แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เอ้อ, เช้านี้จะได้พูดกันถึงเรื่องเอ่อ, การฝึกจิต ในฐานะที่ว่าเป็น เอ้อ, เครื่องมือช่วยแก้ปัญหาในชีวิต ขจัดปัญหาในชีวิตของคนเราได้อย่างหนึ่ง ขอให้นึกถึงคำว่า ธรรมศาสตร์ หรือธรรมศาสตรานี้เสมอ ศาสตรา แปลว่า อาวุธธรรมะโดยธรรม ธรรมะนี่เป็นอาวุธได้ สำหรับจะตัดปัญหาของคนเรา แต่ว่าธรรมศาสตรานี้ หมายถึงมีอยู่ในพุทธศาสนา หมายความว่าตามวิธีการของพุทธศาสนา ก็ได้พูดกันมาสองสามครั้งแล้ว ด้วยความหมายของคำๆนี้ ..(เสียงหายไปจนถึงนาทีที่ 0:02:00) เมื่อพูดถึงเอ้อ, การฝึกจิต ก็ต้องนึกถึงคำบาลีที่เรียกว่า ภาวนา หรือจิตภาวนา เมื่อเราอยากจะมีจิตว่างก็ดี เอ่อ, หรืออยากจะมีประโยชน์อย่างอื่นก็ดี เกี่ยวกับจิต มันก็ต้องฝึกจิต จิตเป็นสิ่งที่ฝึกได้ อย่างไม่น่าเชื่อ ทุกๆ สิ่ง ทั้งที่เป็นเหตุเป็นผล เป็นอะไรก็ตามมันขึ้นอยู่กับสิ่งๆ เดียวคือจิต ถ้าเกี่ยวกับมนุษย์ ตรงนี้ก็เป็นข้อสำคัญที่ควรจะเข้าใจ สนใจว่า เพราะถ้าไม่มีจิตสิ่งเดียว โลกนี้ก็เหมือนกับไม่มี ถ้าไม่มีจิตสิ่งเดียว ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าทำขึ้นมาได้ เอ้อ, มันก็จิตเป็นผู้รู้สึก เป็นผู้เสวยผลอันนั้น เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ก็ตาม ตามหลักพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่าทุกอย่างเป็นไปตามอำนาจของสิ่งๆ เดียวคือจิต ขอให้มองดูตัวตนเองว่านับตั้งแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันนี้มันก็เป็นเรื่องของจิตเรื่อย ขึ้นไปจนถึงบรรลุมรรคผลนิพพาน นี่ก็เป็นสิ่งเดียวที่จะต้องจัดการ ที่มนุษย์จะต้องจัดการให้ดีที่สุด ส่วนเรื่องร่างกายนั้นมันเป็นเพียงเปลือกหรือเครื่องรองรับ ที่ตั้งที่อาศัยของจิต ก็จัดการแต่พอสมควร ไม่ใหญ่ ไม่มาก อ้า, ไม่ลำบาก ไม่เท่ากับเรื่องจิต ทีนี้ก็ดูต่อไปถึงเอ้อ, สิ่งที่เรียกว่าจิต มันมีลักษณะอย่างไร ถ้าพูดโดยทั่วไปมันก็เป็นธรรมชาติหรือเป็นธาตุอันหนึ่ง ซึ่งการศึกษาของโลกปัจจุบันนี้ อาจจะไม่ใช้คำว่าธาตุ ธา-ตุ กับสิ่งที่เรียกว่าจิต เค้าพูดกัน สอนกันแต่เรื่องธาตุทางวัตถุ เท่านั้นอย่าง เท่านี้อย่างเป็นเรื่องทางวัตถุนะ ทางพุทธศาสนาก็ยอมรับว่าวัตถุนั้นก็เป็นธาตุ แต่มันมีธาตุชนิดที่เป็นนามหรือเป็นจิตด้วยก็แล้วกัน เอ่อ, นามธาตุ คู่กับรูป คู่กับรูป-ธาตุ แล้วจะแตกไอ้สิ่งที่เรียกว่า จิต ออกไปได้ เป็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อะไรก็ตาม นี้เรียกว่าเป็นธาตุ หนึ่งหนึ่งทั้งนั้นแหละ นี้ในส่วนที่มันเป็นธาตุนี้มันก็เสมอกันกับธาตุอื่นๆ มีความหมายว่าเป็นสิ่งๆ หนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ในฐานะเป็นส่วนประกอบกันอันเป็นสิ่งอื่นๆ ต่อไปอีก แม้จะเป็นความคิดนึกขึ้นมาเรื่องหนึ่ง ก็ประกอบด้วยไอ้ธาตุของจิตหลายๆ ธาตุ มีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เอ่อ, โดยเฉพาะสี่อย่างนี้ เหมือนเราจะมีอะไรขึ้นมาชิ้นหนึ่งนี้ เช่น ว่ามีบ้าน มีเรือน มีรถยนต์ ขึ้นมาสักคันหนึ่ง ต้องประกอบไอ้ด้วยสิ่งที่เรียกว่าธาตุทางวัตถุ มากมายหลายธาตุ ความคิดนึกอันหนึ่งของคนเราก็เหมือนกัน ต้องประกอบด้วยส่วนที่เป็นธาตุจิต จิตธาตุหลายๆ ส่วน นับตั้งแต่ วิญญาณคือการเห็น แล้วสัมผัสก็เวทนา ความสำคัญ มั่นหมาย และความคิด ความนึกเกิดขึ้น นี้เรียกว่าโดยทั่วไป เป็นส่วนสำคัญอยู่ในร่างกายนี้ ทีนี้ก็ดูต่อไปถึงข้อที่ว่ามันมีอยู่เป็นหลายๆ ระดับ เพราะจิตของคนเราเป็นหลักนี่ ก็ยังมีอยู่หลายระดับตามสูง ตามต่ำ ตามที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ก็จัดไว้เป็นสัก ๔ ระดับ จิตของสัตว์ธรรมดาสามัญ ระดับแรก ก็พอใจในของรัก ของใคร่ โกรธ เกลียดในสิ่งที่มาทำให้โกรธ ให้เกลียด เพราะไม่ได้ตามที่ตัวรัก ตัวใคร่ นี้ใจความสำคัญมันอยู่ที่จิตนั้นมันมีสิ่งที่มันรัก มันใคร่ มันต้องการไปตามความรู้สึกธรรมดาสามัญ จิตของสัตว์เหล่านี้ หรือคนเหล่านี้ ทุก อ้า, ทุกคนเขาเรียกว่า อยู่ใน กามาวจรภูมิ คือ ภูมิที่ชอบ เอ่อ, กาม คำว่า กาม แปลว่า ของใคร่ สำเร็จด้วยอ้า, ความใคร่ในภายใน และวัตถุสำหรับให้สำเร็จประโยชน์ในความใคร่ในภายนอก มีความรู้สึกเป็นความใคร่และมีวัตถุสนองความใคร่ รวมกันแล้ว ก็เรียกว่า กาม จิตของคนธรรมดาสามัญจะมีลักษณะเอ้อ, ตกไปในความใคร่ แล้วก็บูชาสิ่งที่สำเร็จความใคร่นั้น เป็นสิ่งสูงสุด ถึงขนาดบูชาสุดชีวิตจิตใจหรือเป็นพระเจ้าไปเลย คนที่เค้าเป็นพวกกามาวจรภูมิ คือสัตว์ทั้งหลายโดยทั่วๆ ไป ถ้ามีการฝึกจิตสำหรับคนพวกนี้ ก็คือฝึกให้ดีกว่านี้ ฝึกให้ชนะสิ่งนี้ ให้จิตเป็นตัวของตัว ไม่ถูกบีบคั้นด้วยความใคร่ ก็เป็นจิตที่สว่างไสว รุ่งเรือง สงบสุข นี่เรียกว่าหน้าที่ ที่เค้าจะต้องทำ คือ ฝึกจิตให้ชนะความใคร่ ไม่ต้องยุ่งยากลำบากเพราะเป็นทาสของความใคร่ ก็ดูเอาเองก็แล้วกัน อ้า, ในวันหนึ่งๆ มนุษย์ในโลก หรือในประเทศเราก็ตาม มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ เป็นส่วนใหญ่ที่สุด ซึ่งถึงกับพูดว่ามนุษย์ทั่วๆ ไป ธรรมดาสามัญตกอยู่ในชั้นนี้ ระดับนี้ หรือภูมินี้ เรียกว่า กามาวจรภูมิ จิตท่องเที่ยวไปแต่ในสิ่งที่เป็นความใคร่ เดี๋ยวฝึกแล้วก็ให้ชนะ และต้องการความสงบก็ได้ หรือจะต้องการคุณสมบัติ สมรรถภาพอย่างอื่นก็ได้ ถ้ามันไปเป็นทาสของความใคร่เสียแล้ว มันยากที่จะมีสมรรถภาพอย่างอื่น ที่ดีกว่า ระดับที่สองเค้าเรียกว่า รูปาวจรภูมิ คือ จิตที่ชนะ หรือว่าไม่ ไม่ชอบเรื่องกาม แล้วชอบเรื่องรูป คือ วัตถุล้วนๆ ที่เป็นที่ตั้งความพอใจ เรามีวัตถุสิ่งของบางอย่างเป็นที่ตั้งความพอใจ ไม่เกี่ยวกับกามารมณ์ นี้ก็เป็นตัวอย่างอันนี้ แต่ว่ามันไม่ใช่ตลอดเวลา สำหรับผู้ที่เขามีจิตสูง อ้า, ไม่ ไม่ ไม่เป็นทาสของกาม แต่ไปเป็นทาสของวัตถุรูปล้วนๆ นี้ก็มี