินมาก ๆ แล้ว เขาทำอะไรกันเป็นประจำ เป็นครั้งเป็นคราว ดูเถอะอย่างดีก็จะใช้เงินเที่ยวรอบโลก เที่ยวดูนั่นดูนี่ กินนั่นกินนี่ เห็นนั่นเห็นนี่ หรือว่าหยุดปลายสัปดาห์ก็ลงเรือเที่ยวเล่น ขี่เรือบินเที่ยวเล่น มันจบลงไปอย่างนั้น
ไอ้เรื่องพระเจ้า ไอ้เรื่องจิตที่สูงสุดอย่างนี้ไม่มีแล้วในหมู่พวกวัตถุนิยม ทีนี้คนไทยเราเคยนับถือพุทธศาสนาเกิดมา ถูกอบรมสั่งสอนว่าเกิดมาสำหรับจะไปนิพพาน ทำอะไร ๆ ก็สอนให้อุทิศว่า นิพพานะ ปัจจโย โหตุ อย่างนี้ มันเป็นธรรมเนียม เป็นประเพณี เป็นวัฒนธรรม ครั้นต่อมาก็ไม่รู้ว่านิพพานนั้นคืออะไร ก็เลยฝันไปว่า นิพพานนั้นก็คือได้สนุกสนาน เอร็ดอร่อย เพลิดเพลินสูงสุดนั้นคือนิพพาน เมืองนิพพาน สวรรค์ชั้นนิพพานไปเสียเลย พูดผิด ๆ เตลิดเปิดเปิง คำว่าไปนิพพานก็หมายความว่า หยุด หยุดบ้าเสียทีนั่น ไอ้เรื่องนรกก็ไม่ไหว เรื่องสวรรค์ก็เป็นเรื่องบ้า หยุดกันเสียทีนี้ สงบ หยุด เย็น ไม่มีอะไรกระตุ้น ไม่ถูกกระตุ้น ไม่หวังนั่นหวังนี่ให้ว้าวุ่นอย่างนั้นอย่างนี้ นั้นคือนิพพาน
ไม่ต้องพูดถึงต่อตายแล้วก็ได้ เพราะมันมีการเกิดที่เกิดแล้วเกิดเล่า เกิดแล้วเกิดอีก เกิดแล้วเกิดเล่าอยู่ในความคิดนึกว่าตัวกู ว่าของกูนี้ วันหนึ่งเกิดตาย เกิดตาย เกิดตายของตัวกูนี้นับไม่ไหว นับเป็นหมื่นเป็นแสน เป็นล้าน เป็นโกฏิ เป็นอสงไขยครั้งก็ได้นะ ความเกิดขึ้นแห่งตัวกูในจิตใจของมนุษย์ ชั่วเวลาปีหนึ่งแล้วก็หลายสิบปีนี้ เอาแค่นี้ก็พอ ควรจะเกิดอย่างนั้นเกิดอย่างนี้เกิดอย่างโน้นแล้วก็เบื่อ ในที่สุดอยากหยุด
ที่เกิดนั่นหมายความว่ามีอะไรมากระตุ้นให้เกิด ถ้าเรามองเห็นเราจะรู้สึกว่าเหมือนกับเราถูกจับเชิด เดี๋ยวนี้ถ้าใครมาจับเราเชิด เราโกรธนะ เราไม่อยากจะให้ใครมาจับเราเชิด เราเป็นคนโง่ถูกจับเชิดเราก็โกรธ แต่ทีไอ้ที่ว่ากิเลสหรือความโง่ของเราเองจับเราเชิดนี้เราไม่รู้สึกแล้วเราก็ไม่ได้โกรธ แล้วไม่ได้เกลียด กลับชอบเสียอีก มันกระตุ้นให้หวังอย่างนั้น ให้หวังอย่างนี้ ซึ่งล้วนแต่ว่ามันเกินความจำเป็นทั้งนั้นแหละ แล้วก็เพื่ออัสสาทะ เพื่อรสอร่อยในโลกนี้ ก็เลยไม่มีความเป็นอิสระแก่ตัว เพราะว่าถูกจับเชิด ถูกกระตุ้นไม่ให้นิ่งอยู่ได้ นั่นน่ะคือไม่นิพพาน และนั่นน่ะคือวัฏสงสาร เวียนไปวนมาอยู่ในเรื่องร้อน ๆ เย็น ๆ ร้อนเย็นเรื่องได้เรื่องเสีย เรื่องสุขเรื่องทุกข์ เรื่องบุญเรื่องบาป ถูกกระตุ้นให้มันอยู่ไม่นิ่งได้ แล้วก็วนไปวนมาอยู่แต่นี้ มันไม่มีอะไรมากไปกว่าดีชั่ว บุญบาป สุขทุกข์ ไม่ออกไปจนถึงหยุด หรือว่าง หรือสงบ คือไม่ถูกกระตุ้น ไม่มีความรู้สึกที่เป็นการเกิดแล้วก็ตาย เกิดแล้วก็ตาย เกิดแล้วก็ตาย เรื่องนี้สำคัญมากที่ว่ามนุษย์จะได้สิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์จะได้รับหรือว่าสำคัญมากที่สุดสำหรับผู้ที่เป็นพุทธบริษัท
เพราะฉะนั้นแม้ว่าเวลานี้เราจะทำไม่ได้ เราก็ต้องรู้ว่ามันมีความมุ่งหมายที่จะเป็นอย่างนั้น สำหรับชีวิตนี้มันมีความมุ่งหมายอย่างนั้น เดี๋ยวนี้เราทำไม่ได้ สักวันหนึ่งก็จะทำได้ หรือแม้ว่าเราจะทะลึ่งขึ้นมาไม่อยากจะทำ ไม่อยากจะเอาระเบียบอันนี้ ระบบนี้ เราก็จะต้องรู้ไว้ว่ามันเป็นความจริงตามธรรมชาติที่มันมีอยู่อย่างนั้น ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่สูงสุดสำหรับสัตว์หรือสิ่งหรือมนุษย์ที่มันมีชีวิต มันก็ไปครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไปหลงใหลในเรื่องที่ หลงใหลแล้วก็ตายไปนี่เท่านั้นเอง ไม่ไปถึงที่สุดที่มนุษย์ควรจะไปได้
อาตมาจึงพูดว่าแม้ว่าเรายังทำไม่ได้เดี๋ยวนี้ เราก็ต้องรู้ไว้ แล้วก็จะทำได้ข้างหน้าในวันหนึ่ง หรือแม้ที่สุดในวินาทีสุดท้ายที่จะตายลงไปก็ยังดี กระทั่งว่าแม้จะไปตามก้นฝรั่งเสียทั้ง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่ยอมรับระบบนี้ เราก็ยังต้องรู้ไว้ว่า นี่ในฐานะที่เป็นพุทธบริษัท เขามีกันอย่างนี้ หรือว่าในฐานะที่ว่าธรรมชาติแท้ ๆ ล้วน ๆ มันก็ต้องการให้สิ่งต่าง ๆ เป็นอย่างนี้ คือธรรมชาติสร้างไอ้ระบบสำหรับวิ่ง ว่อน วุ่นไปสำหรับสัตว์ มันก็มีระบบคู่กันสำหรับหยุด พอ เย็นหรือหยุดไว้ด้วย ใครจะไปถึงหรือไม่ถึงก็แล้วแต่ ทีนี้เอาเป็นว่าเราจะเอาอย่างไหนดี ถ้าเราจะเอาข้างร้อนมันก็ได้ จะเอาข้างเย็นมันก็ได้ ถ้าเอาข้างร้อนก็คือให้ถูกกระตุ้นเรื่อย ให้เวียนว่ายตายเกิดเรื่อย ในความรู้สึกคิดนึกนั้นมันก็ร้อน แต่ว่าร้อนชนิดที่เห็นยาก ร้อนที่เปียกที่ชุ่ม มันก็เลยเกิน...(นาทีที่ 19.33, ฟังไม่ออก) ก็อย่าไปเชื่อเสียว่าเราคงจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงแล้วในเรื่องนี้มันก็เปลี่ยนแปลงได้ปุบปับเหมือนกัน
คนที่กำลังเป็นคนขี้เมาหรือว่าหลงใหลในอะไรต่าง ๆ ไปพบพระพุทธเจ้าชั่วไม่กี่นาที ก็เปลี่ยนเป็นคนละคนเป็นพระอรหันต์อย่างนี้ก็มี เรื่องเขาเขียนไว้ในพระคัมภีร์มีอย่างนั้น ก็เป็นเรื่องที่มีเหตุผล เพราะความเปลี่ยนนี้เปลี่ยนได้มาก ทำไมมันจึงไปเกิดความเปลี่ยนเพราะมันไปพบความเย็น หรือว่าลู่ทางที่จะเกิดความเย็นเข้า มันเห็นจริงเข้ามันเลยยอมเปลี่ยน ก็เปลี่ยนกันปุบปับ เป็นพระอรหันต์ภายในไม่กี่นาที
