PAGODA

  • Create an account
  • Forgot your username?
  • Forgot your password?
or

Connection

Your e-mail is required to ensure the proper functioning of the Website and its services and we make a commitment not to reveal it to third parties

  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก

เข้าสู่ระบบ

  • สมัครสมาชิก
  • ลืมชื่อผู้ใช้?
  • ลืมรหัสผ่าน?

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)
  • อบรมนักเรียนฝึกหัดครูสงขลา ปี 2516 ครั้ง 4 การพัฒนาตามความมุ่งหมายของพุทธศาสตร์
อบรมนักเรียนฝึกหัดครูสงขลา ปี 2516 ครั้ง 4 การพัฒนาตามความมุ ... รูปภาพ 1
  • Title
    อบรมนักเรียนฝึกหัดครูสงขลา ปี 2516 ครั้ง 4 การพัฒนาตามความมุ่งหมายของพุทธศาสตร์
  • เสียง
  • 1599 อบรมนักเรียนฝึกหัดครูสงขลา ปี 2516 ครั้ง 4 การพัฒนาตามความมุ่งหมายของพุทธศาสตร์ /buddhadasa/2516-4.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันจันทร์, 23 มีนาคม 2563
ชุด
อบรมครูบาอาจารย์ , นักเรียนฝึกหัดครู
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  • ในการบรรยายครั้งนี้จะได้กล่าวถึงสิ่งที่เรียกว่า การพัฒนาตามความมุ่งหมายของพุทธศาสนา เราจะต้องระบุชัดลงไปว่าการพัฒนาตามความมุ่งหมายของพุทธศาสนา เพราะเหตุว่ามันมีการพัฒนาอย่างอื่น เพราะเมื่อครูเป็นผู้นำในทางจิตใจ ซึ่งเป็นเรื่องของการพัฒนาอย่างหนึ่งด้วย คือ การพัฒนาไปตามความหมายของพุทธศาสนานั่นเอง

    เดี๋ยวนี้โลกมนุษย์เรามีปัญหาหนัก คือ ความไม่สงบเรียบร้อยในโลก กระทั่งในบ้านเมือง กระทั่งในครอบครัว ทั้งในส่วนบุคคล ส่วนบุคคลก็คือมีจิตใจที่ไม่สมประกอบ  อย่างที่เขาแสดงสถิติว่าโรคเส้นประสาท(เพิ่ม)มากอย่างรวดเร็ว แล้วโรคจิตก็ตามมา นี่ก็เรียกว่าส่วนบุคคลแท้ๆ ก็มี มีจิตที่ไม่พัฒนา แต่เขาก็เรียกว่ามนุษย์เหล่านี้เจริญ ก็มีความเจริญทางวัตถุ แต่แล้วทางจิตใจก็เกิดเป็นปัญหาที่เป็นโรค  ต่อไปข้างหน้าเราจะต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ เมื่อเราผู้ที่จะเป็นครู ไม่(ควร)ได้คิดอะไรเพียงเรื่องส่วนตัวล้วนๆ  ก็(ควร)คิดถึงผู้อื่นหรือคิดถึงวงกว้าง(3.33) ตามความหมายของคำว่าครู และจำเป็นที่จะต้องนึกถึงปัญหาเหล่านี้

    เมื่อสองสามวันนี้ก็มีผู้แสดงปัญหาของบ้านเมืองของเราว่ามีปัญหาหนักอยู่กลุ่มหนึ่งจำนวนหนึ่ง  นับตั้งแต่ว่าการศึกษา ก็เป็นปัญหา จนไม่รู้ว่าจะเอากันอย่างไร ไม่ได้เห็นผลของการศึกษา(ว่า)เป็นความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง นับตั้งแต่เด็กๆไป เพราะเด็กๆ เขาไม่อยากจะศึกษาชนิดที่ว่าจะไปทำกิจการอย่างคนสามัญ อย่างพลเมืองธรรมดาสามัญ ก็ต้องการจะศึกษาแต่สิ่งที่จะทำให้เป็นคนใหญ่คนโต มีอำนาจวาสนา พูดง่ายๆก็ไม่อยากเป็นชาวนา ชาวสวนหรือว่าคนธรรมดานี่แหละ นี่ก็เป็นปัญหา จนจัดการศึกษาไม่ทัน คือจัดไม่ได้เพราะที่โดยที่แท้แล้วมันจัดไม่ได้ สมัยโบราณโน้นเขายังไม่มีใครอยากจะเป็นเจ้าเป็นนายนะ(ไม่)เหมือนสมัยนี้ (เขา)อยากจะเป็นคนชาวบ้านธรรมดา แล้วก็ไม่มีใครอยากจะรวยจนมีความมุ่งมาดปรารถนาเกินไป  การรู้สึกที่สันโดษมันมีอยู่ในจิตใจมันมีมาแต่หลายชั่วคน แล้ว ทีนี้บางคนก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไปเป็นนักปราชญ์หรือที่จะไปเป็นนักการเมือง เป็นผู้ปกครองที่มีอำนาจวาสนา เป็นไปไม่ได้ทุกคน พวกที่เป็นครูนี้จะสังเกตเห็นดีกว่าพวกอื่น ถ้าเป็นครูจริงๆ ครูที่จริงก็อ่านออก ว่าเด็กคนนี้โตขึ้นจะเป็นอย่างไร เมื่อหลายสิบปีมาแล้วอาตมายังได้พบเรื่องชนิดนี้ ซึ่งยังจำได้ในจิตใจ คือมิสเตอร์นอร์แมน ฮัตตัน ( นาทีที่ 6 : 30 ) ที่เป็นครูฝรั่งคนแรกของโรงเรียนสวนกุหลาบ เขาคุยในปาฐกถาของเขาว่า ความเป็นครูของเขาคือ สามารถจะชี้เด็กคนนั้นๆๆ ว่าโตขึ้นจะเป็นอย่างไร เพราะว่าคนๆนี้มันเป็นครูโดยแท้จริงมาตั้งแต่หนุ่มจนแก่

    ทีนี้ก็จะเป็นเรื่องที่เป็นปัญหาในอนาคตใน ที่ว่าเด็กเขาไม่อยากจะเป็นอะไรตามที่เหมาะสมแก่ธรรมชาติของเขา อยากรวยอยากเด่นอยากอะไรกันไปหมด จนการศึกษามันยุ่ง เมื่อเร็วๆนี้เองก็ไม่มีใครอยากจะเรียนวิชาอาชีพนัก เดี๋ยวนี้ความจำเป็นบังคับขึ้นแล้วก็ค่อยมีขึ้น  ปัญหาว่าเด็กๆ ก็ไม่อยากจะเรียนในสิ่งที่มันเหมาะกับตัวเอง  คือ วิชาสามัญที่จะเป็นพลเมืองธรรมดาสามัญ อย่างบ้านเราก็ต้องเรียกว่าทำนา ปัญหาอย่างอื่นๆมันก็มีตามมา เมื่อมันไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้มีสติปัญญา ก็หมายความว่าเรียนผิดธรรมชาติ ไอ้อย่าง ปัญหาอย่างที่ไม่น่าจะมีก็มีขึ้น เช่นนักเรียน นักศึกษา นิสิต ตีกัน อย่างนี้มันเป็นการทำลายชื่อเสียงของสถาบันนักศึกษา การศึกษา โรงเรียน นักเรียน คนแก่ๆเขาหัวเราะ จะเป็นนักศึกษา เป็นนิสิตมหาวิทยาลัยนี่ก็ยังตีกันได้ แล้วใครล่ะที่จะไม่ตีกัน(ล่ะ)ทีนี้ นี่ก็เป็นปัญหา ซึ่งมันเนื่องขึ้นมาตั้งแต่เด็กๆจนเป็นอย่างนั้น  ถ้ายังมีหลักอย่างนี้ มีหลักการศึกษากันอยู่อย่างนี้ สิ่งเหล่านี้จะไม่หายไป  (แต่)จะมีมากขึ้น ซึ่งมีผลต่อไปถึงกับว่า คนเหล่านั้นก็ไม่มีระเบียบ ไม่มีวินัย ไม่มีเหตุผล ก็ออกมาเป็นพลเมืองที่ขาดวินัย หรือขาดระเบียบของสุภาพบุรุษ เป็นพลเมืองที่ภาษาธรรมะจะต้องเรียกว่าอันธพาลทางวิญญาณ