ก็ไปเล่นไอ้ของที่เป็นรูปวัตถุมีค่า เช่น คนแก่ๆ เป็นต้น แต่ที่ถาวรนั้นก็หมายถึงพวกที่อบรมจิต ในทางของรูปฌาน คือเอาสิ่งที่มีรูปนี้สำหรับมาแจ้ง มาสำรวจ มาเพ่งเป็นสมาธิ ได้รับความสุขจากสมาธิแล้ว สมาธิชนิดนั้น แล้วก็หลงใหลในสมาธิชนิดนั้นเป็นนิสัยไปเลย นี่ก็เรียกว่าชั้น เออ,รูปาวจรภูมิ ถึงจะมีเป็นการถาวรพวก ฤๅษี โยคี มุนี หรือคนธรรมดาที่ออกไปอ้า, แสวงหาอย่างนั้น เออ, ถ้าจะฝึกจิตชนิดนี้ต่อไปอีก มันก็เป็นเรื่องไกลออกไปถึงระดับเอ้อ, ที่สาม คือ คนพวกนี้เห็นว่าแม้แต่ไอ้รูป วัตถุล้วนๆ ความสุขที่เกิดมาแต่รูปกับวัตถุล้วนๆ นี้ก็ยังเกะกะ ยุ่งยากลำบาก ขึ้นชื่อว่ารูปนั้น อยากทำลาย ถ้าเราไปเอาสิ่งที่ไม่มีรูปดีกว่า นับตั้งแต่ไปเอาเรื่องของจิต เช่น วิญญาณ หรือเอาเรื่องอากาศ เป็นที่ว่าง ความว่าง หรือว่าเอาความไม่มีอะไร เพ่งไปยังความที่มันไม่มีอะไร ว่างอย่างทางวัตถุก็ได้ ความไม่มีอะไรทุกอย่างเลย แม้แต่ว่างจากจิต ว่างจากอะไรเสียเลยก็ได้ เอาความไม่มีอะไรนี้เป็นอารมณ์ ให้จิตมันดื่มด่ำอยู่ในความไม่มีอะไรเลย ก็เป็นสุขอีกชนิดหนึ่ง คนที่พอใจชนิดนี้เค้าเรียกว่ามันพอใจในอรูป ก็เลยเรียกว่า อรูปาวจรภูมิ คือ จิตที่มันจะท่องเที่ยวไปแต่ในสิ่งที่ไม่มีรูป ก็เป็นความสุขที่สูงขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง ทีนี้ถ้าคนชนิดนี้ ประเภทนี้จะฝึกจิตต่อไปอีก นี้ก็ฝึกเพื่อให้พ้นจากสิ่งทั้งปวง เขาเรียกว่า โลกุตตรภูมิอันสุดท้ายที่จะบรรลุมรรคผล นิพพาน ในชีวิต เอาเรื่องกาม เรื่องรูป เรื่องอรูปนี้เป็นเรื่องโลกๆ หมด ถ้าอยู่เหนือนี้หมดถึงจะเรียกว่าโลกุตระ ก็เพื่อจะไม่ให้มันไปติดอยู่ในอะไร ค่อยๆ ค่อยละไปทุกอย่าง ทุกชั้น จนไม่มีอะไรที่จะติดข้องอยู่ จิตจึงอยู่เหนือสิ่งทั้งปวง เรียกว่าอยู่เหนือโลก นี้ก็เรียกว่าโลกุตตรภูมิสามพวกแรกเป็นโลกียภูมิ ค้นพบกันมาแล้วก่อนพระพุทธเจ้าเกิด ทั้ง ๓ ภูมินั้น พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นเพื่อไปเรียนในภูมิสุดท้าย ขั้นสุดท้ายของภูมิสุดท้าย จากครูบาอาจารย์สำนักหนึ่ง ที่เราเคยได้ยินได้ฟังในพุทธประวัติ แล้วท่านก็เห็นว่านี้ยังไม่สูงสุด ไปค้นพบประเภทโลกุตตรภูมิไม่จำเป็นไปยึดมั่นถือมั่น นั่นนี้เป็นตัวตนเป็นของตน จึงถือว่าเป็นเรื่องสูงสุด นี่คือการบรรลุมรรคผล และก็นิพพาน ถ้าฝึกได้ในชั้นนี้ก็แปลว่าก็หมดกัน เรื่องฝึกจิตก็หมดกัน ที่พูดนี้ก็เพื่อจะให้เข้าใจว่า ไอ้สิ่งที่เรียกว่าจิตนั้นนะ มันมีได้ตั้ง ๓ ระดับ เอ้ย, ๔ ระดับ หรือ ๔ ภูมิ ๓ ภูมิแรกเป็นธรรมดาสามัญ คือว่า เที่ยวยึดเที่ยวติดนั่นนี่ แต่ว่าดีขึ้นไป ดีขึ้นไป ดีขึ้นไป นี่ภูมิสุดท้ายนี้ก็โลกุตระ เพื่อจะไม่ยึดติดอะไรเลย ฉะนั้นขอให้คำนวณดูเองว่า ถ้าว่าจะมีการฝึกจิต แล้วก็มันจะหมายถึงอย่างไหน นี้เราจะไปเอ่อ, ฝึกอย่างโลกุตตรภูมิทันทีนี่จะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้หรือไม่ โดยเหตุผลสามัญสำนึกก็ต้องว่า มันทำทันทีไม่ได้ เพราะมันจะต้องทำไปตามลำดับ ถ้าเรายังไม่อาจจะเข้าถึงโลกุตตรภูมิแต่ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องรู้เรื่องโลกุตตรภูมิ และก็ทำในส่วนที่ควรจะทำได้ ในระดับที่มันจะ อ้า,ดีที่สุดที่เราจะทำได้ ในส่วนที่เป็นโลกุตตรภูมิ ชั่วคราว จำให้ดีว่ามีคำว่าชั่วคราว เรามีอะไรเป็นพื้นฐานธรรมดามากที่สุด เราก็เรียกว่ามีสิ่งนั้นเป็นประจำ เมื่อเรามีสิ่งอื่นซึ่งไม่ใช่อย่างนั้นก็เป็นการชั่วคราว ซึ่งคนธรรมดาสามัญที่สุดนี้ ก็ต้องเป็น กามาวจรภูมิ ชอบของรักของใคร่ ก็เรียกว่า ราคะ หรือโลภะ เกิดขึ้น นี้พอไม่ได้ตามนั้นก็ขัดใจเกิดขึ้นมาเป็น โกรธะบ้าง เป็นโทสะบ้าง นี้พอมันไม่แน่ว่าจะเป็นอย่างไร สงสัย ลังเล วนเวียนอยู่ ก็คือเป็นโมหะ วิตก กังวล ลังเล สงสัย เป็นโมหะ นี้มันก็วนอยู่ที่ โล โลภะ หรือราคะ หรือโทสะ หรือโกรธะ แล้วก็โมหะ เรียกสั้นว่า โลภะ โทสะ โมหะ ๓ อย่าง ก็ต้องฝึกให้มันพ้นจากไอ้ ๓ อย่างนี้ให้มากเท่าที่จะมากได้ แต่ไม่ใช่หมดนะ มันจะหมดไม่ได้สำหรับพวกที่อยู่ในกามาวจรภูมินี้ นั้นจึงควบคุมในบางเวลา ให้มันว่างเป็นในบางเวลา ให้ได้รับความพักผ่อนบ้าง ถ้ามีความกระสันต์ ใคร่ในกามารมณ์ตลอดเอ้อ, ๒๔ ชั่วโมง มันก็ต้องตายแน่ มันต้องมีระยะที่พักผ่อน อ้า, หรือว่าอยู่ด้วยความสงบ หรือว่าไปเล่นไอ้สิ่งที่มันไม่ใช่เกี่ยวกับกามนี้ แต่มันก็เป็นเรื่องรูป เรื่องอรูปก็ได้เหมือนกัน ก็พอใจในการเรียน ในการงาน ในการกีฬา ในวัตถุสิ่งของ ในศิลปะ มันก็สลับกันไปได้ นี่เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า จิตนี้มันจะอยู่ด้วยสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยตลอดเวลามันไม่ได้ แม้แต่คนชั้นกามาวจรภูมิ นี้ไม่ใช่ว่าจะอยู่กับกามตลอดไป เพียงแต่มันมีนิสัยสันดานหรือระดับของจิต เอ้อ, ชอบสิ่งนี้เป็นประจำ เป็นพื้นฐาน แต่ในบางเวลามันก็ไปชอบรูปล้วนๆ หยุดพักบ้างจากกามารมณ์ หรือไปชอบนามล้วนๆ เช่น ไปหลงเกียรติ หลงเอ้อ, ชื่อเสียง ยิ่งกว่ากามมันก็มีได้ แต่อย่าได้เข้าใจว่าเค้าไปบูชาเรื่องเกียรติสูงสุด ยิ่งกว่าไอ้เรื่องกามารมณ์ นั้นคนชนิดนี้เขาจะมีเกียรติมีอะไรก็ ก็ล้วนแต่ใช้เพื่อหากามทั้งนั้น มีอำนาจวาสนา มีเกียรติ มีทรัพย์สมบัติ มีวัตถุ ศิลปะ อะไรก็ตาม เขาจะเพื่อกามทั้งนั้น นี้คนพวกที่ ๑ นี้ ถ้าจะฝึกจิต ก็มีหน้าที่ฝึกจิตให้พ้นจากกาม พ้นจากอำนาจของกาม เป็นอิสระมากขึ้น ไอ้พวกที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ นั้นก็ ยังไม่พูดถึง เพราะมันยังไกลอยู่ ก็มาพูดถึงเรานี้ที่ว่าอยู่ในกามาวจรภูมิ โลกที่เราอยู่มันมีความหมายไปในทางกามหมด มันก็เลยเรียกว่า กามาวจรภพ ภพของสัตว์ผู้มีจิตใจยินดีแต่ในกาม เรียกสั้นๆ ว่า กามโลก โลกที่มีกาม คราวนี้ก็ต้องสังเกตดูให้ดี เป็นความลับอยู่อีกอันหนึ่ง