ฉะนั้นขอให้ชิมโลกหรือชิมความร้อนนี้ในลักษณะที่เป็นการศึกษา มันจะเปลี่ยนเป็นความเย็นได้ทันที มันก็ต้องผ่านโลกไปตามลำดับตามสมควร จึงจะรู้จักโลกหรือรู้จักความร้อน หรือรู้จักความทุกข์โดยตรง แต่เดี๋ยวนี้เราสามารถที่จะทำให้ไม่ต้องทุกข์ด้วย แล้วก็ทำประโยชน์อยู่ได้ด้วยนี่อันไหนจะดีกว่า ทำประโยชน์ด้วยความทุกข์ด้วยความร้อน อย่างนี้มันก็น่าสงสาร มีวิธีปฏิบัติธรรมะเรียกว่าไม่ต้องร้อนอย่างที่เคยร้อน หยุดเสียที เย็นเสียที แล้วชีวิตที่เหลือก็ยังทำประโยชน์ผู้อื่นได้ เพราะว่าประโยชน์เรามันสิ้นสุดไปแล้ว มันไม่มีอะไรดีกว่านั้นแล้ว คือมันเย็นได้แล้ว ประโยชน์เรามันก็สิ้นสุด ทีนี้แรงงานยังเหลือก็เพื่อประโยชน์ผู้อื่น นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าว่าทั้งประโยชน์ตนและทั้งประโยชน์ผู้อื่น ขอให้มุ่งหมายไว้อย่างนั้น
ทีนี้ก็เหลือแต่ที่ว่าประโยชน์ของเรานั้นจะสิ้นสุดลงได้อย่างไร มันเต็มไปด้วยปัญหาเพิ่มเรื่อย แล้วก็เต็มไปด้วยความถูกหลอก ถูกดึงพาไป ที่ไกลออกไป ๆ ลึกซึ้งออกไป ด้วยเรื่องกิน ด้วยเรื่องกาม ด้วยเรื่องเกียรติ ๓ ตัว ก นี้ พูดมาหลายสิบครั้งแล้ว ขอร้องให้ทุกคนจำไว้ว่า ๓ ตัว ก ระวังให้ดี ถ้าทำผิดก็อันตรายที่สุด เรื่องกินนี้มันก็เป็นเรื่องแรกที่ว่าคนเราจะต้องมีชีวิตอยู่ได้ เราต้องมีอาหาร มีเครื่องนุ่งห่ม มีที่อยู่อาศัย มียาแก้ไข้ ซึ่งรู้กันดีแล้ว นี่เรียกว่าเรื่องกิน ทำให้ชีวิตอยู่ได้ ทีนี้พอเหลือเลยนั่น เลยความจำเป็นส่วนนั้น มันก็กลายเป็นเรื่องกาม หรือเรื่องกามารมณ์มันคนละอย่าง เรื่องกินนี้กินเท่าที่จำเป็นจะต้องกิน ส่วนเรื่องกามารมณ์นั้นมันก็เหลือจากที่จำเป็น เพื่อจะหาความเพลิดเพลินสนุกสนานเอร็ดอร่อย เพราะฉะนั้นเรื่องกินกลายเป็นเรื่องกามได้ทันที
ถ้าเรากินอาหารเพื่อบำบัดไอ้ปัญหาเรื่องความหิว เรื่องสุขภาพ อย่างนี้เราเรียกว่า กิน แต่พอไปหลงในเรื่องเอร็ดอร่อยไม่ได้คำนึงถึงส่วนนั้นน่ะ อย่างนั้นกลายเป็นเรื่องกามทางปากทางลิ้น นี่ยกตัวอย่างเรื่องกิน ที่จะกลายเป็นเรื่องกินก็ได้ เป็นเรื่องกามก็ได้ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เท่าที่จำเป็นแก่ชีวิต มันก็ทำไปได้ แต่ถ้ามันเกินแล้วเป็นเรื่องกามไปหมด ถ้าเท่าที่จะแก้ปัญหาให้รอดชีวิตอยู่ได้ นี้ก็เป็นเรื่องถูกต้อง มันเป็นเรื่องกินเรื่องจำเป็นที่จะต้องมี ที่ว่าเหลือจากนั้นเป็นความสำราญสำเริง เรื่องกิเลสแล้วก็เป็นเรื่องกามไปหมด
ฉะนั้นจากเรื่องกินก็เป็นเรื่องกาม และหลงใหลกันมาก ยิ่งหลงใหลกันมากขึ้น เพราะการประดิษฐ์มันมีมากขึ้นที่จะเกิดความหลงใหลทางกามนี้ ดูเหมือนว่าไอ้การประดิษฐ์ทั้งหลายแหล่นี้มันจะมุ่งหมายอย่างนี้ไปหมด จนเราไม่รู้ว่านี่เลย นี่เกินความจำเป็นแล้ว เราไม่รู้ ยังคิดว่าจำเป็นอยู่ ยังขาดอยู่ จะมีรถยนต์คันหนึ่งก็ไม่พอ ต้องหลายคันนี้ บ้านก็อยู่ได้มันก็ไม่พอ มันต้องอยู่ไอ้บ้านที่วิเศษขึ้นไป จนกระทั่งว่าแม้แต่ห้องน้ำห้องเดียวก็ราคาเป็นแสน ๆ นี้ก็เป็นเรื่องกาม และเรื่องกามมันมากเข้ามันก็เลยไปถึงเรื่องเกียรติ เรื่องกามเต็มที่ก็เลยไปถึงเรื่องเกียรติ
เราอยากจะมีเกียรติ ที่จริงไอ้เกียรตินั่น มันเป็นความรู้สึกที่เป็นกามชนิดหนึ่งเหมือนกัน เพราะว่าทำให้จิตรู้สึกอร่อย ว่ามีเกียรติ เกียรติอย่างนี้สงเคราะห์ไว้ในเรื่องกาม ทีนี้เกียรติที่จริงไปกว่านั้นก็คือว่า มันจะเป็นคนดีจริง ๆ ทำดีจริง ๆ ให้มันมีเกียรติเพราะเราถูกอบรมให้หลงใหลในเกียรติ เรื่องกิน เรื่องกามนี้มันเป็นเรื่องมาทางโลภะ ราคะนั้นมาก แต่ไอ้เรื่องเกียรตินั้นเป็นเรื่องโมหะได้ด้วย หลงเกียรติจนไม่ลืมหูลืมตานี้ก็มี ก็เลยเป็นเรื่องที่ทำให้ลำบากด้วยเหมือนกัน
ทีนี้ก็ตั้งต้นกันใหม่ ลบไอ้แบบนั้นเสียให้มันเป็นกินอย่างถูกต้อง ไม่เกินเรื่องกามก็ตามที่ธรรมชาติมันต้องการ เช่นการสืบพันธุ์มันก็เนื่องกันอยู่กับกาม มีเรื่องเกียรตินี้เป็นเรื่องความดีที่บริสุทธิ์ ไหว้ตัวเองได้ดีกว่าโดยที่ไม่มีใครต้องรู้ก็ได้ ไม่มีใครต้องรู้ก็ได้ เรามีความดีจนเราไหว้ตัวเองอยู่คนเดียวได้ก็ได้ อย่างนี้เป็นเรื่องเกียรติบริสุทธิ์ ไอ้เกียรติที่มาจากภายนอกนั้นบางทีก็ไม่จริง มันบังเอิญ ทำผิดทำชั่วก็มีเกียรติก็มี ถ้าว่ามันไปในท่ามกลางหมู่คน คนพาลหรือว่าคนวัตถุนิยม ไอ้เรื่องความชั่วกลายเป็นเรื่องเกียรติก็มี กระทั่งถึงที่สุดว่าฆ่าคนได้มากเท่าไรกลายเป็นยิ่งมีเกียรติเท่านั้นก็มี เช่น เขาจะติดเครื่องหมายประดับยศให้แก่นักบินคนหนึ่งที่ยิงเครื่องบินคนอื่นตกเป็นสิบ ๆ เครื่องนี้ มันก็เป็นเรื่องหลอกลวงนะ
นี่ระวังให้ดีว่าเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรตินี้เป็นเรื่องบ้าก็มี เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรตินั่นแหละ ถ้าไม่ถูกต้องให้มันอยู่ในความจริงหรือความถูกต้องได้ก็มี ถ้าว่าควบคุมได้มันก็เป็นเรื่องของธรรมะ ประพฤติธรรมะไป มีกิน ก็มีเรื่องกามารมณ์เท่าที่เหมาะสม จนกว่ามันจะพ้นไปด้วยเรื่องเกียรติที่แท้จริง ก็เป็นเรื่องของธรรมะ เป็นการปฏิบัติธรรมะไปเหมือนกัน คือมันถูกต้อง วัดได้ตรงที่ว่าจิตใจมันไม่ลุ่มหลง มันมีจิตที่สะอาด สว่าง สงบดีอยู่ อย่างนี้เราใช้คำว่า “๓ ส” คือ ส สะอาด ส สว่าง ส สงบ เป็นลักษณะของจิต จะเป็นเครื่องตัดสินได้ดี ว่าเราทำผิดหรือทำถูก ว่าเราทำถูกหรือยัง ถ้าจิตมีภาวะเป็นจิตที่สะอาด คือไม่มีความชั่วก็เรียกว่าถูกส่วนหนึ่ง หรือสว่างคือไม่หลงไม่โง่ไม่เข้าใจผิดนี้ก็เรียกว่าถูกส่วนหนึ่ง และสงบคือไม่ต้องกระวนกระวาย ไม่ต้องเดือดร้อน ไม่ต้องระส่ำระสายก็เรียกว่าถูกอีกส่วนหนึ่ง ก็เลยเป็น ๓ ส สะอาด สว่าง สงบ ใช้เป็นเครื่องวัดก็ได้ ใช้เป็นผลสำหรับเราจะบริโภคเสวยในขั้นสุดท้ายก็ได้