    อันธพาลทางวิญญาณที่จำกันไว้เป็นคู่ คู่กันมา(คือคำ)ว่ามัคคุเทศก์ทางวิญญาณ มหรสพทางวิญญาณ เดี๋ยวนี้มีอันธพาลทางวิญญาณ คือ ผู้ที่มีการศึกษามาแล้ว แล้วก็มากด้วย แล้วมาเป็นอันธพาล เป็นคอรัปชั่น มาทำคอรัปชั่น กระทั่งว่าเป็นผู้ร้าย นี่ก็เป็นปัญหาที่หนักขึ้น ประชาชนไม่รักของส่วนรวม เมื่ออาตมาเด็กๆเรื่องเคยทำ เรื่องที่เรียกว่ารักษา หรือรักของส่วนรวม คือหน้าบ้านใครใครกวาด  ผู้ใหญ่ใช้ให้ทำ ผู้ใหญ่ก็ทำ จะต้องรื้อคูหน้าบ้านของตนเอง จะต้องกวาด หน้าบ้านจะต้องทำหญ้าหน้าบ้านให้เรียบร้อยอยู่เสมอ ต้องช่วยกันทำให้น้ำมันไหลสะดวกทั้งที่ไม่ได้มีระบบอย่างปัจจุบันนี้  ไม่ได้มีคูเป็นคอนกรีตเหมือนอย่างนี้ แต่ดูเดี๋ยวนี้แล้วมันก็ใจหายที่บ้านนี้เมืองนี้ บ้านที่เคยเกิดเคยอยู่ ไม่มีใครทำอย่างที่เราเคยทำเมื่อ(เป็น)เด็กๆ ไม่มีคู เป็นเพราะไม่มีคูแล้วก็มีแต่ขยะ เรี่ยราดทั่วไปหมด ไม่มีใครรับผิดชอบว่า(งาน)นี้จะเป็นหน้าที่ของใคร แม้แต่ที่หน้าบ้านของคนนั้นเอง ที่เขาไม่ ไม่รักสมบัติที่เป็นส่วนกลางไม่รักษามันก็กระทั่งว่าไม่ละอาย หน้าบ้านเราแท้ๆ มันก็สกปรกรกรุงรัง นี่สังเกตว่าคงเป็นปัญหาอย่างเดียวกันที่กำลังเป็น อยู่ที่กรุงเทพ(ที่)เพิ่มมากขึ้นๆ  แล้วก็ไปมีระบบให้เทศบาลเป็นผู้จัดโดยส่วนเดียว เช่นเดียวกับนักเรียนที่เกี่ยงให้ภารโรงกวาดโรงเรียนอย่างเดียว นักเรียนไม่ทำ ทีนี้จิตใจมันก็เปลี่ยน เป็นจิตใจที่ผิด และก็ผิดไปหลายๆทาง เช่นไม่เสียสละ เช่นเกลียดไอ้งานธรรมดาหรือขยะแขยง แม้แต่จะกวาดขยะสักหน่อยหนึ่ง แล้วก็มีจิตใจที่ไม่เหมาะ ที่จะเจริญไปในทางจิตวิญญาณ ( นาทีที่ 12  :46 ) และคนเดี๋ยวนี้ก็มักง่าย เพราะว่าต้องทำงานแข่งกับเวลาหรือมุ่งแต่ประโยชน์ของตัว ก็เลยทำอะไรสะเพร่า หวัด ในส่วนรวมหรือว่ามักง่าย สูงขึ้นไปถึงกับว่าไม่รู้ไม่ชี้เรื่องศีลธรรม  เรื่องอะไรต่างๆ  เอาแต่ความต้องการของกิเลส  ทีนี้กิเลสก็นำหน้า  ก็เรียกกันว่ามักง่าย จึงเกิดการเสียหายทางศีลธรรม ทางอะไรต่างๆอย่างไม่น่าจะเสียหาย และก็เสียหายมากถึงขนาดที่เรียกว่าน่าสังเวช นี่ก็เป็นปัญหาที่อยู่ในหมู่มนุษย์เวลานี้มากขึ้นๆ และก็เป็นไปทั้งโลก ทีนี้ต่อไปก็จะพบปัญหาคือความริษยา เมื่อก่อนนั้นมีแต่การแข่งขันที่บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นความถูกต้อง เดี๋ยวนี้ควบคุมไว้ไม่ได้ก็เป็นการริษยา และก็เลยออกไปถึงการทำลายล้างกันโดยเจตนา อย่างที่เรียกว่าไม่เป็นธรรม และบางทีคำว่าริษยานี้เป็นมูลเหตุแท้จริงอันเดียวของสงครามโลก สงครามทั้งโลก สงครามยืดเยื้อกะปริดกะปรอยก็ตามมีอยู่ทั่วๆโลก รากฐานอันลึกซึ้งสูงสุดอยู่ที่ความริษยากลัวผู้อื่นจะขึ้นมาทันตนหรือว่าจะอายตนนั้น(14.45)  (เรื่อง)นี้ก็เกือบจะไม่ต้องอธิบายแล้ว  ถ้าเป็นครูก็จะต้องเข้าใจเรื่องนี้ได้ เพราะเคยอ่าน เคยๆ เคยอยู่เสมอ ในที่สุดประเทศไทยเราก็ยังไม่พ้นไปไอ้จากวิกฤตการณ์อันนี้

    มองดูไปทางอื่นเช่นว่าเศรษฐกิจ ก็ไม่ได้อยู่ในกำมือของพวกเจ้าของบ้าน อำนาจทางเศรษฐกิจยังอยู่ในกำมือของชนต่างด้าว จนเป็นธรรมดา ธรรมเนียม ธรรมดาของประเทศเล็กๆ ที่ยังด้อยพัฒนากันอยู่หลายๆประเทศ ดังนั้นก็เลยจัดอะไรให้มีผลดีทางเศรษฐกิจไม่ได้ นอกจากไม่ได้แล้วยังเดือดร้อนอยู่บ่อยๆ แม้แต่เรื่องอาหารการกิน นี่ก็เป็นปัญหาหนักขึ้นๆ และที่น่าหัว ก็ดูเหมือนว่าประชาธิปไตยของเราไม่ถึงขนาด แม้แต่เรียกว่าเด็กสอนเดิน อาจจะพ้นเด็กอมมือขึ้นมาสักหน่อย แต่เด็กสอนเดินก็ยังอมมือได้ ไม่มีความรู้เรื่องประชาธิปไตยชนิดที่จะเลือกผู้แทนให้ถูกต้องตามระบบประชาธิปไตย

    แต่ว่าเราแม้จะดูกันไปทั้งโลกมันก็ยังคล้ายๆกัน  ประเทศที่ใหญ่ที่สุดที่ชื่อว่าเป็นประเทศประชาธิปไตยใหญ่โตด้วยกัน(ที่เป็น)แบบฉบับ มันก็ยังเป็นอย่างนั้น มันก็ยังเป็นประชาธิปไตยเลือกพวก เลือกพรรค ที่เป็นประโยชน์ของตน ประชาธิปไตยอย่างนี้ก็เรียกว่าไม่ใช่ประชาธิปไตย  ตั้งพรรคขึ้นเพื่อรักษาประโยชน์ส่วนตน ของตนหรือตามวิถีทางของตน มันก็คือการต่อสู้ที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย ทีนี้เราดูกันง่ายๆ ใกล้ๆกันอีกหน่อย อย่างเลือกผู้แทนชนิดที่เป็นญาติที่เป็นพวกที่เป็นผู้สัญญาจะให้ประโยชน์  พลเมือง(ก็)ยังเป็นลูกจ้าง รับจ้างขึ้นอยู่กับบุคคลที่เรียกว่าผู้แทนหรือนักการเมือง เราจะหวังพึ่งผู้แทนนี่ก็เลยยังไม่ค่อยมีหวัง ทีนี้ผู้แทนก็ไม่มีอะไรนอกจากเป็นนักด่าที่เก่งที่สุด หาเรื่องหรือขุดคุ้ยเรื่องมาด่ากันจนได้ เข้าไปเป็นรัฐบาลพวกหนึ่ง  ก็ไปเป็นฝ่ายค้าน(อีก)พวกหนึ่ง เอ้ย, เข้าไปเป็นผู้แทน ฝ่ายหนึ่งก็เป็นฝ่ายค้าน ฝ่ายหนึ่งก็เป็นฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล ก็คงด่ากันต่อไปตามเดิม ส่วนที่ทำประโยชน์แท้จริงมันเป็นส่วนน้อย เจตนารมณ์มันเปลี่ยนเป็นต่อสู้จนเรื่อยไป สรุปแล้วรัฐบาลก็คือผู้ที่ทนด่า ฝ่ายค้านก็คือผู้ที่ด่าเก่ง คือเรื่องที่ไม่ควรด่า ไม่ต้องด่า มาด่าได้เรื่อยๆ ก็ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่เป็นฝ่ายค้าน นี่เรียกว่า(เป็น)ปัญหาของประเทศชาติ ซึ่งเป็นเรื่องทางจิตใจ ถึงจะพัฒนาส่วนวัตถุให้เจริญเท่าไรๆ มันก็มีความสงบสุขไม่ได้ อาตมาก็เลยแนะให้เห็นว่า(ถึง)จะสร้างโรงเรียนอีกสักกี่ร้อย กี่พัน กี่หมื่น กี่เท่าตัวก็แก้ปัญหานี้ไม่ได้  เพราะปัญหาแก้ไม่ได้ด้วยการสักแต่ว่าสร้างโรงเรียน หรือผลิตครูเฉพาะที่พัฒนาให้รู้หนังสือ (ถ้า)ไม่ผลิตครูชนิดที่เป็นการพัฒนาทางจิตใจให้คนนี้เป็นพลเมืองที่ดีในทางจิตใจ  หรือทางฝ่ายวิญญาณ ไปหลงใหลในเรื่องสวย เรื่องงาม เรื่องอร่อย สนุกสนาน เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติกันยิ่งขึ้นไป มันก็ยิ่งไม่พอ ยิ่งขาด ในที่สุดก็นิยมแต่เรื่องทางวัตถุ (เหล่า)นี้จึงเป็นเหตุให้มีอาการที่แก้ไม่ตก เหมือนกับจับปูใส่กระด้ง มันไม่เป็นระเบียบได้

