แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การบรรยายสำหรับผู้บวชใหม่ในวันนี้ ก็จะได้กล่าวถึงสิ่งที่เรียกว่า พรหมจรรย์ต่อไปอีกตามเคย ในวันนี้จะได้กล่าวโดยหัวข้อที่ว่า พรหมจรรย์นี้มิใช่มีลาภ สักการะ สรรเสริญ เป็นอานิสงส์ พรหมจรรย์นี้มิใช่มี ลาภ สักการะ เสียงสรรเสริญ เป็นอานิสงส์ ความสำคัญของเรื่องนี้มีอยู่ที่ว่าคนจำนวนไม่น้อยประพฤติพรหมจรรย์เพื่อผลที่มิใช่ความมุ่งหมายของสิ่งที่เรียกว่า พรหมจรรย์ กล่าวคือประพฤติ ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อการได้ลาภ ได้สักการะ ได้เสียงสรรเสริญ คำ ๓ คำนี้ ก็ควรจะเข้าใจให้ดี
ลาภ คือ ของที่ได้มา หมายถึงสิ่งของนั่น นี่ที่มันเป็นที่พออก พอใจ จะเป็นเงินหรือเป็นวัตถุ สิ่งของ
สักการะ นี่ก็หมายถึง สิ่งที่แสดงความเคารพ คือ เครื่องบูชา เป็นวัตถุสิ่งของหรือว่าเป็นการกระทำหรืออะไรก็ได้ มีความหมายเป็นเครื่องบูชา
เสียงสรรเสริญ เรียกเป็นบาลีว่า สิโลกะ(นาทีที่ 2.48) คือ คำยกย่อง จนกระทั่งระบือลือชาไปตามที่ต่างๆ เป็นเสียงสรรเสริญผู้นั้น
ข้อความนี้พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ เพราะสังเกตเห็นว่ามีภิกษุ ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อลาภ สักการะ เสียงสรรเสริญนี้เป็นอานิสงส์ คือมุ่งหมายเอาผลเป็น ลาภ สักการะ เสียงสรรเสริญ แล้วท่านก็ได้ตรัสบอกต่อไปว่า พรหมจรรย์นี้มีวิมุตติเป็นอานิสงส์ วิมุตติ แปลว่าความหลุดพ้นโดยทั่วไปก็หมายถึง หลุดพ้นจากความทุกข์ในพุทธศาสนาโดยเฉพาะ ก็หมายถึง การบรรลุมรรค ผล นิพพาน เรียกว่า วิมุตติ
การประพฤติพรหมจรรย์เพื่อวิมุตติ ไม่ใช่เพื่อ ลาภ สักการะ สรรเสริญ นี้ตามข้อเท็จจริงมันมีอยู่ว่าพอมีการประพฤติเคร่งครัด น่าเลื่อมใส เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส แล้วมันก็เกิด ลาภ สักการะ หรือสรรเสริญขึ้นมาเองแม้ไม่เจตนา ก็เลยทำให้เกิดเป็นปัญหาขึ้นมาว่า บุคคลผู้นั้น อาจจะมีความรู้สึกเอียงไปหาลาภ สักการะ แล้วก็เอียงไปหา ลาภ สักการะนี้ยิ่งขึ้นทุกที ยิ่งขึ้นทุกที ไม่เท่าไหร่ก็เลยเป็นเรื่องลืม ลืมความมุ่งหมายอันแท้จริงคือวิมุตตินั้น มันก็เลยล้มละลาย
ถึงแม้ในปัจจุบันนี้ก็ยังมีอยู่แสดงให้เห็นได้ว่า มีภิกษุใดก็ตามประพฤติเคร่งครัด ก็มี ลาภ สักการะ เกิดขึ้น เพราะคนก็ยังชอบความเคร่งครัดกันอยู่มากก็เลยมีผลออกไปถึงว่าบางคนก็เจตนาประพฤติ ประพฤติ พรหมจรรย์ เพื่อลาภ สักการะ ไปเสียตั้งแต่ต้นเลยอย่างนี้ก็มี
นี่จึงเป็นสิ่งที่ต้องระวัง หรือถ้าละเอียดยิ่งไปกว่านี้อีก ก็คือตัวเรา ตั้งต้นประพฤติปฏิบัติมาดีแล้ว ก็เลยรู้สึกขึ้นมาใหม่ คือ พอใจ ในความที่ว่าเราได้ประพฤติดี ประพฤติเคร่ง แล้วก็ได้รับคำยกย่องได้รับเสียงสรรเสริญ จิตมันก็ฟุ้งซ่านไม่ได้แน่วแน่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ทีแรกมันก็แน่วแน่มุ่งหมายต่อความหลุดพ้น เดี๋ยวนี้มันเกิดฟุ้งซ่าน พอใจในการที่ทำได้ดี มีชื่อเสียง หรือแม้นไม่มีการระบือลือชาไปยังคนนอก มันก็อดนึกครึ้มอยู่ในใจไม่ได้ อย่างนี้มันก็เป็นความฟุ้งซ่านแม้จะรู้อยู่คนเดียว นึกชมตัวเองอยู่คนเดียว มันก็เป็นความฟุ้งซ่าน ก็ต้องรวมไว้ในข้อที่ว่ามีลาภ สักการะ สรรเสริญ เป็นอานิสงส์ด้วยเหมือนกัน ไม่มีใครสรรเสริญ ก็สรรเสริญตัวเอง ถ้ามันเป็นไปแต่เพียงชั่วครู่ชั่วยามก็ไม่เป็นไรแต่ถ้ามันเลยขอบเขตไปมันก็เป็นเรื่องฟุ้งซ่าน ก็จะเขวออกไปนอกทางไม่ทันรู้ก็ได้ นี้เป็นเรื่องละเอียดมากไม่สังเกตได้สำหรับบุคคลผู้มีจิตใจหยาบ มีความรู้สึกหยาบ สังเกตหยาบ
แต่ผมเห็นว่า พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ โดยทรงมุ่งหมายมากเป็นพิเศษเพื่อจะป้องกันเสียแต่เนิ่นๆ ว่า อย่าให้จิตใจของผู้ประพฤติพรหมจรรย์นั้นมันเฉออกไปนอกทาง คำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังมีในที่อื่นคล้ายๆ กับว่าสำทับ หรือขู่เอาไว้เลย ว่าถ้ามันเกิดลาภสักการะขึ้น เพราะการประพฤติเคร่งนี้ก็ไม่ควรจะบริโภคลาภสักการะนั้น ให้ถือว่ามันเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ โดยหากินกับความเคร่ง แต่อย่าเผลอไปถึงกับตีความให้มันเกินไปว่า ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องเคร่ง แต่อย่างไรก็ดีคำว่า เคร่ง นี้มันก็มีปัญหาอยู่บ้างเหมือนกัน คำว่าเคร่งครัด คำว่า เคร่งเครียด คำว่า เคร่งนี้มันก็มีความหมายพิเศษผิดแปลกไปจากคำว่า ถูกต้องหรือ พอดี พอดีๆ นี้ก็คือไม่แสดงไอ้ความเคร่งให้ใครเห็น ถูกต้องมันก็พอแล้ว