ว่าถ้าคนเรามีจิตใจอย่างไร คือต้องการอะไร มันจะมองเห็นแต่สิ่งนั้นนะ สิ่งอื่นไม่มองเห็น คือในโลกนี้ มันมีให้ครบ จนเลือกเอากามก็ได้ เลือกเอารูปก็ได้ อรูปก็ได้ โลกุตตระก็ได้ แต่สัตว์ที่มีจิตใจต่ำในระดับที่พอใจในกามจะไม่มองเห็นสิ่งอื่นนอกจากสิ่งที่เป็นกาม ก็หมายมั่น มุ่งมั่น แต่เรื่องกาม เด็กๆ พอโตขึ้น รู้จักความหมายของสิ่งที่เรียกว่ากาม อ้า, ก็เริ่มหลงใหลหนักขึ้นในสิ่งที่เรียกว่ากาม นี่เรียนหนังสือหนังหาก็มุ่งหมายมีกามเป็นเบื้องหน้า เรียนสำเร็จแล้ว ก็ไปประกอบอาชีพ ได้เป็นเอ่อ, กำลังทรัพย์มาก็เพื่อจะบริโภคกามทั้งนั้น นี่ก็เรียกว่าเป็นเรื่องของกามล้วน แม้เขาจะหาชื่อเสียง หาอะไรก็ตามเขา หวังว่าจะได้เป็นเครื่องมือแสวงหากามทั้งนั้น นี้รู้จักตัวเองกันในลักษณะอย่างนี้หรือเปล่า มันก็คือรู้จักจิตว่ามันมีปัญหาอยู่อย่างนี้ มีลักษณะอย่างนี้ แล้วจึงจะรู้ต่อไปว่าเราจะจัดการกับมันอย่างไร จะฝึกกับมันอย่างไร ไอ้เรื่องกามารมณ์นั้น ก็มีความลับอยู่ในตัวมันเอง คือเป็นของร้อน แต่คนไม่รู้สึกว่าร้อน ถ้ารู้สึกว่าของร้อนเหมือนกับไฟ แล้วใครจะไป จะไปยุ่งกับกามารมณ์ มันเป็นเรื่องร้อนอีกชนิดหนึ่งซึ่งเข้าใจยาก เห็นได้ยาก แล้วเป็นเรื่องทางจิต ทางวิญญาณ ร้อนก็ร้อนในทางวิญญาณ ให้เข้าใจความหมายคำว่าร้อน ในลักษณะอย่างนี้กันเสียบ้าง ก็จะเข้าใจเรื่องจิตได้ง่ายขึ้น กามารมณ์เป็นของร้อนในความหมายทางวิญญาณ เป็นของเสียดแทง ยอกตำด้วยในทางวิญญาณ เป็นของผูกพันให้หมดอิสรภาพในทางวิญญาณ เป็นของทำให้มืดเหมือนกับความมีดเพราะตาบอดในทางวิญญาณ ถ้ามองเห็นอย่างนี้แล้วก็คงจะอยากอย่างยิ่งที่จะฝึกจิตให้พ้นจากอำนาจของกามารมณ์ ถ้าไม่มองเห็นข้อนี้มันก็เป็นธรรมดาที่จะต้องจมอยู่ในสิ่งที่เรียกว่ากามารมณ์ ทนรับปัญหา ทนลำบาก ยากเข็นไป เพื่อจะให้ได้อยู่กับสิ่งที่เรียกว่ากามารมณ์ นี้ก็จะเห็นได้ว่ามันมากเกินไป อย่าให้มันมากถึงขนาดนั้น ให้รู้จักปรับกันให้เข้ารูปเข้ารอย ในฐานะเป็นสิ่งที่จะต้องไปด้วยกันก่อน สำหรับคนธรรมดาสามัญ นี้ก็เลยมีวิธีฝึกจิตตามสมควรแก่ความประสงค์ คือควบคุมไว้ระดับหนึ่ง ส่วนหนึ่ง ปล่อยไปให้พอเหมาะพอสมเท่านั้นเอง มันมีปัญหาลึกเอ้อ, ลงไปอีก ถึงเรื่องซึ่งมันเป็นเรื่องของธรรมชาติ เกี่ยวกับธรรมชาติ ถ้าเราไม่รู้เราก็จะทำเล่นๆ กับสิ่งเหล่านี้ เกี่ยวกับเรื่องนี้ อ้า, คุณจะต้องไปอาศัยความรู้ทาง Biology ทางชีวิต เรื่องชีวิตของสิ่งที่มีชีวิต มาได้อย่างไร รอดมาถึงบัดนี้ได้อย่างไร ตั้งต้นมาเมื่อกี่ล้านปีแล้ว แล้วก็มาถึงบัดนี้ เป็นมนุษย์อยู่อย่างนี้ มันมีความลับที่เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า ชีวิต ก็คือการสืบพันธุ์ นี้มันประหลาดนะถ้าว่าไอ้การสืบพันธุ์แล้วต้องมีความยุ่งยากลำบากทั้งนั้น สืบพันธุ์ของต้นไม้ก็ดี ของสัตว์เดรัจฉานก็ดี ของมนุษย์ก็ดี เพราะมันเป็นสิ่งที่ยุ่งยากลำบากนี่ ธรรมชาติมันก็ฉลาดกว่า เหนือกว่า มันก็ใส่อารมณ์หรือความรู้สึก ที่เป็นที่ตั้งความยึดมั่นถือมั่นที่สุดนี่ สิ่งที่มีชีวิตจึงทำการสืบพันธุ์ นับตั้งแต่ต้นไม้ ถึงสัตว์เดรัจฉาน ถึงคน ไอ้สิ่งนั้นแหละคือสิ่งที่เราเรียกเวลานี้ว่า กาม หรือ กามารมณ์ มันจึงเอาชนะยาก มันกลายเป็นสิ่งที่ธรรมชาติหรือพระเจ้าก็แล้วแต่จะเรียก ที่เหนือกว่ามนุษย์หรือสัตว์ทั้งหลายใส่มา ให้เสร็จในนี้ คือว่า พอเจริญ เอ่อ, เติบโตขึ้นมาจากความเป็นเด็กมันก็ถึงระยะที่ต่อม gland ทั้งหลายที่ธรรมชาติใส่มานั้นขยายตัวออกเป็นความรู้สึกทางกามารมณ์ สัตว์เดรัจฉานก็ตาม ต้นไม้ก็ตาม ก็เกิดเป็นตัณหาขึ้นมา ซึ่งออกจะเหลือวิสัยของมนุษย์ที่จะหลีกเลี่ยงข้อนี้ได้ นั้นอย่างน้อยมันก็ต้องเป็นไปตามนั้นพักหนึ่งก่อน จนรู้รสรู้ชาติ เข็ดฟันนั่นแหละจึงจะค่อยเปลี่ยน แต่ถ้ามีความรู้เอ้อ, ไว้ล่วงหน้า มันก็อาจจะจัดให้พอดีได้ นี่ถือว่ามันเป็นเพียงสิ่งที่ต้องทำตามธรรมชาติเท่าที่จำเป็นจะต้องทำ แล้วปัญหาก็มีไม่มาก เดี๋ยวนี้เราไม่ได้จัดกันอย่างนั้น กลับเป็นเรื่องที่ลุ่มหลง หลงใหล อยากให้มีขอบเขตเสียมากกว่า นี้พวกฝรั่งทำได้ ได้ดีกว่าเรา เราไปตามก้นพวกฝรั่ง เพราะเขาก้าวหน้าทางวัตถุ เราก็พลอยมีปัญหามากไปตามเขาด้วย ถ้าเราเป็นพุทธบริษัทนับถือพุทธศาสนา มันก็ต้องรู้จักควบคุมตัว หรือควบคุมจิตด้วยการฝึกจิตอะไรก็ตาม ให้มันอยู่ในลักษณะที่ไม่มีความทุกข์มาก ให้พอเป็นไปได้ ให้เป็นเพียงการศึกษา หรือว่าอย่างน้อยที่สุดก็ระงับความกระวนกระวาย เหมือนกับการกินอาหารระงับความหิว นี้ทางร่างกายพอเราหิว เรากินอาหารระงับความหิว แล้วก็เลิกกัน ถ้าเราไปหลงในรสอาหารมากกว่านั้น อาหารมันก็กลายไปเป็นกามารมณ์อย่างหนึ่งไปด้วย เหมือนที่เขาเที่ยวกินนั้นกินนี้อร่อยลิ้นเกิน เกินความจำเป็นนั้น กินอย่างนั้นเป็นกามารมณ์ ถ้ากินที่บ้านหรือกินที่ไหนก็ตาม เท่าที่จำเป็นแก่ความหิวล่ะก็นี้ไม่เป็นกามารมณ์ เป็นอาหารเท่านั้น เป็นอาหารทางร่างกายโดยตรงเป็นอย่างนั้น นี้่อาหารทางจิตชนิดหนึ่งซึ่งธรรมชาติใส่มาในรูปของการต้องสืบพันธุ์นี้ ก็ทำให้พอดีเหมือนกัน การทำให้ความระงับ และให้ การให้เกิดความระงับทางไอ้ความรู้สึกใคร่ในทางเพศนั้นนะ ทำแต่พอดี อย่าให้บูชาเรื่องนั้น แล้วทำไปไม่มีขอบเขต มันจะหลงเหมือนกับที่เป็นอยู่โดยมากในโลกเวลานี้ อะไรนิดหนึ่ง หรือมากเท่าไหร่ก็เพื่อกามารมณ์ ไม่ได้อย่างใจ นิดเดียวก็ฆ่าตัวตายได้ เพราะความโง่ในเรื่องกามารมณ์ นี้มันมากไป ดังนั้นส่วนนั้นต้องตัดออกไป เหลือไว้แต่ส่วนที่จะทำไปอย่างถูกต้องอย่างมีระเบียบ เพื่อจะผ่าน ผ่านการสอบไล่ของธรรมชาติอันหนึ่งไป ความเป็นหนุ่มเป็นสาว ในรุ่นนี้ จะต้องผ่านข้อสอบไล่นี้ไปอย่างถูกต้อง ไม่ได้เว้นขาดตัดขาด แต่ให้ทำไปในลักษณะที่ไม่เป็นโทษไม่เป็นอันตรายขึ้นมา นั้นที่เกิดระบบการฝึกจิต ควบคุมจิตไม่ให้เป็นทาสของกามารมณ์ไปตามสมควร เรียกว่าศาสนา