    ก็อย่างที่ว่ามาแล้ว ข้อแรกว่า เด็กๆเขาไม่อยากจะเป็นชาวนา เขาอยากจะเป็นอะไรที่มีเงินมาก มีอิทธิพลมาก หาความสนุกสนานได้มาก ก็เลยเป็นเรื่องไม่อยู่ในความถูกต้อง  หรือระเบียบ หรือศีลธรรมที่ดี  จนต้องซื้อประกาศนียบัตร ต้องจ้าง ต้องเอาปืนไปขู่ครูให้ลงบัญชีสอบไล่ ว่าตัวสอบไล่ได้ ซึ่งมีขึ้นเรื่อยๆในโลกนี้ นี่คือปัญหาที่เกิดมาจากการไม่พัฒนาในทางจิตใจหรือทางวิญญาณ ก็ไปมัวพัฒนาวัตถุไม่พัฒนาคน (20.52)ถึงจะพัฒนาคนก็ยังไม่ถึงขนาดที่จะเป็นการพัฒนาในทางจิตใจให้ จิตใจสูง หรือบางทีกว่านั้นอีก ก็พัฒนาผิดให้จิตใจต่ำเป็นไม่พัฒนานั่นเอง นี่คือสิ่งที่อาตมาเรียกว่าเราจะต้องมีการพัฒนาตามหลักของพระพุทธศาสนา หรือตามวิธีของพระพุทธเจ้า (คือ)ทำจิตใจให้สูง ถ้าเป็นศาสนาอื่นก็เป็นตามลัทธิศาสนานั้นๆ แล้วก็เหมือนกันหมดใช้ได้ทุกศาสนาเลย เพราะทุกศาสนาจะมีหลักใหญ่ที่ตรงกันหมดอยู่อย่างหนึ่งก็คือ การทำลายความเห็นแก่ตัว หรือการควบคุมกิเลส ไม่ต้องตำหนิศาสนาใด ไม่ต้องรังเกียจศาสนาใด หรือกีดกันศาสนาใดออกไปจากวงการศึกษา จงรับเข้ามาสู่วงการศึกษาเพื่อการพัฒนาทางจิตใจ

     ทีนี้ก็อยากจะให้นึกไปถึงหัวข้อที่ได้พูดมาแล้ว โดยพระพุทธภาษิตที่ว่า จิตฺตสฺส ทมโถ สาธุ. การบังคับฝึกฝนจิตนั่นแหละดี ก็มีใจความชัดเจนอยู่ว่าไม่ใช่การเรียนหนังสือ รู้หนังสือแล้วก็จะดี  มันต้องมีการฝึกฝน บังคับจิต อบรมจิตนั่นแหละดี ทีนี้ยังไม่ได้มีอยู่ในหลักสูตร มันมีแต่เรื่องการศึกษาแล้วก็ไปทางวัตถุ ทางร่างกายเป็นอย่างมาก การพัฒนาทางจิตใจก็เป็นเรื่องที่ลงทุนน้อย คือไม่ต้องการสถานศึกษาที่โอ่โถง สวยงาม อุปกรณ์มากมาย จนรุงรังไปหมด เรื่องอบรมจิตใจ  เรื่องฝึกเข้าไปให้เป็นระเบียบจนมีผลเกิดขึ้นทางกาย ทางจิตและก็ทางวิญญาณ หรือทางสติปัญญา ดังนั้น จึงขอให้กำหนดไว้เป็นหัวข้อเพราะการฝึกฝนจิตนั้น เพื่อความถูกต้อง เกิดขึ้นทางกาย ทางจิต และทางสติปัญญา  เราฝึกฝนที่จิตนั้น พยายามทำความเข้าใจให้ดี เราฝึกฝนที่จิต ก็ไปเกิดผลดีคือความถูกต้องทั้งทางกาย และทางจิตเอง และทางสติปัญญาของจิต

    อาตมาวิตกอยู่อย่างหนึ่งว่าจะเข้าใจไม่ชัดเจน เอาไปปนกันยุ่งก็เลยไม่ได้ผลตามที่ต้องการ ปัญหาทางกาย คือ เรามีร่างกายไม่สมประกอบ ไม่แข็งแรง กระทั่งถึงว่ามีมารยาททางร่างกายไม่น่าดู กระทั่งทำความผิดทางร่างกาย  ทำอาชญากรรมทางกายนี่ก็เรียกว่าความผิดทางกาย  ไม่ถูกต้องในทางฝ่ายร่างกาย ทีนี้(ความ)ถูกต้อง (ที่)สูงขึ้นมา(คือความ)ถูกต้องทางจิต ก็ต้องมีจิตที่สมประกอบ ถ้าเกิดเป็นพืชพรรณจิตไม่สมประกอบขึ้นมาแล้วมนุษย์นี้จะลำบากมาก   ใครคลอดออกมามีจิตไม่สมประกอบมากขึ้นๆก็ มีการอบรมที่ผิดตั้งแต่ในท้องมาก็ว่าได้ คือบิดามารดาได้ทำผิดอะไรอย่างหนึ่งที่จะทำให้เด็กเกิดมามีจิตไม่สมประกอบ พอคลอดออกมาแล้วก็ได้เห็นแต่สิ่งที่แวดล้อมจิตที่ไม่สมประกอบให้เข้าใจผิด แต่ว่าเป็นแต่เพียงกระทบกระเทือนทางจิต เป็นผู้ที่บังคับจิตไม่ได้ ความคิดหันเหไปแต่ในทางที่จะเป็นอันตราย มีจิตไม่สมประกอบไม่มีความถูกต้องทางจิต จิตไม่เป็นสมาธิ เช่นประเล้าประโลม ปะเน้าปะนอ ( นาทีที่ 26 : 27 ) ไอ้เด็กเล็กๆ จนไม่มีนิสัยที่ถูกต้อง คือมันเกิดนิสัยขึ้นมาต้องประเล้าประโลมจึงจะยอมทำอะไรอย่างนี้เป็นต้น ดังนั้น ระบบการศึกษาเดี๋ยวนี้จึงใช้การลงโทษไม่ได้ มันก็เกิดความผิดพลาดในทางจิต เป็นจิตไม่สมประกอบขึ้นแก่เด็กๆ ไม่ได้อย่างที่เขาอยากจะเล่น จะหัวเราะก็โกรธ แล้วก็ไม่ทำ ตาม  ต้องเอาเรื่องสนุกสนานมาจ้าง เรื่องความผิดพลาดทางจิตเกิดขึ้นไม่เอ่อ, ไม่เป็นจิตที่สมประกอบ (27.10) ถ้าสูงสุดขึ้นไปในทางศาสนาก็คือเป็นจิตที่ไม่มีสมาธิ ไม่มีลักษณะที่มั่นคง

    ทีนี้ความถูกต้องอันสุดท้ายทางสติปัญญานั้น ไม่ใช่เกี่ยวกับตัวจิต (แต่)เกี่ยวกับไอ้สติปัญญา  ความคิดความเห็น วิชา ความรู้ ความเข้าใจ ความเชื่ออะไรต่างๆ ของจิตอย่างนั้นก็(จะ)ต้องถูกต้องเรียกว่าถูกต้องตามสติปัญญา ในภาษาวัดนี่เขาจะใช้คำว่าตามทิฐิ คือมีทิฐิ ความคิด ความเห็นที่ถูกต้องเป็นสัมมาทิฐิ นี่เป็นความถูกต้อง ๓ ประการที่จะทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ (คือ) ถูกต้องทางกาย ถูกต้องทางจิต  ถูกต้องทางปัญญาหรือทางทิฐิเป็นสัมมาทิฐิ 