คำว่า เคร่ง มันอยู่ตรงแก่แดน เขตแดนที่ตรงกลาง เลยไปนิดเดียว มันก็เป็นเรื่องผิดก็ได้ ถ้ามันไม่เคร่งมันก็ใช้ไม่ได้เหมือนกัน ก็เลยเติมเข้าไปให้ชัดว่า มันเคร่งแต่พอดี เคร่งน่ะ เคร่งให้พอดี อย่าเป็น อย่าให้เป็นเคร่งเครียด หรือเคร่งครัด หรือว่าเคร่งหลอกลวง เคร่งอวดคน ไปทางโน้น ขอให้ผู้ที่บวชใหม่ สนใจเรื่องนี้ให้มาก ถ้ามันหลวมไปไม่เคร่งมันก็เหลวไหลนั่นเอง ถ้ามันเคร่งมันก็ยึดมั่น ถือมั่นมาก บางทีเลยเป็นเครียด เป็นเกินพอดี เลยนั้นไปอีกก็เป็นเรื่องเจตนาจะหลอกลวงคนจะตบตาคนให้เขาเลื่อมใส อย่างนี้ไม่ใช่พรหมจรรย์ การทำอย่างนี้จะไม่ถือว่าเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ ถ้าขืนเรียกว่า พรหมจรรย์ ก็เป็นพรหมจรรย์ ที่หลอกคน ก็คือไม่ใช่ พรหมจรรย์ เป็นพรหมจรรย์เก๊ เป็นพรหมจรรย์เทียม นี้ก็เกี่ยวกับภาษาอีกหล่ะ ไอ้เก๊ หรือ ไอ้เทียม ที่จริงมันไม่ใช่สิ่งนั้น แต่เขาก็ยังเรียกได้ชื่อ ชื่อนั้น เช่นเงินเก๊ ก็ยังเรียกว่าเงิน ก็ยังใช้คำว่า เงิน เงินเก๊ เงินชนิดที่เก๊ แต่เราก็รู้ว่า นี่ไม่ใช่เงิน เป็นทองเหลือง ทองแดง เป็นตะกั่ว อะไรไปก็ได้
พรหมจรรย์ที่หลอกลวง ประพฤติเพื่อความหลอกลวงนั้นไม่ใช่พรหมจรรย์ ระวังให้ดี อย่าทำเล่นกับสิ่งเหล่านี้ หลอกลวงคนนอกนี้มันก็แปลว่าล้มละลายหมด การอวดพรหมจรรย์ที่ไม่ได้เป็นจริงนี้ก็เป็นเรื่อง มุสา ก็ต้องอาบัติ ถ้าหลอกสูงขึ้นไปก็ถึงกับเป็นอาบัติปาราชิกก็ได้ นี่เรียกว่า ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อหลอกลวง ก็มีอยู่โดยมาก คือประพฤติพรหมจรรย์เพื่อล่อหลอกให้คนนับถือ มีคำกล่าวว่าเหมือนกับนายพราน หักกิ่งไม้มาสุม แล้วก็บังตัวเอง ซ่อนอยู่ในนั้น เพื่อจะยิงสัตว์ หรือจะจับสัตว์ ใช้คำว่าอย่างนั้น ก็เป็นอันว่าไม่ต้องพูดถึง ถ้าเป็นเรื่องหลอกลวง คือ มิใช่พรหมจรรย์
นี้ถ้าเรามองดูให้ละเอียด ก็อาจจะหลอกลวงตัวเองก็ได้ โดยไม่ทันจะรู้ มันก็เกิดเข้าใจผิด ถ้ายังมีความซื่อตรงอยู่ ก็อาจจะทราบได้ทีหลัง ถ้ามันเผลอไป อาจจะยินดี เป็นทางที่เรียกว่า สนุกด้วยการรู้สึกอย่างนี้ นิยมชมชอบตัวเองเป็นเรื่องของกิเลสไปก็ได้ก็อย่าทำเล่นกับสิ่งเหล่านี้ การบวชเข้ามา ก็เรียกว่า เข้ามาประพฤติพรหมจรรย์ ก็เพื่อทำที่สุดแห่งความทุกข์ นี้ก็ได้พูดกันแล้ว ตั้งแต่วันแรกบวชว่าเราจะประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดแห่งความทุกข์ ให้ได้รับประโยชน์ของพรหมจรรย์ นั้น แม้ว่าจะเป็นการขูดเกลาจะต้อง ต้องอาศัยความอดกลั้น อดทน จนกระทั่งน้ำตาไหลอย่างนี้ จะต้องอดทนได้ แต่แล้วก็รักษาไว้ให้บริสุทธิ์ ให้ถูกต้อง ไม่ให้มีเรื่อง เปลี่ยนแปลง หันเห ออกไปนอกลู่นอกทางให้ตรงไปยัง สิ่งที่เรียกว่า วิมุตติ จะเป็นเรื่องวิมุตติชั้นเด็ดขาดสูงสุด หรือจะเป็นเรื่องในระดับต้นๆ ก็ได้ทั้งนั้น ขอให้มันมีอาการแห่งวิมุตติก็นับว่ามีประโยชน์ อย่างชั่วคราว ก็หมายความว่า ยังไม่หมดกิเลสสิ้นเชิง มันก็หลุดพ้นไปเท่าที่ว่ากิเลสส่วนไหนมันดับได้ หรือบางทีก็ชั่วขณะ ชั่วสมัยที่จิตนี้ได้ตั้งไว้ดี ปรับปรุงไว้ดี อย่างว่าระหว่างที่บวชอยู่นี้ก็ตั้งใจทำไว้ดีทุกวัน ทุกวัน จิตก็ไม่ถูกรบกวนด้วยกิเลส ทีนี้พอสึกออกไปก็ปล่อยตามเรื่องเสียอีก แต่ถึงอย่างนั้นก็เรียกว่า ยังดีกว่าที่จะไม่รู้จักกันเสียเลย ให้ถือเอาระหว่างที่บวช ศึกษาให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่า พรหมจรรย์ ให้จนได้
คำว่าศึกษานี้ก็หมายถึง ปฏิบัติ ภาษาศาสนา คำว่า ศึกษา ก็หมายถึง ปฎิบัติอยู่ ไม่ใช่เล่าเรียนด้วย ด้วยปาก ด้วยหนังสือ ด้วย มันเป็นคำพูดของชาวบ้าน โดยเฉพาะในภาษาไทย การศึกษา ก็หมายถึง อ่านหนังสือ หรือทำตามวิธีของการศึกษาด้วยหนังสือ อย่างใดอย่างหนึ่ง ศึกษาในภาษาศาสนา ก็คือว่า คลำไปเรื่อยด้วยการปฏิบัติ นี่เรียกว่าศึกษา ในระหว่างที่ยังไม่สึกนี่ก็พยายามให้สุดความสามารถ อย่างรูปแบบของภิกษุ มันทำได้สะดวกกว่าชาวบ้านมาก ก็คอยระวังไม่ให้เอียงไปในทางที่หลอกตัวเอง ให้หวังไอ้ลาภ สักการะ หรือสรรเสริญ ให้ค่อยๆ ไปในทางของวิมุตติ คือ หลุดพ้น หรือรอดไปจากสิ่งที่เป็นข้าศึก ก็คือ กิเลส หรือความทุกข์ก็ได้ อยากจะให้นึกถึงคำที่ได้พูดในวันก่อนว่า พรหมจรรย์นั้น ก็หมายถึง การปฏิบัติสุดกำลังความสามารถ แล้วก็ได้ทุกระดับ แม้แต่เด็กๆ แม้แต่หญิงสาว แม้แต่ชายหนุ่ม แม้แต่คนสูงอายุ กระทั่งคนแก่ คนเฒ่า เพราะคำนี้ ก็เปิดความหมายไว้กว้าง มีพิเศษอยู่ก็แต่สำหรับภิกษุที่มีระเบียบ ศีล สมาธิ ปัญญา ไว้ปฏิบัติอย่างเต็มที่อย่างสูงสุด ก็มีความหลุดพ้นได้จริง แต่ถ้าเป็นเรื่องของเด็กๆ ก็ต้องมีการหลุดพ้นไปตามแบบของเด็กๆ ซึ่งเด็กๆ ก็ควรจะหลุดพ้นอะไรได้บ้าง