จึงหวังว่าคงจะช่วยกันจำไว้ ๓ คำ ฝ่ายหนึ่งก็เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรตินั่นเป็นตัวปัญหา ถ้าผ่านไปได้ดีก็เป็นความสะอาด สว่าง สงบ แก้ปัญหาได้ รวมความว่าชีวิตนี้มันยิ่งเต็มไปด้วยปัญหาขึ้นทุกที ยิ่งโตขึ้นมานี่มันยิ่งเต็มไปด้วยปัญหาทุกที กำลังจะมุ่งหน้าบากบั่นหรือถลำเข้าไปในดงปัญหาก็ได้ อย่าเข้าใจว่าเรียนมากหรือไปเมืองนอกเมืองนาหรือไปต่อไปนั้นจะเป็นการแก้ปัญหาได้ แก้ปัญหาของเด็กอมมือได้ คือมีเงินใช้น้อยเป็นปัญหา ถ้าหาเงินใช้ได้มากก็แก้ปัญหาส่วนนี้ได้ เป็นเรื่องปัญหาของเด็กอมมือ ก็ต้องการอย่างนั้นเหมือนกัน
แต่ว่าการที่จะมีจิตใจสะอาด สว่าง สงบนี้ ยังอีกเรื่องหนึ่ง ฉะนั้นขอให้เป็นไปในทางนั้น จะเรียนต่อไปหรือจะทำงานต่อไป หรือจะอะไรต่อไปในโลกนี้ จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ขอให้มันเป็นไปในทางที่ถูกต้อง แล้วไปลดปัญหา ถ้ามันเพิ่มความสะอาด สว่าง สงบ มันก็ลดความสกปรก มืดมัว เร่าร้อน ตัวชนะปัญหา ถ้าปัญหามันมากขึ้น โดยเราก็รู้สึกว่าทำไมเดี๋ยวนี้ เรามันจึงมีจิตใจเลว หรือว่าเศร้าหมอง หรือว่าไม่สะอาด ทุจริตมากขึ้น แล้วก็มีความหลงใหลมากขึ้น มีความเร่าร้อนมากขึ้น มันผิดแล้วต้องแก้
ถ้าเราไม่ยอมแก้เราสมัครให้เป็นอย่างนั้น แล้วเราสมัครตกนรกทั้งเป็นนี่ เราสมัครตกนรกทั้งเป็นแล้วใครจะช่วยได้ เดี๋ยวนี้เขาก็มีทางออก คำพูดแก้ตัว เอ้า, ถ้าอยากจะสนุกก็อย่ากลัวความทุกข์ ความยากลำบาก อยากจะมีสุขก็อย่ากลัวความทุกข์ นี้มันเป็นเรื่องแก้ตัวหรือผลัดเพี้ยน ข้าง ๆ คู ๆ ไป ถ้าต้องการความสุข ไม่ต้องกลัวความทุกข์ มันก็ไม่ถูกอยู่ในตัวแล้ว มันขัดกันอยู่ในตัว เพราะความสุขมันไม่ใช่ความทุกข์ ก็ต้องลงทุนเอาด้วยความทุกข์ ถ้ามันแก้ปัญหาเป็นความสุขได้ก็ถูก แต่เดี๋ยวนี้มันยิ่งเพิ่มทุกข์มากขึ้น ให้หลงในความทุกข์มากขึ้น เป็นความเอร็ดอร่อยหลอกตัวเองไปพักหนึ่ง พักหนึ่ง พักหนึ่ง ปัญหาเพิ่มขึ้น จนกระทั่งตาย ก็ไม่แก้ปัญหาอะไรได้
นี่ขอให้ไปคิดดู อย่าเพิ่งเห็นว่ามันเป็นอุดมคติที่มากหรือสูงเกินไป มันอาจจะเป็นพอดีก็ได้ หรือว่าลดลงมาในสัดส่วนที่พอดีก็ได้ แต่มันต้องเป็นอย่างนี้แหละ คือต้องสะอาด สว่าง สงบ เย็นขึ้นเรื่อย ๆ จึงจะเรียกว่าถูกต้อง เดี๋ยวนี้เราก็มาถึงขั้นที่เรียกว่า จะต้องรับผิดชอบตัวเอง ผู้ที่เป็นนักศึกษาเรียนเสร็จแล้ว เริ่มทำงานแล้ว ก็เรียกว่าจุดตั้งต้นใหม่ เผชิญโลกด้วยการรับผิดชอบตัวเอง เหมือนกับตั้งศูนย์ขึ้นมาใหม่ จะเป็นลบ หรือเป็นบวกต่อไปข้างหน้า
โบราณเขาให้บวชเป็นพระเป็นเณรเสียสักพักหนึ่ง เพื่อศึกษาเรื่องเกี่ยวกับจิตใจแล้วก็ออกไปตั้งต้นชีวิตรับผิดชอบตัวเอง คือเป็นครอบครัว ก็เป็นวิธีที่ดี แต่ถ้าว่ามันบวชไม่ได้หรือมันยังไม่จำเป็นจะต้องบวช ก็ต้องทำอย่างเดียวกัน คล้าย ๆ กันคือ ศึกษาเรื่องธรรมะเพิ่มขึ้น สำหรับบุคคลที่มาถึงเหตุถึงวัยที่จะตั้งต้นชีวิตด้วยการรับผิดชอบตัวเอง นี่การศึกษาธรรมะกันบ้างอย่างที่กำลังทำนี้ ตรงกันกับเรื่อง ตรงกันกับไอ้ความประสงค์ของธรรมชาติ ใช้คำว่า “ของธรรมชาติ” ไม่ใช้คำว่า “ของคน” คนนั้นคนนี้ คือธรรมชาติเขามีกฎตายตัวอยู่อย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้นต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าจะไปในทางที่มันดีที่สุด น่าชื่นใจที่สุด แล้วต้องเป็นอย่างนั้น เราก็ไปเลือกเอาเอง
ไอ้เรื่องความผิดนี้มันหลีกไม่พ้นหรอก มันต้องผิดแน่ แต่ว่าอย่าให้มันลึกซึ้งถึงกับว่ามันกลับออกมาไม่ได้ หรือตายไปเลย คนเราจะไม่เคยทำความผิดนั้นมันไม่มี แต่มันผิดชนิดที่ไม่ทำลายหมด มันผิดสำหรับเป็นครู ถ้ามันไม่มีความผิดมันถูกได้เองโดยธรรมชาติ แล้วเราก็ไม่ต้องเล่าเรียน เดี๋ยวนี้เรียนเพื่อจะแก้ความผิด หรืออุปสรรคต่าง ๆ ฉะนั้นความผิดก็เป็นครู อุปสรรคก็เป็นครู เราก็ฉลาด และเราก็ไม่ผิดอีก แล้วก็มีแต่ถูกมากขึ้น ๆ ฉะนั้นความผิดมีแต่หนหลังก็ใช้ให้เป็นประโยชน์เสีย คือให้เป็นครูเสีย ต่อไปข้างหน้ามันก็มีแต่ถูก
การที่จะทำให้ถูก ก็เรียกว่า ธรรมะ ธรรมะแปลว่า หน้าที่ หน้าที่อะไรกัน หน้าที่สำหรับทำให้ถูกต้อง มันก็ไม่มีปัญหา ไม่มีความทุกข์ จึงอยากจะใช้คำว่า “ธรรมศาสตรา” อาจจะแปลก แต่จะมีประโยชน์ ธรรมศาสตรา ศาสตราแปลว่า อาวุธ อาวุธแปลว่า สิ่งที่จะตัดปัญหา นี้ธรรมะก็คือพระธรรมนะ เอาพระธรรมในพุทธศาสนา สำหรับพุทธบริษัท และเอาพระธรรมในศาสนาอื่น สำหรับผู้ที่ถือศาสนาอื่น ให้ทุกคนมีธรรมศาสตราที่แก้ปัญหาข้างนอก เรื่องทำมาหากินนี้เรื่องข้างนอก เรื่องสังคมกับคนทั้งหลายนี้ก็เรื่องข้างนอก ก็ต้องแก้ด้วยธรรมศาสตรา