    ทีนี้ก็อยากจะขอย้อนไปยืน ถึงคำพูด คำแรกว่าเราพัฒนาจิต แต่มีผลเป็นความถูกต้องทางกาย ทางจิต และทางปัญญา นี่เป็น ๓ ชั้น ดูต่อไปก็ขอให้ดูไปถึงโลกทั่วโลก(ว่า)กำลังขาดสิ่งนี้ หรือเกินในสิ่งนี้ เกินในบางอย่าง ขาดในบางอย่าง ขาดก็ตาม เกินก็ตาม เรียกว่าผิดทั้งนั้น เช่น ดีเกินไปนี่มันเป็นอย่างไรบ้าง มันจะเลวกว่าไม่ดี ไม่สู้ดีซะมั้ง(29.24) ไม่สู้ดีก็ยังดีกว่าดีเกินไป อย่างนั้นขอให้สังเกตกันไว้บ้าง (ว่า) ดีจนใช้อะไรไม่ได้ ดีเกินไป  แต่ถ้าไม่สู้ดี มันยังพอจะใช้อะไรอยู่ได้บ้างอยู่  ดีเกินไปก็คือบ้า ถ้ายังไม่สู้ดีนี่มันยังไม่บ้า  ทีนี้โลกทั้งหมดมันมีแต่เรื่องยังขาดอยู่มากเกินไป หรือว่าดีเกินไป ที่ดีเกินไปก็ทางฝ่ายวัตถุ อุปกรณ์ทางฝ่ายวัตถุ ทางฝ่ายร่างกายนี้มากเกินไป ดีเกินไป แต่ทีนี้ที่ยังขาดอยู่ แทบจะไม่มีเลยคือเรื่องทางจิต ทางวิญญาณ แล้วเขาก็ดูหมิ่นดูถูกหลักของศาสนา ดังนั้นมันก็ช่วยไม่ได้ที่ว่าไอ้ทางศาสนานี่ก็ต้องใช้คำพูดเดิมๆ นะ คุณจดไอ้คำว่าศีล สมาธิ ปัญญาลงไปด้วย(หรือว่า)ขยะแขยงหรือเปล่า  คนที่มีการศึกษาอย่างสมัยใหม่เตลิดเปิดเปิงไป จะไม่ชอบคำพูดทางศาสนา  เช่นคำว่าศีล สมาธิ ปัญญา เพราะไม่เข้าใจ ก็คือไม่ชอบมากถึงขนาดที่ว่าเกลียด มันครึคระ ( นาทีที่ 30:55 ) มันจะดึงเราไปหาความครึคระ ( นาทีที่ 30 : 58 ) ไม่ทันสมัย ไม่ก้าวหน้าในการแสวงหาประโยชน์ และที่กลัวมากก็(คือ)กลัวว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เราไม่มีโอกาสที่จะสวยจะงาม จะสนุกสนาน เอร็ดอร่อย ตามที่กิเลสต้องการ จึงเกลียดศีล สมาธิ ปัญญา แต่เมื่อไหร่ พิจารณาโดยเนื้อแท้ โดยความจริงแล้ว(จะเห็นว่า)นั่นแหละคือสิ่งจะช่วยให้มนุษย์รอด ทั้งโดยส่วนตัวและโดยส่วนรวมขนาดย่อม และส่วนรวมขนาดใหญ่คือทั้งโลก

    มันขาดศีล สมาธิ ปัญญา เพราะว่าศีลนั้นคือความถูกต้องหรือความสงบ มีสันติ สงบ ทั้งทางกาย ศีลการถูกต้องในทางกาย สมาธิการถูกต้องทางจิต ปัญญาก็ถูกต้องในทางปัญญาอย่างที่กล่าวมาแล้ว ถ้าพูดกัน(ถึง)ความถูกต้องทางกายทางจิตทางสติปัญญากลับชอบ เข้าใจว่าทุกคนชอบไม่มากก็น้อย แต่ถ้าพูดว่าศีล สมาธิ ปัญญา สั่นหัว ไม่ เอ่อ,ไม่ชอบฟังดูมันครึคระยังไง แต่ที่แท้ก็เป็นเรื่องเดียวกัน ถ้ามีศีลก็หมายถึงมีความถูกต้องทางฝ่ายกาย  การกระทำทางกาย รวมทั้งไอ้การพูดจาทางปากทางลิ้นด้วยก็เรียกว่ากายทั้งนั้นแหละ ได้มีการเอ่อ,ความถูกต้องทางการกระทำทางกายหรือทางการพูดจา หมายถึงการฝึกฝนให้สามารถอบรมให้น่าดูให้น่ารักน่าเลื่อมใสทั้งทางกาย ทางวาจา

      เมื่อเร็วๆนี้เองเราจะเห็น คำว่าเมื่อเร็วๆ นี้เอง คือ เมื่อไม่ ไม่กี่ปี สัก ๑๐ ปี ๒๐ ปีนี้ เราจะเห็น ฝรั่งที่มีการศึกษาดี แต่งตัวสุภาพเรียบร้อย  หนวดเคราโกนเกลี้ยง หรือ(33.33) ช่วงไม่กี่ปีนี้เราเห็นฝรั่งที่มีการศึกษาดี รูปร่างประหลาด แต่งตัวประหลาด มีเครายาวเหมือนกับลิงอุรังอุตัง ทำให้เสียเวลาว่านี่เราจะคุยกับเขาด้วยไหม  เขาคนบ้าหรือคนดี นั่งพิจารณาอยู่ คนที่ไม่ไว้ใจก็หนีไปเสีย  เดี๋ยวนี้ฝรั่งที่มาที่นี่ชักจะรู้ ถ้า ถ้ามาอย่างที่ผมยาว เครายาวนี้ อาตมาคอยหลบไม่พูดด้วย หลายคนก็โกรธหรือเสียใจ เพราะเราก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร คือไม่รู้ว่าเขาเป็นคนบ้าหรือคนดี พวกนักเรียนไทยที่ไปเรียนเมืองนอกกลับมาใหม่ๆ ก็มีผมยาวมีอะไรมานี้ก็เกิด เกิดเป็นปัญหาที่ไม่รู้ว่าบ้าหรือดี  เขาบอกว่าเขาไม่ได้ ไม่ทำอะไรผิด เขาต้องการจะเป็นอิสระ หรือจะแก้ไขหรือจะประท้วง  เราก็ยืนยันว่ามันผิด เพราะมันทำให้เราเสียเวลา ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนบ้าหรือคนดี พูดอะไรกันก็ไม่ค่อยถูก  ไม่ถูกก็เพราะว่าเมื่อเขาไม่อยู่ในอำนาจแห่งเหตุผลแล้ว เราก็เป็นอันว่าพูดอะไรไม่รู้เรื่องกันแน่  การทำผมทำเผ้า ทำเนื้อทำตัว ทำไอ้เสื้อผ้าอย่างนั้นน่ะมันอยู่ในเหตุผลหรือเปล่า ไอ้เรารู้สึกว่ามัน มันไม่มีเหตุผลเลย เมื่อเขาไม่อยู่ในอำนาจแห่งเหตุผล เขาไปไว้ผมให้มันยาว รักษายากลำบาก ไว้หนวดไว้เคราให้มันเกิดความลำบาก แต่งเนื้อแต่งตัวแบบนั้น (ทำ)ให้ผู้อื่นเขาไม่รู้ว่า(เป็น)คนบ้าหรือคนดี เป็นคาวบอย หรือว่าเป็นอาจารย์ สรุปความก็เรียกว่าเขาไม่อยู่ในอำนาจแห่งเหตุผล ส่วนธรรมะนี่มันเป็นสิ่งที่อยู่ในอำนาจแห่งเหตุผล ก็จะพูดกันได้ ก็เลยไม่อยากพูดด้วย นี่เพียงแต่ว่าร่างกายไม่เรียบร้อย ไม่ถูกต้อง มันก็มีปัญหาขึ้นมาแล้ว