ถ้าว่าเด็กคนหนึ่งเขาตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ด้วยประพฤติ เคร่งครัดอย่างเป็นพรหมจรรย์อย่างนี้ เด็กคนนี้ ก็จะรอดพ้นจากข้าศึกของเขา เช่นการสอบไล่ตกหรืออะไรอย่างนี้ ก็เรียกว่า วิมุตติ ได้เหมือนกัน เป็นภาษาชาวบ้านไปได้ แล้วมันก็มีความหมายอย่างเดียวกัน ในข้อที่ว่า ถ้าเขาประพฤติหลอกคนประพฤติให้ใครสรรเสริญ ทำการทำอาการ ขยันขันแข็งแต่ต่อหน้าคนก็ไปไม่รอด กลายเป็นหลอกลวงไปเหมือนกัน นั้นก็ พรหมจรรย์ ของเด็กๆ พรหมจรรย์ของคนหนุ่ม คนสาวนี้ถ้าทำได้ดี ก็รอดพ้นได้ รอดพ้นจากไอ้นิสัยเลวๆ รอดพ้นจากความอ่อนแอ คือเอาตัวรอดได้ไม่เสียคน นี้ก็พอจะเข้าใจกันได้ไม่ต้องพูดมากเรามักจะได้ยิน ได้ฟัง ไอ้คำว่าเสียคนผู้หญิงก็ได้ผู้ชายก็ได้ เพราะว่าเขาไม่ตั้งใจประพฤติอะไรให้มันจริงจังลงไป ถึงขนาดที่เรียกว่า พรหมจรรย์ สำหรับหญิงสาวที่ว่าประพฤติพรหมจรรย์เกี่ยวกับ เรื่องทางเพศทางนี้ มันก็เป็นสิ่งที่ทำยาก จึงยกให้เป็นพรหมจรรย์อย่างหนึ่ง หรือชนิดหนึ่งสำหรับหญิงสาวประพฤติ ถ้าประพฤติได้ มันก็มีความรอดพ้นอย่างหนึ่งเกิดขึ้นเหมือนกัน หรือบางทีก็จะเลยไปถึงรอดพ้นตามแบบของทางศาสนาด้วยก็ได้ คือเขาบังคับใจได้ดี แล้วก็รอดพ้นจากกิเลสไปในรูปแบบของธรรมะหรือศาสนาก็ได้ แล้วถ้าเป็นเรื่องโลกๆ ก็รอดพ้นไปจากความตกต่ำทางเกียรติยศ ชื่อเสียงนี้มันเป็นขนบธรรมเนียม ประเพณี เป็นวัฒนธรรมบางอย่างอยู่ด้วย ก็ต้องการกันอย่างยิ่ง ในสมัยโน้นให้หญิงสาวเป็นคนบริสุทธิ์ จนกว่าถึงวันสมรสแต่งงาน จะรอดพ้นทั้งโดยส่วนตัวและโดยส่วนสังคม หรือความมุ่งหมายที่เขาหมายกันไว้ไกลลิบ ถ้าหญิงสาวบังคับตัวเองไม่ได้ ก็เป็นคนใจโลเล ถ้านิสัยโลเลมันมีต่อไปมันก็โลเลตลอดไป ตลอดไปในอนาคตข้างหน้า โลเลกระทั่งการอบรมสั่งสอนลูกอะไรด้วยก็เป็นเรื่องเสียหายหมดเหมือนกัน ถ้าให้เขาประพฤติเคร่งครัดเป็นนิสัยไปเสียเลย บังคับตัวเองได้เฉียบขาดอย่างนี้ เขาก็เป็นคนที่เฉียบขาด เป็นมารดาที่ดีเลิศได้ในอนาคต นี่ก็เรียกว่า วิมุตติ ชนิดหนึ่งเหมือนกัน แต่เป็นเรื่องโลกๆ คือรอดไปจากความชั่ว รอดไปจากข้าศึก คือกิเลสได้เหมือนกัน แต่แล้วก็ไม่ ไม่พ้นไปจากที่จะได้เกียรติยศ ชื่อเสียง มันคอยนั่นกันอยู่อย่างนี้เสมอ นั้นจึงเตือนไว้ไม่ให้ไปหวังในเรื่องเกียรติยศ ชื่อเสียง ซึ่งในที่สุดมันจะทำให้เอียงเฉไปในทางหลอกลวงทำแต่ต่อหน้าคน หรือมันได้ผลเพียงเท่านั้นมันไม่น่าชื่นใจให้มันได้สูงสุดถึงจิตใจ ให้มีจิตใจที่สูงไว้ สูงไว้ให้มากๆ ก็หลุดพ้นจากความต่ำนี้เรียกว่า วิมุตตินี้มีความหมายกว้าง
ถ้าจะพูดให้กว้าง ก็ ก็หมายความว่า ให้ชีวิตนี้มันรอดก็ได้ด้วยดี ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งตาย ให้มันรอดไปได้ด้วยดีก็เลยใช้ ใช้เป็นคำพูดที่กลาง กลางที่สุดชาวบ้านก็ได้ ฆราวาสนี่ก็ได้ บรรพชิตก็ได้ ระดับไหนก็ได้ ให้รอดไปจากอุปสรรคของมนุษย์ทุกชนิด ก็เรียกว่ารอดได้เหมือนกัน อย่างภาษาไทยเขาเรียกว่า เอาตัวรอด มันก็รอดในความหมายเดียวกันกับคำว่า วิมุตติ ในภาษาบาลี แล้วอีกอย่างหนึ่งผมก็เคยบอกให้ทราบแล้วว่า ภาษาศาสนานี่ก็ยืมภาษาชาวบ้าน ภาษาที่พูดอยู่ตามบ้านเรือนไปใช้จะเรียกว่า เกือบจะทั้งหมดก็ได้ นี่ก็บอกอีกแล้วก็ยังอาจจะบอกซ้ำบอกซากอยู่อีก เพื่อจะให้เข้าใจได้ดีนั่นเอง ถ้าเราไปถือเป็นภาษาพิเศษทางฝ่ายศาสนา ทางฝ่ายธรรมะก็เป็นของใหม่ แล้วเราก็ไม่กล้าจะตีความ แต่ถ้าเรารู้ว่าคำเหล่านี้ ยืมไปจากภาษาชาวบ้าน เราก็เข้าใจความหมายในภาษาชาวบ้านดีอยู่แล้ว ก็ตีความได้ง่าย เช่นว่า วิมุตตินี้ รอด คำว่า รอด เราก็รู้ความหมายของคำว่ารอด คือ เอาตัวรอด แล้วก็ขยายความให้สูงขึ้นไป จนเป็นการรอดในทางจิต ในทางวิญญาณ สูงขึ้นไปถึงที่สุด ไม่ใช่เพียงรอดแต่ร่างกาย คำในทางธรรมนี้ยืมไปจาก ยืมไปจากคำของภาษา คำในภาษาพูดของชาวบ้าน แต่อย่างไรก็นึกถึงข้อนี้ไว้เสมอคงจะเข้าใจได้ง่าย แล้ววันหลังก็จะพบต่อไปอีก จะเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้นไปอีก จนกระทั่งคำสุดท้าย คือคำว่า นิพพาน ยืมเอาไปจาก ภาษาชาวบ้าน ในความหมายธรรมดาสามัญที่สุด ก็คือคำว่า เย็น นิพพาน นั่นเป็นของเย็น เย็นก็คือไม่ร้อน ก็คือไม่ทุกข์ ไม่ทุกข์ก็คือ รอดพ้นจากความทุกข์ เรื่องเดียวกัน เพราะฉะนั้นคำว่า พรหมจรรย์ มีความมุ่งหมายคือ ความรอด ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจที่สุด เรามาบวชเพื่อประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อผลมุ่งหมายคือความรอด ประโยคสั้นๆ นี้ ควรจะจำไว้พอจะยึดถือเป็นหลักเลยไม่ใช่เพียงแต่ จำๆ ไว้เฉยๆ ยึดถือเป็นหลัก