มาอยู่ในระบบวัฒนธรรมประจำบ้านเรือน คนหนุ่มคนสาวจะต้องรู้จักตั้งจิต ดำรงจิต ควบคุมจิต ในวิธีที่ถูกต้อง ที่เกี่ยวกับกามารมณ์ เค้าบอกหมายความว่าเกี่ยวข้องกับกามารมณ์ได้ในลักษณะที่ไม่เป็นอันตราย นั้นเรียก เรียกว่าไม่ ไม่ใช่เว้นขาดจากสิ่งที่เรียกว่ากามารมณ์ แต่ว่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่ากามารมณ์ด้วยจิตที่ฝึกฝนดีแล้ว ให้จิตเป็นฝ่ายชนะไว้เรื่อย ให้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอ้า, เป็นฝ่ายชนะกามารมณ์ไว้เรื่อย เมื่อเป็นดังนี้แล้วกามารมณ์ก็ไม่เป็นโทษไม่เป็นอันตรายแก่เอ่อ, บุคคลนั้น ถึงกับเป็นเรื่องฉิบหายวายวอดไปเลย ก็ใช้เป็นประโยชน์ได้ เป็นเอ้อ, สิ่งที่ ที่ช่วยสืบพันธุ์มนุษย์ให้คงอยู่ได้ นี้เป็นวัตถุประสงค์อันใหญ่ของธรรมชาติ แต่อย่าให้กลายเป็นเรื่องบูชากามารมณ์ เราเป็นลูกจ้างธรรมชาติ ใช้ความยุ่งยาก อ้า, เหน็ดเหนื่อย ยุ่งยาก ลำบาก เพื่อสืบพันธุ์ไว้ ก็เท่านั้นก็ไม่เป็นไร พระเจ้ายังรัก ยังนับถือคนชนิดนั้น แต่คนที่มันไปลุ่มหลงกามารมณ์เป็นเรื่องยิ่งกว่าพระเจ้า เป็น over sex อะไรอย่างนี้ พระเจ้าก็ลงโทษ เอ่อ, คนชนิดนั้น ให้มันฉิบหายวายป่วงไป หรือให้มันเดือดร้อน ทนทุกข์ เหมือนกับตกนรกทั้งเป็นนี้ นี่เกี่ยวกับการฝึกจิต ก็เพื่ออย่าให้ต้องตกนรกทั้งเป็น หรืออย่าให้ถูกพระเจ้าลงโทษ ที่นี้ไม่มีใครพูดกันถึงเรื่องนี้ การศึกษาในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัย ไม่พูดกันถึงเรื่องนี้ แต่ไปยุไปทำให้หลงใหลในกามารมณ์ มากยิ่งขึ้นไปโดยไม่รู้สึกตัว โลกจึงบ้ามากถึงขนาดนี้ คุณไปดูเอาเองก็แล้วกัน เพราะในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัย ในอะไรก็ตาม เขาไม่ได้สอนเรื่องนี้ ให้รู้ ให้ทำให้ถูก คนก็หลงใหลกามารมณ์ เรียนจบมหาวิทยาลัย อ้า, ไปบูชายาเสพติด หรือไปเป็นฮิปปี้ กามารมณ์เลยเถิด เรื่องกัญชาเรื่องอะไรที่กระตุ้นใจให้เคลิบเคลิ้ม นั้นก็เป็นเรื่องกามารมณ์ชนิดหนึ่ง อย่าเข้าใจว่าไม่เกี่ยวกับกามารมณ์ ไอ้เรื่องเพศนั้นเป็นเรื่องกามารมณ์โดยตรงมาก แต่เรื่องทำจิตให้เคลิบเคลิ้มด้วยความมึนเมา นี้ก็เป็นกามารมณ์อีกชนิดหนึ่ง ซึ่งมันมีทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทาง ทางใจ ให้หลงใหลเคลิบเคลิ้ม น่าหัวนะ ที่ว่าพอเรียนจบแล้ว เขาไปบูชายาเสพติด อย่างประเทศอเมริกานี่ ระบุชื่อตรงๆ เลยว่า เดี๋ยวนี้ก็มีปัญหาหนักเกี่ยวกับยาเสพติด เพราะยาเสพติดนี้ก็เป็นไปในหมู่คนที่ได้รับการศึกษาแล้ว มันก็เป็นเรื่องตลกสิ้นดี หรือจะเรียกอีกทีว่าเป็นเรื่องบ้าบอสิ้นดี เรียนเสร็จแล้วก็เป็นทาสของยาเสพติด ทางหนึ่งก็เป็นเรื่องสงครามกอบโกยวัตถุ ปัจจัย ล้วนแต่มีมูลเหตุอยู่ที่กามารมณ์ทั้งนั้นแหละ ก็เขาต้องการเงินมากเพื่อใช้ เพื่อกามารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง นี่มหาวิทยาลัย โรงเรียน โรงเรียนก็ไม่สอน ก็คนก็เป็นทาสกามารมณ์กันไปทั้งโลกพร้อมๆกัน ไม่มีการฝึกจิตเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทีนี้เราเกิดมาจะรู้เรื่องนี้ขึ้นมา เรื่องการฝึกจิต ควบคุมตัวให้อยู่ในความถูกต้อง นี้ปัญหามันก็มีขึ้นมาเฉพาะ เขาไม่ทำ เราทำ เพื่อให้เราได้ความเป็นมนุษย์ที่ดี เอาละทีนี้ก็จะพูดถึงเรื่องการฝึกจิต โดยตรง ยิ่งๆขึ้นไปอีก ฝึกจิตเพื่อประโยชน์อะไร พระพุทธเจ้าท่านระบุไว้ เป็น ๔ อย่าง อันที่หนึ่งก็ฝึกจิต เพื่อให้ได้รับความสุขชนิดที่ดีกว่าหรือแท้จริงกว่านี้ ในปัจจุบันทันตาเห็น ไม่ใช่ว่าต้องตายแล้ว หลังจากตายแล้ว เข้าโลงไปแล้ว ไปเกิดใหม่นะ ถ้าเกิดใหม่ก็เกิดชนิดที่จิต เดี๋ยวเกิด เดี๋ยวเกิด ให้ได้รับความสุขที่ควรจะได้รับทันตาเห็น มันจึงไม่ใช่กามารมณ์ จึงฝึกจิตให้อยู่เหนืออำนาจกามารมณ์ เพราะมันมีความสงบเย็นจริงๆ นี่ทำจิตเป็นสมาธิ แล้วในสมาธินั้น มีความรู้สึกที่เป็นสุข เพราะสุขนั้นคือสุขจริงกว่ากามารมณ์ กระทำได้ทัน ได้รับทันทีเมื่อฝึก เอ้อ, เป็นผลตามมาก ตามน้อย นี้ข้อที่หนึ่ง ฝึกจิตเพื่อได้รับความสุขชนิดที่ดีกว่าที่จะไปลุ่มหลงตามธรรมชาติ จิตนี้เมื่อฝึกถูกวิธีแล้วก็เป็นได้อย่างนี้ นี้อันที่สองนี้เรียกว่า เพื่อสมรรถภาพเหนือธรรมดา จิตที่ฝึกแล้วมีสมรรถภาพเหนือธรรมดา มีหูทิพย์ ตาทิพย์ มีอำนาจทิพย์ มีปาฏิหาริย์ มีอะไรอย่างหนึ่ง อย่างใดนี่เหนือธรรมดาทั้งนั้น นั้นก็เป็นสิ่งที่ทำได้อย่างหนึ่ง เมื่อฝึกถูกต้องแล้ว เดี๋ยวนี้เราไม่ต้องการเรื่องนี้ เราไม่พูด เว้นเสียก็ได้ ถ้าใครต้องการก็ต้องไปศึกษาพิเศษ เป็นเรื่องพิเศษเฉพาะแนวนั้น อันที่สามนี้ ฝึกจิตเพื่อให้สมบูรณ์อยู่ด้วยสติสัมปชัญญะ เราเป็นคนเผลอเรอ บังคับตัวเองไม่อยู่ เผลอเรอไม่มีสติสัมปชัญญะ แล้วฝึกจิตนี่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ฝึกได้ ให้เป็นจิตที่สมบูรณ์ด้วยสติสัมปชัญญะ ไม่มีความเผลอเรอ นี่ข้อที่สามได้ผลอย่างนี้ อันนี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งอ้า, สำหรับนักศึกษาทุกคน กระทั่งผู้ที่จะดำเนินชีวิตต่อไปจนกระทั่งตาย มีชีวิต มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ขอให้นึกถึงความที่เราไม่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ แล้วมีปัญหาอย่างไรบ้าง ตั้งแต่เกิดมาจนบัดนี้ นี่ฝึกจิตเพื่อผลอันนี้ เป็นอันที่สาม อันสุดท้ายอันที่สี่ก็เพื่อสิ้นกิเลส อาสวะ มันต้องทำไปตามแบบ วิธีที่จะให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ไปหลงใหลในสิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งกิเลส แล้วกิเลสก็ไม่เกิด นี่เพื่อจะบรรลุ มรรคผล นิพพาน ฝึกจิตเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานเป็นอันสุดท้าย ใน ๔ อย่างนี้ก็ลองคิดดู เราจะเกี่ยวข้องกับอย่างไหนมากที่สุด ใน ๔ อย่างนี้ อาตมาเห็นว่าไอ้อันที่ ๓ ให้มีสติสัมปะชัญญะที่สุดนะ ก็ดูจะจำเป็นมากที่สุด สำหรับพวกเราสมัยนี้ สติสัมปชัญญะเป็นสิ่งสำคัญ ในทุกสิ่งน่ะ ปราศจากสติสัมปชัญญะแล้วมันก็ผิดกันทั้งนั้น ก็พลาดทั้งนั้น ทีนี่ทำอะไรก็ไม่ได้ คิดอะไรก็ไม่ออก ตัดสินใจอะไรก็ไม่ถูก ฉะนั้นฝึกจิตให้มีสติสัมปชัญญะเป็นข้อสำคัญ เป็นความมุ่งหมายอันสำคัญ กิเลสเกิดก็เพราะไม่มีสติสัมปชัญญะ ทำอะไรผิดก็เพราะไม่มีสติสัมปชัญญะ นับตั้งแต่ว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จะเดินสะดุดหกล้ม อ้า, แข้งถลอกมันก็เรื่องไม่มีสติสัมปชัญญะ ทำอะไรผิดอย่างร้ายแรงที่สุด มันก็เพราะไม่มีสติสัมปชัญญะ ให้นึกถึงข้อนี้กันให้ได้ นี้ส่วนข้อที่ ๑ ที่ว่า มีความสุขปัจจุบันทันตาเห็น เอ้อ, กามารมณ์ไม่รบกวน มันก็ควรเหมือนกัน เพราะถ้าเราหาความสุขได้จากนี้ กามารมณ์ก็ไม่ทำอันตรายเรา เราควบคุมกามารมณ์ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นเราจะเป็นทาสกามารมณ์เหมือนคนบ้าทั้งหลาย ที่บ้ากามารมณ์ทุกวันคืน นี้ข้อที่ ๒ ที่ว่าให้จิตมีสมรรถภาพเหนือธรรมชาติ มีอิทธิปาฏิหาริย์ นั้นเราก็เอาบ้าง แต่อย่าไปหลงใหลให้มันเป็นเรื่องเอาประโยชน์ เอาเปรียบคนอื่น เช่น ว่าเราอยากคิดเก่ง จำเก่ง ก็เป็นปาฏิหาริย์เหมือนกัน ถ้าเราฝึกแล้วมันจะทำให้อวัยวะของเรา ตา หู จมูกอะไร มีสมรรถภาพพิเศษออกไปได้เหมือนกัน เป็นเชิงปาฏิหาริย์ แต่อย่าเอามากมายจนถึงวกับแสดงปาฏิหาริย์ อย่างที่เขา เขากล่าวกันนั้นแหละ ให้มีความเข้มแข็ง แข็งแรง เอ่อ, ความจำ ความ การได้ยิน ได้ฟัง ได้ดม ได้ลิ้ม อะไรนี่ให้มันพิเศษหน่อย ก็เรียกว่า ปาฏิหาริย์ได้ แต่ถ้าไม่สนใจก็ได้นะ ไอ้เรื่องนี้ แต่อยากจะให้รู้ไว้ ถ้าเราทำจิตได้ดีนะ นี้ นี้ นี้เป็นหัวข้อที่ต้องจำ ถ้าเราฝึกจิตได้ดี ตาของเราจะเห็นอะไรดีกว่าจิตที่ไม่ได้ฝึก หูของเราจะได้ยินอะไรมากกว่า อ้า, ผู้ที่จิตไม่ได้ฝึก แม้แต่จมูกก็จะได้กลิ่นอะไรมากกว่า ในเมื่อจิตเป็นสมาธินี้ จิตจะได้กลิ่นอะไรดีกว่า เอ่อ, หูก็ได้ยินอะไรดีกว่า ตาก็เห็นอะไรดีกว่า แม้แต่ลิ้นก็จะรู้รสอะไรดีกว่า กระทั่งผิวหนังก็เหมือนกัน สัมผัสอะไรได้ดีกว่า นั่น มัน มันมีลักษณะเป็นปาฏิหาริย์อย่างนี้ แล้วรู้จักทำให้ได้ประโยชน์ตามที่ควร ที่เขาส่งกระแสจิตถึงกันได้ แล้วเห็นอะไรได้อย่างตาทิพย์ เขาก็คือฝึกกันข้อนี้ ฝึกเรื่องปาฏิหาริย์ นี่อย่างที่ ๑ มีความสุขก็ควรทำ อย่างที่ ๒ มีสมรรถภาพเหนือธรรมชาติ เกินกว่าธรรมชาตินี้ก็ทำ บ้าง แต่ที่ทำมากก็คือมีสติสัมปชัญญะ อันสุดท้ายที่ว่าทำกิเลสให้สิ้น นี้ก็ต้องทำอยู่เรื่อยๆ ตามสมควรแก่เรา ที่ยังอยู่เอ่อ, ในขั้นนี้ ในระดับนี้ แม้แต่เด็กๆ ก็ต้องรู้จักควบคุมกิเลส อย่าให้เกิดโลภ เกิดโกรธ เกิดหลง ตามภาษาเด็กๆ อันนี้สูงขึ้นมาเป็นคนหนุ่มคนสาว พ่อบ้านแม่เรือนก็ต้องรู้จัก จัดการกับกิเลส โลภ โกรธ หลงนี่ตามสมควร เสร็จเรื่องนี้แล้วก็ทำจนเต็มที่ให้มันหมดกิเลสเสียบ้าง แต่ถ้าบางคนเค้าเกิดชอบขึ้นมา เขาจะทำตั้งแต่หนุ่มๆ นี้ก็ได้ ก็เป็นสิทธิที่เขาจะทำได้ ถ้าเราไปว่าเขาเราก็โง่เอง ดังนั้นจึงมีผู้ถึงพระอรหันต์อายุน้อยๆ ไม่ผ่านการครองเรือนนี้ก็มี แต่จำนวนน้อยมากล่ะ น้อยจนต้องเป็นประมาณไม่ได้ แต่ก็มี เกิดเห็นว่าอันอื่นมีสาระน้อยกว่า ความเป็นผู้มีจิตใจอยู่เหนือ เอ่อ, เหนืออิทธิพลของสิ่งทั้งปวงนี้ประเสริฐกว่า ก็เลยไปหาอันนั้น แล้วก็ตั้งตัวเป็นผู้แนะนำสั่งสอนเรื่องนี้ แล้วก็มาสอนคนในโลกธรรมดาสามัญนี้อีกก็ได้ นี้พิเศษ ทีนี้พวกคุณก็สรุปเอาเองสิว่าฝึกจิตแล้วฝึกอย่าง ฝึกเพื่ออะไร ในเมื่อพระพุทธเจ้าท่านได้กล่าวไว้ ๔ อย่าง อย่างนี้ ก็ต้องว่าเพื่อให้มันสำเร็จประโยชน์แก่การเป็นมนุษย์ อยู่ในโลกนี้มีความทุกข์น้อย มีประโยชน์มาก นี้ไอ้ระบบที่วางไว้นี้ ไอ้ระบบที่ว่าให้มีสติสัมปชัญญะที่สุดนั้นมันจะดีที่สุด ตรงกับความต้องการที่สุดของคนในโลก ในสมัยปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะคนหนุ่มคนสาว ก็ต้องมีสติสัมปชัญญะมากขึ้นๆ ถ้าเพียงแต่ว่าอวัยวะภายใน ต่อมอะไรทั้งหลายเจริญรุนแรงขึ้น ไอ้ความรู้สึกมันก็รุนแรงขึ้น ผลุนผลันขึ้น ก็ต้องการสติสัมปชัญญะมากขึ้น แล้วยิ่งต่อไป ก็เออ, เลยนี้ไปแล้ว ก็จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบมากขึ้น เป็นพ่อบ้าน แม่เรือน เป็นผู้บังคับบัญชา ย่อมมีความรับผิดชอบมากขึ้น มันก็ยิ่งต้องการสติสัมปชัญญะมากขึ้น นั้นการฝึกสติสัมปะชัญญะไว้ตั้งแต่เล็กๆ ลูกเด็กๆ นี่ดีที่สุด ซึ่ง ซึ่งไม่เคยมีใครมอง เขาไม่ค่อยมอง เขาให้ไปเรียนนั่นเรียนนี่ กระตุ้นไปให้มันเพ้อเจ้อ ไปโดยเร็วนี้สติสัมปชัญญะก็ตามไม่ทัน เป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้นมาก็ยังไม่รู้จะไปทิศไหนทางไหน ก็เป็นโลกที่เอ้อ, มืด ไม่รู้ว่าไปทิศไหนทางไหน อย่างเดี๋ยวนี้ อย่างเดี๋ยวนี้ก็ต้องถือว่าเป็นโลกที่มืด แล้วก็เป็นอันว่า อยากให้ถือกันว่าเป็นการฝึกให้มีสติสัมปชัญญะนี้สำคัญกว่า เพื่อจะมีการบังคับใจได้ มีความสงบสุข นี่เวลาวันนี้ก็จะพูดกันได้แต่ส่วนทฤษฎี ที่เกี่ยวกับการฝึกจิต เดี๋ยวค่ำนี้เราจะพูด เราจะแสดงไอ้เรื่องการฝึก วิธีฝึกกันโดยตรง ตอนนี้ก็ต้องพูดไอ้ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกัน ให้เข้าใจเป็นลู่ทาง นี่ต่อไปนี้ก็พูดทฤษฎีที่เกี่ยวกับการฝึก เมื่อพูดถึงคำว่าฝึกจิต ก็มีใจความสั้นๆ เป็นบทนิยาม ว่า ฝึก จิต ให้ อยู่ ใน อำนาจ ใช้คำว่าของเรา ที่จริงมันก็ของจิต จิตนี้มันเป็นสิ่งเดียวที่ยึดรวมอยู่เรื่อย ฝึกจิตให้อยู่ในอำนาจของเรา นี่เป็นข้อแรก เดี๋ยวนี้ กล้าพูดไหมเอ้อ, ว่า เรามีจิตอยู่ในอำนาจของเรา ใครกล้าพูด เราเสียอีก เสียอีกที่อยู่ในอำนาจของจิต ถ้าพูดอย่างนี้สับสนกำกวมแล้ว ก็จะพูดเสียใหม่ว่า เดี๋ยวนี้ความรู้สึกฝ่ายต่ำฝ่ายเลว อยู่ในอำนาจของความรู้สึกฝ่ายสูงไหม เอาความรู้สึกฝ่ายสูงเป็นตัวเรา