     ถ้ามอง เอ่อ, ถ้าพูดไปถึงเมื่ออาตมายังเด็กๆอยู่ จะไม่เห็นฝรั่งแบบนี้ ฝรั่งเป็นผู้นำในการโกนหนวดโกนเคราเรียบร้อย อะไรเรียบร้อย เนื้อตัวเรียบร้อย เสื้อผ้าเรียบร้อย แล้วเราก็ไว้ใจฝรั่ง หรืออยากจะพูดด้วย หรืออยากจะนับถือ นี่แม้แต่เพียงเปลือกร่างกาย ถ้ามันมาเกิดไม่มีความถูกต้องขึ้นมาแล้วมันยุ่ง ปัญหามันยุ่ง ทีนี้กิริยาท่าทางก็เหมือนกัน เมื่อก่อนนี้ฝรั่งเขามีระเบียบด้านกิริยาท่าทาง มารยาท ตั้งแต่เขามีความไม่เรียบร้อยทางเสื้อผ้าร่างกายก็เลยเปลี่ยนไปทางมรรยาทก็พลอยเปลี่ยนไปด้วย คล้ายๆกับผึ่งในทางเหมือนกับว่าคนบ้า ผึ่ง ก็มีการกระทำอย่างอื่นซึ่งเราไม่รู้เขาก็ได้ซึ่งมีความผิดพลาดในทางกาย แล้วก็เป็นไปในทางการตามใจตัวเอง ก็ ก็เป็นเรื่องส่งเสริมความรู้สึกอันธพาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางกามารมณ์ไม่มีระเบียบ ไม่มีวินัย ทีนี้(พอ)มันผิดพลาดทางกายนี้ ทางวาจาก็ผิดไปนอกจากก้าวร้าว(37.43) นอกจากจะทำให้ไม่น่าฟัง ก็กลายเป็นเท็จ เป็นหลอกลวง เป็นเอาเปรียบ เป็นเครื่องมือสำหรับทำลายผู้อื่นไป ความไม่ถูกต้องในทางกาย นี่คืออย่างนี้ ถ้ากวาดล้างไปทิ้งเสียให้หมดจะดีไหม จะต้องการไหม ผู้ที่ยังมีจิตใจดีอยู่ย่อมต้องการ แต่ผู้ที่มีใจเสื่อมเพราะเสพติดในความไม่มีเหตุผลเสียแล้ว คงไม่ชอบ งั้นเสพติดในมิจฉาทิฐิอันนี้ไม่ยอมเปลี่ยน(38.24)ปัญหานักศึกษาชอบแต่งตัวฮิปปี้มาที่บ้านพ่อแม่อ้อนวอนให้เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวชุดนั้น ให้ซื้อให้ใหม่ ให้ไปตัดผมเสีย บางคนก็ไม่เอา ยอมเลยยอมพ่อแม่ไม่คบก็ไม่คบก็ไปเลย ทีนี้บางคนยอมครึ่งหนึ่งยอมตัดผม ยอมเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวก็เดี๋ยวเดียว  ก็ทะเลาะ(กับ)พ่อแม่ เพราะพ่อแม่ไม่ให้เงินถ้าไม่ยอมเปลี่ยนไม่ให้เงิน มันไม่มีเงินใช้ มันก็เรียนไม่ได้หรือทำอะไรไม่ได้มันก็ยอม แต่ในใจมันไม่ยอม มันก็มีความขัดแย้งกันอยู่ตลอดเวลา อย่างนี้เรียกว่าความไม่ถูกต้อง ไม่เรียบร้อยในทางฝ่ายภายนอก คือทางกาย ทางวาจา มันมีปัญหาอย่างนี้ ในที่สุดก็เป็นเรื่องเบียดเบียนทางกาย ทางวาจา ไม่มีศีล อย่างนี้เขาเรียกว่าไม่มีศีล มีการประทุษร้ายในชีวิต ร่างกายของบุคคลอื่น ประทุษร้ายทรัพย์สมบัติของผู้อื่น ประทุษร้ายของรักของบุคคลอื่น มีวาจาประทุษร้ายประโยชน์ของผู้อื่น  และเสพของมึนเมาเพื่อประทุษร้ายสติปัญญาของตนเอง เดี๋ยวนี้มีปัญหาเรื่องยาเสพติดที่ประทุษร้ายสติปัญญาของมนุษย์นั่นเองก็เป็นปัญหาทั้งโลก ตอนนี้(40.04)สิ่งเสพติด มึนเมามีแต่เพียงสุราเมรัย  เดี๋ยวนี้มีไปถึงพวกที่ผลิตขึ้นมาจากฝิ่น อย่างรุนแรงร้ายกาจ หลายๆชนิดนานาชนิด เสพติดแล้วมีจิตใจไม่เป็นผู้เป็นคน เป็นปัญหาที่น่าหัวที่สุด  ที่ว่าให้การศึกษาดีที่สุดในโลกนี้แล้ว ทำไมไอ้เด็กๆ ยังโง่ไปรับยาเสพติด มันต้องถือว่าการศึกษานั้นไม่พอ ไม่ทำให้เด็กๆมีความเข้าใจถูกต้องได้ และยาเสพติดนี้เอาไปขายฝรั่ง ก็วัยรุ่นนั่นแหละเป็นผู้ซื้อยาเสพติดมากที่สุด ดูการศึกษาฝรั่งได้ผลอย่างนี้ มีความไม่ถูกต้องทางร่างกาย ทางวาจา ก็เลยไปถึงเรื่องจิตใจ จิตวิปริต แล้วก็เลยไปถึงสติปัญญา เป็นมิจฉาทิฐิหมดไม่มีสติปัญญาที่ถูกต้อง

    นี่เป็นตัวอย่างที่ถ้าเราเอามาคิดมานึกแล้วเราจะสนใจ ในสิ่งที่เรียกว่าศีล สมาธิ ปัญญา ดังนั้นขอให้สนใจ ๓ สิ่งนี้ และให้คำจำกัดความให้ถูกต้อง เพราะศีลคือความถูกต้องทางกาย ทางวาจา สามารถทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นสูงสุดทางกาย ทางวาจา ทีนี้สมาธิ (คือ) ความถูกต้องในทางจิต เป็นการอบรมจิต ให้มีคุณสมบัติสูงสุดที่จิตมันจะมีได้ สำหรับมนุษย์เราจะได้ใช้ให้เป็นประโยชน์ที่สุดในทุกวิถีทาง นี่เรียกว่าสมาธิ ส่วนปัญญานั้นก็(คือ)อบรมให้มีความรอบรู้ในสิ่งที่ควรจะรู้ อย่างครบถ้วน ทีนี้ไปคิดดู(เถอะ)ว่าคนชาติไหน มนุษย์ชาติไหน ภาษาไหนที่จะไม่ชอบของ ๓ อย่างนี้  และสิ่งนี้ก็ไม่ใช่เป็นของใคร ชาติไหนโดยเฉพาะหรือไม่เป็นของศาสนาไหนโดยเฉพาะ เพียงแต่พุทธศาสนา ย้ำมากเน้นมากแล้วก็ขวนขวายมาก แล้วก็ใช้คำอย่างนี้ ถ้าเป็นศาสนาอื่นเขาก็ใช้คำอย่างอื่นได้ แต่ความหมายก็อย่างเดียวกัน เรื่องศีลก็(เป็น)เรื่องที่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย  เรื่องทางกาย เรื่องทางนอกๆ สมาธินี่ก็มีจิตที่ประกอบไปด้วยคุณสมบัติของจิตสูงสุด ดังนั้น ปัญญาคือความรู้ที่ถูกต้อง เพียงพอแก่ความเป็นมนุษย์ที่จะมีความสุขยิ่งๆขึ้นไปตามลำดับ จนไปถึงบุคคลสูงสุดที่เรียกกันว่าพระอรหันต์ ทีนี้คนไม่เข้าใจก็ขยะแขยงไปตั้งแต่คำว่าศีล สมาธิ ปัญญาแล้ว พอพูดถึงพระอรหันต์ ถึงเรื่องนิพพานแล้วเลยยิ่ง ยิ่งกลัวใหญ่  สั่นหัวใหญ่ นี่จะไปโทษใคร(ได้) ก็โทษความที่ไม่เข้าใจในเรื่องนั้นๆ มันก็เลยกลายเป็นเรื่องเข้าใจผิดในเรื่องนั้นๆ เพราะฉะนั้นการศึกษาก็ไม่ได้มีคำว่าศีลสมาธิปัญญาในหลักสูตร แต่ที่จริงสัญชาติ ของมนุษย์ (43.52)ต้องการอย่างยิ่ง นี่เราเรียกว่าการศึกษาในโลกนี้กำลังผิด (มัน)ก็มีรูปทรงที่ไม่ชอบศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งเคยชอบมาแต่กาลก่อน สมัยหนึ่งยุคหนึ่ง มันก็เปลี่ยนเป็นไม่ชอบอย่างนี้ก็ยังได้ เรื่องนี้ไม่มีระเบียบบังคับทางกายอย่างเด็ดขาด ไปดูตำราทางจิตวิทยาอะไรต่างๆที่ยังปล่อยเสรีภาพแม้แต่ในทางร่างกาย อย่า(ให้)ออกชื่อนักปราชญ์ของโลกบางคนเลย (แต่) ก็อยากจะอ้างข้อความของเขามาสักประโยคหนึ่ง คือเขาว่า ไอ้คนเราจะนอนก็ปล่อยให้มันเป็นตามเรื่องตามราวของมัน จะนอนดิ้นอย่างหมูอย่างหมา จะกรนอย่างอะไรก็ได้ อย่าไปบังคับมัน แต่ถ้าเป็นอย่างสมัยก่อนแล้ว เขาตำหนิติเตียนการนอนอย่างนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางธรรมทางศาสนา เช่นพุทธศาสนานี้จะประนามในการนอนอย่างนั้น ต้องการให้นอนอย่างราชสีห์อย่าให้นอนอย่างสุนัข ไปดูภาพเขียนที่ตึกสิ ที่ด่าตัวเองว่าไอ้ชาติหมา ที่ราชสีห์เขาพบว่าเขานอนอย่างไม่เป็นระเบียบตื่นขึ้นที่นอน ที่ทราย ที่กรวดมันกระจุยกระจาย ก็ด่าตัวเองว่าไอ้ชาติหมา แต่เดี๋ยวนี้ก็มีความคิด(ที่)เปลี่ยน(ไป) จะนอนดิ้นอย่างไรก็ได้ จะดิ้นสุดเหวี่ยงอย่างไรก็ได้ ท่าทางอย่างไรก็ได้ แต่ระเบียบของภิกษุจะให้นอนเป็นระเบียบ เช่น (ต้อง)นอนตะแคงข้างขวา วางเท้าไว้ให้พอเหมาะที่จะซ้อนกัน ก็มีวางมือไว้ถูกต้อง ก็นอนเท่าที่จำเป็น ตื่นขึ้นก็ยังอยู่อย่างนั้น นี่เรียกว่ามารยาทดีมีความถูกต้องในทางกายในทางการนอน ซึ่งสนับสนุนความถูกต้องทางจิต ทางสติปัญญาต่อไปอีก