พรหมจรรย์ นี้ก็เพื่อรอด เพราะเราประพฤติ พรหมจรรย์ อย่างภิกษุก็จะต้องรอดอย่างภิกษุ ประพฤติ พรหมจรรย์อย่างชาวบ้าน ก็เรียกว่า รอดอย่างชาวบ้าน แต่เขาไม่ค่อยเรียกกัน ประพฤติพรหมจรรย์ อย่างชาวบ้านที่พูดกันอยู่บ้าง ก็เรื่องหญิงสาวรักษาพรหมจรรย์ แต่เดี๋ยวนี้ผมก็ได้บอกให้ทราบแล้วว่าแม้แต่เด็กๆ ก็ประพฤติพรหมจรรย์ เป็นเด็กที่ดีของบิดา มารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ก็เรียกเป็นผู้ประพฤติ พรหมจรรย์ เพราะเขาจัดชีวิตระยะนี้ไว้ว่าเป็น อาศรมพรหมจารีย์ คือกลุ่มหนึ่ง ซึ่งกำลังประพฤติอย่างเคร่งครัดที่สุดเป็นการตั้งต้นที่ดี เดี๋ยวนี้เราไม่ค่อยจะควบคุมเด็กๆ กันถึงขนาดนี้ แม้แต่ตัวเราก็ ตัวเราเองก็ลองสังเกตดู เราไม่ได้รับการควบคุม สั่งสอน อบรม อย่างเคร่งครัด ถึงขนาดที่จะเรียกว่า พรหมจรรย์ แต่ถ้าเป็นสมัยโบราณครั้งพุทธกาลหรือในที่บางถิ่น บางแห่ง เขามีระเบียบสำหรับเด็กเด็กนี่ เคร่งครัดที่สุด ในทุกวิถีทาง เรื่องเกี่ยวกับเล่าเรียนก็ดี เรื่องเกี่ยวกับเพศตรงกันข้าม กระทั่งเกี่ยวกับการบริการร่างกาย ปรับปรุงร่างกาย อบรมร่างกายโดยตรงนี้ก็ดีทำเคร่งครัดมากไม่ยอมให้ขี้เกียจ นอนสาย ไม่ยอมให้เหลวไหล อย่างใดอย่างหนึ่งมันก็ดีหมด การศึกษาก็ดี การบริหารร่างกายก็ดี เรื่องเกี่ยวกับเพศนี่ก็เป็นอันว่าปิดตายเลย เพราะมันยังไม่ถึงเวลา
ข้อนี้มันตรงกันข้ามกับยุคนี้ที่เขานิยมสอนเพศศึกษาแก่เด็กๆ จะเป็นผลดี หรือ ผลร้ายก็คอยดูต่อไปข้างหน้าแต่คนหัวโบราณโง่ๆ อย่างผมนี่ ผมว่าไม่ดีแน่ไอ้เรื่องเพศศึกษากะเด็กๆ นี่ ก็คอยดูผลต่อไปข้างหน้า นี่พูด นี่ก็เพื่อให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่า พรหมจรรย์ เพื่อให้วิญญาณนี้มันรอดไปตามรูเล็กๆ ที่ออกไปสู่ที่ปลอดภัยได้ เขาก็จะคิดว่าหัวเก่าไป โบราณไปพ้นสมัยแล้ว นี่ก็เรื่องลำบากยากใจจะมีบ้างก็ตอนนี้ไม่มีความเข้าใจตรงกันได้ว่า ถ้ากล่าวถึง ถ้า ถ้าหมายถึงเรื่องนี้แล้ว คือธรรมะข้อนี้แล้ว ไม่มีพ้นสมัย ไม่มี ไม่มีการพ้นสมัย อาจจะยิ่งทันสมัยมากขึ้นก็ได้ เพราะอะไร เพราะว่าเดี๋ยวนี้ มันมีสิ่งที่จะมาบีบคั้น ห่อหุ้ม ผูกพัน จิตใจ ของคนเราน่ะ มากกว่าสมัยโบราณเสียอีก สมัยโบราณเขาโง่ ไม่ได้ผลิตหรือปรุงอะไรขึ้นมาดึงดูดยั่วเย้าจิตใจคนมากมาย เหมือนเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้มันฉลาดแต่ในทางนี้ ฉลาดในทางที่จะวินาศ ประดิษฐ์อะไรขึ้นมามาก ผูกพันจิตใจของคนให้หลงใหล การที่ การที่จะได้เครื่องไม้เครื่องมืออะไรมาช่วยให้รอดมันก็ยิ่งจำเป็นมากขึ้น จึงเห็นว่าระบบ โบราณ ยัง ยังไม่ล้าสมัย ที่เราจะต้อง เป็นผู้บังคับตัวเองให้ มากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน เดี๋ยวนี้มองเห็นกันเสียว่าไอ้เรื่องโบราณนี้ล้าสมัย ใช้กันไม่ได้ ก็เลยเฮกันไปทางหนึ่ง ทิศทางหนึ่ง เพราะอย่างนั้นปัญหาคงจะเกิดขึ้นแก่พวกคุณที่มาบวชในพุทธศาสนา ซึ่งก็มีอายุตั้งสองพันกว่าปีมาแล้วระเบียบนี้ ถ้าจะเอาตามความรู้สึก หรือ ความแน่ใจของผม ผมก็ยืนยันอยู่เสมอว่าไม่ล้าสมัย ยิ่งทันสมัย เพราะว่าสมัยนี้มีสิ่งยั่วเย้ามากกว่าแต่ก่อน นั้นระบบที่จะป้องกันเอาไว้ ไม่ให้เราตกลงไปในหลุมหรือว่าในเหวของสิ่งที่ยั่วยวนนี่มันก็จำเป็นมากกว่าสมัยโน้น จะจริงหรือไม่จริง ก็ขอให้ช่วยเอาไปคิดดูด้วยความ ด้วยความระมัดระวัง อย่าทำเล่นๆ กลัวว่าไอ้โดยที่กลัวว่าเราจะไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ จึงได้พูดเรื่องนี้
ผมยังยึดมั่นอยู่เสมอว่า มนุษย์จะต้องได้สิ่งที่ดีที่สุดที่ควรจะได้ อย่าให้เสียเปล่าในการเกิดมาเป็นมนุษย์มันก็ไม่มีอะไรอีกนอกจากพรหมจรรย์ จะช่วยให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ และสิ่งนั้นคืออะไร ก็คือความรอด ความรอดตัว แล้วแต่จะเอากันในความหมายไหนรอดตัวอย่างชนิดนั้น รอดตัวอย่างชนิดโน้น ขอให้มันถูกต้องก็เรียกว่า รอดด้วยกันทั้งนั้น นับตั้งแต่ของเด็กๆ ไปจนถึงของวัยรุ่น ของคนหนุ่มสาว พ่อบ้านแม่เรือน คนแก่คนเฒ่า ก็ต้องเรียกว่า รอด ที่นี้ถ้าเป็นเพศบรรพชิตก็ยิ่งรอดสูงสุดไปในทางจิต ทางวิญญาณ นั่นจะเรียกว่าดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ อยู่ที่วิมุตติ หลุดพ้นเป็นพระอริยะบุคคล ก่อนแต่ที่จะถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เดี๋ยวนี้ ผมพูดอย่างกันเองนะ พูดกับคุณที่บวชใหม่ทุกองค์ พูดอย่างกันเอง มันอาจจะรุนแรงไปบ้างก็ได้ นั่นก็ยัง ที่ยังเหลือ ที่อยากพูดนี้ก็คือว่า คุณจะเอายังไงกันแน่ในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือว่าต้องการจะจมอยู่ในกองกามารมณ์ พูดอย่างนี้ดีกว่า ในกองกาม จนกระทั่งวาระสุดท้ายที่จะดับจิต หรืออย่างไรกันแน่ นั้นมันหมายความว่าไม่รอด ถ้าอย่างนั้นหมายความว่า ไม่ใช่วิมุตติ หรือรอด เดี๋ยวนี้ เรายังหนุ่มๆ อยู่ เราพอใจในรสการสัมผัสทางอายตนะในเพศตรงกันข้าม ในอะไรอยู่ เราอาจจะคิดว่า นี่คงจะไม่เบื่อจนตาย ความคิดนี้ไม่จริงก็ได้ ไม่ถูกก็ได้ เพราะว่าเดี๋ยวนี้เรามารู้แต่เพียงเท่านี้ และอวัยวะร่างกายของเราก็ยังมีกำลังแรง มีความรู้สึกรุนแรงที่เกี่ยวกับเพศ เราตกอยู่ในห้วงแห่งกามาวจร เราต้องนึกเราต้องรู้สึกโดยอัตโนมัติว่านี่สูงสุด เราจึงไม่อยากจะหลุดออกไปจากสิ่งเหล่านี้ ทีนี้พออายุมันมากเข้า มันเลื่อนไป เลื่อนไป มัน มัน จะเปลี่ยนอย่างที่เรียกว่า หน้ามือ หลังมือก็ได้ คือมันวิวัฒนาการไปถูก อย่างถูกต้อง แต่ว่าอีกทางหนึ่ง มันจะไม่เปลี่ยนเลยก็ได้หรือจะเปลี่ยนกลับหลังไปอย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่มีสร่างก็ได้ เพราะว่าก็ยังมีหลักฐานปรากฏอยู่ ยังไม่เคยเห็นคนแก่ อายุ ๘๐-๙๐ ยังหมกจมอยู่ในกองกามารมณ์นี้ ก็ยังมีเหมือนกัน แต่ผมคิดว่า นี่คือผิดธรรมดามาก ไม่ใช่ปกติแล้ว ถ้าปล่อยไปตามปกติมันจะต้องค่อยรอดไปตามลำดับ รอดไปตามลำดับจนกระทั่ง รอดสุดท้าย แม้แต่ว่า จะรอดได้สักเดือนหนึ่งก็ยังดี ๒-๓ วันก็ยังดี แล้วก็ตายไปเลยเมื่อร่างกายมันถึงที่สุด ของอายุขัยมันก็ตายไปเลย แต่ว่าก่อนที่มันจะตายนี่ ขอให้มันรอดจากไอ้สิ่งผูกพันเหล่านี้ ก็นับว่า เกิดมาทีหนึ่ง ก็ไม่ ไม่ ไม่เสียชาติ คือได้พบกับความรอดแม้ชั่วเวลาอันสั้น
มีคำอยู่บางคำที่ผมเชื่อว่า พวกคุณนี้ไม่เคยได้ยิน เขาเรียก ชีวิตะ สะมะ สีสี ชีวิตะ ก็คือ ชีวิต สะมะ ก็คือว่า เสมอ ชีวิตะ สะมะ สะมะ สีสี คือว่า พร้อมกับชีวิต หลุดพ้นแล้วก็ตายเลย แต่ยังดีกว่าเปล่าๆ ยังดีกว่าเปล่า เปล่า คือ ไม่ ไม่มีทางหลุดพ้นเลย อย่างที่เราเคยพูดเตือน ขอร้องกันเรื่องความดับไม่เหลือนั่น ดับตัวกู ของกู ไม่ให้เหลือ ถ้าทำเดี๋ยวนี้ไม่ได้ ก็ขอให้ได้ในนาทีสุดท้ายที่จิตมันจะดับไป คือตาย ก็ยังดี ดีกว่าไม่ ไม่ได้เลย สมัคร ดับไม่เหลือ สมัครไอ้ตัวกู ของกู นี่มัน ไม่ไหว มันบ้าเกินไป มันว่ายเวียนเกินไป ไม่ต้องการกลับมาเป็น อย่างนี้อีกแล้ว สมัครดับไม่เหลือ อย่างนี้ก็ยังดีกว่าที่จะไม่รู้สึกอะไรเสียเลย ทีนี้ก็อยากจะให้สังเกตดูความรอด ถ้าเด็กๆ เล็กๆ มันควรจะรอดออกไปจากอะไร พอถึงวัยรุ่น ควรจะรอดไปจากอะไร พอถึงหนุ่มสาวเต็มตัว มันจะควรจะรอดไปจากอะไร และก็ได้สมรส แต่งงานกันเป็นผัวเมีย มันควรรอดไปจากอะไร เป็นพ่อบ้านแม่เรือนมีลูกมีหลาน ก็ควรจะรอดไปจากอะไร แล้วคนแก่เฒ่าบำนาญไปแล้วอย่างนี่ ก็ควรจะรอดไปจากอะไร แล้ววาระสุดท้ายจะต้องเข้าโลงแน่ๆ แล้วนี่ เขาควรจะรอดไปจากอะไร ตั้งแต่หลับตา เห็นภาพ เปรียบอุปมา คล้ายๆ กับว่า ทุกบันได ทุกขั้นบันได ก้าวไปได้ ก้าวไปได้ทุกขั้นบันได ก็คือ รอดไปได้ทุกขั้นของชีวิต อย่างนี้จะเอาไหม หรือว่าใครมันจะดันทุรังว่าไม่เอา ต้องการจะจมอยู่ในกามารมณ์จนนาทีสุดท้าย ที่จะต้องเข้าโลงไปนั้นก็แปลว่า ไม่ได้เตรียมไว้เพื่อการรอดหรือว่าไม่ ไม่รู้เรื่องของการรอด ของชีวิตมนุษย์นี้เลย
นี่ พรหมจรรย์ มีวิมุตติ เป็นอานิสงส์ มัน มันไม่สำเร็จประโยชน์แก่บุคคลชนิดนี้ และเขาก็ไม่รู้เรื่องไอ้ ความรอด ที่มีขอบเขตกว้างขวาง แบ่งไว้ให้เป็นระดับ ระดับ หลายระดับ เราควรจะทำความเข้าใจกันเดี๋ยวนี้ก็ได้ หรือว่า เวลานี้ที่เรายังหนุ่มๆ อยู่นี่ เราจะต้องมีความรู้เรื่อง ความรอดออกไปได้ แม้จะเป็นความรู้ที่อยู่ในรูปร่าง ของไอ้ปรัชญา แบบ philosophy นั้น ก็ยังดี คือยังไม่แจ่มแจ้งชัดเจน เป็นรูปของวิทยาศาสตร์ หรือ ศาสนาเลย แต่ก็ยังดีที่ว่ามันมีความเชื่อมีความน้อมไปตามการคำนึง คำนวณว่า นั้นดีกว่า นั้นดีแน่ ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ รอดออกไปจากบ่วงทั้งหลายของมนุษย์ได้ทุกชนิด ทุกระดับ เมื่อพระพุทธ เมื่อพระพุทธเจ้าท่านจะส่งสาวกไปประกาศพระศาสนานั่น คือท่านตรัสรู้ แล้วก็สอนเป็นหลายๆ องค์ เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาแล้ว ท่านก็จะส่งไปประกาศพระศาสนามีประโยชน์ มีประโยคคำศัพท์ที่น่าฟังที่สุดอยู่ ประโยคหนึ่ง คือว่า เดี๋ยวนี้ ฉันก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งหลายทั้งที่เป็นบ่วงทิพย์ และบ่วงมนุษย์ แม้พวกเธอก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งหลาย ทั้งที่เป็นบ่วงทิพย์และเป็นบ่วงมนุษย์ ไป ไปช่วยคนอื่นให้พ้นจากบ่วงทั้งหลาย นี่ คือไปประกาศพรหมจรรย์ เพราะตอนนั้นเป็นพระอรหันต์กันแล้ว จึงใช้คำว่า พ้นแล้วจากบ่วงทั้งหลาย ทั้งที่เป็นบ่วงทิพย์ และบ่วงมนุษย์ บ่วงมนุษย์ ก็คุณดูเอาเองเรื่อง เรื่อง อย่างมนุษย์ เรื่องกามารมณ์ อย่างมนุษย์ นี่บ่วงทิพย์ คือ กามารมณ์ อย่างที่ดีกว่าของมนุษย์ทั้งที่เป็นทิพย์ แม้อยู่ในความหวังก็ยัง ก็ยังผูกพันจิตใจ ในสวรรค์ที่ยังไม่เคยถึง ยังไม่ถึง เดี๋ยวนี้มันก็เป็นเรื่องผูกพันจิตใจ หรือหวังอยู่แต่ที่จะได้กามารมณ์ชนิดที่สูงกว่ามนุษย์มากๆ ที่เรียกว่า ของทิพย์ เดี๋ยวนี้จิตใจของท่านเหล่านั้นพ้นจากบ่วงเหล่านั้น แม้ที่จะมีอยู่จริงหรือแม้ที่จะมีในความหวังมันก็พ้นหมดนั่นแหละ คือ วิมุตติ หลุดไปได้จากบ่วง ทั้งที่เป็นบ่วงมนุษย์ และ บ่วงทิพย์ เรามีความหวังอะไรกัน เดี๋ยวนี้ เรื่องเงิน นี้คงจะเป็นเบื้องหน้า หาเงินได้มาก หาเงินได้มากก็ซื้อสิ่งที่จิตใจต้องการ อันแรกก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับ กามารมณ์ แบบใดแบบหนึ่งอย่างใดอย่างหนึ่ง นี่ก็เรียกว่าบ่วงทิพย์ ถ้ามัน มัน มันซื้อ ด้วยเงินแพงๆ คือว่าเป็นกามารมณ์ชนิดที่ประณีต ละเอียด สุขุม บ่วงทิพย์ชนิดกามาวจร ที่นี้มันเกิดไปได้ เกียรติยศ ชื่อเสียงหรือ ความร่ำรวยเป็นพิเศษไม่ได้คดโกงใครมา ได้มาอย่างถูกต้อง มีความร่ำรวย แล้วก็มีเกียรติยศสูงสุด นั้นก็เรียกว่า บ่วงทิพย์ เหมือนกันแหละ ที่เป็นประเภทรูปาวจร อรูปาวจร ในความหมายอย่างนั้น คือเป็นชั้นพรหม เราก็ไม่พ้น จิตใจก็ไม่พ้นไปจากสิ่งเหล่านี้ เรียกว่ายังติดอยู่ที่ ถ้าว่าเราได้แล้วได้ขึ้นไปลำดับแล้วไม่ควรจะพ้นกันสักที อุตส่าห์เล่าเรียนมา มีเงินหรือมีบุตร ภรรยา มีเรื่อยขึ้นไปจนกระทั่ง เกียรติยศ ชื่อเสียงสูงสุด ก็ควรจะ จะหลุดออกไปได้ในวาระสุดท้าย ในขั้นสุดท้าย คือไม่ติดในอะไรเลย ในชีวิตที่ติดแล้วก็ที่จะหลุด ที่เราอาจจะเข้าใจได้ หรือมองเห็นได้ ใน ใน ใน ในชีวิตนี้ แต่ในพระคัมภีร์มันยังกล่าวแปลกไป เป็นเรื่องชาติหน้า ชาติหน้าโน้น เวียนว่ายตายเกิดไปอีกเท่าไร เท่าไร ก็เป็นบ่วง เป็นบ่วงลึกเข้าไปแล้วกว่าจะหลุดพ้น กว่าจะนิพพาน ก็อีกกันอีกนาน หลายร้อย หลายพัน หลายหมื่น หลายแสนชาติ แต่เชื่ออย่างนั้นก็ได้เหมือนกันแหละ แต่ที่แท้มันคืออย่างนี้ มันคือที่เราอาจจะรู้สึกได้ รู้จักได้ที่ว่าหลายหมื่นหลายแสนชาตินั้นเอาไอ้ความอยาก เอาไอ้ความลำบากนั้นเป็นเครื่องวัดให้เวลายาวไป
นี่ก็หลักของพุทธศาสนา ต้องการให้พ้นออกไป ออกไปจากบ่วงทุกชนิด ทั้งที่เป็นบ่วงมนุษย์ และเป็นบ่วงทิพย์ คือเทวดา คือยิ่งไปกว่ามนุษย์ มนุษย์ก็มีหลายชั้น เทวดาก็มีหลายชั้น ล้วนแต่เป็นบ่วงๆๆๆ ให้หลุดออกไปได้ แล้วจิตใจไม่ติดอยู่ในอะไร เรียกว่า หลุดพ้นหรือสูงสุด จิตสูงสุด อยู่ที่นี้ที่หลุดออกไปได้ ทางพุทธศาสนาก็สอนอย่างนี้ ทางศาสนาอื่นก็สอนอย่างนี้หรือ คล้ายกันอย่างนี้ ที่คล้ายกันมากก็ศาสนาที่สำคัญๆในประเทศอินเดีย ด้วยกัน สอนเป็นหลักที่เรียกว่า เราหลุดพ้นไปอยู่เป็น อนันตะ เป็นนิรันดร ใช้คำว่า อาตมัน หรือตัวเรานี้ ท่องเที่ยวไปจนรู้อะไรทุกๆ อย่างหมดแล้ว เบื่อหน่าย ไม่อยากจะติดที่นั่น แล้วในที่สุดก็หลุดพ้นไป รวมเข้าไปปรมาตมัน อาตมัน ตัวใหญ่ที่สุดที่เป็นนิรันดร ก็นี่คือความหลุดพ้น ในความหมายเดียวกัน มนุษย์ได้คิดถึงความหลุดพ้นกันมานมนานแล้วทั้งในพุทธศาสนา และนอกพุทธศาสนา
เอ้า, ทีนี้ถ้าให้มันมองเห็นกว้างออกไปอีก ก็มองไปยังศาสนาที่มีการสมมุติ เรียก สภาพนิรันดร นั้นว่าพระเจ้า เช่น ศาสนาคริสเตียน ศาสนาอิสลาม ก็ใช้คำว่า พระเจ้า หรือ แม้แต่ศาสนาในประเทศอินเดีย บางศาสนา ก็ใช้คำว่า พระเจ้า แทนที่จะใช้คำว่าปรมาตมัน ใช้คำว่า พระเจ้า อย่างนี้ก็มี ถ้าเราหลงอยู่ในอารมณ์ ในโลกนี้นานาชนิด หลายสิบหลายร้อยชนิด เราก็ไปหาพระเจ้าไม่ได้ มันจะถูกติดอยู่ที่นี่ ลำบากอยู่ที่นี่ ถ้าไปอยู่กับพระเจ้าไม่ได้ นั่นแหละคือไม่หลุด ไม่หลุดพ้น นั้นเราจะทำให้ถูกตามวิธีที่พระเจ้า ได้บัญญัติไว้เองว่า ควรปฏิบัติอย่างนี้ แล้วหลุด ไม่ติด ไม่หลง อยู่ในโลกนี้ ตายแล้วก็ไปอยู่กับพระเจ้าก็เป็นนิรันดร เขาสอนวิมุตติ คือความรอดพ้นของเขาในแบบนี้ เหมือนกันทั้งนั้นแหละ ถ้ามันหลุดจริงในครั้งสุดท้ายแล้วจะเรียกว่า ไปอยู่กับพระเจ้าก็ได้ จะไปรวมเป็นปรมาตมันซึ่งไม่รู้จะเรียกว่าอะไรนั้นก็ได้ หรือจะพูดอย่างพุทธศาสนาว่า หลุดพ้นไปเป็นนิพพาน เป็นนิรันดรอย่างนี้ก็ได้ ความหมายเดียวกันหมด คือ รอดออกไปได้ คำว่า รอด นี้ก็มีใช้ด้วยกันในทุกศาสนา ซึ่งในภาษาอินเดีย นี้ก็เรียกว่า วิมุตติ วิมุตติ ภาษาอื่นก็ใช้กันอย่างอื่น ในภาษาคริสเตียน ที่ใช้ภาษาอังกฤษ ก็ใช้คำว่า อิแมนซิเตชั่น ซัลเวชั่น (นาทีที่ ๕๗:๓๔) บ้างนั่นคือ ความหมาย ของคำว่า วิมุตติ ทุกศาสนา ถ้าเราเข้าใจของเขาถูกต้อง ก็จะพบว่าเขาสอนให้มีวิมุตติ เป็นสิ่งสุดท้าย