เอาความรู้สึกที่เป็นไปตามธรรมดาสามัญ สัญชาตญาณนั้นน่ะเป็นจิต จิตที่ไม่ได้ฝึกมันก็ไปอย่างนั้น ก็แส่ไปหากาม หากามารมณ์เป็นธรรมดา ที่เป็นพื้นฐานของจิต จะฝึกจิตให้อยู่ในอำนาจของเรา หรือว่าอยู่ในอำนาจของจิต ที่เป็นฝ่ายสูง รู้จักผิดชอบชั่วดี นั้นพอพูดว่าเรา เราในที่นี้หมายถึงจิต ฝ่ายสูงคือความรู้สึกผิดชอบชั่วดี นี้เรามีจิตอยู่ในอำนาจของเราไหม ทำไมเราจึงบังคับมันไม่ได้ ที่ไม่ให้ไปทำสิ่งที่ไม่ควรทำ แม้ที่สุดแต่เราจะบังคับให้มันหยุด หยุดรัก หยุดโกรธ หยุดเกลียด หยุดกลัว หยุดอะไรเหล่านี้เราก็ทำไม่ได้ นี้เรามีอำนาจเหนือจิต มันต้องฝึกกันในข้อนี้ก่อนให้มันมีอำนาจเหนือจิตก่อน นี่คือให้เป็นสมาธิก่อน ฝึกจิตให้อยู่ในอำนาจของเรา ใช้คำว่าเรา สมมุติ แล้วขั้นที่สองเราก็ฝึกในการใช้จิตนั้นให้ทำสิ่งที่มีค่าที่สุด คือรู้แจ้ง ถ้าตามทางธรรมะ ก็ให้รู้แจ้งธรรมะ แล้วก็หมดกิเลส หมดทุกข์ไปเลย มันมีอยู่สองตอนนี้ ตอนแรก ให้จิตมันอยู่ในอำนาจของเรา นี้เป็นการเตรียมตัวขั้นต้น แล้วก็ใช้จิตที่อยู่ในอำนาจของเราฝึกดีแล้วนี้ ทำสิ่งที่ควรทำที่สุดตามความประสงค์ของคนคนนั้น แล้วแต่ว่าเค้าต้องการจะเป็นอย่างไร ถ้ายังคงเป็นฆราวาสต่อไป ก็ทำงานอย่างฆราวาสต่อไป แต่ให้ดีที่สุดสำหรับ สมกับที่ว่าจิตมันฝึกแล้ว แต่สำหรับผู้เป็นนักบวชจะไปบรรลุมรรคผลนิพพาน มันก็ไปตามแนวของนักบวช แต่ใน ในขั้นต้นจะเหมือนกัน ที่สุดตรงที่ว่า บังคับจิตให้อยู่ในอำนาจของเรา บังคับจิตก็คือจับจิตมา อ่า, ให้อยู่กับสิ่งที่เป็นบทเรียนสำหรับบังคับ มนุษย์เริ่มรู้จักสิ่งนี้เป็นที่อ่า, เป็น เป็นคราวแรก ก็เลยใช้คำพูดเพื่อจะเรียกระบบงานอันนี้ว่า โยคะ โยคะ ก็หมายความตามธรรมดาสามัญ ภาษาชาวบ้านธรรมดา ก็คือ เอาวัวมาเทียมแอกแล้วก็ไถนา หรือลากเกวียน มันเป็นคำพูดที่พูดอยู่ก่อน ก่อนมนุษย์รู้เรื่องจิต มนุษย์รู้จักเอาวัว เอาสัตว์มาเทียมแอกแล้วก็ไถนา หรือลากเกวียน หรือใช้จูง มนุษย์จะทำได้ สิ่งนั้นเรียกว่า โยคะ พอค้นพบเรื่องทางจิตก็เอาโยคะ คำชาวบ้านนี้มาใช้ เป็นเรื่องทางจิต ทางธรรม ทางศาสนา ดังนั้นคำมันจึงเหมือนกัน ที่เราเข้าใจได้ง่าย โดยไปมองดูที่ว่า เอาวัวมาเทียมแอกนี่ มันต้องฝึกเพราะว่าวัวธรรมดา มันไม่ยอม ไม่ยอมเข้าไปในแอก ไม่ยอมให้เทียมแอก ก็ต้องเฆี่ยน ต้องตี ต้องทำกันจนไอ้วัวก็ตาม ม้าก็ตาม หรือสัตว์อะไรก็ตาม มันยอมมาเทียมแอกก่อนเป็นขั้นแรก ถึงจะฝึกให้มันไถนา ลากเกวียนอะไรไป ลากรถไปตาม นี่ตอนนี้ทะลึ่งตึงตังอันตราย ก็ดูที่เค้าจะฝึกช้างฝึกม้า ฝึกวัว ฝึกอะไรให้มันลาก ยอมรับแอก มันอันตราย เพราะว่ามันเป็นสัตว์ป่า คือเปลี่ยวป่า ไม่รู้ประสีประสา จิตก็เหมือนกันแหละ มันก็เหมือนกับสัตว์ป่า เอามาทำให้เป็นจิตที่ฝึกดีนี่มันก็ต่อสู้ บางทีก็ทำให้เป็นอันตรายก็มี แต่จิตคนบางคนซึ่งทำไม่เป็น แต่ในที่สุดมันก็ล้มเหลว เมื่อทำไม่เป็น ต้องทำถูกวิธีจึงจะทำได้สำเร็จ อย่างไม่น่าเชื่อ หลายเท่าที่เดียว ก็ดูช้างในป่าจับมา มาฝึกนี่ มันอันตรายอย่างยิ่ง โกลาหล วุ่นวายตึงตังที่สุด แต่พอฝึกได้แล้ว คุณก็ไปดูช้างในละครสัตว์ หรือว่าช้างที่เขาแสดง ไอ้ช้างตามที่ต่างๆ นั่นมันไม่น่าเชื่อ มันยิ่งกว่าคนเสียอีก มันทำได้ มันเชื่อฟัง มันไม่มีอันตราย จิตนี้ก็เหมือนกัน แรกๆ มันเหมือนกับช้างป่า ควายป่า เอามาฝึกๆ กันบ้าง จะ จะยากหรือจะง่ายก็คำนวณเอาเองก็แล้วกัน เรายังต้องฝึกจิตถึงขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นไม่สำเร็จหรอก พูดแต่ปาก นี้มันก็มีวิธี มีเทคนิคของมัน จะต้องพูดกันโดยรายละเอียดคราวอื่นนะมันยืดยาว แต่นี้รู้ รู้กันแต่เพียงว่าต้องมีอะไรอันหนึ่ง ซึ่งมาเป็นหลัก ให้จิตมันเข้าไปอยู่กับสิ่งนั้นอย่างเรียบร้อย หลักปักสำหรับฝึกสัตว์ ฝึกช้าง ฝึกม้า มันก็มีหลักนะ อ้า, จิตก็เหมือนกัน ก็เหมือน จิตก็ได้หลัก คืออารมณ์ของสมาธิ จิตก็ประกอบที่นั่น ฝึกกันอยู่ที่นั่น จนมันเรียบร้อยไป นี่เรียกว่าฝึกจิตในขั้นให้อยู่ในอำนาจของเรา นี้พอได้แล้วก็ใช้จิตที่คล่องแคล่วดีอันนั้น ให้ทำงานที่ควรจะต้องทำ ที่ควรทำเพื่อผลดียิ่งๆ ขึ้นไป สามารถจะไปเรียนหนังสือ หนังหา หรือว่าจะไปทำงานที่ดีไปกว่านั้น ถ้าพระก็ไปทำงานละกิเลส มรรคผลนิพพานไปเสียเลย ถ้าพูดถึงคำว่าว่าง จิตว่าง ก็คือว่า เอ่อ, ว่างจากพยศร้าย ความเลวร้ายที่เรียกว่า กิเลส นี่เหมือนกับพยศร้ายของสัตว์ สัตว์ป่ามีพยศร้ายมันจะเอาคนผู้ฝึกให้ตายไปเรื่อยนะ เดี๋ยวนี้พยศร้ายนั้นว่างไปแล้ว นี้ก็เหลือจิตที่สะอาด สว่าง สงบ คล่องแคล่วว่องไวในการงาน ให้เห็นว่าเป็นสิ่งที่ มีค่า ค่ามากที่สุดก็เอาสิ ก็ต้อง ก็ต้อง ก็ตกลงใจแน่วแน่ ที่จะฝึกฝนจิตนี้เรื่อยๆ ไป ไม่ใช่เฉพาะชั่วเวลาที่มาพักอยู่ที่นี่ มันไม่ทัน มันไม่พอ มันต้องทำตลอดไป จะ จะ จะทำต่อไปโดยที่อื่นหรือว่าเวลาอื่นก็ได้ ก็ต้องทำต่อไป ตลอดชีวิตมากกว่า เดี๋ยวนี้พูดกันเฉพาะหลักเกณฑ์ ร่องรอย ลู่ทาง เข้าเงื่อน ที่จะฝึกได้ในลำพังต่อไปอีก แต่ถ้าไม่มองเห็นประโยชน์อ่า, โดยแท้จริงแล้ว ไม่เลื่อมใสศรัทธาโดยแท้จริงแล้ว ไม่สำเร็จ เพราะมันยากอยู่เหมือนกัน โกลาหลวุ่นวายอยู่เหมือนกัน จะยอมแพ้เสียง่ายๆ ฝึกจิตให้อยู่ในอำนาจ นี้เป็นหัวข้อที่ ๑ แล้วก็ใช้จิตที่ฝึกแล้วทำงานตามที่เราประสงค์ เป็นหัวข้อที่ ๒ ของการฝึกจิต มีอยู่เท่านี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์จะต้องทำ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงแนะนำอย่างนี้ เค้าเรียกว่า อธิจิตฺเต จ อาโยโค การประกอบในการทำ การประกอบความพากเพียรในการทำจิตให้ยิ่ง อธิจิตฺ คือ จิตยิ่ง จิตยิ่ง นี้คือ จิตยิ่งไปกว่าระดับธรรมดาสามัญ ถ้าเราจะปล่อยไปตามธรรมดาสามัญ มันก็ไม่ๆๆ ไม่เป็นจิตยิ่ง ต่อให้ไปเรียนมหาวิทยาลัย บรมมหาวิทยาลัย หมดที่จะเรียนได้ในโลกนี้ก็ไม่เป็นจิตที่ยิ่ง