ทีนี้ปัญหาข้างในเรื่องความโลภ ความโกรธ ความหลงที่มีอยู่ข้างในไม่มีใครรู้นี้ ก็เป็นปัญหาข้างใน ก็ต้องแก้หรือตัดลงไปด้วยธรรมศาสตราเหมือนกัน ฉะนั้นธรรมะจึงมีครบหมด ก็ต้องแก้ปัญหาทั้งข้างนอกข้างในทุกระดับทุกชนิด ขอให้ขวนขวายให้มีธรรมศาสตรา ทีนี้ธรรมศาสตรานี้อยู่ในรูปของวิชาล้วน ๆ ก็มี ธรรมศาสตรานี้อยู่ในรูปของการปฏิบัติ อยู่ในรูปที่ว่าปฏิบัติได้สำเร็จมีความสามารถในการที่จะใช้มันก็มี ความรู้เราก็เรียนได้ ในการปฏิบัตินั้นต้องทำจริง ๆ ความเข้าใจนี้มันก็ต้องยิ่งกว่าความรู้
ฉะนั้นผู้ที่เคยผ่านมาแล้ว ทดสอบมาแล้ว แล้วความไอ้รู้แจ้งแทงตลอดเจนจัดนี้ก็ต้องผ่านมาแล้ว จึงถึงได้รู้ ประจักษ์อยู่ในใจนี้ ความรู้มีหลายชั้นอย่างนี้ ความรู้ในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัยนั้นเป็นความรู้ชั้นแรก คือรู้เพราะจำได้ รู้เพราะเข้าใจ แต่ความรู้แจ้งแทงตลอดต่อชีวิตยังไม่มี เพราะในโรงเรียนไม่ได้สอนเรื่องชีวิต และไม่ได้ปฏิบัติปัญหาชีวิตโดยตรง สอนหลักวิชาเท่านั้น แล้วก็เป็นความรู้ เป็นพวกที่จำได้ เป็นพวกที่เข้าใจ จนกว่าเอาไปใช้แล้วก็เกิดความรู้แจ้งแทงตลอดอีกทีหนึ่ง แต่แล้วความรู้ที่เรียนกันในโรงเรียนในมหาวิทยาลัยนี้ มันเป็นเรื่องข้างนอก เป็นเรื่องเพื่อประโยชน์แก่ชีวิตข้างนอก เป็นเรื่องการเป็นอยู่ไม่ใช่เรื่องข้างใน เรื่องข้างในเป็นเรื่องของธรรมะ ของศาสนา ก็ทำให้มันครบทั้งสองอย่าง ทั้งข้างนอกและข้างใน ทีนี้สังเกตดูมันหลงใหล มันเพ้อละเมอไปแต่เรื่องข้างนอก สุดเหวี่ยงไม่มีหยุด
บรรดาศาสตราจารย์ทั้งหลายนี้รู้แต่เรื่องข้างนอกแล้วก็เพ้อไปถึงขนาดยกหูชูหางก็มี แล้วมันก็จบกันเท่านั้น เขาไม่รู้ว่าข้างในมันยังมีปัญหา ไอ้โลกเป็นโลกที่เลวที่สุดเวลานี้ก็เพราะว่าปัญหาข้างในมันไม่ถูกแก้ ฉะนั้นจะไปทำไอ้ความเจริญข้างนอกปัญหามันก็ไม่จบ ไอ้โลกนี้มันก็เลวยิ่งขึ้นไปอีก โลกแห่งการเห็นแก่ตัว โลกแห่งการเอาเปรียบคนอื่นให้มากที่สุด โลกแห่งต่างคนต่างกอบโกยด้วยอำนาจประชาธิปไตยนี้ มันไปอย่างนั้น แล้วโลกมันจะเย็นลงได้อย่างไร หรือจะดีขึ้นได้ยังไง โลกนี้ก็ยิ่งไม่น่าอยู่มากขึ้น คุณลองไปคิดดู โลกนี้มันน่าอยู่มากขึ้น หรือว่าน่าสั่นหัวมากขึ้น
ไปโลกพระจันทร์ก็ได้ สร้างตึกเป็นพันชั้นก็จะได้ต่อไป แล้วมีอะไร ๆ ที่มันจะวิเศษตามแบบนั้นน่ะ มากมายหลายร้อยเท่าพันเท่า แล้วมันน่าอยู่ขึ้นหรือเปล่า เทียบกับสวนโมกข์ที่มีแต่ก้อนหิน ดูสิ มันน่าอยู่หรือเปล่า อันไหนมันน่าอยู่ เราก็คงจะพบคำตอบได้เอง ว่าเราจะใช้สิ่งเหล่านั้นเพื่อประโยชน์อะไร ว่าจะใช้สิ่งอย่างนี้เพื่อประโยชน์อะไร อันไหนจะช่วยให้ชีวิตนี้สดใส สงบเย็น นี้เขาไปทำกันจนเกินไปหมดไอ้เรื่องทางฝ่ายวัตถุ ฝ่ายร่างกายข้างนอกมันเกิน มันเกินกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ พันเปอร์เซ็นต์ หมื่นเปอร์เซ็นต์ แสนเปอร์เซ็นต์ คือเกินหลายร้อย หลายพัน หลายหมื่น หลายแสนเท่านั้น เกินจนยุ่งไปหมด
ถ้าเราไปดูก็ดูสำหรับสงสาร สำหรับหัวเราะและสงสาร อย่าไปเอากันเข้า มันจะไม่ได้ประโยชน์อะไร แล้วจะหิวเหมือนกับเปรตอยู่ตลอดเวลา คนเหล่านั้นหิวเหมือนกับเปรต เพราะเขาต้องการอยู่เรื่อย ต้องการอยู่เรื่อย คูณความต้องการด้วยกำลังเท่าตัวอยู่เรื่อย มันก็หิวเป็นเปรตอยู่ตลอดเวลา ก็ไปดูหน้าตาของพวกฝรั่งสิ วัตถุนิยมนี้มันจะหิวเป็นเปรตอยู่ตลอดเวลา ไม่แจ่มใส สดใส พอใจในภายในได้ แล้วเขาก็พอใจเหมือนกันว่า เขาได้หิวเป็นเปรตอยู่ตลอดเวลา พอคิดอะไรได้ใหม่ทีหนึ่งก็พอใจกันทีหนึ่ง ฉลองร่าเริงกันทีหนึ่ง แต่หารู้ไม่ว่า ไอ้สิ่งที่คิดได้ใหม่นั้นมันทำลายโลก ทำลายมนุษยชาติ นั้นคือทำบาปโดยไม่รู้ตัว
อาตมาพูดอะไรไม่เป็น นอกจากพูดตรง ๆ แล้วก็พูดตามที่พุทธศาสนามีไว้อย่างไร จึงพูดอย่างนี้ จะผิดหรือถูก จะเอาหรือไม่เอาก็ตามใจ ทุกคนมีอิสระที่จะเลือก แต่ขอร้องอยู่อย่างเดียวว่า จงเลือกไปให้พบทิศทางที่มันสงบ และเย็น และหยุด หยุดความบ้าหลัง นั่นน่ะคือการศึกษาโลก ศึกษาชีวิตตามหลักของพุทธศาสนา ซึ่งเป็นหลักของธรรมชาติ ไม่ใช่พระพุทธเจ้าท่านว่าเอาเอง บังคับเอาเอง บัญญัติเอาเอง มันเป็นกฎธรรมชาติที่แน่นอน ที่ท่านค้นพบพิสูจน์ทดลองมาเสร็จแล้ว ว่าอย่างนี้เท่านั้น หัวใจของคนเราจะหยุด จะเย็น จะสงบ มันก็มีไว้ให้ ในการปฏิบัติ เป็นรูปโครงของการปฏิบัติ อย่างที่เราพูดกันมาแล้ว และได้แนะนำกระทั่งถึงว่าจะฝึกจิตอย่างไร ก็คือฝึกตัวเองอย่างไร ควบคุมตัวเองอย่างไร
ถ้าสรุปแล้วก็แบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภท เราฝึกจิต ควบคุมจิต อะไรจิตก็ตาม เมื่อมันมีสิ่งแวดล้อมเข้ามาเผชิญหรือกระทบกระทั่ง จากภายนอกนี้อย่างหนึ่ง ทีนี้อีกอย่างหนึ่งก็คือว่าไม่มีสิ่งแวดล้อมภายนอกมากระทบกระทั่ง เป็นเรื่องภายในล้วน ๆ แล้วเราจึงศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมะสำหรับต่อต้านกันกับไอ้อารมณ์ที่จะมากระทบทางตา ทางหู เป็นต้น จากข้างนอก เช่น เราจะพบเห็นแต่สิ่งที่ไม่น่าดู หรือว่าได้ฟังเสียงด่า ได้ฟังอะไรต่าง ๆ นานา กระทั่งศัตรูเข้ามาเผชิญกับเรา นี่เรียกว่าข้างนอก ปัญหาข้างนอก เราต้องปฏิบัติเพื่อต้อนรับปัญหาข้างนอกให้ถูกต้องด้วย ซึ่งมันก็เป็นเรื่องขั้นต้นอยู่มากเหมือนกัน ก่อนแล้ว เพราะเราเกิดมาเราก็ต้องพบกับสิ่งนี้ก่อนแล้ว พอคำด่ามาเราจะทำอย่างไร คำสรรเสริญมาเราจะทำอย่างไร หรือว่าคนเขาข่มเหงเรา รุกรานเรา เอาเปรียบเราเราจะต้องทำอย่างไร นี้ก็ต้องฝึกนะ ดำรงสติดีแล้วก็แก้ไปให้ถูกต้อง