การที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า พรหมจรรย์ นี้ มีวิมุตติเป็นอานิสงส์ นี่เป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุด แล้วก็ใช้ได้แก่ทุกศาสนา เพราะว่าสิ่งที่เรียกว่า พรหมจรรย์นั้น มันต้องทำด้วย ด้วยความเสียสละ พยายามสุดชีวิตจิตใจเท่านั้น จึงจะเรียกว่า พรหมจรรย์ จะปฏิบัติในศาสนาไหนก็ต้องปฏิบัติอย่างสุดกำลังกาย สุดกำลังชีวิตจิตใจ หรือทั้งหมดทั้งสิ้น จึงจะสำเร็จ ตามความมุ่งหมายที่มีอยู่ในศาสนานั้นๆ ก็เป็นพรหมจรรย์กันไปหมด ถ้าลองว่าได้ประพฤติสุดความสามารถแล้วก็เป็นพรหมจรรย์ ไปหมดแหละ ไม่ว่าศาสนาไหน แล้วเพื่อละเสียซึ่งโลกนี้ซึ่งเป็นที่หลงใหลแห่งตัวกู ออกไปเสียให้ได้ ก็เป็นรอดออกไปได้ นี่ที่ผมถามตะกี้ว่า คุณจะเอาหรือไม่เอา ไม่ใช่จะชวนให้เอานะ ก็ชวนให้คิดเหมือนกัน เอาหรือไม่เอาก็ไปเลือกเอาเอง อย่างที่เป็นอิสระที่สุด เดี๋ยวนี้บอกให้ว่า ถ้าจะถึงสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ในอันดับสูงสุดกันแล้ว มันมีอย่างนี้อย่างเดียว คือรอดออกไปได้จากความโง่เขลา หลงใหล พัวพันอยู่ในไอ้เรื่องที่มันดึงดูดจิตใจเอาไว้ ไม่เป็นอิสระ นี้ก็คือว่า หลุดพ้น อย่างอิสระที่สุดด้วย ด้วยอำนาจแห่งการประพฤติ พรหมจรรย์ นี้เราก็ค่อยๆ รู้จัก สิ่งที่เรียกว่า พรหมจรรย์ มากขึ้น มากขึ้น แล้วมันมีอยู่อย่างนี้ ถ้าเดี๋ยวนี้ เรายังไม่อยากจะเอาก็ไม่เป็นไร แต่ก็ขอให้มันเลื่อนเรื่อย เลื่อนเรื่อย คือว่า เลื่อนในแบบของวิมุตตินี่ เรื่อยมา เรื่อยมา จนกระทั่งสุดท้ายก็วิมุตติ อันสุดท้าย ถ้านั้นมันก็ติดอยู่ที่นั่น เช่นถ้าสอบประถม ๑ ไม่ได้ มันก็ติดอยู่ประถม ๑ ก็ไม่วิมุตติ ไปจากประถม ๑ ถ้าสอบได้ก็ผ่านจากประถม ๑ มาประถม ๒ หลุดไปสู่ ประถม ๓ ประถม ๔ มัธยม หรือว่าชั้นอุดมไปถึง สุดปลายทางนั้นได้ คือ รอดออกมาทีละเปลาะ ละเปลาะๆ เปลาะสุดท้ายมันคือเหนือสิ่งทั้งปวง ถึงว่ายังไม่เข้าใจ ยังไม่อยากก็ได้ไม่เป็นไร ไม่มีใครว่าไม่มีใครตำหนิ ไม่อยากจะวิมุตติหลุดพ้นเป็นนิพพาน เดี๋ยวนี้ก็ได้ แต่ขออย่าอย่างเดียวว่าอย่าเหลวไหล ให้มันหลุดจาก ไอ้เปลาะเล็กๆ ต้นๆๆๆ ขึ้นมา จากไอ้เปลาะของเด็กเล็กๆ มาเป็นวัยรุ่น จากเปลาะของเด็กวัยรุ่น มาเป็นหนุ่มสาว เป็นพ่อบ้านแม่เรือน เรื่อยชั้นไป จนถึงอันดับสุดท้าย มันก็เป็นไปเอง เดี๋ยวนี้ยังไม่เห็น ยังไม่ได้ผ่าน ที่สูงไปกว่านั้น มันก็ต้องหลงอยู่ในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดก็ไม่มีอะไร นอกจากเป็นเพียงสิ่งที่อร่อยที่สุดเท่านั้น มันมีนิทาน แต่ว่า ไม่ ไม่ใช่นิทาน มีนิทานเรื่องจริงที่เคยเล่ากัน ครูบาอาจารย์ของผมก็เคยเล่าให้ผมฟัง แล้วเราก็พอจะมองเห็น หรือบางทีเราก็ยังสังเกตเห็นด้วยที่ว่า คนเรานี่มันจะติดอยู่ตรงที่เราอร่อย รู้สึกอร่อย ในเวลานี้ ด้วยความหมายมั่น คือ นิทานนี้มันเล่าน่าหัวว่าไอ้ลูกเล็กๆ คนหนึ่ง พ่อของเขา ป้อนให้กินข้าวเหนียวน้ำกะทิทุเรียน มันเป็นเรื่องจริงที่อร่อยที่สุด ป้อนให้กินคำแรก มันอร่อย จนถึงกะมันออกปากบอกพ่อว่าถ้าหมดชามนี้แล้ว เอาอีกนะ ไปเอาอีกชามนึงด้วย เออ เอาอีก ๒ ชาม ๓ ชาม ไม่รู้ พ่อเขาก็ว่า เออๆๆ นี่ ก็ป้อนให้กินเรื่อย พอถึงคำที่ ๔ ที่ ๕ มัน มันก็อิ่ม อิ่มแล้วมันก็เอือม ไม่ทันจะหมดชามนั่น แล้วมันก็สั่นหัว ขืนกินเข้าไปอีกมันก็ออกมา นี่ไม่ใช่อะไรมากไปกว่า ว่าให้รู้จักสังเกตว่าเรานั้นเมื่อไปอร่อยในสิ่งใดเข้าแล้วเราก็มักจะตั้งเป้าหมายไว้มาก ที่จะมีสิ่งนั้นให้มากที่สุดอยู่ด้วยกันไปจนตลอดชีวิต ไม่เคยนึกถึงระยะที่จะเบื่อ หรือจะเอือมระอาต่อสิ่งเหล่านี้เหมือนกับเด็กตัวเล็กๆ นั่นแหละ กินคำแรก มันบอกสัญญา ขอสัญญา ขอให้พ่อสัญญาว่า จะหมดชามนี้แล้ว เอาอีก ๒ ชาม ๓ ชาม แต่ว่า ชามเดียวมันก็กินไม่หมด แล้วมันก็อิ่ม แล้วมันก็เอือม แล้วมันก็เปลี่ยนเป็นเรื่องอื่นได้ ก็คือรอดออกไปได้โดย โดยที่มันผ่านไปจนเอือม