มันจะเป็นจิตที่ ที่หนักไปกว่า อ้า, ร้ายไปกว่าเดิมก็ได้ จนมันยิ่งหลงมาก มันยึดถือมากก็ได้ ถ้ามาทำให้จิตยิ่งก็ต้องฝึกไปตามแบบที่พระพุทธเจ้าเป็น อ่า, เป็นต้นได้วางไว้ เป็น เป็น เป็นวิทยาลัยอีกฝ่ายหนึ่ง คือฝ่ายจิต ให้จิตมีคุณสมบัติ มีลักษณะ มีสมรรถภาพสูง สูงขึ้นไปตามวิธีนี้ เรียกว่าจิตยิ่ง คือยิ่งกว่าธรรมดาสามัญ นี้เราเรียกว่าฝึกจิต ระบบฝึกจิต เรียกว่า อธิจิตฺตะ อาโยคะ อธิจิตฺตาโยค การประกอบความเพียร ในการทำจิตให้ยิ่ง มีลู่ทางอย่างนี้ เอ่อ, มีไอ้ทฤษฎีในเบื้องต้นของมันอย่างนี้ เวลาก็ มันหมดแล้ว หมดตามที่กำหนดไว้ คืนนี้ค่อยพูดกันถึงเรื่องว่าปฏิบัติลงไปอย่างไรโดยตรง วันนี้ก็เท่านี้ก่อน (นาทีที่ 0:54:35 มีผู้สนทนา ปุจฉา) นั่นนะก็พาดพิงกันอยู่ในพวกที่ ๒ ที่ว่าจะเห็นนรก เห็นสวรรค์ เห็นคนตายไปแล้ว เห็นพระพุทธเจ้านี้ ถ้าทำได้จริงนะ มันก็อยู่ในพวกที่ ๒ คือพวกที่ ๑ มีความสุข พวกที่ ๒ มีสมรรถภาพทางจิตเหนือธรรมดาอ้า, สามัญ อันนี้พูดยาก เพราะว่ามันมีทั้งที่จริงและไม่จริง แล้วที่จริงมันจะมีเพียงเท่าไรนี้ก็ยัง ยังพูดยาก แต่ที่ไม่จริงน่ะมีมาก มีมากเกินกว่าเหตุ คือเราหลอกตัวเองก็ได้ การเห็น เห็นจริงนะ มันก็ฝึกโดยพยายามจะให้เห็น เพราะอยากจะเห็น แล้วมันก็เห็นได้จริงๆ แต่มันไม่จริง ไอ้สิ่งที่เห็นนั้นมันไม่จริง ทำไมภาพนรกที่เห็นนั้นน่ะมันไปเหมือนกับภาพนรกที่เขียนที่ผนังโบสถ์เล่า ต้องคิดดูเอง แล้วโบสถ์นี้เขียนอย่าง โบสถ์โน้นก็เขียนอย่าง โบสถ์ฝรั่งเขียนอย่าง โบสถ์ไทยก็เขียนอย่าง เห็นนรกที่เขียน เหมือนที่เขียนบนผนังโบสถ์แล้วมันจะจริงได้อย่างไร ไอ้นรกที่จริงกว่าไม่ใช่นรกอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสอีกอย่างอื่น นรกที่จริงกว่าคือความรู้สึกที่ร้อนเป็นไฟอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ น่ะ นี่นรกที่จริงกว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนี้ แล้วมันจริงอย่างนี้ นี้เมื่อจะต้องเขียนภาพของไอ้ความรู้สึกอันนี้มันก็เขียนไม่ได้ เมื่อจะเขียนให้ได้มันก็ต้องเขียนอย่างกับถูกทิ่ม ถูกแทง ถูกเผา ถูกลน ถูกมัด ถูกตำ ถูกบดขยี้ มันก็เลยเกิดเป็นภาพนรกอย่างนั้นขึ้นมา ไทยเขียนแบบไทย จีนเขียนแบบจีน นี่คนก็มีอุปาทานยึดมั่นในสิ่งนั้น หลับตาเห็นสิ่งนั้น มันก็ได้เพราะมันเป็นภาพที่เคยเห็นมาแล้ว นี้สวรรค์ก็เหมือนกันอีกแหละ ทำไมมันมีสวรรค์เหมือนภาพผนังโบสถ์ เทวดา มี เทริดแหลม เหมือนกับตัวละครเล่า นี่มันก็ นี้พวกเอ้อ, จีน พวกอินเดียเค้าเขียนอย่างอื่น ภาพอย่างอื่น นี้ข้อพิสูจน์ว่าไม่ ไม่จริง สวรรค์ที่จริงมันน่ะที่เราสบายใจ พอใจตัวเอง ยินดีในความดีตัวเอง รักตัวเอง ไหว้ตัวเอง นี่สวรรค์ที่แท้จริง ทุกคนจะเขียนอ้า, ให้มีความหมายทำนองนั้น ทีนี้เดี๋ยวนี้เค้าอยากจะเขียนในทำนองโฆษณาชวนเชื่อให้คนทำดี ให้คนละบาป อ้า, เว้นบาปเสีย มาทำดี แล้วก็รู้ว่าคนพวกนี้เขาชอบกามารมณ์ ก็เลยเขียนภาพของสวรรค์นั้นเป็นสุดยอดทางกามารมณ์ ที่มีเทพธิดา เทพบุตร อะไรก็ตาม สูงสุดทางกามารมณ์ ทางรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็เลยเกิดสวรรค์ภาพอย่างนี้ขึ้นมา คนเค้าพอเห็นสวรรค์ในภาพอย่างนั้น มันก็เป็นเรื่องที่ทางเขาทำไปตามความรู้สึกอุปาทาน ทีนี้พระ พระเจ้าแสดงนรกสวรรค์ที่แท้จริงมันอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเท่านั้น ที่โลกอื่นที่ว่าตายแล้วจึงไปถึง มีสวรรค์เป็นชั้นๆ ๆๆ อย่างนั้นๆ ตามหนังสือหรือไตรภูมิพระร่วง เป็นต้นนี้ นี้มีอยู่ก่อนพระพุทธเจ้า ความคิดอย่างนี้ การพูดอย่างนี้ การสอนอย่างนี้ มีอยู่ก่อนพระพุทธเจ้า แล้วเราจะไปว่าเค้าผิด เราอาจจะโง่เองก็ได้ เพราะอย่างที่กล่าวมาแล้ว เค้าต้องเขียนภาพ แต่ว่าภาพนั้นเป็นภาพของความรู้สึกที่ไม่ ไม่เป็นวัตถุ ไม่เป็นตัวเป็นตน เค้าจะเขียนอย่างไร เค้าต้องเขียนภาพพจน์ เป็นความหมาย เหมือนอุปมา เป็นความหมายจึง ต้องเขียนสวรรค์อย่างนั้น เขียนชั้นพรหมอย่างนั้น ชั้นพรหมสูงสุดอย่างนั้น ยักษ์ มาร อย่างนั้น นรก เปรต เดรัจฉานอย่างนั้นๆ ก็เห็นใจเหมือนกัน ต้องเขียนออกมาเป็นรูปภาพ อย่างหนังสือไตรภูมิพระร่วงก็มีเขียนภาพอย่างนั้น แล้วก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ผู้ ผู้แต่งคัมภีร์ไตรภูมิพระร่วงเป็นผู้รู้และเขียนขึ้นมาเอง เขียนต่อๆ ต่อๆ กันมา คงจะจากในอินเดีย เอ่อ, ทีแรกแล้วก็มาสู่ประเทศไทย ประเทศต่างๆ ความหมายเดิม หลักการเดิม ไอ้รูปร่างมันก็ ไปตามศิลปะไทย ศิลปะอินเดีย ศิลปะ แต่ความหมายก็คือว่า ถ้านรกก็เจ็บปวด เร่าร้อน มืดมัว สวรรค์ก็สว่างไสว เอ้อ, สบาย ถ้าพ้นไปจากนั้นอีกก็คือ ว่าง ภาพความว่างนั้นเขียนได้เมื่อไหร่ แต่ถ้าจะเขียนขึ้นมาจริงๆ มันก็เขียนวงกลมๆ สมมุติว่าเป็นกลมนั้นคือเป็นอนันตะ ไม่มีขอบเขต ภาพๆหนึ่ง ที่ไม่ ไม่มีที่สิ้นสุด ก็เขียนวงกลมไป ข้างในวงกลมนั้นก็ต้องไม่มีสี ไม่มีลักษณะ ไม่มีมิติ ไม่มีอะไรหมด นี่เรียกว่าว่าง คนหลับตาเห็นอะไร เอ่อ, เค้าก็มาบอกกันนี้ นี่เราพูดไปเดี๋ยวเขาก็จะโกรธ มันตามที่เขายึดมั่น ถือมั่น แล้วที่เขาว่าเขาเห็นบิดา มารดา ที่ตายไปแล้ว นั้นก็มีปัญหาอีกแล้ว เพราะเห็น ตามไอ้ความยึดมั่นถือมั่นก็ได้ ที่ยิ่งไปกว่านั้นเขาเห็นพระพุทธเจ้า มาลอยอยู่ ตามแบบพระพุทธเจ้าฝาผนังอีก ที่เขาหนักไปกว่านั้นอีกก็เชิญพระพุทธเจ้ามาแสดงธรรมได้ อันนี้ก็หนักไปอีก แต่พระพุทธเจ้าท่านแสดงพระ พระองค์ว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม อันนี้ก็ไม่รู้ เอาละ ทีนี้เอาเป็นเรื่องทางจิตกัน เอ้อ, จิตที่มีอยู่จริง เราอาจจะเห็นบิดามารดา ที่ตายไปแล้ว โดยทางจิต โดยทางกระแสจิต มันก็ได้อีกเหมือนกัน ถ้ามันยังเหลืออยู่ ถ้ากระแสจิตนั้นมันยังเหลืออยู่ เอาที่เป็นๆ กันดีกว่า เรากับเพื่อนฝูงของเราที่อยู่ต่างบ้านต่างเมืองกัน ถึงซึ่งกันและกัน