    นี่เอามาให้ฟังเป็นตัวอย่าง มันมีอีกมาก  ทีนี้มันจะมีความถูกต้องทางกาย คือเป็นระเบียบดี มารยาทดีทางร่างกายที่นอนอย่างนี้ ถ้าไม่เข้าใจก็ไปดูพระนอนที่เรียกว่าพระพุทธไสยาสน์ที่โบสถ์วิหารต่างๆที่เขาทำไว้ถูกต้องนะ เขาจะมีท้าวแขนอย่างนั้นเอามือ พระหัตถ์อย่างนั้น(46.45) พระบาทอย่างนี้ มันอาจจะถูกต้องไปถึงทางฝ่ายฟิสิกส์ของร่างกายเช่นว่ามีแต่นอนข้างขวาเท่านั้นแหละ แล้วคนก็ควรจะสังเกตกันว่าทำไมจึงนอนเอาข้างขวาลง ไม่เคยมีเอาข้างซ้ายลง คงจะมุ่งหมายให้ไม่ให้เกิดความลำบาก บีบคั้นแก่หัวใจ ซึ่งเรารู้ว่าอยู่ข้างซ้าย ถ้านอนตะแคงข้างซ้าย หัวใจมันก็ถูกทับอยู่ด้านล่าง ถ้านอนข้างขวา หัวใจ ก้อนหัวใจก็จะเป็นอิสระอย่างนี้เป็นต้น แต่ไม่ได้อธิบายไว้ เพียงแต่ให้นอนข้างขวาตะแคง โดยต้องเป็นระเบียบ

     นี่ดูความมุ่งหมายในพุทธศาสนาที่มีความถูกต้องทางฝ่ายร่างกายเช่นอย่างนี้เป็นตัวอย่าง ทางฟิสิกส์ เนื้อหนัง นี้ออกมาทางระเบียบทางมารยาททางอะไรต่างๆ ถูกต้องทางร่างกายกระทั่งไม่ไปฆ่าเขา ไม่ไปลักเขา ที่เรียกว่ากายกรรมทุจริต ทีนี้(ความ)ถูกต้องทางจิต อบรมจิตให้มีสมาธิอย่างที่ได้พูดไปแล้วเรื่องอินทรีย์ ๕ อย่าง ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ใน ๕ อย่างนั้นมีเรื่องสมาธิรวมอยู่ด้วย หรือฝึกฝนจิตให้มีลักษณะเป็นสมาธิ คือจิตที่สะอาด จิตที่เข้มแข็ง จิตที่ว่องไวต่อการงาน นี้เราไว้พูดกันทีหลังอีกทีกันดีกว่าโดยเฉพาะ เรื่องอบรมสมาธิ แต่อยากจะพูดถึงประโยชน์ถึงอานิสงส์ที่ว่าคนทั้งโลกควรจะต้องการสมาธิตามวิธีนี้ คนในโลกชาติไหนภาษาไหนบ้างล่ะที่มีการศึกษาถูกต้องและจะเกลียดไอ้สิ่งที่เรียกว่าสมาธิ ในลักษณะอย่างนี้ คือจิตแจ่มใส ไม่ขุ่นมัวที่เรียกว่าบริสุทธิ์สะอาดดีก็มีความสุขนั้น (เป็น)จิตมั่นคง เป็น concentrate รวมอะไรทั้งหมดมาอยู่ที่จุดเดียว มันมีกำลังมาก กำลังจิตมาก กำลังจิตมันสูงถึงที่สุด (ทั้ง)นี้มันมีลักษณะเป็นกรรมนิยะ ( นาทีที่ 49 : 08) ว่องไวแก่การคิดนึก การรู้สึก  การพิจารณา การอะไรต่างๆที่ต้องทำงานโดยสติ ปัญญา  และจิตนี้จะว่องไวในหน้าที่นั้นๆ และมันจะขัดข้องอะไรกันกับ(การ)ที่โลกนี้มันจะเจริญ เพราะทว่าโดยที่แท้แล้วเขาก็ได้ใช้สิ่งนี้อยู่แล้วเป็นประจำในโลกนี้ ที่พวก technician  ทั้งหลายที่มันคิดอะไรได้ทำอะไรได้ มันก็ทำด้วยจิตที่เป็นสมาธิทั้งนั้น  และเขาก็ใช้คำว่าสมาธิเหมือนกัน แต่ให้ความหมายแคบกว่าหรือไปคนละทางกว่า

    (ดัง)นี้เราจะต้องรู้ว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่าสมาธินั้นยังขาดอยู่อีกมาก ซึ่งควรจะได้พัฒนาขึ้นอีกมากในจิตใจของมนุษย์ในโลก เดี๋ยวนี้มีแต่เพียงสมาธิและผลิตผลทางวัตถุ คิด แต่คิดแต่เรื่องทางวัตถุ ก้าวหน้าทางวัตถุ จะต้องไปโลกพระจันทร์ได้ ก็ต้องเรียกว่าเฟ้อ คือเฟ้อไปแต่ในทางวัตถุ อย่างเมื่อคืนหรือเมื่อคืนวานนี้ยังฟังวิทยุข้อที่ว่า(มีการ)แข่งม้ากันระหว่างชาติ ระหว่างประเทศ  ที่ไปไกลต้องเอาม้าไป(ขึ้น)เรือบินไปทั้งฝูง แล้วก็ไปแข่งกันที่ประเทศหนึ่ง จากประเทศหนึ่ง คนที่ดูเรื่อง(นี้คิดว่าเป็นเรื่อง)บ้าหรือเรื่องดี เรื่องต้องทำหรือไม่ต้องทำ เรื่องควรจะทำหรือไม่ควรจะทำ และมันเสียอะไรเท่าไหร่ เอาเรือบินไปใช้อย่างนี้ แล้วประโยชน์อะไรเกิดขึ้นนอกจากสนุกสุดเหวี่ยงของคนเพียงไม่กี่คน และเมื่อสองสามเดือนก่อนนี้ว่าเล่นฟุตบอลโดยรถยนต์(51.17)ใช้รถยนต์ชนลูกบอล อย่างที่คนเขาเล่นกันด้วยเท้านี่ แล้วมันเป็นอย่างไร มันก็บ้าพอๆกันนั่นแหละ มันไม่จำเป็นจะต้องทำ มันไปทำ  ก็เรียกว่ามันเจริญสุดเหวี่ยงแต่ในทางวัตถุ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ต้องทำด้วยจิตที่เป็นสมาธิ จึงจะทำอะไรไกลไปได้ ไปโลกพระจันทร์ได้ ไปอะไร มันเกิน สมาธิที่จะทำให้มีศีลธรรมดี มีความเป็นอยู่สงบ เรียบร้อยในโลกนี้ไม่ใช้ หรือไม่ขวนขวาย หรือไม่กระทำ (51.54) และสติปัญญาก็ไม่ใช้ในทางที่จะทำโลกนี้ให้มีสันติภาพ  ดังนั้นก็มีแต่วิกฤติการณ์ยิ่งขึ้นๆ ปัญญามันก็เดินผิดทาง

    เขาว่าความรู้เดี๋ยวนี้ยังไม่ปลอดภัย  แม้แต่คำว่าปัญญาในภาษาไทยก็ไม่ ไม่ปลอดภัย แต่ถ้าเป็นภาษาบาลีไม่เป็นไร เพราะปัญญาไม่ ไม่ได้ใช้แต่ความรู้ที่ผิดเลย (52.20)แต่ในภาษาไทยไม่แน่ เพราะคำพูดที่มันปนเปกำกวมกันไปหมด มันยิ่งไม่แน่  เช่น คำว่า สติปัญญาของฝรั่งที่เรียก intellect (52.41) อะไรนี่ไม่แน่ ใช้ผิดก็ได้ใช้ถูกก็ได้ เพราะงั้นไม่ควรจะเรียกว่าปัญญาแต่เขาก็เรียกว่าปัญญา เรียกว่าสติปัญญา (คนที่)มีสติปัญญา มี intellect สูง (คนเหล่า)นี้ก็ทำผิดเก่งก็ได้ ทำผิดได้มากกว่าคนที่ไม่มีสติปัญญา ก็คำว่าปัญญาอย่างทางธรรมะแล้วก็จำกัดความไว้เลยว่า ไม่ใช่เรื่องผิด เรื่องถูกถึงที่สุด (แต่นี่)เราไม่อบรมสติปัญญาให้ไปในทางถูกที่เรียกว่า สัมมาทิฐิ มันก็เป็น มิจฉาทิฐิ ทีนี้มิจฉาทิฐินี้ไปไกลลิบอย่างที่เรียกว่าน่าสรรเสริญสติปัญญาของเขาได้ เขาคิดมีเหตุผลถูกต้อง น่าอัศจรรย์ แต่มันไปในทางทำลาย ก็เรียกว่ามิจฉาทิฐิ มีการค้นคว้ามากเหมือนกันไปกัน(เรื่อง)ปัญญาที่มันเดินไปผิดทาง เดี๋ยวนี้ไปอยู่ในรูปที่วนเวียนไม่พบจุดจบ