ทีนี้เมื่อสิ่งเหล่านั้นมันไม่มี ไม่มีแล้ว ปัญหาเหล่านั้นไม่มีแล้ว เราก็ยังมีปัญหาข้างในที่ว่า เรามันหิวอะไรก็ไม่รู้ เรากลัวอะไรก็ไม่รู้ เรามืดมนไม่รู้ว่าอะไรมันดีที่สุด บางทีเราก็นอนสะดุ้ง เราก็ไม่รู้ว่าต่อไปในอนาคตหรือถ้าเราเชื่อเรื่องชาติหน้าว่ามันจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ นี้ความวิตกกังวล สงสัย ไม่มีความหยุดในทางจิตใจนี้ ก็รบกวนอยู่ข้างใน นี้ก็เป็นอีกซีกหนึ่ง ซึ่งจะต้องรู้และมีการปฏิบัติให้ได้ ทีนี้การปฏิบัติฝึกจิตนั้นก็ฝึกให้พร้อม ที่มันจะแก้ปัญหาทั้งข้างนอกและข้างใน ถ้าจิตอบรมดีแล้วมันทนได้ สู้ได้ ยิ้มได้ หัวเราะได้ ในสิ่งที่ว่าเรามันบังคับกันไม่ได้ แล้วเราสามารถจะแก้ไขไอ้สิ่งเหล่านั้นให้มันดีที่สุดได้ ถ้าเราบังคับจิตของเราได้
แต่นี้เรามักจะเป็นคนที่ไม่มีการบังคับจิต อะไรเข้ามาก็โกรธแล้ว หงุดหงิดแล้ว หรือว่ารักแล้ว หรือเกลียดแล้ว หรือกลัวแล้ว นี้เป็นต้น เป็นคนมีจิตไม่สมประกอบ เพราะไม่ได้รับการฝึกที่ดี เป็นจิตที่ไวต่อความโลภ ความโกรธ ความหลงเกินไป มันก็มีปัญหามากคือ มีความทุกข์มาก ทีนี้ข้างในก็พยายามทำไปเรื่อย ๆ ผู้มีจิตฝึกดีแล้วมันก็รู้ว่าอะไร ๆ ๆ ก็ไม่ควรจะไปยึดมั่น ถือมั่น คือสำคัญมั่นหมาย ในทางที่จะให้มันเป็นไปตามไอ้ความต้องการของเราไปเสียทั้งหมด หรืออีกอย่างหนึ่ง เราก็ปรับไปทางที่ว่าเราจะไม่ต้องการนี่ เราปรับความต้องการที่จะให้ต้องการแต่ที่ควรต้องการ หรือจำเป็นจะต้องการ เราก็ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าที่มันจะทรงความสงบอยู่ได้ ดังนั้น สิ่งทั้งหลายมันก็เป็นไปตามเรื่องของมันก็ได้ เราก็หัวเราะได้อยู่เรื่อยไป นี่ข้างในมันก็ยิ้มอยู่ได้ หัวเราะ ไม่กลัว ไม่เศร้าหมอง ไม่กลัว ไม่หวาดเสียว ไม่อะไรไปหมด นี่ก็มีอุปมาเหมือนกับยิ้มอยู่เรื่อย
อาตมาก็เคยใช้คำนี้ว่า ให้มันเป็นการยิ้มอยู่เรื่อยตลอดนิรันดร มันเป็นลักษณะของธรรมะหรือของพระนิพพาน ที่ว่ามัน จิตได้บรรลุแล้ว มันจะมีอาการยิ้มอยู่เรื่อยตลอดนิรันดร แต่ก็มี อันนี้ก็ได้ยินว่ามีคนแต่งหนังสือบ้า ๆ บอ ๆ เพื่อล้อไอ้คำว่า “ยิ้ม” ยิ้มตลอดกาลนี้ก็มีเหมือนกัน นี่เขาเอาไปนั่นกันเข้า แล้วก็ มันก็จะกลายเป็นของขัน หรือน่าหัวไปก็ได้ ไอ้ Perfecial Smile นี่ (นาทีที่ 45.05, ไม่แน่ใจ) ก็มีคนแต่งหนังสืออย่างนี้ขึ้นมา แต่เป็นเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ ไอ้เรื่องนิพพานของเรานี้มันยิ้มอยู่ได้ตลอดนิรันดรเพราะไม่มีความทุกข์ แล้วไม่ต้องยิ้มให้ใครเห็นก็ได้ เดี๋ยวเขาจะหาว่ามันเป็นคนบ้า หัวเราะเรื่องยิ้มเรื่อย เดินยิ้มอยู่คนเดียว แต่ที่จริงมันเป็นอย่างนั้น จิตที่จัดไว้ดีแล้ว มันจะมีความรู้สึกเหมือนว่ายิ้มอยู่เรื่อย คือพอใจอยู่เรื่อย ไม่มีอะไรที่ทำให้เป็นทุกข์ได้ นี่ฝึกจิตถึงที่สุดแล้วมันไปถึงนั่นแหละ ไปถึงระดับที่ยิ้มอยู่เรื่อย เป็นอมตะ
นี้เวลาของเรามีน้อยเท่านี้ พอจะพูดกันได้ห้าหกครั้งนี้ ก็พูดแต่เท้าเรื่องโดยรายละเอียดเข้าไป เพิ่มเติมไปเสาะแสวง มันไม่ยากนะ เค้าเรื่องให้มันถูก โครงเรื่องให้มันถูก โครงเรื่องของชีวิต มันจะเป็นทุกข์อย่างไร จะไม่เป็นทุกข์อย่างไรนี่ ให้มันพบ ให้มันจับเค้าโครงให้ได้ หรือว่าเรามีปริทัศน์ต่อสิ่งเหล่านี้แล้ว ถูกต้องแล้ว ต่อไปก็คงจะเป็นไปในทางทีดีขึ้น ๆ นี่ขอให้เป็นอย่างนั้น
ทีนี้ก็ขอจบลงด้วยคำที่พระพุทธเจ้าท่านจบไอ้พระดำรัสของท่าน คือคำที่ท่านตรัสแล้วท่านก็นิพพานไป เป็นการสั่งไว้ในโลกนี้ เหมือนกับพินัยกรรมตลอดกาลของท่านเขียนไว้ ว่าไอ้สิ่งทั้งปวงมันมีแต่ความเปลี่ยนแปลง คือว่าสิ่งที่เกี่ยวกับเราทุกสิ่งมันมีแต่ความเปลี่ยนแปลง จะไปเอาสำคัญมั่นหมายให้มันเที่ยงให้มันแน่นอนไม่ได้ ดังนั้น ระวังให้ดีอย่าประมาท ท่านสั่งว่าอย่างนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง ระวังให้ดี อย่าไปทำประมาทกับมัน เป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว ไอ้ความเปลี่ยนแปลงของสิ่งทั้งปวงทำอะไรเราไม่ได้ พอเราประมาทแล้ว ไอ้ความที่สิ่งทั้งปวงมันเปลี่ยนแปลงมันจะบดขยี้หัวใจเราให้เป็นนรก เป็นอะไรไปเลย ท่านสั่งไว้อย่างนี้ หวังว่าทุกท่านนี้ได้ระลึกไว้ ประจำใจเสมอไป อย่าได้ประมาทเลย
ในการทำประโยชน์ตัวเองก็ดี ในการทำประโยชน์ผู้อื่นก็ดี อย่าได้ประมาทเลย ประโยชน์ตัวเองนี้ถ้าทำถูกวิธีแล้วมันสำเร็จลงไปได้โดยง่าย แล้วชีวิตมันยังเหลือนะ ยังไม่ตาย มันก็เป็นเรื่องของผู้อื่น ช่วยผู้อื่น เป็นประโยชน์ผู้อื่น ถ้าอย่างไรเสียก็ขอให้ได้ถึงอย่างนี้ ให้มันมีชีวิตในอนาคตขั้นปลาย ๆ นี้ เหลืออยู่สำหรับผู้อื่นบ้าง หรือมากที่สุดก็ยิ่งดี อย่างพระพุทธเจ้าเอง ท่านว่าเดี๋ยวนี้เราพ้น พ้นแล้ว คือชนะแล้ว ถึงที่สุดแล้วจากบ่วง หรือปัญหา ทั้งที่เป็นอย่างของมนุษย์และอย่างของเทวดา ถึงพวกเธอทั้งหลายก็เหมือนกัน คือท่านตรัสกับสาวกของท่านที่เป็นพระอรหันต์ ว่าพ้นแล้วหรือว่าแน่นอนว่าพ้นแล้วจากบ่วง ทั้งที่เป็นของมนุษย์หรือเป็นของเทวดา ก็แปลว่าเรื่องของเราหมดจบ ทีนี้ไป ๆ ๆ เพื่อประโยชน์ผู้อื่นทั้งมนุษย์และเทวดา