ด้วยกระแสจิตอย่างนี้เป็นสิ่งที่ทำได้ นี้เป็นเรื่องจริง แต่ต้องฝึก หรือว่าพ่อแม่ของเราอยู่ที่กรุงเทพ เราอยู่ที่นี่ แล้วอาจจะถึงกันได้โดยกระแสจิต นี่ก็ทำได้ ก็ต้องเป็นเรื่องการฝึกจิตพิเศษ เฉพาะเรื่องนั้น อย่างนี้จะจริงได้ก็เพียงเท่านี้ ถือว่ากระแสจิตนี้เป็นธาตุชนิดหนึ่ง เหมือนกับธาตุทั้งหลาย สูญหายไปได้ยาก เอ้อ, ไม่สูญหายไปได้ง่ายๆ มันก็เหลืออยู่เป็นกระแสจิต หรือเป็นธาตุอันนั้น ถ้ารับเอามาได้ เราก็อาจจะได้รับความรู้สึกคิดนึก อะไรต่างๆ ของกระแสจิตนั้น ถ้ามันคลับคล้าย คลับคลา เหมือนกับฝัน มันก็ยัง ยังมีส่วนที่เป็นไปได้เหมือนกัน ฉะนั้นขอให้สังเกตดูให้ดีๆ เรื่องนี้ แต่อย่ายึดมั่นถือมั่น เป็นวิญญาณ เป็นอะไรให้มันมากไป ให้มันเป็นเพียงแต่ว่าธาตุตามธรรมชาติ ตามธรรมดาสามัญที่มีคุณสมบัติเหมือนกับ เหมือนกับไฟฟ้า แต่ว่าอย่าเที่ยวไปพูดว่าเป็นไฟฟ้า เดี๋ยวก็จะผิดไปอีก ไอ้ที่มัน มันแล่นไปได้ ถึงกันได้ โดยที่ไม่ต้องมีรูปมีร่าง นี้จิตของคนถึงกันได้กับจิตของคน อา,โดยกระแสอันหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรมดาของ ของไอ้ธาตุชนิดนั้น ดังนั้นเค้าจึงฝึกจิต ของตน เอ่อ, เพื่อรู้หยั่งทราบถึงจิตของคนอื่น อย่างนี้มีในพุทธภาษิต จะมากหรือน้อยนั้นแล้วแต่ความฝึก เอ่อ, จะได้นานก็แล้วแต่การฝึก นานหรือสั้น นับตั้งแต่เราจะฝึกจิตให้รู้ว่าเราไปคิดอะไรมาตามลำดับ นี้ก็ยัง ยัง ยังทำได้ แต่ก็ยาก ถ้าไม่ฝึกมันก็ทำไม่ได้ ถ้าไม่ฝึกก็ยาก เมื่อ เมื่อเช้านี้คิดอะไร เมื่อคืนคิดอะไร เมื่อวานคิดอะไร วานซืนคิดอะไร อย่างไร ทำได้ไหม ลืมหมดแล้ว เพียงเท่านี้ก็ทำไม่ได้แล้วนะ ฝึกจิตให้ระลึกถึงไอ้ ไอ้นามและรูปที่แล้วมาแต่หลัง เมื่อวานนี้ เมื่อวานซืน เมื่อถอยหลังไป เป็นเดือนเป็นปี เป็นหลายปี หลายสิบปี ยิ่งจำไม่ได้ นั่นนะคือข้อที่ทำไม่ได้ แต่เราจะพูดว่ามันทำไม่ได้เสียเลยก็ไม่ได้ มันทำได้ เมื่อฝึกถึง ถึงขนาด แล้วก็เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง สัญญาความจำมันก็ยังมีอยู่จริง แต่เราทำให้มันสัญญาขยายไปในทางนั้นไม่ได้ ถ้าระลึกเรื่องเมื่อวานนี้บางเรื่องก็ยังไม่ได้ หรือว่าเรื่องมันมากก็ยิ่งไม่ได้ ฉะนั้นให้ถือไว้ว่าไอ้เรื่องปาฏิหาริย์ นั้นก็ทำได้ ตามส่วนของสิ่งที่มันมีอยู่จริง และเหนือกว่าที่ธรรมดาสามัญจะพึงทำได้ อย่างนี้เรียกปาฏิหาริย์หมด แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ส่งเสริม เพราะมันไม่ดับทุกข์ ไม่ดับความทุกข์ ท่านจะส่งเสริมแต่ปาฏิหาริย์ชนิดที่ดับความทุกข์ คือเก่งกล้าสามารถในทางฝึกจิตให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี่ทางหนึ่งก็เป็นปาฏิหาริย์ แต่ที่นี้ปาฏิหาริย์อีกทีหนึ่ง ก็ว่าเราทำให้ผู้อื่นเอ่อ, เดินให้ถูกทาง นั้นปาฏิหาริย์ อย่างพ่อแม่สอนลูกให้อยู่ในร่องรอยที่ถูกทาง เป็นลูกที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะดีได้ นี้ก็เรียกว่าปาฏิหาริย์ของพ่อคนนั้น ทีนี้ถ้าว่าเราเป็นเพื่อน เราสามารถทำจิตของเพื่อนให้มาถูกทาง ได้ อย่างนี้พระพุทธเจ้าท่านก็เรียกว่าปาฏิหาริย์ พระพุทธเจ้าท่านใช้ปาฏิหาริย์แต่อย่างนี้ ทรมานคนอันธพาลให้กลายเป็นคนดี คือนำเค้าไปสู่นิพพานได้ นี่เป็นปาฏิหาริย์ นั้นปาฏิหาริย์ก็มีจริง แต่ก็ต้องเอาแต่ส่วนที่มีประโยชน์ ส่วนที่ไม่มีประโยชน์ก็เป็นเรื่องจิตที่ฝึกสำหรับจะเอ่อ, เอาเปรียบคนอื่น จะไป ไปส่งเสริมกิเลส ไปรบราฆ่าฟันกัน ด้วยปาฏิหาริย์นั้น อย่างนี้เราถือว่าไม่มีประโยชน์ เป็นโทษ มีฤทธิ์สะกดจิต หรือมีฤทธิ์แสดงอะไรต่างๆ เพื่อจะทำลายผู้อื่น เอาเปรียบผู้อื่น ชนะผู้อื่น อย่างนี้ถือเป็นบาปกรรม คำว่าปาฏิหาริย์ เอ้อ, มันแปลว่าน่าอัศจรรย์ ผิดธรรมดาสามัญ ฉะนั้นถ้าอะไรไม่ธรรมดาสามัญจะเรียกว่าปาฏิหาริย์ได้ทั้งนั้น เป็นสมรรถภาพของบุคคลทางกายก็มี ทางจิตก็มี เป็นปาฏิหาริย์ได้ แม้แต่คนที่เขาเล่นไอ้, กายกรรม (นาทีที่ 1:06:46 )อะไรต่างๆ อย่างไม่น่าเชื่อนี้ก็เรียกปาฏิหาริย์ทางกายของเขาได้ แต่ปาฏิหาริย์แท้จริงเป็นเรื่องทางจิต กระแสจิตเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ได้ ที่อินเดียก็ยังมีเหลืออยู่ ตามพวกโยคี แล้วก็เลือนไปทุกที เพราะว่าวัตถุนิยมเข้ามาครอบงำ ชนะมากขึ้น ไอ้โยคีแท้จริงก็ตายไป โยคีรุ่นหลังก็เลยเอ่อ, เหลวไหลมากขึ้น พ่ายแพ้แก่วัตถุมากขึ้น จะหมดไปได้ในที่สุด เพียงแต่โยคีขนาด hypnosis (นาทีที่ 1:07:38 )ต้องเก่งมาก บังคับให้คนเห็นตามที่เขาต้องการจะให้เห็นนี่ก็ยังน้อยไปแล้ว น้อยลงไป น้อยลงไป พูดแต่ว่ามีที่อินเดียก็เคยบอกให้ฟัง ว่ามันกำลังน้อยลงไป น้อยลงไป นั้นอาจารย์ถามเขาว่าทำได้ไหม ฉันว่าทำไม่ได้ (นาทีที่ 1.07.50) มีชื่อเสียงทางปาฏิหาริย์ เอ่อ, บางเวลาจะเห็นแกไปเดินอยู่บนผิวน้ำในแม่น้ำคงคา นี้ทุกคนก็เห็น ไม่มีทางจะเห็นเป็นอย่างอื่น เห็นอย่างนั้นแหละ แกบอกให้ปูเสื่อ ให้วางเก้าอี้ จัดอย่างนั้นอย่างนี้ คนนั้นกำลังมา มันมาถึงนั่นแล้ว มันเข้าประตูวัดมาแล้ว แล้วก็บุรุษไปรษณีย์ก็กำลังเอาจดหมายมาส่ง ๓ ฉบับ จากคนนั้น คนนั้น คนนั้น เดี๋ยวมันก็มาถึง แล้วมันก็เป็นอย่างนั้น ชื่อเสียงของ (นาทีที่1.08.43) ตอนนี้ก็ตายแล้ว ลูกศิษย์ของแกก็บอกว่าไม่มีใครทำได้อย่างอาจารย์แล้ว นี่เป็นปาฏิหาริย์ตัวอย่าง ก่อนนี้ก็มีมาก (นาทีที่1.08.56) พระพุทธเจ้าท่านถือว่าปาฏิหาริย์อย่างนี้เป็นเรื่องสะกดจิตหรือว่าเป็นเรื่องญาณธรรมดาสามัญ ที่เค้าทำกันได้มาตั้งนมนานแล้ว ไม่อยากใช้ เพราะว่ายังไม่ดับทุกข์ จะให้สนใจกันแต่เรื่องปาฏิหาริย์ที่ดับทุกข์
(นาทีที่ 1:09:16 เป็นสนทนาเรื่องอื่นหลังจากจบธรรมบรรยาย) แล้วหิวให้รับประทาน เรียกเพื่อที่ประชุมในตอนท้าย ค่ำนี้ สองทุ่ม สองทุ่มพอดี เย็น วันนี้ไปเที่ยวภุมเวียงหรือไปไหน พรุ่งนี้ วันนี้ล่ะไปไหน ไปดูให้ทุกซอกทุกมุม