ในโลกนี้ก็เหมือนกัน ไอ้ที่มันจะอร่อยมากก็คงไม่มีอะไรยิ่งไปกว่าไอ้เรื่องกามารมณ์ กามาวจร ระดับของกามาวจรก็เหมือนกับว่า ไอ้ ไอ้เด็กคนนี้ เขาหลงในความอร่อยของขนมนี้ เสร็จแล้วในที่สุดมันก็เลิกได้มันก็เปลี่ยนได้ นี่กลัวว่าจะเป็นอย่างนี้ ที่ว่าคนหนุ่มๆ นี้หวังมาก ไปถึงขนาดที่ว่าจะอยู่กับกามารมณ์ อันสูงสุดนี้จนวาระสุดท้ายของการดับจิต เหมือนกะเด็กคนนั้น นั้นจึงว่า เอ้า เดี๋ยวนี้ยังไม่ยอมก็ ยังไม่ยอมสมัครจะหลุดพ้น ก็ลองดู เดี๋ยวมันก็จะถึงขนาดที่เด็กคนนี้ มันก็สั่นหัว มันก็ไปของมันได้เอง นี่บอกเผื่อไว้ บอกเป็นการล่วงหน้าไว้ว่า ไอ้จุดสูงสุด ระดับสูงสุดของไอ้มนุษย์ของคนเรานี่มันอยู่ที่หลุดออกไปได้ จากสิ่งเอร็ดอร่อย ทั้งหลายที่ผูกพันอยู่เป็นลำดับ ๆๆ ถ้ามันกินไอ้ข้าวเหนียวน้ำกะทินี้ อิ่ม เอือมระอา มาแล้ว มันคงจะอยากไปนอน ไอ้ความนอนของมันก็คงจะกักตัวมันไว้อีกทีหนึ่งกว่าจะหลุดออกไปได้จากรสอร่อยของการนอน มันจะไปเล่นอะไรก็ตามใจมัน มันจะมีอะไรกักตัวไว้เรื่อยจนกว่ามันจะออกไปได้ เป็นอันดับสุดท้าย ก็เรียกว่า วิมุตติ ทีนี้คนเรามีชีวิตอยู่หลายๆ ระดับ ระดับทารกก็เรียกว่า เป็นทารก มีสติ ปัญญาที่อ่อนมาก ค่อยๆ แก่กล้าขึ้นมา ติดสูงขึ้นไปตามลำดับ สูงขึ้นไปตามลำดับ สูงขึ้นไปตามลำดับ นั้นถ้ามันไม่เป็นบาปกรรมอะไรมากเกินไป มันคงจะหลุดได้ ในเมื่อถึงอันดับสุดท้าย งั้นคนที่ติดจน ไม่รู้จักหลุด เรียกว่าเป็นสัตว์ที่อาภัพ คนอาภัพหรือเป็นสัตว์ที่อาภัพ เกิดมาทีหนึ่ง ก็ไม่ได้ถึงจุดสูงสุด ไม่รู้รสของภาวะสูงสุดที่มนุษย์ควรจะถึง ก็คือ ไม่วิมุตติ ไม่หลุดรอด งั้นพระพุทธเจ้า ท่านก็ตรัสไว้เสียเลยว่า พรหมจรรย์นี้มีวิมุตติเป็นอานิสงส์ ประโยคสั้นๆ นี้ใช้ได้ตลอดกาล ถ้าใครพอใจก็อาจจะจัดตระเตรียมให้เหมาะสมที่จะหลุดพ้นไปตามลำดับ ทีละเปราะ ละเปราะๆ ในเวลาอันสมควร เขาก็คงจะรอดในอันดับสุดท้าย ก่อนแต่ที่จะเข้าโลง เป็นเวลาหลายปี ก็จะเป็นผู้มีจิตใจที่หลุดพ้น ไม่ติดอะไร เป็นอิสระ เป็นสุขอย่างสูงสุดได้หลายปีก่อนแต่ที่ร่างกายมันจะแตกทำลายลงไป
นี่พระพุทธเจ้าท่านแนะนำอย่างนี้ หรือว่า คนฉลาดทั้งหลายเขาก็ เขาก็หวังกันอย่างนี้ ก็ถ้าอย่างไรก็ให้ได้หลุดพ้นเป็นดีที่สุด เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น ไม่ใช่ว่าจะให้ไม่เกี่ยวข้องกับกามารมณ์ ไม่ให้เกี่ยวข้องกับโลก ไม่ให้เกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ ที่มนุษย์เขา เขาพอใจกันนัก แต่ต้องการจะให้หลุดไปตามลำดับ ไม่ไปตีบตันอยู่ที่ไหน ด้วยความหลงใหลเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นเข้าใจว่า คุณคงจะมองเห็นแจ่มแจ้งในความหมายของพระพุทธภาษิต ที่ว่า พรหมจรรย์นี้ มิใช่มี ลาภ สักการะ เสียงสรรเสริญ เป็นอานิสงส์ แล้วก็ติดอยู่ที่นั่น แต่ว่า พรหมจรรย์นี้มีวิมุตติเป็นอานิสงส์ แล้วคุณก็อย่าลืม มองดูตัวเองนี้บวชเข้ามาในในในพระพุทธศาสนา นี่คือบวชเข้ามาในพรหมจรรย์นี้ กำลังอยู่ในพรหมจรรย์ หรือในชีวิตพรหมจรรย์ก็ต้องไม่เล่นตลก ต้องไม่ขบถต่อผ้าเหลือง ไม่ขบถต่อพรหมจรรย์ ก็พยายามทำเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้รู้เรื่องวิมุตติ ให้มันก้าวไปข้างหน้า ถ้าจิตใจมันรู้แจ้งแล้วมันไม่มีถอยกลับ แม้ว่าจะเปลี่ยนเพศ มันก็ไม่ถอยกลับ
นี้ที่ผมพูดอย่างนี้กล้ายืนยัน ไม่ใช่พูดเอาอกเอาใจพวกคุณ ว่าถ้ามีจิตใจที่สูงอย่างนี้แล้วในเรื่องเกี่ยวกับอิทธิพลของอารมณ์ในโลกทั้งหลาย แม้เราจะเปลี่ยนจากผ้าเหลืองไปเป็นผ้าชาวบ้าน มันก็ไม่ได้เปลี่ยนจิตใจเรา มันก็เปลี่ยนแต่ผ้าได้ ก็ขอให้อบรมให้อบรมจิตใจนี้ให้มันถึงขนาดที่มันจะพ้นไป เป็น เป็นชั้น เป็นชั้นๆ มันก็จะได้ผลติดอยู่ในจิตใจ แม้จะว่าสึกกลับออกไปมันก็จิตใจสูง พอที่จะไม่กลับจมลงไปในเรื่อง เรื่อง เรื่องโลกๆ เรื่องฆราวาสนิสัยเหมือนเดิมหรือยิ่งไปกว่าเดิม แต่มันจะอยู่ในชั้นที่สูงกว่า ดีกว่า ทั้งเราก็ได้พูดกันในวันแรกแล้วว่า ไม่ได้หมายความว่าเราจะอยู่เป็นพระไป เพราะเราบวชชั่วคราวแต่ให้เราก็ เราก็สามารถที่จะให้ได้รับประโยชน์ ก้าวหน้า สูงยิ่งขึ้นไป ไม่ ไม่ให้กลับเลวลงไปเท่าเดิม ให้ ให้ ให้อบรมจิตใจให้ถูกต้อง แน่นอนอย่างนี้ แม้เราจะสึกกลับออกไปก็ยังมีประโยชน์สูงสุดในการที่จะไป ต่อสู้กับเรื่องทุกๆ ทุกเรื่องในชีวิตทั้งความเป็นมนุษย์ในแบบของฆราวาส ให้มันมีหลักแน่ลงไปว่าก้าวหน้าเจริญงอกงาม ก้าวหน้าไปตามลำดับในวิถีทางของความรอดพ้น สมกับคำว่า พรหมจรรย์นี้มีวิมุตติเป็นอานิสงส์ ได้จริง
เวลาที่เรากำหนดสำหรับบรรยายก็หมด เรายุติไว้เท่านี้ทีสำหรับวันนี้