ใบประกาศระบบการประพฤติปฏิบัตินี้ที่เรียกว่าพรหมจรรย์นี้ให้น่าดู ทั้งตรงเบื้องต้น ตรงกลาง และเบื้องปลาย นี้เพื่อประหยัดแรงงานให้ได้ผลมาก นี่เธอไปคนเดียว ๆ อย่าไปถึงสองคน เพราะมี ๖๐ คนเท่านั้น ที่ไปคนเดียว ๆ ก็จะได้ถึง ๖๐ ทิศทาง นี่ท่านขอร้องวิงวอนถึงขนาดนี้ ว่าเห็นแก่ผู้อื่น เมื่อหมดเรื่องของตัวแล้วก็ไป ๆ อย่าอยู่นิ่ง พระสาวกทั้งหลายก็ไปคนละทิศ คนละทาง ไม่เดินคุยกันไปสองคน เสียเวลา แรงงาน ก็ทำประโยชน์ได้มาก
ขอให้ถือหลักเกณฑ์อย่างนี้ไว้ว่า ไม่ประมาทแล้วเป็นอย่างนี้ ให้เสร็จหน้าที่ของตัวเสียก่อนตาย เหลือนั้นก็ให้ผู้อื่น หรือว่าถ้าเราจะมาตัดทอนลงอีกทีหนึ่งว่า ไอ้เรื่องนี้ กรณีนี้เราชนะแล้ว เราก็บอกผู้อื่น สอนผู้อื่น เฉพาะเรื่องนี้ กรณีนี้ก็ได้ ไม่ใช่ว่าเราจะหมดปัญหาทุกอย่างก่อนแล้วจึงจะช่วยเหลือผู้อื่น ปัญหาใดเราหมดแล้ว ปัญหานั้นเราช่วยผู้อื่นได้ เพราะเราฉลาดพอแล้วที่จะช่วยผู้อื่นได้ในปัญหานั้น ๆ อย่างนี้เรียกว่าสอนเขาไปพลาง ช่วยเขาไปพลาง แล้วการสอนนั้นมันมาเพิ่มให้เรารู้มากขึ้นเหมือนกัน อย่างที่มีหลักไว้ว่าเมื่อเราสอนคนอื่นนั้น เราอาจจะรู้แจ้งในเรื่องนั้นยิ่งขึ้นไปอีก จนบรรลุพระอรหันต์ เพราะเราสอนคนอื่นก็มี เพราะเราฟังจากคนอื่นแล้วรู้แจ้งเป็นพระอรหันต์ก็มี หรือเรามาคิดมานึกอยู่เรารู้แจ้งเป็นพระอรหันต์ก็มี แต่ที่น่าประหลาดหรือไม่น่าเชื่อ ก็ตรงที่ว่าเรากำลังพูดให้ผู้อื่นฟังอยู่ เราเป็นพระอรหันต์เสียเองก็มี ฉะนั้นก็มีได้
ถ้าเราเป็นคนไม่ประมาท คือเราคิดอย่างสุขุม ละเอียด รอบคอบ ด้วยความไม่ประมาท เพื่อจะพูดให้เขาเข้าใจง่าย เรากลับเข้าใจกว่า เข้าใจก่อน เข้าใจล่วงหน้าไป เราเป็นผู้บรรลุธรรมะนั้น ผู้ฟังยังไม่ได้บรรลุเลย อย่างนี้เป็นของธรรมดามีได้จริง อาตมาก็รู้สึกอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ว่าพูดในที่นี้กับท่านทั้งหลายนี้ ก็ต้องนึกมากอยู่ตลอดเวลา คือนึกมากกว่าจึงจะพูดได้ มันก็มีผลดีแก่ตัวเองผู้พูด ทีนี้ท่านทั้งหลายก็เหมือนกัน เมื่อจะต้องไปพูด ไปถกไปเถียงก็อย่า อย่าเอาแต่หัวเราะร่วน พูดเล่นพูดหยอกกันเสียเรื่อย ทุกคนก็ตั้งใจทำให้ดีที่สุด คิดนึกด้วยความไม่ประมาทแล้วพูดออกไปหรือว่าฟังก็ตาม จะมีความก้าวหน้าในทางธรรม รู้จักใช้พระธรรมเป็นเครื่องแก้ปัญหา
ทำอย่างนี้ชื่อว่าเชื่อพระพุทธเจ้า ทำตามพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เชื่ออาตมา คำอาตมาสอน เพราะว่าได้เอาคำของพระพุทธเจ้ามาพูด เอาหลักการของพระพุทธเจ้ามาพูด วิธีการที่พระพุทธเจ้าท่านวางไว้มาแสดง ฉะนั้นก็ขอให้เชื่อ อย่างน้อยก็เชื่อสำหรับเอาไปพิสูจน์ ทดลอง แม้จะไม่เชื่อฮุบเข้าไป เป็นเชื่ออย่างงมงายก็เชื่อเอาไปพิสูจน์ทดลอง แต่เพราะเหตุที่ว่าไอ้สิ่งต่าง ๆ ที่ได้พูดไป มันแสดงอยู่ในตัวแล้ว ที่เชื่อได้ก็มีเยอะไป มีมาก ก็เป็นอันว่า เราจะหวังเอาระบบของพระพุทธเจ้ามาเป็นระบบดำเนินชีวิต สิ่งนั้นคือพระธรรม และตัวเราก็คือพระสงฆ์เพราะเราเป็นผู้ปฏิบัติตาม ฉะนั้นทั้งพระพุทธ ทั้งพระธรรม ทั้งพระสงฆ์ก็เป็นตัวเรา ขอให้ยึดมั่นในความเป็นอย่างนี้ แล้วก็ขอให้มีความเจริญงอกงามในพระพุทธศาสนา ขออำนวยพรให้ท่านทั้งหลายทุกคน ได้เข้าถึงความจริงข้อนี้ แล้วก็มีการกระทำชนิดที่เรียกว่ามันลากของมันไปในตัวมันเองนี่ด้วยความเจริญก้าวหน้าในทางของพระพุทธศาสนา โดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยข้างนอก เช่น ผีสางเทวดา เป็นต้น นี้ความเจริญในพระพุทธศาสนา และความเชื่อมั่นคงเลื่อมใสในพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่เสื่อมคลายอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ขอยุติการบรรยายครั้งสุดท้ายอย่างนี้
(นาทีที่ 54.05 เทศน์เรื่องใหม่) เขาก็พาไปดูเรื่องบ้าน เรื่องเมือง เรื่องอาชีพ อาตมาก็แนะวัดสมุหนิมิตร สวนโมกข์คู่กัน สวนโมกข์ร้างก็เขายกไปวัดสมุหนิมิตร สร้าง ๔ เดือนเสร็จสมัยเผด็จการ ศึกษาในแง่โบราณคดีก็ได้ ในแง่ศิลปะก็ได้ ในแง่ธรรมะก็ได้ ถ้าไปดูวัดสมุหนิมิตรศึกษาในแง่โบราณคดีว่า โบราณนั้นเขาสร้างวัดกันอย่างไร พยายามศึกษาหน่อย ศึกษาแผนผัง มันมีหมู่กุฏิข้างบน จะเรียกว่า กุฏิเจ้าอาวาสหรือพระเณรที่จะอยู่ในการควบคุมของเจ้าอาวาส เอาหินมาจัดอย่างนี้ก็ได้ เป็นบริเวณหนึ่งแล้วก็สร้างที่อยู่อาศัยรอบตรงกลางเว้นว่างไว้ แบบกรุงเทพฯ ก็ยังมีเดี๋ยวนี้ นี้ก็เป็นกุฏิเล็ก ๆ ๆ ๆ ไปอยู่ริมวัด สำหรับคนที่จะทำกรรมฐานวิปัสสนา หรือพระที่ว่ามันอายุมากแล้ว คุมตัวเองได้แล้วก็ไปอยู่อย่างนั้น พระเณรพึ่งบวชก็อยู่กับอาจารย์ มันก็จะต้องมีไอ้เรื่องต้นไม้ เรื่องสระน้ำ จะต้องมีกระทั่งไอ้ถ้ำจำลอง เหมือนที่อยู่ก่อนนี้เป็นถ้ำไปเอาหินจากทะเล ทำเป็นรูปถ้ำภูเขาเล็ก ๆ ก็ไปนั่งที่นั่นได้ มีลักษณะเหมือนกับว่าเป็นที่บอกสอนกรรมฐานอย่างนี้ สมัยโบราณถ้าจะบอกกรรมฐานเขา ผู้บอกนั่งข้างนี้ ผู้ฟังรับก็นั่งทางโน้น หันหลังให้กัน แล้วก็หลับตาพูด หลับตาฟัง บอก ลักษณะอย่างนั้นดูยังเหลืออยู่ที่ถ้ำนั้น แต่กำลังยุบ พังลงไป