    หรือสติปัญญาที่เรียกว่า Philosophy หรือปรัชญา ยืมคำไปใช้ผิดๆ ไปหมด ปรัชญาคือปัญญาเสียแล้ว มันไปเป็นปัญญาที่มีท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ในโลกเวลานี้กำลังเมาปรัชญา คือเมา philosophy  ที่ลองมาพิจารณาดูแล้ว แหมนี่มันน่าใจหายคือปัญญาที่ไม่ใช้(ให้)เป็นประโยชน์ได้  นอกจากว่ามันสนุกสนานไปตามเรื่องของปัญญา และนักปรัชญาก็คือผู้ติดเฮโรอีนทางวิญญาณ พูดอย่างนี้จำง่ายดีใช่ไหม นักปรัชญาในโลกเวลานี้มากยิ่งขึ้นทุกที มันคือพวกติดเฮโรอีนทางวิญญาณ ไม่ใช่เฮโรอีนที่ตำรวจจับ เป็นเฮโรอีนที่ตำรวจไม่จับ แล้ว(ยัง)บูชาด้วย บูชานักปรัชญาทั้งโลก นั่นแหละคือพวกที่มันติดเฮโรอีนทางวิญญาณ ทำให้ความคิด ความอ่านมันวนเวียน ไม่มีที่สิ้นสุด พุทธศาสนาไม่เป็นปรัชญา พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ ถือเอาแต่สิ่งที่มีองค์ประกอบหรือเหตุผลอะไรชัดเจนอยู่และปฏิบัติไป เอ่อ, บนเหตุผลหรือสิ่งที่เป็นองค์ประกอบเหล่านั้น ถ้าปรัชญาเขาเอาเป็น เขาใช้สำหรับสิ่งที่มองไม่เห็นตัว เขาใช้คำนึงคำนวณ ใช้  speculation ไม่มีขอบเขต เป็นเรื่องmetaphysics  พระพุทธศาสนาต้องเป็นเรื่องของฟิสิกส์คือมองเห็นได้ รู้สึกได้ ในความรู้สึกไม่ต้องคำนึงคำนวณ แม้จะเป็น metaphysics ก็เป็นพวกที่รู้สึกได้ด้วยจิตใจ ด้วยการมองเห็นตามวิถีทางวิทยาศาสตร์ ถ้าเลยนั้นไปมันก็เป็น metaphysics ที่เพ้อที่เป็นเรื่องของปรัชญา แล้วก็หลงใหลกันนัก กำลังดึงเข้ามาหาประเทศไทยให้เมาปรัชญาไปอีกประเทศหนึ่ง ใครจะโกรธหรือจะด่าอาตมาก็ได้ที่พูดปากร้ายที่ว่า นักปรัชญาคือผู้ติดเฮโรอีนทางวิญญาณ ก็จำไปบอกเขาด้วย ถ้าเห็นเพื่อนคนไหนมันบ้าปรัชญานัก บอกเขาหน่อย อย่าให้มันเกินไปให้มันพอดี นั่นมัน มันไม่พัฒนาทางปัญญาที่ถูกต้อง มันพัฒนาเลยเถิด จนไม่รู้ว่าไว้ที่ไหนกัน นี่คือเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา

    ขอให้ผู้ที่จะเป็นครูทุกคนเข้าใจให้ถูกต้อง จำเป็นที่สุดสำหรับตัวเราเอง จำเป็นที่สุดสำหรับจะไปสอนศิษย์ ซึ่งมีความหมายว่าจะทำคนในโลกให้เป็นคนที่ช่วยสร้างโลก ให้มีความสงบสุข ครูบาอาจารย์ไม่ใช่ลูกจ้างสอนหนังสือ ครูบาอาจารย์ที่แท้จริงต้องมีหน้าที่อีกอันหนึ่งคือ ยกสถานะทางวิญญาณของมนุษย์ให้สูงขึ้น และก็ไม่มีระบอบไหนที่จะทำได้นอกจากอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส ว่าจิตฺตสฺส ทมโถ สาธุ. การบังคับฝึกฝนอบรมจิตนั่นแหละดี ดียังไง มันก็ทำให้ความถูกต้องเกิดขึ้นทางกาย ทางจิต และก็ทางสติปัญญาอย่างที่ว่ามาแล้ว และเมื่อเข้าใจ ๓ คำนี้คือศีล สมาธิ ปัญญา อย่างถูกต้องจนไม่เกลียดแล้ว ก็ไปพยายามขวนขวายหาตำรับตำราหนังสือหนังหาที่อธิบายเรื่องนี้ไว้อย่างถูกต้องละเอียดลออมาศึกษา ตลอดไป ตลอดชีวิตเลย เพราะมันมาก เรื่องมันละเอียดลึกซึ้ง และพยายามปฏิบัติให้เกิดขึ้น นี่ก็เป็นการศึกษาที่แท้จริง ศึกษาจากหนังสือเป็นการตระเตรียมเป็นบทคร่าวๆ(58.15) (การ)ศึกษาที่แท้จริงคือการปฏิบัติอยู่ ๆ เห็นผลอยู่ ก้าวหน้าไปตามลำดับ นี่คือ การศึกษาในความหมายทางพระพุทธศาสนา ไม่ใช่เรียนตำรา

    ภาษาไทยหรือภาษาอะไรที่กำกวมเอามาใช้ผิด เอาคำนี้เอามาใช้ผิด จนเรียนตำราอย่างเดียว เรียนตำราอย่างเดียวไม่เรียกว่าศึกษาในความหมายของพุทธศาสนา ต้องปฏิบัติด้วย เรียนโดยการปฏิบัติ เรียนจากการปฏิบัติ  (อย่าง)นี้เป็นการศึกษาแท้จริงของธรรมชาติคือเรียนจากตัวจริง ไม่ใช่เรียนจากตัวหนังสือ  เรียนจากตัวจริงของเรื่องนั้นๆ เช่นเดียวกับว่าเราเรียนอะไรมากมาย โดยไม่รู้สึก นั่นมันเรียนจากตัวจริง ไม่(ใช่)เรียนจากหนังสือ พอคลอดออกมาจากท้องแม่ ก็เห็นนั่นเห็นนี่ถูกกระทำให้ทำอะไรได้มากขึ้นๆ นี่เรียนจากตัวจริงไม่ได้เรียนจากหนังสือ แล้วก็มีสัญชาตญาณบางอย่างติดมาแล้วด้วยก็เรียนได้ง่าย เช่น แม่ไก่มันเขี่ยดินให้ลูกดูไม่กี่ครั้ง ลูกไก่ก็เขี่ยเก่ง ลูกไก่ทีแรกก็งงเหมือนกัน เขี่ยดินไม่เป็น ยิ่งไก่ฝรั่งแล้วยิ่งโง่ กว่าไก่ป่า อย่าหาว่าอะไรๆก็ด่าฝรั่งเรื่อย  มันเป็นความจริงอย่างนั้น ไอ้ลูกไก่ป่านี้ เขี่ยดินเก่งเป็นเร็ว แต่ไก่ฝรั่งมันเลี้ยงดู เลี้ยงโอ๊ย, หลายวันกว่าจะเขี่ยดินเป็น แต่ถึงอย่างไรมันก็ต้องเขี่ยเป็น มันเป็นการเรียนจากการเป็นอยู่ ทำไมดูดนมเป็น กินอาหารเป็น อะไรเป็นๆ ๆขึ้นมาโดยไม่ได้เรียนหนังสือในเรื่องนั้นๆ แล้วทำไมทำความชั่วเอาอย่างกันเป็น โดยที่ว่าหนังสือไม่ ไม่ได้บอกให้ทำอย่างนั้น หรือห้ามไว้ด้วยซ้ำไป เมื่อคนป่าเขาไม่มีหนังสือใช้เขาก็ทำอะไรเป็นกันมาก มาตามลำดับ