ถ้าว่าหนุ่มๆ ก็ขอเปิดประตูเข้าไปดูข้างใน ตู้ลายทองยังมีอยู่หลายใบ ก็ชั้นดีเหมือนกันนะ ตู้รดน้ำลายทองเอาไปจากสวนโมกข์ จากวัดตระพังจิกก็มี ที่ว่าสั่งมาจากกรุงเทพฯ หรือจากไหนในคราวสร้างวัดก็มี ตัวหนังสือหนังหาตำรับตำราใบลานนี้ เป็นของที่เอาไปจากวัดเก่า ตัวนี้ นี้เรียกว่าจะดูในแง่โบราณคดี ว่าเขาสร้างวัดกันอย่างไร วางแผนผังวัดอย่างไรจึงได้ประโยชน์ ก็ดูศิลปะดูอะไรตามเรื่อง
มันมีซากเจดีย์ที่กล่าวถึงสมัยศรีวิชัยอยู่แน่นอน เพราะอิฐแบบนั้นมันมีอยู่ หรือส่วนที่ยังเป็นติดตึกอยู่ก็มี ต่อมามีคนไปสร้างพระเจดีย์องค์ที่อยู่ปัจจุบันนี้สวมทับลงไป เชื่อว่าเป็นสมัยอยุธยา คือสมัยที่นิยมสร้างพระด้วยหินทรายแดงของภูเขานี้ไปทั่วไปหมด ทั่วทั้งอำเภอทั้งเมือง คงถือโอกาสสร้างพระเจดีย์นี้ เขาถือโอกาสไปเจาะให้เป็นถ้ำ สร้างพระบาทอะไร ๆ ด้วย ยุคเดียวกัน ราวสี่ห้าร้อยปีคือยุคอยุธยา ดังนั้น เจดีย์องค์นั้นเป็นยุคอยุธยา ไอ้รูปร่างศิลปะอะไรมันก็บอกว่ายุคอยุธยา
ที่สวนโมกข์ก่อนนี้เรียกว่า วัดตระพังจิก คำว่า “ตระพัง” นี้เป็นภาษาสุโขทัย ไทยอยุธยา ตระพังคือบ่อน้ำขนาดใหญ่ที่ขุดขึ้น มันจะเป็น เดี๋ยวนี้เรียกว่า แท็งค์ คำว่า “แท็งค์” ตรงกับคำว่า “ตระพัง” สำหรับประชาชนทั้งเมืองจะไม่อดน้ำ แล้วก็มักจะมีการจัดไสยศาสตร์อะไรอยู่ด้วย อันนี้มันสะดวกแก่การปกครอง สมัยโน้นก็ต้องมีเราอย่าไปว่าเขา ก็ต้องทำให้เป็นสระศักดิ์สิทธิ์ ปักหลักเสาอินทขิลหรืออะไรก็ตามใจอยู่กลางสระ เป็นไม้แก่นอย่างดี กลึงหรือจะหายมันผุกร่อน เมื่ออาตมาไปมันยังเหลือตออยู่ เลยไปให้ถึงแหลม เขาเรียกว่า ถ้าทางฝ่ายนี้เขาเรียกว่า แหลมตรัง หรือแหลมกรังนะ ฝ่ายโน้นเขาเรียก แหลมโท ฝ่ายแหลมตรังนี้เป็นที่รวบรวมอาวุธยุทธภัณฑ์ ทหารเสบียงนี้เรือเข้าไปรบเมืองข้างใต้ เมืองนครศรีธรรมราช เมืองกลันตัน ก็แล้วแต่ว่ามันจะต้องไปที่ไหน แต่ตรงจุดนี้เป็นจุดสำคัญอันหนึ่ง
เป็นที่รับเจ้านายเสด็จตอนหลัง สมเด็จกรมพระยาวชิรญาณเสด็จมาที่นั่น ที่สุดถนนก็สร้างพลับพลา อาตมาจำความได้ อายุเท่าไรก็บอกไม่ได้ คงจะแค่ ๆ นี้ ตอนนั้นอาเขาบวชเป็นพระอยู่ อาตมาก็ยังเป็นเด็ก ๆ ตามไปดูด้วยบนพลับพลานี้ เสด็จมาเรือไป กรมสมเด็จพระยาวชิรญาณ เขาสั่งให้ทำถนนเส้นนั้นขึ้นมาถึงวัดพระธาตุเพื่อท่านเสด็จ ถ้าไม่อย่างนั้นถนนเส้นนี้ก็ยังไม่เกิด หรือว่ามันต้องเกิดแน่ ๆ แสดงว่าเดี๋ยวนี้เพราะท่านจะเสด็จ หรือท่านคล้าย ๆ ว่าจะทำถนนเส้นนี้ หามท่านมาจากริมทะเล มาถึงวัดพระธาตุนี่ ก็เลยท่านให้ชื่อว่าถนนสายวัดพระธาตุ เดี๋ยวนี้ไม่เรียกแล้ว เรียกถนนอะไรก็ไม่รู้ ถนนหลวงรักษ์นรกิจหรืออะไร ถนนเส้นนี้
พระธาตุซ่อมครั้งหลังนี้ เจ้าคุณชยาภิวัฒน์ทีหลังนี่ทีหลัง พระธาตุนี่มันมี พ.ศ. เขียนอยู่ราว ๖๐ กว่าปี อ๋อ คงจะก่อนสิ เพราะว่าท่าน ท่านยังเสด็จมาที่นี่ แล้วท่านจำเจ้าคุณชยาภิวัฒน์ผู้ซ่อมพระธาตุได้ แล้วมันก็เสร็จแล้ว ก็ต้องซ่อมก่อน ท่านเจ้าคุณชยาภิวัฒน์ท่านเล่าให้ฟัง ว่าคำแรกที่สมเด็จกรมพระยาฯ ทักท่านว่า เอ้า, อยู่นี่ หนีฉันไป คือว่าไปเรียนกรุงเทพฯ แล้วก็ไม่สำเร็จ ท่านหนีมา ท่านเลยเรียกอย่างนี้ เจ้าคุณชยาภิวัฒน์นี่ท่านไม่ได้สอบไล่ คือสอบตก มีคนแกล้งถ่วงให้ท่านตก ให้แปลเพียง ๓ หน ไอ้มันเป็นเรื่องแกล้งหรือเป็นเรื่องบ้าบอก็ได้ สุสานโคปิกา ท่านก็แปลว่า หญิงผู้เฝ้าซึ่งป่าช้า เท่านี้ก็ยังเอาผิดได้ คือไม่แปลว่า หญิงผู้คุปะ มันแปลว่า คุ้มครอง คุปะ นะ ปกป้องรักษา ท่านก็เฝ้าแสดงว่าเฝ้า มันเหลือเกินน่ะสมัยนั้น ถ้าอย่างสมัยนี้ไม่เป็นไรแล้ว อย่างนั้นดีแล้วถูกแล้วได้แล้ว เรียกว่า คนเฝ้าป่าช้านี่ไม่เอา ต้องไปเอาผู้ปกครอง ก็คุปะมันแปลว่าปกครอง คุ้มครอง สุสานคุปิกา สุสานโคปิกา คุปะ แหละ คุ้มครอง คือรักษา ถ้าแปลมาเป็นไทยว่า มันมาเฝ้า ท่านโมโหนะ ท่านคืนหนังสือเลยไม่อยากแปล ยอมตก
สมเด็จกรมพระยาฯ จำท่านได้ก็เลยทัก ว่าหนีฉัน ๆ มาอยู่ที่นี่ แปลหนังสือก็ได้ยินว่าดี
...(นาทีที่ 63.08, คนพูดเสียงเบาไม่ได้ยิน)
ไม่ใช่ ๆ ขอ ปรารภว่า อาตมาควรจะช่วยเขียนหรือทำหลักสูตรศีลธรรมสำหรับนักเรียน ก็ไม่ได้รับว่าจะทำให้ แต่รับว่าจะพิจารณาดูถ้าทำได้ คือมันรู้ตัวเองว่าทำไม่ได้ เพราะว่าถ้าเราทำแล้วมัน มันเหมือนกับลูกระเบิด จะไปทำฉิบหายหมดเลย แล้วเขาคงไม่เอาด้วย ทีแรกขอดูหลักสูตรก่อน ก็จะดูก่อน ถ้าทำอย่างที่เขาทำกันอยู่เวลานี้ ที่เรียกว่าดีแล้วก็ทำไม่ได้ เขาก็ใช้กันอยู่นี่ไม่ใช่ไม่มีใช้ หนังสือชุดศีลธรรม จริยธรรมนี้ก็มีอยู่หลายบริษัทที่ทำขึ้น รวมของไทยวัฒนาพานิชด้วย คุณแปลก สนธิรักษ์ ทำ ก็ใช้ได้อยู่ จะไปทำให้ดีกว่านั้น ถ้าให้ทำตามชอบใจอาตมา คงใช้ไม่ได้ เขาคงไม่รับ
...(นาทีที่ 64.32, คนพูดเสียงเบาไม่ได้ยิน)
ถ้าที่ว่าคล้ายกันที่สุดก็จะอยู่ที่ชวา ที่ยังเหลืออยู่ ในประเทศไทยไม่มี ก็มีที่วัดพระธาตุ ที่วัดพระแก้ว เพียงแต่สันนิษฐานว่าเมื่อยังดีๆ อยู่ อาจจะเป็นอย่างแบบนี้ก็มีอยู่ที่นครศรีเทพ แล้วก็เพชรบูรณ์ ไม่เคยไปอาตมาไม่เคยไปได้ยินเขาว่า ไปดู การก่ออิฐไม่มีปูนสอ มีที่นครศรีเทพ แล้วเจดีย์ที่พังนั้นเข้าใจว่า คงจะเป็นแบบเจดีย์ไม้สิบสอง แบบวัดพระธาตุ เป็นเจดีย์ไม้สิบสองแต่ไม่ได้ทำให้มันมียอดข้างบนมาก ก็ไม่ใช่ศรีวิชัยแท้ เจดีย์ไม้สิบสองนี้พอจะหาดูได้หลายๆ แห่ง ที่คล้ายกว่าเพื่อนก็เจดีย์ป่าสักที่เชียงราย ก็เรียกว่าเจดีย์ป่าสักไม้สิบสองทรวดทรงแบบนี้ แต่มันไม่มียอดมากแบบนี้ มีเจดีย์แบบสุโขทัยเหลืออยู่มาก เจดีย์แบบศรีวิชัยนี้มันพังทลายไปหมดแล้ว แต่ว่ารอบ ๆ อ่าวบ้านดอนนี้มีเจดีย์ไม้สิบสองมากที่สุด เพราะเขาก็ถ่ายแบบพระธาตุไว้
...(นาทีที่ 66.02, คนพูดเสียงเบาไม่ได้ยิน)
ก็ต้องเรียกว่าบรรจุพระธาตุ เราเปิดดูไม่ได้ เราเปิดดูมันก็พังหมด เขามีหลักว่าสร้างพระเจดีย์แบบนี้ก็ต้องตั้งต้น ด้วยการวางหีบศิลาบรรจุพระธาตุ หีบหลาย ๆ ชั้นบรรจุพระธาตุลงที่พื้นดิน แล้วก็ก่ออุโมงค์หุ้มอันนั้นขึ้นมาเรื่อย จนกระทั่งถึงพื้นจนกระทั่งถึงพระเจดีย์ แล้วก็มีรูเล็ก ๆ ที่ให้ทะลุเพื่อระเหยอากาศ อย่าให้ของข้างในมันเสียเร็ว ถ้ามันเป็นตันทั้งองค์ ก็ต้อง... (นาทีที่ 66.44, ฟังไม่ออก) ยอด ถ้าไม่ตันข้างในมันเป็นคูหาก็ทะลุขึ้นมาถึงนี้เลย คูหา พระธาตุนี้มี ๒ รู ทะลุลงไปข้างล่าง วากว่า ๆ ข้างล่าง ที่กลวงอยู่ ใช้ลูกดิ่งผูกด้ายหย่อนไปมันจะมีวากว่า ๆ ถ่วงอยู่ถึงน้ำ แล้วก็เชื่อว่าในนั้นจะมีหีบ บรรจุพระธาตุอยู่ที่นั่น
ต่อมาไอ้พันกว่าปีนี้ ไอ้ลำแม่น้ำใหญ่นี้มันพาตะกอนมาเรื่อย ทรายเรื่อย สูงขึ้น ๆ ทั่วไปทั้งบริเวณทั้งตำบล ไอ้ของนี้มันก็ต้องลดลงไป ๆ ไม่ใช่ลดลงไป มันสูงขึ้น จนระดับน้ำมันก็ต้องตามไอ้แผ่นดินขึ้นมา ก็เลยท่วมส่วนที่เป็นพระธาตุเดี๋ยวนี้ ถ้าว่าเป็นอยู่ใกล้แม่น้ำใหญ่ แม่น้ำเขิน จนแม่น้ำหายไปอย่างนี้ก็สูงเป็นเมตร ๆ สองเมตร สามเมตร สี่เมตรนี้ พระธาตุนี้ลำบาก เพราะว่าแผ่นดินมันได้สูงขึ้น มันจึงต้อง ไอ้การซ่อมข้างหลังจึงต้องทำเป็นคูไว้ นั้นไม่ใช่คู นั้นคือว่าจะลอกให้เห็นว่าทีแรกมันอยู่ที่โน่น แล้วก็ดินสูงขึ้นมาสักสองเมตร ถ้าไปดูพระเจดีย์ที่สร้างรุ่นเก่าตามแบบนี้ ตามแบบอินเดียจะเป็นอย่างนั้น ที่วัดอุโมงค์ สวนพุทธธรรมใช้ชื่อหนึ่งก็เป็นอย่างนั้น ทั้งที่เป็นเจดีย์รุ่นสุโขทัย รุ่นลังกา ก็มีซุ้ม มันมีโค้งอุโมงค์มีหินมีศิลา คนเขาขุดเจาะเขาพังหีบนั้น ที่พูดกันว่าเอาทองคำไปหลายหาบ ในหีบนั้น ก็จะมีผู้บริจาคทองคำ เมื่อวันบรรจุ เมื่อวันจะปิดนี้ เพื่อจะบูชาพระธาตุ คือวางไว้ข้าง ๆ ผอบพระธาตุ เรียกบูชาพระธาตุ แล้วก็ปิด สมัยศรีวิชัยอาจจะไม่บูชาทองคำอย่างนั้นมาก สมัยต่อมามากจึงถูกทำลายหมด พระเจดีย์ถูกทำลายหมด เพราะคนเขาเคยพบเขาก็เคยรู้ เอ้า, มันมีทองคำ ถ้าเป็นเจดีย์แบบนี้ขุดเอาเลย ถ้าพระธาตุบรรจุไว้ที่ตรงไหน ไอ้ทองคำจะวางอยู่ข้าง ๆ ที่ตรงพื้นดินสมัยโน้น จะไว้ที่ยอดก็จะมีบ้าง
...(นาทีที่ 69.30, คนพูดเสียงเบาไม่ได้ยิน)
ไอ้เรื่องอย่างนี้มันก็ไม่ควรจะไปพิสูจน์ให้เป็นของไม่จริง เป็นผลร้ายมากกว่าผลดี แต่เขาก็มีทางออกว่า พระเจ้าอโศกรวบรวมพระธาตุไปได้ ๘๔,๐๐๐ แห่ง แล้วเขาก็จะแจกไปตามที่ส่งไปเผยแผ่ศาสนา มันก็คงจะมากอยู่เหมือนกัน และอีกทางหนึ่งที่มันออกได้ง่ายก็ว่าพระธาตุเป็นของปาฏิหาริย์ ถ้าพระพุทธเจ้าท่านอยากจะไปอยู่ที่ไหน ก็บันดาลให้ไปอยู่ที่นั่น คนเขาได้พระธาตุเพราะปาฏิหาริย์ เชื้อเชิญ กล่าวคำเชื้อเชิญอยู่ทุกวันทุกคืน จนมันมามีเป็นเม็ดเล็ก ๆ สองสามเม็ดอยู่ในที่ที่เขาจัดไว้ นี่พระธาตุอย่างนี้ก็มาก ที่เขาไปขุดพระเจดีย์รุ่นแรก ๆ พบผอบอันหนึ่งก็มีมากเม็ด ก็แจกกันไปแห่งละสองละสามเม็ด ก็มาก แล้วบางทีเขาก็ยอมรับว่า พระธาตุพระอรหันต์ก็ได้ไม่ต้องพระพุทธเจ้าก็ใช้ได้เหมือนกัน
เรื่องพระธาตุปาฏิหาริย์นี่ก็อย่าไปทำลายเลย อย่าไปพิสูจน์ คนจะได้ คนประเภทหนึ่ง คนที่ยังไม่อาจจะเข้าใจอะไรได้ เขาจะได้ยึดมั่น มีจิตใจเป็นกุศล ไปไหว้ แล้วก็มีจิตใจยึดมั่นในบุญ กลัวบาป เพราะบาปก็ตามพระธาตุนั่นแหละ อย่าไปพิสูจน์เรื่องจริงไม่จริง ตลอดถึงศาสนาอื่น เขาก็ไม่พยายามสืบ มันมีผลดีแก่มนุษย์ทั่ว ๆ ไป พระธาตุแถวบ้านเราเป็นเม็ดไข่มุก พระธาตุที่อินเดียเป็นเศษกระดูก หรือขี้เถ้า พระธาตุที่ลังกาก็เป็นเม็ดไข่มุก
ถ้าสำหรับผู้ที่จะเอาธรรมะ มีธรรมะมันพูดไปอย่างอื่น เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าแม้แต่ร่างกายฉันก็ไม่ใช่ฉัน แล้วอะไรกระดูกนี้มาเป็นฉันได้ ผู้ใดเห็นธรรมะผู้นั้นเห็นตถาคต ผู้ใดเห็นตถาคตผู้นั้นคือธรรมะ และธรรมะที่แสดงไว้ก็จะอยู่บนตัวฉันแก่พวกเธอทั้งหลาย เมื่อร่างกายนี้มันแตกดับไปแล้วนี่ คล้าย ๆ ท่านให้เอาธรรมะนั่นเป็นพระธาตุ นี้เราเอากระดูกนี้เป็นพระธาตุ ตามความยึดมั่นดั้งเดิม ก็ดีนะ คนทั่วไปตั้ง ๙๐% จะต้องทำอย่างนี้ คนที่จะเอาธรรมะเป็นพระธาตุ เอาพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะนี้มันยากมันมีน้อย ถ้าเรามีธรรมะในเรา เราก็มีพระพุทธเจ้าในเรา มันยิ่งกว่าพระธาตุ มันดีกว่าพระธาตุ เดี๋ยวนี้พระธาตุก็ไม่ค่อยมี ก็ต้องแขวน แขวนพระเครื่อง ที่นั่นไม่มีใครแขวนหรอกพระเครื่อง ต้องรู้ว่านั่นน่ะเขากันลืม กันลืมพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามีคุณธรรมอย่างไร เรามีแขวนไว้กันลืม เพื่อให้เราทำให้มันมีเข้าไปข้างใน ถึงจิตถึงใจ ดีกว่าไม่มีแล้วขี้ลืม แต่ถ้าเพ่งไปในทางศักดิ์สิทธิ์กายศักดิ์สิทธิ์แล้วก็ไม่ใช่พระพุทธเจ้าแล้ว เป็นเรื่องอีกเรื่องหนึ่ง