    นี่เรียกว่าเรียนจากธรรมชาติโดยตรงกระทั่งที่พูดเมื่อวานนี้ เรื่องมหรสพทางวิญญาณให้เรียนจากจิตใจโดยตรง อย่างน้อยก็เรียนจากธรรมชาติอย่างนี้ มานั่งอยู่ที่ตรงนี้ ธรรมชาติก็แวดล้อมจิตให้เป็นอย่างนี้ แล้วเราก็เรียนจากความรู้สึกในจิตที่กำลังเป็นอย่างนี้ อย่างนี้ไม่เกี่ยวกับตัวหนังสือ แต่ถ้าเรียนได้ดีถูกต้องมันก็ไปตรงกับตัวหนังสือตามในตัวหนังสือที่เขาเขียนไว้นั่นแหละ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ถูกต้องเขาก็เขียนไว้เป็นตัวหนังสือ ทีนี้เรามันเรียนแต่ตัวหนังสือไม่รู้เรื่อง ก็ต้องมาเรียนจากไอ้ตัวจริงของธรรมชาติ แล้วก็รู้เรื่องมันก็ตรงกับหนังสือที่เขียนไว้ ตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้อย่างนี้เป็นต้น เกิดจิตว่างปราศจากความยึดมั่นว่าตัวกูของกูมันสบาย ก็ ก็ไม่มีทางจะเรียนได้จากตัวหนังสือ นอกจากมานั่ง มายืน เดิน นอนตรงไหน ธรรมชาติช่วยแวดล้อม จิตสงบเย็น ว่างจากตัวกู พอรู้อ้าว,มันสบาย เป็นสุข นี่เป็นเหตุให้เราต้องวิ่งไปหาธรรมชาติ บางแห่งเช่นที่ทะเลบ้าง ที่ภูเขาบ้าง ที่ไหนบ้าง  มันลืมตัวกูของกูไปพักหนึ่งแล้วก็สบาย แต่ก็ไม่ถือเอาเป็นโอกาสสำหรับเรียนให้รู้เรื่องนั้นๆ ไปหัวเราะกันเสีย ไปวิ่งเล่นกันเสีย ก็เลยไม่รู้เรื่อง  นี่จึงได้ขอร้องแล้วเมื่อวันก่อนนั้นว่า ไอ้เรื่องหัวเราะนั้นเก็บ เก็บกันเสียบ้าง พยายามสำรวมจิตใจเป็นสมาธิ ให้คิดให้นึกให้ระมัดระวังให้มีสติสัมปชัญญะ เดี๋ยวนี้หัวเราะมากไปเสียแล้วโลกนี้ มนุษย์ในโลกนี้หัวเราะมาก จนเป็นคนบ้า  เรื่องกามนิตเอาข้อความในพระไตรปิฏกในพุทธนิกาย ( นาที่ที่ 62 : 38 ) ไปเขียนที่ว่าร้องไห้ ตัวร้องเพลง ร้องไห้หรือร้องเพลง หัวเราะหรืออาการของลูกเด็กๆที่นอนอยู่ในเบาะนอนยิ้มแหยอยู่  การเต้นรำคืออาการของคนบ้า เดี๋ยวนี้บ้ากันทั้งโลก บ้าๆ มากขึ้น คือชอบเต้นรำ เลยเต้นรำไปเสียอีก มันก็เลยบ้าไปเสียอีก ถ้าเรามาเข้าใจเรื่องนี้แล้วเราจะหัวเราะไม่ค่อยออก เพราะเป็นเพียงอาการของเด็กที่ยังไม่รู้อะไรยังนอนอยู่ในเบาะ แล้วไปกระโดดโลดเต้นอย่างนั้นก็เป็นเรื่องอาการของคนบ้า แล้วจิตมันจะปรกติได้อย่างไร

    ที่พูด(มา)นี้หมายความว่าให้สรุปเรื่องทั้งหลายทุกเรื่องที่เรากำลังมีอยู่ เป็นอยู่มาดูกันเสียใหม่ ประมวลมาให้หมด มาดูเสียใหม่ อย่าเข้าใจว่าถูกแล้วดีแล้วหรือว่ามีเท่านั้นเอง เรายังมีอะไรที่ไม่ถูกอยู่มาก ถ้าเราไปนอนใจว่าถูกแล้วละก็ คือประมาท คือคนหลับที่ยังไม่ตื่น ในภาษาธรรม ภาษาศาสนา ภาษาวิญญาณนี้  คนประมาทนั่นน่ะคือคนตาย อย่าง อย่างดีที่สุดคือคนหลับ ที่ยังไม่ตื่น แต่ท่านให้ความหมายเท่ากับคนตาย ต้องไม่ประมาท ต้องไม่คิดว่านี่ถูกแล้วดีแล้ว อวดได้แล้ว ร่าเริงอยู่อย่างนี้ นั่นแหละคือประมาท  นั่นก็คือหลับ คือตาย ทีนี้พวกที่เป็นครูอย่าเป็นอย่างนั้นไปได้ มันจะไม่มีความเป็นครู  เพราะมันต้องจูงคนอื่น คนหลับจะจูงใครได้ แล้วคนตายยิ่งจูงไม่ได้ คนตาบอดยิ่งจูงไม่ได้ คนตาบอดจะจูงคนอื่นไม่ได้ ทีนี้(คน)เป็นครูมันก็ต้องมีตาสว่างต้องพัฒนาทางกาย ทางจิต ทางวิญญาณ ตามวิถีทางพุทธศาสนาให้สำเร็จเป็นการพัฒนาคน พัฒนาโลก โลกของคน เพราะคนที่มีความรู้สึกคิดนึก นี่พัฒนาแต่วัตถุไม่ได้พัฒนาคน  พัฒนาคนก็พัฒนาไม่ถูก พัฒนาแต่ทางร่างกายจนเกินไป พอเกินไปก็ไม่ใช่พัฒนา คือจิตไม่ถูกพัฒนา วิญญาณไม่ถูกพัฒนา นี่ปัญหาที่มีอยู่เฉพาะหน้าประเทศเราในเวลานี้ คือ การศึกษา แล้วก็เหมือนกันทุกประเทศทั้งโลก(ก็)ว่าได้ ประเทศอื่นยิ่งกว่าประเทศเรา มันน่าเวทนาที่ว่าเรากำลังไปตามก้นเขา ไปเอาอย่างเขาอย่างหลับหูหลับตา เดี๋ยวนี้ก็พูดกันอย่างที่เรียกว่า เป็นกันเอง ที่เป็นกันเองนี้ไม่ใช่ประจบพวกคุณ อาตมาก็เป็นครูเพราะว่าเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นบรมครู ซึ่งพูดกันได้อย่างครู นี้เรียกว่าพูดอย่างเป็นกันเอง

    ถ้าเป็นครูแล้วก็ต้องพยายามทำหน้าที่ยกสถานะทางวิญญาณ หรือเป็นผู้นำในทางวิญญาณของคนในโลกให้เป็นไปอย่างถูกต้อง นั่นแหละคือการพัฒนา ยกวิญญาณของเขา นั่นคือการพัฒนาหรือว่านำวิญญาณของเขาไปในทางที่ถูกต้อง คือการพัฒนา ในความหมายที่ถูกต้องในภาษาไทย พัฒนาคือทำให้ดี ให้เจริญให้ก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป ถ้าจะพูดในภาษาบาลีก็ยังมีปัญหา นี่เราพูดไทยเอาภาษาไทยเป็นหลัก  เอาความหมายในภาษาไทยเป็นหลัก ว่าพัฒนาคือการทำให้มันดีขึ้น สูงขึ้นๆ ก็เรียกว่าเป็นหน้าที่แบ่งกันตามวัตถุก็มี ทางจิตก็มี ทางสติปัญญาก็มี แต่ว่าครูนี้เขาจัดไว้ในทางฝ่ายจิต ฝ่ายวิญญาณ ถ้าอย่างไรเราช่วยกันให้สุดความสามารถที่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ ให้ทำได้ในเรื่องนี้ ให้เกิดการพัฒนาอย่างแท้จริงขึ้นมา โดยการกระทำออกมาจากไอ้ต้นตอที่แท้จริง หรือจุดศูนย์กลางที่แท้จริงคือจิต ก็อออกมาเป็นกายเป็นวัตถุเป็นอะไรต่างๆ พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่า อะไรนะ ควบคุม อบรม ฝึกฝนจิตนั่นแหละดี ท่านจึงใช้คำว่า จิตเพียงตัวเดียว เพราะว่าถ้าจิตมันดี ถูกต้องแล้ว มันก็ออกไปเป็นดีอย่างอื่นรอบๆไป รอบๆด้าน ซ้ายก็ดีอะไรก็ดี สติปัญญาก็รวมอยู่ในความหมายของคำว่าจิตด้วยเหมือนกัน จนถึงกับว่าถ้าพัฒนาจิตดี แล้วก็เป็นการพัฒนาปัญญาอยู่ด้วย เพราะจิตที่อบรมดีแล้วย่อมเห็นอะไรได้อย่างถูกต้องตามที่เป็นจริง ตามคุณสมบัติของสิ่งที่เรียกว่าจิต นี่เราก็ไม่ได้พูดอะไรอย่างละเอียด ในเรื่องอบรมจิตอย่างไร เพราะว่าจำเป็นจะต้องพูดถึงไอ้แนวด้านนอกปริทรรศน์กว้างๆให้เข้าใจรูปเรื่องของเรื่องทั้งหมดเสียก่อน แล้วจึงเข้าไปเจาะจงในจุดใดจุดหนึ่ง ซึ่งกำลังเป็นปัญหาอยู่โดยแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือเรื่องจิตนั่นเอง ในเวลาสำหรับพูดกันในตอนเช้านี้ก็สมควรแล้ว เป็นอันว่ายุติการบรรยายตอนเช้านี้ไว้เพียงเท่านี้ จะพูดต่อในตอนต่อไป พอกันที

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service